เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 431 พิธีสวนสนาม

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 431 พิธีสวนสนาม

บทที่ 431 พิธีสวนสนาม

ข้าวและข้าวสาลีที่ปลูกในฤดูร้อนปีนี้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ุชั้นดี เมื่อใส่ปุ๋ยเข้าไปแล้ว ผลผลิตในปีนี้จะต้องเก็บเกี่ยวได้มากมายอย่างแน่นอน และเหล่าทหารที่ชายแดนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเสบียงอาหารและค่าแรงอีกต่อไป

นอกจากนี้เขายังเขียนจดหมายถึงแม่ทัพเซี่ยและน้องสี่เมื่อปีที่แล้ว ให้มุ่งเน้นการฝึกทหารชั้นยอดให้มากขึ้น และใช้แนวทางใหม่ทั้งหมดในการฝึกฝน

แน่นอนว่าเขาได้ความคิดนี้มาจากห้องสมุดของเสี่ยวเป่า

เขาค้นพบวิธีฝึกทหารที่ล้ำสมัยมากมายในหนังสือเกี่ยวกับกิจการทางการทหารราวกับพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่า เขามิเพียงเขียนจดหมายถึงกองกำลังในแถบชายแดนให้ฝึกทหารตามที่เขียนอยู่ในหนังสือ แม้แต่ทหารรักษาพระองค์ องครักษ์จินอู่ รวมถึงทหารทุกนายก็ต้องฝึกฝนตามวิธีการเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าเขามิได้ทำตามหนังสือไปเสียทั้งหมด หนานกงสือเยวียนก็มีวิธีฝึกทหารในแบบของตัวเอง เพื่อที่เขาจะได้ยืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ว่าวิธีฝึกทหารของตนมิได้แย่ไปกว่าคนรุ่นหลังพวกนั้น

เพียงแต่มีหลายสิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึง และค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์หากผสมผสานเข้ากับวิธีการของตน

ตอนนี้ถึงเวลาที่จะทดสอบผลลัพธ์แล้ว

ขณะที่หนานกงสือเยวียนกำลังคิดว่าจะไปชมกองทัพสวนสนามเมื่อไรดีนั้น ลูกสาวของเขาก็เข้ามาพอดี

วิ่งเข้ามาท่าทางมีความสุขทีเดียว

“ท่านพ่อ~”

“ดูสิว่าเสี่ยวเป่ามีอะไรเปลี่ยนไป”

เสี่ยวเป่าตั้งใจเดินวนไปรอบ ๆ ตัวเขา เผยยิ้มเป็นประกายขณะมองหน้าเขาอย่างคาดหวัง

หนานกงสือเยวียนมองไปรอบ ๆ จากนั้นก็เงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมองที่หัวของนาง “วันนี้ตัวต่อบนหัวดูใหญ่เป็นพิเศษนะ”

เสี่ยวเป่า “…”

พูดอะไรของท่านพ่อเนี่ย!

นางเบะปากพลางทำหน้าไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านดูไม่ออกหรือ เสี่ยวเป่าสูงขึ้น!”

หนานกงสือเยวียนชะงักไปครู่หนึ่ง จริงด้วย เมื่อครั้งมาที่นี่เป็นครั้งแรก เสี่ยวเป่าของเขาตัวผอมแห้งทั้งยังดูขาดสารอาหาร

เด็กสาวอายุห้าขวบตัวสูงขึ้นมากทีเดียว

เมื่อเห็นสีหน้าบูดบึ้งของเสี่ยวเป่าก็อดหัวเราะไม่ได้พลางลูบเส้นผมนุ่มของนาง “สูงขึ้นจริง ๆ แต่เจ้าอยู่ใต้จมูกของข้า ข้าจะไม่ทันสังเกตก็ปกติมิใช่หรือ”

ก็จริงแฮะ

เสี่ยวเป่ารีบขึ้นไปนอนบนตักของเขาอย่างมีความสุข

“เสี่ยวเป่าไม่ตำหนิท่านพ่อหรอก แต่วันนี้เสี่ยวเป่าขอถังหูลู่เพิ่มสองไม้!”

หนานกงสือเยวียนหรี่ตามอง “ทำไม เจ้าไม่ต้องการฟันแล้วหรือ”

เสี่ยวเป่าไม่สนใจ “ฟันของเสี่ยวเป่าแข็งแรงขนาดนี้จะปวดฟันได้อย่างไร ก็แค่ถังหูลู่อีกสองไม้เอง!”

ของหวานอย่างถังหูลู่จิ๊บจ๊อยแค่นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลยสักนิด!

ในที่สุดด้วยลูกไม้ออดอ้อนนานาชนิด เสี่ยวเป่าก็ได้กินถังหูลู่สองไม้อย่างเปิดเผยต่อหน้าท่านพ่อ

เหตุใดถึงบอกว่าอย่างเปิดเผยน่ะหรือ เหตุผลก็เพราะถูกบิดาผู้ให้กำเนิดจำกัดของหวาน เจ้าตัวน้อยจึงได้เพียงแอบกินของว่างเงียบ ๆ ทุกครั้งไป

และในขณะที่เสี่ยวเป่ากำลังกินถังหูลู่อยู่นั้น หนานกงสือเยวียนก็กำหนดวันไปเยี่ยมชมการสวนสนามของทหารได้ในที่สุด

สิบวันต่อมา

เมื่อวันนั้นมาถึง เขามิเพียงนำขุนนางคนสนิทไปเท่านั้น แต่ยังพาบรรดาลูกชายกับลูกสาวไปด้วย

บรรดาลูก ๆ ของหนานกงหลีเองก็ไปด้วยเช่นกัน

พิธีสวนสนามของกองทัพ แน่นอนว่าฝูงชนต้องได้ประจักษ์ผลการฝึกฝนด้วยวิธีของเขา

วันนี้อาทิตย์ดวงใหญ่ มีถังน้ำและร่มขนาดใหญ่อยู่บนแท่นยกสูง

ฮ่องเต้ประทับบนแท่น โดยมีรัชทายาทและองค์หญิงน้อยเพียงผู้เดียวนั่งเคียงข้าง

เหล่าพลทหารอยู่ในท่าเตรียมพร้อมในสนามฝึกเบื้องล่าง

แม้ในสภาพอากาศเช่นนี้ แผ่นหลังของพวกเขาก็ยังเหยียดตรง

แต่ละกองพันยืนเรียงแถวตรงอย่างเป็นระเบียบ เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ

เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด หนานกงสือเยวียนจึงอนุญาตให้พวกเขามิต้องสวมชุดเกราะที่ทั้งอบอ้าวและหนักอึ้ง

แต่เครื่องแบบล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน

กองพันเดินผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างพร้อมเพรียงภายใต้คำสั่งของหัวหน้ากอง เห็นได้ชัดว่ามีทหารมากมายแต่เสียงฝีเท้าที่ได้ยินกลับส่งออกมาเป็นเสียงเดียว เสียงย่ำเท้าดังตึงราวกับฟ้าร้อง แค่กองพันเดียวก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างมหาศาล

ก่อนหน้านี้บรรดาเด็กหนุ่มที่ติดตามมาด้วยพร่ำบ่นว่าอากาศร้อน ทว่าตอนนี้ไม่แม้แต่ที่จะปริปากบ่นพร้อมกับจับจ้องไปที่ด้านหน้าดวงตาเป็นประกาย

แม้แต่คนที่เกียจคร้านก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้

หลังจากทหารราบก็ตามด้วยกองทหารม้าเดินแถว เป็นระเบียบ ราวกับเป็นเสียงเพรียกจากพระเจ้าให้เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ

หนานกงสือเยวียนรู้สึกพอใจกับกองทหารที่พร้อมเพรียงเช่นนี้ เมื่อครั้งที่เขาเคยนำทัพออกศึกก็ชอบย้ำคิดย้ำทำอยู่บ่อย ๆ อันที่จริงระยะห่างระหว่างกองพันก่อนหน้านี้ใกล้เคียงรูปแบบการฝึกทหารของคนรุ่นหลัง

เพียงแต่มิได้สมบูรณ์แบบถึงเพียงนั้น

บัดนี้เมื่อมันสมบูรณ์แบบ เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากเดียว

บรรดาขุนนางที่อยู่ด้านหลัง แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นก็ยังรู้สึกได้ถึงเลือดลมที่สูบฉีดอยู่ภายในอย่างไม่มีสาเหตุ

ดวงตาขององค์ชายห้า หนานกงฉีหลิงพลันเปล่งประกายอย่างมิอาจละสายตาไปได้

“ยอดเยี่ยม!”

เมื่อเห็นทหารม้าถือดาบใหญ่ก้าวออกมาในตอนท้าย ก็ปรบมือพร้อมกับตะโกนว่ายอดเยี่ยมอย่างอดไม่ได้

หนานกงสือเยวียนยกมุมปาก พลางลูบศีรษะน้อย ๆ ของบุตรสาวที่นั่งอยู่เคียงข้าง

ใบหน้าของเสี่ยวเป่าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะถูกจ้องมอง “???”

รู้สึกราวกับตัวเองเป็นสุนัขแสนรู้ที่ถูกเจ้านายลูบหัวโดยไม่คาดคิด

เป็นท่านพ่อเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร

หลังจากพิธีสวนสนามเสร็จสิ้น ตามมาด้วยการแข่งวิ่งข้ามสิ่งกีดขวางและการสู้แบบตัวต่อตัว

เมื่อได้เห็นสิ่งกีดขวางรูปแบบต่าง ๆ หนานกงฉีหลิงก็พับแขนเสื้อขึ้นพร้อมจะเข้าไปทดสอบด้วยตัวเอง อย่างอดใจไม่ไหว

เขามิรู้ด้วยซ้ำว่าการฝึกรูปแบบใหม่นี้มีขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เสด็จพ่อนี่เลอะเลือนจริง หากท่านบอกให้เร็วกว่านี้ ข้าคงมาฝึกที่นี่เสียตั้งนานแล้ว!

จากนั้นหนานกงสือเยวียนก็ให้โอกาสเขาได้ไปสัมผัสกับมัน

หนานกงฉีอิงก็กระตือรือร้นที่จะลองเช่นกัน ในที่สุดทั้งสองและทหารอีกหลายคนก็เข้าไปท้าพิสูจน์อุปสรรคเหล่านั้นด้วยกัน

การแข่งขันประเภทนี้มักจะเรียกความกดดันและความตื่นเต้นจากทุกคนเสมอ ผู้ชมส่งเสียงตะโกนให้กำลังใจจากด้านหลัง

เดิมทีพวกเขาล้วนสงวนท่าที ทว่าที่แห่งนี้มีคนที่ไม่ควบคุมตนเองเป็นอย่างยิ่ง

ตัวอย่างเช่น นักเรียนเสี่ยวเป่าผู้ไม่เคยเกรงกลัวท่านพ่อของตน

“พี่สี่สู้ ๆ พี่ห้าสู้ ๆ สู้ ๆ ๆ พวกท่านเก่งที่สุด!”

เหลือก็แต่ถือพู่เชียร์กีฬาแล้วก็กระโดดโลดเต้นอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น

ทว่าเสียงเล็ก ๆ แสนสดใสได้เปิดประตูสู่โลกใหม่ให้กับทุกคน จากนั้น…

ทุกคนต่างก็ตะโกนเสียงดังต่อหน้าหนานกงสือเยวียนโดยไร้ซึ่งการสำรวม

องค์ชายสี่และองค์ชายห้าผู้ไม่เคยฝึกฝนกับสิ่งกีดขวางพวกนี้มาก่อนจึงแพ้ไปในรอบแรก

ทว่าพวกเขาดูสบายใจทีเดียว ไร้ซึ่งความเดือดดาลเพราะความพ่ายแพ้ ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากพร้อมกับตะโกน “ขออีกครั้ง!”

ถึงแม้จะยังแพ้เหมือนเดิมในรอบที่สอง แต่เวลาที่พวกเขาใช้ในการแข่งขันก็น้อยลงไปมาก

หนานกงฉีหลิงเหนื่อยล้าไปบ้าง ทว่าแววตากลับยิ่งทอประกาย

เมื่อมาถึงรอบที่สาม หนานกงฉีหลิงที่เริ่มคุ้นเคยกับอุปกรณ์พวกนี้ก็สามารถเอาชนะทหารไปได้หลายคน

หนากงฉีอิงใช้เวลาช้ากว่าเล็กน้อย

การแข่งขันข้ามสิ่งกีดขวางทั้งสามรอบทำให้ร่างกายเหนื่อยล้าทีเดียว หนานกงฉีหลิงที่อยากจะทดสอบอีกครั้งก็ถูกหนานกงสือเยวียนห้ามเอาไว้

“หากว่าอยากฝึกครั้งหน้าค่อยมาใหม่”

แม้ว่าอารมณ์ฮึกเหิมของหนานกงฉีหลิงจะยังค้างคา แต่ก็มิได้คัดค้านบิดาของตนแต่อย่างใด

พวกเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการสู้ตัวต่อตัว จากนั้นหร่วนหลิงอัน ชายหนุ่มผู้ดื้อรั้นก็ก้าวออกมาท้าประลองอีกครั้ง

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว! หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้ เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน! เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท