ในวันนั้นช่วงบ่าย เวินเที๋ยนเที๋ยนพาจี้หยู๋ชิงไปล้อมดูยังสถาบันวิจัยนั้นอีกครั้ง
แต่หลายครั้งที่ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ๆ ก็ถูกคนสังเกตเห็นเข้าเสียก่อน จึงต้องถอยออกมา
เวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้หยู๋ชิงรออยู่ข้างนอก แต่กลับไม่เห็นเจ้าหน้าที่วิจัยคนไหนเดินออกมาจากทางด้านในเลย
จากความเข้าใจก่อนหน้านี้ สถาบันแบบนี้มักจะมีเจ้าหน้าที่วิจัยยี่สิบกว่าคน เดิมทีเวินเที๋ยนเที๋ยนวางแผนที่จะเฝ้าอยู่ด้านนอกตลอด อาจจะได้เจอกับทางเจ้าหน้าที่ซักคนสองคนในนั้น หรือบางทีอาจจะได้ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องจากปากของพวกเขาอีกด้วย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารอมาทั้งวันแล้ว กลับไม่มีใครปรากฏตัวออกมาเลย
เป็นไปได้มากว่าเจ้าหน้าที่วิจัยที่อยู่ด้านในนั้นจะถูกคนขององค์กรกักตัวเอาไว้อยู่ด้านใน ไม่สามารถออกมาได้
ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ สถานการณ์ก็จะรุนแรงมากกว่าที่เวินเที๋ยนเที๋ยนคิดเอาไว้มาก พวกเขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะติดต่อกับทางโลกภายนอกได้เลย
ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้หยู๋ชิงหางานเกี่ยวกับสถาบันวิจัยนั้น และรู้มาจากปากคนพื้นที่ว่าในทุกๆช่วงเวลา ที่สถาบันวิจัยจะมีกิจกรรมกับหน่วยงานรัฐในพื้นที่นั้น ดังนั้น พวกเขาจึงคุ้นเคยกับพวกนั้นเป็นอย่างดี
คนที่เอาถ้วยเครื่องเคลือบลายครามนั้นให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน ก็คือจางเชียงหนิง
โดยปกติแล้วจะมีความกระตือรือร้นกับคนในท้องที่และมีความเป็นกันเอง คนจำนวนไม่น้อยล้วนแต่ชอบเขากันทั้งนั้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังเห็นรูปถ่ายร่วมกันที่พวกเขาเอาออกมาให้อีกด้วย ในใจก็ยิ่งมั่นใจ เนื่องจากว่าคนในรูปถ่ายนั้นกับคนที่แห้งเหี่ยวโรยรานั้นมีท่าทางที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก
ตอนนี้จางเชียงหนิงแอบเอาเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวอันนั้นออกมาให้กับเวินเที๋ยนเที๋ยน คนขององค์กรนั้นจะต้องโมโหเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่รู้ว่าจะจัดการกับจางเชียงหนิงอย่างไร
เพื่อความปลอดภัยของเขา จำเป็นที่จะต้องรีบช่วยเขาออกมา
แต่จี้หยู๋ชิงลองหลายครั้งแล้วก็ไม่สามารถเข้าไปในสถาบันนั้นได้เลย
“เราจะต้องเข้าไปดูสถานการณ์ของคนอื่นๆ ถึงจะได้วางแผนกันได้”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้าลง
“คุณแม่ครับ ให้ผมลองอีกครั้งได้ไหมครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า
“ไม่ต้องแล้วลูก ครั้งนี้ให้แม่ไปเองดีกว่า”
จี้หยู๋ชิงได้ยินแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้น : “ไม่ได้ครับ! แบบนี้อันตรายมาก!”
ลักษณะของเวินเที๋ยนเที๋ยนคนขององค์กรนั้นก็รู้กันหมดแล้ว อีกทั้งตอนนี้ทุกคนก็กำลังตามหาตัวเธอ ถ้าหากมีคนเห็นเวินเที๋ยนเที๋ยนปรากฎตัวขึ้น จะต้องกรูกันเข้ามาจับตัวเธอไปอย่างแน่นอน
แต่การตัดสินใจของเวินเที๋ยนเที๋ยนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการวู่วาม ในแววตาของเธอปรากฏความมั่นใจออกมา พลางเอ่ยขึ้นมาด้วยความมุ่งมั่น : “ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด หยู๋ชิง ลูกไปไหนฐานะนักท่องเที่ยว แน่นอนว่าก็เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ลูกยังจำได้ไหมครั้งแรกที่เราไปที่สถานทูตกันน่ะ?”
“คนที่นั่นดูเหมือนว่าจะสามารถเข้าออกสถาบันวิจัยได้ตลอด ถ้าหากแม่แต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของสถานทูต คงจะไม่มีปัญหา อีกอย่างลักษณะของแม่เองก็เหมาะด้วย”
“แต่ว่า…..” จี้หยู๋ชิงยังเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล : “คุณแม่พูดภาษาของประเทศนี้ไม่เป็น จะฟังเข้าใจได้อย่างไรครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางเอ่ย : “เพราะฉะนั้น แม่ก็เลยเตรียมตัวเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วไงครับ”
เธอเอาหูฟังไร้สายยื่นให้กับจี้หยู๋ชิง : “จี้จิ่งเชินเอาให้แม่ไว้ก่อนหน้านี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ใช้มัน ถึงตอนนั้นลูกก็จะได้ยินคำพูดข้างในนั้น ช่วยแม่แปล หลังจากนั้นก็บอกคำตอบกับแม่ แม่ก็จะเลียนแบบแล้วตอบกลับไป”
“แบบนี้ได้หรือครับ?” จี้หยู๋ชิงรู้สึกเป็นกังวลมาก
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ” เวินเที๋ยนเที๋ยนลูบศีรษะเขา พลางเอ่ย : “ไม่นานแม่ก็กลับมาแล้ว ถ้าหากหนึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่มีข่าวคราวอะไร ลูกรีบหนีไปซ่อนตัวก่อนนะครับ”
จี้หยู๋ชิงได้ยินประโยคนี้แล้ว ก็ยิ่งไม่วางใจที่จะปล่อยให้เวินเที๋ยนเที๋ยนไป
แต่สถานการณ์ตอนนี้ตึงเครียดเป็นอย่างมาก เดิมทีเขาอยากจะรอให้จี้จิ่งเชินมาก่อนแล้วปรึกษาแนวทางด้วยกัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ารอมาหนึ่งวันแล้ว จี้จิ่งเชินก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมา
ก่อนหน้านี้กว่าจะหาโทรศัพท์โทรไปไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ติดต่อไปยังคนที่เรือสำราญ แต่ทางฝ่ายนั้นบอกว่าจี้จิ่งเชินออกไปตั้งนานแล้ว
แต่ทำไมจนถึงตอนนี้แล้วก็ยังหาพวกเขาไม่เจออีก?
ข้อสงสัยมากมายทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่สบายใจ
อีกทั้งปัญหาใหญ่ที่สุดในตอนนี้คือ จะต้องดูว่าสถานการณ์คนพวกนั้นที่อยู่ในสถาบันวิจัยนั้นเป็นอย่างไร?
ให้จี้หยู๋ชิงรออยู่ทางด้านนอก แล้วเวินเที๋ยนเที๋ยนก็แอบเข้าไปในสถานทูต
ขโมยเอาชุดเจ้าหน้าที่และบัตรเจ้าหน้าที่มาชุดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยังสถาบันวิจัยทางด้านข้าง
เธอยังแต่งหน้าเป็นพิเศษ ดูให้แตกต่างจากเดิม
คืนนั้น คนขององค์กรมองเห็นเธอในมุมมืด อาจจะเห็นใบหน้าของเธอไม่ได้ชัดเจนนัก และตอนที่ส่งต่อบอกคนอื่นๆอีก ก็อาจจะผิดพลาดไปจากเดิมได้
นี่เป็นสิ่งที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเดิมพันเอาไว้ ประกอบกับเทคนิคการแต่งหน้าด้วยแล้ว คงจะสามารถตบตาผู้คนได้บ้าง
เดินผ่านทางเดินระหว่างสถานทูตกับสถาบันวิจัย เวินเที๋ยนเที๋ยนเห็นคนอยู่สองสามคนที่ยืนอยู่ตรงประตูกำลังเดินไปเดินมา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ก็รีบหันมามอง แววตาแสดงความโหดร้ายออกมา
พอเห็นชุดที่เวินเที๋ยนเที๋ยนสวมใส่อยู่นั้น มั่นใจว่าเธอเป็นคนของสถานทูต จึงวางใจลง
พลางเอ่ยถาม : “เธอมาทำอะไรที่นี่?”
เสียงดังส่งไปยังทางจี้หยู๋ชิง เวินเที๋ยนเที๋ยนเลียนคำตอบตามเสียงของเขา
เนื่องจากว่าที่สถานทูตล้วนแต่เป็นคนต่างชาติ พูดไม่ได้มาตรฐานก็ไม่เป็นปัญหา
“ครอบครัวของศาสตราจารย์จางเชียงหนิงโทรมา”
สองสามคนนั้นไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ แล้วพยักหน้าลง
เวินเที๋ยนเที๋ยนยังคงไม่หยุดเดิน แล้วรีบเดินไปด้านในอย่างรวดเร็ว
มองพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ องค์กรนั้นเก่งมาจริงๆ ตลอดทางที่เธอเดินมานั้น ถูกคนที่เฝ้าอยู่ที่นี่ตรวจสอบสถานะของเวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ยังดีที่ก่อนหน้านี้เธอได้ท่องข้อมูลทั้งหมดของเจ้าที่นี่เอาไว้แล้ว จึงสามารถตอบคำถามออกมาได้
เหมือนกับที่เธอคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ ประกอบกับหลังจากที่เธอแต่งหน้าแล้วนั้น คนส่วนมากก็จำเธอไม่ได้
เวินเที๋ยนเที๋ยนกำลังจะเดินไปด้านใน จากนั้นก็ได้ยินเสียงด่าว่าออกมาเสียงดัง
“จนถึงตอนนี้แล้วก็ยังหาตัวคนไม่เจอรึไง? พวกแกจัดการกันยังไง? เครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาว! สิ่งที่ฉันต้องการก็คือเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวอันนั้น!”
อีกเสียงหนึ่งเอ่ยพูดขึ้น : “ลูกพี่ รูปภาพบนนั้นไม่ใช่ว่าถูกถอดลงมาตั้งแต่แรกแล้วหรือครับ? ต่อให้ไม่มีเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาว ก็คงจะไม่เป็นอะไรมั้งครับ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินคำพูดนี้แล้ว ก็หันไปมองยังทิศทางของเสียงนั้น
คิดไม่ถึงว่าจะเห็นคนที่เธอเคยเจอในขบวนงานรื่นเริงก่อนหน้านี้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นเป็นคนท้องที่วัยห้าสิบกว่าๆ
ใส่เสื้อยืดธรรมดาๆ หัวล้าน ใบหน้ามันเยิ้ม รูปร่างอ้วนเตี้ย ดวงตาฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์ออกมา
คนๆนั้นตบลงบนศีรษะของเขาอย่างแรง
“แกจะไปเข้าใจอะไร? พวกแกได้เครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวนั้นมาเดือนนึงแล้ว ก็ยังไขความลับข้างบนนั้นไม่ได้เลย! ถ้าหากทางฝ่ายนั้นหาเจอก่อนพวกเราจะทำยังไง? ไม่ใช่เพราะพวกแกหรอกรึไง!”
แววตาของเขาดุดัน กวาดตามองไปที่ทุกคน แล้วเอ่ยพูดขึ้นอย่างรุนแรง : “ถ้าไม่ใช่พวกแกที่ปล่อยข่าวแบบนั้นออกไป ฉันก็ไม่ต้องมาเป็นกังวล! แล้วคนที่เอาข้อมูลออกไปตอนแรกนั่นล่ะ? ฉันแทบอยากจะดึงเส้นเอ็น ถลกหนังมันออกมาจริงๆ!”
เจ้าหน้าที่พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง แล้วจู่ๆก็รู้สึกได้ว่าตัวเองพูดมากเกินไปแล้ว จึงรีบหยุดลง
“เรื่องราวพวกนี้มันซับซ้อนเกินไป หนูไม่ต้องรู้หรอก จำไว้เพียงแค่ว่า ต่อไปอยู่ให้ห่างจากพวกเขาก็พอแล้ว”
ถึงแม้จะเป็นเพียงประโยคเดียวที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่จี้หยู๋ชิงได้ยินแล้วดวงตากลับเป็นประกายขึ้นมาทันที
สมบัติล้ำค่า?
ตอนช่วงเวลานี้ เจ้าหน้าที่ที่ไปตรวจสอบสถานการณ์ที่สถาบันวิจัยข้างๆเดินกลับมาแล้ว พลางเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย : “แปลก ข้างๆเรานี่ไม่มีคนขององค์กรนั่นอยู่เลยนี่”
จี้หยู๋ชิงเอ่ยพูดอย่างเขินอาย : “ผมอาจจะมองผิดมั้งครับ แต่ทางฝ่ายนั้นเป็นผู้ชายใส่ชุดสูทจริงๆนะครับ ดูดุมากเลย”
ทั้งสองคนพยักหน้าลง โดยไม่ได้สงสัยเลยแม้แต่นิดเดียว
“ช่างเถอะ ถึงแม้ครั้งนี้จะมองผิด แต่ก็ต้องระวัง จะผ่อนคลายไม่ได้เหมือนกัน”
ในเมื่อเขากลับมาแล้ว จี้หยู๋ชิงก็ไม่สามารถจะได้รับข่าวคราวอะไรจากปากของพวกเขาได้อีกแล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้น : “อา! ผมนึกขึ้นมาได้ คุณแม่บอกว่าให้ผมรออยู่ข้างนอก”
ว่าแล้วก็โบกมือให้กับทั้งสองคนนั้น แล้วหันหลังเดินออกไปทางด้านนอก
กำลังเตรียมจะออกไปนั้น ชายร่างสูงใหญ่ที่สวมใส่ชุดสูทสีดำก็เดินเข้ามาทางด้านหน้า ใบหน้าปูดโปน แววตาดุร้าย
จี้หยู๋ชิงไม่ทันระวัง เกือบจะชนเข้ากับพวกเขาแล้ว
“ทำอะไรน่ะ?”
คนนั้นตำหนิออกมาเสียงดัง
จี้หยู๋ชิงรีบก้าวถอยหลังไป ไม่ได้เอ่ยพูดออกมา
สายตาของฝ่ายนั้นกวาดตามอง แล้วพบว่าเด็กที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นพวกผมดำตาดำ อีกทั้งบนร่างกายของเขายังมีสัญลักษณ์ของเรือสำราญนั่นด้วย จึงมองเขาด้วยความสงสัยขึ้นมาในทันที
“แกเป็นคนที่อยู่บนเรือสำราญ?”
พวกเขาแย่งเอาเครื่องหมายที่ติดอยู่บนตัวของจี้หยู๋ชิงมา
จี้หยู๋ชิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทำความผิดที่ใหญ่หลวงขนาดนี้ ลืมเอาตราเครื่องหมายนั้นออก!
ทางฝ่ายนั้นก้าวเข้ามาใกล้ประชิดตัว
ในใจของจี้หยู๋ชิงรู้สึกลนลาน และไม่นานก็สงบนิ่งลง ใบหน้าที่ไร้เดียงสา มองพวกเขาอย่างงุนงง น้ำเสียงปนความหวาดกลัว
ใช้ภาษาท้องถิ่นเอ่ยพูดอย่างคล่องแคล่ว : “อันนี้หรือครับ? ผมเก็บได้จากข้างนอกเมื่อคืนนี้ครับ”
ผู้ชายสองสามคนนั้นมองดูท่าทางของจี้หยู๋ชิงอย่างละเอียด ถึงแม้ทางฝ่ายนั้นจะเป็นพวกผมดำตาดำ แต่อายุน้อยขนาดนี้สามารถพูดภาษาของประเทศพวกเขาได้อย่างไหลลื่นขนาดนี้ คงจะไม่ใช่คนต่างประเทศเช่นกัน
สถานที่นี้มีคนต่างประเทศพักอาศัยอยู่ไม่น้อยก็จริง ถ้าหากเป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์ที่เก็บได้เมื่อคืน ถ้าอย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเป็นของผู้หญิงคนนั้นที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ทิ้งเอาไว้
พวกเขารีบเอ่ยถามขึ้น : “แกไปเก็บได้มาจากที่ไหน”
แววตาของจี้หยู๋ชิงปรากกฎความหวาดกลัวออกมา พลางเอ่ยพูดอย่างติดอ่าง : “ก็ที่ ที่ท่าเรือครับ…..”
สองสามคนนั้นได้ยินแล้ว ในใจนั้นก็ยิ่งมั่นใจ แล้วเก็บเอาตราสัญลักษณ์อันนั้นเอาไว้
“ไปซะ ไม่ใช่เรื่องของแก”
ใบหน้าของจี้หยู๋ชิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แล้วรีบหนีหายวับไปในทันที
แล้วสองสามคนนั้นถึงได้ละสายตากลับมา
คนหนึ่งเอ่ยขึ้น : “ฉันว่าแกระแวงไปหมดแล้วนะ แค่เด็กคนนึงจะมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไง? ต่อให้เด็กนี้จะฉลาดกว่านี้ ก็เป็นไปไม่ได้หรอกว่าจะสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้อย่างไหลลื่นขนาดนี้ ใจเย็นๆหน่อยสิ”
“เอาเถอะ ฉันคิดมากไปเอง ใครให้พวกเราหากันมาทั้งวันแล้วก็ยังหาตัวผู้หญิงคนนั้นไม่เจอกันล่ะ? เธอไปหลบอยู่ที่ไหนกันแน่นะ? เป็นแบบนี้ต่อไป ถ้าหากเธอเจอเข้าจริงๆ ก็แย่แน่ๆ”
สองสามคนนั้นร้อนใจมาก วันนี้ที่พวกเขามา ก็อยากจะถามคนที่สถานทูต ว่าเห็นเงาผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือเปล่า
หลังจากที่จี้หยู๋ชิงหนีออกมาจากสถานทูตได้แล้ว ก็ไม่ได้ไปหาเวินเที๋ยนเที๋ยนในทันที แต่กลับอ้อมไปอีกรอบหนึ่ง
แน่ใจว่าคนข้างหลังถูกสลัดทิ้งไปแล้วนั้น ถึงได้กลับมายังสถานที่ที่นัดกับเวินเที๋ยนเที๋ยนเอาไว้
เห็นเขากลับมาในที่สุดแล้ว เวินเที๋ยนเที๋ยนจึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปหา
“หยู๋ชิง ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เมื่อครู่นี้เธออยู่สำรวจสถานการณ์ทางด้านนอกสถานทูตอยู่ตลอด ตอนที่เห็นสองสามคนนั้น ก็รีบหาที่หลบทันที
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกเป็นกังวลมากที่จี้หยู๋ชิงยังอยู่ในสถานทูต แต่เพียงแค่ต้องซ่อนตัวเองเอาไว้ ทางฝ่ายนั้นถึงจะได้ไม่สงสัยในตัวจี้หยู๋ชิง
รอด้วยความรู้สึกกลัวมาเป็นชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็เห็นจี้หยู๋ชิงปรากฏตัวขึ้น เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
“เป็นยังไงบ้างครับ? พวกเขาไม่ได้สงสัยลูกใช่ไหม?”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้าลง
“วางใจได้ครับคุณแม่ พวกเขาคิดว่าผมเป็นเพียงแค่เด็กในท้องที่นี่เท่านั้น อีกทั้งนอกจากเรื่องนี้แล้ว ผมยังสืบเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่านี้มาได้ด้วยครับ ถ้วยเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวใบนั้น ดูเหมือนกับจะซ่อนความลับของสมบัติล้ำค่าใต้ทะเลเอาไว้”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้วกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ
“เป็นแบบนี้จริงๆด้วย”
ก่อนหน้านี้เธอก็เดาบางอย่างได้บ้างแล้ว ถ้าหากเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวที่อยู่ในมือของพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติเหล่านั้น ทางฝ่ายนั้นก็คงไม่ต้องมาแย่งกลับไปด้วยความยากลำบากขนาดนี้
ถึงแม้ว่าเครื่องเคลือบลายครามชิ้นนั้นจะล้ำค่า แต่เมื่อเทียบกับสมบัติล้ำค่าทั้งหมดแล้ว เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยมากเท่านั้นเอง
ที่พวกเขาต้องการจริงๆก็คือ เบาะแสที่เกี่ยวข้องกับสมบัติล้ำค่าที่อยู่บนถ้วยเครื่องเคลือบลายครามใบนั้นมากกว่า
ตอนนี้พวกเขายังหาไม่เจอ ดังนั้นถึงได้ให้ความสำคัญมากขนาดนี้
เวินเที๋ยนเที๋ยนนึกถึงลวดลายที่ซับซ้อนบนถ้วยเครื่องเคลือบลายครามใบนั้นแล้ว ในใจก็ยิ่งรู้สึกสงสัย
ไม่คิดเลยว่าด้านบนนั้นจะซ่อนความลับของสมบัติล้ำค่าเอาไว้?
เธอเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ : “เรากลับกันก่อนดีกว่า ไปดูว่าด้านบนนั้นซ่อนความลับอะไรไว้กันแน่?”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้าลง แล้วกลับมาที่บ้านพร้อมกันกับเธอ แล้วเอาเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวนั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง
ลวดลายบนเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวแปลกอยู่บ้างจริงๆ สำหรับถ้วยใบนึงแล้ว ไม่จำเป็นต้องวาดลวดลายมากขนาดนี้ เกือบจะเต็มถ้วยทั้งใบอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เธอยังคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ของถ้วยใบนี้เสียอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะซ่อนความลับเอาไว้มากมายขนาดนี้
จี้หยู๋ชิงเบิกตาขึ้น มองพิจารณาอย่างละเอียด
“คุณแม่ครับ ในถ้วยเครื่องเคลือบลายครามใบนี้ซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้จริงหรือครับ?”
เวินเที๋ยนเที๋ยนเองก็มองไม่ออกเช่นกัน
“ไม่ว่าจะจริงหรือเปล่า ในเมื่อคุณคนนั้นเสี่ยงตายเอาออกมาแล้ว เราก็จะต้องดูแลเอาไว้ให้เป็นอย่างดี”
แล้วเธอก็ซ่อนเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวใบนั้นเอาไว้อีกครั้ง แล้วหันออกไปมองยังนอกหน้าต่าง
ตอนนี้เธอแยกกับจี้จิ่งเชินผ่านไปเป็นเวลาหนึ่งคืนแล้ว และบวกกับช่วงเวลาในช่วงเช้าอีก ความสามารถอย่างจี้จิ่งเชิน ควรจะเริ่มออกตามหาพวกเธอตั้งแต่แรกแล้วสิ แต่ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่ปรากฏตัวออกมาอีกกัน?
ในขณะเดียวกัน อีกทางด้านหนึ่งบนเกาะ
บอร์ดี้การ์ดที่ส่งไปสืบข่าวคราวก็ได้ข่าวเกี่ยวกับทั้งเกาะนี้อย่างละเอียดกลับมาแล้ว แน่นอนว่าเรื่องราวเกี่ยวกับองค์กรนั้นก็ไม่ตกหล่นเลยด้วยเช่นกัน บันทึกเอาไว้อย่างละเอียด
จี้จิ่งเชินอ่านข้อมูลในมือ
“ยังไงนะ พวกเขาแย่งชิงถ้วยเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวใบนั้นเกี่ยวข้องกับสมบัติที่อยู่ในทะเลหลวงอย่างนั้นหรือ?”
บอร์ดี้การ์ดทั้งสองคนพยักหน้าลง
“คุณนายเองก็ดูเหมือนกับถูกดึงเข้าไปในเรื่องนี้ด้วยครับ ได้ยินมาว่าตอนนี้คนขององค์กรนั้นกำลังตามหาเครื่องเคลือบลายครามที่หายไปอยู่ เป็นไปได้มากว่าจะอยู่ในมือของคุณนาย”
“หาที่อยู่ของเธอเจอแล้วหรือยัง?”
สองสามคนนั้นพยักหน้าลง “เหมือนกับที่คุณผู้ชายพูดไว้เลยครับ ว่าคุณนายไม่ได้พักอยู่ในโรงแรม”
เมื่อวานตอนที่พวกเขาเตรียมจะไปตามหาเวินเที๋ยนเที๋ยนนั้น จี้จิ่งเชินทิ้งเอาไว้ประโยคหนึ่ง ให้พวกเขาไม่ต้องไปหาตามโรงแรม ให้ไปหาตามหอพักในท้องที่นั้นๆแทน
และเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ วันนี้ช่วงเช้าพวกเขาก็พบว่า เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้ไปที่โรงแรมจริงๆ แต่กลับเลือกที่จะพักอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง
ได้ยินแล้ว จี้จิ่งเชินจึงยกมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย
เหมือนกับที่เขาคาดเดาเอาไว้ ถึงแม้จี้หยู๋ชิงกับเวินเที๋ยนเที๋ยนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่ก็ยังไม่ได้ขาดสติ กลับวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้อย่างชำนาญ
เวินเที๋ยนเที๋ยนพาจี้หยู๋ชิงพักอยู่บ้านของคนในท้องที่นั้นหนึ่งวัน และเป็นอย่างที่เธอคาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ คือทางฝ่ายนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเธอจะมาพักอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงนับว่ายังมีความปลอดภัยอยู่เป็นการชั่วคราว
เดิมทีเวินเที๋ยนเที่ยนยังกังวลอยู่เรื่องการสื่อสารทางด้านภาษา อาจจะทำให้ลำบากอยู่บ้าง แต่มีล่ามอย่างจี้หยู่ชิงคนนี้แล้ว ไม่นานพวกเขาก็ได้สอบถามข่าวคราวเกี่ยวกับในพื้นที่นั้นไปได้ไม่น้อยจากเจ้าของบ้าน
ที่สำคัญที่สุดในนั้นก็คือ องค์กรหนึ่งของท้องถิ่นนี้
จากการบรรยายของทางฝ่ายนั้น เบื้องต้นเวินเที๋ยนเที๋ยนสามารถมั่นใจได้ ว่าองค์กรที่พวกเขาพูดถึงนั้นก็คือสองสามคนที่เจอกันที่งานรื่นเริงเมื่อวานนี้
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ฉันก็นึกเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นอีกเรื่องนึงขึ้นมาได้” ดวงตาเจ้าของบ้านเป็นประกาย จู่ๆก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยพูดขึ้นอย่างดีใจ : “ช่วงก่อนหน้านี้ มีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บริเวณใกล้ๆนี้ ดูเหมือนกว่าจะหาสมบัติล้ำค่าเจอแล้ว!”
เวินเที๋ยนเที๋ยนได้ยินแล้ว จึงมองด้วยความสงสัย แล้วรีบให้จี้หยู๋ชิงเอ่ยถามสถานการณ์ที่ชัดเจน
คนๆนั้นเอ่ยขึ้น : “เป็นนักสำรวจต่างประเทศใกล้ๆนี้ที่เป็นคนค้นพบ ดูเหมือนจะมาจากประเทศเดียวกันกับคุณนะ”
“เรื่องสำคัญขนาดนี้ พวกคุณรู้ได้อย่างไรกัน?”
“ได้ยินมาว่าข่าวมาจากคนในองค์กรนั้น พวกเขาเองก็อยากจะได้สมบัติล้ำค่านั้นเหมือนกัน กำลังจะแย่งชิงมาอยู่ โดยเฉพาะทีมสำรวจนั่นก็ตกอยู่ในอันตรายเพราะเรื่องนี้”
ได้ยินคำพูดนี้แล้ว คิ้วของเวินเที๋ยนเที๋ยนก็ขมวดเข้าหากันแน่น
นึกถึงชายวัยกลางคนๆนั้นที่เจอบนถนนเมื่อวานนี้ และยังมีเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวที่ยังหลงเหลืออยู่ของราชวงศ์หมิงนั่นอีก หรือว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างที่เจ้าของบ้านบอก?
เธอจำได้ว่า เมื่อก่อนในประเทศคงจะไม่มีเรือมาถึงที่นี่สิถึงจะถูก แต่เครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวนั้นเห็นได้ชัดว่ามากจากประเทศจีน ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ เรื่องราวก็คงจะไม่ง่ายเสียแล้ว
เป็นไปได้มาก ว่าข่าวที่นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์สำรวจพบสมบัติล้ำค่าทางนี้ หากตามหลักการแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนี้ควรจะแจ้งไปยังประเทศจีนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้รับข้อมูลใดๆเลย
คิดแล้วคงจะเป็นเพราะถูกคนในท้องที่นี้ปิดข่าวเอาไว้ ต้องการยึดครองสมบัติล้ำค่าชุดนั้นไว้เป็นของตัวเอง
คนที่เวินเที๋ยนเที๋ยนเจอเมื่อคืนนี้ คงจะเป็นหนึ่งในทีมนักวิจัยนั่นเอง
คงไม่มีวิธีอื่นแล้ว จึงทำได้เพียงเอาของในมือนั้นมอบไว้ให้กับเธอ
ตอนนี้วิธีที่ดีที่สุดก็คือรีบแจ้งไปกลับไปยังภายในประเทศ แต่สิ่งเหล่านี้เวินเที๋ยนเที๋ยนเพียงแค่คาดเดาเอาเองเท่านั้น ไม่ได้มีหลักฐานที่แน่ชัด
ถ้าหากกระทำการอย่างผลีผลาม อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิด แล้วส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีความรอบคอบระมัดระวังเป็นอย่างมาก
เวินเที๋ยนเที๋ยนและจี้หยู๋ชิงปรึกษากันอยู่พักหนึ่ง แล้วตัดสินใจที่จะไปตรวจสอบสถานการณ์ข้างนอกก่อน
ตอนนี้ผ่านไปคืนนึงแล้ว กำลังในการตามหาของคนทางฝ่ายนั้นก็คงจะลดลงแล้วเช่นกัน
เธอซ่อนถ้วยเครื่องเคลือบลายครามสีฟ้าขาวอันนั้นเอาไว้ แล้วออกไปข้างนอก มายังสถานที่ที่เธอเจอกับชายวัยกลางคนเมื่อวานนี้
“ที่นี่แหล่ะ เมื่อวานเหมือนกับว่าเขาจะวิ่งมาจากทางนั้น”
เวินเที๋ยนเที๋ยนชี้ไปอีกทางหนึ่ง
เวลานี้เป็นช่วงเช้ามืด บนถนนไม่ได้มีผู้คนมากมายนัก เทียบกับเสียงดังเอะอะเมื่อคืนนี้แล้ว เงียบสงัดลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“เราไปดูกันหน่อยดีกว่า บางทีอาจจะหาเบาะแสอะไรได้บ้าง”
ทั้งสองคนไปหาตามทางที่คนๆนั้นวิ่งมา ถึงแม้ว่าจะหาเบาะแสอะไรไม่เจอ แต่ไม่นานนักก็เห็นสถานทูตและสถาบันวิจัย
คนขององค์กรนี้ล้วนแต่รู้จักลักษณะของเวินเที๋ยนเที๋ยนกันหมด เธอจึงทำได้เพียงต้องรออยู่ทางด้านนอก ให้จี้หยู๋ชิงเข้าไปด้านในคนเดียว
“ระวังตัวนะลูก รู้ไหม?”
“วางใจเถอะครับ คุณแม่”
จี้หยู๋ชิงพยักหน้า แล้วเดินไปทางสถานทูต
อาการที่ปรากฏบนใบหน้าของเขาดูจริงจัง มองไปยังบริเวณรอบๆ มั่นใจว่าไม่มีคนที่น่าสงสัยเหล่านั้นแล้วถึงได้เดินเข้าไป
เมื่อก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่ อาการที่แสดงออกมาก็เปลี่ยนเป็นลักษณะของเด็กๆทันที แววตาไร้เดียงสา
คนในสถานทูตนี้ล้วนแต่เป็นประชาชนในประเทศ เมื่อเห็นจี้หยู๋ชิงที่เป็นเด็กปรากฏตัวอยู่เพียงลำพังนั้น ก็มองมาทางเขาด้วยความสงสัย
“เด็กน้อย ทำไมมีแค่หนูเพียงคนเดียว พ่อแม่ของหนูล่ะ?”
จี้หยู๋ชิงแสดงท่าทางไร้เดียงสาใสซื่อบริสุทธิ์ออกมา
“คุณแม่บอกว่า ให้ผมมารอที่นี่ครับ ที่ที่มีคุณลุงคุณป้าทำงานวิจัยกันเยอะๆ”
สองสามคนที่อยู่ตรงเคาน์เตอร์มองหน้ากัน พลางเอ่ย : “ที่หนูพูดถึงคงจะเป็นสถาบันวิจัยข้างๆหรือเปล่า?”
จี้หยู๋ชิงเอียงศีรษะ
“เหมือนว่าจะเป็นที่นั่นนะครับ” ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาออกมา พลางเอ่ย : “ผมสามารถเข้าไปดูได้ไหมครับ?”
เจ้าหน้าที่สองสามคนนั้นมองหน้ากันอย่างลังเล
ไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีแล้วสถาบันวิจัยข้างๆนั้นเป็นสถานที่ที่เป็นความลับเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของสถาบัน จะต้องได้รับการอนุญาตก่อนถึงจะสามารถเข้าไปได้
จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้เด็กคนนี้ที่อยู่ตรงหน้าเข้าไปได้?
และยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากที่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นแล้ว พวกเขายอมที่จะไม่ให้ฝ่ายนั้นเข้าไป
คนพวกนั้นโหดร้าย และก้าวร้าวมาก บีบให้นักวิจัยจำนวนไม่น้อยให้ไม่มีทางไป ถ้าหากเด็กคนนี้เข้าไป จะไม่เป็นการเอาเนื้อไปเข้าปากหมาป่าหรอกหรือ?
เจ้าหน้าที่ก้มตัวลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นกับจี้หยู๋ชิงที่อยู่ตรงหน้า : “ขอโทษนะ เด็กน้อย เราเปลี่ยนสถานที่รอกันดีไหม?”
“ทำไมหรือครับ?”
จี้หยู๋ชิงมองเขาด้วยใบหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ “เมื่อครู่นี้ผมเห็นคนเข้าไปเยอะมากเลยนะครับ คุณลุงที่ใส่ชุดสูทพวกนั้น สูงมากเลย ดูแล้วดุจังเลยครับ”
สองสามคนนั้นได้ยินแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที แล้วเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน : “พวกเขามาอีกแล้วหรือ? ทำไมฉันไม่ได้รับข่าวเลย?”
“ไม่ได้ รีบไปแจ้งพวกเขาเร็ว!”
ว่าแล้ว อีกคนหนึ่งก็หันหลังกลับออกไป ด้วยอาการที่ตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
เห็นฉากนี้แล้ว ในใจของจี้หยู๋ชิงรู้สึกหนาวสั่น คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์จะรุนแรงขนาดนี้ แม้แต่เจ้าหน้าที่ของสถานทูตจะทำอะไรก็ต้องดูสีหน้าของคนในองค์กรนั้นด้วยเช่นกัน หรือว่าที่นี่จะอยู่ห่างไกลจากในประเทศ คำสั่งของรัฐบาลครอบคลุมไม่ทั่วถึง เกินอำนาจไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
เพียงแต่เรื่องราวครั้งนี้ เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากไม่สามารถละเลยไปได้
ตามข้อตกลงระหว่างประเทศแล้ว สิ่งของที่กู้งมได้ในทะเลหลวงเอามาเป็นของตัวเอง ดังนั้นเมื่อคนพวกนั้นพบข่าวคราวเรื่องสมบัติล้ำค่านี้แล้ว ถึงได้ต้องการจะแย่งชิงมาอย่างไม่เกรงกลัว
เพียงแต่ถ้าหากฝ่ายที่ไปกู้งมมาได้นั้นเป็นสถาบันวิจัย ตามหลักการแล้วควรจะเป็นในประเทศถึงจะถูก
ถึงแม้ว่าใบหน้าของจี้หยู๋ชิงนั้นดูแล้วไม่เป็นอันตราย แต่ในใจของเขานั้นได้วิเคราะห์กับสถานการณ์ในตอนนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้น แววตามีรอยยิ้ม มองคนตรงหน้าด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา พลางเอ่ยถาม : “พี่สาวครับ คนที่สวมชุดสูทสีดำเหล่านั้นเป็นใครหรือครับ? ดูดุจัง เมื่อกี้นี้ผมจะถามพวกเขาด้วยว่าไปยังไง แต่กลับต้องตกใจเสียก่อน”
เจ้าหน้าที่คนนั้นได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว จึงรีบเอ่ยขึ้น : “เจ้าหนู อย่าไปพูดกับคนพวกนั้นเด็ดขาดเลยนะ ต่อไปถ้าหากเห็นพวกเขา จำไว้ว่าให้อยู่ห่างๆเลย”
“ทำไมหรือครับ?”
คนๆนั้นเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง จึงไม่ได้ระวัง พลางเอ่ยขึ้น : “พวกเขาเป็นองค์กรที่เลวร้ายที่สุดในท้องถิ่นนี้เลยล่ะ สถาบันวิจัยข้างๆ คุณลุงคุณป้าจำนวนไม่น้อยเลยที่ถูกพวกเขากักขังตัวเอาไว้ แม้แต่พวกเราเองก็ถูกพวกเขาเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพียงแค่รอให้พวกเขาตามหาถ้วยใบนั้นเจอ ถอดรหัสเบาะแสได้ หลังจากที่หาสมบัติล้ำค่าเจอแล้ว……”
