เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ – บทที่ 1 ผู้กล้าไร้ค่า (1)

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

‘ไร้ค่า’ มันคือสิ่งที่บ่งบอกตัวผม ตัวผมตลอดมาถูกนิยามไว้ด้วยคำแย่ๆเหล่านั้น และแย่ไปกว่านั้นคือ–แม้แต่ตัวผมเอง ดันผลอยคิดไปว่าตัวเองเป็นอย่างที่ทุกคนต่อว่าโดยไม่สงสัย

ตัวผมที่คิดอย่างที่คนอื่นคิดมันไร้ค่าของจริงเลย ..คนอย่างผมไม่มีบ้านให้กลับ ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรเลย วางเปล่า เพราะว่างเปล่าจึงไร้ค่า แต่เพราะไร้ค่าด้วยจึงว่างเปล่า

ว่างเปล่ากับไร้ค่า สองสิ่งนี้มันเชื่อมถึงกันอยู่ เพราะอย่างนั้นตัวผมจึงเป็นความไร้ค่าที่ว่างเปล่า ถึงกระนั้นผมก็พยายามอย่างว่างเปล่าเรื่อยมา เหตุผลคืออะไรกัน? เมื่อผมตั้งคำถาม คำตอบที่ผมได้กลับก็คือ—เพราะผมเป็นผู้กล้าที่ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้อย่างไรละ

ผมคิดอย่างนั้นมาตลอด

จุดเริ่มต้นของความคิดเหล่านี้ คงจะมาจากเรื่องเมื่อสองปีก่อน การออกเดินทางครั้งแรกของผม ในฐานะ ’ผู้กล้า’

ผู้กล้าลำดับที่ 12 จากผู้กล้าตามคำทำนายทั้งหมด 12 ลำดับ ตัวตนของผู้กล้าถูกเรียกขานกันว่า ‘12 ผู้กล้าจักราศรี’ สิบสองผู้วิเศษ สิบสองพลังอำนาจวิเศษ และแสงแห่งความหวังของมวลมนุษย์ทั้งสิบสอง

ตัวผมเริ่มต้นได้คำสรรเสริญในฐานะผู้กล้า และจบลงด้วยความล้มเหลวในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

เมื่อสองปีที่แล้ว ตัวผม ผู้กล้า ‘ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน’ อายุ 15 ปี ได้พ่ายแพ้ให้แก่กองทัพจอมมาร และสูญเสียสหายร่วมทางทั้งหมดในค่ำคืนเดียว ไม่ว่าจะ นักรบผู้หาญกล้า จอมเวทย์มากพรสวรรค์ หรือกระทั่งนักบวช ทุกคนล้วนแต่เติบโตจากที่ๆเดียวกันกับผม มีชีวิตอยู่เพื่อผมในฐานะผู้กล้า และจากไปในฐานะบริวารของผู้กล้า ชีวิตของผมเองก็ควรจะจบไปตั้งแต่วันนั้น

ต่อให้พ่ายแพ้ ก็ควรจากไปอย่างสมเกียรติ พร้อมกับจิตวิญญาณของพวกพ้อง

ทว่า มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ค่ำคืนที่แสนเลวร้ายผ่านไป หมู่บ้านแห่งนั้นที่ผมปกป้องถูกเผา ชาวบ้านรวมถึงสหาย อย่างดีก็เหลือไว้เพียงซากศพ อย่างเลวร้ายก็ไม่มีแม้แต่ศพ ณ ที่แห่งนั้นที่ไม่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตเหลือรอด ผมกลับเป็นคนเดียวที่ยังยืนอยู่ ในสภาพที่ไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ ทั้งที่เวลานั้น ทั้งแขน และขา หรือว่าลำตัวก็ถูกแยกออกจากกันจนไม่เหลือชิ้นดีไปแล้วแท้ๆ

“..อา”

สิบสองผู้วิเศษ—อำนาจวิเศษของผู้กล้าลำดับที่ 12 ได้ลืมตาตื่นขึ้นเมื่อผมได้ตายไปหนึ่งครั้ง

อมตะนี่เอง

ไม่ใช่ว่าแข็งแกร่งจนไม่อาจพ่ายแพ้ได้ แต่ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้ตรงตามตัวอักษร

ผมเป็นอมตะ พลังที่ราวกับมาจากก้นบึ้งของความมืด ดันกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของตัวผมเอง

หลังจากนั้นผ่านไป 2 ปี พวกพ้องที่ร่วมเดินทางใหม่ ไม่ช้าก็เร็ว พวกเขาจะตายจากไป และเหลือรอดเพียงแค่ผมคนเดียว ราวกับว่าถูกสาป แต่ไม่ใช่ เหตุผลที่มันเป็นอย่างนั้นมีข้อเดียว คือผมอ่อนแอเกินไปในฐานะผู้กล้า ผิดกับคนอื่น ผู้กล้าทุกคนมีพลังที่สามารถเปลี่ยนจากวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ แสงสว่างเพียงน้อยนิดสามารถส่องสว่าง ปัดเป่าความมืดทั้งหมดได้ในคราเดียวด้วยดาบแห่งผู้กล้า ผู้ที่เดิมตามจักมองเห็นถึงแสงสว่าง และฝ่าฟันอุปสรรคได้ด้วยประกายดาบเพียงคราเดียวของผู้กล้า

ไม่ว่าจะ ความเร็วแสง มาสเตอร์แห่งธาตุทั้งหมด หรือกระทั่งการปรากฏการณ์วิเศษที่เสกออกมาได้จากปลายดาบ เปลี่ยนฟ้าเป็นดิน เปลี่ยนดินเป็นฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ที่ปัดเป่ามังกรได้ในครั้งเดียว พลังกายที่ตัดภูเขาได้ขาดได้ หรือว่าจะพลังแห่งการเยียวยาวิเศษ สิ่งที่ผู้กล้าควรจะมีอย่างน้อยสักอย่าง ตัวผมนั้นไม่มี มีเพียงความอมตะที่ทำให้ผมรอดชีวิต และคนอื่นตายไปโดยที่ไม่อาจชี้ทางสว่างให้ใครได้ทั้งสิ้น

ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อผมลืมตาตื่น มักจะมีแต่ซากศพของคนอื่น และตัวผมที่ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองชัดเจน

ไม่นาน ผมก็สูญเสียความไว้ว่างใจทั้งหมด ในฐานะมีกล้า และมีหน้าต่อไปในฐานะอื่นที่ไม่เหมือนกับผู้กล้า เหยื่อล่อ สปาย หรือว่านักรบอมตะที่มีหน้าที่เพียงตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อรอเวลาให้ผู้กล้าที่แท้จริงมาฉายแสง หรือก็คือผู้กล้าทั้ง 11 คนก่อนหน้าผม

วันนี้เอง ..ก็เป็นเช่นนั้น

ผมเดินผ่านป่าไม้ที่เละเทะจากการต่อสู้ สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลโทรมๆ บริเวณเอ็วเหน็บไว้ด้วยดาบแห่งผู้กล้าที่ดูธรรมดาราวกับไม่ใช่ดาบแห่งผู้กล้า ผมส่งสายตาไปรอบๆตลอดทุกย่างก้าว

“..เลวร้ายสุดๆไปเลย”

พึมพำออกมาเมื่อเห็นสภาพศพของทหารมากมายจากการต่อสู้ ..ราวสองวันก่อน ดราก้อนซอมบี้ สมุนของหนึ่งในห้าขุนพลจอมมารได้หลุดรอดมาจากการต่อสู้กับ ผู้กล้าลำดับที่ 4 และมาอาละวาดในเขตุที่ห่างไกลแห่งนี้ ในเบื้องต้นได้ส่งกองพลมาเพียงหนึ่งกองพล พร้อมกับนักบวช แต่ทุกคนประเมินดราก้อนซอมบี้ต่ำเกินไป ตามปกติก็ควรจะรับมือได้ อาจจะเป็นเพราะมันคือสมุนของระดับขุนพลจอมมาร ทำให้มีพลังกว่าที่ควรจะเป็น

บางทีการจะโค่นมันได้ อาจต้องการความร่วมมือของผู้กล้า ซึ่งเร็วสุด ก็น่าจะใช้เวลาประมาณ 3 วันได้

ด้วยเหตุนั้นเอง ตัวผมที่อยู่ใกล้สุด เลยต้องมาก่อน ..แต่ไม่ใช่ในฐานะผู้กล้า แต่เป็นในฐานะตัวล่อที่รอผู้กล้าซึ่งจะมาถึงในหนึ่งวันให้หลังจากนี้

ใช่แล้วละ นี่คือหน้าที่ของผมตลอดสองปีที่ผ่านมานี้

เมื่อมาถึงที่หมาย ผมก็ได้ยินเสียงเคลื่อนที่ของมัน ของดราก้อนซอมบี้ที่กำลังตรงมาทางผม ต่อให้เป็นซอมบี้ แต่ความสามารถก็ไม่ต่างกับตอนมีชีวิตเลยตามที่รายงานว่าเอาไว้ ต้องทุ่มเทหยุดไว้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นหมู่บ้านที่ห่างจากที่นี่ไม่กี่กิโลเมตรจะเป็นราวกับโศฐนาฎกรรม

ผมถอนหายใจเฮือกโต ชักดาบแห่งผู้กล้าออกมา ชี้ไปทางดราก้อนซอมบี้ซึ่งปรากฏร่างให้เห็นแล้ว

กรรรรรรรรรร มันสังเกตุเห็น และหมุนตัว ยกหางขึ้นฟ้า และฟาดลงมา—ผมใช้ดาบปัดป้องการโจมตี และพุ่งตัวไปทางขวา อาศัยความเร็วของตัวเองหมายจะวิ่งเข้าไปประชิด ตั้งท่าดาบเตรียมตอบโต้การโจมตีถัดไป

ดราก้อนซอมบี้ยกขาหน้าขึ้น ฟาดขาเข้าใส่ผม มวลนั้นมากพอจะบดขยี้ร่างนี้ให้เป็นเนื้อบดได้ ผมจึงปัดป้องเอาไว้ พร้อมกับโจมตีสวนด้วยวิชาดาบที่เข้าขั้นยอดเยี่ยม ทำให้สามารถโต้ตอบอย่างนี้ได้ถึงสามจังหวะ แต่ว่ามุมมองต่อสนามรบแคบเกินไป เผลอเพียงนิดเดียว ร่างของตัวเองก็ถูกแยกเป็นสองส่วน ด้วยหางที่ตวัดกลับมา

อย่างที่ว่าเอาไว้ว่ามวลจากการจู่โจม มากพอจะบดขยี้ร่างนี้ ตัวผมสองส่วนกลิ้งไปคนละทาง ..และนอนแน่นิ่งอยู่อย่างนั้น ตาเหลือกค้าง เลือด และลำไส้ไหลออกมาจากอย่างน่าสยดสยอง กลืมกลืนไปกับเศษซากศพมากมายแถวนั้น เป็นเหมือนกับตัวละครหลังฉากทั่วๆไป

มัน-เดินหน้าไปต่อ เพียงไม่กี่ก้าว มันก็เหลียวหลังกลับมา

เพราะตัวผมลุกขึ้นยืนอีกครั้งในสภาพที่ไร้บาดแผล มีแต่คราบเลือดเก่า และรอยขาดของเสื้อบริเวณเอว

วินาทีต่อไปถัดจากนี้ จนกว่าจะถึงวันต่อไปคือนรกดีๆนี่เอง ..ไม่ใช่สำหรับดราก้อนซอมบี้ แต่สำหรับผม ผู้กล้าที่ไม่สามารถพ่ายแพ้ได้

ผมกัดฟัน เดินลากดาบไปข้างหน้า ปรับลำดับจิตใจของตัวเองให้เตรียมพร้อมกับความตาย และความเจ็บปวดอันมหาศาล ซึ่งยากจะทนไว้ได้

ผมได้ตายไปทั้งหมด 27… ไม่สิ 32 ครั้งได้ ก่อนที่ความช่วยเหลือจะมาถึง

****

แม้จะเป็นอมตะ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับก็ไม่ได้หายไปไหน ทุกครั้งที่ตาย ก่อนที่จะตายไม่กี่วิ มันทรมานจนผมเผลอสลบไปชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ก็มักจะครองสติตัวเองไว้ได้เสมอ ด้วยพรวิเศษอมตะนี้ ไม่ใช่แค่เยียวยาร่างกาย แต่ยังเยี่ยวยาสภาพจิตใจให้ไปต่อได้ ให้อธิบาย มันก็คงเหมือนการที่เราเจ็บตลอดเวลา แต่จิตใจบังคับไม่ให้สลบได้ เจ็บแต่ไปต่อได้ คงจะประมาณนั้น

เป็นความรู้สึกที่คนปกติไม่มีทางเข้าใจ เพราะมันไม่ใช่เรื่องปกติ

พูดถึงข้อดีก็คือ ผมสามารถโฟกัสกับการต่อสู้ได้ แม้ว่าจะเจ็บเจียนตายตลอดเวลาก็ตาม ใช่ มันควรจะเป็นข้อดีนั่นแหละนะ 

..เวลาผ่านไปไม่ถึงวัน เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก ระหว่างที่รุกรับกับดราก้อนซอมบี้อย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งวัน การช่วยเหลือของผู้กล้าคนอื่นก็มาถึง

แสงสว่างพุ่งผ่านหน้าผมไป พร้อมกับขาหน้าสองข้างของดราก้อนซอมบี้ที่ถูกตัดขาด ทำเอาเสียขวัญทั้งๆที่ตัวเองใช้เวลาเกือบครึ่งวัน ยังไม่สามารถตัดขามันได้แท้ๆ ความรู้สึกทีผุดขึ้นมา มีทั้งความเศร้า และความอิจฉาในพลังของผู้กล้าที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ได้ฝันถึง

ดาบสีขาวที่ขดเป็นเกลียวยาวกว่าสองเมตร และประดับด้วยเพชรทองส่องสว่างท่ามกลางเศษซาก นั่นคือดาบของหนึ่งในผู้กล้าไม่ผิดอย่างแน่นอน รูปร่างของดาบสง่างาม แตกต่างกับดาบของผมอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกันกับผู้ถือครองมัน

ดูดุร้ายป่าเถื่อน แต่กลับสง่างาม รูปลักษณ์ของเขาที่ปรากฏไม่ได้แตกต่างกับดาบแห่งผู้กล้าบนมือของเขาเลย ผมสีเหลืองซีด ปลายผมข้างซ้ายยาวจนถึงหัวไหล่ผิดแปลกกับข้างขวา และมีดวงตาสีเหลืองที่เสมือนกับเหยี่ยวผู้ล่า

ผู้กล้าลำดับที่ 10– ‘ผู้กล้าแห่งแสง’ ‘เวอร์โก้ ยูซาริเซี่ยน’ พุ่งตัวด้วยความเร็วที่ยากจะตอบสนอง พร้อมกับตัดขาหน้าของดราก้อนซอมบี้ ตัวเขาลอยผ่านไป และใช้ขาสองข้างลอยแตะต้นไม้ที่ใกล้กับผมเอาไว้ พลางชำเลืองมองผม และแสยะยิ้มให้

รอยยิ้มของเขา ..ดูน่ากลัว เพราะมันคือรอยยิ้มที่ใช้ดูถูกดูแคลนตัวผมตลอดเรื่อยมา

เวอร์โก้สะบัดดาบหนึ่งครั้ง ตัวเขาหายไปจากระยะสายตาของผม เหลือเพียงแค่แสงทิ้งเอาไว้ ผมรีบหันไปตามทางของแสง พบกับเวอร์โก้ที่สะบั้นร่างกายดราก้อนซอมบี้เป็นเสี่ยงๆ

ไม่มีความสูสีเลยสักนิด เวอร์โก้เล่นงานศัตรูอยู่ฝ่ายเดียว ด้วยความเร็วที่เป็นเลิศ ไม่นานดราก้อนซอมบี้ก็สลายไปขณะที่เพลงดาบของเขาร่ายรำไม่หยุด

..หนึ่งนาทีได้ เป็นเวลาที่เขาใช้ในการกำจัด ศัตรูที่ผมสู้อย่างยากลำบากมาหลายชั่วโมง ผมทิ้งตัวลงนอนกับพื้น โอบกอดไหล่ของตัวเองเอาไว้ ไม่ใช่สั่นกลัว แต่ความเจ็บปวดเมื่อก่อนหน้านี้มันเข้าเล่นงาน ผมเอาหัวของตัวเองทิ่มลงพื้น พยายามเก็บเสียงร้องของตัวเองให้มากที่สุด เพราะไม่อยากให้เวอร์โก้ได้ยินเสียงร้องของตัวผมเอง

เวอร์โก้เดินมาอย่างชิลๆ พร้อมกับคำก่นด่าที่ตามมา

“แกเนี่ยเห่ยจริงๆเลยนะ ลีโอ สภาพแบบนี้ยังกล้าเรียกตัวเองว่าผู้กล้าอีกนะ กับอีแค่ดราก้อนซอมบี้ ยังรับมือไม่ได้เนี่ย–ฮ่าๆ มีดีแค่ทนมือทนเท้าอย่างเดียวเหมือนเคย”

“..โทษที ..แล้วก็ขอบคุณที่มาช่วย”

“แค่ทำตามหน้าที่แหละน่า ไม่ต้องการคำขอบคุณของแกหรอก เอ่า!” เวอร์โก้เตะร่างของลีโอ “รีบกลับเข้าเมืองกันได้แล้ว มีงานต้องทำต่อ”

ผมได้แต่พยักหน้า และเดินตามเวอร์โก้ทั้งๆที่ยังเจ็บอยู่

เมื่อเดินตามไปได้สักพัก ผมก็เริ่มเอ่ยถาม

“..ไม่ใช่ว่า อควาจะเป็นคนมาจัดการดราก้อนซอมบี้หรอกเหรอ”

ผู้กล้าที่ได้รับหน้าที่ปราบดราก้อนซอมบี้ แต่เดิมคือ ผู้กล้าลำดับที่ 11 ‘มาสเตอร์แห่งธาตุ’ ‘อควาเรีย ยูซาริเซี่ยน’ ผู้กล้าที่บรรลุธาตุของเวทมนตร์ทั้งหมด ตามกำหนด เธอควรจะมาช้ากว่านี้สักสี่ถึงห้าชั่วโมง แต่คนที่มารับหน้าที่นี้แทนกลับเป็นเขา เวอร์โก้ ผู้ที่รวดเร็วที่สุดในหมู่ผู้กล้า

เวอร์โก้หัวเราะขึ้นจมูก ก่อนตอบ

“กำหนดงานเปลี่ยนนิดหน่อยน่ะนะ ฉันกับยัยนั่นต้องตรงไปเสริมทัพที่ทิศใต้ แล้วเผอิญอยู่ใกล้แกพอดี เลยนัดยัยนั่นไว้ที่เมืองแถวๆนี้”

“ถึงกับต้องใช้ผู้กล้าสองคน ..”

“มีกองทัพพบเห็น หนึ่งในขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ ที่บริเวณนั้น”

….ดราแคล์ ขุนพลจอมมารที่สงบที่สุดในห้าขุนพล ไม่ได้ข่าวคราวการเคลื่อนไหวของดราแคล์มานานแล้ว นับตั้งแต่ผม รวมถึงเวอร์โก้ได้รับตำแหน่งผู้กล้ามา พวกเรายังไม่ได้ภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกองทัพของดราแคล์เลย

“……”

บางทีงานที่เวอร์โก้บอกผม อาจจะเกี่ยวข้องกับดราแคล์ก็เป็นไปได้ นั่นทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“..รู้สึกกลัวขึ้นมารึไง?”

“….”

“ทั้งๆที่ตายไม่ได้เนี่ยนะ?” เวอร์โก้หยุดเดิน และหันกลับมามองลีโอ “ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่ ไม่ว่าใครจะตายหรือเป็นอะไร ก็ไม่มีผลอะไรกับตัวแกอยู่แล้วนี่? ต่อให้ตาย แกก็ไม่ตายอยู่แล้ว ต่อให้คนที่อยู่ข้างหลังตายไป แกก็จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ หายห่วง”

คำพูดเหล่านั้นคือการตำหนิตัวผม ..ผมหลบสายตาหนีดวงตาที่ราวกับสัตว์นักล่าคู่นั้นของเวอร์โก้

ความละอายใจ มันอยู่ภายในอกของผมมาโดยตลอด อย่างที่เวอร์โก้พูด ไม่ว่าใครจะตาย ใครจะล้มเหลว ใครจะถวายชีวิต มันก็ไม่มีผลกับตัวผม เพราะผมเป็นอมตะ เพราะเป็นอมตะ ..การฝากชีวิตไว้ที่ผมมันเลยเหมือนเรื่องไร้ค่า การมีอยู่ของผม มันไม่ต่างอะไรกับการทำให้ชีวิตของคนอื่นที่เสียไปมันไร้ค่า เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนในทุกการต่อสู้อย่างชีวิต ที่ใช้เพื่อแลกกับการโค่นศัตรู ของพรรค์นั้นผมไม่มี

ไม่สามารถแข็งแกร่งไปด้วยกันได้ ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคไปพร้อมๆกันได้ เพราะผมเป็นคนเดียวที่จะไม่ตาย การเตรียมใจเหล่านั้นเลยไร้ค่า

ผมเป็นอย่างผู้กล้าคนอื่นไม่ได้

“สิ่งเดียวที่ตัวแกทำได้ มีแค่ตายให้มากที่สุด เพื่อพวกฉันเท่านั้นแหละ จำใส่หัวเอาไว้ซะ ไอผู้กล้าจอมปลอม”

น้ำเสียงของเวอร์โก้เต็มไปด้วยความเกียจชัง ..ซึ่งไม่ได้แปลกอะไรเลย เพราะผม เพราะการนำทางของผม สหายหลายคนของเวอร์โก้ และของทุกคนก็ได้จากไปก่อนเวลาที่เหมาะสม จากไปอย่างไร้ค่า ไม่สามารถทำอะไรตอบแทนเพื่อโลกได้ แค่ตามผมมา และตาย ส่วนผมรอด ก็เท่านั้น

นักรบผู้หาญกล้า นักเวทย์อัจฉริยะ นักบวช ทุกคนคือเพื่อนรุ่นเดียวกันกับผม และเพื่อนรุ่นเดียวกันของเวอร์โก้ พวกเขาทุกคนตายอย่างไร้ค่า เพราะความไร้ค่าของตัวผมเอง

เวอร์โก้จึงไม่ชอบผม ผมเองถ้าเป็นเขาก็คงจะรู้สึกอย่างเดียวกัน ใช่ เพราะผมเองก็รังเกียจตัวเองที่เป็นอย่างนี้ ความรู้สึกที่แบกรับเอาไว้ ไม่ต่างอะไรกับการเป็นฆาตกรเลยละ ถ้าหากว่าเพื่อนของคุณถูกฆาตกรคนหนึ่งฆ่า ก็คงจะมีปฏิกิริยาแบบนี้กระมัง?

แต่ว่า ความเย็นชานั้นมาจากเพื่อนที่แต่ก่อนเคยสนิทกัน มันจึงรู้สึกแย่จนอยากอาเจียนเป็นพิเศษ แต่เพราะพรของผู้กล้า ทำให้อาเจียนได้ยาก ความอดทนในจิตใจ มันถูกขยายใหญ่ขึ้นโดยไม่รู้ตัว สมกับเป็นพรของผู้กล้า วิเศษจริงๆเลย

“..อ่า”

ได้แต่ตอบรับหน้าที่ที่โหดร้าย แม้ทุกครั้งที่ตายมันจะเจ็บ แต่ว่ามันคือหน้าที่เดียวของผม

ตายให้มากที่สุด เพื่อทุกคน—มันคือสิ่งเดียวที่ผมชดใช้ความผิดของตัวเองได้

……………….

………..

……..

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

เพราะไออุ่นจากกองทัพจอมมาร ทำให้ผมทรยศมนุษยชาติ

Status: Ongoing
ผู้กล้า ลีโอนาร์ ยูซาริเซี่ยน ตัวเขาที่ควรจะตายกลับมีพรในฐานะผู้กล้าคือ อมตะ พรที่ราวกับคำสาป จุดเปลี่ยนของเขาได้มาถึง เมื่อได้พบกับ ขุนพลจอมมาร ‘ดราแคล์’ ผู้เชื้อเชิญให้เขาทรยศมนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท