บทที่ 375 การพบกันโดยมีกระจกกั้นไว้ตรงกลาง
วันต่อมา หลังจากที่เวินเที๋ยนเที๋ยนกลับมาถึงบริษัท ก็ได้นำความคิดเห็นของต่งไห่เมื่อคืนมาปรึกษากับผู้จัดการหยาง
เดิมที เวินเที๋ยนเที๋ยนอยากร่วมมือกับบริษัทจีนเซิน แต่พอเห็นท่าทางของต่งไห่เมื่อวานแล้ว ก็มีความลังเลนิดหน่อย
พอนึกถึงพฤติกรรมของต่งไห่ที่ร้านอาหารTHALIA ดูเหมือนจะชวนให้คนสงสัยจริงๆด้วย
คนที่นิสัยโอ้อวดอย่างต่งไห่ทำยังไงถึงพัฒนาบริษัทได้อย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้นๆได้กันนะ
“ ถ้าพวกเขาไม่ยอมขาย งั้นก็ทิ้งโครงการนี้ไปก็ได้ ” เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดอย่างแน่วแน่
ดูเหมือนว่าผู้จัดการหยางจะรู้สึกเสียดายนิดหน่อย
“ น่าเสียดาย โครงการดีๆแบบนี้หาได้ไม่ง่ายเลย ”
จงหลียิ่งรู้สึกไม่พอใจต่อต่งไห่เป็นอย่างมาก เขายืนพูดอยู่ด้านข้าง: “ อิงจากสถานการณ์ของบริษัทในตอนนี้แล้ว ยังไงก็ทำเท่าที่มีความมั่นใจไปก่อนแล้วกัน ”
“ ตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้ ”
กำลังพูดคุย ก็มีเลขาเคาะประตูและเดินเข้ามาจากด้านนอก
“ คุณเวินคะ เมื่อสักครู่บริษัทจีนเซิน โทรศัพท์มาเชิญคุณให้ไปเยี่ยมชมบริษัทของพวกเขาค่ะ ”
“ เยี่ยมชม ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของฝ่ายตรงข้ามสักเท่าไหร่
ผู้จัดการหยางพูดขึ้นอย่างคาดการณ์: “ เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะเปลี่ยนความคิดแล้ว? ”
ใบหน้าของเขาเผยความดีใจขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าเป็นโครงการที่สำคัญมากๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนลังเลอยู่ชั่วขณะ ถึงค่อยพูดกับเลขา: “ บอกพวกเขาว่าฉันจะไปวันนี้ตอนบ่าย ”
จงหลีได้ยินเธอพูดตอบรับ เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย
รอจนเลขาเดินออกไป เขาถึงค่อยพูดขึ้น: “ ท่าทีของเราเมื่อวานก็ชัดเจนแล้ว พวกเขายังต้องการให้เราไปอีก ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่ ”
เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย นึกถึงเรื่องที่ร้านอาหารเมื่อวาน ที่ต่งไห่ทำกระโปรงของเวินเที๋ยนเที๋ยนสกปรก ไหนจะยังอยากจับมือของเธออยู่ตลอดเวลาอีก ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดในใจ
“ คุณเวินครับ ครั้งนี้ให้ผมกับผู้จัดการหยางไปก็ได้ครับ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ค่อยเห็นจงหลีมีท่าทีเด็ดขาดแบบนี้ เธอจึงหันไปมองเขาอย่างอดไม่ได้
“ ไม่ต้องหรอก ในเมื่อพวกเขาพูดชื่อฉันอยากจะให้ฉันไปขนาดนั้น เราก็ควรใช้ความจริงใจเข้าแลกเหมือนกัน ”
จงหลียังรู้สึกไม่วางใจ เขาขมวดคิ้ว และไม่ได้พูดอะไร
เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดต่อ: “ นายไปกับฉันก็ได้ ”
ได้ฟังดังนั้น อารมณ์ของจงหลีถึงค่อยๆผ่อนคลายลง เขาจึงพยักหน้า
ผู้จัดการหยางยืนมองการกระทำของพวกเขาสองคนอยู่ด้านข้าง ในใจกลับรู้สึกแปลกประหลาด แต่ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
คิดไปคิดมา ลองมองย้อนไปในอดีต ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป จึงลืมเรื่องนี้ไปสะ
ตอนบ่าย เวินเที๋ยนเที๋ยนกับจงหลีมาถึงที่บริษัทจีนเซินอย่างตรงเวลา
บริษัทจีนเซินจำกัด ตั้งอยู่ที่เขตราชการเก่า
แตกต่างกับบริษัทเอ็มไอกรุ้ป ทั้งบริษัทครอบคลุมพื้นที่ครึ่งล่างทั้งหมด พนักงานมีสิบกว่าคน
อาคารเก่าแก่ บนทางเดินตกแต่งด้วยของที่ไม่ใช้แล้ว ดูคับแน่นมาก
เวินเที๋ยนเที๋ยนเดินเข้าไปกับจงหลี พบว่าที่แผนกต้อนรับไม่มีคน จึงทำได้เพียงตามหาตามตำแหน่งที่ได้รับมาเมื่อครั้งก่อน
หาอยู่สักพัก ในที่สุดก็หาคนของบริษัทจีนเซิน เจอที่ห้องสุดท้าย
ในห้องที่มืดสลัวมีโปรแกรมเมอร์นั่งอยู่สองสามคน และมองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
เวินเที๋ยนเที๋ยนกวาดสายตาไปมองบนหน้าจอคอมของพวกเขา เห็นโปรแกรมเลือนราง ทำให้นึกถึงเอกสารที่จงหลีส่งมาเมื่อครั้งก่อน
คล้ายกับว่าบริษัทจีนเซิน เริ่มร่ำรวยขึ้นจากด้านไอที ในยุคที่อินเตอร์เน็ตพัฒนาได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ก็มีแค่โครงการนี้เท่านั้นที่สามารถเติบโตได้เร็วขนาดนี้
เธอกับจงหลีรออยู่ด้านนอกสักครู่ ก็มีคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเวินเที๋ยนเที๋ยนออกมาต้อนรับพวกเขา
“ ผู้จัดการสั่งว่า ถ้าคุณเวินมาแล้ว ให้พาคุณไปที่ห้องทำงานของเขาค่ะ ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนพยักหน้า และเดินตามเธอไป
จงหลีเดินตามอยู่ที่ด้านหลัง แต่เพิ่งก้าวเดินได้สองก้าว กลับถูกหญิงสาวคนนั้นห้ามไว้เสียก่อน
เธอพูดอย่างลำบากใจ: “ ขอโทษค่ะคุณผู้ชาย ผู้จัดการต้องการคุยกับคุณเวินเป็นการส่วนตัวค่ะ ”
เดิมทีจงหลีก็รู้สึกไม่ชอบต่งไห่อยู่แล้ว ในใจยิ่งระมัดระวังมากขึ้นไปอีก พอได้ยินดังนั้น เขาจึงรู้สึกโกรธมากกว่าเดิม
“ จงหลี ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบเรียกเขาไว้ และพูดขึ้น: “ ไม่เป็นไร นายรอฉันอยู่ข้างนอกนี่แหละ เดี๋ยวฉันออกมา ”
จงหลีเม้มริมฝีปาก เงียบไปสักพัก ถึงค่อยพยักหน้า
ท่าทางของหญิงสาวคนนั้นเหมือนกำลังโล่งใจ เธอพาเวินเที๋ยนเที๋ยนเดินไปทางห้องทำงาน
เข้ามาในห้อง ก็เห็นต่งไห่นั่งอยู่ข้างในจริงๆด้วย
เขายังใส่ชุดสูทตัวที่เจอกันเมื่อวาน ดูเหมือนว่าชุดสูทจะใหญ่กว่าตัวนิดหน่อย และควบคู่ไปด้วยสีหน้าที่เกินจินตนาการของเขา
“ คุณเวินมาแล้ว ”
เขาลุกขึ้นยืนอย่างเป็นกันเอง พาเวินเที๋ยนเที๋ยนไปนั่งที่โซฟา ส่วนตัวเองก็เอาหลังพิงผนัง และนั่งลงฝั่งตรงข้ามเวินเที๋ยนเที๋ยน
ตอนที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเพิ่งเข้ามาข้างในก็รู้สึกถึงแปลกๆ
พื้นที่ของห้องทำงานนี้เล็กมาก น้อยคนที่จะเอาโซฟามาวางตรงข้ามกัน ถึงขนาดกั้นทางที่จะเดินเข้ามา
ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ ไม่คิดว่าบนผนังที่ต่งไห่กำลังเอนพิงนั้น จะมีกระจกขนาดใหญ่ตั้งไว้อยู่
เวินเที๋ยนเที๋ยนนั่งลงก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังส่องกระจกอยู่
ทำให้เธอหันไปมองอย่างอดไม่ได้
ต่งไห่หยิบเอกสารบนโต๊ะที่เตรียมไว้แล้วส่งให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน
“ เมื่อวานหลังจากกลับมา ผมก็ได้คิดอย่างละเอียดดูแล้ว ผมคิดว่าที่คุณเวินยังลังเลกับโครงการนี้ คงเป็นเพราะยังไม่รู้จักบริษัทของเรา ดังนั้น ผมถึงได้เชิญคุณมาเยี่ยมชมที่บริษัทของเรายังไงละครับ ”
นี่เป็นเอกสารที่เกี่ยวกับบริษัทของเรากับโครงการนี้ครับ คุณลองอ่านดูก่อน ผมเชื่อว่าคุณจะต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอน ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเก็บสายตากลับมา และเปิดดูเอกสาร
บนเอกสารได้เขียนแผนการวิเคราะห์โครงการนั้นกับข้อมูลของบริษัทอย่างละเอียด ถึงขนาดยังดำเนินการวิเคราะห์ว่าหลังจากที่บริษัทเอ็มไอกรุ้ปร่วมมือกับบริษัทจีนเซิน แล้ว จะนำผลประโยชน์อะไรมาให้บ้าง
แผนการวิเคราะห์ฉบับนี้ทำให้คนตกใจมากจริงๆ
เวินเที๋ยนเที๋ยนพลิกอ่านดูอีกรอบ ความลังเลใจเมื่อครั้งก่อนได้หายไปในพริบตาเดียว
เธอเงยหน้ามองต่งไห่หรือว่าตัวเองจะตัดสินเขาจากภายนอกไปจริงๆล่ะ?
คนตรงหน้าสามารถเขียนโครงการออกมาได้ขนาดนี้ คงจะไม่เหมือนภายนอกที่ดูเรียบง่ายแบบนั้นแน่ๆ
ต่งไห่เห็นท่าทีของเธอเปลี่ยนไป รอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆผ่อนคลายลง เขาขยับตัวเล็กน้อย และไปนั่งเอียงอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามเวินเที๋ยนเที๋ยน
พอเขาขยับ ก็กลายเป็นว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนได้หันหน้าเข้ากับกระจก และยิ่งรู้สึกแปลกขึ้นไปอีก
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเงาในกระจกก็กำลังมองตัวเองหรือเปล่า ทำให้เธอมักจะรู้สึกว่าคล้ายกับมีคนกำลังมองตัวเองอยู่
เวินเที๋ยนเที๋ยนจ้องกระจกอยู่สักครู่ จนกระทั่งต่งไห่เรียกเธอ เธอถึงจะดึงสติกลับมา
“ คุณเวินครับ คุณว่าเป็นยังไงบ้างครับ? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนทำจิตใจให้เป็นปกติ และพูดขึ้นอย่างตั้งใจ: “ ฉันจะคิดทบทวนเรื่องการร่วมมือของเราใหม่อีกครั้ง ถ้าสามารถบรรลุมาตรฐานบนแผนการวิเคราะห์ได้จริงๆ ทางบริษัทเอ็มไอกรุ้ปก็ยินดีที่จะร่วมมือกับพวกคุณค่ะ ”
ต่งไห่พยักหน้าอย่างพอใจ อยู่ๆเขาก็นึกอะไรออก จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปที่โต๊ะทำงาน
“ ผมจำได้ว่าทางนี้ยังมีเอกสารอีกหนึ่งฉบับ คุณรอสักครู่ ผมจะไปหยิบให้คุณ ”
เห็นเขาก้มหน้าหาของในลิ้นชัก เวินเที๋ยนเที๋ยนก็เคลื่อนสายตาไปหยุดที่บนกระจกบานนั้นอย่างอดไม่ได้
เธอขมวดคิ้ว จ้องอยู่สักพัก ลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปใกล้ๆอย่างอดไม่ได้
เธอยืนอยู่หน้ากระจก เวินเที๋ยนเที๋ยนยื่นมือออกไปแนบกับบนกระจกเบาๆ ทำให้นิ้วมือกับเงาในกระจกรวมเข้าด้วยกัน……
บทที่ 371 เมื่อก่อนที่นี่ไม่ได้เป็นแบบนี้
หมินอันเกอชะงักไปเล็กน้อย และไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ ถึงค่อยตอบออกมาอย่างพิจารณา: “ ความสำเร็จขึ้นอยู่ที่ตัวคน ”
จงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ริบบิ้นสีแดงถูกตัดขาด แบบจำลองชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังก็ถูกยกขึ้นมาเหมือนกัน
ตอนนอนอยู่ที่พื้นยังไม่ได้สังเกต ตอนนี้ได้ยกขึ้นมาแล้ว ทุกคนก็ได้เงยหน้าตาม และชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่นั้นราวกับทิ่มแทงขึ้นไปบนท้องฟ้าเลยทีเดียว
ฝั่งตรงข้ามของชิงช้าสวรรค์ เป็นถนนที่ไม่ถือว่าเจริญอะไรมากนัก มีรถเข็นคนพิการคันหนึ่งได้ไถลลงมาจากบนรถ
คนที่นั่งอยู่บนรถเข็นสวมใส่เสื้อกีฬาราคาถูก รูปร่างผอมบาง มีคิ้วดก และดวงตาที่โต
เส้นผมสีดำเข้มตกลงมาปิดหน้าผาก ดวงตาสองข้างลุ่มลึกเหมือนบึงน้ำ
ในตาไม่มีกระแสคลื่นใดๆ
เขาไถลรถเข็นมาถึงบนสะพาน มุมตาเห็นว่ามีอะไรค่อยๆยกขึ้นมา
เขาจึงหันไปมองอย่างเคยตัว ต่อมา ก็เห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ค่อยๆยกขึ้นมา……
“ นี่มัน…… ”
รูม่านตารัดแน่นไปในพริบตา และจ้องไปที่ชิงช้าสวรรค์นั้น สายตาไม่ได้เคลื่อนไปไหนอยู่สักพักใหญ่
ผ่านไปสักพัก ร้านค้าที่อยู่ไม่ไกลก็มีคนเดินออกมา
ผู้หญิงท้องกลม ใส่หมวกปลีกบานทรงต่ำ
เธอเดินตรงมาทางนี้ พอเห็นคนคนนั้นลงมาจากบนรถ ก็เร่งฝีเท้าขึ้น และรีบเดินมาหาทันที
“ นายลงมาได้ยังไง? ฉันบอกนายว่าไม่ให้นายลงรถตามอำเภอใจไม่ใช่หรอ? นายนี่มันจริงๆ…… ”
หญิงสาวพูดตำหนิอย่างโมโห แต่พอเห็นสายตาของฝ่ายตรงข้าม ก็ตกใจจนทำให้น้ำเสียงติดอยู่ในคอหอยไปในชั่วขณะ
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้น สีหน้าซีดเซียว เธอไม่ได้แต่งหน้า จึงทำให้มองเห็นรอยแผลเป็นยาวที่อยู่บนใบหน้าเธอ
ต่อให้รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจำเรื่องที่ตัวเองเคยทำไม่ได้แล้ว แต่เจียงหยู่เทียนก็ยังไม่กล้าสบตาเขาอยู่ดี
“ ซื้อของเสร็จแล้ว เรากลับกันเถอะ ครั้งหน้าก็อย่าโผล่หน้าออกมาตามอำเภอใจอีกละ ”
เธอเดินไปด้วย และพูดเตือนอย่างระวังไปด้วย: “ ฉันเคยบอกนายว่าที่นี่มีศัตรูของนาย ถ้าหากว่านายไม่ระวังและถูกคนพบเข้า ก็แย่เลย ”
ชายหนุ่มฟังคำพูดของเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไร สายตาของเขาหันไปมองที่ชิงช้าสวรรค์นั้นอีกครั้ง พบว่าห่างจากชิงช้าสวรรค์ไม่ไกลออกไปยังมีคนยืนอยู่สองสามคน
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบายตัว แม้แต่หัวก็เริ่มเจ็บขึ้นมาบ้างแล้ว
เจียงหยู่เทียนที่ยืนอยู่ข้างๆได้เดินมาถาม: “ นายเป็นอะไร? ”
ชายหนุ่มนวดหน้าผาก ขมวดคิ้ว และเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครั้ง
ที่ตรงนั้น เหมือนมีอะไรที่ดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้อยู่……
“ ที่นี่ ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนมันไม่ใช่แบบนี้ ” เขาพูดพึมพำเสียงเบา “ ฉันจำได้…… ”
ที่นี่เหมือนจะไม่มีชิงช้าสวรรค์
อีกทั้งก็ไม่ได้เป็นเหมือนตอนนี้ด้วย
……
เจียงหยู่เทียนที่ยืนอยู่ข้างๆได้ยินเสียงของเขาอย่างเลือนราง จึงหันหัวกลับไปมอง
พอเห็นคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ ดวงตาก็เบิกกว้างขึ้นทันที แม้แต่ร่างกายก็แข็งทื่อไปตามๆกัน
เวินเที๋ยนเที๋ยน!
สมควรตาย!
เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เจียงหยู่เทียนรีบเดินขึ้นไปข้างหน้า ยืนบังหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ เธอพยุงรถเข็นของเขา และพาเขาเปลี่ยนทิศทางไปในที่สุด
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ เธอทำอะไรน่ะ! ”
“ เวลาล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว เราควรกลับกันได้แล้ว
พูดจบ เธอก็ผลักรถเข็นและเดินจากไปอย่างไม่หยุดฝีเท้า
ชายหนุ่มยังอยากได้สติมากกว่านี้ สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
เจียงหยู่เทียนพูดเสียงนุ่มนวล: “ หมอบอกฉันว่าตอนนี้อย่าอยู่ข้างนอกนานๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอันตราย พี่จิ่งเชินคงไม่อยากให้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับฉันหรอก ใช่ไหม? ”
จี้จิ่งเชินกัดฟันแน่น สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
เจียงหยู่เทียนเห็นเขาไม่อะไรแล้ว จึงโล่งอกขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ได้หันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามที่ถูกกั้นด้วยแม่น้ำ เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังยืนอยู่กับใครอีกหลายคน
สายตาของเธอมืดมัวลง และกัดฟันแน่น
เกือบลืมไปแล้วว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่จี้จิ่งเชินมอบให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน
ครั้งหน้ามาไม่ได้อีกแล้ว
เธอเก็บสายตาลง และเคลื่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่แผ่นหลังของจี้จิ่งเชิน
ถ้าเขานึกขึ้นได้ ก็แย่สิ
วินาทีที่ประตูรถกำลังปิดลง จี้จิ่งเชินทนไม่ไหว เขาได้หันไปมองที่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำอีกครั้ง
ชิงช้าสวรรค์ที่ลานกว้างได้ถูกยกขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว แต่บริเวณรอบๆกลับรกร้าง และว่างเปล่า
เขาปวดใจ เหมือนมีมือมาบีบไว้แน่น ทำให้เขาหายใจไม่สะดวก
ภาพเหตุการณ์ต่างๆกำลังฉายอยู่ในหัวของเขาอย่างต่อเนื่อง ต่อมาก็ทำให้คนเจ็บปวดจนไม่สามารถมองข้ามไปได้เลย
เขาขมวดคิ้วแน่น สติของเขาถูกฝั่งตรงข้ามแม่น้ำดึงดูดไปอย่างต่อเนื่อง
ที่นั่น……
เหมือนต้องเป็นพิพิธภัณฑ์สิถึงจะถูก
ทุกคนเงยหน้ามองชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่สูงเสียดฟ้านั้นอย่างอดไม่ได้ เวินเที๋ยนเที๋ยนใจเต้นอย่างกะทันหัน และได้เกิดเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยขึ้น……
เหมือนกำลังถูกคนเพ่งมองอยู่
เธอเก็บสายตาลงอย่างสงสัย และหันไปมองรอบๆ
แต่มองแล้วหนึ่งรอบ กลับไม่พบอะไร
จงหลีสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ จึงหันหัวกลับมา
“ คุณเวินครับ? ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนรับรู้ถึงการหายไปของสายตานั้น ถึงได้เก็บสายตากลับมาอย่างไม่เข้าใจ
วินาทีที่เธอกำลังหันกลับมา ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่ถูกยกขึ้นมานั้นได้สั่นไหวเล็กน้อย!
โครงเหล็กขนาดใหญ่หลายตันได้สั่นไหวไปมากลางอากาศ และได้เกิดเป็นเสียงขึ้น ทำให้คนพากันใจเต้น
ต่อมา อยู่ๆโฟมที่เดิมทีติดอยู่ข้างบนก็ได้ตกลงมา!
และตกลงมาใส่เวินเที๋ยนเที๋ยน!
จงหลีที่กำลังเดินมาหาได้เงยหน้าขึ้นไปมอง สีหน้าก็ได้เปลี่ยนไปทันที!
“ คุณเวิน! ระวัง! ”
เขาพุ่งตัวเข้าไปมา
ถึงขนาดที่เวินเที๋ยนเที๋ยนยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย วินาทีต่อมา เธอก็ได้ถูกจงหลีกระแทกจนล้มลงไปอยู่ด้านหลัง
เกิดเป็นเสียงดังขึ้น โฟมขนาดยักษ์ได้ตกลงมาใส่จงหลี
ตัวของเขาสะดุ้งอย่างรุนแรง ถูกจู่โจมใส่จนล้มลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น
ถึงแม้ว่าโฟมจะดูเหมือนเบา แต่ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น แรงจู่โจมที่สะสมมาถึงขั้นสามารถทำให้กระดูกซี่โครงของคนหักได้เลย!
ในฝูงชนมากมายขนาดนี้ ไม่มีใครสังเกตได้ถึงภัยอันตรายนั้นเลยสักนิดเดียว
รอจนสังเกตเห็น จงหลีก็ลงไปนอนอยู่ที่พื้นแล้ว โฟมดีดอยู่ที่พื้นสักพัก และได้กระเด็นไปด้านข้าง
เวินเที๋ยนเที๋ยนรู้สึกงง หลังจากนั้นก็รีบลุกขึ้นจากพื้นทันที
“ จงหลี! ”
เธอรีบพยุงจงหลีขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่กลับเห็นเขาหน้าซีด เธอจึงเม้มริมฝีปากแน่น
“ นายเป็นยังไงบ้าง? ”
จงหลีส่ายหน้า
“ ผมไม่เป็นอะไร…… ”
แต่เพิ่งพูด ก็กระแอมไออย่างรุนแรงเสียแล้ว
หมินอันเกอกับหลวนจื่อก็ได้วิ่งมาเช่นกัน
สถานการณ์เมื่อสักครู่เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนพวกเขาดึงสติกลับมาไม่ได้เลย
“ ไปโรงพยาบาลไหม? ”
จงหลีส่ายหน้า และลุกขึ้น แต่สีหน้ากลับยังไม่ดีขึ้น
“ ผมไม่เป็นอะไรจริงๆ ยังมีงานอื่นที่ต้อง…… ”
“ ไปโรงพยาบาล ” เวินเที๋ยนเที๋ยนพูดขัดจังหวะเขาด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด
จงหลีชะงักไป ถึงค่อยพยักหน้า
เขาก้าวถอยหลังไปอย่างโซเซ ดูเหมือนกำลังจะล้มลง
เวินเที๋ยนเที๋ยนรีบเดินเข้ามาพยุงเขาไว้
“ ฉันพานายไปเอง ”
มือที่พยุงเขาเมื่อสักครู่ การกระทำของจงหลีก็ได้แข็งทื่อขึ้นมาทันที ริมฝีปากเม้มเข้าหากันมากยิ่งขึ้น
เดินไปได้สองเก้า สายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่บนมือของเวินเที๋ยนเที๋ยนที่กำลังพยุงเขาเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว และจ้องมองอยู่อย่างนั้น
