แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了] – ตอนที่ 171 คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหน?

ตอนที่ 171 คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหน?

ตอนที่ 171 คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหน?

ฟางจั๋วหรานยังต้องไปทำงานในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกลับไปพักผ่อน

เขาเดินออกมาจากร้านเปาห่าวซือเสี่ยวชือเตี้ยนอย่างไม่เต็มใจ

แต่เมื่อเขาเดินออกไปแค่เพียงหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น หลี่หมิงเฉิงกลับตรงเข้ามาขวางทางเขาไว้

แม้ว่าเขาจะเป็นแค่เด็กหนุ่มบ้านนอก ถึงอย่างนั้นก็ยังหน้าตาดีอยู่บ้าง คิ้วหนา ตาโต รูปร่างสง่าผ่าเผย

ชายหนุ่มรีบโพล่งถามฟางจั๋วหราน “คุณชอบม่ายจื่อเพราะอะไร?”

เพราะฟางจั๋วหรานมีรูปร่างสูงโปร่ง เวลาเขาพูดคุยกับคนอื่นจึงดูเหมือนวางตัวหยิ่งผยอง สายตามองต่ำด้วยความเย็นชา “ผมจะชอบหล่อนเพราะอะไร นั่นเป็นเหตุผลส่วนตัวของผม คงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คนอื่นฟัง”

หลี่หมิงเฉิงไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับจากเขา ยังคงถามต่อไป “คุณจะชอบหล่อนได้นานแค่ไหนเชียว?”

ฟางจั๋วหรานถามกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าผมบอกว่าสามชาติสามภพ ไปจนถึงชั่วนิรันดร์ คุณจะเชื่อไหมล่ะ?”

สายตาของหลี่หมิงเฉิงเริ่มฉายแววพ่ายแพ้ “ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าจะชอบหล่อนไปตลอด ถ้าอย่างนั้นก็อย่าได้ข้องเกี่ยวกับหล่อนเลย คุณเป็นลูกผู้ดีมีฐานะร่ำรวย ตราบใดที่คุณเบื่อ จะหาคนใหม่ก็ยังได้ แต่หล่อนทำอย่างนั้นไม่ได้แน่”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานยิ่งเย็นชาลงกว่าเดิม “ผมเข้าใจนะว่าคุณเป็นห่วงเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก แต่คุณไม่ควรเอาทัศนคติแบบนั้นมาตัดสินผม ผมอายุมากกว่าคุณหลายปี คุณควรให้เกียรติผมมากกว่านี้ อีกอย่าง ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องระหว่างผมกับม่ายจื่อ คุณเป็นแค่คนนอก ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องส่วนตัวระหว่างเราสองคน”

หลี่หมิงเฉิงยังคงพูดต่อไป “ผมจะเคารพและให้เกียรติคุณก็ต่อเมื่อคุณรักและให้เกียรติม่ายจื่อ ตราบใดที่คุณทำให้หล่อนเสียใจแม้แต่นิดเดียว ผมนี่แหละจะเอาเลือดหัวคุณออกซะ!”

สิ้นสุดการคุกคาม เขาก็ยอมเดินจากไป แต่ความเจ็บปวดในหัวใจกลับทำให้เขาแทบสำลักราวกับจมคลื่นทะเลตาย

เขามาที่เจียงเฉิงก็เพราะหวังว่าตัวเองจะมีเส้นทางชีวิตที่แตกต่างจากหลินม่าย ช่างน่าเศร้าที่เขาตระหนักว่าตัวเองแทบไม่มีทางเอาชนะหัวใจเธอได้เลย

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาคงทำได้แค่ปกป้องความสุขของเธอให้ยังคงอยู่

ร้านของหลินม่ายปิดลงแล้ว

โต้วโต้วขึ้นไปนอนที่ห้องชั้นบนนานแล้ว พนักงานทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

ภายในตัวร้าน หลินม่ายกำลังยกสุราหอมหมื่นลี้ขึ้นจิบช้า ๆ ในขณะที่โจวฉายอวิ๋นคอยชวนคุยอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี ถามถึงคำสารภาพรักของฟางจั๋วหรานอย่างละเอียด

ระหว่างนั้นก็ชะโงกหน้าไปดูสร้อยคอทองคำที่หลินม่ายสวมใส่อยู่ “สร้อยเส้นนี้ดูท่าน้ำหนักคงไม่ใช่เล่น ๆ เลยนะ คุณหมอฟางคงรักเธอมากจริง ๆ”

หล่อนมีวิธีวัดระดับความรักที่ฝ่ายชายมีต่อฝ่ายหญิง โดยสังเกตจากการที่ฝ่ายชายยอมทุ่มเทใช้จ่ายเงินให้กับฝ่ายหญิงมากแค่ไหน

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผู้ชายที่ไม่เคยทุ่มเทใช้จ่ายเงินให้กับผู้หญิง ก็หมายความว่าเขาไม่ได้รักเธอคนนั้นมากพอ

ดูอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนสิ เขาอุตส่าห์หลอกพ่อแม่ของตัวเอง เพื่อเอาเงินทั้งหมดที่ได้ไปส่งเสียให้หลินเพ่ยมีโอกาสได้เล่าเรียน และมีเสื้อผ้าสวย ๆ ไว้สวมใส่

แตกต่างจากหลินม่ายที่แต่งงานเป็นภรรยาของเขา เขากลับไม่เคยให้เงินเธอเลยสักครั้ง ซ้ำร้ายยังมองเธอเป็นแค่เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเงินตรา

เห็นได้ชัดว่าสร้อยคอทองคำเส้นนี้มีน้ำหนักมากพอประมาณ

ถึงแม้ฟางจั๋วหรานจะมีฐานะร่ำรวยอยู่แล้ว แต่การที่เขาร้องขอให้ใครสักคนช่วยซื้อสร้อยคอทองคำเส้นนี้มาจากฮ่องกงเพื่อมอบเป็นของขวัญให้เธอ ก็ถือว่ามีความจริงใจมาก

หลินม่ายได้แต่ยิ้มหวาน

โจวฉายอวิ๋นชี้ไปที่ห้องชั้นบน “กุหลาบในห้องพวกนั้น คุณหมอฟางก็ซื้อให้เธอด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า

โจวฉายอวิ๋นให้คำแนะนำ “อีกหน่อยเธอก็คอยปรามให้เขาเพลา ๆ การซื้อสิ่งของไม่มีประโยชน์พวกนี้ลงเสียบ้าง เรายังต้องใช้ชีวิตอยู่กับหลักความเป็นจริงนะ”

หลินม่ายพยักหน้ารับอีกครั้ง

โจวฉายอวิ๋นไม่จำเป็นต้องแนะนำเธอด้วยซ้ำ หลังจากนี้หลินม่ายเองก็ไม่คิดจะร้องขอให้ฟางจั๋วหรานซื้อดอกกุหลาบให้อยู่แล้ว

เก็บเงินก้อนนั้นไว้ เอามาเลือกซื้อวัตถุดิบดี ๆ ไว้สำหรับปรุงอาหารอร่อย ๆ ไม่ดีกว่าหรือ?

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เธอไม่ได้ใส่ใจความโรแมนติกอะไรมากนัก เพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

อีกไม่กี่วันเธอต้องออกเดินทางไปยังกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายแล้ว ดังนั้นเธอต้องเตรียมตัวให้พร้อม

หลังจากดื่มสุราหอมหมื่นลี้จนหมดแล้ว หลินม่ายก็วานให้โจวฉายอวิ๋นช่วยหยิบเอารายได้ทั้งหมดของวันนี้ออกมาให้หน่อย

โจวฉายอวิ๋นส่งเงินจำนวนมากกว่าห้าร้อยหยวนให้เธอ

หลินม่ายลองคิดคำนวณในใจคร่าว ๆ พอนำเงินตรงหน้าบวกกับเงินหนึ่งร้อยหยวนในสมุดบัญชีธนาคาร และเงินชดใช้ค่าเสียหายจากการทุบรถแทรกเตอร์ที่ได้จากหวังเฉียง ยอดรวมก็ยังน้อยกว่าหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน ซึ่งถือว่าน้อยนิด

วันพรุ่งนี้… ฉันควรยืมเงินหนึ่งพันหรือสองพันจากฟางจั๋วหรานดีไหมนะ?

ทันทีที่ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นมา เจ้าตัวก็รีบตัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างไร้ความปรานี

พวกเขาสองคนเพิ่งตกลงใจคบหากันได้ไม่นาน แต่เธอกลับขอยืมเงินเขามากมายขนาดนั้น ทำเหมือนเขาเป็นตู้กดเงินเคลื่อนที่ไปได้ เขาไม่มองว่าเธอหน้าเงินแย่หรือ

ช่างเถอะ ระหว่างนี้ลองขายของที่มีอยู่เท่าที่จะทำได้ไปก่อนก็แล้วกัน ไว้ค่อยหาทางขยับขยายทีละขั้นตอน

ยุคสมัยนี้ยังไม่สามารถเปลี่ยนสมุดคู่ฝากได้ จะเบิกถอนเงินจากธนาคารอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเธอต้องการไปที่กว่างโจวเพื่อซื้อของ คงทำได้ถอนเงินสดไปจากที่นี่

นั่นหมายความว่าหลินม่ายต้องพกเงินสดจำนวนมากกว่าหนึ่งพันหยวนติดตัวไปด้วยตลอดการเดินทาง

ถ้าเบิกถอนออกมาเป็นธนบัตรใบละสิบหยวน เงินจำนวนพันกว่าคงหนาเตอะเป็นปึกใหญ่

ระหว่างทางมีโจรปล้นชิงทรัพย์กระจายตัวอยู่ทั่วไป ถ้าพกเงินสดติดตัวไปเป็นจำนวนมากแน่นอนว่ามีความเสี่ยงสูง

โจวฉายอวิ๋นกำลังคิดหาทางด้วยความกังวล ว่าทำอย่างไรหลินม่ายถึงจะพกเงินสดติดตัวไปด้วยได้อย่างปลอดภัย

พอเห็นหลี่หมิงเฉิงก้าวเข้ามาในร้าน เธอก็โบกมือให้เขาพลางพูดว่า “นายออกไปไหนมา มาระดมความคิดเรื่องที่ม่ายจื่อจะไปกว่างโจวกัน”

หลี่หมิงเฉิงคิดหาวิธีที่ดีไม่ออกเหมือนกัน จึงเสนอด้วยความลังเล “เธอพาฉันไปด้วยสิ ถึงยังไงฉันก็เป็นผู้ชาย เคยจัดการพวกอันธพาลสองคนในคราวเดียวมาแล้ว”

หลินม่ายตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “นายกล้าหาญมากแต่ก็ยังประมาทเลินเล่อ เกิดนายโดนคนร้ายแทงตายขึ้นมา ฉันต้องเป็นธุระจัดการงานศพให้นายอีก”

หลี่หมิงเฉิงรีบก้มหน้างุดด้วยความละอาย

โจวฉายอวิ๋นครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะเสนอว่า “เธอว่าวิธีนี้จะได้ผลไหม เราหากระสอบเก่า ๆ มาสักใบ ยัดพวกเสื้อผ้าเก่ากับสิ่งของไร้ค่าเข้าไป แล้วซ่อนเงินไว้ข้างในสุด”

แววตาของหลี่หมิงเฉิงเป็นประกายขึ้นมา “ผมว่าเข้าท่าดีนะ”

“ไม่ได้อยู่ดี!” หลินม่ายไม่เห็นด้วย “อย่าได้ดูถูกนักล้วงกระเป๋า โจร หรือนักต้มตุ๋นทั้งหลายเชียว สายตาของพวกมันเฉียบคมดีนัก แค่เห็นว่าฉันออกเดินทางไปพร้อมกับกระสอบผ้าในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ มีหวังพวกมันมองออกตั้งแต่แรก!”

สีหน้าของโจวฉายอวิ๋นว่างเปล่า “ถ้าอย่างนั้นควรทำยังไงดีล่ะ?”

หลี่หมิงเฉิงเสนอตัวอีกครั้ง “พาผมไปด้วยก็ได้นี่ มีผมไปด้วยทั้งคน ผมยังสลับกันซ่อนเงินกับม่ายจื่อได้”

หลินม่ายยังคงส่ายหน้า “ฉันรับประกันได้เลยว่านายต้องเปลี่ยนที่ซ่อนเงินทุกสองถึงสามนาที”

หลี่หมิงเฉิงเงียบไป ด้วยรู้ดีว่าตัวเองต้องทำแบบนั้นแน่

ท้ายที่สุดคนที่มีความคิดดี ๆ ก็คือหลินม่าย ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน

ขณะนอนอยู่บนเตียงในยามค่ำคืน กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากดอกกุหลาบที่โชยไปทั่วห้องกลับทำให้หลินม่ายข่มตานอนไม่หลับ เฝ้าพะวงสงสัยว่าความสัมพันธ์ของตัวเองกับฟางจั๋วหรานจะเป็นไปได้ด้วยดีหรือเปล่า

ต้องดีสิ! ต่อให้เธอต้องอกหักอีกครั้ง ก็ใช่ว่าเธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากผู้ชายเสียที่ไหน?

หลังจากคิดแบบนี้แล้ว ในที่สุดเธอก็ผล็อยหลับสนิท

ทางด้านฟางจั๋วหรานนั้นมีความสุขมากจนข่มตานอนไม่หลับ เขาไม่คาดคิดเลยว่าการสารภาพรักในครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ

เขานึกว่าตัวเองต้องกลับมาพร้อมกับความล้มเหลวเสียแล้ว

สภาพจิตใจที่แช่มชื่นทำให้คนพลอยกระปรี้กระเปร่าไปด้วย วันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานไปกินอาหารมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายตามปกติ

ทันทีที่เดินผ่านเข้าประตูร้านมา เขาสอดส่ายตามองหาเธอก่อนเป็นอันดับแรก พอเห็นว่าเธอไม่ได้สวมสร้อยคอ จึงถามว่า “ทำไมคุณไม่สวมสร้อยที่ผมให้ไว้แทนใจล่ะ?”

หลินม่ายเหลือบมองเขา “สร้อยคอทองคำเป็นของมีค่านะคะ ถ้าสวมใส่ไว้ตลอดเวลา เกรงจะเป็นการล่อเป้าให้คนเข้ามาปล้นเอาได้”

จริงอย่างที่เธอว่า

ฟางจั๋วหรานเอื้อมไปรับเสี่ยวหลงเปามาจากมือเธอ พลางพูดขึ้นว่า “อีกสองวัน ผมต้องเดินทางไปกว่างโจวเพื่อเข้าร่วมประชุมเชิงวิชาการ ไว้ผมค่อยซื้อสร้อยข้อมือคริสตัลให้ ต่อให้คุณสวมตลอดเวลาก็คงไม่มีใครกล้าขโมยแน่”

โจวฉายอวิ๋นกำลังตักโจ๊กให้ลูกค้าคนหนึ่ง พอได้ยินแบบนั้นก็รีบโพล่งขึ้นทันที “บังเอิญอะไรอย่างนี้ อีกสองวันม่ายจื่อเองก็จะไปกว่างโจวเหมือนกัน ทำไมพวกคุณไม่รวดเดินทางไปพร้อมกันเลยล่ะ”

ฟางจั๋วหรานหันไปถามหลินม่าย “คุณจะไปกว่างโจวทำไม?”

เดิมทีหลินม่ายไม่ต้องการบอกเขา แต่โจวฉายอวิ๋นพูดออกไปแบบนั้นแล้ว ต่อให้พยายามปิดบังต่อไปก็ไม่มีประโยชน์

ดังนั้นเธอจึงโน้มตัวไปกระซิบข้างหูเขา “ฉันจะไปกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายค่ะ”

ฟางจั๋วหรานมองเธอด้วยความประหลาดใจ “ไปคนเดียวเนี่ยนะ?”

“คุณเองก็จะไปกับฉันไม่ใช่หรือคะ?”

ฟางจั๋วหรานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ถามว่า “คุณให้ผมไปด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ไปด้วยกันสิคะ!”

พอฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่คิดจะห้ามปรามเธออีกต่อไป

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

สงสารเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่อยากเป็นแค่เพื่อนอยู่เหมือนกันนะคะ ถึงสู้พี่หมอไม่ได้ก็จะคอยซัพม่ายจื่ออยู่เงียบๆ

บังเอิญจริงที่พี่หมอไปกว่างโจวด้วย งั้นก็ไปด้วยกันเลย ไม่งั้นก็เถียงกันไม่จบว่าจะขนเงินไปยังไงไม่ให้โดนปล้นอยู่นั่นแหละ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 170 ตีตนไปก่อนไข้

ทำไมถึงได้เจอแต่ผู้ชายเจนโลกกันนะทั้งชาติก่อนและในชาตินี้

หญิงสาวต่อสู้กับความยุ่งเหยิงในจิตใจ ถอดสร้อยคอที่เขาให้ออกและคิดว่าควรจะพอกับความสัมพันธ์แค่นี้หรือเปล่า

ฟางจั๋วหรานกลับมาจากร้านไอศกรีม เมื่อเห็นอาการของเธอจึงรีบถามขึ้น “ทำไมถึงถอดสร้อยออกแล้วล่ะ?”

หลินม่ายข่มความรู้สึกทรมานใจแล้วยิ้มฝืน “ฉันคืนให้คุณได้ไหมคะ?”

ชายหนุ่มเริ่มแสดงสีหน้าสับสน “คืนทำไมล่ะ? นี่เป็นตัวแทนความรักของผมนะ ผมตั้งใจซื้อให้คุณ”

“ฉันรู้สึกไม่แน่ใจ ไม่อยากคบกับคุณแล้ว”

ขณะที่พูดแบบนั้นเธอก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน

ฟางจั๋วหรานรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางศีรษะ รีบถามต่ออย่างร้อนรน “ทำไมถึงกลับคำเสียแล้วล่ะ?”

หญิงสาวยังคงระบายยิ้มขื่น “ฉันไม่แน่ใจว่าเราคู่ควรกันหรือเปล่า กลัวว่าเราจะเสียเวลากันน่ะ”

ฟางจั๋วหรานนั่งลงข้าง ๆ เธอ “มันไม่ใช่เรื่องของความคู่ควรอะไรเลยนะ มันเป็นเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อกันต่างหาก ผมรู้ว่าคุณเองก็ชอบผม ไม่อย่างนั้นคุณคงไม่เป็นห่วงจนไปบริจาคเลือดเพื่อผมหรอก”

หลินม่ายก้มหน้าลงอย่างเงียบ ๆ

ชายหนุ่มเชยคางเธอขึ้นอย่างอ่อนโยนเพื่อให้ได้โอกาสในการสบตากันจะได้พูดคุยกันอย่างเข้าใจ “เหตุผลที่คุณกลับคำพูดคงไม่ใช่เพราะเรื่องคู่ควรหรือไม่คู่ควรหรอก คุณบอกเหตุผลจริง ๆ กับผมได้นะ ถ้ามันไปต่อไม่ได้จริงๆ ผมก็จะยอมรับการตัดสินใจของคุณ ตกลงไหม?”

ขณะที่เขาพูดก็ยื่นไอศกรีมในมือให้เธอ

บางทีไอศกรีมหวาน ๆ เย็น ๆ อาจจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น หลินม่ายจึงเริ่มพูดต่อ

“คุณก็รู้ว่าฉันเคยแต่งงานมาก่อน แล้วมันก็เป็นความทรงจำที่เจ็บปวด ฉันก็เลยกลัวว่าจะเจอคนเลวแบบนั้นจนต้องเจ็บปวดอีกครั้ง”

“ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่มีทางทำให้คุณเสียใจ พร้อมดูแลปกป้องความสุขของคุณถ้าเราได้อยู่ด้วยกัน”

หลินม่ายได้ยินเขาพูดคำหวานเช่นนั้นก็รู้สึกรังเกียจ คิดจะเปิดโปงเขาขึ้นมาทันที

เธอถามเขาเสียงเย็น “ถ้าอย่างนั้นอธิบายมาหน่อยว่าคืนนั้นทำไมคุณถึงมีผ้าอนามัยอยู่กับตัวได้? ถ้าไม่ได้มีเตรียมไว้สำหรับสาว ๆ คนอื่นตลอดเวลา ให้ทุกคนใช้ได้ตามที่ต้องการ ทำไมผู้ชายโสดแบบคุณถึงต้องมีผ้าอนามัยติดไว้ อธิบายได้หรือเปล่า”

ฟางจั๋วหรานมองท่าทางไม่พอใจของเธอแล้วก็อดขำขึ้นมาไม่ได้ “กลายเป็นว่าคุณไม่อยากคบกับผมแล้วเพราะเรื่องนี้หรอกเหรอ คืนนั้นผมไปขอผ้าอนามัยมาจากอาจารย์ต่างชาติผู้หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาล เพื่อหามันมาให้คุณ ผมก็ไม่ได้รู้สึกเขินที่จะขอยืมมันมาจากคนอื่นหรอกนะ”

คำตอบนั้นของเขาทำเอาหลินม่ายอายจนพูดไม่ออก เธอไม่ทันคิดมาก่อนว่าเขาจะกล้าไปขอผ้าอนามัยจากคนอื่นมาให้เธอ

“แล้ว…เราไม่ได้คบกัน ทำไมคุณถึงจำรอบเดือนฉันได้ล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานพูดต่ออย่างสงบ “ผมรักคุณมาตลอด หาโอกาสจะบอกคุณมานานแต่ก็ไม่กล้า”

ยิ่งเขาอธิบายเธอก็ยิ่งอายมากกว่าเดิม สรุปว่าเป็นเธอเองที่คิดมากเกินไป ตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว

ชายหนุ่มถามเธอต่อด้วยรอยยิ้ม “ยังรู้สึกกังวลอยู่หรือเปล่า?”

จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วก็กลัวจะมากเกินไปหน่อย…

หลินม่ายขมวดคิ้วแล้วเริ่มโกหกตาใส “ฉัน…ฉันอยากจะตั้งใจหาเงินก่อนในตอนนี้”

เสียงของฟางจั๋วหรานเต็มไปด้วยความผิดหวัง “งั้นเหรอ…น่าเศร้าจัง”

หลินม่ายใจหาย นี่ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดเอาไว้

เธอแกล้งตอบแบบนั้นเพื่อให้เขาง้อเธออีกครั้ง อีกครั้งเดียว เธอจะยอมเขาทันที

แต่เขากลับถอดใจแล้ว เขาเองก็คงต้องการให้เธอเป็นฝ่ายลงให้บ้างอย่างนั้นหรือเปล่านะ?

ฟางจั๋วหรานเหมือนนั่งอยู่ในหัวเธอ ราวกับว่าได้ยินเสียงของความโศกเศร้าที่ดังออกมาจากในใจหลินม่าย เขาเลยเริ่มเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ผมจะกวนใจคุณเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่ทำให้คุณอึดอัดอีก…ถ้าคุณอยากเป็นแฟนกับผม…”

“อยากเป็นค่ะ!” ไม่ทันที่เขาจะพูดจบหลินม่ายก็รีบตอบตกลงอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแน่วแน่

แต่หลังพูดจบ หญิงสาวกลับรู้สึกเหมือนถูกหลอก

แต่เธอจะต่อกรอะไรกับศาสตราจารย์อย่างเขาได้ ทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้นั้นไปอย่างช่วยไม่ได้

ชายหนุ่มยิ้มตอบ “หรือต่อให้คุณไม่ตกลง ผมก็จะคอยดูแลคุณอยู่ดี”

หลังจากกินไอศกรีมเสร็จแล้วเขาก็สวมสร้อยคอคืนให้เธออีกครั้ง

หลินม่ายเป็นห่วงว่าโต้วโต้วจะรอ เลยอยากจะรีบกลับบ้านแล้ว

ทั้งคู่เดินต่อไปด้วยกันได้นิดหน่อย ชายหนุ่มก็หยุดชะงักมองดูแฟนสาวของเขาภายใต้แสงจันทร์ ตั้งใจมองเธอพร้อมกับความรู้สึกใจเต้น

หลินม่ายก้มหน้าอย่างเขินอาย “มองอะไรคะ…ไปกันเถอะ”

มือหน้าที่ประดับด้วยนิ้วเรียวสวยเชยขางเรียวของหญิงสาวให้เงยหน้าขึ้น “ขอผมฝากความรักไว้ที่คุณก่อนกลับบ้านสักหน่อย เผื่อว่าคืนนี้คุณจะยังรู้สึกกังวลขึ้นมาอีก”

พูดจบชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ลดใบหน้าลงมาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

แม้ว่าหลินม่ายจะเป็นผู้หญิงที่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน แต่การแต่งงานครั้งนั้นเป็นเพียงการแต่งเพื่อเงินกับผู้ชายไม่เอาไหนแถมยังเจ้าชู้ เธอไม่เคยได้สัมผัสการถูกรักอย่างทะนุถนอมมาก่อน

ถ้าว่ากันแล้วในเรื่องความรักอย่างจริงจัง เธอยังเป็นเหมือนเด็กสาวอ่อนหัด

เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะจูบ หญิงสาวตระหนกในใจ เธอรีบเอื้อมมือตัวเองมาดันหน้าอกแกร่งของเขาให้ห่างออกไป “นั่นมัน…ยังเร็วไป”

แม้ว่าซี่โครงที่หักของฟางจั๋วหรานจะไม่ได้อันตรายร้ายแรง แต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว

ถึงจะผ่านไปนานหลายวันจนอาการเริ่มดีขึ้นมาก แต่ก็ยังไม่ถึงกับหายขาดอยู่ดี

หลินม่ายผลักเขาอย่างแรงทำเอารู้สึกเจ็บอยู่เล็กน้อย

นั่นทำให้ชายหนุ่มได้ทีเล่นละคร ลูบที่หน้าอกของตัวเองและขมวดคิ้วราวกับว่ามีอาการบาดเจ็บสาหัส

หลินม่ายตกใจมาก เธอแค่ผลักเขา ไม่ได้แทงด้วยมีด แต่ทำไมอาการถึงดูแย่ขนาดนั้น

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมดูเจ็บขนาดนั้น” เธอมองอย่างไม่เข้าใจ ผู้ชายตัวสูงใหญ่โดนแค่นี้จะไปเจ็บขนาดนั้นได้ยังไงกัน

“วันนั้นที่มีเรื่องที่โรงพยาบาล ตอนที่สู้กับคนร้าย ผมพลาดถูกตีที่หน้าอกจนซี่โครงหัก แล้วเมื่อกี้คุณไปโดนมันเข้าน่ะ”

“อ๊ะ!” หลินม่ายตกใจ “งั้นพวกเราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”

ชายหนุ่มกลับโบกมือไปมา “มันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ถ้าผมเป็นหนักมาก็คงมาเจอคุณวันนี้ไม่ไหวหรอก”

หลินม่ายเอ่ยอย่างเป็นห่วง “แล้ว…ฉันควรทำไงดี?…ตอนนี้คุณไหวไหม”

ชายหนุ่มยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถ้ายอมให้ผมฝากความรักไว้ให้คุณ มันต้องดีขึ้นแน่เลย รู้ไหมว่าความสุขเป็นยาที่ดีที่สุดสำหรับคนบาดเจ็บนะ”

หลินม่ายไม่ใช่เด็กใสซื่อ ดังนั้นเธอไม่มีทางที่จะหลงกลลูกไม้ตื้น ๆ แบบนี้ของเขาอยู่แล้ว

แต่เธอก็กลับปล่อยผ่าน ทำเป็นว่าเชื่อในสิ่งที่เขาหลอกอย่างสนิทใจ

หญิงสาวค่อย ๆ หลับตาลงอย่างเขินอาย เหมือนกวางน้อยกำลังรอคอยจูบแรกในชีวิตของตัวเอง

ลมหายใจของชายหนุ่มค่อย ๆ ใกล้เข้ามาอีกครั้ง หลินม่ายใจเต้นรัวด้วยอาการประหม่า

แต่กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน “นี่ ๆ อย่ามาทำอนาจารในที่สาธารณะนะ!”

น่าอายที่มีคนอื่นต้องมาเห็นการแสดงความรักของพวกเขาอย่างใกล้ชิดในตอนนี้ ทั้งคู่มองคนนอกคนนั้นอย่างเขินอาย

รปภ.ที่เข้ามาเตือนน่าจะอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปีได้ เขากำลังจ้องมองมาทางนี้อย่างจริงจัง

ในช่วงปี 1980 การจูบกันในที่สาธารณะยังเป็นเรื่องที่น่าอายสำหรับผู้คน!

ทั้งคู่จึงต้องผละจากกันด้วยความผิดหวังปนเขินอาย

ตลอดทางกลับ ฟางจั๋วหรานยังคงมองหาโอกาสเหมาะ ๆ สำหรับการจูบอยู่เรื่อย ๆ

แต่เพราะเพิ่งถูกเตือนมาเมื่อครู่ เขาจึงคิดว่าเธอคงจะอายกับเรื่องนั้น เลยไม่ได้ลองจูบอีก

แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อยากจะจูบเธออีกอยู่ดี

หลินม่ายถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ทำไมวันนี้ถึงได้อยากจะจูบฉันขนาดนั้น รออีกหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่?”

“ไม่ได้สิ ผมมีคู่แข่งคนสำคัญอยู่ที่บ้านคุณเชียวนะ ผมไม่อยากจะให้คุณกลับบ้านไปเจอเขาก่อน”

หลินม่ายกลอกตา “ถ้าคุณหมายถึงหมิงเฉิง คุณจะไปนับเขาเป็นคู่แข่งคุณได้ยังไงกัน เราเป็นแค่เพื่อนกัน ถ้าระหว่างฉันกับเขามีอะไรกันจริง คงไม่ต้องรอให้ฉันโดนหลอกไปแต่งงานกับผู้ชายแย่ ๆ คนนั้นหรอก ถึงเขาจะชอบฉันอยู่ แต่ถ้าฉันตกลงคบกับคุณแล้ว ก็ตัดเขาออกไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องมีข้อสงสัยอะไรในความรู้สึกของฉันที่มีต่อเขาอีก”

เมื่อได้ยินหลินม่ายบอกแบบนั้น ฟางจั๋วหรานก็กลับมามั่นใจอีกครั้ง

ทุกครั้งที่เขาเห็นสายตาที่หลี่หมิงเฉิงมองหลินม่าย มันทำให้เขาอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ แม้เธอจะไม่ได้สนใจเขา แต่คุณหมอหนุ่มก็ยังไม่วางใจ

เขายิ้มและจับมือเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้

ทั้งสองกลับมาถึงร้านโดยที่กุมมือกันไว้ตลอดทาง เพราะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างทั้งคู่ทำให้พวกเขาสามารถแสดงออกถึงความรักระหว่างกันได้อย่างไม่ต้องเขินอาย ยิ่งเห็นสร้อยคอของเธอ ยิ่งทำให้ใคร ๆ ต่างรู้ได้ในทันทีว่าทั้งคู่เป็นคนรักกัน

โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็มีความสุขมากจนแทบพูดไม่ออก

ส่วนหลี่หมิงเฉิงก็ดูซึมลงไปตามระเบียบ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อมั่นใจหน่อยนะคะ เกือบทำเรือพี่หมอล่มเพราะเรื่องผ้าอนามัยแล้วไหมล่ะ

พอเรือพี่หมอกลับมาลอยลำได้ก็ครองความเป็นใหญ่ในทะเลเพียงผู้เดียวเลย ลูกเรืออื่นๆ มารับชูชีพได้นะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 167 เธอมันลูกไม่มีพ่อ !

แม้ว่าระหว่างเขากับกู้ม่านชื่อจะเป็นรักครั้งแรก แต่ฟางจั๋วหรานคิดว่าระหว่างเขากับเธอมันดูจะเป็นความเห็นอกเห็นใจกันเสียมากกว่า

นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกตกหลุมรักผู้หญิงสักคนอย่างจริง ๆ เขาอยากจะสร้างความประทับใจให้เธอ มอบการสารภาพรักที่จะตราตรึงในความทรงจำของเราทั้งคู่

อาจจะต้องมีปาร์ตี้เล็ก ๆ หรือดอกไม้สวย ๆ จะได้เป็นของขวัญแสดงถึงความรักที่เขามีต่อเธอ

พอคิดได้แบบนั้นก็ตกลงกับตัวเองในใจอย่างมีความสุข

หลายวันแล้วที่คุณหมอฟางไม่ได้มาที่ร้านเหมือนอย่างเคย

หลินม่ายคิดว่าเขาคงรู้ถึงความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขาเข้าแล้ว เลยหลบหน้าไปแบบนี้

แสดงว่าสำหรับเขาแล้วเธอคงไม่ได้มีความหมายอะไรขนาดนั้น

หลินม่ายแอบรู้สึกเศร้าในใจ

เธออกหักแล้วแหง พนันได้เลย

หลินม่ายเอาเรื่องการไปซื้อเสื้อผ้าที่กว่างโจวมาปรึกษาทุกคน

เพราะที่นั่นค่อนข้างจะอันตรายกับเธอจริง ๆ สำหรับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่เคยไปอย่างเธอ

หลี่หมิงเฉิงอาสาจะไปกับเธอด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้เรื่องการค้าขาย แต่ก็ยังไปช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้เธอได้อีกแรงหนึ่ง

แต่เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว หลี่หมิงเฉิงเคยถูกหลอกถึงสองครั้ง เขาอาจจะไม่เหมาะเท่าไร เธอจึงปฏิเสธไปเพราะกลัวว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นมาอีก

แน่นอนว่าหลินม่ายไม่ได้บอกเขาตรง ๆ ถึงสาเหตุ เพราะกลัวว่าหลี่หมิงเฉิงจะเสียใจ

เธอเพียงบอกเขาไปว่าต้องการให้เขาอยู่ช่วยดูแลร้านกับโจวฉายอวิ๋นมากกว่า

ก่อนจะเข้ากว่างโจว หลินม่ายต้องกลับชนบทก่อน

บ้านใหม่ของคุณยายเถียนสร้างเสร็จพอดี เธอต้องไปที่นั่นเพื่อดูว่าจะซื้ออะไรกลับมาบ้าง

และไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าฟางด้วย

เธอจะต้องซื้อไข่ไก่ แป้ง น้ำมัน ซอสพริก กะปิ จากคุณยายเถียนกลับมาเพราะของที่ร้านเริ่มเหลือไม่มากแล้ว

เมื่อเดินทางมาถึงเมืองซื่อเหม่ย หลินม่ายก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นเคยจากผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน

พวกท่านยังคงถามไถ่ถึงอาการของโต้วโต้วดังเช่นครั้งก่อน

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนี้แกออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้านแล้วค่ะ ไม่กี่เดือนน่าจะพามาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าได้”

คุณย่าฟางรีบโบกมือปัด “ไม่ต้องรีบพามาก็ได้นะ สุขภาพของหลานสำคัญที่สุด”

หลังกินมื้อกลางวันร่วมกันที่บ้านของคุณปู่ฟาง หลินม่ายก็ออกเดินทางไปที่บ้านคุณยายเถียน

คุณปู่ฟางดูแลเรื่องการสร้างบ้านให้คุณยายเถียนและหลานชายอย่างดีทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งและตัวบ้าน

ข้าวของต่าง ๆ ที่ขาดเหลือ คุณปู่ฟางก็จัดหามาไว้ให้ด้วย

แต่ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังไปถามไถ่คุณยายเถียนว่ายังขาดสิ่งของอะไรอีกหรือไม่ เพราะวันนี้เป็นวันว่างที่เธอสามารถไปที่ตลาดสหกรณ์และซื้อของที่ท่านต้องมาเพิ่มให้ได้

คุณยายเถียนกลับโบกมือปฏิเสธ “ไม่มีอะไรต้องซื้อแล้ว อย่าเสียเงินโดยไม่จำเป็นเลยน่า”

ระหว่างพูดก็หยิบเงินหลายสิบหยวนออกมา “นี่คือเงินที่เหลือจากการสร้างบ้าน คุณปู่ฟางเอาให้ยายมา ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ซื้ออะไรแล้ว หนูเอาคืนไปเถอะ”

หลินม่ายไม่ได้รับเงินนั้น ผลักมือหญิงชรากลับไป “รับไว้เถอะค่ะ ช่วงนี้ฉันไม่ได้กลับมาบ่อย ๆ คุณยายมีเงินติดตัวไว้จะได้เอามาใช้ได้ยามฉุกเฉิน”

คุณยายเถียนยังยืนยันจะคืนเงินให้เธอ “เงินที่หนูให้มาครั้งที่แล้วยายก็ยังไม่ได้ใช้ เอาไปเถอะยายไม่ได้ใช้จริง ๆ “

หลินม่ายจึงอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “ถ้าไม่ได้ใช้ก็แค่เก็บไว้เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”

หญิงสาวขับรถขนของทั้งหมดกลับมาถึงที่ร้านตอนสี่โมงเย็น

เนื่องจากเห็นว่ายังไม่ค่ำมาก เลยเดินทางไปหานายช่างจากเพื่อให้เขาช่วยทำรถเข็นขนของขนาดเล็กให้

รถเข็นคันนี้จะถูกเอาไปใช้สำหรับขนเสื้อผ้าฤดูร้อนได้สักสองสามร้อยชิ้นเมื่อไปซื้อที่กว่างโจว

ในยุคนี้ที่การสัญจรไปมาระหว่างเมืองยังไม่สะดวกนัก เมื่อไปถึงกวางโจวแล้วก็ควรเอาสินค้ากลับมาให้ได้ครั้งละมากที่สุดเพื่อความคุ้มค่า

รถที่หลินม่ายอยากได้ไม่มีขายทั่วไปในยุคนี้ เลยต้องสั่งนายช่างจางทำมันขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาออกแบบมันขึ้นมาโดยการวาดลงกระดาษและตกลงกับหลินม่ายว่าจะได้ของอย่างเร็วที่สุดคืออีก 3 วัน

เมื่อหลินม่ายกลับมาจากไซต์ก่อสร้างก็พบว่าโจวฉายอวิ๋นเตรียมมื้อเย็นรอเธออยู่แล้ว

เธอทำซุปหัวใจหมูพุทราจีนให้โต้วโต้ว

ผู้ป่วยโรคหัวใจต้องกินอาหารที่มีเกลือน้อย ซุปหัวใจหมูพุทราจีนเป็นอาหารรสชาติอ่อน โชคดีที่เจ้าตัวเล็กกินง่ายไม่งอแง กินซุปหมดชามโดยไม่อิดออด

หลังอาหารเย็นก็มีเพื่อน ๆ มาเรียกโต้วโต้วให้ออกไปเล่นด้วยกัน

โต้วโต้วไม่ได้ออกไปเล่นกับเพื่อนานแล้วเลยอยากออกไปกับพวกเขามาก

มือเล็ก ๆ ดึงกระโปรงของแม่ เงยหน้าขึ้นพูดกับหลินม่ายว่า “แม่คะ หนูออกไปเล่นข้างนอกกับเพื่อนได้ไหม”

หลังออกจากโรงพยาบาล ฟางจั๋วหรานเคยบอกว่าถ้าไม่ออกกำลังกายหนักเกินไปโต้วโต้วก็ไปเล่นได้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ

หลินม่ายลูบศีรษะกลมเล็ก ๆ ของลูกสาว “ไปเล่นได้จ้ะ แต่อย่าไปนานนักนะ อยู่แค่หน้าประตูร้านนะลูกอย่าไปไหนไกล”

เด็กน้อยและเพื่อน ๆ เล่นกันอยู่ที่หน้าประตูร้านซึ่งโจวฉายอวิ๋นสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา

ถ้ามีใครมาลักพาไป เผลอ วิ่ง กระโดด หรือเล่นจนเหนื่อยมากเกินไปจะได้ระวังได้ทัน

โต้วโต้วระวังตัวเองได้ดี เพียงแค่ทักทายและเล่นตบแปะกับเพื่อน ๆ ที่หน้าบ้านเท่านั้น

หลินม่ายขึ้นไปชั้นบนเพื่อเอาบิสกิตกับเมล็ดอัลมอนด์ที่ซื้อจากตลาดมืดลงมา

เธออบอัลมอนด์ให้โต้วโต้วเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกายและแบ่งบิสกิตให้กับเด็ก ๆ ทุกคน

บิสกิตที่หลินม่ายเอามาให้กรอบมากเป็นพิเศษ พอเด็ก ๆ กินก็มีเศษขนมหล่นอยู่ที่พื้นจนเรียกให้ฝูงมดออกมาหาอาหาร

โต้วโต้วและเด็ก ๆ สองสามคนพากันนั่งยอง ๆ ดูเหล่ามดกำลังขนอาหารจากพื้นไปที่รังด้วยความสนใจ

หยางหยางเองก็มาด้วย

เขาไม่ได้สนใจมดที่กำลังขนอาหาร สนใจแค่ขนมกับอัลมอนด์ที่ทุกคนกำลังกินกันเท่านั้น

เด็กชายสนใจอัลมอนด์ในมือโต้วโต้วเป็นพิเศษเพราะไม่เคยกินมันมาก่อน

เด็กชายหมีนั่งยอง ๆ ข้าง ๆ โต้วโต้วแล้วเอ่ยถาม “เธอกินอะไรน่ะ”

เด็กหญิงไม่ชอบเขาเลยขยับหนีไปสองสามก้าว “อัลมอนด์”

หยางหยางจ้องเธอที่กำลังเอาอัลมอนด์เข้าปากแล้วเคี้ยว “อัลมอนด์ อร่อยไหม”

โต้วดต้วพยักหน้าตอบ “อร่อย”

“ขอฉันกินบ้างสิ”

โต้วโต้วปฏิเสธ “ไม่ได้หรอก แม่บอกว่ามันแพงอยากกินก็ให้แม่ซื้อให้สิ”

หยางหยางขอกินอีกหลายครั้ง แต่โต้วโต้วไม่ยอม ทำให้เด็กชายเริ่มโกรธ

เขาชี้หน้าโต้วโต้วแล้วพูดออกไปว่า “ไม่เห็นจะอยากกินเลย ของกินของพวกลูกนอกไส้”

เด็กหญิงได้ยินแบบนั้นก็เถียงอย่างจริงจัง “ฉันไม่ใช่ลูกนอกไส้ ถ้ายังพูดแบบนั้นอีกฉันจะฟ้องแม่แล้วให้ย่าของนายมาตีเลย คราวที่แล้วที่พูดแบบนี้แล้วโดนย่าตีเจ็บขนาดไหนลืมไปแล้วหรือไงหา”

ยิ่งโต้วโต้วพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หยางหยางก็ยิ่งโกรธแล้วเริ่มพูดจาแย่กว่าเดิม

เขาตะโกนเสียงดัง “เธอมันลูกนอกไส้ ย่าฉันบอกว่าแม่เธอมีลูกกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ แม่เธอท้องตั้งแต่ยังเด็ก เธอมันลูกไม่มีพ่อ”

โต้วโต้วมองดูเจ้าเด็กนี่อย่างรำคาญ ก็บอกหลายทีแล้วว่าไม่ใช่ เขาก็ยังจะเรียกหล่อนแบบนั้นอีก

ในตอนนั้นเองที่คุณหมอฟางมาที่ร้านพร้อมกับผลไม้ถุงใหญ่ในมือ “โต้วโต้ว มีกล้วยด้วยนะ”

เด็กหญิงตาลุกวาวทันที ลืมไปว่าต้องห้ามวิ่ง ขาเล็ก ๆ รีบวิ่งไปหาเขาแล้วร้องเรียกอย่างร่าเริง “ปะป๊า~”

ฟางจั๋วหรานรีบตรงเข้าไปหาเธออุ้มเด็กหญิงขึ้นมาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมวันนี้เปลี่ยนมาเรียกพ่อแล้วล่ะ”

โต้วโต้วชี้ไปที่หยางหยางแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “เขาบอกว่าหนูเป็นลูกไม่มีพ่อ มาเป็นพ่อให้หนูได้ไหมคะ ถ้ามาเป็นพ่อให้หนู หนูจะได้ไม่ต้องเป็นลูกนอกไส้แล้ว”

หลินม่ายเห็นหยางหยางแกล้งโต้วโต้วก็กำลังจะออกมาสั่งสอนเด็กชายหมี

แต่เมื่อมาถึงหน้าร้านแล้วได้ยินลูกถามเขาแบบนั้นก็รู้สึกเขินขึ้นมา

“โต้วโต้ว ไปเรียกเขาว่าพ่อไปทั่วแบบนี้ได้ยังไง ถ้าลูกเรียกคุณอาว่าปะป๊า แล้วต่อไปแม่จะต้องเรียกคุณอาว่าอะไรล่ะแบบนี้”

โต้วโต้วมองแม่ของเธอด้วยสายตาใสซื่อ “ก็ต้องเรียกว่า ‘สามี’ ไงคะ หนูได้ยินแม่ของเพื่อน ๆ เรียกพ่อของเขาแบบนั้น”

ฟางจั๋วหรานถามหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ผมจะได้รับเกียรติถูกคุณเรียกแบบนั้นบ้างไหมนะ”

หลินม่ายหน้าแดงด้วยความเขินอายและทำเป็นเมินคำถามชวนคิดแบบนั้นของเขาไป

หันหน้าไปทางร้านของป้าหู “หลานคุณรังแกลูกสาวฉัน ไม่ดูแลเขาให้ดีหน่อยล่ะ”

ป้าหูรีบตรงเข้ามาเร็วราวกับกระสุนปืน ลากเด็กชายกลับบ้านอย่างเร็วเพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องให้หล่อนต้องเสียเงินอีก

เด็กชายร้องไห้โฮ “ย่า ไหนย่าบอกว่าโต้วโต้วเป็นลูกนอกไส้ไง ทำไมหล่อนถึงมีพ่อล่ะ พ่อหล่อนทั้งหล่อทั้งสูง ซื้อของอร่อยมาให้ด้วย พ่อไม่เห็นซื้อของอร่อย ๆ ให้ผมกินเลย”

เด็กชายเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองเป็นลูกนอกไส้

ป้าหูถูกหลานชายทรยศอีกครั้ง ทำเอาหล่อนอายมากจนยกมือขึ้นตีเด็กน้อย “ฉันบอกว่าอย่าไปเรียกโต้วโต้วแบบนั้นทำไมไม่รู้จักฟังหา ไอ้เด็กนี่”

หยางหยางถูกตีจนร้องไห้ดังลั่นอีกครั้ง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น้องโต้วโต้วทำดีมากค่ะ เรียกอีกค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 166 อดีตของฟางจั๋วหราน

คล้อยหลังจากหญิงสาวที่วิ่งลงบันไดจากไปแล้ว คุณหมอฟางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมที่ชายโครงของตัวเองด้วยความเจ็บปวด ค่อย ๆ เดินไปด้านหน้าช้า ๆ ประคองตัวเองนั่งลง

คนอื่น ๆ คิดว่าเขาไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จากเหตุความวุ่นวายนี้ แต่ความจริงแล้วระหว่างการต่อสู้เขาถูกคนร้ายฟาดด้วยเก้าอี้ แต่ที่ยังไม่ได้บอกใครเพราะต้องช่วยเหลือคนอื่นก่อน

มีเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสรอการช่วยเหลือจากเขาให้พ้นขีดอันตราย

คุณหมอหนุ่มเข้าทำการผ่าตัดให้คนเจ็บโดยฝืนร่างกายที่บาดเจ็บของตัวเองเอาไว้ยาวนานต่อกัน

เป็นเพราะความเจ็บที่ซี่โครงทำให้เขาไม่สามารถกอดหลินม่ายตอบแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างที่ใจอยากได้

หลังนั่งอยู่อย่างนั้นสักพักและความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง ก็มีเสียงตะโกนจากผู้คนดังขึ้นมาจากชั้นล่าง “มีคนเป็นลมครับ…ช่วยด้วยครับ หมอ หมอ!”

ได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มก็ลุกขึ้นตามสัญชาติญาณ สาวเท้าวิ่งไปที่ต้นเสียงนั้นเพื่อไปดูคนไข้โดยกัดฟันอดกลั้นต่อความเจ็บเอาไว้

สายตาของเขาหันไปเห็นหญิงสาวที่ล้มหมดสติอยู่ที่พื้นเมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ

กระโปรงที่เธอสวมอยู่ทำให้เขาจำได้ในทันที หล่อนคือหลินม่าย !

หัวใจของเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม ร่างสูงรีบตรงเข้าไปหาเธอ แหวกฝูงชนที่มุงดูอยู่ให้หลบออกไป “ม่ายจื่อ…คุณเป็นอะไร”

เขาพยายามเรียกแต่เธอไม่ตอบสนอง

คุณหมอฟางรีบตรวจสอบชีพจรและการเต้นของหัวใจก็พบว่ามันผิดปกติเล็กน้อย แต่โชคดีที่ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต

ทำไมอยู่ ๆ ถึงเป็นลมแบบนี้ได้ล่ะ

เขาไม่ได้มีเวลาคิดมานัก จึงรีบอุ้มเธอขึ้นมาแล้วไปส่งที่ห้องฉุกเฉิน

เมื่อถึงแผนกฉุกเฉินหมอก็ตรวจร่างกายให้หญิงสาวแล้วพบว่าเป็นอาการโลหิตจาง ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร หมอสั่งยาบำรุงเลือดและบอกให้ดื่มน้ำหวานเมื่อฟื้นขึ้น

ไม่นานหลินม่ายก็ได้สติ

ฟางจั๋วหรานนั่งเฝ้าเธอที่ข้างเตียงในห้องฉุกเฉิน เห็นหลินม่ายลืมตาขึ้นก็เอ่ยเชิงดุ “ทำงานร้านอาหารแต่ไม่ได้กินข้าวดี ๆ บ้างเลยเหรอ ทำไมปล่อยให้ตัวเองเป็นโลหิตจางได้ล่ะ ถึงจะต้องประหยัดเงินเพื่อซื้อบ้าน แต่ก็ต้องห่วงสุขภาพตัวเองด้วยสิ”

หลินม่ายเกาคิ้วแก้เก้อ

เธอรู้ตัวในทันทีว่าทำไมถึงเป็นลมเพราะโลหิตจางได้ นั่นเป็นเพราะเธอบริจาคเลือดมากเกินไปต่างหาก

แต่ก็รู้สึกอายถ้าจะต้องบอกเขา หญิงสามจึงพยักหน้าเงียบ ๆ อย่างเชื่อฟัง

คุณหมอฟางเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้เป็นอะไรมากเลยพาเธอไปส่งที่บ้านแล้วกำชับกับโจวฉายอวิ๋นอย่างจริงจังว่าให้ทำซุปไก่สมุนไพรบำรุงให้หลินม่ายกินด้วยเพราะเธอเป็นโลหิตจาง

โจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็เป็นห่วงมาก หลังอาจารย์ฟางกลับไปเธอก็รีบไปหาน้ำหวานมาให้คนป่วยดื่ม

และวางแผนจะออกไปตลาดมืดพรุ่งนี้เพื่อไปซื้อไก่มาทำซุปบำรุง

หลินม่ายแตะไหล่พี่สาวให้ใจเย็นลง “พี่ฉายอวิ๋น ไม่ต้องกังวลขนาดนั้น ฉันไม่ได้เป็นโรคโลหิตจางหรอก”

คนเป็นพี่กลอกตาอย่างไม่เชื่อถือ ยัดน้ำหวานใส่มือน้องสาว “อาจารย์ฟางเป็นคนบอกฉันเองว่าเธอเป็นลมที่โรงพยาบาล หมอก็ตรวจแล้วว่าเป็นโลหิตจาง จะมาบอกว่าไม่เป็นไรได้ไง”

แต่ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ถามขึ้นมาอีก “แล้วถ้าไม่ใช่ ทำไมถึงเป็นลมได้ล่ะ”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ซักพัก แต่สุดท้ายก็ต้องบอกตามตรง เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง

แม้ว่าจะไม่ได้เล่าอย่างละเอียด แต่โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงก็เข้าใจได้ในทันทีถึงความรู้สึกของหลินม่ายต่อคุณหมอฟาง

หลี่หมิงเฉิงหลบฉากออกมาอย่างเงียบ ๆ

เพราะเป็นห่วงหมอฟางมาก เธอถึงขั้นบังคับให้พยาบาลเจาะเลือดไปเพิ่มจนเป็นลม ก็คงแสดงชัดเจนแล้วว่าเจ้าของร้านสาวรู้สึกอย่างไรกับคุณหมอ

หลินม่ายดื่มน้ำหวานจนหมดแล้วก็ไปอาบน้ำ

เธอวิ่งไปวิ่งมาตลอดตอนอยู่ที่โรงพยาบาล ทำให้ทั้งเหนียวตัวและเหนื่อยล้า

โจวฉายอวิ๋นเข้ามาคว้าข้าวของไปจากมือเธอแล้วถือขึ้นชั้นบนมาด้วยกัน และแอบกระซิบว่า “ถึงขั้นบริจาคเลือดเพื่อช่วยเขาแล้ว อย่ามัวหนีจากความรู้สึกของตัวเองอยู่เลยน่า ชอบก็บอกเขาไปเลยสิ จะทนเก็บไว้ให้ทุกข์ใจทำไม”

หลินม่ายตอบอย่างนิ่งเฉย “ใครบอกว่าฉันทุกข์ใจ”

โจวฉายอวิ๋นหมดคำจะพูด “ต้องรอให้ตายก่อนแล้วมาเสียดายทีหลังหรือไง”

หลินม่ายเงียบไป

ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดอะไรแล้วจะยังกล้าไปสารภาพรัก มันเป็นการตัดสินใจที่ไร้ประโยชน์แถมทำให้เจ็บปวดเปล่า ๆ

ฟางจั๋วหรานกลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อไปให้หมอตรวจกระดูกซี่โครงที่หัก แล้วก็พักค้างที่ห้องพักในโรงพยาบาล

เขากลัวว่าหลินม่ายจะกังวลเรื่องหาเงินมากเกินไปจนไม่เป็นอันได้กินของดี ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อไก่สองตัวมาให้เธอ

โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็ยิ้มแล้วแซวว่า “คุณกลัวว่าฉันจะลืมทำซุปให้ม่ายจื่อใช่ไหมคะ แต่ไก่นี่ยังอ่อนเกินไป มันจะไม่มีคุณค่าทางอาหารเท่าไก่แก่นะ”

ชายหนุ่มตกใจไปพักหนึ่ง เขาดูไก่ไม่เป็นเลยถามคนขาย ไม่คิดว่าจะถูกหลอกขายไก่อ่อนมาให้แบบนี้

แต่ช่างเถอะ ความจริงที่ว่ากันว่าไก่แก่มีสารอาหารมากกว่าเป็นเพียงความเชื่อโบราณเท่านั้น ไม่ได้มีหลักวิทยาศาสตร์อะไรรองรับอยู่แล้ว

เขานำไก่มาฝากตอนเช้า หลังจากเลิกงานตอนเที่ยงก็ไปที่ห้างสรรพสินค้า เพื่อซื้ออาหารสำหรับบำรุงให้หลินม่ายอย่าง ลำไย พุทราจีน น้ำตาลแดง และของกินอีกหลายอย่าง

หลินม่ายเห็นเขาซื้อของมาให้ตั้งมากมายก็ทำอะไรไม่ถูก “ฉันแค่เป็นโลหิตจางนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องซื้อของมาเยอะแยะขนาดนี้เลย สองสามวันก็ดีขึ้นแล้ว”

หลินม่ายวางแผนจะรับอาหารพวกนี้ไว้แต่ไม่ได้คิดจะกินมัน เธอจะเอาไปให้คุณปู่คุณย่าฟางที่ชนบทแทน

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเคร่งขรึม “คุณเป็นลมไปเพราะโลหิตจาง ยังจะมาบอกว่าเล็กน้อยอีก อย่าละเลยสุขภาพตัวเองได้ไหม?”

โจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นเลยเข้ามาแทรก “ม่ายจื่อสบายดีมาก เมื่อวานที่เธอเป็นลมเพราะไปบริจาคเลือดมา เธอตั้งใจจะบริจาคเลือดให้คุณ ถึงคุณจะไม่ได้ใช้ก็เถอะ”

หลินม่ายไม่คิดว่าโจวฉายอวิ๋นจะพูดความจริงออกไปแบบนั้น

เธออุตส่าห์กำชับกับแล้วว่าอย่าบอกฟางจั๋วหราน เพราะกลัวว่าเขาจะรู้สึกผิด

แต่อีกฝ่ายก็ยังจะพูดอีก

ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “บริจาคเลือดให้ผมเหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นไม่สนใจสายตาห้ามปรามที่หลินม่ายส่งมาแล้วพูดทุกอย่างออกไป “เมื่อวานพอรู้ว่ามีคนโดนทำร้ายที่โรงพยาบาล ม่ายจื่อกลัวว่าคุณจะบาดเจ็บสาหัสแล้วต้องการเลือด ก็เลยรีบไปบริจาคเลือด แต่บริจาคเลือดมากเกินไปก็เลยเป็นลม แบบนี้ไม่ใช่เพราะเป็นโรคโลหิตจางใช่ไหมล่ะ”

ยิ่งหลินม่ายอยากจะปิดบังมากแค่ไหนโจวฉายอวิ๋นก็ยิ่งเป็นห่วง หล่อนอยากให้เขารู้เหลือเกินว่าน้องสาวเป็นห่วงเขามากแค่ไหน

สำหรับฟางจั๋วหรานแล้ว สิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาเข้าใจในความรู้สึกของหลินม่ายที่มีต่ออีกฝ่ายหรือไม่หล่อนเองก็ไม่รู้ หล่อนเพียงแค่อยากทำทุกอย่างเท่าที่ตัวเองจะช่วยได้เท่านั้น

คุณหมอฟางเอ่ยถามเธออย่างจริงจัง “พยาบาลคนไหนเป็นคนเจาะเลือดให้คุณ? การบริจาคเลือดต้องทำตามข้อบังคับ ทำไมถึงปล่อยให้คุณเสียเลือดจนเป็นลมขนาดนี้ได้”

หลินม่ายอยู่ในอาการอ้ำอึ้ง ไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้

โจวฉายอวิ๋นจึงตอบไปแทน “พยาบาลห้ามหล่อนแล้วว่าไม่ควรบริจาคเลือดจนเต็มถุง แต่หลินม่ายก็ยังยืนยันจะให้เลือดจนเต็มถุง”

คุณหมอหนุ่มได้ยินแบบนั้นเลยมองไปที่หลินม่ายแทน “คุณก็รู้ว่ามันอันตราย”

ฟางจั๋วหรานเข้าใจว่าหลินม่ายเป็นห่วงเขา เธอเลยอยากจะบริจาคเลือดให้ได้เยอะ ๆ

แต่ความเป็นห่วงแบบนี้คือความเป็นห่วงในฐานะอะไรกัน ระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงคนหนึ่ง

หรือเป็นห่วงกันแบบพี่น้อง

แล้วถ้าเขาเดาผิดล่ะ จะต้องทำอย่างไรดี

คุณหมอฟางกินมื้อกลางวันที่ร้านของหลินม่ายแล้วกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลด้วยอาการครุ่นคิด

เขาตกอยู่ในความคิดของตัวเอง เหม่อลอยตลอดบ่าย ยกเว้นตอนผ่าตัดให้คนไข้

จนกลับมาที่บ้านแล้วอาบน้ำกว่าครึ่งชั่วโมง สติถึงค่อย ๆ คืนกลับมา

ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบไหน เขาก็จะสารภาพรักกับเธอ

ถ้ามันล้มเหลว…เขาก็คง…จะลองใหม่อีกครั้ง

ชายหนุ่มมองภาพสะท้อนตัวเองในกระจก เขาเป็นคนที่จัดว่าหน้าตาดี ส่วนสูงก็ไม่น้อย เป็นถึงรองศาสตราจารย์ศัลยแพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยชื่อดัง ไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะปฏิเสธเขาเลย

…ต้องไม่มีสิ…

นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางจั๋วหรานผู้ยิ่งใหญ่รู้สึกประหม่า เขาไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย

แต่เพราะตัดสินใจไปแล้วว่าจะบอกเธอ เขาก็ต้องทำให้ได้

หลังจากอาบน้ำเสร็จชายหนุ่มเลือกที่จะล้มตัวลงที่เตียงทันทีโดยไม่ได้อ่านหนังสือเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี คิดวนเวียนว่าจะสารภาพกับเธออย่างไรดี

แม้ว่าปีนี้เขาจะอายุ 28 แต่ก็เคยมีความสัมพันธ์กับหญิงสาวเพียงครั้งเดียว

มันเป็นความรักที่ค่อนข้างเรียบง่ายไม่มีหวือหวา

ตอนนั้นเขาอายุ 18 ไปเรียนอยู่ในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงเพียงลำพัง

กู้ม่านชืออายุเท่ากันกับเขา หล่อนกำลังคิดสั้นเพราะอกหักจากแฟน แต่ฟางจั๋วหรานไปเจอเข้าเลยห้ามเอาไว้ทัน

เขาอยู่เป็นเพื่อนหล่อน คอยปลอบใจตอนที่หล่อนร้องไห้โดยที่ยังไม่ได้มองหล่อนเป็นมากกว่าเพื่อนคนหนึ่ง

แต่หลังจากนั้นหญิงสาวก็เริ่มชอบพอในตัวเขาและเข้ามาตามจีบ

เขายังไม่มีแผนจะชอบใครในตอนนั้นก็เลยปฏิเสธไปอย่างสุภาพ

แต่พอเห็นว่าหล่อนร้องไห้ และเขาเองก็ยังเด็ก ไม่สามารถต้านทานความรู้สึกสงสารได้

เขายังจำแววตาของแม่ที่เต็มไปด้วยความเศร้าตอนที่ท่านจากไปได้เป็นอย่างดี

แววตาของม่านชือที่มองเขาในตอนนั้นทำให้เขาหวนนึกถึงท่าน

การจากไปของแม่สร้างบาดแผลขนาดใหญ่ในใจของเขาตลอดมา

ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าไม่อยากให้หล่อนต้องเศร้าโศกเหมือนกับที่แม่ของเขาเคยเป็น เด็กหนุ่มในตอนนั้นเลยตัดสินใจคบกับหล่อน

ถึงจะไม่ได้เรียกว่าเป็นการเริ่มต้นด้วยความรักอย่างเต็มปากนัก แต่เขากับหล่อนก็เป็นคู่ที่อบอุ่นคู่หนึ่ง คบกันได้นานพอสมควร

เขาคิดว่าเขาสามารถแต่งงานกับหล่อนได้หลังจากที่เรียนจบมหาวิทยาลัย แต่หลังจากเรียนจบหล่อนกลับจากเขาไปโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ใจมันไม่เป็นของตัวเองแล้ว ขนาดบริจาคเลือดจนเป็นลมแบบนี้

พี่หมอก็เคยมีอดีตช้ำรักกับเขาเหมือนกันนะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 165 คุณเป็นห่วงผมหรือเปล่านะ

หลินม่ายตั้งใจจะบริจาคเลือดให้คนเจ็บ เพราะจำได้ว่าตัวเองมีเลือดกรุ๊ป O ที่สามรถให้กับคนอื่นได้เยอะ

ถึงจะเกิดใหม่แต่กรุ๊ปเลือดก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม

หญิงสาวก้าวเท้าลงไปชั้นล่างเพื่อบริจาคเลือด

อย่างน้อยถ้าฟางจั๋วหรานบาดเจ็บ เลือดของเธอก็อาจจะได้ช่วยชีวิตเขา

อย่าว่าแต่เลือดเลย แม้แต่ไตเธอให้เขาได้ทั้งหมดถ้ามันจะทำให้เขาปลอดภัย

หญิงสาวเพิ่งจะตระหนักขึ้นมาในตอนนี้เองว่าอีกฝ่ายสำคัญต่อตัวเองมากมายถึงขนาดนี้ เธอเต็มใจมอบให้เขาได้ทุกอย่างถ้าจำเป็น

รถรับบริจาคเลือดเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขามาที่นี่เพื่อบริจาคเลือดให้คนเจ็บเช่นกัน

หลินม่ายขอทางคนที่ยืนมุงอยู่อย่างสุภาพเพื่อแทรกตัวเข้าไปด้านใน

เธออยากจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยแล้วกลับไปรอเขาที่หน้าห้องผ่าตัด

การบริจาคเลือดไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อขอลัดคิวพวกเขาจึงเต็มใจให้เธอแทรกได้อย่างง่ายดาย

พยาบาลที่เข้ามาเจาะเลือดเห็นว่าเธอรูปร่างผอมบาง จึงเอ่ยถามหญิงสาว “คุณหนักถึง 45 กิโลกรัมหรือเปล่าคะ”

มีข้อบังคับว่าผู้หญิงจะต้องมีน้ำหนักเกิน 45 กิโลกรัมถึงจะบริจาคเลือดได้

หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่ “น่าจะถึงนะคะ ฉันแค่ดูผอมเฉย ๆ “

เธอสูง 165 ซม. เป็นไปได้ยากที่จะหนักไม่ถึง 45 กก.

เพราะเป็นการบริจาคเลือดแบบฉุกเฉินเลยไม่ได้มีการเตรียมเครื่องชั่งน้ำหนักมารอ ทำให้ไม่สามารถชั่งน้ำหนักเพื่อยืนยันได้

เมื่อหลินม่ายยืนยันแบบนั้น พยาบาลก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เริ่มทำการตรวจร่างกายพื้นฐานอย่างความดันโลหิต การเต้นของหัวใจว่าเป็นปกติ

และสอบถามเรื่องสุขภาพของเธออีกครั้ง พบว่าหญิงสาวไม่ค่อยป่วย และไม่มีโรคประจำตัว

พยาบาลจึงแจ้งปริมาณเลือดที่จะขอรับจากเธอว่าไม่ได้เต็มถุง

หญิงสาวคิดถึงคนป่วยที่กำลังรอเลือดจากเธอว่าอาจจะเป็นฟางจั๋วหราน เธอก็ยืนยันกับพยาบาลไปและบอกหล่อนไปว่าสามารถเอาเลือดไปเพิ่มจากที่แจ้งก็ได้

แต่พยาบาลกล่าวปฏิเสธ “คุณตัวผอมบาง ถ้าบริจาคเลือดมากเกินไปจะมีผลต่อสุขภาพ แล้วสุดท้ายอาจจะต้องเอาเลือดออกมาช่วยคุณอีกอยู่ดี”

หลินม่ายส่ายหน้าและเอ่ยยืนยัน “ฉันแข็งแรงมาก ไม่เคยเป็นลมเลยซักครั้ง กินอาหารดี ๆ ทุกวัน ทำงานที่ร้านอาหาร ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเป็นอะไรไปหรอกนะคะ”

ยังมีคนรอคิวอีกมาก ทำให้พยาบาลไม่มีเวลาจะอธิบายกับเธอ จึงดำเนินการเจาะเลือดไปตามที่เธอบอก

หลังจากบริจาคเลือดเสร็จสิ้น หญิงสาวก็รีบกลับไปที่ห้องผ่าตัด

เหล่านักข่าวมากมายยังคงปักหลักอยู่ที่นั้น ห้องผ่าตัดเต็มไปด้วยผู้คน

หัวหน้า รปภ. เห็นหลินม่ายรออยู่คนเดียวข้างนอก เลยพาเธอไปที่มุมสงบมุมหนึ่งเพื่อรอ

เธอจ้องไปที่แสงไฟของห้องผ่าตัด สีหน้าวิตกกังวลฝ่ามือชื้นเหงื่ออยู่ตลอดเวลา

เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองนั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ในที่สุดไฟหน้าห้องผ่าตัดก็ดับลง

เธอรีบก้าวไปรอหน้าห้องพร้อม ๆ กับทุกคนที่รออยู่

ชะโงกหน้าไปดูที่ประตูห้องโดยหวังว่าจะได้ข่าวดีจากคุณหมอที่ออกมา

ประตูห้องผ่าตัดเปิดออกและเริ่มลำเลียงผู้บาดเจ็บออกมาทีละคน ๆ

เธอพยายามมองไปที่เหล่าคนไข้ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นว่าพวกเขาเป็นใครบ้าง

หลังจากนั้นไม่นานศัลยแพทย์ก็เดินออกมา

ทันทีที่เห็นว่าคุณหมอคนนั้นเป็นใครหญิงสาวก็อยู่ในอาการนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง

อาจารย์ฟางอยู่ในชุดผ่าตัด สวมหน้ากากอนามัยเดินออกมา

โล่งออกไปที เขายังปลอดภัย และยังมีชีวิตอยู่

เห็นแบบนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาด้วยความโล่งใจ

ตอนนั้นมีเพียงเขาเท่านั้นที่อยู่ในสายตาเธอ ร่างบางรีบตรงเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจ

แต่เพราะมีผู้คนจำนวนมากรุมล้อมเขาอยู่ทำให้เธอเข้าถึงตัวคุณหมอไม่ได้ในทันที

เธอถูกเบียดเสียดจนต้องยอมแพ้เพราะไม่สามารถเข้าถึงเขาได้ จึงยืนรออยู่ด้านข้าง มองเขาด้วยความปรารถนาดี

ฟังเขาให้สัมภาษณ์กับเหล่านักข่าวที่มุมนี้อย่างเงียบ ๆ

หลินม่ายได้รู้ในตอนนั้นเองว่านอกจากเขาจะปลอดภัยนี้แล้ว ยังเป็นหนึ่งในคนที่ช่วยควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเอาไว้อีกด้วย

เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีเธอก็สบายใจขึ้น

เธอหันหลังจากมาจากตรงนั้น แต่ระหว่างที่เดินผ่านห้องศัลยกรรมทั่วไปก็บังเอิญพบว่ากับนักเรียนของฟางจั๋วหราน

เป็นคุณหมอจบใหม่ที่สุภาพมาก เขาเองก็บาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน แต่ไม่ได้ร้ายแรงมากมีเพียงรอยฟกช้ำจากการชกต่อย

เขาเป็นคนดูแลโต้วโต้ว ตอนที่ลูกมานอนอยู่ที่โรงพยาบาลจึงคุ้นเคยกับหลินม่ายเป็นอย่างดี

แม้ว่าเขาจะอายุมากกว่าเธอหลายปีแต่ทุกครั้งที่เจอกันเขาจะเรียกเธอว่าคุณน้าหลิน

ครั้งนี้ทั้งที่เขาบาดเจ็บอยู่ ถูกทำร้ายจนหน้าบวมช้ำ ก็ยังจะเข้ามาทักทายเธอว่าคุณน้าอีก

เขาเอ่ยอย่างขอความเห็นใจ “คุณน้าหลิน ดูสิครับ ผมเจ็บตัวขนาดนี้ ปลอบใจด้วยซี่โครงหมูยี่หร่าได้ไหมครับ”

ตั้งแต่ได้ชิมเมนูซี่โครงหมูของฟางจั๋วหรานที่เธอปรุง เขาก็ถูกใจมันมากและมักจะถามถึงอยู่เสมอที่เจอกัน

หลินม่ายทำเป็นโกรธเขาแล้วตอบไปว่า “ถ้ายังมาเรียกฉันว่าน้าอยู่อีกก็ไม่ได้กินหรอกนะคะ”

เธออายุไม่ถึง 18 ด้วยซ้ำ จะมาเป็นน้าของคนอายุ 20 ได้อย่างไรกัน

เขากลับขยิบตาให้เธอ “ก็เดี๋ยวคุณก็จะได้เป็นพี่สะใภ้ไง ผมก็ต้องเรียนคุณน้ารอล่วงหน้า เดี๋ยวอาจารย์ฟางจะโกรธเอาได้”

เธอไม่รู้จะว่าอย่างไรกับหมอคนนี้ดีแล้ว

ถึงเขาจะไอคิวสูงขนาดไหนก็ต้องมีปัญหาอะไรในระบบความคิดแน่ ๆ เพราะมองยังไงคนแบบเธอก็ไม่มีทางเป็นว่าที่พี่สะใภ้ของเขาได้หรอก

อาจารย์ฟางก็บอกต่อหน้าทุกคนตั้งหลายครั้งแล้วว่าคิดกับเธอแค่น้องสาว ยังจะมาพูดแบบนี้อีก ไม่รู้ว่าอยากจะหาเรื่องกันหรืออย่างไร?

เธอล้อเล่นกับเขา “หน้าช้ำแบบนี้ยังจะอยากกินซี่โครงยี่หร่าอีก ยี่หร่าเป็นของร้อน กินเข้าไปไม่กลัวหน้าบวมยิ่งกว่านี้หรือไงคุณหมอ”

“ใช่ ผมอยากกิน ถ้าหน้าบวมเดี๋ยวผมฉีดยาแก้อักเสบให้ตัวเอง”

น่าเห็นใจในความพยายามเพื่อจะได้กินของอร่อยของคุณหมอเสียเหลือเกิน

หลินม่ายกำลังจะแซวอีกฝ่ายต่อก็ได้ยินสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้นจากด้านหลัง “กินได้สิ อย่าลืมไปกินด้วยนะ ผมก็จะสั่งเหมือนกัน ถึงอากาศจะร้อนก็ต้องกินซี่โครงยี่หร่าให้ได้”

คุณหมอจบใหม่รีบหนีไปทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น

หลินม่ายรู้สึกแปลกใจ เธอรีบหันกลับไปอย่างกะทันหันไปทางฟางจั๋วหราน

คุณหมอฟางรีบเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “โต้วโต้วเป็นอะไรหรือเปล่า?”

เขาเห็นหลินม่ายยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนหลังผ่าตัดเสร็จ ก็เป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับโต้วโต้วหรือเปล่า เธอถึงต้องมาที่โรงพยาบาล

เพราะเห็นแบบนั้นเขาก็เลยรีบทำให้การสัมภาษณ์จบอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายส่ายหน้า “โต้วโต้วไม่เป็นอะไรค่ะ ฉันได้ยินว่าที่โรงพยาบาลมีเรื่อง เลยรีบมาดูว่าคุณเป็นอะไรไหม?”

เมื่อกล่าวถึงเรื่องนั้นขึ้นมา หญิงสาวก็เริ่มจะทนไม่ไหวที่จะอยู่เฉยรีบตรงเข้าไปกอดคุณหมอหนุ่ม

ชายหนุ่มใจเต้นรัวขึ้นมากะทันหัน สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ

ร่างบางในอ้อมแขนกำเสื้อคลุมของเขาเอาไว้แน่น เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา เธอมีอะไรอยากจะบอกเขามากมายไปหมด แต่กลับไม่ได้เอ่ยออกไป ดวงตาคู่สวยรื้นไปด้วยน้ำตา

ชายหนุ่มมองอาการของเธอแล้วแอบหวังขึ้นมาในใจ เธอเป็นห่วงเขาหรือเปล่านะ?

อาการเหล่านี้ของเธอทำเอาเขาเริ่มจะทำตัวไม่ถูก

“อย่าร้องไห้สิ…ดูสิผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

ชายหนุ่มกระชับอ้อมกอด พร้อมเอ่ยปลอบเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวกับแสงจันทร์ในคืนฤดูใบไม้ร่วง

หญิงสาวพักกายและใจอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นนั้นอยู่สักพัก พอเริ่มรู้ตัวว่าใกล้ชิดกับเขาเกินไปก็ได้สติขึ้นมา

การกอดกันอยู่แบบนี้ สำหรับคนที่เขาบอกใครต่อใครว่าเป็นแค่น้องสาว มันก็ออกจะเกินไปหน่อย

เธอลุกลี้ลุกลนผละออกจากอ้อมแขนของเขา ก้าวเท้าถอยหลังออกมาหนึ่งเก้า กลืนก้อนขมในคอลงไปแล้วฝืนยิ้มกว้างออกมา “คุณปลอดภัยก็ดีแล้ว ต้องไม่เป็นอะไรสิ ขาดคุณไปแล้วใครจะมาดูแลโต้วโต้วล่ะ”

กล่าวจบแบบนั้นก็รีบวิ่งหนีไป

เธอไม่แน่ใจว่าคำพูดนั้นของตัวเองสามรถทำให้ชายหนุ่มเข้าใจได้หรือเปล่าว่าเธอเป็นห่วงเขามากแค่ไหน แม้ว่าจะอ้างถึงเรื่องโต้วโต้วไปก็ตามที

ถึงเธออยากจะบอกเขามากเรื่องความในใจของตัวเองมากแค่ไหนตอนที่เข้าใจว่าเขาบาดเจ็บ แต่ตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เพราะอย่างนั้นเธอก็เลยเลือกที่จะเก็บความรู้สึกของตัวเองให้เป็นความลับต่อไป

เพราะขืนบอกไปเธอคงเขินจนไม่รู้จะมองหน้าเขาอย่างไรดี

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อาการมันชัดขนาดที่หมอจบใหม่ยังดูออกแบบนี้ ยังจะบอกว่าเป็นพี่ชายน้องสาวกันอีกเหรอคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 164 คำแนะนำจากลูกค้าชาวเมือง

เมื่อโจวฉายอวิ๋นเอาของกินเล่นและเปิดเบียร์กับโซดาให้ลูกค้าโต๊ะนั้น หล่อนก็ลอบฟังบทสนทนาของพวกเขานิดหน่อย

คนเป็นพี่กลับมาที่ห้องครัวแล้วทำหน้าบึ้งใส่หลินม่ายที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหารเย็น “คนเมืองพวกนั้นดูขี้โอ่ชะมัด เห็นบอกว่าหาเงินได้หลายพันหยวนจากการรับเสื้อผ้าที่กวางตุ้งมาขาย พวกนั้นเข้าใจจริง ๆ หรือเปล่าว่าเงินหลักหมื่นมันเป็นยังไง ถ้ามีขนาดนั้นคงต้องเอาใส่กระเป๋าได้ใบใหญ่พกไปด้วยแล้ว มีคนนึงอวดว่าเพิ่งทำงานได้ปีเดียวก็ซื้อบ้านเดี่ยวแบบมีสวนราคาสามหมื่นหยวนได้ที่ปักกิ่ง บ้านเดี่ยวมีสวนแบบนั้นราคาตั้งเท่าไร ต้องมีเงินขนาดไหนถึงจะซื้อได้ ขนาดในชนบทยังไม่มีใครสร้างบ้านแบบมีสวนเลย ต้องเศรษฐีเลยมั้งถึงจะมีบ้านหลังใหญ่แบบนั้นได้”

หลินม่ายไม่คิดว่าเรื่องที่พวกเขาพูดจะเกินจริง

ในยุคนี้เป็นช่วงเวลาของการทำเงินของนักลงทุนจริง ๆ

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย เพียงแค่ร้านขายเสื้อผ้าในตลาดมืดที่เธอเจอก็ขายเสื้อผ้าได้หลายสิบชิ้น หาเงินได้สองสามร้อยหยวนในคราวเดียว

ขายหลาย ๆ ครั้งต่อเดือนจะได้เงินเป็นหลักพันก็ไม่น่าแปลกใจเลยซักนิด

พอคิดแบบนั้นหญิงสาวก็เกิดความคิดน่าสนใจขึ้นมา ถ้าเธอไปซื้อเสื้อผ้าที่กว่างโจวมาขายต่อ ก็น่าจะรวบรวมเงินหมื่นหยวนให้ทันตามเวลาที่กำหนดได้หรือเปล่านะ

คิดไปพลางหยิบจานสลัดเย็นสองจานที่เพิ่งทำเสร็จพร้อมมะเขือม่วงย่างไปให้ลูกค้าผู้ร่ำรวย

ลูกค้าจากเมืองใหญ่มองอาหารที่ได้รับมาอย่างประหลาดใจ “คือเราไม่ได้สั่งนะครับ”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบพวกเขา “ฉันเลี้ยงค่ะ”

พวกเขามองเธอนิดหน่อยแล้วเข้าเรื่อง “ไม่ได้ให้กันฟรี ๆ แน่ บอกมาเลยดีกว่าอยากให้เราช่วยอะไร”

หลินม่ายเห็นว่าพวกเขารู้จุดประสงค์ของเธอจึงไม่ได้อ้อมค้อม

เริ่มเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ฉันอยากไปกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้ามาขายในเจียงเฉิง แต่คุณก็เห็นว่าฉันเป็นเจ้าของร้านอาหาร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการค้าขายทางนั้นเลย ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นยังไง”

พวกเขาเข้าใจเหตุผลได้ในทันที “ถ้างั้น ของกินเท่านี้ก็ไม่พอสำหรับคำแนะนำที่จะได้รับหรอกนะครับ”

หลินม่ายยิ้มเล็กน้อยไม่นานก็มีอาหารมาเสิร์ฟอีก ทั้งไส้กรอกร้อน ๆ กึ๋นเป็ดไก่ตุ๋น เซาเข่าและของหวานหลายอย่าง

ละลานตาเต็มโต๊ะไปหมด

เขาเพียงแค่พูดล้อเล่น พอเห็นว่าเจ้าของร้านสาวเอาจริงก็แอบเขินไปเล็กน้อย

เขากับเพื่อน ๆ ให้คำแนะนำกับเธอว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำเงินจากการรับเสื้อผ้าที่กว่างโจวได้

หลังจากเล่าจบก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเธอ “แต่ผมคิดว่าธุรกิจร้านอาหารของคุณก็ดีอยู่แล้วนะ กว่างโจววุ่นวายมาก ไม่ใช่ที่ที่สาวน้อยอย่างคุณจะรับมือได้ง่าย ๆ เลย บางคนก็ไปแล้วหมดตัวก็มี”

หลินม่ายยิ้ม “ฉันแค่ลองถามเป็นความรู้ไว้ดูก่อนค่ะ พอมาคิดดูแล้วก็ยังขาดเงินทุนที่จะเอาไปซื้อของกลับมาอยู่”

เมืองหลวงมีเม็ดเงินไหลเวียนอยู่เป็นจำนวนมหาศาล พวกเขาทำธุรกิจกันครั้งละสองสามพันไปจนถึงหมื่น ๆ เพราะแบบนี้การหาเงินหลายพันหยวนในครั้งเดียวถึงเป็นไปได้

ถ้าอยากจะทำเงินได้เยอะ ๆ ก็ต้องมีต้นทุกสูงมากเช่นกัน

หลังจากลูกค้ากลุ่มนั้นจากไป โจวฉายอวิ๋นก็เข้ามาถามด้วยสีหน้ากังวล “เธออยากจะไปกว่างโจวจริง ๆ เหรอ”

แม้จะได้ยินว่าหลินม่ายตอบพวกเขาไปว่าแค่ลองถามดู แต่ฉายอวิ๋นรู้สึกได้ว่าคนเป็นน้องตัดสินใจไปแล้ว

หลินม่ายพยักหน้าแทนคำตอบ

โจวฉายอวิ๋นเกลี้ยกล่อมอย่างเป็นห่วง “ตอนนี้โต้วโต้วก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอไปซื้อของจากชนบทกลับมาขายทำเงินก็ได้นี่ ขายทุกวันก็ได้รายได้เดือนละสองสามพันแล้ว จะเสี่ยงไปกว่างโจวทำไมกัน คนพวกนั้นยังบอกเลยว่ากว่างโจววุ่นวายมาก ไม่น่าจะปลอดภัยเท่าเจียงเฉิงหรอก”

หลินม่ายถามกลับไป “ตอนนี้ทั้งลูกท้อกับลูกไหนก็ขายหมดแล้ว คิดว่าจะเหลืออะไรให้เอามาขายอีกล่ะ”

เหตุผลนั้นทำให้โจวฉายอวิ๋นตอบไม่ถูก

เดือนนี้ไม่มีผลผลิตอะไรให้เอามาขายได้จริง ๆ

ในตอนนั้นเองก็มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่มานั่งกินอาหารเริ่มคุยกัน

หนึ่งในนั้นถามเพื่อนของตัวเองว่า “ได้ยินข่าวเกี่ยวกับโรงพยาบาลผู่จี้บ้างไหม เหมือจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นซักอย่าง”

อีกสองสามคนส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“มีปัญหาอะไรกัน” พวกเขาเริ่มซุบซิบกัน

“ฉันได้ยินมาว่ามีคนป่วยที่ผ่าตัดอะไรซักอย่างแล้วเสียหลังจากผ่าไม่นาน สามีหล่อนโทษว่าเป็นเพราะหมอศัลยกรรม เขาบอกว่าภรรยาคงจะไม่ตาย ถ้าไม่ได้เข้าผ่าตัด บอกว่าเป็นความผิดพลาดทางการรักษา ถ้าไม่ได้เงินชดเชยจะเอาเรื่อง โรงพยาบาลก็หาหลักฐานมายืนยันแล้วว่าไม่ใช่ความผิดพลาดของการรักษา แต่ฝ่ายนั้นก็ไม่ยอม เอาแต่บอกว่าเสียภรรยาไปทั้งคน เลยหาข้อสรุปไม่ได้ซักที ผู้ชายคนนั้นจ้างอันธพาลมาจากไหนก็ไม่รู้เข้าไปก่อเรื่องที่แผนกศัลยกรรม จนถึงขั้นนองเลือดเลยนะ”

แผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลผู่จี้?

หญิงสาวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ฟางจั๋วหรานจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ

เธอทิ้งงานที่ทำอยู่ บอกโจวฉายอวิ๋นไว้แค่สั้น ๆ แล้วตรงไปที่โรงพยาบาลผู่จี้อย่างรวดเร็ว

ระหว่างที่ออกวิ่ง ในหัวก็เต็มไปด้วยภาพมากมายวนมาไม่หยุด

ฟางจั๋วหรานจะถูกทำร้ายหรือเปล่า

หวังว่าถ้าเขาถูกทำร้ายก็ขอให้ไม่เป็นอะไรมาก อย่าให้อันตรายถึงชีวิตเลย

คุณหมอฟางช่วยเหลือคนไข้วิกฤติอยู่ทุกวัน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะมีวันที่ต้องเดือดร้อนเพราะการงานแบบนี้เลย

คิดแบบนั้นน้ำตาของเธอก็พลันจะไหลออกมาอย่างช่วยไม่ได้

หญิงสาวมาถึงที่เกิดเหตุก็ใจหายกับภาพที่เห็น

พนักงานทำความสะอาดหลายคนกำลังทำความสะอาด มีเลือดจำนวนมากอยู่ที่พื้น

และยังมีรอยเท้าเปื้อนเลือดนั่นอีก เห็นแบบนั้นก็พอจะจินตนาการได้ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมันรุนแรงขนาดไหน

หลินม่ายมองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นร่างของคุณหมอฟาง

เธอวิ่งไปที่ห้องทำงานของเขา แต่ก็ไม่เจอ นั่นทำให้หญิงสาวชาวาบไปทั้งตัวราวกับกระโจนลงไปในน้ำเย็นเฉียบ

เธอพยายามบอกตัวเองให้ตั้งสติก่อนแล้วคว้าตัวนางพยาบาลคนหนึ่งที่เดินผ่านมาถึงอย่างเคร่งเครียด “อาจารย์ฟางจั๋วหรานอยู่ที่ไหนเหรอคะ”

แต่พยาบาลคนนั้นไม่มีเวลาจะตอบคำถาม อีกฝ่ายผลักเธอออกแล้วจากไปโดยยังไม่ได้ตอบ

หลินม่ายข่มความตื่นตระหนกเอาไว้อย่างมาก และเริ่มไปถามกับคนไข้และญาติ ๆ แทน

เหล่าคนไข้และญาติ ๆ ยังอยู่ในอาการตื่นตกใจ

เธอได้รับรู้แค่ว่าเกิดเรื่องน่ากลัวอะไรที่นี่ แต่ไม่มีใครให้คำตอบเรื่องฟางจั๋วหรานได้เลย

บางคนก็ไม่รู้จักคุณหมอฟาง บ้างก็ไม่ได้สังเกตว่าเขาอยู่ไหน

ร่างบางของหญิงสาวสั่นไหวรายกับใบไม้ต้องลม ดวงตาจ้องมองไปที่แอ่งเลือดสีเข้มบนพื้น

ฟางจั๋วหราน…ฉันชอบคุณ ฉันยังไม่ได้บอกคุณเลย คุณจะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้นะ

ต่อให้ต้องแยกจากกันแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะได้บอกเขาเรื่องนี้ก่อน

เธอหยุดเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนหนึ่งเอาไว้ เพื่อถามว่าฟางจั๋วหรานอยู่ไหนอีกครั้ง ในที่สุดก็มีคนว่างตอบเธอ

แต่คนถูกถามอยู่ในอาการตกใจมากไม่สามารถตอบออกมาได้เสียทีว่าหมอหนุ่มอยู่ที่ไหน

เธอตอบอย่างตะกุกตะกัก “คนเจ็บทั้งหมดถูกส่งไปที่ห้องผ่าตัด ไม่ก็แผนกศัลยกรรมทั่วไป ถ้าไปสองที่นั้นแล้วไม่เจอก็น่าจะอยู่ที่ห้องดับจิต”

หลินม่ายรีบตรงไปยังที่ที่พยาบาลแนะนำ ค้นหาอยู่หลายรอบก็ไม่เจอคนที่ตามหา

หรือว่าเขาอาจจะอยู่ระหว่างการผ่าตัด?

เธอรีบตรงไปที่ห้องผ่าตัดที่มีคนอยู่มากมายรวมตัวกันอยู่ นักข่าวกำลังสัมภาษณ์คนในที่เกิดเหตุ

ผอ. โรงพยาบาลมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะให้สัมภาษณ์ เขาเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ทุกอย่างกะทันหันมากครับ มีศัลยแพทย์บาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ตอนนี้แย่มาก เรากำลังให้การช่วยเหลือคนเจ็บอยู่ และต้องการเลือดกรุ๊ป A หรือ O อย่างเร่งด่วน เลือดในธนาคารเลือดตอนนี้ไม่เพียงพอ ขอความร่วมมือจากประชนช่วยบริจาคเลือดให้เราด้วยครับ ตอนนี้ผมให้ข้อมูลทุกคนได้เท่านี้”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีหนทางทำเงินใหม่แล้ว ม่ายจื่อจะยอมเสี่ยงไหมนะ

เกิดอะไรขึ้นกับพี่หมอหรือเปล่า ขออย่าให้พี่หมอเป็นอะไรมากเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 163 การหย่าร้างของแม่ต้าเป่า

เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่พากันออกไปแล้ว เจ้าของร้านคนอื่น ๆ ก็เข้ามาที่ร้านของหลินม่าย

พอพวกเขาเห็นว่าเธอมีใบอนุญาตอยู่แล้ว ทุกคนก็พากันอิจฉา

ทันทีที่พวกเจ้าหน้าที่จากกรมอุตสาหกรรมและการค้าจากไป เหล่าเจ้าของร้านก็มารวมกันอยู่ที่ร้านของหลินม่ายเพื่อถามว่าเธอขอใบอนุญาตมาได้อย่างไร

หลินม่ายอธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้พวกเขา แนะนำให้ทุกคนไปที่ขอใบอนุญาตกับผู้อำนวยการเขตอุตสาหกรรม ฯ ของพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนเรื่องที่ว่า ผอ. จะยอมออกให้พวกเขาหรือไม่ก็อาจจะต้องลองดูกันเอาเอง

เหล่าเจ้าของร้านต่างยอมรับในตัวเธอที่ยังช่วยบอกวิธีต่าง ๆ ให้ทั้งที่พวกเขานับว่าเป็นคู่แข่งทางการค้าของกันและกัน

หลังจากที่เจ้าของร้านเหล่านั้นจากไป หลี่หมิงเฉิงก็บ่นกับหลินม่ายว่า “ทำไมต้องสอนพวกนั้นขอใบอนุญาตด้วย ถ้าไม่มีใบอนุญาตพวกเขาก็คงเปิดร้านต่อไม่ได้ เราก็จะได้ลดคู่แข่ง เธอไม่รู้เหรอว่าร้านของเราขายดีที่สุดในย่านนี้ พวกนั้นอิจฉาเราขนาดไหน”

หลินม่ายไม่ได้จริงจังอะไรนักกับเรื่องพวกนี้ “ก็ปกติแหละที่ทำงานแบบเดียวกันก็จะมีอิจฉากันบ้าง ถ้าเห็นร้านคนอื่นขายดีกว่า ฉันก็อิจฉาเหมือนกัน อิจฉาได้ตราบใดที่ไม่ทำอะไรเพื่อขัดขากัน แล้วอีกอย่าง ต่อให้ฉันไม่บอก นายคิดว่าพวกเขาจะไปหาวิธีเองไม่ได้หรือไง เรื่องแบบนี้จะไปถามใครก็ได้ ฉันก็แค่สร้างไมตรีเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นั้นเอง บางทีมันก็เป็นเรื่องของความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

แม้เขาจะไม่ได้เห็นด้วยกับเธอ แต่ก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง จึงทำได้แค่ฟังแล้วยอมรับตามนั้นไปอย่างเงียบ ๆ

ถึงการออกใบอนุญาตจะไม่ใช่เรื่อง่าย แต่เงินก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นได้เอง

เหล่าเจ้าของร้านต่างทำตามคำแนะนำของหลินม่ายและเพิ่มเงินเข้าไปอีกทางหนึ่ง ภายในไม่กี่วันพวกเขาก็ได้ใบอนุญาตมาครอบครอง ถนนที่เงียบเหงาไปสองวันก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง

กรมอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เข้ามาตรวจสอบที่นี่เพราะมีคนไปร้องเรียน

เหล่าเจ้าของร้านต่างวิเคราะห์กันอยู่ว่าคงมีใครซักคนอยากจะหาเรื่องแทงข้างหลังพวกเขา หลายคนคิดว่าเป็นป้าหู

ตอนนี้ยอดขายร้านป้าหูค่อนข้างแย่ แถมยังมีปัญหากับคนอื่นไปทั่ว อาจจะเป็นไปได้ที่หล่อนจะใช้วิธีนี้เป็นตัวช่วย

ถึงแม้จะเป็นการทำให้ตัวเองเดือดร้อนตามไปด้วย หรือถึงขั้นต้องปิดร้านจริง ๆ หล่อนก็จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะทุกวันนี้ก็ขาดทุนจะแย่อยู่แล้ว

เจ้าของร้านหลายคนเลยแค้นเคืองหล่อน และเชื่ออย่างสุดใจว่าเป็นฝีมือของป้าหู

ป้าหูโกรธมาก เพราะตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าจะอธิบายยังไงก็ไม่มีใครเชื่อเลย

ซึ่งอันที่จริงแล้วคนร้ายตัวจริงคือหวังหรง

เพราะคุณหมอฟางไม่ยอมให้ความช่วยเหลือพี่ชายของหล่อนกับเพื่อนของเขา ทำให้พวกเขาหนีคดีไปไม่พ้น

หวังเฉียงถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ส่วนเพื่อน ๆ ถูกตัดสินจำคุก 3 เดือน

หวังเฉียงได้รับโทษเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกหนึ่งกระทง

ความจริงแล้วในคดีนี้ปกติมักจะถูกตัดสินจำคุกเพียง 1 ปี

พ่อแม่ของเขาไม่เข้าใจว่าทำถึงได้เป็นแบบนี้ จึงขอให้เจ้าหน้าที่อธิบายเหตุผล คำตอบของศาลคือ เป็นเพราะญาติของจำเลยพยายามที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทำให้ถูกตั้งข้อหาเพิ่มอีก

พ่อแม่ของเขาร้องไห้อย่างหนัก พวกเขาโทษว่าหวังหรงเป็นคนทำให้พี่ชายต้องเดือดร้อน

หวังหรงสาปส่งหลินม่ายด้วยความเกลียดชัง

ในยุคนี้ถ้าคุณเคยถูกตัดสินจำคุก ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือใหญ่อย่างไรก็หมดอนาคตแล้วอย่างแน่นอน

เมื่อพ่อแม่เพื่อนทั้งสองของหวังเฉียงเห็นว่าลูกของตัวเองได้รับความเดือดร้อนเพราะหวังเฉียง พวกเขาก็มาเอาเรื่อง เพราะไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

ครอบครัวหวังถูกบีบบังคับอย่างไร้ทางเลือกให้ควักเงินออมทั้งหมดไปชดใช้ให้ครอบครัวของเพื่อนหวังเฉียง พวกเขาถึงยอมไม่เอาเรื่อง

แบบนั้นยิ่งทำให้หวังหรงโกรธมากขึ้นไปอีก

ถ้าไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ของหลินม่ายที่มีต่อฟางจั๋วหราน เธอก็คงไม่ต้องให้พี่ชายมาจัดการจนเรื่องลงเอยแบบนี้

หลินม่ายนั่นแหละที่เป็นคนทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องอยู่ในสภาพนี้ จะให้ยอมได้อย่างไร

ถ้าจะเล่นงานหลินม่ายโดยตรงร้านเดียวก็กลัวว่าทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานจะมองแผนการของตัวเองออกแล้วมาเอาคืนอีก เพราะอย่างนั้นหล่อนเลยร้องเรียนทุกร้านในย่านนั้นเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสงสัยได้

หล่อนเข้าใจว่าหลินม่ายคงจะเปิดร้านโดยไม่มีใบอนุญาต แค่ไปร้องเรียนร้านอาหารนั่นก็คงต้องปิดทำการไป

แต่กลับไม่ได้คาดว่าอีกฝ่ายจะมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องอยู่ร้านเดียวในย่านนี้ นั่นทำให้หล่อนโมโหแทบตาย

โต้วโต้วอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ และหมอก็ให้กลับบ้านได้หลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลาครึ่งเดือน

ทันทีที่ลูกออกจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็ไปที่หมู่บ้านซานหยางเพื่อดูเรื่องการเช่าตึกแถว

เนื่องจากแต่ละห้องเป็นสัญญาเช่าคนละฉบับกันทำให้ราคาค่าเช่าต่อห้องค่อนข้างถูก ใคร ๆ ก็สามารถจ่ายได้ ผู้นำหมู่บ้านเลยหาคนมาเช่าได้ครบทุกห้องแล้ว

หลินม่ายจ่ายค่านายหน้าให้เขาตามที่ตกลงกันไว้และไปที่ตึกเพื่อเช็คความเรียบร้อยรอบ ๆ อีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าผู้เช่าอยู่กันอย่างเรียบร้อย แม้ว่าส่วนกลางจะถูกแยกส่วนในการใช้งาน แต่เมื่อเห็นว่ายังรักษาความสะอาดอย่างดีเธอก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อผ่านหน้าบ้านของต้าเป่า หลินม่ายก็ได้ยินเสียงร้องไห้แสนเศร้าจากแม่ของต้าเป่าที่อยู่ด้านใน แถมยังมีชาวบ้านมารวมตัวกันที่บ้านของหล่อนราวกับกำลังรอดูอะไรน่าสนใจ

หลินม่ายเป็นห่วงโต้วโต้ว กังวลว่าลูกสาวจะรู้สึกไม่ดีถ้าเห็นว่าแม่หายไปนาน เธอจึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้วรีบออกจากหมู่บ้านเพื่อกลับไปหาลูก

แต่หงเซียงลูกสะใภ้ของป้ากู่เห็นเธอเข้าเสียก่อน อีกฝ่ายรีบตรงเข้ามาเพื่อทักทายเธอด้วยท่าทางตื่นเต้น “ม่ายจื่อ กลับมาแถวนี้เหรอ”

หลินม่ายยิ้มแล้วฮัมเพลงขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

หงเซียงรีบคว้าตัวเธอไว้และเริ่มถามไถ่ถามเรื่องการงานว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายพยักหน้าตอบ “ราบรื่นดี”

หลินม่ายมองไปทางบ้านของต้าเป่าแล้วหันไปถามอย่างเป็นกันเอง “ทำไมแม่ต้าเป่าถึงดูเศร้าขนาดนั้น?”

หงเซียงกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา “ก็เพราะว่าโดนขอหย่าน่ะสิ จะไม่ให้ร้องไห้ยังไงไหว”

หลินม่ายตกตะลึงไปชั่วครู่ “เขาไม่ได้อยู่ในโอวาทของหล่อนหรอกเหรอ ทำไมถึงกล้าหย่าได้”

“ขนาดกระต่ายน่ารักเวลาโกรธยังกัดเจ็บเลย ไม่ต้องพูดถึงผู้ชายท่าทางเรียบร้อยแบบนั้น”

หงเซียงเล่าต่อ “ก็ใครใช้ให้หล่อนเอ็นดูพฤติกรรมเด็กเหลือขอนั่นเองล่ะ หล่อนพาลูกไปที่ห้างด้วยกัน เด็กนั่นเล่นเอาน้ำในกาต้มน้ำเทราดทีวีไปตั้งสองเครื่อง พนักงานขายคงจะเอ็นดูด้วยอยู่หรอกมั้ง พอเป็นแบบนั้นก็เลยโดนให้จ่ายค่าเสียหาย ไม่งั้นจะโดนจับส่งตำรวจข้อหาทำลายทรัพย์สินสาธารณะ แม่ต้าเป่าก็ยังพอมีเหตุผลอยู่บ้างถึงจะชอบทะเลาะกับคนในหมู่บ้าน แต่ก็ไปทำตัวหน้าใหญ่กับพนักงานที่นั่นไว้ เลยกลับบ้านไปหาพ่อต้าเป่ามาขอเงินไปจ่าย ทีวีสองเครื่องราคาแปดเก้าร้อยหยวน จะไปหาจากที่ไหนได้ เขาโกรธมากจนถึงขั้นต่อว่าว่าเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นเด็กแบบนี้ แต่แม่ต้าเป่าแทนที่จะสำนึก ดันไปเถียงเขาอีกต่างหากทะเลาะกันสองคนไม่พอ ยังไปเรียกกันมาทั้งบ้านมาช่วยรุมทำร้ายสามีจนหน้าช้ำ โดนไปขนาดนั้นถ้าไม่ขอหย่าก็คงบ้าเต็มที”

หงเซียงพูดต่ออย่างสะใจ “เมื่อก่อนฉันต้องคอยคิดอยู่ตลอดว่าจะต้องรับมือกับเด็กบ้านั่นยังไง ตอนนี้มาลงเอยแบบนี้ก็สมควรแล้ว เหอะ”

หลินม่ายเองก็ยังคิดว่าแม่ต้าเป่าสมควรถูกตำหนิแล้ว ถึงแม้ว่าเสียงร้องไห้นั้นจะน่าสงสารแค่ไหน แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย

ตอนแรกหลินม่ายวางแผนจะเอาผลผลิตจากชาวบ้านออกไปขาย ตั้งแต่โต้วโต้วออกจากโรงพยาบาล

แต่เด็กน้อยยังดูหวาดกลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย ในช่วงนี้ลูกสาวจึงติดเธอเป็นพิเศษ

ตั้งแต่กลับมาที่บ้าน ถ้าลูกไม่ได้เห็นเธอนานกว่าครึ่งชั่วโมงเด็กน้อยจะเริ่มอารมณ์ไม่คงที่

เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย หลินม่ายเลยไม่อยากจะห่างจากเจ้าตัวเล็กไปไหน แต่ในใจก็กังวลเรื่องเส้นตายสามเดือนที่ใกล้เข้ามาทุกวัน

แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะคอยให้ความช่วยเหลือเธอ ถ้าเธอไม่สามารถจ่ายหนึ่งหมื่นหยวนได้ในสามเดือนได้ เขาจะให้เธอยืมเงินไปซื้อบ้านตรงข้ามเพื่อไม่ให้เงินสามพันหยวนที่เจอจ่ายไปต้องสูญเปล่า

แต่หญิงสาวก็อยากให้ทางเลือกนั้นเป็นทางเลือกสุดท้าย เธอไม่ต้องการจะรบกวนเขา

ในคืนนั้นมีชายหนุ่มสองสามคนสวมเสื้อลายดอกกับกางเกงยีนส์ มีผมหยิก และสวมแว่นดำเข้ามาที่ร้าน พวกเขาสั่งเซาเข่าและเบียร์มาหลายชุด

ชายกลุ่มนั้นกินอาหารและพูดคุยกันด้วยเสียงที่ไม่จัดว่าเบา

แม้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้จะแต่งตัวดูมีสไตล์ แต่โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยากจะสนใจนัก

เจียงเฉิงก็นับเป็นเมืองใหญ่เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะได้เห็นหนุ่มสาวที่แต่งตัวตามแฟชั่นเดินอยู่ตามที่ต่าง ๆ

สำเนียงปักกิ่งและเรื่องราวที่พวกเขาคุยกันช่างน่าตื่นเต้น ทำให้คนอื่น ๆ ในร้านลอบมองไปที่โต๊ะนั้นอยู่บ่อย ๆ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เออดี กรรมตามสนองทุกคนโดยที่หลินม่ายไม่ต้องทำอะไรเลย แพ้ภัยตัวเองกันทั้งนั้น นังหรงตัวดีนี่ทำไปขนาดนั้นแล้วยังจะหวังให้พี่หมอมารักอีกเหรอ เขาไม่ด่าหล่อนกลางสี่แยกก็ถือว่าบุญแล้ว

ลูกค้าก๊วนนี้มาจากไหนกันนะ น่าสนใจจัง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 162 จับป้าหัวขโมยเป็ดอ้วน

คุณปู่ฟางซื้อเป็ดไก่ไว้ให้หลินม่ายเอาไปขายไม่ต่างจากวันแรงงาน เธอสามารถเอามันขึ้นรถกลับไปได้ในทันที

หลังจากขนเป็ดไก่ขึ้นรถแทรกเตอร์เสร็จหลินม่ายก็ขับกลับไปที่เมือง

ฟางจั๋วหรานพาคุณปู่คุณย่าฟางนั่งรถไฟเข้าเมืองเพราะเขาไม่อยากให้พวกท่านนั่งรถที่เหม็นกลิ่นเป็ดไก่

หลังสี่โมงเย็นหญิงสาวก็ขับกลับมาถึง

แต่พอคิดว่ากลับไปร้านตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำ หญิงสาวจึงได้ตรงไปที่ตลาดมืดเผื่อว่าจะมีคนอยากซื้อพวกมันไปในเวลานี้

ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูร้อน ตลาดมืดจะคึกคักเป็นพิเศษในช่วงเช้าตรู่

หลังจากสิบโมง อากาศจะร้อนเกินไป ตลาดเงียบเหงาไปหมดเพราะไม่มีใครมาตั้งแผง

แต่วันนี้กลับมีคนมาตั้งแผงค่อนข้างมาก

พ่อค้าแม่ค้าแข่งขันกันตะโกนขายของอย่างกระตือรือร้น ลูกค้าก็พากันมาที่นี่เพื่อจับจ่ายวัตถุดิบสำหรับช่วงเทศกาล บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ

หลินม่ายแอบชื่นชมตัวเองในใจที่เลือกมาถูกวัน

และเหมือนกับทุกครั้งที่มีลูกค้าเข้ามาสนใจทันทีที่เธอตั้งร้านเสร็จ

ยิ่งเมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเป็นสองเท่า จนดูคับคั่งไปด้วยผู้คนที่เดินจับจ่ายซื้อของ

งานของหลินม่ายเริ่มล้นมือจนเธอคิดว่าอาจจะทำคนเดียวไม่ไหว

มีป้าคนหนึ่งเลือกเป็ดอ้วนตัวใหญ่มารอชั่งน้ำหนักและคิดเงิน

หล่อนเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนมากกำลังรุมล้อมแม่ค้าสาวเพื่อชั่งน้ำหนัก และดูยุ่งมากเกินกว่าจะหันมาสนใจเธอ

หล่อนจึงรีบยัดเป็ดตัวใหญ่เข้าไปในตะกร้าแล้วเดินหนีไป

หลังจากสับเท้าวิ่งมาจนสุดทางไม่เห็นว่าหลินม่ายตามมาจึงได้ใจ และรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่ดีของหล่อนแล้ว

แต่ความสุขนั้นก็อยู่ได้เพียงสามวินาทีเท่านั้น เมื่อเห็นว่ามีอันธพาลสี่คนมายืนล้อมไว้

ป้าคนนั้นคิดว่าตัวเองกำลังจะถูกปล้นก็ตกใจจนพูดติดอ่าง “พวก…พวกแก…จะทำอะไร…ฉัน…ฉันไม่มีเงิน”

“ไม่มีเงินเลยขโมยเป็ดตัวใหญ่ของคนอื่นมาหน้าตาเฉยแบบนี้สินะ”

ปากของเฉินเฟิงที่กำลังเคี้ยวต้นหญ้าแห้งเอ่ยออกมา เขาเดินตรงไปที่ป้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง

ท่าทีคุกคามของเขาทำเอาป้าหัวขโมยกลัวจนฉี่จะราด

หล่อนส่ายหน้าแล้วตอบปฏิเสธ “ฉัน…ฉันเปล่า”

มือของหล่อนเอื้อมไปบังที่ปากตะกร้าโดยอัตโนมัติ กลัวว่าเจ้าเป็ดตัวใหญ่ในนั้นจะถูกเห็นเข้า

แต่เป็ดอ้วนไม่ได้ให้ความร่วมมือ เมื่อมันคิดว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตรายจึงส่งเสียงก้าบๆ ออกมา

สายตาทั้งหมดจดจ้องมาที่หล่อนอย่างเย็นเยือก

คุณป้ารีบตอบกลับรัวเร็วว่า “ฉันจ่ายเงินค่าเป็ดตัวนี้แล้ว”

นังเลงคนหนึ่งตบที่แก้มหล่อนสองสามครั้ง “พวกเราเห็นกันหมดว่าป้าขโมยเป็ดมา ยังจะกล้าเถียงอีก ต้องรอให้เจ็บตัวก่อนถึงจะยอมรับเหรอ?”

เพราะถูกตบไป ป้าหัวขโมยจึงต้องยอมรับผิดด้วยความกลัว

เฉินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ “ฉันจะให้โอกาสป้านะ เอาเป็ดนั่นไปคืน ไม่ก็ไปจ่ายเงินซะ”

ได้ยินแบบนั้นป้าก็รีบกลับไปที่ร้านของหลินม่ายแล้วบอกแม่ค้าสาวว่า “ฉันจะซื้อเป็ดตัวนี้ แต่รอชั่งน้ำหนักนานมาก ก็เลยไปซื้ออย่างอื่นรอก่อน ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้ รีบชั่งน้ำหนักให้ที ฉันจะได้จ่ายเงินแล้วรีบกลับไปทำกับข้าว”

ลูกค้าหลายคนที่ได้ยินแบบนั้นก็ชื่นชมในความซื่อสัตย์ของหล่อนที่กลับมาจ่ายเงินทั้งที่เดินไปแล้ว

แต่หลินม่ายไม่ได้คิดแบบนั้น

ป้าคนนี้ตั้งใจจะขโมยเป็ดไปแน่ ๆ แต่กลับย้อนมาจ่ายเงินให้เธอเพราะเหตุผลบางอย่าง

เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ ก็เห็นแผ่นหลังไว ๆ ของเฉินเฟิง นั่นทำให้เธอรู้ได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

พอถึงทุ่มกว่า ๆ เป็ดไก่ก็ขายหมด เหลือไว้อย่างละตัว

หลินม่ายตั้งใจเก็บมันเอาไว้เอง

ขณะที่แม่ค้าสาวเก็บแผงอย่างมีความสุข เตรียมตัวจะกลับบ้าน น้องเล็กของเฉินเฟิงที่มีหน้าที่ดูแลตลาดมืดก็เดินเข้ามา “ในที่สุดคุณก็จะกลับซักที ถ้าคุณไม่กลับผมก็เลิกงานไม่ได้”

หลินม่ายตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “วันนี้ฉันไม่ได้จ่ายค่าแผง แล้วจะมารอคุ้มครองกันทำไม?”

เขาผายมือออกอย่างช่วยไม่ได้ “ลูกพี่เป็นคนสั่งมาฉันก็ต้องทำตาม”

ฟางจั๋วหรานพาคุณปู่คุณย่าไปเยี่ยมโต้วโต้วที่โรงพยาบาล

เด็กน้อยมีความสุขมากที่ได้พบพวกท่าน ทั้งคู่ใช้เวลาช่วงบ่ายกับหลานน้อยอย่างมีความสุข

ครั้งนี้พวกท่านอยากจะมาฉลองเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในเมืองกันอย่างเงียบ ๆ เพราะฉะนั้นหลานชายจึงไม่ได้บอกญาติคนอื่น ๆ

ผู้ใหญ่ทั้งสองไปกินอาหารอร่อย ๆ ที่หลินม่ายเตรียมไว้ให้ เยี่ยมโต้วโต้วที่โรงพยาบาล ก่อนจะเดินเล่นที่สวนสาธารณะและห้างสรรพสินค้า แล้วกลับไปที่บ้านอย่างมีความสุข

เพื่อชดเชยให้เหล่าพนักงานที่ต้องทำงานในช่วงวันหยุดยาว หลินม่ายมักจะให้พวกเขาได้หยุดงานหลังจากเทศกาลสิ้นสุดลง

เพราะแบบนี้ทุกคนจึงยังทำงานอยู่ในวันไหว้บ๊ะจ่าง

คุณปู่คุณย่าฟางต้องเดินทางกลับบ้าน เพราะงั้นหลินม่ายเลยให้พนักงานสลับกันหยุด

โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงได้หยุดก่อนในรอบแรก

หลินม่ายไม่เพียงแค่ให้ทุกคนได้ผลัดกันหยุดเท่านั้น แต่ยังให้หยุดยาวถึงสามวัน เพื่อจะได้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด

แต่ทั้งสองก็เป็นห่วงเรื่องงานที่ร้านด้วย พวกเขากลับบ้านเมื่อวานก่อนและรีบกลับมาในตอนเที่ยงของวันถัดมา

พวกเขาไม่ได้กลับมามือเปล่ายังเอาไข่เป็ดเค็ม กีจ่าง* และผักตามฤดูกาลกลับมาด้วย

*กีจ่างหรือบ๊ะจ่างหวาน เป็นขนมหวานของจีน ทำจากข้าวเหนียวแช่น้ำด่างห่อด้วยใบไผ่นำไปต้มจนสุก เหนียวนุ่ม ใส นิยมจิ้มน้ำตาลอ้อยเวลากิน เป็นขนมที่นิยมกินวันไหว้บ๊ะจ่าง

หลี่หมิงเฉิงตั้งใจไปที่แม่น้ำเพื่อจับปลาช่อนตัวใหญ่มาให้หลินม่ายต้มซุปปลาช่อนเต้าหู้อ่อนให้โต้วโต้วกิน

หลังจากต้มซุปปลาช่อนแล้วหลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นก็หิ้วไปให้โต้วโต้ว

หลินม่ายเอาซุปมาป้อนให้ลูกสาว ฝากให้โจวฉายอวิ๋นช่วยดูโต้วโต้ว ส่วนตัวเองก็เดินออกมาเพื่อกลับไปดูร้าน

ทันทีที่ออกมาจากโรงพยาบาลเธอก็พบว่าบรรยากาศที่ถนนดูแปลกไป

เธอพบว่าร้านค้าหลายร้านรอบ ๆ พากันปิดหมดแล้ว

หญิงสาวเก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ ในตอนนี้เพิ่งจะบ่ายสอง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรคงไม่น่าปิดร้านเร็วขนาดนี้

เธอเห็นอีกว่าเจ้าของร้านหลายคนกำลังรวมตัวกันอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เธอไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่

แม้ว่าเธอจะอยากรู้ แต่ก็ไม่ใช่คนที่จะมาใส่ใจเรื่องคนอื่น จึงไม่ได้อยู่แอบฟังว่าพวกเขามีเรื่องอะไรกัน

เมื่อกลับมาถึงที่ร้านเธอเลยถามหลี่หมิงเฉิงอย่างไม่ได้จริงจังนัก “มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

หลี่หมิงเฉิงเองก็งงกับคำถามนั้น “เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

เมื่อเห็นว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ

ในตอนนั้นเองที่มีผู้ชายในชุดเครื่องแบบกรมอุตสาหกรรมและการค้าเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นเอ่ยถามว่า “เจ้าของร้านอยู่ไหม?”

หลินม่ายรีบตอบว่า “ฉันเองค่ะ”

ชายคนนั้นเริ่มเข้าเรื่อง “มีคนมารายงานว่าร้านที่เปิดขายของที่ถนนสายนี้ไม่มีใบอนุญาตดำเนินการ เรามาเพื่อแจ้งให้คุณทราบว่าถ้าดำเนินการโดยไม่มีใบอนุญาตจะผิดกฎหมายมีโทษรุนแรงนะครับ”

ในตอนนั้นหลินม่ายก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมร้านเหล่านั้นถึงพากันปิด คงจะเป็นเรื่องของใบอนุญาตที่เจ้าหน้าที่บอก

เธอจึงรีบออกตัวไปว่า “ฉันมีใบอนุญาตค่ะ”

เจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่กำลังจะหันหลังออกไปจากร้านเมื่อได้ยินคำตอบก็หยุดชะงักแล้วขอให้หลินม่ายแสดงใบอนุญาตให้พวกเขาดู

หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เชิญนั่งลงก่อนได้นะคะ เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปเอาใบอนุญาตข้างบน”

วังเสี่ยวลี่รีบหาของกินไปรับรองพวกเขา

ท่าทางของเหล่าเจ้าหน้าที่เมื่อได้รับการรับรองด้วยของกินก็ดูอ่อนลงไม่ได้ขึงขังเหมือนตอนเดินเข้ามา

หลินม่ายหยิบเอาใบอนุญาตประกอบกิจการออกมา ลงไปชั้นล่างแล้วเอาให้พวกเขาตรวจสอบ

เจ้าหน้าที่รับมันไปตรวจสอบอยู่ซักพัก ก็ยืนยันว่ามันเป็นของจริงแล้วส่งคืนให้เจ้าของร้านสาว

หนึ่งในนั้นแนะนำว่า “ใบอนุญาตนี้ควรจะแขวนอยู่ในร้านนะครับ เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบได้ง่าย จะได้ไม่ต้องมีปัญหาติดขัดอะไรอีก”

หลินม่ายพยักหน้าและพูดว่า “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะจัดการตามนั้นนะคะ”

หลังจากนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ก็เดินออกจากร้านไป และตรงไปที่ร้านป้าหูที่อยู่ข้าง ๆ กันต่อ

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อทำบุญมาดีนะเนี่ย แคล้วคลาดเรื่องเดือดร้อนถึงสองเรื่องในวันเดียวเลย

ป้าหูท่าทางจะได้ปิดกิจการก็วันนี้แหละ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 161 แล้วทำไมผมต้องช่วยเขา

เด็กน้อยแทะน่องไก่จนปากมันเยิ้มและตะโกนขึ้นมาจากด้านข้างว่า “หนูก็อยากกลับไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าด้วย”

หลินม่ายส่ายหน้าเบา ๆ “เอาไว้ครั้งหน้านะ รอให้อาการลูกดีขึ้นกว่านี้ก่อน แม่จะพาไปด้วย”

เด็กหญิงก้มศีรษะกลมลงอย่างเสียดาย หลินม่ายและฟางจั๋วหรานต้องเข้าไปปลอบเธออยู่นานกว่าโต้วโต้วจะอารมณ์ดีขึ้น

หลังจากกินข้าวเสร็จโต้วโต้วก็เพลียแล้วผล็อยหลับไป แล้วฟางจั๋วหรานก็ขับรถกลับบ้าน

เมื่อมาถึงชายหนุ่มก็พบเพื่อนร่วมงานที่อยู่ตึกเดียวกันรออยู่ตรงทางเข้า

เพื่อนบ้านเอ่ยถามขึ้น “วันนี้คุณไปไหนกันมา มีแขกมารอเจอตั้งแต่เช้าเลย”

ฟางจั๋วหรานขอบคุณเพื่อนบ้าน แล้วพยายามคิดว่าใครกันที่จะมารออยู่

ไม่น่าจะเป็นจั๋วเยวี่ย

แม้ว่าน้องชายของเขาจะชอบไปออกไปไหนมาไหน แต่ก็ไม่น่าจะมาที่นี่

และต่อให้มาจริงก็คงไม่รอเขาตั้งแต่เช้าจนป่านนี้ได้

ถ้าเห็นว่าเขาไม่อยู่ ก็คงจะรออยู่สักพักแล้วไปหาเพื่อนคนอื่น ๆ แล้ว

แถมอีกฝ่ายยังมีหอพักให้กลับไปนอนกับเพื่อนได้

ตั้งแต่เริ่มทำงานเขาก็มีที่อยู่เพิ่มเป็นหอพักสวัสดิการของที่ทำงาน

นอกจากจั๋วเยวี่ยแล้วฟางจั๋วหรานก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครมาหาเขาได้อีก

เมื่อไปถึงชั้นสามที่เป็นชั้นของเขา ก็พบว่าครอบครัวของหวังหรงรออยู่ แถมยังมีคุณย่าหวังมาที่นี่ด้วย ทำเอาเจ้าของห้องอย่างเขาขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย

หวังหรงเห็นเขาจึงเริ่มบ่นขึ้นมา “พี่ไปไหนมาเนี่ย คุณย่ารอพี่มาหกหรือเจ็ดชั่วโมงได้แล้วมั้ง”

“วันหยุดก็อยากออกไปพักผ่อนบ้างสิ”

ฟางจั๋วหรานถามอย่างเรียบเฉย “คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”

ขาของหญิงชราอยู่ในอาการเมื่อยล้าเพราะต้องยืนรอเขาอยู่นาน

นางไม่ได้สนใจความเย็นชาของเจ้าของห้อง รีบเร่งให้เขาพาเข้าไปด้านใน “เปิดประตูที เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว”

คุณหมอฟางเปิดประตู หวังหรงรีบเข้าไปช่วยพยุงคุณย่าหวังให้เข้าไปในห้องและนั่งลงที่โซฟานุ่ม ๆ ทำให้ท่านรู้สึกสบายขึ้น

แม่หรงตรงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารกลางวัน พวกเขายังไม่มีใครได้กินมื้อเที่ยง ท้องร้องโครกครากด้วยอาการหิวโหย

แต่เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็พบว่าทุกอย่างช่างสะอาดหมดจด ครัวแสนว่างเปล่า ไม่มีวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงอะไรนอกจาก ไข่ บะหมี่ และต้นหอมอีกนิดหน่อย

แม่หรงจำใจต้องเลือกเมนูบะหมี่ด้วยความสิ้นหวัง

ส่วนหวังหรงกำลังนวดขาให้คุณย่าหวังอยู่ภายในห้องนั่งเล่น

คุณย่าหวังหันมาพูดกับจั๋วหราน “ยายไม่มีทางอื่นแล้วนอกจากมาหาหลานที่นี่ ยังไงหลานช่วยเสี่ยวเฉียงกับเพื่อนเขาหน่อยได้ไหม

ฟางจั๋วหรานมองหญิงชราด้วยความอ่อนใจ เพราะเขามักจะเป็นคนอ่อนโยนอยู่เสมอจึงไม่สามารถเมินเฉยคำขอนั้นไปได้ง่าย ๆ “คุณยายเคยบอกผมว่าไม่ให้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่เหรอครับ ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจแล้วล่ะ”

หญิงชราสะอึกไปครู่ใหญ่แล้วเอ่ยต่ออย่างช่วยไม่ได้ “ยายไม่มีทางเลือก เสี่ยวเฉียงกำลังจะติดคุก ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างเขาคงได้หมดอนาคตแน่”

ฟางจั๋วหรานแค่นหัวเราะขึ้นมา “แล้วคุณยายได้คิดถึงอนาคตหรือชีวิตของผมที่ต้องเอาไปเสี่ยงเพื่อช่วยเสี่ยวเฉียงบ้างหรือเปล่าครับ”

พ่อหรงพูดขึ้นอย่างเหลืออด “จะเสี่ยงแค่ไหนก็ควรทำเพื่อเสี่ยวเฉียงสิ แกเป็นหมอที่ทั้งเก่งทั้งมีชื่อเสียง ใครจะมากล้าทำอะไร นอกจากว่าเจ้าคนพวกนั้นจะไม่ป่วยอีกตลอดชีวิต”

คุณหมอฟางตอบเถียงกลับทันที “ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยเลยว่าหมอคนไหนจะมีสิทธิพิเศษอยู่เหนือกฎหมายได้”

คุณย่าหวังจ้องเขม็งไปที่ลูกชายเพื่อหยุดเขาแล้วเริ่มใช้ท่าทีอ้อนวอนแทน “หลานอาจจะเสี่ยงที่ต้องไปช่วยเสี่ยวฉียง แต่ถ้าไม่ช่วยเขาเสี่ยวเฉียงจะต้องติดคุกแน่ ๆ แล้วนะ”

คนเป็นหลานชายถามกลับ “ต่อให้ไม่ต้องเสี่ยงผมก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องช่วยเขาเลยนะ”

มือเหี่ยวย่นของหญิงชรายื่นมากุมมือเขาไว้ “มองหน้ายายสิ ถ้าเสี่ยวเฉียงติดคุก ยายคงอยู่ไม่ได้แน่ ๆ “

“แล้วถ้าเป็นผมที่อนาคตต้องพังเพราะไปช่วยเขา คุณยายจะรู้สึกแบบนี้ไหมครับ”

คุณย่าหวังรู้สึกขัดใจขึ้นมา “แต่มันอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นนี่”

ชายหนุ่มเริ่มตั้งคำถามกับยายของเขา “แล้วถ้ามันถึงขนาดนั้นล่ะครับ?”

คุณย่าหวังถึงกับพูดไม่ออก

พ่อหวังออกโรงพูดขึ้นมาอีกบ้าง “ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะหาคนมาช่วยไง”

“ใครจะมาช่วยผม?” ฟางจั๋วหรานมองกลับไปอย่างเย็นชา “ผมคงทำได้แค่ขอให้พ่อกับป้าช่วย ถ้าหาคนมาช่วยผมได้จริง งั้นก็ไปขอให้เขาช่วยหวังเฉียงไปเลยสิครับ น่าจะรู้จักคนใหญ่คนโตเยอะนี่ ผมไม่เข้าใจ ทำไมไม่ไปขอให้พวกเขาช่วย พวกเขาเป็นลุงเป็นป้าของหวังเฉียง ดูจะเกี่ยวข้องกับเขามากกว่าผมซะอีกพวกคุณต้องการอะไรจากผมกันแน่”

คุณย่าหวังรู้ดีในข้อนั้น พวกเขามีญาติ ๆ อีกหลายคนให้ไปขอความช่วยเหลือ แต่หล่อนแค่ไม่อยากให้คนในครอบครัวต้องมาเดือดร้อน พัวพันกับเรื่องแบบนี้ ก็เลยมาที่นี่เพื่อบีบให้คุณหมอฟางช่วย

หญิงชราถามด้วยเสียงสั่นเครือ “นี่หมายความว่ายังไงก็จะไม่ช่วยเสี่ยวเฉียงงั้นเหรอ”

“ใช่ครับ” ฟางจั๋วหรานตอบอย่างเด็ดขาด “ผมช่วยประกันตัวหวังหรงให้แล้วคุณยายยังจะต้องการอะไรอีก ไม่ใช่ว่าไม่เหลือใครแล้วซักหน่อย ทำไมอะไร ๆ ก็ต้องเป็นผมตลอด”

หลังจากที่หาทางเกลี้ยกล่อมหลานชายอยู่นาน จนแม้แต่แม่เฒ่าหวังก็กินบะหมี่จนหมด ฟางจั๋วหรานก็ไม่มีวี่แววว่าจะยอมช่วย ครอบครัวหวังจึงยอมล่าถอยไปอย่างเคือง ๆ

ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เขาไม่จำเป็นจะต้องมาลังเลด้วยซ้ำกับคนพวกนี้

ตั้งแต่แม่ของเขาจากไป พ่อก็แต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงไม่เคยเลี้ยงดูเขาเหมือนลูกเลยจนคุณปู่คุณย่าต้องมารับไปเลี้ยงดู

ตอนนั้นคุณปู่คุณย่างานยุ่งมาก พวกเขาหัวหมุนอยู่กับการทำงานจนแทบไม่มีเวลาให้หลาน

พอคุณยายเห็นแบบนั้นก็เลยอาสามาช่วยดูแลเขา

ในตอนที่ยังเด็กเขามักจะเข้าใจว่าที่คุณยายทำแบบนั้นเพราะความรักอย่างจริงใจ แต่พอยิ่งโตก็เริ่มเข้าใจว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น

เขาเองก็ไม่ได้อยากจะคิดจุกจิกกับเรื่องเหล่านี้ ปล่อยให้มันผ่าน ๆ ไป แต่สิ่งที่คุณยายและครอบครัวของนางทำในตอนนี้เป็นการล้ำเส้นเกินไปแล้ว

เผลอแปปเดียววันไหว้บ๊ะจ่างก็ใกล้เข้ามา เช้านี้หลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปซื้อของขวัญ กินมื้อกลางวันด้วยกันแล้วก็เดินทางกลับไปบ้านในชนบท

คุณปู่คุณย่าฟางรู้ดีว่าหลินม่ายจะกลับมา แต่ไม่คาดคิดว่าฟางจั๋วหรานจะกลับมาด้วย

พอได้เจอหน้าหลานชาย ท่านทั้งสองจึงดีใจเป็นอย่างมาก

แต่พวกท่านเองก็เป็นห่วงเกี่ยวกับอาการของโต้วโต้วมากด้วยเช่นกัน พากันถามไถ่ว่าหลานน้อยเป็นอย่างไรบ้าง

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ตอนนี้อาการฟื้นตัวดีแล้วค่ะ เราถึงได้กล้ากลับมาที่นี่พร้อมกัน ไม่งั้นคงจะต้องมีคนหนึ่งอยู่เฝ้าแกก่อน”

ฟางจั๋วหรานยังเสริมอีกว่า “ถ้าคุณปู่คุณย่าเป็นห่วง วันไหว้บ๊ะจ่างเราเข้าเมืองไปหาโต้วโต้วด้วยกันก็ได้นะครับ”

เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าอยากจะมารับพวกท่านเข้าไปในเมืองเพื่อฉลองวันไหว้บ๊ะจ่างด้วยกัน

ผู้สูงอายุทั้งสองได้ยินแบบนั้นก็ตาเป็นกระกายพร้อมตอบตกลงในทันที

ถึงจะไม่ได้มีเรื่องโต้วโต้วมาเกี่ยวข้อง พวกท่านก็แอบหวังว่าจะได้เข้าเมืองไปฉลองกับลูกหลาน หรือไม่ก็อยากให้พวกเขากลับมาอยู่ด้วยกันที่บ้านในช่วงเทศกาลแบบนี้

เมื่ออายุมากขึ้นก็ยิ่งอยากจะอยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวให้ได้มากที่สุด

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเอาของขวัญที่เตรียมมามอบให้ผู้ใหญ่ทั้งสอง

เมื่อคุณย่าฟางเห็นว่าหลานชายซื้อนมมอลต์ผงมาฝากมากมายก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถาม “ครั้งก่อนที่ซื้อแล้วฝากหลินม่ายเอามาให้ปู่กับย่ายังกินไม่ทันหมดเลย ซื้อมาอีกเยอะขนาดนี้ไม่เปลืองเงินแย่เหรอ”

คุณหมอฟางกลับมีสีหน้างงงวยกับคำถามนั้น “ผมไม่เคยฝากให้ม่ายจื่อเอานมมอลต์มาให้เลยนะ”

สายตาทุกคู่จึงหันไปจับจ้องที่หลินม่ายเป็นตาเดียว

หญิงสาวจึงยิ้มแหยเมื่อถูกจับได้ “ฉันเป็นคนซื้อเองค่ะ แล้วบอกว่าอาจารย์เป็นคนให้เอามาฝาก”

เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองส่งสายตามีเลศนัยออกมาแบบนั้นเธอจึงรีบพูดต่ออย่างร้อนรน “แต่…ฉันซื้อหรือเขาซื้อ ปลายทางมันก็เหมือนกันนี่คะ”

แต่พอมาคิดอีกที การบอกไปแบบนั้นกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างมันฟังดูแปลกมากเข้าไปกว่าเดิม เพราะมันเป็นคำตอบที่ดูราวกับว่าพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์บางอย่างมากกว่าพี่น้องที่รู้จักกัน

ค่อยยังชั่วที่ไม่มีใครทักขึ้นมา

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมอจะไม่ทนแล้วนะคะ อย่าบีบพี่หมอให้ทำเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 160 หนูอธิษฐานอะไร

ราว ๆ หกโมงเช้า ฟางจั๋วหรานมาตรวจอาการของโต้วโต้ว

หลินม่ายรีบออกปาก “ศาสตราจารย์ฟาง หนังสือโป๊เล่มเล็กที่คุณอ่านเมื่อคืนไม่ใช่ของฉันนะคะ ฉันไม่ได้ชอบอ่านหนังสือโป๊!

“จริงหรอ?” ฟางจั๋วหรานยิ้มโดยไม่ออกความเห็น

หลินม่ายเห็นท่าทางของเขา ก็ให้รู้สึกว่าถึงเธอจะกระโดดลงแม่น้ำแยงซีเกียง เธอก็ไม่อาจชุบล้างตัวเองให้สะอาดได้

ฟางจั๋วหรานตรวจสภาพร่างกายของโต้วโต้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดี เขาจึงออกไปซื้ออาหารเช้า

เมื่อเขากลับมาก็ถืออาหารเช้าหลายกล่องเข้ามา

มีทั้งก๋วยเตี๋ยวและปาท่องโก๋ที่โต้วโต้วชอบ อีกทั้งยังมีขนมจีบ ไข่ใบชา* บะหมี่แห้งร้อนและข้าวหมากหวาน

ทันทีที่เขาเข้าประตูมา เขาเห็นหลินม่ายถือหนังสือโป๊เล่มนั้นและกำลังอ่านมัน

หลินม่ายแค่เบื่อและเปิดผ่าน ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย แต่ยังโดนฟางจั๋วหรานเห็นเข้าอีก

คำว่า “ดูสิว่าคุณจะแก้ตัวว่ายัง” เขียนไว้ทั่วทั้งหน้าเขา

หลินม่ายรู้สึกไม่รักชีวิตอีกต่อไป เธอพูดอย่างระโหยโรยแรง “ฉันแค่เปิดผ่าน ๆ ไปเรื่อย ๆ เท่านั้นเอง ฉันไม่ได้อยากจะอ่านมันจริง ๆ คุณ…เชื่อไหม?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ผมเชื่อ!”

หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก

พลางคิดว่าเธอไม่ได้กินบะหมี่แห้งร้อนตั้งนานแล้ว จึงเลือกบะหมี่แห้งร้อนแล้วเริ่มลงมือกิน

หนึ่งวันในเจียงเฉิง เริ่มด้วยบะหมี่แห้งร้อนอันเลิศรส

อย่างไรก็ตามฟางจั๋วหรานกลับพูดต่อ “แต่ก็น่าแปลกนะ!”

บะหมี่แห้งร้อนในมือหลินม่ายกลายเป็นรสแย่โดยฉับพลัน

ฟางจั๋วหรานปล่อยให้เธอกินต่อไป เขากินขนมจีบที่พวกเขาแม่ลูกสองคนไม่มีใครแตะต้องด้วยอารมณ์เบิกบาน

ขนมจีบในเจียงเฉิงล้วนเป็นขนมจีบที่มีน้ำมันเยอะ ฟางจั๋วหรานกินขนมจีบไปได้จำนวนหนึ่งเขาก็อิ่ม

เขาจึงกินไข่ใบชาที่มีสองใบไปแค่หนึ่งใบ แล้วถือไข่อีกใบหนึ่งไว้ในมือ หมายว่าให้หลินม่ายกินบะหมี่แห้งร้อนเสร็จแล้วจะปอกเปลือกให้เธอกิน

แม่สาวน้อยผอมเกินไปแล้ว ต้องกินให้มากหน่อย

หลินม่ายที่กำลังกินบะหมี่แห้งร้อนมองไปที่ไข่ใบชาในมือเขา แล้วอบรมเขาอย่างเคร่งเครียด “ผู้เฒ่าบอกไว้ว่า กินไข่ต้องกินเป็นเลขคู่ คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้”

ฟางจั๋วหรานเลิกคิ้วขึ้นมองไปที่เธอแล้วถามด้วยความสุภาพเรียบร้อย “ทำไมเหรอ?”

หลินม่ายกำลังจดจ่ออยู่กับการนำถั่วฝักยาวในบะหมี่แห้งร้อนไปกองรวมกัน แล้วนำเข้าปากในครั้งเดียว ความกรุบกรอบของมันทำให้เธอรู้สึกพออกพอใจ

“คุณไม่เคยได้ยินหรือคะว่าสิ่งที่คุณกินชดเชยให้คุณได้? คุณกินไข่ใบเดียว มันจะชดเชยได้ยังไงกัน?”

ทันทีที่คำนั้นออกจากปาก หลินม่ายถึงนึกได้ เมื่อกี้ราวกับว่าตนกำลังหยอกเอินเขา จึงก้มหัวลงอย่างรวดเร็วเพื่อปกปิดความอับอายของตัวเอง

ฟางจั๋วหรานมองเธออย่างมีนัยสำคัญ “ยังจะพูดว่าหนังสือเล่มนั้นไม่น่าสนใจอีก~”

หลินม่ายมองไปที่เขาอย่างว่างเปล่า รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

ฟางจั๋วหรานชำเลืองมองเธอไปยังหน้าอกที่ยังไม่พัฒนาของของเธอ เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป ผ่านไปสักพักจึงกลับมา

จากนั้นยัดสิ่งของใส่มือเธอแล้วพูดว่า “คุณต้องกินสิ่งนี้ให้มาก ๆ มันจะชดเชยให้คุณได้”

ของอะไร?

หลินม่ายมองที่มือตัวเอง ซาลาเปาสองลูก? !

นี่เธอโดนเอาคืนเหรอ? !

ฟางจั๋วหรานมองเธอเขินอายแล้วยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้น

ผ่านไปพริบตาก็เป็นวันสุดท้ายของเดือนพฤษภาแล้ว เป็นวันเดียวกันกับวันจ่ายค่าจ้างพนักงานของหลินม่าย

หลินม่ายไม่เพียงแต่รักษาคำพูดเท่านั้น เธอยังจ่ายค่าล่วงเวลาวันหยุดให้วังเสี่ยวลี่และพนักงานอีกหลายคนที่ทำงานล่วงเวลาในวันแรงงานและยังให้โบนัสกับทุกคนด้วย

มีเงินเดือนแถมยังมีโบนัส ทุกคนล้วนดีใจกันถ้วนหน้า

หลินม่ายใช้โอกาสนี้กระตุ้นพนักงาน ตราบที่พวกเขาขยันขันแข็ง ยิ่งกิจการดีเท่าไหร่พวกเขาก็จะได้รับโบนัสมากขึ้นเท่านั้น

เงินเดือนและโบนัสของหลี่หมิงเฉิงและโจวฉายอวิ๋นหลินม่ายจ่ายแยกต่างหาก

ไม่เพียงทั้งสองคนได้รับโบนัสที่มากกว่าพนักงานทุกคน ค่าจ้างพวกเขายังมากกว่าพนักงานคนอื่นเกือบเท่าตัว

เพื่อที่จะไม่เป็นการจุดชนวนความอิจฉาของพนักงานคนอื่น จึงต้องจ่ายอย่างลับ ๆ

โจวฉายอวิ๋นถามหลินม่ายอย่างตรงจุด “เธอจงใจดูแลเราเป็นพิเศษเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเธอหรือเปล่า? พวกเราไม่ยอมรับมันหรอก! เธอจ่ายแค่ไหนก็ได้เท่าที่เธอต้องการเลย”

หลี่หมิงเฉิงพยักหน้าทันที

ถึงแม้เขาจะไม่ได้ไม่ชอบเงินเยอะ ๆ สุภาพบุรุษย่อมรักเงินที่ถูกที่ควร หากมันไม่ใช่ของเขา เขาก็ไม่ต้องการ

เขากับโจวฉายอวิ๋นคืนเงินพิเศษให้หลินม่ายพร้อมกัน

แต่หลินม่ายปฏิเสธ

“ฉันไม่ได้ให้เงินพวกเธอมากเกิน เราตกลงกันว่าพวกเธอจะทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันและรับเงินเดือนเดือนละ 30 หยวน แต่พวกเธอสองคนทำงานตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้าจนกระทั่งร้านช่วงกลางคืนปิดลง ทำงานมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน เท่ากับว่าทำงานสองกะ แน่นอนว่าเงินเดือนและโบนัสย่อมมากตามเป็นเท่าตัว ฉันคงไม่สามารถให้พวกเธอทำงานเปล่าหรอกใช่ไหมล่ะ?”

หลักจากได้ยินคำอธิบายของเธอ โจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงจึงไม่คืนเงิน

พริบตาเดียวก็ถึงวันเด็ก

นี่เป็นวันเด็กวันแรกนับตั้งแต่หลินม่ายรับโต้วโต้วมาเลี้ยงดู หลินม่ายให้ความสำคัญกับมันเป็นพิเศษ วันก่อนเธอซื้อชุดเจ้าหญิงสีชมพูและขนมมากมายให้หนูน้อย

ในวันเด็ก เมื่อเธอตื่นขึ้นในตอนเช้า หลินม่ายไปที่โรงพยาบาลและสวมชุดเจ้าหญิงให้กับโต้วโต้ว ถักผมเปียให้เธอแล้วผูกโบว์ให้ แต่งตัวให้เธออย่างสวยงาม ทำให้เด็กในห้องผู้ป่วยเดียวกันมองไปที่เธออย่างชื่นชม

หนูน้อยพูดเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินมา เธอตะโกนขึ้นอย่างดีใจ “คุณอาสัตว์ประหลาด!”

ฟางจั๋วหรานแก้ไขให้ถูกอย่างหมดหนทาง “เรียกว่าคุณอาศาสตราจารย์สิ”

หนูน้อยเรียกอย่างเขินอายอีกครั้ง “คุณอาศาสตราจารย์”

หลินม่ายเห็นว่าฟางจั๋วหรานไม่มีความตั้งใจจะจากไปหลังอาหารเช้าจึงถาม “คุณไม่ไปตรวจประจำวันหรือคะ?”

“วันนี้ผมจะพักผ่อนใช้วันเด็กไปกับโต้วโต้ว”

โต้วโต้วปรบมืออย่างมีความสุข

เด็กในวอร์ดเดียวกันกับโต้วโต้วได้ฉลองวันเกิดในวันนี้ พ่อแม่ของหล่อนซื้อเค้กมาให้หนึ่งก้อน

เพื่อนตัวน้อยคนนั้นก่อนที่จะกินเค้กก็ได้อธิษฐาน โต้วโต้วจึงทำตามอย่างบ้าง กุมมืออย่างพอเหมาะพอดี แล้วหลับตาอธิษฐาน

เมื่อหล่อนลืมตาขึ้น ฟางจั๋วหรานยิ้มและลูบหัวเล็ก ๆ ของหล่อน “หนูอธิษฐานอะไรหรอ?”

หนูน้อยยิ้มแย้มแล้วดึงมือเขากับหลินม่ายมากุมกัน “คำอธิษฐานของหนูคือ หวังว่าพวกคุณจะเป็นพ่อแม่ของหนู”

ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายมีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหัวใจพวกเขาเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะมือที่กอบกุมกัน ราวกับมีไฟฟ้าแล่นผ่านไปทั่วทั้งตัวพวกเขาทำให้เกิดความรู้สึกชาไปจนถึงมึนเมา

หลินม่ายแอบชำเลืองมองคนอื่น ๆ ในห้องผู้ป่วย

โชคดีที่ทุกคนทุ่มความสนใจไปที่ลูกหลานของตนและไม่ได้ยินคำพูดแบบเด็กๆ ของโต้วโต้ว ไม่เช่นนั้นเธอคงละอายจนไม่กล้าเผชิญหน้าใคร

เด็กน้อยแสนรักมองพวกเขาทั้งสองอย่างกระตือรือร้น “คำอธิษฐานของหนูจะเป็นจริงไหมคะ?”

คำถามนี้ยากเกินไปที่จะตอบ หลินม่ายรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ตอนบ่ายอยากกินอะไรจ๊ะ แม่จะทำให้หนูตอนกลับไป”

หนูน้อยเอียงศีรษะแล้วคิดอย่างเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นจึงบอกชื่ออาหารที่ชอบออกมาสองสามอย่าง

หลินม่ายตอบตกลง บอกเธอให้เชื่อฟังคุณอาศาสตราจารย์แล้วกลับบ้านไปเตรียมอาหารกลางวัน

ฟางจั๋วหรานมองไปยังหลังของเธอที่กำลังลับสายตาไป ใจเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ

เขาอยากได้ยินคำตอบของหลินม่ายต่อคำอธิษฐานของหนูน้อย โชคไม่ดีที่เขาไม่สามารถรอได้

หนูน้อยอยากกินกุ้งต้ม ไก่สับน้ำแดง กระเพาะหมูผัดเครื่องเทศ ที่หนูน้อยอยากกิน… หลินม่ายจัดเตรียมทั้งหมดแล้วนำไปที่โรงพยาบาล พวกเขาสามคนรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันที่ห้องผู้ป่วยของโต้วโต้ว

ฟางจั๋วหรานให้น่องไก่สองชิ้นกับสองแม่ลูกหลินม่าย

สาวน้อยทั้งสองคนทั้งคนโตคนเล็กเงยหน้าขึ้นพูดขอบคุณพร้อมกัน

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วหยิกแก้มแม่สาวน้อย เขาอยากจะหยิกแก้มแม่สาวคนโตเช่นกัน แต่กลับไม่กล้า

เขายิ้มแล้วถามหลินม่าย “เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างจะกลับเมืองซื่อเหม่ยไหม?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันกลับไม่ได้ค่ะ ยิ่งเป็นวันหยุดกิจการก็ยิ่งยุ่ง อย่างมากฉันก็กลับไปเมืองซื่อเหม่ยให้เร็วหน่อย ไปหาเป็ดไก่มาขาย”

ผู้คนในเมืองเจียงเฉิงชอบกินเป็ดไก่ระหว่างช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง ดังนั้นการขายเป็ดไก่ในช่วงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างไม่อาจหยุดได้

ฟางจั๋วหรานเห็นหลินม่ายรักในการกินกุ้ง เขาจึงหยิบกุ้งขึ้นมาแล้วแกะเปลือกมันออก วางลงในชามเล็กของเธอ “จะกลับตอนไหน? ผมจะกลับไปเมืองซื่อเหม่ยเยี่ยมคุณปู่คุณย่าพร้อมคุณด้วย”

หลินม่ายไม่คิดมาก หยิบกุ้งตัวนั้นใส่ปาก “ไปวันก่อนวันไหว้บ๊ะจ่าง คุณว่างหรอคะ?”

“ว่าง ผมแค่ไม่พักวันเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างแล้วย้ายวันหยุดมาหนึ่งวัน”

ฟางจั๋วหรานตอบอย่างรวดเร็วแน่วแน่

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เออ ศีลเสมอกันอยู่ด้วยกันได้ ทะลึ่งพอกันเลย

คำอธิษฐานของโต้วโต้วจะเป็นจริงไหมน้าาาา

ไหหม่า(海馬)

——————————————————–

(1) 茶叶蛋 ไข่ใบชา = ไข่ต้มที่ใส่ใบชาแดงระหว่างต้ม เวลากินมีกลิ่นหอมของใบชา

ตอนที่ 159 คนส่งถ่านกลางหิมะ

ตอนนั้นเอง หลินม่ายเห็นแสงไฟจากไฟฉายลอดมาใต้ช่องประตูลายตารางหมากรุก

อาจจะเป็นแสงจากไฟฉายของหมอหรือพยาบาลระหว่างการตรวจเยี่ยมผู้ป่วย

นี่ไม่ต่างจากแสงแดดอบอุ่นในฤดูหนาวและร่มในวันฝนตกเลย

ดังนั้น เพื่อจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้ เรายังคงต้องเชื่อมันในแสงสว่าง

หลินม่ายรู้สึกดีใจและรีบเคาะประตูห้องเล็ก ๆ ที่เธออยู่

ในความเงียบสงัดของราตรี เสียงเคาะประตูกังวาลแจ่มชัดเรียกความสนใจของผู้ตรวจตรายามค่ำคืนทันที แสงไฟฉายด้านนอกหยุดนิ่งลง

หลินม่ายถามเสียงเบาแต่กระตือรือร้น “มีใครอยู่ไหม?”

แสงของไฟฉายเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่ประตู

“คือว่า….” หลินม่ายรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะพูดออกไป แต่เธอจำเป็นต้องพูด

เธอตะกุกตะกัก “ขอ…ขอผ้าอนามัยให้ฉันได้ไหม? ประจำเดือนฉันมา”

อ๊า! หวังว่าข้างนอกนั่นจะเป็นนางพยาบาลนะ หรือไม่ก็หมอผู้หญิงก็ได้

อย่าได้เป็นหมอผู้ชายเลย จะน่าอายเกินไปแล้ว!

ด้วยกลัวว่าอีกคนจะไม่ช่วย เธอจึงเร่งรีบกล่าวเสริม “ฉันจะให้เงิน”

หลังจากนั้น เธอควักเอาเงินหนึ่งหยวนออกมาจากตัวเธอ แง้มประตูเล็กน้อย ค่อย ๆ ยื่นมันออกไป

ไม่มีใครตอบอยู่หน้าประตู และไม่มีใครหยิบเงินหยวนนั่นไป

หลินม่ายเห็นว่าแสงไฟนั้นไกลออกไปและไม่กลับมาอีกสักพัก

ในใจเธอคิด ทำไมถึงมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ที่ไม่แม้แต่จะอยากช่วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้กันนะ

ในตอนที่ขาเธอเริ่มชาจากการนั่งยอง ๆ และเธอกำลังจะออกไปทั้งอย่างนี้นั่นเอง แสงจากไฟฉายเคลื่อนที่เข้ามาอย่างช้า ๆ อีกครั้ง

จากนั้น ใครบางคนจากด้านนอกเคาะเบา ๆ ที่ประตู

หลินม่ายรีบร้อนแง้มเปิดประตูออกไป ผ้าอนามัยห่อหนึ่งจึงถูกยื่นมาให้ผ่านรอยแยกนั้น

มันไม่ใช่สายรัดผ้าอนามัยและกระดาษชำระที่ผู้หญิงยุคนี้ใช้ตามปกติ แต่เป็นผ้าอนามัยแบบแผ่น ทำให้หลินม่ายประหลาดใจ

ต้องรู้ว่าผ้าอนามัยแบบแผ่นพึ่งจะวางขายในยุคนี้ และซื้อได้ที่ร้านเฟรนด์ชิพสโตร์เท่านั้น

เฟรนด์ชิพสโตร์ขายแค่ชาวต่างชาติเท่านั้น ยากมากที่คนทั่วไปจะซื้อผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ข้างในนั้นได้

หลินม่ายสงสัย ใครกันเป็นคนมีความสามารถส่งถ่านกลางหิมะให้เธอ กระทั่งผ้าอนามัยยังหามาให้ได้!

เธอจัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเปิดประตูออกไปด้วยความโล่งใจ ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณกับวีรสตรีที่มาช่วยชีวิตเธอ

แต่แล้วกลับพบว่าเป็นฟางจั๋วหรานยืนอยู่หน้าประตู ทำให้เธอรู้สึกเหมือนสายลมได้พัดพาเธอไปไกล

แสงจากไฟฉายในมือของฟางจั๋วหรานโอบล้อมเธออย่างพอดิบพอดีราวกับเธอคือปีศาจที่ถูกกักขังอยู่ในแสงอันเรืองรองของเจดีย์ของโลกบาลหลี่(1)

หลินม่ายปิดหน้าตัวเองโดยสัญชาตญาณแล้วคิดว่าคอเสื้อที่เธอใส่กลางคืนนั้นต่ำอยู่หน่อย ๆ เพราะอากาศร้อน

เธอปิดหน้าอกด้วยมือหนึ่ง อีกมือปิดหน้า ราวกับเป็นหญิงสาวที่ถูกจับกุมในฉากต่อต้านสื่อลามก

ฟางจั๋วหรานแสดงความไม่เข้าใจพฤติกรรมแปลก ๆ ของเธอในการปกปิดนู่นนั่นนี่ “ผมเป็นศัลยแพทย์ มีส่วนไหนของคุณบ้างที่ผมจะไม่คุ้นเคย?”

อ๊า~ ประโยคนี้ช่างน่าอายเกินไปไหม?

หลินม่ายตอบกลับอย่างว่องไร “ถึงคุณคุ้นเคยกับโครงสร้างร่างกายมนุษย์ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะคุ้นเคยกับฉันนี่!”

“ดูเหมือนจะมีเหตุผลเล็กน้อย” ฟางจั๋วหรานยิ้มพริ้มพราย “ถ้าคุณให้โอกาสผมได้คุ้นเคยกับคุณ ผมจะมีความสุขที่ได้เรียนรู้โครงสร้างร่างกายของคุณมาก”

หลินม่ายคลางแคลงใจว่าเขาจะพูดเรื่องลามก แต่เธอไม่มีหลักฐาน

นอกจากนั้นถึงเขาจะพูดจริง ก็เป็นเพราะคำพูดผิด ๆ ของเธอ

นี่มันฉากมรณะทางสังคม(2)ชัดๆ หลินม่ายรู้สึกละอายจนต้องหนีไป

ฟางจั๋วหรานกอบกุมข้อมือของเธอไว้แล้วผลักเธอไปที่ประตูไม้ของห้องน้ำ

แขนเรียวยาวทรงพลังประคับประคองตัวเธอไว้ทั้งสองข้าง เขาเคลื่อนเข้าไปใกล้หน้าของเธอขึ้นมากกว่าเดิม ใบหน้าเขามีความลังเลและยับยั้งชั่งใจ

ในใจหลินม่ายยุ่งเหยิงวุ่นวายมันเต้นกระหน่ำราวกับจะทะลุออกมาจากหน้าอกของเธอ

ศาสตราจารย์ฟาง….เขาคงไม่คิดจะสารภาพรักเธอหรอกใช่ไหม…ไม่อย่างนั้นคงไม่ตกอยู่ในสภาพแบบนี้….

อ๊าาาาาาา ! ถ้าเขาคิดจะสารภาพต่อเธอจริง ควรจะตกลงทันที หรือควรรีรอดี?

ไม่นาน หลินม่ายก็รู้ว่าเธอคิดมากไปเอง

เสียงฟางจั๋วหรานฟังดูเหมือนผู้จัดรายการวิทยุยามค่ำคืน “มีเลือดติดอยู่ด้านหลังกระโปรงของคุณ…”

หลินม่ายหวังเหลือเกินว่าเธอจะหาที่มุดเข้าไปหลบได้ คืนนี้เธออับอายขายขี้หน้าต่อหน้าเขาพอแล้ว

ฟางจั๋วหรานถอดเสื้อกาวน์ของเขาออกมาคลุมเอวของเธอ “ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว คุณกลับไปเปลี่ยนกระโปรง ผมจะเฝ้าโต้วโต้วให้เอง”

หลินม่ายวิ่งกอดอกตัวเองจากไปอย่างรวดเร็ว

ฟางจั๋วหรานเตือนอย่างอ่อนโยนไล่หลังเธอไป “อย่าวิ่งตอนประจำเดือนมา กันไม่ให้เลือดไหลไปตลอดทาง คนที่เขาไม่รู้เขาจะคิดว่าคุณถูกแทงเอานะ”

หลินม่ายไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปจริง ๆ

ศาสตราจารย์ ถ้าคุณไม่เปิดปาก ก็ไม่มีใครหาว่าคุณเป็นบ้าหรอกนะ!

หลินม่ายกลับเข้าบ้านทางสวนอย่างเบา ๆ ด้วยไม่ต้องการรบกวนใคร

ผลปรากฎว่า เมื่อเธอขึ้นไปชั้นบน เสียงเอี้ยดอ้าดของพื้นบันไดไม้ปลุกหลี่หมิงเฉิงที่นอนหลับอยู่ในร้านขึ้น

เมื่อหลี่หมิงเฉิงเปิดไฟในร้านขึ้น หลินม่ายรู้สึกปวดใจ เธอกลัวว่าหวานใจวัยเด็กจะเห็นสภาพนี้ของเธอ เธอจึงรีบวิ่งขึ้นไปบนห้องในอึดใจเดียว

เมื่อจัดการตัวเองเรียบร้อยและกำลังจะลงไปซักผ้าข้างล่างด้วยเสื้อผ้าที่เปลี่ยนใหม่ จึงเห็นว่าหลี่หมิงเฉินยืนอยู่ที่บันได

สายตาของเขาเคลื่อนไปตามหลินม่าย “ทำไมเธอกลับมากลางดึก มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?”

หลินม่ายรีบตอบอย่างชาญฉลาด “ไม่มี ฉันช่วยเหลือผู้ป่วยห้องถัดไป ผู้ป่วยคนนั้นอ้วกใส่ฉันทั้งตัว ก็เลยกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ”

หลังจากหลี่หมิงเฉิงไปและซักผ้าเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายกลับไปที่โรงพยาบาล

ถนนที่พลุกพล่านในยามกลางวัน กลับร้างผู้คนในยามค่ำคืน

ลมราตรีเดือนพฤษภาคมพัดมากระทบศีรษะ ลมให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย หอบเอาความความร้อนรุ่มในใจเธอพัดพาไปกับสายลม ช่วยให้ความคิดของหลินม่ายสงบลง

ฟางจั๋วหรานผู้ชายตัวโตคนหนึ่งสามารถหาผ้าอนามัยที่ขายแค่เพียงชาวต่างชาติในยุคนี้มาได้ ทำให้พอจะคิดได้ว่าผ้าอนามัยนี้บางทีเขาอาจจะเตรียมไว้เพื่อผู้หญิงที่ใกล้ชิดกับเขา

คำตอบที่หาออกมาได้ทำให้หลินม่ายรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย และยังรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

เมื่อกี้เธอยังหวังให้เขาสารภาพรักกับเธอ….

เธอจินตนาการสูงเกินไปแล้ว

ถ้าหากฟางจั๋วหรานไม่ตาบอดเขาคงไม่เลือกเธอ ไม่ต้องคำนึงถึงพื้นเพของพวกเขา ความรู้ หน้าที่การงาน ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมกันเลยระหว่างทั้งสองคน

คิดมากเกินไปแล้ว….

หลินม่ายคิดว่าคืนนี้เธอทำเรื่องน่าอายต่อหน้าฟางจั๋วหรานมากพอแล้ว และจะไม่สถานการณ์ที่เลวร้ายไปยิ่งกว่านี้ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าจะมีสถานการณ์ที่ร้ายแรงกว่ารอเธออยู่ไม่ไกลออกไป

เมื่อเธอเปิดประตูของห้องผู้ป่วย เธอก็เห็นฟางจั๋วหรานนั่งอยู่หน้าเตียงของโต้วโต้ว กำลังอ่านหนังสืออยู่ข้างโคมไฟ

หากมองแค่ภาพนี้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี

ทว่าจุดสำคัญคือ ขณะที่เขากำลังอ่านหนังสือเขามีรอยยิ้มแปลกประหลาดประทับบนใบหน้า ทำให้ขนของหลินม่ายลุกชันไปทั้งตัว

เมื่อเห็นเธอเข้ามา ฟางจั๋วหรานส่งยิ้มมีเลศนัยมาให้เธอ “คาดไม่ถึงว่าคุณจะชอบอ่านหนังสือประเภทนี้”

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้น รับเสื้อกาวน์จากหลินม่ายแล้วเดินออกไป

หนังสือประเภทไหน? เธอเองไม่แม้แต่จะนำหนังสือมาอ่านด้วยซ้ำ

หลินม่ายเดินตรงไปเก้าอี้ที่ฟางจั๋วหรานนั่งเมื่อสักครู่และนั่งลงด้วยความมึนงง หยิบหนังสือที่เขาเพิ่งอ่านแล้วเริ่มอ่านมัน

คาดไม่ถึงมันกลับเป็นหนังสือปกขาว!

คำบรรยายในหนังสือช่างน่าหวาดกลัว

‘เธอไม่สนใจกระมิดกระเมี้ยนอีกต่อไป กอดรัดชายคนนั้นราวกับเป็นงู พลางเอ่ยอย่างออดอ้อน “ฉันยังต้องการอยู่เลย คุณให้ฉันได้ไหมคะ?”’

หลินม่ายโยนหนังสือออกไปไกล อยากจะร้องไห้ แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ของเธอ มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเธอทั้งนั้นเข้าใจไหม?

ใครโยนหนังสือลามกมาใส่เตียงโต้วโต้ว ออกมาเดี๋ยวนี้นะ สาวน้อยอย่างฉันสัญญาว่าจะไม่อัดเธอจนตาย!

———————————————————

托塔李天王 = โลกบาลหลี่ผู้ถือเจย์ดี / 李靖 หลี่จิ้งเป็นแม่ทัพสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนต้น หลังเสียชีวิต เขาได้รับการแต่งตั้งจากองค์เง็กเซียนฮ่องเต้ได้เป็นขุนพลสวรรค์ มีอาวุธคู่กายคือ เจดีย์ 7 ชั้น ที่เคยจับซุนหงอคงขังเอาไว้ เจดีย์นี้สามารถกักขังได้ทั้งวิญญาณ ภูตผีปีศาจ หรือแม้แต่เทพเจ้า

社死现场 หมายถึง การทำสิ่งที่โง่เง่าหรือน่าอับอายในที่สาธารณะ จนไม่อยากปรากฏในสังคมอีก เป็นการตายทางสังคม

สารจากผู้แปล

ผช.ที่ยื่นผ้าอนามัยให้เราตอนที่เรามีประจำเดือนนี่ถือว่าน่ารักมากนะคะ

เดี๋ยวนะ พี่หมอ พี่เห็นม่ายจื่อเป็นผู้หญิงแบบนั้นเหรอ หนังสือนั่นเป็นของพี่มากกว่ามั้ง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 158 หนูน้อยไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย

คุณยายหวังสั่นศีรษะด้วยความเหน็ดเหนื่อย “พวกเธออย่าถามเลย ฉันมีทางออกแล้วกัน”

วิธีนี้เป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของนางและนางจะไม่ใช้มันหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ

ด้วยวิธีการนี้ ถึงฟางจั๋วหรานจะแต่งงานกับหรงหรง เขาจะต้องเกลียดชังนางและครอบครัวหวังทั้งครอบครัวไปตลอดชีวิตของเขา

เขาและหรงหรงจะเป็นได้เพียงคู่สามีภรรยาที่มีแต่ความขุ่นข้องหมองใจ

และพวกเขาสกุลหวังจะได้ประโยชน์จากเขามากน้อยแค่ไหนนั้น ในใจนางไม่รู้แม้แต่น้อย

นางหวังว่าจะคว้าใจฟางจั๋วหรานได้ ให้เขาแต่งงานกับหรงหรงอย่างเต็มใจ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะพยายามทำเพื่อสกุลหวังของนางได้

ถึงตอนนั้น ทรัพย์สินความมั่งคั่งทั้งหมดของเขาย่อมมอบให้สกุลหวังของนางด้วยสองมือของเขาเอง จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

โต้วโต้วข้ามผ่านช่วงระยะอันตรายเจ็ดวันอย่างรวดเร็ว ตอนนี้สามารถย้ายไปอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดาได้แล้ว

ในวันที่สองที่พวกเขาย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยธรรมดา คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเตรียมตัวกลับไปที่หมู่บ้าน

บ่ายนั้น หลินม่ายทำอาหารเลิศรสมากมายเป็นพิเศษเพื่อผู้เฒ่าทั้งสอง และมีฟางจั๋วหรานมาร่วมรับประทานด้วย

ระหว่างมื้ออาหาร หลินม่ายเอ่ยถึงว่าเธออยากจะสร้างบ้านให้คุณยายเถียนและลูกหลานของนางสักหลัง

เธอวางแผนไว้ว่าจะปลูกบ้านใหม่ให้พวกเขาในวันเว้นวันในยามที่เธอกลับไปที่บ้านเพื่อเก็บลูกท้อและลูกไหน

แต่อาการป่วยกระทันหันของโต้วโต้วทำให้แผนของเธอล้มไม่เป็นท่า เธอจำเป็นต้องอยู่ในเมืองเพื่อดูและหนูน้อยที่กำลังป่วย

ทว่าการปลูกบ้านให้คุณย่าเถียนไม่อาจเลื่อนออกไปได้อีก

เป็นปลายเดือนพฤษภาแล้ว ไม่นานเดือนกรกฎาคมก็จะมาเยือน

กรกฎาคมเป็นเดือนที่ฝนตกหนักที่สุดของทั้งปีในมณฑลหูหนานและปริมาณน้ำฝนมากเสียจนผู้คนเริ่มตั้งคำถามกับชีวิต

หากไม่ปลูกบ้านให้คุณย่าเถียนกับหลาน ๆ ก่อนกรกฎาคม ตลอดทั้งเดือนนั้นพวกเขาต้องใช้ชีวิตกว่าครึ่งเดือนอยู่ในบ้านที่มีรอยรั่วซึม

หากแต่เธอผละไปไม่ได้ จึงทำได้เพียงขอให้คุณปู่ฟางช่วยคุณยายเถียนปลูกบ้านสักหลัง

คุณปู่ฟางตอบตกลงด้วยความเต็มใจ

แล้วหอบหิ้วของขวัญเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างที่หลินม่ายเตรียมไว้ให้ผู้เฒ่าทั้งสองพร้อมเงินอีกจำนวนหนึ่งสำหรับสร้างบ้านให้คุณย่าเถียน ขึ้นรถไฟกลับไปกับคุณย่าฟาง

ตอนโต้วโต้วอยู่ในห้องไอซียู หลินม่ายเข้าไปไม่ได้ทำได้เพียงมองหล่อนผ่านกระจกหน้าต่าง ไม่อาจรับรู้ได้ว่าโต้วโต้วฉลาดเฉลียวและแข็งแรงขนาดไหน

หลังจากย้ายมาที่ห้องผู้ป่วยธรรมดา เมื่อเทียบกับเด็ก ๆ ในห้องผู้ป่วยเดียวกันแล้ว หลินม่ายพบว่าโต้วโต้วทั้งฉลาดเฉลียวและแข็งแรงมาก

เด็กที่อยู่ในห้องผู้ป่วยเดียวกันที่โตกว่าหล่อนร้องราวกับหมูถูกเชือดตอนถูกฉีดยาและต้องกินยา หล่อนเป็นคนเดียวที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีโดยไม่ได้ร้องไห้หรือตื่นตระหนก

ยิ่งเจ้าก้อนโต้วน้อยเป็นแบบนี้ หลินม่ายยิ่งรักหล่อนสุดหัวใจมากขึ้น

ฟางจั๋วหรานมาตรวจดูโต้วโต้วทุกวัน หลาย ๆ ครั้งเมื่อพยาบาลบอกให้กินยา หล่อนก็กิน เมื่อต้องฉีดยา หล่อนก็จะยื่นแขนเล็ก ๆ ออกไปให้พยาบาลฉีดยา

เส้นเลือดของเด็กค่อนข้างเล็กและเปราะบาง​ ซึ่งเจาะแล้วรั่วได้ง่าย พยาบาลจะเจาะใหม่อีกรอบโต้วโต้วก็ไม่ร้องไห้

ทุกครั้งที่เขาเห็นภาพนี้ ฟางจั๋วหรานอดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ พูดไปพูดมาคำพูดของเขาก็มักจะเกริ่นให้หลินม่ายมอบความรู้สึกปลอดภัยให้โต้วโต้ว

หลินม่ายไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดเมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอไม่ทำให้โต้วโต้วรู้สึกปลอดภัย? เป็นไปไม่ได้กระมัง

ฟางจั๋วหรานพูดว่าผู้ป่วยโรคหัวใจควรดื่มซุปปลาและกินพุทราจีนให้มาก

ในวันนี้ หลินม่ายทำลูกชิ้นปลาจากเนื้อปลาช่อนและต้มซุปพุทราจีนใส่ลูกชิ้นปลาเป็นพิเศษไปส่งให้โต้วโต้ว

ทันทีที่เดินเข้าไปในประตูห้องผู้ป่วยก็ได้ยินแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยในห้องผู้ป่วยเดียวกันนำโต้วโต้วไปเป็นตัวอย่าง

“ดูลูกสิ ร้องไห้เสียนานทุกครั้งที่กินยาและฉีดยา โต้วโต้วที่อยู่เตียงสองเด็กกว่าลูก เขายังไม่ร้องไห้ตอนกินยาฉีดยาเลย”

เด็กหญิงอายุประมาณเจ็ดแปดขวบเหลือบมองโต้วโต้วอย่างดูถูก “หล่อนมาจากบ้านนอกนี่นา เด็กบ้านนอกไม่กลัวเจ็บหรอก”

โต้วโต้วพูดด้วยเสียงเล็ก ๆ “ฉันไม่ได้ไม่กลัวเจ็บเพราะมาจากบ้านนอกนะ ฉันแค่ชินกับการฉีดยาและกินยาตั้งแต่เด็กน่ะสิ”

เด็กหญิงถามอย่างไม่เข้าใจ “เธอต้องฉีดยาเยอะแยะมากมายขนาดนั้น ทำไมยังกลัวเจ็บอีกล่ะ? เธอยังไม่ชินกับความเจ็บอีกหรอ?”

หลินม่ายได้ยินดังนี้ ใจเธอก็รู้สึกเหมือนจมลงเรื่อย ๆ

โต้วโต้วเคยได้รับการฉีดยาและกินยา? เธอรู้ไหมว่าเธอเป็นโรคหัวใจ?

แต่หล่อนไม่เคยเอ่ยถึงมันต่อตนเลย

ไม่แปลกใจว่าทำไมฟางจั๋วหรานเปรยเสมอว่าเธอต้องให้ความรู้สึกปลอดภัยกับโต้วโต้ว เกรงว่าเขาจะเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างเข้าแล้ว

หลินม่ายปรับอารมณ์ตัวเองแล้วเข้าไปในห้องผู้ป่วยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทักทายโต้วโต้วด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก แม่มาหาแล้ว”

โต้วเรียกแม่ของเธออย่างเจื้อยแจ้ว

หลินม่ายป้อนลูกชิ้นปลาและซุปพุทราจีนให้โต้วโต้ว เห็นเด็กคนอื่นออกไปเดินเล่นกับพ่อแม่บริเวณสวนเล็ก ๆ ของแผนกผู้ป่วยในจึงถามโต้วโต้วอย่างอ่อนโยน “ลูกรู้แล้วว่าตัวเองเป็นอะไรใช่ไหม?”

โต้วโต้วมองเธออย่างตื่นตกใจ และปิดปากแน่น

หลินม่ายยกมือขึ้นลูกหัวนุ่มฟูของเธอ น้ำเสียงอ่อนโยนกว่าเดิม “แม่ได้ยินทุกอย่างที่หนูพูดกับเด็กคนนั้นเมื่อกี้”

หนูน้อยร้องไห้โยเยออกมา “หนูไม่ได้จะโกหกแม่นะคะ​ หนูไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวแม่ไม่ต้องการหนูถ้ารู้ว่าหนูป่วย แม่คนเดิมของหนูเขาไม่ต้องการหนูเพราะหนูป่วย”

หลินม่ายโอบเธอเข้ามากอดในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว “แม่ไม่ได้ว่าหนู แค่อยากบอกหนูว่า ถ้าป่วยไข้ มีคนกลั่นแกล้งรังแก…. หนูต้องบอกแม่ในสิ่งที่หนูจัดการเองไม่ได้ แม่จะได้ช่วยแก้ปัญหาให้หนูได้ทันท่วงทีนะจ้ะ”

เธอจับใบหน้าเล็ก ๆ ของโต้วไว้ แล้วเช็ดน้ำตาให้ “ดูลูกสิ ซ่อนความเจ็บป่วยของตัวเองไว้ แม่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย​ ถ้าแม่รู้เร็วว่านี้แม่จะได้ดูแลหนูให้ดี หนูอาจจะไม่ต้องผ่าตัด​ จำสิ่งที่แม่พูดไว้นะจ๊ะ ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย จะดีหรือไม่ดี แม่จะไม่มีวันทิ้งหนู เพราะหนูเป็นแก้วตาดวงใจของแม่”

โต้วโต้วน้ำตาคลอเอ่อล้นดวงตาเม็ดแตงโมของหล่อน

ฟางจั๋วหรานมาตรวจเช็คร่างกายของโต้วโต้ว ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่และลูกสาวเข้า เขาเดินเข้าไปแล้วบอกโต้วโต้ว “หนูไม่ใช่เป็นเพียงแก้วตาดวงใจของแม่ ยังเป็นแก้วตาดวงดวงใจของอาด้วยนะ​ อาและแม่ของหนูล้วนเป็นคนที่หนูพึ่งพาและเชื่อใจได้ ทีหลังไม่ต้องปิดบังอะไรจากและแม่หนูและอาแล้วนา”

หนูน้อยเบียดร่างกายนุ่มนิ่มของเธอเข้ากับอ้อมแขนของหลินม่าย กระพริบตากลมโตที่ยังเปียกชื้นน้ำตา พึมพำรับอย่างว่าง่าย แล้วปล่อยให้ฟางจั๋วหรานตรวจร่างกายอย่างสงบนิ่ง

เมื่อโจวฉายอวิ๋นมาผลัดกับหลินม่ายดูแลโต้วโต้ว โต้วโต้วก็นอนหลับไปแล้ว

หลินม่ายกระซิบบางคำกับหล่อนก่อนออกจากห้องผู้ป่วยไป และเจอกับฟางจั๋วหรานไม่ไกลออกไป

หลินม่ายทักทายเขาอย่างเป็นธรรมชาติแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมคุณดูออกว่าโต้วโต้วรู้ว่าหล่อนเป็นโรคหัวใจ แล้วยังจงใจปิดฉันคะ?”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะเบา ๆ “ผมเป็นหมอ ต้องจัดการกับคนไข้ทุกวัน แม้ผมจะเห็นเด็กที่เข้มแข็งมาเยอะ แต่เกือบทุกคนไม่มีใครเกิดมาเข้มแข็งแต่แรก​ ในระยะแรกของการรักษาพวกเขาจะร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากการฉีดยาและต้องกินยา​ โดยเฉพาะเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับโต้วโต้ว เพราะพวกเขาไม่คิดอะไร พวกเขาก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น หลังจากระยะเวลายาวนานเด็กบางคนก็จะหยุดร้องไห้ไป​ โต้วโต้วไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าผมเลย ผมเลยเดาว่าหล่อนอาจจะเคยโดนฉีดยาและต้องกินยา​ ทำไมหล่อนถึงชินกับมันน่ะหรือ? ก็เป็นเพราะฉีดยาและกินยาบ่อย ๆ นั่นเอง​ แต่คุณไม่รู้อะไรเลย ผมเลยเดาว่าเด็กน้อยอาจปิดบังปัญหาร่างกายจากคุณ​ เด็กตัวเล็ก ๆ จะมีเจตนาไม่ดีได้อย่างไร? หล่อนซ่อนมันจากคุณเพราะไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยในใจของหล่อน กลัวว่าคุณจะทิ้งหล่อนหากคุณพบว่าหล่อนป่วย”

หลินม่ายผงกศีรษะ “เป็นจริงดังที่คุณวิเคราะห์ไม่ผิดเพี้ยนเลยล่ะ โต้วโต้วกลัวว่าฉันจะทิ้งหล่อน จึงไม่กล้าบอกความจริงกับฉัน”

เธอถอนหายใจบางเบา “แม่ผู้ให้กำเนิดโกหกหล่อนว่าจะไปซื้อซาลาเปามาให้กิน​ บอกให้หล่อนรออยู่ใกล้ ๆ สถานีรถไฟ ในความเป็นจริงตอนนั้นหล่อนรู้แล้วว่าแม่ต้องการจะทิ้งตัวเอง​แต่หล่อนไม่มีทางเลือกได้แต่เชื่อฟังแม่อย่างว่าง่าย หล่อนในตอนนั้นจะสิ้นหวังขนาดไหนกัน!”

ฟางจั๋วหรานเอ่ยขึ้น “พวกเราทำได้เพียงค่อย ๆ รักษาความบอบช้ำทางจิตใจของหล่อนอย่างช้าๆ”

หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย

แม้หนูน้อยจะถูกย้ายไปที่ห้องผู้ป่วยผู้ป่วยทั่วไป แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่มากและต้องมีคนคอยเฝ้าในตอนกลางคืน

ตอนบ่าย หลินม่ายนอนหลับพักผ่อนที่บ้านแล้วกลับมาที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าโต้วโต้วหลังทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว

แม้ว่าโต้วโต้วจะต้องการคนคอยดูแล ตราบใดที่โต้วโต้วหลับอยู่ เธอยังเอนนอนข้างเตียงได้

หากโต้วโต้วต้องการเข้าห้องน้ำหรือรู้สึกไม่สบายตัว เพียงแค่เปล่งเสียงเล็กน้อยหลินม่ายจะตื่นขึ้น

หลังนอนหลับกระทั่งเที่ยงคืน โต้วโต้วยังหลับอย่างสงบ หลินม่ายกลับตื่นขึ้นเพราะเธอดื่มน้ำมากเกินไป

เธอหันไปดูโต้วโต้วและเห็นว่าด็กน้อยยังหายใจอย่างสม่ำเสมอ จึงไปเข้าห้องน้ำด้วยความวางใจ

แต่แล้วเธอก็ตกใจเมื่อพบว่าประจำเดือนของตนมา แต่ตอนนี้เธอไม่มีผ้าอนามัยอยู่กับตัวเลย

เธอนั่งยอง ๆ อยู่ในห้องน้ำลำพัง ไม่รู้ต้องทำอย่างไรต่อ

คงไม่ต้องนั่งยอง ๆ อย่างนี้ไปทั้งคืนกระมัง~~~

………………………………………………………….

สาร​จาก​ผู้แปล​

เลือกเอานะคะคุณยายว่ายอมให้นังหรงแต่งกับพี่หมอแต่แลกด้วยการโดนพี่หมอเกลียดแบบไม่เผาผียกตระกูลได้ไหม

น้องโต้วโต้วเข้มแข็งมากเลย​ งืออออ

เอาทิชชูมายัดๆๆ​ แก้ขัดไปก่อนดีไหมคะ​ เรื่องน่ารำคาญใจของผญ.จริงๆ​ ค่ะ​ เข้าใจอารมณ์เลย​ วันเตรียมผ้าอนามัยพร้อมคือไม่มา​ วันไหนไม่ได้เตรียมปุ๊บคือมาเป็นก๊อกแตก​ กวนมาก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 157 พวกเขาไม่ควรได้รับการประกันตัวจากผม

คุณยายหวังและคนอื่นต่างก็งุนงง

พวกเขาคิดมาเสมอว่า ตราบใดที่หลินม่ายมาสถานีตำรวจท้องที่เพื่อกลับคำให้การ หวังเฉียงและเพื่อนสองคนของเขาจะปลอดภัย

คาดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์ว่าหวังเฉียงมีความผิดจริงถึงสามครั้งตามที่พวกเขาได้ยินและได้เห็นกับตาพวกเขาเอง

แม่หรงรีบเอ่ย “สหายเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น เหตุผลคือลูกสาวฉันไม่ชอบเสี่ยวหลินและไม่ต้องการให้เธอขายผลไม้ในชุมชนเราไม่เคยคิดข่มขู่เธอเลย”

“นี่จริง ๆ แล้วเป็นการข่มขู่แน่นอน!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “แม้จะไม่การข่มขู่ พวกเขาไล่คนออกไปทั้งขัดขวางไม่ให้พวกเขาขายผลไม้ นี่เป็นการกลั่นแกล้งซึ่งอยู่ในขอบเขตการลงโทษอย่างร้ายแรงด้วย”

แม่หรงและคนอื่น ๆ ตลึงงัน

หลินม่ายไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจเธอกลับเริงร่า

เจ้าหน้าที่ตำรวจเอ่ยต่อ “พวกคุณพยายามก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมโดยคาดคั้นและหลอกล่อเหยื่อ ความประพฤติเช่นนี้ไม่อาจไม่เอาโทษได้​ ทิ้งข้อมูลทุกอย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ สถานที่ทำงาน ถนนสำนักงาน ของพวกคุณไว้ เราจะต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง”

คุณยายหวังและคนอื่นมึนงง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะยิ่งทำยิ่งเสีย

แม้พวกเขาจะอธิบายแล้วอธิบายอีกว่าพวกเขาไม่ได้ข่มขู่และหลอกล่อหลินม่าย

หวังแค่ว่าเธอจะมาอธิบายความเข้าใจผิดและทำให้กระจ่างว่าพวกหวังเฉียงสามคนนั้นไม่ใช่คนไม่ดี

แต่เจ้าหน้าที่ชี้ไปประเด็นที่ว่ากลุ่มหวังเฉียงทั้งสามคนได้ขู่กรรโชกตอนนั้นจริง ความเข้าใจผิดมาจากที่ไหน? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเถียงข้างๆคูๆ

และยังขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของศาลอีก พวกเขาทุกคนจึงถูกกักตัวไว้เพื่อรับการอบรม

หลินม่ายกลับบ้านคนเดียว

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเดินไปทั่วบ้านอย่างเป็นกังวล

ทันทีที่เห็นหน้าเธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง “ได้ยินจากโจวฉายอวิ๋นว่าเธอไปกับครอบครัวแซ่หวังหรือ? พวกเขาพาไปทำไม? เรื่องแย่ ๆ เธอไม่ควรเก็บเอาไว้กับตัวนะ?”

หลินม่ายไม่เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดแก่ผู้เฒ่าทั้งสองว่าทำไมครอบครัวหวังพาเธอไปสถานีตำรวจท้องที่ ยังบอกผู้เฒ่าทั้งสองเรื่องที่ครอบครัวได้รับการอบรมอยู่สถานีตำรวจท้องที่

คุณย่าฟางรู้สึกโล่งใจแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเขาโยนก้อนหินใส่เท้าตัวเองแท้ ๆ สมควรโดน!”

ครอบครัวหวังหรงทั้งสี่คนไม่เพียงแต่ได้รับการอบรมที่สถานีตำรวจท้องที่ พวกเขาต้องได้การการประกันจากผู้รับประกันว่าพวกเขาจะไม่ทำผิดอีกครั้งก่อนที่พวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกมา

ผู้รับประกันเป็นได้ทั้งเครือญาติ เพื่อน ป้าในสำนักงานแขวง หรือเจ้านายที่ทำงาน

มันไม่ใช่เรื่องน่าสรรเสริญอะไรและเจ้านายที่ทำงานจะต้องไม่รู้เรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะโดนลงโทษ

ในทศวรรษนี้ ที่ทำงานมีการจัดการเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาที่เคร่งครัดกับฝ่ายบริหารและพนักงาน ตราบที่ศีลธรรมจรรยาของบุคคลนั้นมีรอยด่างพร้อย ไม่ต้องพูดถึงการลงโทษเลย ถึงขั้นขับออกก็เป็นไปได้

ไม่อาจให้คนที่สำนักงานแขวง ญาติหรือเพื่อนที่ไม่ค่อยสนิทกันรู้ได้ เพราะอาจรับไม่ไหวหากจะสูญเสียคนนั้นไป

หลังจากครุ่นคิดกลับไปกลับมา พ่อหรงจึงไม่มีทางเลือกต้องโทรหาไปน้องสาวของเขาที่ที่ทำงานของหวังเหวินฟางและขอให้หล่อนเป็นผู้รับประกันเพื่อปล่อยครอบครัวพวกเขาทั้งสี่คนออกมา

หวังเหวินฟางจะกล้าไปที่สถานีตำรวจท้องที่ประกันตัวพวกเขาออกมาได้หรือ ถ้าโดนเอี่ยวไปด้วยจะทำอย่างไร?

ตอนนี้หล่อนกำลังแข่งขันชิงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานวัฒนธรรมประจำจังหวัดกับคู่แข่ง

หากเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ หล่อนจะปีนขึ้นไปได้อย่างไรกัน?

หวันเหวินฟางคิดคำนวนบางอย่างอยู่ในใจแล้วโทรหาฟางจั๋วหรานให้ไปเป็นผู้รับประกันที่สถานีตำรวจท้องที่

แม่ของหล่อนใจดีมีเมตตาต่อฟางจั๋วหราน ถึงเวลาที่เขาจะตอบแทนความใจดีของหล่อน

หลังจากฟางจั๋วหรานได้รับโทรศัพท์จึงรีบบึ่งไปที่สถานีตำรวจท้องที่ประกันคนออกมา แต่ว่าประกันออกมาเพียงคุณยายหวังเท่านั้น

เมื่อคุณยายหวังเห็นว่านางได้ออกมาเพียงคนเดียวจึงถามฟางจั๋วหราน “พวกน้องสาวของเธอล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบด้วยท่าทางปกติ “ไม่มีคนประกันตัวพวกเขา พวกเขาเลยยังอยู่ข้างในครับ”

คุณยายหวังเงียบลงแล้วออกคำสั่ง “ถึงอย่างไรเธอก็มาแล้ว ประกันตัวพวกเขาออกมาเถอะ”

ฟางจั๋วหรานช่วยพาคุณยายหวังออกไป “พวกเขารอให้คุณน้ามารับประกัน พวกเขาควรรอให้คุณน้าประกันตัว ไม่ใช่ผม”

หวังเหวินฟางโทรหาเขา เขารู้ว่าหล่อนต้องการอะไร

หล่อนไม่กล้าและไม่ต้องการประกันตัวครอบครัวฝั่งแม่ของตัวเอง เพราะกลัวว่าจะส่งผลร้ายแรงต่อตัวเอง จึงผลักเขาออกมาเป็นพลทหารสังเวยลูกปืน

เขาเองก็มักน้อย ห่วงใยเพียงแค่คุณยายที่เลี้ยงเขามา คนที่เหลือที่รอเขาอยู่เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย

ต้องการหลอกใช้เขาหรือ? ฝันไปเถอะ!

คุณยายหวังหยุดเดินแล้วอ้อนวอน “จั๋วหราน ฉันรู้เธอไม่ชอบน้าของเธอ แต่เธอช่วยเห็นแก่หน้าฉัน ช่วยครอบครัวน้องสาวเธอออกมาดีหรือไม่?”

ฟางจั๋วหรานก้มหัวลงแล้วมองนางด้วยสายตาซับซ้อน “ท่านรู้ไหมว่าทำไมลูกสาวท่านไม่มาที่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อหาคน? และยังเป็นญาติของเธอด้วย?”

แน่นอนว่าคุณยายหวังรู้

สำหรับหล่อนแล้ว คนที่จะมาย่อมเป็นฟางจั๋วหราน ไม่ใช่หวังเหวินฟาง

ในยามวิกฤต ฟางจั๋วหรานสามารถเสียสละได้ แต่พวกเขาครอบครัวหวังไม่สามารถเสียสละได้

คุณยายหวังพูดด้วยความไม่มั่นใจ “ไม่ใช่ว่าน้าเธอยุ่งเกินไปหรือ ไม่อย่างนั้นหล่อนคงมาที่นี่นานแล้ว”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะเบา ๆ “สำนักงานวัฒนธรรมงานยุ่งหรือผมกันแน่ที่งานยุ่ง? ผมมาได้แต่หล่อนกลับมาไม่ได้?”

คุณยายหวังตกตะลึงไม่อาจปฏิเสธได้

ฟางจั๋วหรานพูดต่อเสียงราบเรียบ”ลองมองย้อนกลับไป หากหล่อนยุ่งเกินกว่าจะมาจริง​ ทำไมไม่โทรเรียกจั๋วเยวี่ยมา งานของจั๋วเยวี่ยคงไม่ยุ่งนะครับ”

พูดมาถึงตอนนี้ เขาก็จงใจให้คุณยายหวังเป็นแนวกันชน “ถ้างั้นผมโทรหาจั๋วเยวี่ยให้มาประกันครอบครัวน้าเขาดีไหม?”

“ไม่ต้อง!” คุณยายหวังโพล่งออกมา

ฟางจั๋วหรานยังคงมีรอยยิ้มงดงามและอ่อนโยนในตา ทว่ารอยยิ้มเขากลับเยือกเย็น

“ทำไมถึงไม่ต้องครับ?”

คุณยายหวังมองเขา ไร้คำพูดโดยสิ้นเชิง

“ผมจะตอบแทนคุณยายเอง เพราะจั๋วเยวี่ยเป็นหลานของท่าน ท่านไม่อยากให้เขาต้องพาตัวเองมาเดือดร้อน​ ผมเสี่ยงได้ แต่ผมต้องการเสี่ยงเพราะท่านเท่านั้น ครอบครัวหวังหรงไม่ได้ช่วยเหลือผม ทำไมผมต้องเสี่ยงเพราะพวกเขาครับ?”

คุณยายหวังพึมพำ “ดังนั้นฉันถึงให้เธอเห็นแก่หน้าฉัน”

“ผมเข้าใจความหมายของคุณยาย คุณยายใจดีกับผม จึงมีสิทธิ์ที่จะร้องขอให้ผมตอบแทนบุญคุณ​ หากความสัมพันธ์ระหว่างคุณยายและหลานเป็นความเพียงความรักและการตอบแทน ผมจะยอมรับมัน​ ผมแค่อยากจะถามคุณยาย ผมต้องตอบแทนอีกสักกี่ครั้งผมถึงจะตอบแทนคุณยายได้หมดสิ้น?”

คุณยายหวังราวกับหัวใจแตกสลายแล้วพูดขึ้น “จั๋วหราน เธอพยายามจะสะสางบัญชีกับฉันหรือ?”

ฟางจั๋วหรานส่ายหัว “ไม่เลย เป็นคุณยายต่างหากที่ต้องการเปลี่ยนความเมตตาที่ชุบเลี้ยงผมมาให้กลายเป็นการลงทุน”

คุณยายหวังหลับตาลงด้วยความปวดหัว “เธอจะพูดอย่างไรก็ตาม ถือว่ายายขอ ประกันครอบครัวน้องสาวเธอออกมาเถอะ​ ไม่ใช่ว่าเธอพูดว่าต้องการกตัญญูต่อฉันหรือ? ช่วยประกันครอบครัวน้องสาวเธอออกมาก็เป็นการแสดงความกตัญญูต่อฉันแล้ว”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้ว ผมกตัญญูต่อท่านจึงต้องเสียสละตนได้ทุกเวลา แต่มันไม่จำเป็นที่ครอบครัวของท่านเองต้องกตัญญูต่อท่าน”

เขาไม่พูดอะไรอีก สมตามความปรารถนาของคุณยายหวัง เขาประกันครอบครัวหวังหรงทั้งสามคนออกมา

ทันทีที่หวังหรงออกมา​ หล่อนก็โผเข้าหาเขา “พี่ชาย ฉันรู้ว่าพี่ดีต่อฉัน~”

ก่อนที่หล่อนจะกระโจนเข้าใส่เขา ฟางจั๋วหรานก็หันหลังกลับแล้วจากไปโดยไม่แยแส

หวังหรงรู้สึกผิดหวัง หงุดหงิด และมึนงง ถามคุณยายหวังว่า “คุณย่า ญาติผู้พี่เป็นอะไรไปคะ?”

คุณยายหวังถอนหายใจด้วยใจแตกสลาย “พี่ชายเธอไม่ได้ต้องการประกันตัวพวกเธอออกมาเลย ฉันบังคับให้เขาประกันเธอออกมา”

แม่หรงโพล่งขึ้นมาทันใด “เขาช่างไม่คิดบ้างเลย เขาเป็นแค่หมาที่ท่านเลี้ยงมา ทำไมเขาจะไม่ต้องประกันตัวเรา จะเป็นไปได้ไงที่ท่านเลี้ยงเขามาเปล่าๆ ปลี้ ๆ”

พ่อหรงพูดขึ้นด้วยหน้าตาบูดเบี้ยว “ผมบอกแม่ตลอด ตอนที่หมาป่าตาขาวนั่นยังฟังแม่อยู่ ให้บังคับเขาแต่งงานกับหรงหรง แต่แม่ยืนกรานเองว่าค่อยเป็นค่อยไป​ ตอนนี้แม่ต้องการให้เขาประกันพวกเราออกมา เขาไม่แม้แต่จะเต็มใจชดใช้ท่าน ให้เขาแต่งงานกับหรงหรงน่ะเหรอ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้!”

ใบหน้าคุณยายหวังเต็มไปด้วยความเสียใจ

ถ้ารู้ว่าฟางจั๋วหรานจะควบคุมยากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนี้นางควรฟังลูกชายและหมั้นหมายเขากับหรงหรงให้เร็วกว่านี้

หลังกลับจากสถานีตำรวจท้องที่ คุณยายหวังพูดเสียงเบา “อย่ารีบร้อนเรื่องการแต่งงานระหว่างหรงหรงกับจั๋วหรานไปนัก ฉันมีวิธีบังคับให้เขาแต่งงานกับหรงหรง”

แม่หรงและพ่อหรงพูดขึ้นพร้อมเพรียงกัน “วิธีไหน?”

……………………………………………………

สาร​จาก​ผู้แปล​

วินาทีที่บังคับ​พี่หมอให้ประกันตัวครอบครัวนังดอกบัวขาว​ ก็รู้เอาไว้เลยนะคะคุณยายว่าพี่หมอหมดความศรัทธา​ต่อท่านแล้ว

นังหรง​ อย่าให้เจอพี่หมอเวอร์ชั่นปาก​มีดผ่าตัดด่าเธอกลางสี่แยกเชียวนะ

ไหหม่า​(海馬)

ตอนที่ 156 ไปสถานีตำรวจท้องที่ด้วยกันเถอะ

ในตอนเช้า หลังฟางจั๋วหรานตรวจคนไข้ในช่วงเช้าเสร็จและกำลังจะไปเยี่ยมโต้วโต้ว พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งมาหาเขาแล้วแจ้งว่ายายของเขาอยู่ที่นี่

ฟางจั๋วหรานคาดการณ์ไว้แล้วว่าคุณยายของเขาจะมาหา

หากครอบครัวหวังหรงต้องการช่วยหวังเฉียงออกมา พวกเขาคงต้องไปขอร้องให้คุณยายของเขาออกหน้าและบังคับให้เขาช่วย

แม้จะรู้ว่าทำไมคุณยายถึงมาหาเขา ฟางจั๋วหรานก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ และเดินไปหาคุณยายด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“คุณยาย ทำไมมาที่นี่ได้ล่ะครับ? กินข้าวเช้าแล้วหรือยัง? ถ้ายังผมจะพาท่านไปเปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน​ กินเกี๊ยวต้มสักหน่อย”

คุณยายยิ้มอย่างโอบอ้อมอารี “เธอกำลังพูดถึงเปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยนที่หลินม่ายเปิดใช่ไหม?”

ฟางจั๋วหรานแสดงสีหน้าประหลาดใจ “คุณยายรู้ได้ยังไงครับ?”

“หรงหรงบอกฉันมา”

คุณยายไม่อยากพูดถึงเรื่องอื่นจึงเอ่ยเข้าประเด็น “จั๋วหราน ยายมีเรื่องให้เธอทำนิดหน่อย”

ฟางจั๋วหรานพยุงนางนั่งลงบนเก้าอี้ในสถานที่ค่อนข้างเงียบสงบบริเวณทางเดินในตึก “เรื่องอะไรหรือครับ?”

“เธอรับปากยายก่อนได้ไหม?” คุณยายมองมาที่เขาอย่างรอคอยด้วยความกังวล

ฟางจั๋วหรานยิ้มบางเบา “ผมยังไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไร จะรับปากคุณยายก่อนได้ยังไงครับ?​ ถ้ารับปากไปก่อนแต่ทำไม่ได้ จะกลายเป็นว่าผมไม่รักษาสัญญานะครับ”

ถึงแม้ใบหน้าเขากำลังยิ้มแย้ม ในใจเขากลับเยือกเย็น

ถึงแม้ว่าเขารู้มาเนิ่นนานแล้วว่าคุณยายของเขาปฏิบัติต่อเขาต่างจากสกุลหวัง แต่เขายังบังคับตัวเองให้รู้สึกชินชาในหัวใจและคิดว่าคุณยายใจดีต่อเขาอย่างแท้จริงและปฏิบัติต่อหวังหรงและผู้อื่นอย่างเท่าเทียม

แต่ตอนนี้คุณยายกำลังบังคับเขาเพื่อครอบครัวของนาง ทำให้เขาไม่ต้องหลอกตัวเองอีกต่อไป

คุณยายพูดอย่างตัดสินใจแล้ว “เธอต้องทำได้อย่างแน่นอน”

ฟางจั๋วหรานยกมือขึ้นแล้วมองไปที่นาฬิกาข้อมือ “ถ้ามีอะไรคุณยายก็รีบ ๆ บอกผมเถอะครับ ผมยังมีคนป่วยวิกฤตที่ต้องไปตรวจ”

คุณยายถอนหายใจอย่างเงียบงันภายในใจ

เด็กคนนี้มีความสามารถแบบนี้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็กและไม่มีประโยชน์ที่ผู้อื่นจะบังคับให้เขาทำสิ่งที่เขาไม่ต้องการรับปาก “ญาติผู้พี่เธอถูกจับเรื่องนี้เธอรู้ใช่ไหม”

“นั่นเป็นความผิดของเขาเอง”

คุณยายสะอึกไปสักพักแล้วกอบกู้ตัวเองกลับมา ร้องขอ “พูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด แต่เขาเป็นหลานชายของฉันไม่ว่ายังไง และเขาเป็นหลานชายคนเดียวของฉัน เธอช่วยเขาได้ไหม”

ฟาวจั๋วหรานยิ้ม “ช่วยยังไงครับ? คุณยายต้องการให้ผมไปก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมของศาลหรือ?​ อันดับแรก ผมไม่มีความสามารถขนาดนั้น อย่างที่สอง​ ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด ถ้าผมเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ คุณยายไม่กลัวจะกระทบผมหรือครับ?”

คุณยายเอามือเขามาตบเบา ๆ “ยายไม่เคยคิดให้เธอไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของศาล ยิ่งไม่อยากให้เธอเป็นอันตราย​ สำหรับเธอและญาติผู้พี่ของเธอต่อยายแล้ว ฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ(1) เธอเพียงแค่ไปบอกหลินม่ายเรื่องนี้ ให้เธอบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิด”

ฟางจั๋วหรานถาม “แล้วมันยุติธรรมต่อหลินม่ายหรือครับ?”

“พวกเราจะชดใช้ให้เธอ”

ฟางจั๋วหรานยังคงเงียบ

ไม่ใช่เพราะคำพูดคุณยายชักจูงเขา แต่เป็นคำว่า “ชดใช้” ที่สั่นไหวเขา

การส่งหวังเฉียงไปสถานีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่เพียงเพื่อให้เขาได้รับบทเรียน

หลินม่ายจะได้รับค่าชดใช้ถ้าเพียงแต่รถแทรกเตอร์ถูกทุบ

….อย่างไรก็ตาม ถ้าครอบครัวหวังเต็มใจที่จะชดใช้หลินม่าย หวังเฉียงก็จะได้รับบทเรียนเช่นกันและยังแก้ปัญหาที่แก้ไม่ตกของหลินม่ายอีกด้วย

“ชดใช้เท่าไหร่ครับ?”

คุณยายยิ้ม “ห้าร้อนหยวนเป็นอย่างไร?”

เมื่อฟางจั๋วหรานได้ยิน​ เขาปฏิเสธทันที

ห้าร้อยหยวน แม่สาวน้อยหามันได้ภายในเดือนเดียวทใครต้องการกัน!

ยิ่งไปกว่านั้นห้าร้อยหยวนไม่อาจสั่งสอนบทเรียนให้หวังเฉียงได้แม้แต่น้อย

“ผมว่าจะดีที่สุดถ้าปล่อยให้หวังเฉียงได้รับบทเรียนในคุกสักหน่อย”

คุณยายอ้อนวอน “ถือซะว่าเห็นแก่หน้าฉัน เธอช่วยญาติผู้พี่ของเธอไม่ได้หรือ?”

“ปัญหาคือ เขาไม่ใช่ญาติผู้พี่ของผม เขาเป็นแค่หลานของแม่เลี้ยงผม”

“แต่เขาเป็นหลานชายของฉัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เธอจะให้ยายทำยังไง?”

คุณยายร้องไห้ออกมาขณะเธอพูด

ฟางจั๋วหรานกอดเธอ “คุณย่ายังมีผมไม่ใช่หรือครับ?”

ถึงตอนนี้ พยาบาลเข้ามาเตือนฟางจั๋วหรานว่าเขากำลังจะมีผ่าตัดเร็วๆนี้ ให้เขาเตรียมตัว

เขาจึงรีบจากไปอย่างทันท่วงที

คุณยายดีต่อเขา เขาย่อมต้องแสดงความกตัญญูกับเธอให้ดี

หากแต่ถ้าต้องการให้เขาละทิ้งหลักการของตัวเองเพื่อช่วยเหลือหวังเฉียง ก็จงลืมมันไปเสีย เขาไม่อาจเสียสละแม่สาวน้อยเพื่อทำให้คุณยายพอใจ

ไม่แม้แต่คุณปู่คุณย่าของเขา

คุณยายนั่งตกตะลึงอยู่บนเก้าอี้สักพัก จากนั้นจึงไปที่เสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่าย

หลินม่ายอดหลับอดนอนอยู่โรงพยาบาลทั้งคืน พึ่งกลับมาและกำลังจะขึ้นไปชั้นบนเพื่อนอนหลับพักผ่อนหลังทานอาหารเช้า

เมื่อเห็นคุณยายหวังมาหาเธอถึงหน้าประตู เธอเดาได้ว่าเป็นเพราะเรื่องของหวังเฉียง

แม้เธอจะรู้จักฟางจั๋วหรานเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้รู้ว่าคุณยายหวังไม่ใช่ยายแท้ ๆ ของฟางจั๋วหราน

ด้วยเห็นแก่หน้าฟางจั๋วหราน หลินม่ายกระตือรือร้นกับคุนยายหวังอย่างมาก ทั้งยังต้องการจะเตรียมอาหารเช้าให้เธอ

คุณยายหวังโบกมือ “ฉันมาหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เธอไม่ต้องยุ่งยากไป”

หลินม่ายพานางขึ้นไปห้องรับแขกเล็กๆ ชั้นบน คุณยายหวังอธิบายจุดประสงค์ของเธอและมองอย่างคาดหวัง

“เดิมทีแล้ว–ฉันควรขอฟางจั๋วหรานเรื่องนี้และให้จั๋วหรานมาขอร้องเธออีกที แต่ฉันกลัวว่าจั๋วหรานจะติดอยู่ตรงกลาง​ เขาเป็นเด็กที่ฉันเลี้ยงดูมาด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่เด็ก เขาให้ค่ากับความรักและความถูกต้อง​ ถ้าฉันขอร้องเขา เขาไม่อาจทนปฏิเสธได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้เธิถูกเสี่ยวเฉียวรังแก​ ฉันไม่ต้องการให้เขามีปัญหาจึงมาหาเธอโดยตรง ขออภัยที่ฉันมาโดยกระทันหัน”

หลินม่ายเข้าใจคำพูดของนางโดยทันที

คำพูดของคุณยายหวังอาจดูนุ่มนวลหากแต่ฟาดฟัน ฟางจั๋วหรานคิดถึงเธอเสมอในสิ่งที่เขาจะทำ เธอก็ควรเห็นแก่เขา ยอมตกลงที่จะช่วยหวังเฉียงทันที?

คนอื่นอาจไม่รู้ แต่หลินม่ายย่อมรู้ดี

หวังเฉียงและสหายน้อยทั้งสองคนไม่ได้ถูกจับเพราะคำให้การของเธอ แต่เป็นเพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นพวกเขาเอง

การที่เธอไม่ไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปลี่ยนคำให้การของเธอ กลับเป็นประโยชน์ต่อหวังเฉียงและเพื่อนน้อยทั้งสองของเขา

พวกเขายืนกรานว่าพวกเขาขับไล่เธอออกไปเพราะลุกขึ้นสู้เพื่อหวังหรง

การขู่กรรโชกเธอเป็นเพราะกทำตามอำเภอใจ เมื่อคิดแล้วคำตัดสินอาจไม่ร้ายแรงนัก อยากมากก็ติดคุกแค่หนึ่งปีครึ่ง

อย่างไรก็ตามหากเธอยืนกรานที่จะไกล่เกลี่ย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะประวิงให้เป็นการก้าวก่ายกระบวนการยุติธรรมของศาล น่ากลัวว่าความผิดจะหนักหนากว่าเดิม และหวังเฉียงกับเพื่อทั้งสองอาจจะถูกตัดสินด้วยโทษที่หนักขึ้น

ในเมื่อคนครอบครัวหวังยืนยันที่จะสร้างฟ้าสร้างผืนดิน(2) อย่างนั้นเธอจะช่วยพวกเขาเติมเต็มมัน

หลินม่ายผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว “คุณยายหวังต้องการให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำอย่างนั้น

คุณยายหวังกุมมืออย่างปลื้มปิติ “รู้อยู่แล้วว่าเธอต้องเป็นเด็กดี!”

หลินม่ายดึงมือนางออกอย่างใจเย็น “ถ้าอย่างนั้นเมื่อคุณยายหวังเตรียมการดีแล้ว ฉันก็จะไปสถานีตำรวจท้องที่”

คุณยายหวังกลับไปที่บ้านของลูกชายอย่างมีความสุข และบอกคนทั้งสามเกี่ยวกับข่าวดีนี้

หวังหรงพูดขึ้นด้วยหน้าตาดำคล้ำ “นังแพศยาน้อยนั่นรีบตกลงอย่างรวดเร็วเป็นเพราะเธออยากจะทำให้ญาติผู้พี่พอใจน่ะสิคะ”

คุณยายหวังเย้ยหยัน “ปล่อยหล่อนไปเถอะ ให้เธอช่วยพี่ชายหลานก่อน หลังจากนั้นหากหล่อนต้องการอยู่กับพี่ชายหลาน ย่าจะให้หล่อนตักน้ำด้วยถังไม้ไผ่(3)”

คุณยายหวังนำครอบครัวไปที่เสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่าย

หลินม่ายตามพวกเขาไปที่สถานีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่

ระหว่างทาง แม่หรงก็บอกสิ่งที่หลินม่ายต้องพูดเมื่อไปถึงสถานีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่

พ่อหรงวาดวิมานกลางอากาศให้หลินม่ายไม่หยุดหย่อน ตราบใดที่เธอช่วยหวังเฉียงและเพื่อนน้อยทั้งสองของเขาออกจากสถานีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ พวกเขาจะไม่เสียประโยชน์ให้เธอ

หลินม่ายยิ้ม “ฉันไม่ต้องการผลประโยชน์ค่ะ”

เมื่อพวกเขามาถึงสถานีตำรวจท้องที่ ต่อหน้าครอบครัวหวังหรงทั้งสามคน หลินม่ายก็บอกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบคดีของหวังเฉียงและสหายน้อยทั้งสองของเขาว่าแม่หรงต้องการให้เธอพูด

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฟัง สีหน้าเขาจริงจังขึ้นเรื่อย ๆ “พวกเราไม่ได้จับหวังเฉียงสามคนนั้นเพราะเธอรายงาน​ เป็นเพราะพวกเราเห็นตอนเขากระทำผิดด้วยสายตาของพวกเรา เราถึงจับพวกเขา

เธอก็รู้เรื่องนี้ดี ทำไมถึงต้องการถอนคำสารภาพของพวกเขา? มีคนข่มขู่ใช่ไหม?”

ในตอนที่เขาพูดขึ้น สายตาอันแหลมคมของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นกวาดมองคุณยายหวังและคนอื่นๆ

——————————————————————————————————–

(1) 手心手背都是肉 ฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ หมายถึง มีความสำคัญเท่ากันทั้งสอง

(2) 作天作地 หมายถึง คนที่ต้องการทำสิ่งที่มันผิดกฎ

(3) 竹篮打水一场空 ตักน้ำด้วยถังไม้ไผ่ หมายถึง ทำทุกสิ่งไปโดยเปล่าประโยชน์

สารจากผู้แปล

เอาผู้ใหญ่มาช่วยขนาดนี้ จะต้านไห​วเหรอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 155 ใครเป็นคนในครอบครัวคุณ

ผ่านไปสักครู่ โต้วโต้วรู้สึกเหนื่อยจึงล้มตัวลงนอน

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไปหาฟางจั๋วหรานเพื่อถามถึงอาการของโต้วโต้ว

ฟางจั๋วหรานเดินมาหาพร้อมน้ำอัดลมสองขวดในมือของเขา

เมื่อเห็นคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกับหลินม่าย “คุณปู่คุณย่า ทำไม่พวกท่านมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?”

เพียงเท่านั้นคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางถึงนึกขึ้นได้ถึงจุดประสงค์ที่พวกเขาเข้ามาในเมืองครั้งนี้ และบอกเขากับหลินม่ายถึงเรื่องราวทั้งหมด

ฟางจั๋วหรานมองหลินม่ายอย่างเคร่งเครียด “หวังเฉียงเป็นคนทุบรถแทรกเตอร์ของคุณในคราวนั้นเหรอ ทำไมคุณไม่บอกความจริงผม?”

หลินม่ายค่อนข้างสับสน “ก็ฉันไม่รู้นี่นา!”

ในครอบครัวหวังหรง เธอรู้จักเพียงหวังหรงคนเดียว แต่ไม่ได้รู้จักหวังเฉียง

เธอมองผู้เฒ่าทั้งสองแล้วมองฟางจั๋วหราน “ฉัน…ฉันทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”

คุณย่าฟางเหลือบตามองเธอ “เธอทำอะไรผิด? คนเขากลั่นแกล้งเธอ เธอไม่ทวงถามความยุติธรรมจากพวกเขาหรือ? ปู่ของเธอกับฉันเข้าเมืองมาเพื่อเป็นกำลังหนุนให้เธอ!”

หลินม่ายจึงค่อยวางใจ

หากคุณปู่ฟางคุณย่าฟางและฟางจั๋วหรานขอให้เธอปล่อยหวังเฉียงไป เธอคงต้องทำ แต่เธอคงเหินห่างจากพวกเขานับแต่นั้น

โชคดีที่พวกเขาเป็นล้วนเป็นคนมีเหตุผล

…….

ฟางเว่ยกั๋วและภรรยารีบรุดไปที่หมู่บ้านซานหยางกลับเห็นว่าประตูบ้านหลินม่ายมีกุญแจล็อกอยู่

สองสามีภรรยามองหน้ากันด้วยความสงสัย

หวังเหวินฟางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไม่ใช่ว่าคนๆ นั้นเล่นตลกกับเราเหมือนเป็นลิงเป็นค่างหรือ?”

เมื่อเห็นมีคนผ่านมา ฟางเว่ยกั๋วรีบสอบถาม “ทำไมไม่มีคนอยู่ที่บ้านนี้เลยครับ?”

ชาวบ้านคนนั้นบอก “คุณถามถึงม่ายจื่อหรือ หล่อนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณต้องการเช่าบ้านใช่ไหม?”

เขาชี้ไปข้างหน้า “ไปที่ทำการหมู่บ้านหาผู้ใหญ่บ้านสิ เจ้าของบ้านวางใจให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยหาบ้านเช่าให้หล่อน”

คู่สามีภรรยาไปหาผู้ใหญ่บ้านโดยไม่หยุดพักเพื่อสอบถามที่อยู่ของหลินม่าย

ผู้ใหญ่บ้านขอโทษขอโพย “ฉันรู้แค่ว่าม่ายจื่อเช่าร้านใกล้โรงพยาบาลผู่จี้เพื่อทำธุรกิจ แต่ไม่รู้รายละเอียดว่าเป็นที่ไหน”

ขอบเขตแคบลงมากแล้วหากค่อย ๆ เคาะประตูไปทีละหลังยังคงหาหลินม่ายพบ

สองสามีภรรยาขอบคุณเขาอย่างสุภาพแล้วรีบขับรถออกไป

ฟางเว่ยกั๋วจริง ๆ แล้วไม่อยากมีเอี่ยวกับคดีของเว่ยเฉียง

ตอนนี้เขาเป็นถึงหัวหน้าผู้มากความสามารถขององค์กรใหญ่โตพรั่งพร้อมด้วยอนาคตแสนรุ่งโรจน์ เขาหวงแหนคุณสมบัตินี้ของเขายิ่งนัก

ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาการดำเนินมาตรการอย่างเข้มงวด หากผิดพลาดไปแม้แต่น้อย อาจจะกระทบหน้าที่การงานของเขาได้

ระหว่างเดินทางกลับ ฟางเว่ยกั๋วเอ่ยกับหวังเหวินฟาง “ผมช่วยเรื่องทางครอบครัวฝั่งคุณได้เท่านี้ ให้พวกเขาไปหาคนใกล้โรงพยาบาลผู่จี้ด้วยตัวเองเถอะ”

หวังเหวินฟางพยักหน้าอย่างว่าง่าย

หากไม่จำเป็นจริงๆแล้ว หล่อนก็ไม่อยากให้เขาเข้าไปพัวพันกับคดีของหวังเฉียง

หากฟางเว่ยกั๋วล้มลง สกุลหวังก็จะขาดคนเกื้อหนุน

หวังเหวินฟางส่งต่อคำพูดไปถึงครอบครัวสกุลหวัง

หวังหรงโกรธเสียจหน้าดำคล้ำราวกับก้นหม้อ

นังแพศยาน้อยนั่นพยายามจะล่อลวงญาติผู้พี่ของหล่อนจริง ๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่เช่าร้านทำกิจการอยู่ใกล้ ๆ โรงพยาบาลผู่จี้ ไม่ใช่เพราะต้องการใกล้ชิดกับญาติผู้พี่ของหล่อนมากขึ้นหรอ!

พวกเขาสมาชิกครอบครัวทั้งสามคนไม่แม้แต่จะกินข้าวเย็น ไปสอบถามที่อยู่ของหลินม่ายใกล้โรงพยาบาลผู่จี้

คุณปู่ฟางและภรรยาไม่ค่อยได้เข้ามาในเมืองบ่อยนัก หลินม่ายทำอาหารอร่อยมากมายหลายอย่างให้พวกเขา และพวกเขารับประทานอาหารอย่างพออกพอใจ

หลังอาหารเย็น หลินม่ายจะไปส่งซุปบำรุงให้โต้วโต้วและอยู่ที่โรงพยาบาลต่อเพื่อเฝ้าหล่อน

แม้ว่าโต้วน้อยผู้น่ารักอาการดีขึ้นมากแล้วตอนนี้ อย่างไรก็ตามหล่อนยังไม่พ้นระยะอันตรายและหลินม่ายเป็นกังวลหากไม่ได้อยู่เฝ้าหล่อนที่โรงพยาบาล

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ต้องการไปเยี่ยมหนูน้อยเช่นกัน

สุดท้ายไม่ใช่เพียงแต่พวกเขาที่ต้องการตามไป ฟางจั๋วหรานก็ไปด้วยกัน

ทุกคนเดินไปคุยไปแล้วไปเจอกับสมาชิกครอบครัวของหวังหรงทั้งสามคน

หวังหรงนึกไม่ถึงว่าเมื่อพวกเขาทั้งสองคนมาถึงถนนเจี่ยเฟิงก็จะพบหลินม่าย

เมื่อเห็นหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานเดินเคียงกันมา หล่อนอิจฉาตาร้อนเจียนจะเป็นบ้า ปรารถนาที่จะพุ่งเข้าไปฉีกกระชากหลินม่ายให้เป็นชิ้นๆ

หากแต่เมื่อนึกถึงปัญหามากมายที่ครอบครัวพวกเขากำลังประสบ จึงทำได้แต่ระงับอารมณ์ตนเองไว้โดยไม่มีทางเลือก

พ่อหวังหรงเดินไปหยุดอยู่ข้างหน้าหลินม่าย เขาพูดอย่างตื่นเต้น “โอ้ เสี่ยวหลิน เจอเธอสักที! ที่แท้หนูคุ้นเคยดีกับจั่วหรานและผู้เฒ่าฟางนี่เอง พวกเราเป็นดั่งน้ำพรั่งพรูสาดซัดวังมังกร(1) คนในครอบครัวแท้ๆ กลับไม่รู้จักคนในครอบครัว ไปกันเถอะ ไปสถานีตำรวจท้องที่กับอา ไปพาพี่ชายเสี่ยวเฉียงออกมา ดูสินี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งเพทั้งนั้น!

ตอนที่พูดเขาสื่อความนัยผ่านสายตาให้กับภรรยาและลูกสาว

แม่ลูกหวังหรงรีบเร้าดึงหลินม่าย

หากแต่โดนสกัดกั้นโดยคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง

คุณย่าฟางพูดด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “ใครเป็นคนบ้านเดียวกับพวกเธอ ถ้าเป็นครอบครัวเดียวกัน ลูกสาวของพวกเธอจะยุยงให้พี่ชายหล่อนกลั่นแกล้งม่ายจื่อเหรอหา! ยังจะบอกว่าเข้าใจผิดอีก เข้าใจผิดผายลมสิ! ทุบรถแทรกเตอร์ของม่ายจื่อเสียขนาดนั้น คิดว่าพวกเราไม่รู้เรอะ!”

คุณปู่ฟางไม่พอใจอย่างมาก “เสี่ยวเฉียงบ้านเธอเป็นพี่ชายม่ายจื่อ? ไม่ต้องมาเอ่ยเรื่องสายสัมพันธ์หรอก มันจะทำให้คนเขาอยากจะสำรอกออกมาเปล่าๆ!”

คุณแม่หรงไม่ใช่คนที่มีความอดทน เมื่อถูกตำหนิติเตียนโดยผู้เฒ่าตระกูลฟางทั้งสองตรงนั้น หล่อนต้องการที่จะระเบิดอารมณ์เสียตรงนั้นให้ผู้เฒ่าทั้งสองได้เห็น

แต่หล่อนเป็นผู้มีอันจะกิน ในใจหล่อนจึงรู้สึกกระดากอายอยู่บ้างเล็กน้อย

ยิ่งไปกว่านั้นลูกชายหล่อนยังต้องพึ่งพาพวกเขาผู้เฒ่าทำมาหากิน หล่อนไม่กล้าอาละวาดจึงต้องอดกลั้นมันไว้

คุณพ่อหวังหรงพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “หรงหรงทำผิดไปแล้ว พวกเราได้อบรมสั่งสอนแกเรียบร้อยแล้วครับ”

คุณปู่ฟางโบกมือ “นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวเธอ ไม่ต้องมาบอกพวกเรา หลีกไป อย่ามาขวางทาง!”

คุณพ่อหรงร้องขอ “ท่านปู่ ให้เสี่ยวหลินช่วยเสี่ยวเฉียงเถอะครับ ขอร้องท่านเถอะ”

คุณปู่ฟางเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม “พวกเธอมีความสามารถนักไม่ใช่เหรอ? ถึงกับสั่งให้เว่ยกั๋วไปหาพวกเราได้ เราไม่ได้ตอบตกลงเสียหน่อย เว่ยกั๋วไว้หน้าพวกเราอยู่บ้างจึงหาทางออกให้ตัวเอง ขอร้องพวกเราให้ได้อะไร?”

ทันทีที่เขาคิดถึงการกระทำที่น่าอับอายของลูกชายคนโตที่มีต่อคู่สามีภรรยาเฒ่าทั้งสองเพราะเรื่องวุ่นวายของครอบครัวหวังเหวินฟาง คุณปู่ฟางจึงไม่อาจระงับความโกรธได้

พ่อหวังหรงยังอยากตื้อเขาต่อ แต่ฟางจั๋วหรานกลับผลักเขาไปด้านข้างอย่างไม่เกรงใจแล้วกันคุณปู่ฟางและคนอื่นให้เดินต่อไป

หวังหรงไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ตะโกนใส่หลังของฟางจั๋วหราน “พี่ชาย เห็นคนตายแล้วจะไม่ช่วยจริง ๆ เหรอ”(2)

ฟางจั๋วหรานกล่าวทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “หากฟ้าส่งภัยพิบัติลงมายังมีหวังที่จะรับมือได้ แต่ถ้าภัยพิบัตินั้นเกิดขึ้นด้วยการกระทำของตนก็ไม่อาจหลีกหนีมันได้นะ”

ครอบครัวหวังหรงไม่มีทางเลือกได้แต่จากไปอย่างไม่พอใจ

หลินม่ายและทุกคนเฝ้าดูนางพยาบาลป้อนซุปบำรุงให้โต้วโต้วในโรงพยาบาลและหยอกเล่นกับหล่อนผ่านกระจกสักพัก เมื่อหล่อนหลับไปแล้ว คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็กลับไปเช่นกัน

แม้บ้านพักจะขาดแคลนยิ่งนักในยุคนี้ แต่ด้วยตำแหน่งของฟางจั๋วหราน แผนกการแพทย์จัดสรรบ้านที่มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่นให้เขา

ฟางจั๋วหรานวางแผนจะพาปู่ย่าของเขาไปพักที่บ้านพักเขาสักสองวัน

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “ไปบ้านฉันเถอะค่ะ คุณปู่คุณย่าพักในห้องฉันกับโต้วโต้ว ฉันจะไปนอนกับพี่ฉายอวิ๋น”

ฟางจั๋วหรานปฏิเสธ “ตอนนี้เป็นปลายพฤษภา อากาศค่อนข้างร้อน ถ้าคุณนอนกับโจวฉายอวิ๋นจะไม่ร้อนเกินไปหรือ?”

“อยู่ห้องเดียวกันไม่ได้หมายความว่าจะนอนเตียงเดียวกันสักหน่อย” หลินม่ายกล่าว “ฉันย้ายเตียงเล็กของโต้วโต้วไปห้องพี่ฉายอวิ๋นก็ได้แล้ว ต่างคนต่างนอนคนละเตียง จะร้อนได้ยังไง? คุณปู่คุณย่าอยู่กับคุณ งานคุณยุ่งขนาดนั้น มีเวลาดูแลคุณปู่คุณย่าที่ไหน? หากคุณปู่คุณย่าอยู่บ้านฉัน หากพวกท่านอยากไปเยี่ยมโต้วโต้วจะไปตอนไหนก็ย่อมได้ สะดวกสะบายอะไรขนาดนี้!”

หลินม่ายมีวาทศิลป์ยิ่งนัก ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือกได้แต่เชื่อฟังเธอ และช่วยเธอย้ายเตียงโต้วโต้วไปห้องโจวฉายอวิ๋นและจัดแจงที่ทางให้ผู้เฒ่าทั้งสองก่อนจากไป

ทันทีที่ครอบครัวหวังหรงทั้งสามคนกลับถึงบ้าน พ่อแม่ของเพื่อนที่ดีสุดทั้งสองของหวังเฉียงมาถึงหน้าประตูและบังคับให้พวกเขาช่วยหวังเฉียงออกมาทันที

พ่อหรงและแม่หรงพูดถึงเรื่องดี ๆ เป็นเวลานาน สุดท้ายจึงทำให้พวกเขาจากไปด้วยความลำบากยากเข็ญ

สมาชิกครอบครัวทั้งสามคนเศร้าโศกราวกับเสียพ่อแม่ปรึกษาหารือกันว่าจะช่วยคนอย่างไร

ทันใดนั้นสายตาของพ่อหรงสว่างวาบขึ้นมา “เราลืมท่านผู้นี้ไปเสียแล้ว ตราบใดที่เราสามารถเชิญให้ท่านผู้นี้มาได้ ไม่ต้องกลัวว่าเสี่ยวเฉียงจะออกมาไม่ได้”

แม่กับลูกสาวถามขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน “เป็นใครกัน?”

พ่อหรงมองภรรยาและลูกสาวด้วยความภาคภูมิใจ แน่นอนว่าเป็นคุณย่าของหรงหรง คุณยายของจั๋วหราน! ขอให้คุณย่าหรงหรงชวนจั๋วหรานให้พาคนแซ่หลินมา นั่นไม่เท่ากับว่าสิ้นเรื่องแล้วหรือ?”

แม่หรงดีใจกับข่าวดีคาดไม่ถึงนี้ “ฉันลืมแม่ย่าไปได้ยังไง?”

คนทั้งสามรีบไปหาคุณย่าหรงหรงอีกครั้ง

———————————————————————

(1)大水冲了龙王庙 น้ำพรั่งพรูสาดซัดวังมังกร หมายถึง เกิดข้อพิพาทระหว่างคนใกล้ชิดเพราะไม่รู้จักกัน

(2) 见死不救 เห็นคนตายแล้วไม่ช่วย หมายถึง ไม่พยายามที่จะช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายอย่างร้ายแรง

สารจากผู้แปล

ตระกูลนี้ยุ่งเหยิงอีนุงตุงนังไม่ใช่น้อยเลย เหนื่อยใจแทนม่ายจื่อเลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 154 อย่ามาเล่นลูกไม้

เพียงเท่านั้นพ่อหวังหรงจึงยอมปริปาก “เรื่องนี้จัดการง่าย ให้เว่ยกั๋วบ้านคุณถามพ่อแม่เขาดูสิ พ่อแม่เขาใจดีกับนังแพศยาตระกูลหลินนั่น ตราบที่พ่อแม่เขาขอให้นังแพศยาน้อยนั่นไปสถานีตำรวจไกล่เกลี่ยกับเสี่ยวเฉียง เรื่องนี้จะไม่ลงเอยพอดีหรือ?”

หวังเหวินฟางปรายตามองเขา “เรื่องราวมันจะง่ายดายปานนั้นอย่างที่คุณพูดที่ไหน! คนแก่ไม่ยอมตายพวกนั้นสมองมีปัญหาจะแย่ พวกเขาไม่แม้แต่จะช่วยให้ลูกชายไต่ระดับ พวกเขาจะยอมช่วยเสี่ยวเฉียงงั้นหรือ?”

หวังหรงคว้ามือหล่อนมากุมแล้วออดอ้อนเหมือนเด็กเล็ก “คุณน้า ลองดูเถอะนะคะ”

อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงหลานชายเพียงคนเดียวของหล่อน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่หวังเหวินฟางจะปล่อยให้เขาตาย

เมื่อกลับมานอนในคืนนั้น หล่อนก็บอกฟางเว่ยกั๋วในเรื่องนี้ แล้วให้เขาไปขอร้องพ่อแม่เขา

ฟางเว่ยกั๋วคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่เขาจะช่วยเหลือเสี่ยวเฉียง แต่เขาไม่อาจต้านทานการหว่านล้อมออดอ้อนของหวังเหวินฟางได้ สุดท้ายเขายังคงตอบตกลงที่จะไปเยือนบ้านพ่อแม่เขาสักครั้ง

หลินม่ายไม่ได้กลับไปที่หมู่บ้านเป็นเวลาหลายวันแล้ว คุณปู่คุณย่าฟางสองสามีภรรยาเฒ่าจึงเป็นกังวลมาก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกิจการของเธอไม่ดีหรือเป็นเพราะเธอไม่กลับไปที่หมู่บ้านด้วยเหตุผลอื่น ผู้เฒ่าทั้งสองจึงไม่มีแม้ความอยากรับประทานอาหารกลางวันในบ่ายนั้น

ในตอนนั้นเองเพื่อนบ้านผ่านหน้าประตูพวกเขาแล้วตะโกนขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่ท่านย่า มีแขกมาหาบ้านพวกท่านแหนะ”

คุณย่าฟางยิ้มร่าทันที คุณปู่ฟางเอ่ย “ต้องเป็นม่ายจื่อกลับมาแล้วแน่นอน!”

คู่สามีภรรยาเฒ่าวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็วและออกไปดู จากนั้นรอยยิ้มบนหน้าพวกเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายทีละน้อย

รถยนต์ซั่งไห่คันหนึ่งกำลังใกล้เข้ามา เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกชายคนโตที่กำลังมา

คุณย่าฟางคุณปู่ฟางสองสามีภรรยาเฒ่ามีความรู้สึกค่อนข้างซับซ้อนต่อลูกชายและลูกสาวของพวกเขา

ใจหนึ่งหวังให้พวกเขามีเวลาว่างมาเยี่ยมเยียนคู่สามีภรรยาเฒ่าบ้าง แต่อีกใจก็กลัวว่าพวกเขาจะมา

ทุกครั้งที่พวกเขามาล้วนต้องการให้สองสามีภรรยาเฒ่าใช้สายสัมพันธ์ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ

ทว่าสองสามีภรรยาเฒ่าไม่อยากทำเช่นนั้น

ช่วยให้พวกเขาเติบโต ทั้งที่พวกเขาต้องการแค่เพียงได้เลื่อนตำแหน่งและความมั่งคั่ง ไม่ใช่ทำเพื่อประเทศชาติและผู้คน

คุณย่าฟางและคุณปู่ฟามองหน้ากันแล้วเข้าห้องไปโดยไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียวแล้วกินอาหารต่อ

ไม่กี่นาทีต่อมา รถยนต์ซั่งไห่หยุดอยู่หน้าบ้านพวกเขา

ฟางเว่ยกั๋วและภรรยาของเขาออกจากรถพร้อมกระเป๋าสองใบ

ก่อนจะเข้าประตู หวังเหวินฟางยิ้มแล้วพูด “มาแต่เช้าไม่สู้มาได้ถูกเวลา ทันเวลาพ่อแม่กินอาหารกลางวันพอดีเลยนะคะ อาหารพวกนี้ดูไม่มีรสชาติเอาเสียเลย ฉันจะไปร้านขายอาหารตุ๋นของรัฐซื้ออาหารตุ๋นสักหน่อย”

พูดจบก็วางของในมือไว้ที่มุมห้องแล้วออกไปท่ามกลางแดดแผดเผา

จากนั้นไม่นานหล่อนก็ซื้ออาหารตุ๋นหลากชนิดกลับมา จัดแจงนำใส่จานอย่างรวดเร็วแล้วนำเสิร์ฟบนโต๊ะ

ฟางเว่ยกั๋วเปิดขวดสุราอู่เหลียงเย่ที่เขาซื้อมา ต้องการจะดื่มกับคุณปู่ฟางสักแก้วสองแก้ว

คุณปู่ฟางปฏิเสธคำชวนของลูกชายด้วยการอ้างว่าอากาศร้อนเกินไปเขาจึงไม่อยากดื่ม

คุณย่าฟางกินผักกวางตุ้งที่นางผัดเองเล็กน้อย แล้วพูดกับลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ “พวกเธอไม่มาวัดโดยไร้เหตุผลหรอก(1) บอกมาเถอะว่าต้องการอะไร อย่ามาเล่นลูกไม้หน่อยเลย”

ตอนนี้เองฟางเว่ยกั๋วถึงอธิบายความตั้งใจของเขา

คุณปู่ฟางขมวดคิ้วแล้วถาม “แกบอกว่าแกถูกหลอก ทำไมฉันฟังแล้วดูไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย? หลานของภรรยาแกล้วนขับไล่หลินม่ายออกไป แกยังบอกว่าหล่อนถูกหลอก? แกคิดว่าฉันแก่จนเลอะเลือนหรือไง? หลอกได้ง่ายงั้นเหรอ?”

ฟางเว่ยกั๋วกล่าวอย่างอดทน “เรื่องก็เกิดแล้ว ภายหลังต้องให้เสี่ยวเฉียงขอโทษเสี่ยวหลินแน่นอน เราจะพูดถึงเรื่องนี้หลังจากช่วยเขาออกมาก่อน”

คุณย่าฟางพูดด้วยความโมโห “ฉันก็ว่าทำไมม่ายจื่อไม่กลับมาเก็บผลไม้ที่หมู่บ้านเสียหลายวัน ที่แท้เพราะหลานภรรยาแกเล่นสกปรกและไม่ให้หล่อนขายผลไม้ในชุมชนพวกเขานี่เอง แกรู้ไหม มีชาวบ้านมากมายแค่ไหนตั้งตารอให้หลินม่ายกลับมาที่หมู่บ้านเก็บเกี่ยวผลไม้พวกเขาจึงจะได้มีเงินเล็กๆน้อยๆ ไว้ใช้ หลานภรรยาแกลับกลั่นแกล้งเสี่ยวหลิน ไม่อบรมสั่งสอนเขาให้ดี ยังจะให้คนถูกกระทำขอโทษเขา สามัญสำนึกแกไปอยู่ที่ไหน!”

สีหน้าฟางเว่ยกั๋วมืดครึ้มเมื่อเขาเห็นว่านอกจากแม่ของเขาจะไม่ช่วยแล้ว ยังด่าเขาแบบสาดเสียเทเสียอีก

หวังเหวินฟางพูดเสียงอ่อย “ครั้งนี้เสี่ยวเฉียงทำผิดใหญ่หลวง ต่อไปพวกเราจะอบรมสั่งสอนแกให้ดี พ่อแม่ช่วยพูดกับเสี่ยวหลินให้มาแสดงตัวแล้วช่วยเสี่ยงเฉียงออกมาเถอะนะคะ”

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเราจะปล่อยให้เสี่ยวหลินได้รับความคับข้องใจไปทำไม!”

ฟางเว่ยกั๋วและภรรยาของเขาขอร้องอยู่เป็นเวลานาน แต่สองสามีภรรยาเฒ่าไม่ยอมรับปาก จึงกลับไปโดยไม่ได้แม้แต่กินอาหารกลางวัน

ก่อนที่รถจะแล่นออกจากเมืองนั้น มีป้าคนหนึ่งขวางไว้ก่อน

ป้าคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นอู๋จินฮวา

แม้ว่าฟางเว่ยกั๋วและภรรยาจะทั้งโมโหทั้งรำคาญอยู่ในใจ ใบหน้าพวกเขากลับดูเข้าถึงง่าย

หวังเหวินฟางชะโงกหัวออกมาจากหน้าต่างรถแล้วถามอย่างใจดี “พี่สาวคนนี้ พี่มีเรื่องอะไรคะ?”

อู๋จินฮวาโพล่งขึ้น “เมื่อกี้ฉันผ่านประตูบ้านพ่อแม่คุณ ได้ยินคุณสอบถามที่อยู่ของหลินม่าย ฉันรู้นะว่าหล่อนอยู่ที่ไหน”

สามีภรรยาทั้งสองดีใจเหลือเกินกับข่าวดีนี้ พวกเขาได้ที่อยู่ในเมืองจากอู๋จินฮวา จึงตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านซานหยาง

สองสามีภรรยาเฒ่าจัดการกินอาหารกลางวันอย่างอารมณ์ไม่ดี

คุณปู่ฟางคิดถึงมันแล้วก็รู้สึกกังวล “ไม่ได้การ ฉันต้องเข้าไปในเมืองเพื่อปกป้องม่ายจื่อ เกรงว่าคนแซ่หวังจะข่มขู่บังคับหล่อนให้ช่วยคนออกมา!”

คุณย่าฟางตอบทันควัน “ฉันจะไปกับคุณด้วย”

หลังผู้เฒ่าทั้งสองเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว พวกเขานั่งรถไฟไปเจียงเฉิง

พวกเขาไปตามที่อยู่ที่หลิงม่ายทิ้งไว้ เมื่อไปถึงร้านเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนกลับไม่พบหลินม่าย พบแค่โจวฉายอวิ๋น

เมื่อโจวฉายอวิ๋นเห็นผู้เฒ่าทั้งสองคน หล่อนก็ทั้งแปลกใจและดีใจ รีบพาพวกเขาไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นสองอย่างกระตือรือร้น เปิดน้ำอัดลมแช่เย็นและยกถั่วเขียวต้มมาให้

คุณย่าฟางโบกมือ “เธออย่ายุ่งยากไปเลย ม่ายจื่ออยู่ไหนละ?”

โจวฉายอวิ๋นหน้าแข็งค้าง

โต้วโต้วเข้ารับการผ่าตัดทรวงอกและอยู่ในโรงพยาบาล หล่อนชั่งใจว่าควรจะบอกผู้เฒ่าทั้งสองเรื่องนี้หรือไม่ แต่ก็กลัวว่าผู้เฒ่าทั้งสองจะรีบร้อนออกไปไม่ว่าดีหรือร้าย

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อพวกเขาเห็นท่าทางลังเลของเธอ

คุณปู่ฟางถามอย่างเคร่งเครียด “เกิดอะไรขึ้นกับม่ายจื่อ?”

โจวฉายอวิ๋นลังเลที่จะเอ่ย แต่สุดท้ายก็พูด “หล่อนไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ”

คุณย่าฟางถามอย่างกังวล “แล้วคนไปไหน บอกฉันเร็ว อย่าให้ฉันต้องแน่นหน้าอกเสียก่อน”

เท่านั้นเองโจวฉายอวิ๋นละล้าละลังพูดออกมา “หล่อนอยู่เป็นเพื่อนโต้วโต้วที่โรงพยาบาลค่ะ”

ณ โรงพยาบาลผู่จี้แผนกผู้ป่วยใน

หลินม่ายยืนอยู่หน้าหน้าต่างห้องไอซียูของโต้วโต้ว มองดูพยาบาลป้อนข้าวต้มปลาที่เธอทำเป็นพิเศษให้เด็กน้อยแสนรัก

ทันใดนั้นมีคนเรียกชื่อเธอขึ้นมา

เธอหันหน้าไปแล้วจึงพบว่าเป็นคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟาง พวกเขาชะงักค้างอยู่กับที่

เธอพึมพำ “คุณปู่ คุณย่า พวกท่านมาที่นี่ได้ยังไงคะ?”

คุณย่าฟางพูดกระฟัดกระเฟียด “ถ้าพวกเราไม่มา เราจะรู้ว่าโต้วโต้วป่วยได้อย่างไร”

จากนั้นนางก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “โต้วโต้วเจ็บป่วยจากโรคอะไร ทำไมแกถึงได้อยู่ในห้องไอซียู?”

โจวฉายอวิ๋นบอกพวกเขาแค่เพียงว่าโต้วโต้วรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

แต่หล่อนไม่ได้บอกว่าเป็นโรคอะไร เพราะไม่กล้าที่จะพูดออกมา

เมื่อเห็นว่ากระดาษไม่อาจห่อไฟ(2) หลินม่ายไม่มีทางเลือกได้แต่อึกอัก “คือ….โรคหัวใจโดยกำเนิด…ค่ะ”

ผู้เฒ่าทั้งสองราวกับถูกฟ้าผ่า

คุณปู่ฟางจ้องมองไปข้างหน้าแล้วเอ่ย “แย่แล้ว ทำไมเป็นโรคนี้ได้ แล้วจะทำอย่างไรดี!”

หลินม่ายเห็นว่าผู้เฒ่ายืนเซเล็กน้อย เธอจึงรีบพาไปนั่งบนเก้าอี้

เธอกล่าวปลอบด้วยเสียงนุ่ม “ศาสตราจารย์ฟางผ่าตัดให้โต้วโต้วด้วยตัวเอง โต้วโต้วปลอดภัยแล้ว โต้วโต้วตอนนี้ดีขึ้นแล้วและเติบโตได้เหมือนเด็กทั่วไปในอนาคต คุณปู่คุณย่าไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ”

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางล้วนเป็นผู้ได้รับการศึกษา มิฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของปักกิ่ง และอีกคนเป็นเจ้าหน้าที่ระดับต้น

หล่อนหัวใจวายอย่างเฉียบพลันและผ่านการผ่าตัด จะเป็นไปได้อย่างไรที่หล่อนจะไม่แตกต่างจากเด็กทั่วไปมากนัก อย่างน้อยที่สุดร่างกายของหล่อนก็ไม่แข็งแรงเท่าเด็กทั่วไปแล้ว

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมาก หลังจากปรับอารมณ์จึงพิงอยู่ด้านหน้าหน้าต่างของห้องไอซียูเพื่อมองดูเด็กน้อยที่น่ารัก

โต้วโต้วเห็นพวกเขาจึงยกมือขึ้นโบกให้พวกเขาอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นเด็กน้อยที่น่ารักร่าเริงแจ่มใส ผู้เฒ่าทั้งสองจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยัยป้าดอกไม้สีทองนี่ตายยากจริง ยังอยู่ก่อกวนชีวิตม่ายจื่ออีก

เอาสิ เรื่องใหญ่ขนาดปู่ย่าฟางออกโรงเอง รอเก็บเศษหน้าได้เลยนังหรง

ไหหม่า(海馬)

——————————————————————-

(1)无事不登三宝殿 ไม่มีเรื่องไม่มาวัด หมายถึง มาเยี่ยมคนด้วยจุดประสงค์ซ่อนเร้น (ต้องการขอบางสิ่ง)

(2) 纸包不住火 กระดาษไม่อาจห่อไฟ หมายถึง ไม่มีทางที่จะปกปิดความลับไว้ได้

ตอนที่ 153 เรียกค่าชดเชย

เนื่องจากได้งีบหลับในตอนเช้าแล้ว หลินม่ายจึงยังไม่รู้สึกง่วงในตอนนี้

หลังจากกลับถึงบ้าน ดื่มน้ำแก้วใหญ่ ล้างหน้าล้างตาด้วยน้ำเย็นเรียกความสดชื่น เธอก็เดินตรงไปที่บ้านป้าหู

แม้โต้วโต้วเป็นโรคหัวใจพิการโดยกำเนิด แต่ที่ครั้งนี้อาการกลับแย่ลงกว่าเดิมก็เป็นเพราะหยางหยางหลานชายของป้าหูมีส่วนเกี่ยวข้อง เธอจึงต้องให้ครอบครัวเขาชดใช้

ก่อนหน้านั้นโต้วโต้วกำลังอาหารหนักและเธอเองก็อ่อนล้า ตอนนี้เธอมีเวลาแล้ว ย่อมต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้น

โต้วโต้วเข้าโรงพยาบาล ทำให้หลินม่ายได้รับความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก ทว่าป้าหูก็ไม่ได้ดีกว่ากันไปเท่าไร

ไม่ได้เป็นเพราะโต้วโต้ว หากเป็นความยุ่งเหยิงของตัวเอง

หล่อนจ้างคนงานด้วยค่าจ้างต่ำมาก คนหนุ่มสาวจึงไม่อยากมา จึงได้แต่จ้างคุณป้าวัยห้าสิบปีซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหล่อน

คุณป้าสูงวัยล้วนมีมือเท้าไม่ค่อยคล่องแคล่ว

เมื่อคืนนี้ป้าที่เป็นผู้ช่วยหล่อนถือซุปกระดูกไม่มั่นคงนักในตอนที่นำไปเสิร์ฟลูกค้า จึงทำมันหกใส่ตัวเอง ทำให้เกิดแผลน้ำร้อนลวกขนาดใหญ่จนต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัว

ลูกชายและลูกสาวของผู้ช่วยคนนั้นร้องขอให้ป้าหูช่วยออกค่ารักษาพยาบาล ค่าบำรุงร่างกาย และค่าขาดรายได้

เพื่อที่จะแข่งขันกับหลินม่ายในการทำกิจการ ป้าหูทำธุรกิจเข้าเนื้อตลอดเวลา ไม่เพียงแต่จะไม่ได้เงินแล้วยังต้องเสียเงินอีกด้วย

หล่อนเพิ่งจ่ายค่าจ้างให้ผู้ช่วยเมื่อไม่กี่วันนี้เอง การเงินยิ่งตึงมือยิ่งกว่าเดิมจนรู้สึกหดหู่เจียนตาย

ดังนั้นเมื่อลูกชายและลูกสาวของผู้ช่วยคนนั้นเรียกร้องให้หล่อนจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าบำรุงร่างกายและค่าเสียเวลา เธอจึงระเบิดอารมณ์ตรงนั้น

เธอตบโต๊ะดังปังแล้วพูด “แม่พวกเธอทำตัวเอง แล้วจะมาบอกให้ฉันจ่ายค่านู่นค่านี่อีกเหรอ? หล่อนทำงานที่นี่ให้ฉัน ทำน้ำร้อนลวกตัวเองไม่พอยังทำให้กิจการฉันล่าช้าอีก ดีแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่หักเงินเดือนหล่อน พวกเธอยังจะให้ฉันจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่ากระจุกกระจิกอีก ฉันว่าพวกเธอบ้าเงินเกินไปแล้ว!”

ทั้งลูกสาวและลูกชายของผู้ช่วยไม่มีใครรังแกได้ง่าย ทั้งยังมีฝีปากเป็นพรสวรรค์ “แม่ฉันบาดเจ็บเพราะทำงานที่บ้านป้า นี่เป็นการบาดเจ็บจากที่ทำงาน ถ้าป้าไม่จ่ายค่าใช้จ่ายพวกนี้ จะให้พวกฉันจ่ายเองรึไง?”

ป้าหูเถียงไม่ชนะลูกชายลูกสาวผู้ช่วยแม้แต่คำเดียว จะตบตีกันอย่างนั้นเหรอ? หล่อนก็ไม่กล้าขนาดนั้น

คนในครอบครัวนั้นมีเยอะ บ้านพวกเขาคนน้อย สู้กันได้ที่ไหน?

ป้าหูโกรธจัดทว่าไม่มีทางเลือก

เมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้ามา หล่อนก็ตะโกนขึ้นโดยไม่ระงับโทสะ “มีอะไร? เห็นความครื้นเครงเลยมาแอบดูครอบครัวฉันเหรอ ไปให้พ้นเลยนะ!”

หลินม่ายรู้สึกรังเกียจขึ้นมาทันที “ป้าคิดว่าคนอื่นเขาจะเหมือนป้าหรือไงกันที่ชอบดูชมเรื่องตลกของคนอื่น ฉันมาที่นี่เพื่อขอค่ารักษาโต้วโต้วของบ้านฉันต่างหาก”

สิ่งที่ป้าหูเกลียดที่สุดตอนนี้คือมีคนมาขอเงินจากตน หล่อนจึงระเบิดโทสะในทันที “เธอจะมาขอค่ารักษาพยาบาลโต้วโต้วจากฉันทำไม? เธอเองก็บ้าเงินเหรอ?”

หลินม่ายพูดเสียงเย็น “โต้วโต้วบ้านฉันถูกหยางหยางบ้านป้าผลักจนต้องเข้าโรงพยาบาลและต้องผ่าตัด ยังไงก็ตามแต่ครอบครัวป้าต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าบำรุงร่างกายอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง”

ถึงแม้หลินม่ายจะเกลียดป้าหูและหลานชายของเธอมาก แต่เธอไม่ได้อยากจะให้โต้วโต้วเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อกำจัดป้าหู

ดังนั้นการที่จะขอค่ารักษาพยาบาลและค่าพักฟื้นร่างกายเพียงครึ่งหนึ่งก็นับว่ายุติธรรมแล้ว

แม้หยางหยางจะผลักโต้วโต้วล้มลงบนพื้นจนทำให้โรคหัวใจของหล่อนกำเริบก็ตาม

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่โต้วโต้วเป็นโรคหัวใจอยู่แล้วเป็นความจริง ไม่สามารถให้ป้าหูจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าบำรุงร่างกายทั้งหมดได้

แต่เรื่องที่โต้วโต้วเข้าโรงพยาบาลตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้แล้วครอบครัวป้าหูไม่ใส่ใจถามไถ่ หลินม่ายไม่อยากถือสาหาความ

ถามเรื่องความเป็นคนจากคนที่ไม่มีความเป็นคนก็ประหนึ่งสีซอให้ควายฟัง

เธอแค่ต้องการค่ารักษาพยาบาลและค่าพักฟื้นร่างกายที่ควรจะจ่าย

ป้าหูกราดเกรี้ยวขึ้นมาทันที าหล่อนชี้ไปที่ปลายจมูกของหลินม่ายแล้วพูด “โต้วโต้วบ้านเธอเป็นโรคหัวใจตั้งแต่เกิด เธออย่ามาทำเหมือนฉันไม่รู้เรื่องหน่อยเลย! หยางหยางบ้านพวกเราไม่ได้ผลักโต้วโต้วบ้านเธอ ไม่แน่นะอาจมีวันใดวันหนึ่งที่โต้วโต้วบ้านเธอป่วยตายก็ได้ เธอช่างดีเหลือเกินนะ ใช้ประโยชน์จากโรคของโต้วโต้วบ้านเธอมาดูดเอาเงินจากฉัน รอดูสิว่าฉันจะให้เธอหรือไม่ให้!”

เย็นเมื่อวานหยางหยางผลักโต้วโต้วทำให้โต้วโต้วเป็นลม ป้าหูไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้

ดังนั้นจึงแอบสอบถามสถานการณ์ของโต้วโต้วแล้วรู้ว่าเธอเป็นโรคหัวใจพิการโดยกำเนิด

แน่นอนว่าหากรู้แล้วแล้วย่อมไม่เกรงกลัว

หล่อนคิดเองเออเองว่าการที่โต้วโต้วเป็นลมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลานชายของหล่อน มันเป็นโรคภัยของเด็กน้อยเอง

หลินม่ายมีสีหน้าเยือกเย็น “จริงอยู่ที่โต้วโต้วมีอาการหัวใจวายเฉียบพลัน แต่ถ้าหยางหยางบ้านป้าไม่ผลักเธอ เธอจะหัวใจวายไหม? โต้วโต้วหัวใจวายกระทันหันเป็นความรับผิดชอบของหยางหยางบ้านป้า ฉันเรียกร้องค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลกับค่าบำรุงร่างกายจากป้าไม่สมควรเหรอไง!”

ลูกชายและลูกสาวของผู้ช่วยคนนั้นที่อยู่ด้านข้างก็รีบโหมกระพือไฟ “แม่ฉันทุกข์ทรมานบาดแผลจากการทำงานที่บ้านเธอ พวกเขาปฏิเสธที่จะจ่าย เด็กบ้านพวกคุณเดิมทีก็ป่วยแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะจ่าย!”

หลินม่ายยิ้มหยัน “ไม่จ่ายก็เพราะบ้านพวกเขาไม่อยากเสียเงินน่ะสิ ลองไปหาสำนักงานแขวง ไปหาผู้นำองค์กรของลูกชายลูกสะใภ้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าฉันจะหาที่ที่มีเหตุผลสักที่ไม่ได้”

ลูกชายและลูกสาวของผู้ช่วยป้าหูรวมกลุ่มกับเธอเพื่อที่จะไปที่สำนักงานแขวงและไปพบผู้นำองค์กรของลูกชายลูกสะใภ้

ทั้งลูกชายลูกสะใภ้ของป้าหูล้วนตื่นตระหนกกันหมด

พวกเขาเป็นคนทำงานในองค์กร หากเรื่องราวถูกส่งไปถึงผู้นำองค์กร ผู้นำองค์กรย่อมไม่ให้เรื่องส่วนตัวมากระทบหน้าที่ การชดใช้ต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

เรียกร้องให้พวกเขานำเงินออกมา และยังเป็นเงินจำนวนใหญ่โต นี่ไม่เท่ากับต้องการฆ่าพวกเขาหรือ

เย็นวันนั้นลูกชายและสะใภ้ป้าหูไปหาหลินม่าย กล่าวถึงความยากลำบากต่าง ๆ นานาสารพัดสิ่งของตน ต้องการให้หลินม่ายร้องขอค่าชดใช้น้อยลง แน่นอนว่าไม่เรียกเลยจะดีที่สุด

ตั้งแต่โต้วโต้วเข้าโรงพยาบาล ครอบครัวพวกเขาเฉยเมยเป็นที่สุด ไม่แม้แต่จะขอให้หยางหยางขอโทษโต้วโต้ว

ภายในใจหลินม่ายเต็มไปด้วยความโกรธ จะให้เรียกร้องค่าชดใช้น้อยลงได้อย่างไร และไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะไม่ชดใช้เลย

ในท้ายที่สุด ด้วยการไกล่เกลี่ยของสำนักงานแขวงและผู้นำองค์กรของลูกชายลูกสะใภ้ป้าหู หลินม่ายได้รับค่าชดใช้จำนวน 800 หยวน

แม้มันจะน้อยกว่าที่เธอต้องการ แต่ก็ยังดีกว่าครอบครัวป้าหูไม่จ่ายแม้แต่สตางค์แดงเดียว

สองวันผ่านไปในพริบตา ถึงโต้วโต้วจะยังไม่พ้นระยะอันตรายโดยสมบูรณ์และยังคงอยู่ในห้องไอซียู แต่ก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้ด้วยการช่วยเหลือของพยาบาลและกินอาหารเหลวได้แล้ว สถานการณ์เริ่มดีขึ้นวันต่อวัน

หลินม่ายไม่ได้ทุกข์ทรมานเหมือนแต่ก่อน สีหน้าของเธอดีขึ้นมาก

กลับกันครอบครัวของหวังหรงราวกับตกอยู่ในน้ำลึกไฟแผดเผา*

หวังเฉียงถูกจับและเพื่อนของเขาสองคนติดคุก พวกเขาถูกขังอยู่ด้วยกันที่สถานีตำรวจ

พ่อแม่ของเพื่อนทั้งสองคนของเขารู้ว่าลูกชายโง่เง่าของตนถูกจับเพราะหวังเฉียง ใจพวกเขาก็ลุกเป็นไฟ อดรนทนไม่ไหวมาเยือนถึงหน้าประตู

แล้วสั่งให้พ่อของหวังหรงไปหาคน ถ้าหาคนไม่พบจะตามครอบครัวพวกเขาไม่จบไม่สิ้นแน่นอน

เพื่อที่จะสอบถามว่าหลินม่ายอยู่ที่ไหน สมาชิกครอบครัวของหวังหรงทั้งสามคนไม่แม้แต่จะไปทำงาน

พวกเขาลาหยุด หนึ่งคนหนึ่งจักรยานค้นหาทั่วทั้งสามเมืองโดยเน้นปูพรมค้นหาใกล้สถานีรถไฟ

หวังหรงไม่ลืมถามแม่เฒ่าผางที่ให้หลินม่ายเช่าแผงลอยขายเกาลัดถึงที่อยู่ของหลินม่าย โชคไม่ดีที่หล่อนไม่พบอะไรเลย

แม่เฒ่าผางอายุอานามมากแล้ว ทำให้เข้าใจคนอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ต้องกล่าวถึงว่าแม่เฒ่าไม่รู้รายละเอียดที่อยู่ของหลินม่าย ถึงแม้จะรู้ก็ไม่บอกหวังหรงคนแปลกหน้าคนนี้

หากหวังหรงคนนี้ไม่ประสงค์ดีต่อหลินม่าย หล่อนจะไม่ไปทำร้ายเธอหรือ?

สมาชิกครอบครัวหวังหรงทั้งสามหวาดหวั่นต่อพ่อแม่เพื่อนทั้งสองของหวังเฉียง จึงไปหาหวังเหวินฟางเพื่อหาทางออก

หวังเหวินฟางทั้งร้อนใจทั้งฉุนเฉียวจึงด่าหวังหรงอย่างเกรี้ยวกราด

หากไม่ใช่หล่อนที่ยุยงพี่ชายให้ขับไล่หลินม่ายออกไป จะเกิดปัญหาตามมาทีหลังได้อย่างไร!

หวังหรงก้มหัวต่ำไม่กล้าพูดจา

หวังเหวินฟางเดินวนไปมาในห้องด้วยความคิดยุ่งเหยิงปนเป “ตอนนี้อยู่ระหว่างการลงโทษขั้นรุนแรงแล้ว พวกเธอเพิ่งจะมาหาฉัน ฉันก็ไม่รู้จะช่วยเหลืออย่างไร”

สีหน้าของแม่หวังหรงในตอนนั้นไม่ดีนัก “เหวินฟาง ตระกูลหวังของพวกเรามีคนบางเบาเช่นนี้ รุ่นหรงหรงมีเสี่ยวเฉียงเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียว ถ้าเธอไม่ช่วยเขา เสี่ยวเฉียงจบเห่แน่!”

หวังเหวินฟางกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม “เธอพูดมา ว่าต้องการให้ฉันช่วยยังไง?”

………………………………………………………………………………………………………………………….

*สำนวน หมายถึง ตกอยู่ในก้นบึ้งของความทุกข์

สารจากผู้แปล

กรรมตามสนองบ้านป้าหูและนังหรงแล้ว เป็นไงล่ะการหวังเอาชนะม่ายจื่อแบบไม่ดูกำลังตัวเอง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 152 การแข่งขันอย่างเงียบเชียบของผู้ชายสองคน

หลังจากดื่มน้ำ หลินม่ายก็รบเร้าให้ฟางจั๋วหรานไปพักอีกครั้ง แต่ฟางจั๋วหรานกลับยืนกรานที่จะอยู่กับเธอ

หลินม่ายถอนหายใจ “ทำไมคุณต้องมาลำบากมากมายด้วย?”

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วไม่พูดอะไร ตราบใดที่เขาได้อยู่กับเธอ เขาไม่คิดว่าตัวเองลำบากแม้แต่น้อย

ประมาณตีสองตีสามเกือบรุ่งเช้า อุณหภูมิก็ค่อย ๆ ลดลง

หลินม่ายใส่แค่ชุดกระโปรงจึงรู้สึกหนาวเล็กน้อย ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะกอดตัวเองแน่น

ฟางจั๋วหรานถอดเสื้อโค้ทสีขาวของเขาออกแล้วคลุมให้กับเธอ

หลินม่ายปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “คุณเอาโค้ทขาวของคุณให้ฉันแล้วคุณไม่หนาวเหรอคะ?”

“ผู้ชายโดยปกติแล้วกลัวความเย็นน้อยกว่าผู้หญิง ถ้าคุณไม่เชื่อผม จับมือผมสิ”

ฟางจั๋วหรานกล่าวแล้วยื่นมือใหญ่โตของเขาออกมา

หลินม่ายจะกล้าจับมือกับเขาได้อย่างไร? เธอค่อย ๆ ใส่โค้ทขาวอย่างเงียบ ๆ

อุณหภูมิร่างกายของฟางจั๋วหรานที่ติดบนโค้ทขาวทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

ราว ๆ หกโมงเช้า ฟางจั๋วหรานยืนขึ้นแล้วพูดกับหลินม่าย “ผมจะไปซื้ออาหารเช้า คุณอยากกินอะไร”

ถ้าไม่ไปซื้ออาหารเช้าตอนนี้ จะถึงเวลาส่งมอบกะของเขาแล้ว มีเวลาซื้ออาหารเช้าได้ถึงแค่แปดโมงเท่านั้น

เขากินมื้อเย็นไปเมื่อคืน คงไม่เป็นไรหากจะกินอาหารเช้าสายสักหน่อย

แต่แม่สาวน้อยทำอย่างนั้นไม่ได้ เธออยู่โยงทั้งคืนและไม่ได้กินอะไรนอกจากน้ำแก้วเดียว เธอคงหิวนานแล้ว

หลินม่ายสั่นศีรษะ “ปากฉันขมไปหมด ฉันไม่อยากกินอะไรเลย”

ฟางจั๋วหรานรู้ว่านี่เป็นปฏิกิริยาจากการไม่ได้นอนทั้งคืน เขาจึงหยุดพูดแล้วเดินไปซื้ออาหารเช้า

หลังเขาเดินออกไปได้ไม่นาน หลี่หมิงเฉิงก็กลับมาพร้อมอาหารเช้า

ตอนแรกโจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนมาส่งอาหารเช้าให้หลินม่าย แต่เขาตัดหน้าหล่อนเสียก่อน

ผ่านไปเพียงหนึ่งคืน หลินม่ายโทรมลงอย่างมากและผ่ายผอมลงไม่น้อย

หลี่หมิงเฉิงเห็นด้วยสายตาตัวเองก็รู้สึกเจ็บในหัวใจ

เพียงแต่โค้ทขาวบนตัวหลินม่ายทำให้เขาประหลาดใจ

เขาส่งเกี๊ยวต้มที่โจวฉายอวิ๋นทำตั้งแต่รุ่งสางให้หลินม่าย “เมื่อคืนโต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

หลินม่ายส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเจือความกังวล “ไม่รู้เลย ที่ฉันรู้คือหล่อนยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยทั้งคืน”

จากนั้นผลักเกี๊ยวต้มที่เขาส่งให้เธอออกไป “ฉันไม่หิว”

หลี่หมิงเฉิงนั่งยอง ๆ ต่อหน้าเธอ แล้วใช้ช้อนเล็ก ๆ ตักเอาเกี๊ยวยื่นไปใส่ปากเธอ “เธอต้องอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน จะไม่กินอะไรเลยได้ยังไงกัน?”

หลินม่ายยังท้องว่าง แต่หัวใจเธอเหมือนจุกอยู่ที่คอ ทำให้ไม่อยากกลืนอะไรลงไปแม้แต่น้อย

เธอส่ายหน้า “ฉันกินไม่ได้ อย่าบังคับฉัน”

หลี่หมิงเฉิงเกลี้ยกล่อมอย่างใจเย็น “กินเท่าที่เธออยาก ถ้าเธอไม่กินไม่ดื่ม เธอจะซึมซับเอาพลังจากพระอาทิตย์พระจันทร์งั้นเหรอ ยังไม่หิว? แล้วโต้วโต้วจะทำยังไง?”

หลินม่ายรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอจึงหยิบฝืนใจหยิบช้อนคันเล็กขึ้นตักเกี๊ยวหนึ่งตัวส่งเข้าปากตัวเอง

จากนั้นเธอก็วางช้อนลงกลางคันแล้วพูด “กินไม่ลงจริง ๆ”

หลี่หมิงเฉิงเลยต้องยอมแพ้

หลินม่ายบอกให้เขากลับไป

ครั้งนี้ฟางจั๋วหรานกลับมาเร็วกว่าเดิม

เขาปรายตามองหลี่หมิงเฉิงแล้วส่งกล่องอาหารกลางวันให้หลินม่าย “เกี๊ยวกุ้งผมซื้อมาจากภัตตาคารเจียงเฉิง มีรสอ่อนและย่อยง่าย คุณลองกินสักคำ”

หลินม่ายยังคงส่ายหน้า “ฉันยังไม่อยากกินหรอกค่ะ”

ฟางจั๋วหรานเปิดกล่องอาหาร ทำเหมือนที่หลี่หมิงเฉิงพึ่งทำเมื่อสักครู่ หยิบเอากุ้งตัวใสราวคริสตัลห่อด้วยแป้งเนื้อโปร่งบางไปจ่อปากหลินม่าย เขาสั่งอย่างนุ่มนวล “อ้าปากกินเร็ว”

หลินม่ายช้อนตามองเขาด้วยตากลมโตวาวหยาดน้ำ อ้าปากรับเกี๊ยวกุ้งแล้วเคี้ยวอย่างช้า ๆ

หลี่หมิงเฉิงยืนอยู่ไม่ไกลออกไปมองภาพนี้แล้วให้รู้สึกขมในใจเล็กน้อย

การกระทำเดียวกัน หากให้ผู้ชายสองคนทำ ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่ายิงปืน ผลลัพธ์จะถูกตัดสินทันที

เขาไม่ใช่คนที่หลินม่ายชอบ ไม่ว่าเขาจะอ่อนโยนแค่ไหน ก็ไม่อาจเทียบได้กับคำสั่งเย็นชาจากคนที่เธอรัก

ด้วยการป้อนของฟางจั๋วหราน หลินม่ายก็จัดการกินเกี๊ยวกุ้งจำนวนหนึ่งลงไปและดื่มน้ำอีกครึ่งแก้ว จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงไปส่งมอบกะได้อย่างวางใจ

หลังเลิกงาน ฟางจั๋วหรานก็ไปเยี่ยมโต้วโต้วที่ห้องไอซียู

โต้วโต้วพึ่งฟื้นขึ้น จึงรู้สึกกลัวสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นชินเล็กน้อย

ถึงแม้หลินม่ายจะยืนอยู่นอกหน้าต่างหล่อนก็มองไม่เห็น

การปรากฎตัวของฟางจั๋วหรานทำให้เจ้าก้อนโต้วน้อยอุ่นใจขึ้นไม่น้อย

หลินม่ายมองผ่านกระจก เห็นฟางจั๋วหรานกำลังพูดคุยกับเจ้าก้อนโต้วน้อยแล้วชี้มาที่เธอ

เจ้าก้อนโต้วตัวน้อยหันหน้ามามองหลินม่าย หลินม่ายจึงยกมือโบกให้

ผ่านไปอีกสักพัก ฟางจั๋วหรานออกมาจากห้องไอซียู หลินม่ายรีบเข้าไปถามเขา “โต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วพูด “สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คุณกลับไปนอนก่อนแล้วค่อยกลับมา”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ไป ฉันไม่ง่วงค่ะ”

โต้วโต้วยังไม่พ้นระยะอันตราย เธอจะกล้าไปได้อย่างไร?

กลัวว่าหากเธอเดินออกไป สภาวะของโต้วโต้วจะเปลี่ยนไป กลัวว่าจะไม่ได้เห็นหน้าหล่อนอีกเป็นครั้งสุดท้าย

ก่อนที่โต้วโต้วจะผ่าตัด เธอไม่เคยรู้สึกว่าชีวิตจะเปราะบางได้ขนาดนี้ หลังประสบความทุกข์ทรมานใจในตอนที่อยู่นอกห้องผ่าตัด เธอก็กลัวการสูญเสียขึ้นมา

ฟางจั๋วหรานรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโน้มน้าวเธอจึงนั่งลงข้าง ๆ เธอ “ถ้าอย่างนั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ถ้าโต้วโต้วเกิดปัญหา ผมจะได้จัดการได้ทันเวลา”

วิธีนี้ได้ผลชะงัด

ฟางจั๋วหรานทำงานมาทั้งคืน หลินม่ายจะปล่อยให้เขาทนลำบากอยู่เป็นเพื่อนเธอได้อย่างไร แม้ว่าเขาจะร่างกายแข็งแรงเขาก็ไม่อาจทนไหว เธอจึงตัดสินใจกลับไปพักผ่อน

พอดีกับโจวฉายอวิ๋นที่คิดถึงโต้วโต้ว จึงรีบมาเยี่ยมโต้วโต้วเมื่อหล่อนมีเวลาและสลับกันกับหลินม่าย

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายบังคับตัวเองให้นอนสักสองสามชั่วโมง จัดการกินข้ามต้มหนึ่งถ้วยแล้วรีบกลับไปที่โรงพยาบาล

เมื่อเห็นโจวฉายอวิ๋นนั่งอยู่บนเก้าอี้นอกห้องไอซียูด้วยใบหน้าโศกเศร้า ใจของเธอก็ขึ้นไปจุกอยู่ที่คอหอย

เธอถามอย่างตื่นตระหนก “อาการของโต้วโต้วมีการเปลี่ยนแปลงเหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ “เธอไปได้ยินใครพูดมา? ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด ทำไมพยาบาลไม่บอกฉันล่ะว่าอาการของโต้วโต้วเปลี่ยนไป?

หลินม่ายนิ่งงัน “ฉันเห็นท่าทางเธอไม่ดีเลยเดาไปเรื่อย”

โจวฉายอวิ๋นถอนหายใจ “ฉันท่าทางไม่ดีเพราะเมื่อกี้ได้ยินว่าคนไข้โรคหัวใจที่กำลังจะออกจากโรงพยาบาลพูดว่าเธอใช้เงินมากกว่าหกร้อยหยวนเป็นค่ารักษาพยาบาลน่ะสิ พวกเขาไม่ได้ผ่าตัดด้วยซ้ำ แต่โต้วโต้วรับการผ่าตัด น่ากลัวว่ามันจะมากกว่านั้น เธอจะจ่ายไหวเหรอ?”

หลินม่ายเช่าบ้านอยู่ เธอพึ่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ ไหนจะตู้แช่แข็ง น่าจะเหลือเงินในมืออีกไม่มากแล้ว

หลินม่ายพรูลมหายใจด้วยความโล่งอก ยังดีที่อาการของโต้วโต้วไม่เปลี่ยนแปลง

เธอถูกลางหว่างคิ้ว “ศาสตราจารย์ฟางจ่ายทุกอย่างไปก่อนแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นจ้องมองเธอเนิ่นนาน ก่อนพูดอย่างจริงใจ “ศาสตราจารย์ฟางดีกับเธอมากนะ”

หลินม่ายไม่ต้องการให้เธอเข้าใจผิด จึงแก้ “ดีกับโต้วโต้วต่างหาก”

โจวฉายอวิ๋นเงียบเสียง “ไม่ต้องห่วงค่ารักษาพยายาบาลของโต้วโต้วแล้ว แล้วหนึ่งหมื่นหยวนที่จะซื้อบ้านเธอจะทำยังไง? ถ้าเธอเก็บเงินได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนภายในสามเดือน เธอจะต้องเสียค่ามัดจำไปนะ”

ตอนนี้หล่อนนึกเสียใจที่ไม่รั้งไม่ให้หลินม่ายซื้อบ้าน

ถ้าถูกยับยั้งเสียตั้งแต่ตอนแรก หลินม่ายคงไม่ต้องเผชิญกับความกดดันอย่างหนักเหมือนตอนนี้

เมื่อมีฟางจั๋วหรานช่วยสนับสนุนทางการเงิน หลินม่ายไม่วิตกแม้แต่น้อย

“ตราบใดที่สภาวะของโต้วโต้วคงที่แล้วได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน ฉันก็จะขายผลิตผลทางการเกษตรต่อได้ ฉันจะต้องเก็บหนึ่งหมื่นหยวนได้ภายในสามเดือนแน่นอน”

โจวฉายอวิ๋นอยากจะพูดจริง ๆ ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น

แต่กลัวว่าหากพูดออกไปจะทำให้หลินม่ายกดดัน จึงไม่พูดสิ่งใดอีก

สถานการณ์ของโต้วโต้วดีขึ้นมากกว่าที่หลินม่ายคิด

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาหล่อนก็ร่าเริงแจ่มใสมาก พยายามที่จะสื่อสารกับหลินม่ายผ่านกระจกหน้าต่าง

อย่างไรก็ตาม หล่อนเพิ่งผ่านการผ่าตัดมา ทำให้เหนื่อยง่ายและหลับทุกสองชั่วโมง

บ่ายนั้นโจวฉายอวิ๋นเปลี่ยนกับหลินม่าย เธอจึงได้กลับไปนอนหลับ แล้วกลับมาเฝ้าโต้วโต้วที่โรงพยาบาลอีกครั้งในตอนเย็น

เมื่อเห็นโต้วโต้วนอนหลับอย่างสงบผ่านหน้าต่างกระจก หลินม่ายจึงกลับไปด้วยความวางใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

จะสู้พี่หมอไหวเหรอเนี่ย พี่หมอเขามาแรงมากนะ ทั้งผ่าตัดให้น้อง ออกค่ารักษาพยาบาลให้น้อง ให้ยืมเงินซื้อบ้านนู่นนี่

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 151 มอบความสบายใจอันสงบให้เธอ

เดิมทีฟางจั๋วหรานต้องการอยู่กับหลินม่าย แต่มีคนไข้คนหนึ่งอาการไม่ดีนักพยาบาลจึงเรียกเขาไปตรวจ เขาเลยต้องผละจากไป

หลินม่ายยืนพิงกระจกหน้าต่างห้องไอซียูแล้วมองเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นพยาบาลหลายคนสอดท่อและอุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ ให้โต้วโต้วอย่างกระฉับกระเฉง เธอก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา

โต้วโต้วตัวเล็กขนาดนั้น นอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลเหมือนไม่ได้เป็นอะไร กลับมีท่อและอุปกรณ์มากมายระโยงระยาง คิดแล้วก็เจ็บปวด

โจวฉายอวิ๋นกระซิบอยู่ข้างหูเพื่อปลอบเธอ

โต้วโต้วสลบไปและหลินม่ายพาไปส่งที่โรงพยาบาลจนตอนนี้ยังไม่กลับมา พนักงานทุกคนของเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนรู้เรื่องนี้

เวลาเก้าโมงครึ่ง ทันทีที่ร้านปิดลง ทุกคนไปที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมโต้วโต้วด้วยกัน

หลังจากค้นหาทั่วห้องแผนกอายุรกรรม ห้องให้น้ำเกลือ และห้องฉุกเฉินแล้ว ก็ไม่เจอแม้แต่เงาของสองแม่ลูกหลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นเลย

พนักงานเริ่มวิเคราะห์ “เป็นไปได้ไหมว่าเถ้าแก่เนี้ยอาจจะไม่ได้พาโต้วโต้วมาโรงพยาบาลผู่จี้แล้วไปโรงพยาบาลอื่น?”

พนักงานอีกคนส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้หรอก ศาสตราจารย์ฟางทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลผู่จี้ เถ้าแก่เนี้ยจะไม่มาโรงพยาบาลผู่จี้ได้ยังไง? ยิ่งกว่านั้นอาการของโต้วโต้วในตอนนั้นก็แย่มาก เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไปไกล ๆ”

วังเสี่ยวลี่สะบัดมือไปมา “ทุกคนหยุดเดาก่อน ฉันจะถามพนักงานต้อนรับ”

พนักงานต้อนรับจำโต้วโต้วได้แม่น “เด็กที่หัวใจวายที่พวกคุณพูดถึงถูกส่งตัวไปห้องผ่าตัดเพื่อรักษาฉุกเฉิน ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าพ้นขีดอันตรายแล้วหรือยังน่ะค่ะ”

ทุกคนตกตะลึง

หล่อนแค่โดนเจ้าเด็กหยางหยางผลักล้มลง จะหัวใจวายได้ยังไง

กลุ่มคนพากันเฮโลไปที่ห้องผ่าตัด แต่พยาบาลบอกว่าโต้วโต้วผ่าตัดเสร็จแล้วและถูกส่งไปที่ห้องไอซียู

ทุกคนวิ่งไปที่ห้องไอซียูอีกรอบ สุดท้ายก็พบโจวฉายอวิ๋นและหลินม่าย

ทุกคนแย่งกันถาม “โต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

ครั้งนี้หลินม่ายอารมณ์คงที่ขึ้นมากแล้ว “ศาตราจารย์ฟางผ่าตัดให้แล้ว การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว”

เพียงเท่านั้นทุกคนถึงสบายใจแล้วพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก “ก็ดีแล้ว ก็ดีแล้ว”

เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว หลินม่ายจึงบอกให้ทุกคนกลับไปพัก

ทุกคนปลอบใจเธอแล้วจากไป

หลินม่ายพบว่าโจวฉายอวิ๋นและหลี่หมิงเฉิงยังอยู่ จึงบอกพวกเขา “พวกเธอกลับไปเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้ามาเปิดร้านอีก”

โจวฉายอวิ๋นหันไปหาหลี่หมิงเฉิงแล้วพูด “นายกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนม่ายจื่อ”

หลี่หมิงเฉิงยังคงนั่งนิ่ง “เธอกลับไปเถอะ ฉันจะอยู่เอง”

จากนั้นเขาก็บอกข้อดีของตัวเอง “ฉันเป็นผู้ชายร่างกายแข็งแรง อดนอนแค่คืนเดียวไม่เป็นไร แต่เธอทนไม่ได้หรอก”

โจวฉายอวิ๋นกลอกตาใส่เขา “ผู้ชายยังไม่แต่งงานอายุสิบเก้าน่ะเหรอ? ขนขึ้นครบแล้วหรือ?”

มุมปากหลี่หมิงเฉิงกระตุก รู้สึกกระดากอายเล็กน้อย

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีจึงบอกเธอ “เธอกับพี่ฉายอวิ๋นกลับไปพักเถอะ ฉันจะอยู่เอง”

แม้โต้วโต้วจะอยู่ในห้องไอซียูแล้ว เธอก็ไม่ต้องการให้พวกเขาเป็นห่วงแม้แต่น้อย

แต่ถ้ามีคนอยู่ข้างนอก โต้วโต้วจะได้เห็นคนคุ้นเคยผ่านกระจกหน้าต่าง ถ้าตื่นขึ้นแล้วจะได้ไม่กลัว

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันไม่เหนื่อย แล้วก็ไม่ต้องการให้ใครอยู่เป็นเพื่อน พวกเธอกลับไปให้หมดเถอะ”

โต้วโต้วยังไม่ฟื้น เธอผู้เป็นแม่จะสามารถทิ้งไปอย่างวางใจได้อย่างไร!

หลี่หมิงเฉิงและโจวฉายอวิ๋นเห็นว่าหลินม่ายยืนกรานจะไม่กลับบ้าน ทั้งสองคนไม่มีทางเลือกได้แต่กลับไป

หลังฟางจั๋วหรานดูแลคนไข้แล้ว สุดท้ายเขาก็พอมีเวลาว่าง จึงรีบไปหาโต้วโต้วที่ห้องไอซียูทันที

เขาเห็นหลินม่ายยืนนิ่งอยู่นอกหน้าต่างห้องไอซียูของโต้วโต้ว ไม่รู้ว่าเธอยืนอยู่ที่นั่นนานแค่ไหนแล้ว

จึงเดินไปเข้าไปหาแล้วช่วยประคองเธอให้นั่งบนเก้าอี้ด้านนอกห้องไอซียู

เดิมทีหลินม่ายหยุดร้องไห้แล้ว แต่เมื่อเขาเข้ามาช่วย เธอกลับรู้สึกอ่อนแอขึ้นมาทันที

เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นแต่ไม่มีเสียง ไหล่ของเธอสั่นอย่างรุนแรงจนทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ

ในตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นแค่ต้องการให้ผู้หญิงที่เขารักรู้สึกอบอุ่นขึ้นแม้เพียงเล็ก จึงดึงเธอเข้ามากอดในอ้อมแขนตน

หลินม่ายไม่ขัดขืนราวกับต้องการอ้อมกอดเป็นที่พึ่งพิง ได้แต่โทษตัวเอง “ทั้งหมดเป็นความผิดฉัน ฉันยุ่งอยู่แต่กับกิจการของตัวเอง โต้วโต้วไม่สบายฉันพาแกไปหาหมอ ได้แค่ฉีดยาแล้วก็กลับมาพร้อมกับยากิน ถ้าใส่ใจแกมากกว่านี้สักหน่อยคงเจอว่าแกเป็นอะไรเร็วกว่านี้ แกอาจจะไม่ต้องผ่าตัดแล้วทุกข์ทรมานขนาดนี้”

ฟางจั๋วหรานตบหลังเธอเบา ๆ อย่างอ่อนโยน “โต้วโต้วเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ยิ่งผ่าตัดเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก”

ยิ่งเขาอ่อนโยนมากเท่าไร หลินม่ายยิ่งเปราะบางและร้องไห้หนักขึ้นเท่านั้น

หลังผ่านไปสักพัก หลินม่ายควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว เธอปาดน้ำตาด้วยหลังมือ เธอเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายแล้วพูด “คุณไปพักผ่อนเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

ฟางจั๋วหรานมองหน้าเธออย่างเจ็บปวด ผู้หญิงคนนี้ได้รับความทุกข์ใจมากมาย ทั้งแข็งแกร่งและไม่พึ่งพิงใครจนคนอื่นรู้สึกเจ็บปวด

“ไม่ ผมจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ”

เขาไม่สามารถหาหัวข้อไหนมาพูดคุยกับเธอได้จึงแค่อยู่ข้าง ๆ เธอ ปลอบใจเธออย่างเงียบๆ

สุดท้ายเป็นหลินม่ายที่พูดขึ้น “ศาสตราจารย์ฟาง ตอนนี้ฉันขัดสนเล็กน้อย อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน ฉันถึงจะสามารถคืนค่าผ่าตัดโต้วโต้วให้คุณได้”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม “ผมไม่ได้รีบร้อนใช้เงิน คุณจ่ายคืนเมื่อไหร่ก็ได้ อย่าจริงจังนักเลย เรื่องค่ารักษาพยาบาลโต้วโต้ว ผมจะออกให้ก่อน ทั้งหมดนี้คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

เมื่อคิดว่าหลินม่ายต้องเก็บเงินไว้ซื้อบ้าน แต่ตอนนี้โต้วโต้วต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเจ็บป่วยอย่างกระทันหัน หลินม่ายต้องดูแลโต้วโต้วไม่สามารถค้าขายผลิตผลทางการเกษตรได้ ทำให้ยิ่งยากขึ้นไปอีกถ้าจะเก็บเงินซื้อบ้านสักหลัง

เขาจึงพูดอีกครั้ง “ถ้าหากภายในสามเดือนคุณเก็บเงินซื้อบ้านไม่พอ คุณต้องบอกผมนะ ผมจะให้คุณยืมก่อนแล้วคุณค่อย ๆ จ่ายคืนผมทีหลัง”

หลินม่ายมองเขาด้วยความไม่เชื่อ “ศัลยแพทย์อย่างพวกคุณรวยขนาดนั้นเลยเหรอ?”

แม้เธอจะรู้ว่าศัลยแพทย์ได้เงินเยอะมากแค่ไหน ศาสตราจารย์ศัลยแพทย์ยิ่งได้มากกว่านั้น

แต่ฟางจั๋วหรานสามารถให้เธอยืมเงินถึงหมื่นหยวนได้อย่างง่ายดาย ทำให้เธอประหลาดใจ

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วพยักหน้า “ใช่”

เขาแกล้งเย้ากึ่งจริงกึ่งเท็จ “ศัลยแพทย์เงินดีนะ ดังนั้นคุณพิจารณาที่จะหาศัลยแพทย์สักคนมาแต่งงานด้วยแล้วหรือยัง?”

เขารู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูกหลังจากพูดออกไป

หลินม่ายยิ้มขมขื่น

เธอคิดอยู่ภายในใจ นี่เป็นสิ่งที่เธอมีคุณสมบัติพอจะพิจารณาหรือ?

อันดับแรก ไม่มีศัลยแพทย์คนไหนยินดีแต่งงานกับสาวบ้านนอกอย่างเธอ ทั้งยังเป็นสาวผิวดำ

แต่เธอไม่อย่างให้ฟางจั๋วหรานรู้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจในใจเธอ จึงพูดอย่างไม่แยแส “ฉันไม่อยากแต่งงานหรอกค่ะ ฉันต้องการแค่เลี้ยงดูโต้วโต้ว”

ฟางจั๋วหรานนิ่งค้าง

ดึกดื่นกลางราตรี ฝนที่ลังเลเป็นเวลาเนิ่นนานสุดท้ายเทลงมาอย่างหนัก บรรยากาศทั้งอบอ้าวและร้อนจัด

หลินม่ายเป็นห่วงโต้วโต้วจึงเดินไปที่หน้าต่างพลางมองเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยแล้วถามฟางจั๋วหรานอย่างเป็นกังวล “อากาศร้อนอบอ้าวขนาดนี้ โต้วโต้วจะรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่าคะ?”

ฟางจั๋วหรานส่ายหัว “ไม่หรอก สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องไอซียูดีมาก”

หลินม่ายจึงวางใจลงเล็กน้อย เธอยังคงมองไปยังเด็กน้อยแสนรัก

จนถึงตอนนี้ในท้องของเธอก็ส่งเสียงประท้วงอยู่หลายครั้ง ยิ่งกลางดึกอันเงียบสงัดก็ยิ่งได้ยินชัดเป็นพิเศษ

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองท้องของเธอแล้วเดินไปอย่างเงียบเชียบ

ตอนกลับมา ในมือเขาถือเนื้อย่างเสียบไม้และยำถั่วแระ ทุกอย่างอุ่นร้อนแล้ว

เขายื่นอาหารในมือในหลินม่าย “คุณกินอะไรสักหน่อยสิ”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันไม่หิวค่ะ”

เธอถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “อาหารพวกนี้เก็บไว้นานแล้วไม่เสียเหรอ?”

“ไม่เสีย ผมเก็บไว้ในตู้เย็นของนักศึกษาต่างชาติน่ะ”

ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อกี้ท้องคุณร้องเพราะความหิว แล้วคุณยังจะบอกว่าคุณไม่หิวอีก!”

ความคิดของหลินม่ายจดจ่ออยู่กับโต้วโต้ว เธอไม่รู้ตัวแม้กระทั่งว่าเมื่อสักครู่ท้องเธอร้อง ยังคงส่ายหน้า “ฉันไม่หิวจริง ๆ”

เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หิว แต่แม่สาวน้อยเพียงไม่มีความอยากอาหาร

ฟางจั๋วหรานวางของว่างเหล่านั้นลงบนเก้าอี้แล้วรินน้ำอุ่นให้หลินม่าย “ถ้าคุณไม่หิว คุณอาจจะกระหาย ดื่มน้ำหน่อยเถอะ”

ครั้งนี้หลินม่ายไม่ปฏิเสธ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่หมอออร่าพระเอกจับมาก ทำคะแนนนำโด่งเลยนะคะ เรืออื่นสู้ไหวไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 150 ต้องเข้ารับการผ่าตัดทันที

คุณหมอประจำแผนกฉุกเฉินที่รับดูแลเคสนี้เป็นแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ทันทีที่เขาเห็นอาการของโต้วโต้วก็เป็นกังวลมาก

“นี่คือภาวะที่ร้ายแรงที่สุดของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็ก หรือที่เรียกว่าภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน(1) อาการของเด็กคนนี้อยู่ในขั้นภาวะหัวใจล้มเหลว จะต้องเข้ารับการผ่าตัดทันที มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ปล่อยให้หล่อนอยู่ที่แผนกฉุกเฉินไม่ได้ ต้องส่งตัวไปที่ห้องผ่าตัดทันที”

ระหว่างนั้นเขาเปิดรายชื่อแพทย์ที่เข้าประจำการที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบ “ดูเหมือนว่าคืนนี้ศาสตราจารย์ฟางจะเข้าเวรอยู่ เด็กรอดแล้วล่ะ ศาสตราจารย์ฟางเชี่ยวชาญการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็กมาก”

หลังจากออกใบรับรองการรักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว พยาบาลห้องฉุกเฉินก็ได้พาหลินม่ายและลูกสาวตรงไปที่ห้องผ่าตัด

ฟางจั๋วหรานเพิ่งจะรักษาผู้ป่วยภาวะวิกฤตเสร็จได้ไม่นาน ยังไม่ทันที่เขาจะมีเวลาพักหายใจ พยาบาลก็ตรงเข้าไปหาเขาอย่างเร่งรีบ พร้อมกับยื่นเอกสารเตรียมการผ่าตัดให้เขา

“คุณหมอฟางคะ แผนกฉุกเฉินแจ้งให้คุณเตรียมทำการผ่าตัดด่วน มีเด็กคนหนึ่งจำเป็นต้องเขารับการผ่าตัดช่องอกอย่างเร่งด่วนค่ะ”

ฟางจั๋วหรานรับเอกสารเตรียมการผ่าตัดไปอ่าน ‘หลินเจียโต้ว เพศหญิง อายุสี่ปี ป่วยด้วยอาการภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน’

เขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันที

หลินเจียโต้ว? ต้องเป็นโต้วโต้วไม่ผิดแน่ เพราะหล่อนใช้แซ่หลินตามผู้เป็นแม่ ชื่อเล่นคือโต้วโต้ว และดูเหมือนว่าปีนี้หล่อนจะอายุสี่ขวบพอดี

แต่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าหล่อนป่วยเป็นโรคภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน จะเป็นหล่อนได้อย่างไร…

ฟางจั๋วหรานกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทำการผ่าตัด รีบสวมถุงมือทั้งสองข้าง

ก่อนหันไปเห็นว่าคนที่วิ่งตามพยาบาลเข้ามาคือหลินม่ายซึ่งกำลังอุ้มโต้วโต้วอยู่ในอ้อมแขนด้วยน้ำตาคลอเบ้า เขาก็ตื่นตระหนกทันที

ที่แท้หลินเจียโต้วก็คือโต้วโต้วเองหรือ?!

ตอนนี้หลินม่ายอยู่ในอาการอกสั่นขวัญหาย

เธอคิดว่าที่โต้วโต้วหายใจไม่ออกคงเป็นแค่อาการข้างเคียงที่เกิดจากการถูกผลักให้ล้มลงกับพื้น

ไม่คิดเลยว่าหล่อนจะป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขั้นร้ายแรง ทำให้ต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน!

คำวินัจฉัยของคุณหมอประจำแผนกฉุกเฉินเมื่อครู่เป็นเหมือนสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงกลางกบาล ทำให้สมองของเธออื้ออึงมาจนถึงตอนนี้

ราวกับนี่เพียงความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง

ได้แต่ภาวนาให้เธอแค่ฝันไปเท่านั้น

ทันทีที่มองเห็นฟางจั๋วหราน หลินม่ายก็รีบร้องเรียกเขาไว้ด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “คุณหมอฟางคะ” แต่กลับไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก

ฟางจั๋วหรานไม่เคยเห็นเธอทำอะไรไม่ถูกแบบนี้มาก่อน

เธอที่ทำให้เขารู้สึกเสมอว่าต่อให้พบเจอพายุมรสุมใดถาโถมเข้ามาก็ไม่เคยหวาดหวั่น แต่ตอนนี้กลับอ่อนแอและโดดเดี่ยวราวกับเด็กน้อยที่ไร้ที่พึ่ง

เขาอดรู้สึกปวดแปลบในใจขึ้นมาไม่ได้ หันไปปลอบโยนเสียงเบา “โต้วโต้วอยู่ในมือผมแล้ว หล่อนต้องไม่เป็นอะไร”

เมื่อหลินม่ายได้ยินคำพูดของเขา หัวใจที่ตื่นตระหนกก็สงบลงเล็กน้อย

ฟางจั๋วหรานหันไปออกคำสั่งให้ผู้ช่วยรีบตรวจดูอาการเบื้องต้นของโต้วโต้วอย่างรวดเร็ว

เขาได้ข้อสรุปไปในทิศทางเดียวกันกับแพทย์ประจำแผนกฉุกเฉินว่าจะต้องทำการผ่าตัดโดยทันที ไม่อย่างนั้นภาวะหัวใจล้มเหลวอาจกำเริบ จนไม่สามารถรักษาชีวิตเด็กเอาไว้ได้

พยาบาลส่งเอกสารแสดงความยินยอมเข้ารับการผ่าตัดให้กับหลินม่ายเพื่อให้เธอเซ็นชื่อ

หลินม่ายรีบเซ็นชื่อโดยไม่อ่านอะไรทั้งนั้น

หลังจากนั้นพยาบาลก็ดำเนินการออกใบเสร็จค่าใช้จ่ายทั้งหมดส่งให้เธออีกฉบับ

หลินม่ายตกตะลึงเมื่อเห็นยอดเงินจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยหกสิบหกหยวนในใบเสร็จชำระเงินตรงหน้า

ตอนนี้ในสมุดบัญชีเงินฝากของเธอมีเงินอยู่ในนั้นแค่หนึ่งพันหยวน ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าผ่าตัดแน่

เธอเงยหน้าขึ้นถามเสียงแผ่ว “ฉันจ่ายให้ก่อนหนึ่งพันหยวนได้ไหมคะ? ส่วนที่เหลือค่อยนำมาผ่อนจ่ายคืนให้ในภายหลัง…”

นางพยาบาลตอบด้วยความลำบากใจ “ทางโรงพยาบาลไม่มีมาตรการนี้ค่ะ”

ฟางจั๋วหรานรีบเดินเข้ามา “เดี๋ยวผมออกค่ารักษาของโต้วโต้วให้ก่อน”

ขณะที่พูดแบบนั้น เขาก็คว้าปากกาในมือของพยาบาลคนนั้น แล้วจัดการเซ็นชื่อลงในช่องผู้ค้ำประกันการจ่ายค่ารักษา

ขอแค่มีลายเซ็นของเขา ทางโรงพยาบาลก็จะหักเงินในส่วนนี้ออกจากเงินเดือนของเขาได้ ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลอย่างตรงเวลา

เขาเป็นถึงรองศาสตราจารย์ภาควิชาศัลยศาสตร์ เงินเดือนพื้นฐานเพียงอย่างเดียวก็มากกว่าหกร้อยหยวนต่อเดือนเข้าไปแล้ว

ค่าผ่าตัดที่สูงเสียดฟ้าของโต้วโต้ว จึงเทียบได้กับเงินเดือนพื้นฐานที่เขาได้รับเป็นเวลาสามเดือนเท่านั้น

หลินม่ายทำได้แค่หันไปขอบคุณเขา เพราะหลังจากนั้นฟางจั๋วหรานได้เดินนำผู้ช่วยของเขาเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว

อาการของโต้วโต้วไม่สามารถปล่อยให้ล่าช้าไปกว่านี้

โต้วโต้วที่นอนอยู่บนเตียงขนาดเล็กถูกพยาบาลเข็นตามเข้าไป

หลินม่ายเดินตามไปถึงหน้าประตูห้องผ่าตัด แต่แล้วกลับถูกพยาบาลห้ามไว้

ฟางจั๋วหรานหันกลับไปหาเธอพร้อมพูดว่า “เชื่อมือผม โต้วโต้วจะไม่เป็นไร”

หลินม่ายเหม่อมองประตูห้องผ่าตัดที่เลื่อนปิดต่อหน้าต่อตา ค่อย ๆ ถอยกลับไปที่เก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดแล้วนั่งลง ก่อนจะยกมือขึ้นปิดหน้าแล้วร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น เอาแต่โทษตัวเองไม่หยุดหย่อน

โต้วโต้วป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ก่อนหน้านี้หล่อนแสดงอาการตั้งหลายครั้ง

ทุกครั้งที่หล่อนวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานกับเด็กคนอื่น ๆ จะเห็นได้ว่าหล่อนวิ่งไปได้ไม่ไกลนักก็ยืนหอบเหมือนคนหายใจไม่ออกแล้ว ทว่าหลินม่ายกลับมองข้ามมันไป…

โจวฉายอวิ๋นขายผลไม้ที่เหลือเกือบหมดแล้ว จึงรีบตามไปที่โรงพยาบาล

หลังจากสอบถามคนอื่นอยู่หลายหน ในที่สุดก็เดินมาเจอห้องผ่าตัด

ภาพตรงหน้าคือหลินม่ายที่นั่งอยู่เพียงลำพังหน้าห้องผ่าตัดและกำลังร้องไห้

หล่อนเดินเข้าไปโอบร่างอีกฝ่ายมากอดไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็พยายามปลอบโยนเบา ๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง

จนกระทั่งอารมณ์ของหลินม่ายเริ่มคงที่ขึ้นบ้างแล้ว จึงค่อย ๆ ปาดเช็ดน้ำตา หันไปพูดกับหล่อนว่า “ฉันไม่เป็นไรแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ปากก็พูดพึมพำเสียงแผ่ว “โต้วโต้วออกจะแข็งแรงดี ทำไมถึงหัวใจวายเสียได้?”

พอหลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง

โจวฉายอวิ๋นรีบจับมือของเธอไว้ “เธอบอกว่าคุณหมอฟางกำลังผ่าตัดให้โต้วโต้วอยู่ไม่ใช่หรือ คุณหมอฟางเก่งขนาดนั้น โต้วโต้วต้องปลอดภัยแน่ เธออย่ากังวลเลย…”

หลินม่ายยังไม่หยุดร้องไห้สะอึกสะอื้น

ต่อให้ฟางจั๋วหรานจะเก่งแค่ไหน แต่เขาไม่ใช่เทพเซียน ไม่สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้

โจวฉายอวิ๋นตัดสินใจไม่พูดเรื่องนี้กับหลินม่ายอีก เพราะกลัวว่าเธอจะรู้สึกหดหู่จนเสียสมาธิ

บอกเธอแค่ว่าผลไม้ถูกขายออกไปจนเกือบหมดแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณหนึ่งร้อยชั่ง

หล่อนวางแผนว่าจะตั้งแผงขายหน้าร้านช่วงกลางคืนในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง

หน้าร้านช่วงกลางคืนมีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่าน ไม่ว่าขายอะไรก็ขายดิบขายดี ไม่จำเป็นต้องออกไปเร่ขายแถวเขตชุมชนต่าง ๆ

หล่อนยังบอกอีกว่าหลี่หมิงเฉิงเองก็ตั้งใจตามมาที่นี่ แต่หล่อนกลัวว่าที่ร้านจะไม่มีใครช่วยเฝ้า จึงไม่อนุญาตให้เขาตามมา

โจวฉายอวิ๋นยังเล่าเรื่องอื่น ๆ ให้ฟังต่อไป แต่หลินม่ายไม่ตอบอะไรเลยสักคำ

พอโจวฉายอวิ๋นหมดเรื่องคุยแล้วก็เงียบเสียง นั่งอยู่เคียงข้างหลินม่ายต่อไปเงียบ ๆ

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก พร้อมกับเตียงของโต้วโต้วที่ถูกเข็นออกมา

หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นรีบพุ่งตัวเข้าไปที่เตียงนั้น

หลังได้รับการผ่าตัด โต้วโต้วยังไม่ตื่น ใบหน้าขาวเผือดซีดเซียว ดูเปราะบางเหลือเกิน

ราวกับหยาดน้ำค้างที่พร้อมจะสลายตัวไปทันทีเมื่อถูกสัมผัส

หลินม่ายยิ่งเป็นกังวลจนน้ำตาไหลริน รู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก หันไปถามฟางจั๋วหรานที่เดินตามเตียงของโต้วโต้วออกมา “โต้วโต้วไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?”

โจวฉายอวิ๋นเองก็รอคอยคำตอบจากเขาอย่างกระตือรือร้น

ฟางจั๋วหรานถอดหน้ากากอนามัยออก ตอบหลินม่ายเบา ๆ “การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี โต้วโต้วปลอดภัยแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก จับมือหลินม่ายไว้แน่น “ได้ยินไหม คุณหมอฟางบอกว่าโต้วโต้วปลอดภัยแล้ว”

หลินม่ายถามทั้งน้ำตา “โต้วโต้วจะยังเติบโตขึ้นอย่างปกติเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ อยู่ไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้ายืนยัน “ใช่!”

ถ้าเป็นหมอคนอื่นที่ทำการผ่าตัดหัวใจ ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมา

แต่เขามั่นใจในฝีมือของตัวเองพอสมควร ว่าจะไม่ทิ้งผลสืบเนื่องใด ๆ ไว้กับโต้วโต้วแน่

เมื่อปราศจากผลข้างเคียง โต้วโต้วก็จะหายจากโรคนี้และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

หลินม่ายได้ยินก็โล่งใจ

ตอนนี้เธอไม่คาดหวังอะไรเกินตัวทั้งนั้น หวังเพียงว่าโต้วโต้วจะยังเติบโตขึ้นอย่างปลอดภัย และมีโอกาสได้เพลิดเพลินกับโลกที่สวยงามใบนี้เหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ

หลังจากโต้วโต้วเข้ารับการผ่าตัด หล่อนจะต้องพักฟื้นอยู่ที่ห้องดูแลผู้ป่วยหนัก(2)เป็นเวลาเจ็ดวัน รอให้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว ก็จะย้ายไปอยู่ที่ห้องพักแผนกผู้ป่วยใน

หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นเดินตามเตียงรถเข็นของโต้วโต้วไปที่ห้องดูแลผู้ป่วยหนัก แต่พยาบาลไม่อนุญาตให้ทั้งสองเดินผ่านเข้าประตูไป

เหตุผลก็เพื่อป้องกันการติดเชื้อ นอกจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์แล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องทั้งนั้น

หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นจึงจำเป็นต้องหยุดรออยู่ด้านนอก

……………………………………………………………………………………………………………….

ภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน (PDA) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ดักตัส’ คือภาวะที่การเชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดแดงของปอดกับหลอดเลือดแดงของร่างกายของทารกในครรภ์ไม่ได้บรรจบกันอย่างที่ควรจะเป็น อาการสำคัญคือความผันผวนของการรับออกซิเจน ความต้องการทางออกซิเจนที่เพิ่มขึ้น และปัญหาการหายใจเนื่องจากของเหลวในปอด

ห้องไอซียู

สารจากผู้แปล

อยู่ในมือพี่หมอแล้ว น้องโต้วโต้วจะต้องปลอดภัยแน่ค่ะ

เป็นคนสำคัญของพี่หมอนี่มันดีจริงๆ เลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 149 โต้วโต้วเป็นลม

พอกลับมาที่ชุมชน หวังหรงเห็นหลินม่ายเพิ่งจะก้าวขึ้นรถแทรกเตอร์แล้วกำลังจะขับออกไป หล่อนก็ตาลุกวาวในทันที

หล่อนชี้ไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “พ่อคะ แม่คะ ผู้หญิงคนนั้นไงที่เรียกตำรวจมาจับพี่ชายและเพื่อนของเขาอีกสองคน!”

ตอนนั้นแม่ของหวังหรงแสดงสีหน้าเคียดแค้น ราวกับว่าอยากฉีกหลินม่ายให้เป็นชิ้น ๆ

ต่างกันที่พ่อของหวังหรงนั้นเป็นคนที่มีเหตุผล

เขาเดินเข้าไปภรรยา แล้วกระซิบว่า “คุณอย่าเสียเวลาไปทะเลาะกับยัยเด็กนั่นเลย เราควรไปขอร้องหล่อนมากกว่า แล้วให้หล่อนไปบอกกับตำรวจว่าทั้งหมดเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด แบบนี้เราถึงจะช่วยลูกชายกับเพื่อนอีกสองคนของเขาออกมาจากสถานีตำรวจได้”

แม่ของหวังหรงไม่สามารถข่มกลั้นความโกรธได้ต่อไป หล่อนกับสามีและลูกสาวจึงเดินไปขวางทางหลินม่าย

พอเห็นครอบครัวของหวังหรง หลินม่ายกลับจำหน้าได้แค่หวังหรงเท่านั้น

พอเห็นว่าข้างหลังของหล่อนยังมีสองสามีภรรยาวัยกลางคนอีกคู่หนึ่ง และสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหล่อนและผู้หญิงคนนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาต้องเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน

แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาขวางเธอด้วยจุดประสงค์ใด หลินม่ายก็ไม่อยากเสียเวลากับพวกเขา

เธอไม่สนใจพวกเขา ก่อนจะขับรถแทรกเตอร์เลี้ยวหลบไปอีกทาง

ครอบครัวหวังหรงไม่ยอมแพ้จึงรีบวิ่งไปขวางหน้ารถแทรกเตอร์อีกครั้ง

หลินม่ายเริ่มหงุดหงิด “พวกคุณช่วยหลีกทางให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”

หวังหรงแสดงสีหน้าไม่สู้ดี “เสี่ยวหลิน ลงมาจากรถแทรกเตอร์สิ พวกเรามีอะไรจะคุยด้วย”

หลินม่ายแหงนหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้มืดครึ้มมากกว่าเดิมเสียอีก เมฆสีดำบดบังท้องฟ้าเต็มไปหมด ไม่นานฝนต้องตกหนักอย่างแน่นอน

“เราไม่รู้จักกัน แล้วฉันก็ไม่อยากคุยกับพวกคุณด้วย โปรดหลีกทางให้ด้วยค่ะ”

เธอพูดจาฉะฉานเสียงดังฟังชัด ดังเสียจนผู้อาศัยในละแวกนั้นต่างได้ยินอย่างชัดเจน

ชาวบ้านต่างเดินเข้ามาดูเมื่อได้ยิน โดยพวกเขายืนอยู่ห่างจากสถานการณ์ตรงหน้าประมาณหนึ่งถึงสองเมตร

ครอบครัวหวังหรงแค่ต้องการเกลี้ยกล่อมให้เธอช่วยพูดกับตำรวจเรื่องหวังเฉียงและเพื่อนของเขาอีกสองคนอย่างเงียบ ๆ เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านแถวนี้รู้เข้า

หวังเฉียงและเพื่อนของเขาถูกตำรวจจับกุมไว้ ตอนแรกมีเพียงไม่กี่คนในชุมชนที่รู้เรื่องนี้

การถูกตำรวจจับกุมขึ้นโรงพักนั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลยสักนิด แต่มันสายเกินไปแล้วที่ครอบครัวของหวังหรงจะปกปิด แน่นอนว่าพวกเขาจะยอมให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในละแวกชุมชนเดียวกัน!

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายจงใจทำให้เรื่องบานปลาย แม่ของหวังหรงรู้สึกบันดาลโทสะจนอยากเข้าไปตบตีอีกฝ่ายในทันที

แต่พ่อของหวังหรงรีบพูดดักไว้ก่อนว่า “เสี่ยวหลิน เรามีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากคุณจริง ๆ”

หลินม่ายยังคงตอบกลับอย่างเย็นชา “ในฐานะผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ฉันช่วยอะไรพวกคุณไม่ได้หรอกค่ะ และฉันเองก็ไม่อยากช่วยด้วย ได้โปรดถอยออกไปให้พ้นทางด้วย ฟังเข้าใจใช่ไหมคะ?”

พ่อของหวังหรงอ้อนวอนเธอมากขึ้น “คุณช่วยพวกเราได้จริง ๆ ช่วยได้อย่างแน่นอน ได้โปรดอย่าปฏิเสธพวกเราเลย ขอร้องล่ะ!”

หลินม่ายเห็นความพยายามของทั้งสามคน จึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แล้วพวกคุณอยากให้ฉันช่วยเรื่องอะไรคะ? ถ้าไม่ยอมพูดแล้วฉันจะรู้ไหม?”

พ่อของหวังหรงหันไปมองผู้คนจำนวนมากที่แห่เข้ามามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจำใจพูดด้วยความลำบากใจออกไปว่า “เรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะคุยกันข้างนอก รบกวนตามพวกเราเข้าไปคุยกันในบ้านเถอะ”

สีหน้าของหลินม่ายมืดลง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ลูกสาวของเขา แล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ลูกสาวของคุณเคยวางแผนร้ายใส่ฉันมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วถ้าฉันยอมตามพวกคุณเข้าไปในบ้าน ฉันจะไม่ถูกครอบครัวของคุณเล่นงานเอาหรือ?”

คราวนี้เสียงของเธอดังขึ้นกว่าเดิม จนชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินคำพูดของเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ

สองแม่ลูกรู้สึกอับอายมาก พ่อของหวังหรงก็เช่นกัน “นั่นเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดของหวังหรง อย่าไปถือสาหล่อนเลย”

หลินม่ายพูดอย่างไม่อดทน “แล้วเมื่อไหร่พวกคุณจะพูดถึงสาเหตุที่มาขอความช่วยเหลือจากฉันเสียทีล่ะ? ถ้ายังอึกอักไม่ยอมพูด งั้นก็ช่วยหลีกทางให้ฉันด้วย ตอนนี้ฝนใกล้จะตกแล้ว ฉันต้องรีบกลับบ้าน”

พ่อของหวังหรงไม่ยอมแพ้ เขายืนกรานเพื่อขอให้เธอกลับไปด้วยกันให้ได้

หลินม่ายเริ่มโกรธเคือง “คุณไม่ยอมปล่อยฉันไปง่าย ๆ ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปแจ้งความกับตำรวจเดี๋ยวนี้ แล้วบอกว่าพวกคุณพยายามคุกคามสิทธิเสรีภาพของฉัน ดูซิว่าตำรวจจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”

พ่อของหวังหรงรีบอธิบาย “เสี่ยวหลิน พวกเราแค่มาขอร้องให้คุณช่วย ไม่ได้ต้องการคุกคามสิทธิเสรีภาพของคุณเสียหน่อย”

หลินม่ายไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป จึงกระโดดลงจากรถแทรกเตอร์พลางพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันเดินไปโรงพักก็ได้ แล้วเรียกให้ตำรวจมาจัดการกับพวกคุณซะ”

ลูกชายและเพื่อน ๆ ของเขาถูกตำรวจจับกุมอยู่ในตอนนี้ พ่อของหวังหรงเองก็ไม่อยากตกอยู่ในสภาพแบบนั้นเช่นเดียวกัน จึงจำใจบอกให้ภรรยาและลูกสาวยอมถอยห่าง เพื่อเปิดทางให้หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ออกไป

แม่ของหวังหรงหันไปตำหนิเธอด้วยความโกรธแค้น “แกมันนังแพศยา!”

ก่อนจะหันกลับมาถามสามีว่า “แล้วเราควรทำยังไงต่อดีล่ะคะ?”

พ่อของหวังหรงครุ่นคิดก่อนตอบว่า “ในเมื่อเรารู้ที่อยู่ของหล่อนแล้ว วันพรุ่งนี้เราจะเตรียมของขวัญติดมือไปให้หล่อนด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพาหล่อนไปสถานีตำรวจให้ได้ ให้หล่อนยอมร้องขอความเมตตาให้ตำรวจปล่อยลูกชายของเรากับเพื่อน ๆ ของเขาเสีย”

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาถึงบ้าน เมฆดำครึ้มในตอนแรกค่อย ๆ สลายตัวไปแล้ว เผยให้เห็นดาวประดับฟ้ามากมาย เธอได้แต่แหงนมองท้องฟ้าแล้วกะพริบตาอยู่อย่างนั้น

หลินม่ายรู้สึกเสียดาย ถ้าเธอไม่กลัวว่าฝนจะตกตั้งแต่แรกคงไม่รีบกลับมาเร็วขนาดนี้

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาจอดริมถนนหน้าร้าน แล้วเริ่มทำการขายผลไม้เสียตรงนี้เลย

ถนนสายนี้ในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ทันทีที่เธอตะโกนเรียกลูกค้า ลูกค้าจำนวนมากก็แห่มารุมล้อมซื้อผลไม้ของเธอทันที

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังยุ่ง โจวฉายอวิ๋นจึงหันไปสั่งงานกับผู้ช่วยในร้าน แล้วออกไปช่วยขายอีกแรงหนึ่ง

ตั้งแต่เริ่มเปิดร้าน เธอสาละวนอยู่แต่ในครัวและนอกครัว ทำให้ความสามารถของเธอพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแต่เพิ่มพูนทักษะด้านการค้าขาย แม้แต่ประสบการณ์ยังเพิ่มขึ้นตามลำดับ

ขณะเดียวกัน โต้วโต้วกำลังเล่นกับเด็กอีกคนหนึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้าน

เด็กคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเล่นกับเธอพูดขึ้นอย่างหิวโหยว่า “แม่ของเธอกำลังขายผลไม้อยู่แหละ ฉันอยากลองกินดูบ้างจัง”

โต้วโต้วยืดอกแล้วพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ได้สิ เดี๋ยวฉันจะไปขอแบ่งลูกท้อมาจากแม่สักสองสามผล”

เมื่อได้ยินแบบนั้น เด็กคนอื่น ๆ ก็วิ่งตามมาแล้วพูดขึ้นว่า “โต้วโต้ว ฉันก็อยากกินลูกไหนเหมือนกัน”

โต้วโต้วยิ้มหวานแล้วตอบว่า “ได้เลย ได้เลย!”

เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งไปหาหลินม่าย แล้วร้องขอลูกไหนและลูกท้อจากหลินม่ายมาจำนวนหนึ่งในขณะที่เธอกำลังยุ่งอยู่กับการขายของ

มือของโต้วโต้วเล็กเกินกว่าจะหอบพวกมันไว้ได้หมด จึงเอาใส่ในกระโปรงของตัวเองไว้

หลินม่ายรีบตะโกน “โต้วโต้ว อย่าถกกระโปรงขึ้นจนเห็นกางเกงในเด็ดขาดเลยนะ”

โต้วโต้วพยักหน้ารับ ถึงอย่างนั้นหล่อนก็เผลอยกชายกระโปรงขึ้นอีกจนได้ ทำให้กางเกงในลายดอกไม้โผล่วับแวมออกมาให้เห็น

เนื่องจากหลินม่ายกำลังยุ่ง แถมยังมีลูกค้าเข้ามาเลือกซื้อผลไม้ไม่ขาดสาย จึงไม่ได้สนใจ

ถึงอย่างนั้นก็วางแผนไว้ในใจว่า คืนนี้จะต้องไปอบรมให้หล่อนรู้สึกรักนวลสงวนตัวเสียบ้าง

ขณะที่โจวฉายอวิ๋นและหลินม่ายกำลังทำงานอยู่นั้น เด็กหลายคนรีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น แล้วตะโกนอย่างร้อนรนว่า “ป้าหลินคะ เกิดเรื่องแล้ว หยางหยางผลักโต้วโต้วล้มลงกับพื้น ตอนนี้โต้วโต้วเป็นลมไปแล้วค่ะ!”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินม่ายรีบทิ้งงานตรงหน้าทันที แล้ววิ่งตามเด็ก ๆ ไปดูอาการของโต้วโต้ว

โจวฉายอวิ๋นก็อยากตามไปดูด้วย แต่ลูกค้าภายในร้านและลูกค้าที่มารอซื้อผลไม้เยอะเกินไป เธอจึงต้องอยู่รับมือ

พอหลินม่ายวิ่งตามเด็ก ๆ จนมาถึงตัวโต้วโต้วที่กำลังนอนสลบไม่ได้สติอยู่ ปรากฏว่าเธอถูกป้าหูพยายามเขย่าตัวปลุกให้ตื่นอย่างร้อนรน

ป้าหูรู้สึกผิดเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงผู้โชคร้ายต้องตกอยู่ในสภาพนี้เพราะฝีมือของหลานชายตัวเอง

หล่อนหันไปหาหลินม่ายแล้วพูดว่า “ลูกสาวเธอล้มแล้วสลบไป ฉันเลยรีบวิ่งออกมาช่วยดูอาการให้ ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรมากแล้ว”

หลินม่ายเห็นอาการของโต้วโต้วไม่สู้ดี จึงรีบอุ้มเธอขึ้นมา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “โต้วโต้วของฉันไม่ได้ล้มเอง แต่ถูกหลานชายของคุณผลักจนล้มต่างหากล่ะ ต่อให้คุณบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร แต่ถึงยังไงฉันก็จะพาเธอไปตรวจดูที่โรงพยาบาลอยู่ดี!”

พูดจบแล้ว เธอก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่โรงพยาบาลผู่จี้พร้อมโต้วโต้วที่นอนคอพับอยู่ในอ้อมแขน

ป้าหูตะโกนไล่หลังเธอไปว่า “เด็กฟื้นแล้วแท้ ๆ หล่อนยังจะเอาอะไรจากฉันอีก? ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่อยู่เรื่อย คิดจะขูดรีดเงินกันหรือยังไง?”

หลินม่ายวิ่งพรวดเข้าไปที่แผนกต้อนรับของโรงพยาบาลผู่จี้โดยมีโต้วโต้วอยู่ในอ้อมแขน เธอร้องตะโกนอย่างกระวนกระวาย “คุณพยาบาลคะ ช่วยดูทีค่ะ ไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวฉันถึงได้ดูหายใจลำบากแบบนี้?”

พยาบาลในแผนกต้อนรับเห็นว่าใบหน้าของเด็กหญิงตัวน้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง จึงรีบเปิดช่องสีเขียว แล้วพาสองแม่ลูกเข้าไปในห้องฉุกเฉินเป็นการด่วน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ควรเอาเวลานี้ไปสอนลูกสาวไม่ให้เป็นดอกบัวขาวดีกว่ามาหาเรื่องม่ายจื่อนะคะคุณแม่

น้องโต้วโต้วอาการน่าเป็นห่วงมากเลย ขอให้น้องฟื้นนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 148 โดนจับกุมทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายรีบคว้ากุญแจมือ เตรียมตามหลินม่ายออกไปจับกุมเขาอย่างไม่รอช้า

หลินม่ายพูดอย่างลังเล “แต่ฉันไม่มีพยานบุคคลที่สามที่จะช่วยยืนยันให้ได้ว่าอันธพาลคนนั้นเข้ามาหาเรื่องฉันจริง ถ้าจู่ ๆ พวกคุณไปจับกุมเขาแบบนี้ เขาต้องไม่ยอมรับผิดแน่ค่ะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพูดอย่างใจดี “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เราจะจับกุมผู้ชายคนนั้นมาแล้วทำการสอบปากคำเขาอย่างเข้มงวด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยอมพูดความจริงแน่”

ก็เพราะฉันกลัวว่าเขาจะพูดความจริงน่ะสิ!

ถ้าคนสารเลวนั่นพูดความจริงออกมาอย่างหมดเปลือก เธอจะไม่ติดร่างแหถูกตั้งข้อหาว่าใส่ร้ายป้ายสีเขาหรอกหรือ

หลินม่ายไม่อยากให้เรื่องโยงใยมาถึงตัวเอง

ดังนั้นจึงตัดสินใจเสนอแนะว่า “ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นเลยค่ะ คุณตำรวจทั้งสองโปรดตามฉันไปที่นั่น แล้วเฝ้าสังเกตการณ์จากที่ไกล ๆ ดีกว่า ฉันจะย้อนกลับไปตั้งแผงขายผลไม้ที่เดิม อันธพาลคนนั้นต้องออกมาขู่กรรโชกทรัพย์ฉันอีกแน่ ๆ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จก็จะขับไล่ฉันออกไป ถึงตอนนั้น ถ้าพวกคุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็เท่ากับมีหลักฐานมัดตัวเขาจนดิ้นไม่หลุด ยอมให้พวกคุณจับกุมแต่โดยดีแน่”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหันไปปรึกษากันสองสามคำ จากนั้นก็ตกลง ตามหลินม่ายกลับไปที่ชุมชนใกล้กับสำนักงานการไฟฟ้า

หลินม่ายจอดรถแทรกเตอร์ในตำแหน่งเดียวกันกับก่อนหน้านี้ ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง

หวังหรงเห็นแบบนั้นก็วิ่งแจ้นเข้าไปในห้องพักของหวังเฉียงอีกครั้ง “พี่! พี่นี่ชักจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นทุกวันเลยนะ แค่ขับไล่คนออกไปจากที่นี่ยังทำไม่ได้ ตอนนี้นังนั่นมันกลับมาอีกแล้ว!”

หวังเฉียงที่กำลังฟังรายการตลกเอนตัวไปปิดวิทยุทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อดู ปรากฏว่าจริงอย่างที่น้องสาวของเขาพูด

เขากัดฟันกรอดพลางพูดว่า “นังตัวดี ฉันจะลงไปไล่แกอีกครั้ง คราวนี้แหละฉันจะทำให้แกรู้ว่าฉันแข็งแกร่งแค่ไหน เอาให้มันไม่กล้ากลับมาตั้งร้านอีกเลย คอยดูเถอะ!”

พูดจบแล้วเขาก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่ลืมเรียกเพื่อนสองคนให้ออกไปด้วยกัน คราวนี้เขาเดินตรงไปหาหลินม่ายพร้อมด้วยท่อเหล็ก

ทันทีที่เข้าไปประชิดรถก็จัดการใช้ท่อเหล็กทุบรถแทรกเตอร์ของหลินม่ายทันที

“ออกไปซะ ฉันไม่อนุญาตให้เธอตั้งแผงขายของที่นี่ ยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ!”

หลินม่ายรีบก้าวลงจากรถเพื่อหยุดการกระทำของเขา แสร้งทำเป็นอ้อนวอน “พี่ชาย ฉันอยากตั้งแผงขายของที่นี่จริง ๆ ทำยังไงคุณถึงจะยอมให้ฉันตั้งร้านที่นี่ล่ะ?”

เพื่อนคนหนึ่งของหวังเฉียงที่กำลังช่วยเขาทุบรถแทรกเตอร์โพล่งขึ้นมา “จ่ายเงินค่าคุ้มครองมาสามสิบหรือห้าสิบหยวนก่อนสิ ถ้าไม่มีจ่ายก็ไม่สามารถตั้งแผงลอยในชุมชนของเราได้!”

“ใช่แล้ว! จ่ายเงินมาสิ!” เพื่อนอีกคนหนึ่งของเขาพูดอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย

หลินม่ายอดรู้สึกลิงโลดในใจไม่ได้ คนพวกนี้รนหาที่ตายใส่หัวตัวเองกันจริง ๆ เลย ในเมื่อพวกนายอยากนอนคุกมาก อย่างนั้นฉันจะสนองความต้องการให้พวกนายเอง

เธอจงใจถามหวังเฉียงด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ “คุณอยากได้เงินค่าคุ้มครองเหรอ?”

ตอนแรกหวังเฉียงไม่ได้มีความคิดที่จะรีดไถเงินค่าคุ้มครองอยู่ในสมอง แต่ในเมื่อเพื่อนทั้งสองคนของเขาอยากฉวยโอกาสนี้ขูดรีดเงินจากหลินม่าย เขาก็คงต้องตามน้ำไปก่อน

ต่อให้เธอยอมควักเงินจ่ายค่าคุ้มครองจริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาทางขับไล่นังสารเลวคนนี้ออกไปให้ได้

เขาตอบกลับทันที “แหงล่ะสิ! คิดอยากตั้งแผงลอยขายของในชุมชนของเรา แต่กลับไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองเนี่ยนะ เธอคิดว่าตัวเองใหญ่โตมาจากไหนกัน!”

หลินม่ายทำเสียงให้น่าสงสาร “แต่ฉันไม่มีเงิน…”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะทุบรถของเธอให้พังไปซะ!”

ทันทีที่หวังเฉียงพูดจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็รีบวิ่งออกมาจากมุมลับสายตาทันที

“พวกคุณสามคนกล้ารีดไถเงินจากคนอื่นอย่างนั้นรึ ตามเรากลับไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้”

หวังเฉียงและเพื่อนอีกสองคนของเขาตกใจมากเมื่อหันขวับไปเห็นอีกฝ่าย

ตอนนี้ตำรวจได้จัดประเภทความผิดของเข้าให้เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์และทำลายทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้ขอบเขตกฎหมายกวาดล้างอาชญากรรม ความผิดข้อนี้หนีไม่พ้นโทษจำคุกอย่างเดียว

ทั้งสามตื่นตระหนกมากจนวิ่งกระจัดกระจายไปคนละทาง พยายามจะหลบหนี

แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเป็นประจำทุกวันคือการไล่จับคนร้าย ดังนั้นพวกเขาจะหนีรอดไปได้อย่างไร?

พวกเจ้ารีบวิ่งตามไปอย่างไม่รอช้า พอจับได้แล้วก็จัดการใส่กุญแจมือ ก่อนจะควบคุมตัวพวกเขาไปที่สถานีตำรวจ

หวังหรงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องเพราะหวังได้รับชมอะไรดี ๆ ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้

หล่อนไม่คิดเลยว่าหลินม่ายกลับมาครั้งนี้จะพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาด้วย

ตอนนี้พี่ชายของหล่อนกับเพื่อนอีกสองคนของเขาถูกควบคุมตัวไปแล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

หวังหรงรู้สึกกระวนกระวายใจราวกับมดที่ไต่อยู่บนกระทะร้อน หล่อนรีบวิ่งโร่ไปที่สำนักงานการไฟฟ้าทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือจากแม่และพ่อเลี้ยง

หลินม่ายติดตามพวกเขากลับไปที่สถานีตำรวจด้วย หลังลงบันทึกประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ร้านเพื่อกินข้าวมื้อเย็น กะไว้ว่ากินเสร็จเมื่อไรก็จะออกไปขายผลไม้อีกครั้งหนึ่ง

วันต่อไปเธอคงไม่ออกไปขายผลไม้ช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าวเกินไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะขายอะไรก็ขายไม่ดีไปเสียหมด

เธอเพิ่งจะขับรถแทรกเตอร์เข้ามาจอดเทียบริมถนนลาดยางหน้าร้านของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงฟางจั๋วหรานถามขึ้นมา “วันนี้ผลไม้ขายไม่ดีเหรอ?”

“ค่ะ” หลินม่ายกระโดดลงจากรถ “บ่ายวันนี้อากาศร้อนเกินไป ไม่มีใครยอมออกจากบ้านมาซื้อผลไม้เลย”

สายตาของฟางจั๋วหรานกลับตกอยู่ที่รถแทรกเตอร์ พอเห็นว่ารอบคันเต็มไปด้วยรอยบุบ จึงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รถคุณไปโดนอะไรมา?”

หลินม่ายตอบกลับเสียงเบา “ตอนบ่ายฉันออกไปขายผลไม้แถวชุมชนใกล้ ๆ กับสำนักงานการไฟฟ้ามาน่ะค่ะ โชคร้ายโดนพวกอันธพาลสองสามคนเดินเข้ามาทุบรถ แค่เพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ฉันตั้งแผงลอยในชุมชนของเขา”

ฟางจั๋วหรานแทบระเบิดอารมณ์โกรธออกมา

หญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ถูกข่มเหงรังแกจากผู้ชายอกสามศอก แต่น้ำเสียงของเธอกลับยังสงบราบเรียบ เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“คนพวกนั้นหน้าตาเป็นยังไง? คุณลองอธิบายมาซิ ผมจะไปแจ้งตำรวจให้เข้าไปจับกุมพวกเขา!”

ช่วงปฏิรูปการปกครองแบบนี้ คนพวกนั้นกลับกล้าก่ออาชญากรรมอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เขาต้องสั่งสอนพวกอันธพาลที่รังแกผู้หญิงพวกนั้นให้หลาบจำ!

หลินม่ายโบกมือ “ไม่ต้องเป็นธุระให้ฉันหรอกค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวพวกเขาไปโรงพักทั้งหมดแล้ว”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามว่าเธอเซ็นสัญญาซื้อขายบ้านกับคุณลุงเจ้าของแล้วหรือยัง

หลินม่ายพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทั้งสองเดินเคียงกันเข้าไปในร้าน โจวฉายอวิ๋นเข้าครัวเตรียมอาหารมื้อเย็นเอาไว้ให้พวกเขาแล้ว

พอเห็นว่าทั้งสองคนมาถึงที่ร้านพร้อม ๆ กัน หล่อนก็พูดติดตลกกลั้วหัวเราะ “พวกคุณสองคนนี้ถูกพรหมลิขิตกำหนดให้มาเจอกันที่ร้านอาหารจริง ๆ เลย”

หลินม่ายยิ้มรับ “โต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน พอตื่นขึ้นมาแล้วก็เอาแต่กระโดดโลดเต้น ร้องเอะอะจะกินไอศกรีมท่าเดียว แต่ฉันยังไม่กล้าเอาให้หล่อนกิน”

ฟางจั๋วหรานหันไปหาหลินม่าย “โต้วโต้วเป็นอะไรหรือ?”

“ป่วยเป็นไข้หวัดนิดหน่อยค่ะ”

เธอกลัวว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นห่วง จึงโบกมือน้อย ๆ ให้เขา “เมื่อเช้าฉันพาเธอไปให้คุณหมอฉีดยาแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรแล้วค่ะ”

ฟางจั๋วหรานไม่พูดอะไรอีก พอเขาเห็นว่าโต้วโต้วยังคงร่าเริงเป็นปกติ แถมยังอยากอาหารมากกว่าเดิมเสียอีก เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น

หลังมื้ออาหารเย็น ฟางจั๋วหรานซื้อของว่างจำพวกเสียบไม้ย่างกับยำฝักอ่อนถั่วเหลืองห่อกลับไปด้วย

คืนนี้เข้าต้องเข้ากะกลางคืน จึงต้องเตรียมของว่างให้พร้อมสำหรับช่วงดึก

หลินม่ายอดมองค้อนเขาไม่ได้ “คืนนี้คุณเข้ากะกลางคืนแท้ ๆ ทำไมถึงไม่ยอมบอกฉันล่วงหน้าล่ะคะ ฉันจะได้เตรียมของว่างมื้อดึกไว้ให้คุณเยอะหน่อย ของพวกนี้พอบรรเทาความอยากอาหารได้ก็จริง แต่ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรเลย”

ถึงจะถูกตำหนิ แต่ฟางจั๋วหรานกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

เขาพยักหน้า “ไว้ครั้งหน้าผมจะบอกคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน”

ท้ายที่สุด เขาก็หยิบของว่างที่บรรจุลงในกล่องอาหารกลางวันส่วนตัวของตนเองขึ้นมา ตั้งท่าจะเดินออกจากร้านไป

หลินม่ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ร่างสัญญากู้ยืมเงินให้เขา จึงรีบร้องเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อนค่ะ”

เธอวิ่งขึ้นไปชั้นบน เขียนสัญญากู้ยืมเงินอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็วิ่งกลับลงมาชั้นล่างพร้อมกับยื่นกระดาษในมือให้ฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานนึกว่าเธออยากให้เขารอสักครู่เพื่อไปเอาบางอย่างมาให้ กลับกลายเป็นว่าของสิ่งนั้นก็คือสัญญากู้ยืมเงินจำนวนสามพันหยวนที่เธอเขียนขึ้นด้วยตัวเอง

หญิงสาวคนนี้เอาแต่เว้นระยะห่างออกไปจากเขาอยู่เรื่อย แล้วเมื่อไรเขาถึงจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอได้เสียที?

หลังจากฟางจั๋วหรานเดินออกไปแล้ว หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ไปจอดแถวชุมชนใกล้สำนักงานการไฟฟ้าอีกครั้งเพื่อขายผลไม้

หลังมื้ออาหารเย็น ในชุมชนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

ทันทีที่หลินม่ายตะโกนเรียกลูกค้า ไม่นานนักก็มีคนเดินออกมาซื้อผลไม้

ชุมชนใกล้สำนักงานการไฟฟ้ามีผู้อยู่อาศัยหลายครัวเรือน กำลังซื้อก็มากตามไปด้วย

ยังไม่ทันถึงสองทุ่ม หลินม่ายสามารถขายผลไม้ได้ประมาณห้าร้อยชั่ง

เธอยังอยากตั้งแผงขายต่อไป แต่ฝนกลับตกปรอย ๆ ลงมาเสียก่อน ทำให้เธอจำใจต้องปิดแผง

กลางฤดูร้อนแบบนี้ ถ้าฝนตกทั้งทีก็มักจะตกหนัก เธอกลัวว่าตัวเองอาจล้มป่วยจากการตากฝน จึงรีบเก็บข้าวของปิดแผงเตรียมขับรถกลับบ้าน

หวังหรงและพ่อแม่ของหล่อนต้องวิ่งไปที่นั่นทีที่นี่ทีอยู่หลายชั่วโมง เพื่อวิ่งเรื่องให้หวังเฉียงและเพื่อน ๆ ของเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากสถานีตำรวจ

ทว่าคำพูดย่อมง่ายกว่าการกระทำ ไม่ว่าสามพ่อแม่ลูกจะพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันหลีกเลี่ยง

ตอนนี้บ้านเมืองยังอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศ ใครบ้างจะกล้ายื่นมือเข้าไปพัวพันกับคดีกวาดล้างอาชญากรรม!

สมาชิกในครอบครัวทั้งสามคนของหวังหรงจึงจำใจกลับมาที่บ้านด้วยความห่อเหี่ยว

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ยัยน้องสาวหาเรื่องคุกเรื่องตะรางให้พี่ชายแล้วไง มาเจอคนจริงที่มันไม่ยอมคนอย่างม่ายจื่อก็งี้แหละ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 147 โต้วโต้วป่วยอีกแล้ว

เพื่อให้ทันนัดเซ็นสัญญากับคุณลุงเจ้าของบ้านภายในบ่ายสามหรือบ่ายสี่โมงเย็น เวลาประมาณตีห้า หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่หมู่บ้านชนบทแล้ว

ทันทีที่เธมาถึงบ้านของคุณย่าฟาง เธอได้ส่งมอบอาหารทะเลตากแห้งทั้งหมดที่ฟางจั๋วหรานฝากมาให้กับนางอย่างครบถ้วน

ไม่เพียงแค่คุณย่าฟางที่ยิ้มจนแก้มปริ แม้แต่คุณปู่ฟางเองก็ยิ้มไม่หุบเช่นเดียวกัน

สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่เงินทองหรืออาหารและเครื่องดื่มดี ๆ แต่เป็นการได้รับความใส่ใจจากบรรดาลูกหลาน

หลินม่ายรับซื้อผลไม้เสร็จสรรพ ก็ขับรถแทรกเตอร์กลับเข้าเมือง

เธอกลับไปถึงที่ร้านตอนบ่ายสองโมง

ทันทีที่โจวฉายอวิ๋นเห็นเธอ ก็ดึงแขนเข้าไปคุยในห้องอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ

เธอหยิบเงินสดปึกหนึ่งออกมาจากตู้ ก่อนจะยื่นให้อีกฝ่าย “คุณหมอฟางแวะมากินข้าวที่นี่ตอนเที่ยง ก็เลยฝากเงินจำนวนนี้ไว้ให้ฉันส่งต่อให้เธออีกทีหนึ่ง”

ว่าแล้วเธอก็ถอนหายใจ “คุณหมอฟางดีกับเธอมากเลยนะ ยอมให้ยืมเงินสามพันหยวนโดยไม่ร้องขอให้เธอร่างสัญญากู้ยืมด้วยซ้ำ!”

แต่ประโยคนั้นของเธอกลับเป็นการย้ำเตือนหลินม่ายเสียอย่างนั้น “ไว้ฉันค่อยร่างสัญญากู้ยืมให้เขาทีหลังก็แล้วกัน”

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเสียใจเล็กน้อย นี่หล่อนพูดมากเกินความจำเป็นไปหรือเปล่านะ? ถึงได้แพ้ภัยตัวเองเสียได้?

หลินม่ายกินข้าวมื้อกลางวันอย่างรีบร้อน จากนั้นก็นำเงินสามพันหยวนนั้นออกไปมอบให้กับคุณลุงเจ้าของบ้าน

การซื้อบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็กลัวถูกหลอกกันทั้งนั้น

คุณลุงเจ้าของบ้านกับหลินม่ายพบกันแล้ว ก็เดินทางไปที่สำนักงานแขวงเพื่อเซ็นสัญญาซื้อขายบ้าน

พอมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็เกิดความสบายใจต่อทั้งสองฝ่าย

เมื่อหลินม่ายกลับมาถึงร้านพร้อมกับเอกสารสัญญาซื้อขายบ้าน เธอเห็นว่าโจวฉายอวิ๋นหน้านิ่วคิ้วขมวด อุ้มโต้วโต้วที่มีท่าทางกระสับกระส่ายไว้ในอ้อมแขน เตรียมตัวออกไปข้างนอก จึงรีบเข้าไปถาม “โต้วโต้วเป็นอะไรไป?”

“เมื่อกี้หล่อนอาเจียนใหญ่เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาหารเป็นพิษสะสมหรือเพราะสาเหตุอื่นกันแน่ ฉันเอามือไปแตะหน้าผากเธอปรากฏว่าร้อนจี๋ทีเดียว เลยว่าจะพาหล่อนไปโรงพยาบาล”

หลินม่ายออกตัว “เดี๋ยวฉันพาหล่อนไปโรงพยาบาลเอง”

เธอวิ่งขึ้นไปในห้องชั้นบน เก็บเอกสารสัญญาซื้อขายบ้านล็อกไว้ในตู้ให้เรียบร้อย ก่อนจะคว้าหมวกบังแดดมาสวมให้ตัวเองและลูกสาว จากนั้นก็ถีบรถสามล้อไปที่โรงพยาบาลด้วยกันกับโต้วโต้ว

ถึงแม้โรงพยาบาลผู้จี้จะอยู่ไม่ไกลจากร้านของเธอมากนัก แต่หลินม่ายกลับยอมเดินทางไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อพาเด็กหญิงตัวน้อยไปที่โรงพยาบาลแห่งที่สองซึ่งตั้งอยู่บนถนนหวู่จ้าน

สาเหตุสำคัญคือโรงพยาบาลผู่จี้นั้นเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของเมือง แถมยังมีชื่อเสียงมากที่สุดอีกด้วย แพทย์และพยาบาลต่างก็มีฝีมือเก่งเป็นอันดับต้น ๆ ในภาคกลางของจีน แต่ละวันมีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับการรักษาเป็นจำนวนมาก

อาการของโต้วโต้วย่ำแย่แบบนี้ จะยอมให้ถึงมือหมอล่าช้าไม่ได้ ดังนั้นการไปโรงพยาบาลที่มีขนาดเล็กลงมาอาจได้รับการรักษาที่ไวกว่า

หมอตรวจดูอาการของโต้วโต้ว วินิจจัยว่าหล่อนอาเจียนเนื่องมาจากอาการหวัดกำเริบ

หลินม่ายเริ่มรู้สึกเครียดขึ้นมาบ้าง แม้แต่วันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้หล่อนยังเป็นหวัดเข้าจนได้ สมรรถภาพทางกายของเด็กคนนี้น่าเป็นห่วงจริง ๆ

รอให้เจ้าตัวแสบหายจากอาการหวัดเสียก่อน เธอจะพาโต้วโต้วออกไปวิ่งออกกำลังกายทุกวันตอนเช้า เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงขึ้น!

คุณหมอไม่เพียงจ่ายยากินให้ แต่ยังฉีดยาเพนิซิลลิน(1)ให้โต้วโต้วอีกหนึ่งเข็ม

หลังจากกลับมาถึงร้าน โต้วโต้วก็ผล็อยหลับไป

หลินม่ายยังต้องออกไปตระเวนขายผลไม้ จึงฝากให้โจวฉายอวิ๋นช่วยดูแลโต้วโต้วแทน ก่อนที่จะขับรถแทรกเตอร์ออกไป

บ่ายสามโมง แดดกำลังร้อนจัด

แม้ว่าวันนี้หลินม่ายจะขับรถไปขายแถวเขตชุมชนใกล้กับสำนักงานการไฟฟ้าที่ผู้อาศัยมีฐานะร่ำรวยในระดับหนึ่ง แต่ภายในชุมชนกลับมีผู้คนสัญจรผ่านไปมาไม่มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่สนใจซื้อผลไม้จากเธอ

ครอบครัวของหวังหรงได้รับอานิสงส์จากฟางเว่ยกั๋วที่ทำงานอยู่ในสำนักงานการไฟฟ้า พวกเขาจึงอาศัยอยู่ภายในเขตชุมชนแห่งนี้ด้วย

ภายในสำนักงานการไฟฟ้าแบ่งช่วงทำงานออกเป็นสามกะ แม้แต่หวังหรงก็ยังต้องยึดถือระเบียบปฏิบัติขององค์กร

วันนี้หล่อนทำงานแค่กะเช้า จึงกลับบ้านมาพักเมื่อถึงเวลากะบ่าย

หลังตื่นจากการงีบหลับ หวังหรงก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อไอศกรีมดับร้อน แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นหลินม่ายที่จอดรถแทรกเตอร์อยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ในเขตชุมชน

นังคางคกขึ้นวอคนนั้นสวมหมวกบังแดดรูปทรงสวยงามไว้เหนือศีรษะ ยิ่งมองนานเท่าไหร่หล่อนก็ยิ่งไม่ชอบใจมากเท่านั้น

พอหันไปเจอเพื่อนบ้านสองสามคนที่กำลังเดินตรงมา หวังหรงก็แสร้งทำสีหน้าเป็นกังวลพลางพูดกับพวกเขาว่า “คนขายผลไม้คนนั้นมาจากไหนน่ะ? ชุมชนของเราไม่เคยมีคนแปลกหน้าเข้ามาเร่ขายของมาก่อนเลยนะ ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นคนใสซื่อมือสะอาดหรือเปล่า เกิดเข้ามาขโมยทรัพย์สินของคนในชุมชนเราจะทำยังไง?”

เพื่อนบ้านเหล่านั้นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม “ผลไม้ที่อยู่บนรถแทรกเตอร์ของเธอมีมูลค่ารวมกันตั้งเท่าไหร่ แม่ค้าคนนี้คงไม่คิดขโมยของของใครหรอกกระมัง?”

หวังหรงที่หาทางใส่ร้ายหลินม่ายไม่สำเร็จ ยิ่งรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายเข้าไส้

หลังจากซื้อไอศกรีมเสร็จแล้วหล่อนก็เดินกลับขึ้นห้อง ก่อนจะตรงไปยังห้องพักส่วนตัวของหวังเฉียงผู้เป็นพี่ชาย แล้วปลุกเขาให้ตื่น

ชายหนุ่มกำลังนอนหลับสนิท พอถูกปลุกให้ตื่น หวังเฉียงก็ผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความไม่พอใจ

เขามองน้องสาวด้วยหางตา “มีอะไร?”

หวังหรงหยิบตั๋วเงินขึ้นมาแล้วโบกไปมาต่อหน้าเขา “พี่ออกไปช่วยฉันขับไล่ใครบางคนออกไปจากที่นี่ให้หน่อยสิ แล้วฉันจะยกตั๋วเงินพวกนี้ให้เลย”

“ใคร?”

หวังหรงฉุดดึงเขาให้ลุกออกไปยืนตรงหน้าต่าง ชี้นิ้วไปทางหลินม่ายที่อยู่ด้านล่างแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนั้น พี่ช่วยไล่หล่อนออกไปให้หน่อย ฉันไม่อยากเห็นหล่อนมาขายผลไม้ในชุมชนของเรา”

หวังเฉียงเหลือบมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “อะไรกัน เดี๋ยวนี้เธอหาเรื่องทะเลาะกับแม่ค้าเร่แล้วเหรอ?!”

หวังหรงเป็นน้องสาวของเขา เขารู้ดีว่าหล่อนมีนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าใครก็ตามทำให้ขุ่นเคืองใจ หล่อนมักจะหาทางเอาคืนอยู่เสมอ

หวังหรงกลอกตาขึ้นเพดาน “ผู้หญิงคนนั้นพยายายามจะแย่งพี่จั๋วหรานไปจากฉัน จะให้ฉันทนอยู่เฉยรึ?”

พอหวังเฉียงได้ยินแบบนั้น เขาแทบไม่สนใจตั๋วเงินตรงหน้าด้วยซ้ำ รีบลงไปขับไล่หลินม่ายทันที

ผู้หญิงที่เขาเกลียดที่สุดคือผู้หญิงที่คิดจะแย่งฟางจั๋วหรานไปจากน้องสาวของเขา

เขานับวันคอยทุกวันว่าเมื่อไหร่น้องสาวของตัวเองถึงจะได้แต่งงานกับฟางจั๋วหรานเสียที

ไม่ใช่แค่เพราะฟางจั๋วหรานเป็นถึงศัลยแพทย์มือหนึ่งที่มีรายได้สูงลิ่ว หรือมีเส้นสายที่กว้างขวางเท่านั้น

แต่เพราะแม่ของฟางจั๋วหรานได้ทิ้งมรดกไว้ให้เขาเป็นจำนวนมหาศาล

ถึงแม้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้จะถูกส่งขึ้นตรงต่อรัฐในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดการคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับฟางจั๋วหรานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นบ้านสไตล์ยุโรปพร้อมสวนมูลค่าหลายแสนหยวนที่ตั้งอยู่บนถนนต่งถิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหีบทองคำแท่งที่ผู้เป็นแม่ทิ้งไว้ให้เขาก่อนสิ้นใจ

ถ้าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานกับฟางจั๋วหรานตัดหน้าไปก่อน แล้วทองคำแท่งเหล่านั้นจะตกเป็นของน้องสาวของเขาได้อย่างไร

ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานตกลงแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่น ตระกูลหวังก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติของเขาอีกต่อไป

ยายป้าแม่ของฟางจั๋วหรานร้ายกาจไม่ใช่เล่น ก่อนที่หล่อนจะเสียชีวิต หล่อนได้จัดการร่างพินัยกรรมยกทรัพย์สินของตัวเองให้กับฟางจั๋วหรานทั้งหมด

เมื่อเป็นแบบนี้ ฟางเว่ยกั๋วกับหวังเหวินฟางจึงไม่สามารถหอบเอาทองคำแท่งพวกนั้นออกมาจากบ้านของแม่เขาได้ตามใจชอบ

เขาถึงได้กังวลหนักหนาว่าทองคำแท่งพวกนั้นจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่นที่ไม่ใช่คนของตระกูลหวัง

พอขายของไม่ออก หลินม่ายจึงนั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์เงียบ ๆ ด้วยความเบื่อหน่าย ตั้งใจว่าจะรอลูกค้าจนกว่าตะวันจะตกดิน

รอให้ดวงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้าเมื่อไร จะมีผู้คนจำนวนมากสัญจรขวักไขว่ไปมาอยู่ภายในชุมชน หลังจากนั้นบรรดาผู้อาศัยอาจจะสนใจซื้อผลไม้ของเธอบ้าง

ช่วงนี้แสงแดดแผดเผา พื้นดินร้อนระอุเป็นไอออกมา ใครบ้างจะอยากออกมาข้างนอก!

ในระหว่างนั้นเอง หวังเฉียงก็เดินอาด ๆ เข้ามาพร้อมกับไม้หน้าสาม ก่อนจะระดมทุบหน้ารถแทรกเตอร์ของหลินม่าย “ห้ามขายผลไม้ที่นี่ ออกไปจากตรงนี้ซะ ไม่อย่างนั้นอย่าได้หาว่าฉันไม่เตือน!”

หลินม่ายสวนกลับอย่างโกรธจัด “ถ้าไม่อยากให้ฉันขายผลไม้ที่นี่ แค่ไล่ฉันออกไปดี ๆ ก็ได้แล้ว ทำไมถึงต้องทุบรถแทรกเตอร์ของฉันด้วย? เห็นไหมว่าหน้ารถมันยุบลงไปหมดแล้ว ก่อนที่ฉันจะออกไป คุณต้องจ่ายค่าเสียหายให้ฉันด้วย!”

“ฉันไม่สน ไม่ต้องทำเป็นมาขู่ฉัน!”

หวังเฉียงใช้ไม้หน้าสามทุบรถแทรกเตอร์ของหลินม่ายให้แรงขึ้น “ถ้าเธอยังไม่ยอมออกไป ฉันก็จะทุบรถของเธอต่อไปแบบนี้ คนอย่างเธอจะทำอะไรฉันได้?”

ไม่ไกลจากตรงนั้น ผู้พักอาศัยในชุมชนหลายคนต่างชะโงกหน้าออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่กลับไม่มีใครช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเธอเลย นับประสาอะไรกับวิ่งเข้าไปห้ามปรามหวังเฉียง

พวกเขาไม่มีวันทำให้คนตระกูลนี้ขุ่นเคืองใจเพราะคนแปลกหน้าแน่ เนื่องจากทุกคนในที่นี้ต่างรู้กันดีว่าลุงของหวังเฉียงนั้นมีอิทธิพลใหญ่โตขนาดไหน

หลินม่ายเห็นว่าไม่มีสักคนเลยที่กล้าออกมาช่วยเธอ ก็รู้ว่าหวังเฉียงจะต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเป็นฝ่ายล่าถอย ขณะที่ขับรถแทรกเตอร์ออกไป ก็จงใจเหยียบพ่นควันดำใส่หน้าหวังเฉียง

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ตรงไปที่สถานีตำรวจ

เธอตัดสินใจแจ้งความ โดยเล่าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังว่าขณะที่ตัวเองกำลังขายผลไม้อยู่ในชุมชนใกล้กับสำนักงานการไฟฟ้า ก็มีอันธพาลเดินเข้ามาขู่กรรโชกทรัพย์

ผู้ชายคนนั้นถึงขั้นคว้าไม้หน้าสามมาทุบรถแทรกเตอร์ของเธอจนเกิดรอยบุบจำนวนมาก เพื่อที่จะขับไล่เธอให้ออกไป

เธอไม่ใช่คนยอมคน พอทำมาหากินอย่างสุจริตแต่กลับถูกคนขู่กรรโชก นี่คือสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้

ขณะนี้ฝ่ายบริหารบ้านเมืองกำลังพุ่งเป้าจัดการกับพวกนักเลงและอันธพาล โดยเฉพาะผู้ที่หาเรื่องทะเลาะวิวาท

หลินม่ายต้องการให้หวังเฉียงตกเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เมื่อไรก็ตามที่เขาถูกจับกุม ถึงเวลานั้นเขาจะต้องประสบความสูญเสียครั้งใหญ่

สงสัยคงต้องถูกดำเนินคดีก่อน ถึงจะรู้สำนึกผิดชอบชั่วดีเสียบ้าง!

……………………………………………………………………………………………………………….

(1)เพนิซิลลิน (Penicillin) คือยาปฏิชีวนะหรือยาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

สารจากผู้แปล

มรสุมเข้าหลินม่ายอีกแล้ว ลูกป่วย แถมยัยคนที่ทึกทักว่าตัวเองเป็นแฟนพี่หมอยังให้พี่ชายมาหาเรื่องอีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 146 พวกคุณสองคนเหมือนสามีภรรยากันมาก

ไม่นานหลังจากนั้น ฟางจั๋วหรานก็หยิบหมวกบังแดดสำหรับสุภาพสตรีมาใบหนึ่ง และหมวกบังแดดสำหรับเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งใบ แล้วรีบชำระเงิน

เขากลัวว่าหลินม่ายอาจไม่ยอมรับหมวกบังแดดจากเขา

ดังนั้นจึงซื้อหมวกบังแดดให้โต้วโต้วด้วย เพื่อใช้หล่อนเป็นข้ออ้าง

หลังจากซื้อหมวกบังแดดแล้ว ฟางจั๋วหรานก็กลับไปที่ร้านของหลินม่าย

โต้วโต้วเห็นหมวกบังแดดในมือเขาแล้วก็รู้สึกชอบมันเอามาก ๆ

หล่อนรีบสวมหมวกบังแดดใบเล็กไว้บนศีรษะ แล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับถือหมวกบังแดดของหลินม่ายไว้ในมือ “แม่จ๋า แม่จ๋า คุณอาฟางซื้อหมวกบังแดดแสนสวยให้แม่ด้วย!”

ฟางจั๋วหรานเดินตามเธอขึ้นไปชั้นบนด้วยรอยยิ้ม

หลินม่ายกำลังเตรียมอาหารมื้อเย็นอยู่ เธอเห็นหมวกบังแดดในมือของโต้วโต้วแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ลูกสาววิ่งเข้าไปในห้อง

ฟางจั๋วหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ที่เห็นว่าเธอไม่หาเรื่องปฏิเสธเช่นทุกครั้ง

เขาเตรียมตัวเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายยอมรับหมวกบังแดดจากเขาอยู่แล้วเชียว แต่ตอนนี้เขากลับไม่ต้องทำอะไรแบบนั้นเลยด้วยซ้ำ

เจ้าตัวแสบถือหมวกบังแดดของหลินม่ายเข้าไปเก็บในห้อง ก่อนจะวิ่งออกมา

ฟางจั๋วหรานเห็นหลินม่ายเดินลงไปชั้นล่างเพื่อหยิบตะเกียบ จึงแอบถามเจ้าตัวแสบว่า “แม่ของหนูเป็นอะไรไป หล่อนมีอะไรในใจหรือเปล่า?”

เจ้าตัวแสบเอนตัวพิงเขา พลางเล่นหมวกบังแดดใบน้อยในมือไปด้วย “แม่อยากซื้อบ้าน แต่แม่มีเงินไม่พอ หนูบอกให้แม่ขายคุณอาเพื่อแลกกับเงินที่จะซื้อบ้านแล้ว แต่แม่ไม่ยอมขาย แถมยังทำหน้าไม่พอใจใส่หนูอีกด้วย”

ฟางจั๋วหรานไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ทำไมหนูถึงอยากให้แม่ขายอาเพื่อเอาเงินไปซื้อบ้านล่ะ?”

โต้วโต้วมองเขาอย่างพิจารณา “คุณอาเป็นสัตว์ประหลาดนี่คะ ขายแล้วต้องได้ราคาดีแน่ ๆ!”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะทันที “อากลายเป็นสัตว์ประหลาดตั้งแต่เมื่อไหร่?”

หลังจากนั้นโต้วโต้วก็ตระหนักว่าตัวเองเผลอพูดอะไรผิดไป จึงก้มศีรษะลงด้วยความลำบากใจ “หนูพูดผิดไปค่ะ คุณอาเป็นศาสตราจารย์ต่างหาก”

ที่แท้เธอก็แค่พูดเพี้ยนไปนิดหน่อย เขาเกือบจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้วเชียว

หลินม่ายหยิบตะเกียบขึ้นมาชั้นบน จากนั้นทั้งสามก็กินอาหารมื้อเย็นด้วยกัน

เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายกินข้าวอย่างใจลอย ในที่สุดเขาก็อดถามไม่ได้ว่า “ผมได้ยินโต้วโต้วบอกว่าคุณอยากซื้อบ้านเพิ่มอีกหลังอย่างนั้นหรือ? คุณอยากซื้อบ้านใหม่แถวไหนล่ะ? ขาดเงินส่วนต่างอีกเท่าไหร่? บางทีผมอาจจะปล่อยกู้ให้คุณได้”

หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าโต้วโต้วจะเล่าให้ฟางจั๋วหรานฟังเกี่ยวกับปัญหาของเธอ

ถึงเธอต้องการปฏิเสธ แต่อีกใจหนึ่งเธอก็ต้องการซื้อบ้านแถวนั้นจริง ๆ

พระเจ้าและปีศาจกำลังต่อสู้กันอยู่ในใจเธอสักพักใหญ่ ในที่สุดเธอก็ยอมรับความช่วยเหลือจากฟางจั๋วหราน

ถึงอย่างไรก็ตาม นี่คือการยืมเงิน เธอไม่ได้ขอให้เขามอบเงินให้เธอเปล่า ๆ จำนวนเงินส่วนนี้ไม่นับว่ามากเกินไป เธอคงหามาคืนเขาได้ในไม่ช้า

หลินม่ายชี้ตะเกียบออกไปนอกหน้าต่าง “ตรงนั้นเป็นตึกแถวสองชั้นเชื่อมสามคูหาที่อยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามค่ะ ทำเลแถวนั้นก็ดีด้วย ถ้าซื้อไปต้องเป็นประโยชน์มากแน่ ๆ ฉันอยากรบกวนขอยืมเงินคุณสามพันหยวน และฉันสัญญาว่าจะจ่ายคืนให้ภายในสามเดือนค่ะ”

ฟางจั๋วหรานตกลงให้เธอยืมเงินสามพันหยวนก่อนพูดว่า “ผมจะถอนเงินออกมาให้คุณเที่ยงพรุ่งนี้นะ”

“โอ้ ขอบคุณค่ะ”

ฟางจั๋วหรานกินข้าวสองถึงสามคำ แล้วถามว่า “ผมขอไปดูที่นั่นหลังมื้อเย็นได้ไหม?”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า

หลังมื้อเย็น พวกเขาออกไปดูสถานที่ด้วยกัน

โต้วโต้วอยากตามไปดูด้วย แต่ก็พลาดรายการสำหรับเด็กไม่ได้เช่นกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่บ้านดูทีวี

เมื่อคุณลุงเจ้าของบ้านเห็นหลินม่าย เขายิ้มแล้วพูดว่า “พาหนุ่มคนนี้มาจ่ายค่ามัดจำเหรอ? พวกคุณสองคนนี่ดูเหมาะสมกันดีนะ!”

หลินม่ายรู้สึกเขินอายและยกมือขึ้นมาถูแก้มของตัวเอง

ฟางจั๋วหรานสูงและหล่อขนาดนี้ ฉันดูเหมาะสมกับเขาตรงไหนกัน?

เธอรีบตอบกลับว่า “ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ เขาเป็น…”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ ถ้าเธอบอกว่าฟางจั๋วหรานเป็นเพื่อนที่ดีของตัวเอง ก็กลัวว่าเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอยกตัวเองให้สูงส่งทัดเทียมกันกับเขา

เธอพูดต่อว่า “เขาเป็นคนรู้จักของฉันค่ะ”

ฟางจั๋วหรานคิดในใจว่า หลินม่ายคงตอบว่าเขาเป็นเพื่อนของเธอแน่ ๆ

ไม่คาดคิดว่าเธอจะตอบออกไปว่าเขาเป็นแค่คนรู้จัก ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

คุณลุงเจ้าของมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง “พวกคุณสองคนดูเหมือนเป็นสามีภรรยากันมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกคุณทั้งคู่จะไม่ได้มีความสัมพันธ์ต่อกันแบบนั้น!”

หลินม่ายไม่ต้องการสานต่อบทสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ต่อไป จึงชี้ไปที่ฟางจั๋วหรานแล้วพูดว่า “ศาสตราจารย์ฟางต้องการเยี่ยมชมตึกแถวหลังนี้ รบกวนเปิดบ้านให้พวกเราเข้าไปดูอีกครั้งนะคะ”

อีกฝ่ายโบกมือแล้วตอบกลับว่า “เข้ามา ๆ”

เมื่อฟางจั๋วหรานมองขึ้นไปชั้นบนและเดินดูชั้นล่างรอบ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าที่นี่กว้างขวางและดูดีมาก ๆ จึงหันไปถามหลินม่ายด้วยความสงสัย “ตึกแถวหลังนี้ขายในราคาแค่สามพันหยวนจริง ๆ หรือ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ใช่สามพันหรอกค่ะ สามพันหยวนที่ฉันขอยืมคุณเป็นแค่ค่ามัดจำเฉย ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นราคาเต็มเท่าไหร่?”

หลินม่ายชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่งหมื่น”

“แพงขนาดนั้นเลย?” ฟางจั๋วหรานถามต่อ “แล้วคุณจะหาเงินมาจ่ายไหวเหรอ?”

หลินม่ายเกาคางด้วยความเขินอาย “ฉันยังไม่มีเวลาต่อรองน่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานมองเธออยู่ครู่หนึ่งและพูดอะไรไม่ออก

หญิงสาวที่แสดงความเฉลียวฉลาดในการทำธุรกิจอยู่เสมอ แต่กลับไม่รู้จักต่อรองราคาซื้อขายบ้านที่มีราคาตั้งหนึ่งหมื่นหยวนหลังนี้เนี่ยนะ?

ไม่นานคุณลุงเจ้าของก็เดินเข้ามาหา

เขาถามหลินม่ายว่า “แล้วพวกคุณจะจ่ายค่ามัดจำเมื่อไหร่ล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับแทนเธอว่า “ผมจะถอนเงินออกมาจากธนาคารพรุ่งนี้ เพื่อให้หล่อนนำมาจ่ายค่ามัดจำครับ”

คุณลุงเจ้าของพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก

ฟางจั๋วหรานพูดต่อว่า “ขอโทษนะครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคุณกับเสี่ยวหลินยังไม่ได้ต่อรองราคาซื้อขายกันเลย ไม่ทราบว่าคุณพอจะลดราคาให้เราได้บ้างไหมครับ?”

คุณลุงเจ้าของคิดอยู่นานก่อนเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะลดให้พวกคุณสองร้อยหยวนแล้วกัน”

“เดี๋ยวก่อนค่ะ…” หลินม่ายถามต่อว่า “ลดให้สักหนึ่งพันหยวนได้ไหมคะ?”

คุณลุงเจ้าของเริ่มหงุดหงิด “บ้านของผมมีมูลค่าถึงหนึ่งหมื่นหยวน แต่คุณกลับขอให้ผมลดราคาลงอีกหนึ่งพัน คุณไม่ขอให้ผมยกบ้านหลังนี้ให้คุณฟรี ๆ ไปเลยล่ะ?”

หลินม่ายครุ่นคิดในใจอย่างเงียบ ๆ ว่า ‘ถ้าฉันอยากให้คุณยกให้ฉันฟรี ๆ คุณจะยอมทำแบบนั้นไหมล่ะ?’

ในที่สุด ภายใต้การไกล่เกลี่ยของฟางจั๋วหราน คุณลุงเจ้าของก็ยอมลดให้อีกหนึ่งร้อยหยวน รวมกับตอนแรกเป็นสามร้อยหยวน

หลินม่ายยิ้มเล็กยิ้มน้อย ก่อนเสนออีกว่า “ลดอีกสักห้าร้อยหยวนไม่ได้หรือคะ?”

คุณลุงหันไปมองด้วยความไม่พอใจก่อนตอบกลับ “มาๆๆ ผมจะพาพวกคุณไปดูชั้นใต้ดินของตึกหลังนี้ ดูซิว่าในเมื่อมีพื้นที่ใช้สอยมากขนาดนี้ พวกคุณยังจะต่อรองอีกไหม?”

หลินม่ายกะพริบตาปริบทันที ตึกแถวหลังนี้มีชั้นใต้ดินด้วยเหรอ? ตอนแรกไม่ทันสังเกตเลย

เนื่องจากประตูชั้นใต้ดินไม่ได้อยู่ในตัวบ้าน แต่อยู่ด้านนอกตัวอาคารต่างหาก

เมื่อเปิดประตูออกไปสู่ลานกว้างด้านหลัง ประตูชั้นใต้ดินจะอยู่ตรงมุมสุดของลานกว้าง

ห้องใต้ดินนี้มีขนาดใหญ่มาก พื้นที่ใช้สอยประมาณหนึ่งร้อยตารางเมตร ไม่แปลกที่จะต่อรองราคาซื้อขายไม่ได้ง่าย ๆ

สุดท้ายหลินม่ายและคุณลุงเจ้าของได้ตกลงกันว่า พวกเขาจะนัดหมายจ่ายเงินค่ามัดจำในเวลาบ่ายสามโมงของพรุ่งนี้ พร้อมเซ็นสัญญาซื้อขายอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นเธอกับฟางจั๋วหรานก็เดินจากไป

จู่ ๆ หลินม่ายนึกขึ้นได้ว่า ฟางจั๋วหรานไม่ได้นำอาหารทะเลตากแห้งติดมาให้เธอ

ทันทีที่เธอพูดถึง ฟางจั๋วหรานเองก็เพิ่งนึกขึ้นได้เช่นกัน

เนื่องจากเขามัวจดจ่ออยู่กับการเลือกซื้อหมวกบังแดดให้สองแม่ลูก จึงลืมอาหารทะเลตากแห้งไว้ที่ห้องพักแพทย์เสียสนิท

เขาขอตัวกลับไปที่ห้องพักแพทย์ทันทีเพื่อนำอาหารทะเลตากแห้งกลับมาให้เธออีกครั้ง

หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการเป็นศัลยแพทย์จะดีถึงขนาดที่ใครหลายคนต่างซื้อของมาฝากด้วยความเต็มใจ”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉะฉาน “หลักสำคัญ คือทักษะการผ่าตัดของคุณต้องยอดเยี่ยม”

หลินม่ายรู้สึกประทับใจในบุคลิกที่เคร่งขรึมและมั่นใจของเขา

หลังจากอาบน้ำเสร็จในช่วงค่ำ หลินม่ายหยิบหมวกบังแดดที่โต้วโต้ววางไว้บนเตียงขึ้นมาลองสวมแล้วส่องกระจกดู

ปรากฏว่าหมวกบังแดดนี้เข้ากับเธอมาก ใส่แล้วดูสวยสดใสขึ้นทันที

เมื่อนึกถึงคำที่คุณลุงเจ้าของบอกว่าเธอกับฟางจั๋วหรานดูเหมือนสามีภรรยากันมาก เธอก็อดยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงความแตกต่างระหว่างพวกเขา เธอก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ

เทพธิดามีใจ แต่เซียงอ๋องกลับไร้ฝัน(1) คนอย่างศาสตราจารย์ฟางคงไม่มีทางชอบฉันหรอก

……………………………………………………………………………………………………………….

กล่าวถึงความรักที่ไม่สมหวังของหญิงสาว

สารจากผู้แปล

เนี่ย พาพี่หมอไปต่อรองราคาแต่แรกก็จบแล้วม่ายจื่อ ได้ลดไปตั้งเยอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 145 ปัญหาของหลินม่าย

หลินม่ายนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่อีกฟากหนึ่งของถนน “คุณลุงคะ ฉันจะเปิดร้านขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามก็แล้วกัน ถ้าภายในสามเดือนฉันไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้คุณได้ คุณสามารถยึดเงินค่ามัดจำทั้งหมดไปได้เลย แล้วฉันจะช่วยคุณประกาศขายบ้านอีกแรงหนึ่ง”

คุณลุงเจ้าของบ้านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณคิดว่าทำไมผมถึงตัดสินใจขายตึกแถวที่ทำเลดีขนาดนี้กันล่ะ? ก็เพราะลูกชายทั้งสองคนของผมเขาตั้งหลักสร้างครอบครัวอย่างมั่นคงที่ฮ่องกงได้แล้วไง ไม่อย่างนั้นต่อให้ตายผมก็ไม่มีทางขายมรดกตกทอดของบรรพบุรุษอย่างเด็ดขาด คุณบอกว่าถ้าหลังจากครบสามเดือนแล้วหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้ผมไม่ได้ คุณจะช่วยผมประกาศขาย จนถึงป่านนั้นผมคงย้ายไปอยู่ที่ฮ่องกงแล้ว ไม่อาจรู้ได้ว่าคุณจะฉวยโอกาสนี้ชุบมือเปิบเข้าอยู่เสียเองหรือเปล่า ผมจะปล่อยบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ให้คนแปลกหน้าอย่างคุณช่วยเป็นนายหน้าได้อย่างไร!”

หลินม่ายพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจ้าของบ้านจะไม่ไว้ใจเธอ

หลังเงียบกันไปสักพัก เธอก็พูดเสียงอ่อน “ฉันอยากซื้อบ้านของคุณจริง ๆ ค่ะ รับประกันได้เลยว่าฉันสามารถหาเงินมาจ่ายให้คุณภายในสามเดือนได้แน่”

คุณลุงเจ้าของไม่อดทนเจรจาอีก ขมวดคิ้วทันที “การรับประกันด้วยวาจาเปล่าประโยชน์! เว้นแต่คุณจะมีเงินพอจ่ายค่ามัดจำให้ผมก่อนจำนวนห้าพันหยวน แบบนั้นผมถึงจะยอมเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือน!”

หลินม่ายเริ่มพูดจาตะกุกตะกัก “ฉะ ฉันยังไม่มีเงินในมือมากขนาดนั้นหรอกค่ะ”

คุณลุงเจ้าของสะบัดเสียงใส่ “ถ้าไม่มีเงินก็อย่าพูดจาไร้สาระ!”

หลินม่ายจำใจกลับไปที่ร้านด้วยความสิ้นหวัง

โจวฉายอวิ๋นตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของเธอ “เธอลืมสวมหมวกฟางตอนออกไปข้างนอกใช่ไหม? ไม่กลัวแดดเผาจนดำหรือยังไงกัน?”

หลินม่ายไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “อย่าทำตัวจู้จี้เหมือนเป็นแม่ของฉันไปหน่อยเลยน่า ฉันแค่ข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้นเอง แค่ไม่กี่นาทีแดดคงไม่เผาผิวของฉันจนดำหมดทั้งตัวหรอกน่า”

โจวฉายอวิ๋นพูดเสียงเข้ม “ใครบอกว่าผิวของเธอจะคล้ำภายในไม่กี่นาทีกันล่ะ? แต่ถ้าเธอไม่ยอมใส่หมวกบังแดดบ่อย ๆ คราวนี้ผิวของเธอได้ไหม้เกรียมจริงแน่ คราวหน้าคราวหลังก็อย่าลืมใส่หมวกฟางด้วยล่ะ อย่าเห็นความหวังดีของฉันเป็นอะไรที่น่ารำคาญเลย!”

หลินม่ายตอบรับอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะขึ้นไปยังห้องชั้นบนด้วยความกระสับกระส่าย

คงมีแค่โจวฉายอวิ๋นอีกตามเคยที่รู้ว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอแน่ ๆ จึงเดินตามเธอขึ้นไปชั้นบน “ตั้งแต่กลับมาจากด้านนอกก็ดูเหมือนเธออารมณ์ไม่ค่อยดีเลย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

หลินม่ายทอดถอนหายใจสองสามครั้ง ก่อนจะเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงปัญหาอันหนักอึ้งเกี่ยวกับการซื้อตึกแถวสามคูหาบนถนนฝั่งตรงข้าม เพราะเธอไม่สามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายได้

พอโจวฉายอวิ๋นได้ยินว่าเจ้าของตึกแถวหลังนั้นตั้งราคาสูงถึงหนึ่งหมื่นหยวน หล่อนก็อ้าปากค้างทันที “แพงอะไรขนาดนี้ ต่อให้เธอขายฉัน ขายโต้วโต้ว ขายหลี่หมิงเฉิง ค่าตัวเราสามคนรวมกันยังไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยนะ”

โต้วโต้วที่นั่งอยู่ด้านข้างกำลังกัดลูกท้อในมือกินเล่น พอได้ยินแบบนั้นก็ทำตาโต แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไร้เดียงสา “แม่ก็ขายคุณอาฟางสิคะ คุณอาฟางต้องได้ราคาดีแน่ ๆ”

โจวฉายอวิ๋นอดถูกใจไม่ได้ หล่อนหัวเราะแล้วเอานิ้วชี้จิ้มจมูกน้อย ๆ ของเด็กหญิง “เราจะขายคุณอาของหนูไปทำไมกัน แค่ขอหยิบยืมเงินจากเขาก็ได้แล้ว บางทีเขาอาจมีเงินให้เรายืมถึงหนึ่งหมื่นหยวนเลยด้วยซ้ำ”

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินแบบนั้น หัวใจก็พลันเต้นแรงขึ้นมาทันที แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิดที่จะขอยืมเงินจากฟางจั๋วหรานไปเสีย

เขาช่วยเหลือเธอมามากพอแล้ว เธอไม่อยากรบกวนเขาอีก

โจวฉายอวิ๋นแนะนำว่า “ถ้าเธอมีเงินไม่พอจ่ายก็ยังไม่ต้องซื้อหรอก ทำธุรกิจที่มีอยู่ไปก่อนเถอะ”

หลินม่ายหันไปบอกเธอว่า “ไม่ว่าฉันจะหาเงินมาจ่ายได้หรือไม่ได้ พี่ก็อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ก็แล้วกัน”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “ฉันรู้หรอกน่า” จากนั้นหล่อนก็กลับลงไปทำงานตามเดิม

หลินม่ายไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ ระหว่างนั้นก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างหน้าต่าง พยายามคิดหาวิธีอื่น

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเคยเจรจาธุรกิจกับลูกค้ารายหนึ่งที่เขี้ยวลากดินแบบนี้เหมือนกัน พูดคุยอยู่นานก็ไม่บรรลุข้อตกลงร่วมกันเสียที

แต่แล้วเธอก็ลงทุนเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง หลังจากที่ลูกค้าคนนั้นได้ลิ้มลองแล้ว ปรากฏว่าอีกฝ่ายใจอ่อนถึงขั้นยอมตกลงเซ็นสัญญากับเธอจริง ๆ

ว่ากันว่าอาหารอร่อยทำให้คนยอมเปิดใจได้ง่ายขึ้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอลองใช้วิธีนี้กับคุณลุงเจ้าของตึกแถวฝั่งตรงข้ามดีไหมนะ?

พอคิดได้แบบนั้นแล้ว หลินม่ายก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันใด รีบลงไปที่ชั้นล่างอย่างไม่รอช้า คัดสรรวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์ในตู้แช่ออกมาเพื่อปรุงอาหารเลิศรส

ตอนนี้ในตู้แช่มีเนื้อสัตว์หลายประเภททีเดียว ไม่ว่าจะเป็นขาหมู คากิ หรือแม้แต่กระเพาะหมู

หลินม่ายตัดสินใจทำขาหมูน้ำแดง คากิตุ๋นสมุนไพร และซุปกระเพาะหมูพุทราจีน

โจวฉายอวิ๋นคิดว่าเธอคงเข้าครัวทำกับข้าวให้ฟางจั๋วหราน “ทำกับข้าวเยอะแบบนี้ คุณหมอฟางเขาจะกินหมดเหรอ?”

หลี่หมิงเฉิงได้ยินแบบนั้นเข้า หัวใจก็สั่นไหวเล็กน้อย ม่ายจื่อนี่เอาใจคุณหมอฟางเก่งจริง ๆ…

ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น พนักงานครัวคนอื่น ๆ ต่างก็คิดแบบเดียวกัน

หลินม่ายไม่อยากบอกความจริง จึงตัดสินใจพูดโกหกไป “ฉันเปล่าทำให้ศาสตราจารย์ฟางกินหรอก พอดีมีคุณลุงคนหนึ่งสั่งมาน่ะ”

เมื่อโจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจ ไม่ถามอะไรเซ้าซี้อีก

หลี่หมิงเฉิงว่างงานอยู่พอดี จึงอาสาช่วยหลินม่ายออกไปส่งอาหาร

หลินม่ายปฏิเสธ “เธอยังไม่ชินเส้นทางเท่าไหร่เลย จะออกไปส่งอาหารแทนฉันได้ยังไง”

หลังจากบรรจุกับข้าวเหล่านั้นใส่กล่องอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอก็เตรียมตัวออกไปข้างนอกอีกครั้ง

โจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้นก็รีบคว้าหมวกฟางมาสวมบนศีรษะให้เธอทันที

หลินม่ายไม่เพียงหิ้วอาหารจำนวนมากไปหาคุณลุงเจ้าของบ้าน แต่ยังหยิบเบียร์สิบขวดติดมือออกไปด้วย

เธอตั้งใจว่าวันนี้จะมอมเจ้าของบ้านให้มึนเมากันไปข้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนใจรับปากว่าจะยอมเก็บบ้านให้เธอเป็นเวลาสามเดือน

ถึงแม้ความเป็นไปได้จะค่อนข้างต่ำ แต่ความพยายามไม่เคยทำร้ายใคร

ถึงคุณลุงเจ้าของบ้านดื่มเบียร์ที่หลินม่ายนำมาฝากจนหมดทั้งสิบขวด แต่เขาก็ไม่ได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด เขาสนใจชิมอาหารฝีมือหลินม่ายมากกว่า

ขาหมูน้ำแดงจานนี้ทั้งนุ่มและชุ่มฉ่ำ มันเยิ้มแต่ไม่เลี่ยนจนเกินไป เปื่อยแต่ไม่ถึงกับเละ

คากิตุ๋นสมุนไพรส่งกลิ่นหอมคลุ้ง เนื้อสัมผัสมีความเหนียวนุ่ม ส่วนของหนังยืดหยุ่นกำลังดี

แม้กระทั่งซุปกระเพาะหมูพุทราจีนก็มีรสกลมกล่อมไม่แพ้กัน

ไม่มีอาหารสักจานที่คุณลุงเจ้าของบ้านไม่ชื่นชอบ

ขาหมูน้ำแดงทั้งสองชิ้นถูกเขาเลาะเนื้อกินจนหมดเกลี้ยง คากิตุ๋นสมุนไพรก็ถูกเขาแทะจนกระดูกสะอาดเอี่ยม ซุปกระเพาะหมูพุทราจีนถูกเขายกซดจนไม่เหลือน้ำซุปแม้แต่หยดเดียว หากเลียจานได้เขาคงทำไปแล้ว

แน่นอนว่าอาหารอร่อยสามารถทำให้คนเปิดใจได้ง่ายขึ้นจริง ๆ

หลังจากคุณลุงเจ้าของบ้านกินอาหารมื้อใหญ่อย่างอิ่มหนำสำราญแล้ว เขาก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการซื้อขาย

เขาเสนอว่าตัวเองยินดีลดเงินค่ามัดจำจากห้าพันเหลือเพียงสามพันหยวน และยินดีเก็บบ้านไว้ให้หลินม่ายเป็นเวลาสามเดือน

ถ้าเขาเป็นฝ่ายผิดสัญญาก่อน หลินม่ายจะได้รับเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน และยังจะได้รับเงินชดเชยอีกหนึ่งพันหยวน

ตรงกันข้าม ถ้าครบกำหนดชำระแล้วหลินม่ายผิดสัญญา จะไม่มีการคืนเงินค่ามัดจำสามพันหยวนแต่อย่างใด

คุณลุงเจ้าของยังใจดี แนะนำให้หลินม่ายลองประเมินตัวเองดูอีกครั้ง ว่าภายในสามเดือนจะสามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายค่าบ้านให้เขาได้จริงหรือไม่

แต่ในขณะที่ยังไม่มีเงินมากขนาดนั้น จ่ายค่ามัดจำให้เขาก่อนสามพันหยวนก็ได้แล้ว

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “ฉันหาเงินมาจ่ายได้แน่นอนค่ะ”

ภายในระยะเวลาสามเดือน เงินที่ได้จากการรับซื้อพืชผลทางการเกษตรมาขายต่อ จะต้องครบหนึ่งหมื่นหยวนอย่างแน่นอน

ทว่าสิ่งที่เธอกังวล คือถึงแม้คุณลุงเจ้าของจะยอมลดเงินค่ามัดจำลงเหลือสามพันหยวนแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังมีเงินไม่พอจ่ายอยู่ดี

ตอนนี้เธอสามารถวางเงินมัดจำให้เขาได้แค่ไม่เกินหนึ่งพันหยวนเท่านั้น

และถ้าเธอกัดฟันควักเงินส่วนนี้ออกมาวางเงินมัดจำ เธอคงเหลือเงินไม่พอที่จะสร้างบ้านหลังใหม่ให้กับคุณยายเถียน

หลินม่ายขอตัวลากับคุณอาเจ้าของบ้านด้วยความเศร้าใจ คิดไม่ตกว่าจะหาเงินสามพันหยวนมาจากที่ไหน

ถ้าไม่มีหนทางอื่นแล้วจริง ๆ เธออาจจะลองขอยืมเงินจากคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง พวกเขาต้องยินดีให้เธอยืมเงินจำนวนสามพันหยวนอย่างแน่นอน

ฟางจั๋วหรานเข้าห้องผ่าตัดเพื่อทำการผ่าตัดใหญ่ให้กับผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะวิกฤตทันทีที่เขาเข้างานในช่วงบ่าย

หลังเสร็จสิ้นการผ่าตัด เขารินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้ว ก่อนจะนั่งพักผ่อนคลายอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องพักแพทย์

เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่เต็มใจ แต่แล้วกลับเห็นหลินม่ายที่สวมหมวกฟางกำลังเดินข้ามถนน เขาขมวดคิ้วมุ่นทันที

หญิงสาวตัวเล็ก ๆ สวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ ดูสดใสสมวัยชวนมองทีเดียว แต่หมวกฟางที่เธอสวมใส่ช่างขัดกันกับเสื้อผ้าอย่างน่าเสียดาย!

หลังเลิกงาน เขาตรงไปที่ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงซึ่งตั้งอยู่บนถนนฝั่งตรงข้าม

ยุคสมัยนี้ห้างสรรพสินค้ายังคงเปิดทำการตามเวลาราชการ และปิดทำการเวลาเดียวกันกับหน่วยงานราชการเช่นเดียวกัน นั่นก็คือบ่ายสามโมงครึ่ง

ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือก่อนถึงเวลาบ่ายสามโมง พนักงานห้างจะช่วยกันประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าทยอยออกจากพื้นที่

ทันทีที่ฟางจั๋วหรานวิ่งข้ามถนนมาถึง ก็ตรงกับเวลาเคลียร์ลูกค้าของห้างพอดี

พนักงานขายคนหนึ่งส่งยิ้มให้เขา พูดอย่างสุภาพให้เขามาเลือกซื้อของใหม่ในวันพรุ่งนี้

ฟางจั๋วหรานจึงส่งรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ให้กับพนักงานสาวคนนั้น “ผมแค่อยากซื้อหมวกบังแดดสักใบ ช่วยละเว้นให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”

ใครบ้างจะทนใจแข็งกับรอยยิ้มกระชากใจของเขาได้!

พนักงานขายไม่มีทางเลือกนอกจากยอมเปิดประตูให้ “ถ้าอย่างนั้นช่วยทำเวลาหน่อยนะคะ ห้างของเราใกล้ปิดแล้ว”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่ได้ด้วยกลก็ใช้เสน่ห์ปลายจวักสินะ

พี่หมอเขาเสน่ห์แรงนะคะ ใครจะมาเทียบชั้นเขาได้หนอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 144 หลี่หมิงเฉิงโดนโกง

ก่อนที่หลินม่ายจะกลับมา ชายชนบทหน้าตาธรรมดาในวัยสี่สิบกว่าคนหนึ่ง ได้วางถุงข้าวสองถุงไว้ในตะกร้าจักรยานแล้วปั่นมาที่ร้านของหลินม่าย

ชายวัยกลางคนคนนั้นขี่จักรยานมาจอดหน้าร้าน แล้วพูดกับหลี่หมิงเฉิงว่า หลินม่ายฝากซื้อข้าวสองถุงจากเขาและขอให้เอามาส่งที่นี่

ทั้งยังบอกอีกว่าเธอกำลังยุ่งอยู่ จึงยังไม่ได้จ่ายเงินสำหรับข้าวจำนวนหนึ่งร้อยชั่งนี้

หลี่หมิงเฉิงไม่ได้ฉุกคิดเรื่องนี้ เขาจ่ายเงินสำหรับข้าวหนึ่งร้อยชั่งให้ชายวัยกลางคนไปแล้ว โดยที่โจวฉายอวิ๋นห้ามเอาไว้ไม่ทัน

ทันทีที่ชายวัยกลางคนส่งข้าวเสร็จก็จากไป โจวฉายอวิ๋นรีบเปิดถุงข้าวสองถุงดูทันที ก่อนพบว่าข้าวพวกนี้เป็นข้าวเก่าที่ขึ้นรา

ต่อให้จะเอาข้าวพวกนี้ไปโปรยให้นกกิน นกพวกนั้นก็คงไม่พ้นป่วยตายอยู่ดี แล้วนับประสาอะไรกับคน!

โจวฉายอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะตำหนิหลี่หมิงเฉิง “นายหลงเชื่อผู้ชายคนนั้นง่ายเกินไป ไม่รู้เหรอว่าหลินม่ายเป็นคนยังไง อย่างหล่อนเนี่ยนะจะซื้อข้าวโดยไม่จ่ายเงินทันที? ไม่ว่าธุระจะยุ่งแค่ไหนหล่อนก็ต้องจ่ายเงินทุกครั้ง ถ้าหล่อนอยากซื้อข้าวจริง ๆ แล้วมีความจำเป็นอะไรต้องขอให้คนเอาข้าวมาส่งถึงหน้าประตูบ้าน? หล่อนมีรถแทรกเตอร์นะ ซื้อข้าวแล้วขนขึ้นรถกลับมาเองได้! อีกอย่างข้าวสารที่บ้านยังไม่หมดเลย ต่อให้หมดแล้วก็จะกลับไปซื้อจากชนบทด้วยตัวเองทุกครั้ง ไม่คิดเลยว่านายจะเผยช่องโหว่มากมายขนาดนี้!“

หลี่หมิงเฉิงรู้สึกละอายใจ “ฉันไม่คิดว่าผู้ชายคนนั้นพูดโกหกนี่นา ปกติฉันก็ไม่ใช่คนที่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ใครจะไปคิดว่าเขาจะโกงเงินกันแบบนี้!”

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าความคิดของเขาไม่รอบคอบพอ และช่างสังเกตน้อยเกินไป “ถึงฉันจะเป็นคนใจดี แต่ใช่ว่าจะมองไม่ออกว่าใครตั้งใจมาโกง! ก่อนที่นายจะจ่ายเงินอย่างน้อยก็ต้องตรวจสอบของก่อนสิ ยังไม่ทันตรวจดูของด้วยซ้ำ นายกลับจ่ายเงินให้เขาไปแล้ว!“

หลินม่ายรู้สึกว่าหลี่หมิงเฉิงประมาทเกินไป แบบนี้ถึงถูกหลอกลวงได้ง่าย ดังนั้นเธอจึงอยากแนะนำอะไรกับเขาสักสองสามคำ

แต่เมื่อเห็นว่าโจวฉายอวิ๋นต่อว่าอีกฝ่ายเสียจนเขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาเลย ถ้าตอกย้ำซ้ำไปอีกคงไม่ดี ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “คราวหน้าคราวหลังนายก็ระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”

หลี่หมิงเฉิงตอบเสียงเบา “ฉันจะจ่ายค่าข้าวคืนให้เอง วันนี้ฉันไม่ขอรับค่าจ้าง”

โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างไม่พอใจ “ก็ต้องเป็นแบบนั้นแน่อยู่แล้วน่ะสิ ใครก็ตามที่ทำให้ร้านเกิดความเสียหายจะต้องรับผิดชอบ!”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ฉันปล่อยผ่านให้ก่อนก็ได้ หวังว่าครั้งหน้าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก”

เธอและหลี่หมิงเฉิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน จึงทำใจร้องขอให้เขาชดใช้ค่าข้าวจำนวนหนึ่งร้อยชั่งไม่ได้

เอาเป็นว่าหลังจากนี้ ถ้าเขาโดนหลอกอีก เธอค่อยจัดการกับเขาอย่างเด็ดขาดก็แล้วกัน

เห็นได้ชัดว่าโจวฉายอวิ๋นไม่เห็นด้วยกับการที่หลินม่ายยอมปล่อยผ่านให้อย่างใจดี หล่อนทำท่าจะพูดอะไรอีกหลายคำ แต่เมื่อคำนึงถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างหลินม่ายกับหลี่หมิงเฉิง สุดท้ายก็ปิดปากเงียบไว้

ขณะที่หลินม่ายกำลังเตรียมอาหารกลางวัน โจวฉายอวิ๋นหันมาบอกว่า “เมื่อกลางวันคุณหมอฟางแวะมากินข้าวที่นี่ เอาปลิงทะเลตากแห้งห่อหนึ่งกับหอยเชลล์อีกหนึ่งห่อมาฝากเธอด้วย เขาบอกว่ามันดีต่อสุขภาพ ฉันเอาวางไว้ในตู้แช่แข็ง ไปเลือกดูเองก็แล้วกัน”

หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อย “อาหารทะเลตากแห้งไม่จำเป็นต้องเข้าตู้แช่ก็ได้ ถ้าเปียกน้ำมากเกินไปจะเน่าเสียเอา”

โจวฉายอวิ๋นมองด้วยความประหลาดใจ “แทนที่จะห่วงเรื่องนั้น ไม่คิดเรื่องที่คุณหมอฟางเป็นห่วงเธอสักหน่อยเหรอ?”

หลินม่ายสะดุ้งในใจ หล่อนนี่คะยั้นคะยอเก่งจริง ๆ

โจวฉายอวิ๋นเข้าไปดันไหล่เบา ๆ “คุณหมอฟางหวังดีกับเธอขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ไปที่ตู้แช่แล้วเอาซี่โครงหมูหรืออะไรสักอย่างออกมาทำอาหารอร่อย ๆ สักสองสามอย่างให้เขาล่ะ เธอต้องตอบแทนเขานะ!”

หลินม่ายทำอาหารหลายเมนู กลางวันนี้เธอทำทั้งเป็ดตุ๋นเบียร์ ซี่โครงหมูยี่หร่า ปลาทรายแดงนึ่ง รวมถึงซุปฟักหอยเชลล์ชามโต

โต้วโต้วปรบมือเมื่อเห็นเมนูอาหาร “อาหารน่าอร่อยจัง วันนี้คุณอาต้องกินอย่างเอร็ดอร่อยมากแน่ ๆ”

หลินม่ายตอบกลับ “แล้วมีวันไหนบ้างที่คุณอาฟางมากินข้าวที่ร้านเราแล้วบ่นว่าไม่อร่อย?”

เจ้าตัวแสบพูดอย่างจริงจัง “ตอนที่แม่ไม่อยู่ไงคะ คุณอาฟางกินข้าวไม่อร่อยเลย เอาแต่ขมวดคิ้ว เหมือนไม่มีความสุขกับอาหารพวกนั้น”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกอับอายขึ้นมาทันที สำลักอาหารตรงหน้าจนน้ำหูน้ำตาไหล

ภายในใจครุ่นคิดว่า เจ้าเด็กแสบเอ๋ย ต่อให้อาจะกินข้าวไม่อร่อยอย่างไร หนูก็ไม่ควรเล่าให้แม่ของหนูฟังแบบนั้น

หลินม่ายหันไปพูดกับฟางจั๋วหราน “รอบหน้าคุณไม่ต้องเอาอาหารทะเลตากแห้งมาฝากฉันแล้วนะคะ เก็บไว้ให้คุณปู่กับคุณย่าดีกว่า หอยเชลล์กับปลิงทะเลเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพคนชรา”

ฟางจั๋วหรานคีบขาเป็ดสองชิ้นจากจานเป็ดตุ๋นเบียร์ให้สองแม่ลูกตามลำดับ “ผมซื้อไว้ให้คุณปู่กับคุณย่าแล้วล่ะ คราวหน้าถ้าคุณกลับชนบทค่อยฝากคุณนำไปให้ วันพรุ่งนี้คุณกลับชนบทไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า “กลับค่ะ”

ฟางจั๋วหราน “ถ้าอย่างนั้นตอนที่ผมแวะมากินข้าวมื้อเย็นที่ร้านคุณ จะเอาของที่ว่าติดมือมาด้วยแล้วกัน”

หลินม่ายตอบรับ

ถึงมื้อกลางวันนี้จะมีกับข้าวขึ้นโต๊ะเยอะมาก แต่ด้วยรสชาติที่อร่อย ฟางจั๋วหรานที่อารมณ์ดีจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ

อาหารบนโต๊ะหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลังจากล้างจานเสร็จ หลินม่ายก็ขึ้นไปบนห้องชั้นบนเพื่องีบหลับ

วันพรุ่งนี้เธอต้องกลับไปที่ชนบทเพื่อรับซื้อผลไม้มาขายอีกครั้ง ต้องพักผ่อนเอาเรื่องเพื่อเผื่อเวลาไปกลับ

ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ เพราะจิตใจยังคงวนเวียนคิดเกี่ยวกับตึกแถวสามคูหาหลังนั้น

ตอนนี้เธอต้องเสียเงินจ่ายเพียงหนึ่งหมื่นหยวนเพื่อซื้อตึกแถวหลังนั้น แต่ในปี 1990 เธอจะได้รับค่าชดเชยจากการรื้อถอนเป็นจำนวนหลายล้าน

เงินล้านในปี 1990 นั้นมีมูลค่ามากกว่าเงินหนึ่งหมื่นหยวนในตอนนี้ไม่รู้กี่เท่าตัว

ถ้าเธอยังรับพืชผลทางการเกษตรมาขาย ก็จะสามารถสร้างรายได้ครั้งละสองร้อยถึงสามร้อยหยวน ดังนั้นเธอต้องขายพืชผลทางการเกษตรต่อไปอีกประมาณยี่สิบครั้ง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือหลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เธอจะมีเงินเก็บทั้งหมดครบหนึ่งหมื่นหยวนพอดี แต่กลัวเหลือเกินว่าถึงเวลานั้นตึกแถวจะถูกขายให้คนอื่นไปเสียก่อน

หลินม่ายพลิกตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คิดแล้วคิดอีกอยู่อย่างนั้น และแล้วก็ผุดความคิดขึ้นมาว่าควรนำกลยุทธ์การต่อรองจากการซื้อบ้านที่หมู่บ้านซานหยางไปใช้ โดยจ่ายค่ามัดจำให้กับเจ้าของก่อนส่วนหนึ่ง

ถ้าเธอเก็บสะสมเงินครบหนึ่งหมื่นหยวนเมื่อไร ตึกแถวหลังนั้นก็จะตกเป็นของฉันทันที

คิดได้ดังนี้แล้วก็ไม่เสียเวลากังวลอีกต่อไป หลินม่ายเด้งตัวลุกขึ้น แล้วออกไปหาคุณลุงเจ้าของบ้านทันที

คุณลุงเจ้าของบ้านยังคงนั่งอยู่ที่เดิม รอคอยให้คนมีฐานะร่ำรวยสักคนผ่านมาซื้อบ้านของเขา

พอเห็นหลินม่ายกลับมาอีกครั้ง เขาก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “คุณยืมเงินคนอื่นมาซื้อบ้านได้แล้วหรือ?”

หลินม่ายได้แต่หัวเราะ “ใครกันจะใจดีให้ฉันยืมเงินตั้งหนึ่งหมื่นหยวน?”

คุณลุงเจ้าของบ้านแสดงความผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างั้นทำไมคุณถึงมาที่นี่อีกล่ะ?”

หลินม่ายนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ตัว “ฉันว่าจะมาต่อรองการซื้อขายกับคุณน่ะค่ะ คุณลุงคะ ลองรับฟังแผนการซื้อบ้านของฉันดู แล้วค่อยพิจารณาอีกทีว่าคุณลุงจะยินดีรับข้อเสนอนี้หรือเปล่า”

คุณลุงเจ้าของบ้านตอบรับอย่างไม่คาดหวังนัก “ฉันจะลองฟังดู…”

เมื่อได้ยินหลินม่ายบอกว่าเธอต้องการจ่ายเงินมัดจำให้ก่อนส่วนหนึ่ง เพื่อแลกกับการขอให้เขาเก็บตึกแถวหลังนี้ไว้ให้เป็นเวลาสามเดือน ทันทีที่ครบสามเดือน เธอถึงจะจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้

คุณลุงเจ้าของโพล่งขึ้นขัดจังหวะเธอเสียก่อน “ถ้าจะให้ผมเก็บบ้านไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือน แล้วคุณรับประกันได้ไหมล่ะว่าถึงเวลานั้นจะหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายให้ผมได้?”

หลินม่ายคลี่ยิ้ม “ประเด็นอยู่ตรงนี้ค่ะ ถ้าครบกำหนดแล้วฉันยังไม่สามารถหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายให้คุณภายในสามเดือนได้ บ้านหลังนี้ก็จะยังคงเป็นของคุณตามเดิม และคุณสามารถยึดเงินค่ามัดจำส่วนแรกไปได้เลย”

คุณลุงเจ้าของไม่เห็นแก่เงินจำนวนเล็กน้อยนั้น เขาปฏิเสธทันที “ผมอยากขายบ้าน ไม่ได้อยากได้เงินมัดจำอะไรนั่น ถ้าเก็บบ้านไว้ให้คุณเป็นเวลาสามเดือนจริง แล้วระหว่างนั้นมีผู้ซื้อรายอื่นที่มีทุนทรัพย์พร้อมกว่าสนใจซื้อจะทำอย่างไร อีกอย่าง ท้ายที่สุดถ้าคุณหาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาจ่ายไม่ได้ บ้านหลังนี้ก็เสียประโยชน์ไปอย่างน่าเสียดาย ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะมีคนสนใจซื้ออีกครั้ง เก็บเมล็ดงาแต่เสียเมล็ดแตงโม(1) สมองของผมไม่ได้มีปัญหานะ!”

ก่อนหน้านี้เฉียนอ้ายกั๋วเคยเสนอทางแก้ปัญหาดังกล่าวให้กับหลินม่าย

แลกกับเงื่อนไขว่า หากผู้ซื้อรายอื่นต้องการซื้อบ้านของเขาในระหว่างนั้น เขาก็จะตัดสินใจขายบ้านให้อีกฝ่ายไปเสีย แล้วคืนเงินมัดจำให้กับเธออย่างเต็มจำนวน

แต่กลยุทธ์การต่อรองนี้กลับใช้ไม่ได้กับคุณลุงเจ้าของบ้านรายนี้

เขาคิดแค่ว่าในเมื่อเธอไม่มีปัญญาซื้อบ้านของเขา เขาจะขายมันให้กับคนอื่นก็ยังได้

ต่างจากบ้านของเฉียนอ้ายกั๋วที่เงียบเหงาไร้คนสนใจซื้อ

บ้านของเขาตั้งอยู่ในทำเลที่ไม่สามารถขายได้ง่าย ๆ หลินม่ายถึงได้มั่นใจว่าระหว่างนี้เขาคงไม่ขายมันให้คนอื่นอย่างแน่นอน ถึงได้กล้ายอมรับเงื่อนของอีกฝ่าย

ทว่าคุณลุงเจ้าของบ้านคนนี้ ดูท่าแล้วคงไม่ยอมตกลงง่าย ๆ

ถึงราคาขายบ้านหลังนี้ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้งและคุณภาพของบ้านแล้วก็นับว่าสมราคา

ตราบใดที่เขาเจอคนที่มีกำลังทรัพย์พร้อมและวิสัยทัศน์ดี เขาสามารถตกลงขายให้กับคนคนนั้นภายในไม่กี่นาทีด้วยซ้ำ

ตึกแถวหลังนี้มีแนวโน้มว่าจะขายออกได้ทุกเมื่อ ถ้าหลินม่ายยอมรับเงื่อนไขให้เขาสามารถขายตึกแถวหลังนี้ให้กับผู้ซื้อรายอื่นได้ภายในระหว่างสามเดือนที่เธอกำลังเก็บเงินล่ะ

ความปรารถนาของเธอจะไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกหรือ?

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)เก็บเมล็ดงาแต่เสียเมล็ดแตงโม ก็คือ ได้ไม่คุ้มเสีย เก็บกอดผลประโยชน์เล็กไว้จนพลาดผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่า

สารจากผู้แปล

คนที่มาโกงนี่ก็เหลือเกินจริงๆ โกงได้ถูกคนมาก

โต้วโต้วหนูชงแรงไปนะคะ พี่หมอสำลักแล้วค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 143 อยากซื้อบ้านอีกหลัง

หลินม่ายกลับถึงร้านในเวลาประมาณสี่ทุ่มกว่า

โจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงยังไม่แยกย้ายกันไปนอน พวกเขานั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงรอเธอกลับมา

หลี่หมิงเฉิงเห็นว่าหลินม่ายเหลือผลไม้กลับมามากกว่าคืนเมื่อวานเสียอีก จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบ “เธออุตส่าห์ออกไปขายของตั้งไกล ไม่เห็นจะขายดีไปกว่าคืนเมื่อวานตรงไหน ขับออกไปขายใกล้ ๆ ยังดีเสียกว่า!”

โจวฉายอวิ๋นกลอกตาใส่เขา “นายจะไปรู้อะไร!”

ขณะพูดแบบนั้นก็ลุกขึ้นไปตักโจ๊กถั่วเขียวใส่ชามพร้อมด้วยไข่ต้มอีกฟองเพื่อเป็นมื้อดึกสำหรับหลินม่าย

หลี่หมิงเฉิงใช่ว่าจะไม่รู้ พี่ฉายอวิ๋นก็แค่อยากจะจับคู่ม่ายจื่อกับศาสตราจารย์ฟางไม่ใช่หรือ?

แต่ระหว่างพวกเขาอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้นี่?

หลินม่ายยังคงขนลูกท้อกับลูกไหนที่ยังขายไม่หมดออกไปตั้งแผงลอยขายที่ตลาดมืดในตอนเช้า

ลูกน้องของเฉินเฟิงยังยกเว้นค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยให้กับเธอตามเดิม และยังคอยคุ้มครองเธออยู่ห่าง ๆ

ถึงอย่างนั้นบรรดาคนที่มาตลาดมืดเพื่อจับจ่ายซื้อของต่างก็เป็นลูกค้าหน้าเดิมกันทั้งนั้น

เมื่อวานนี้หลินม่ายมาที่ตลาดมืดเพื่อขายลูกท้อกับลูกไหนแล้วรอบหนึ่ง พอออกมาขายอีกรอบในวันนี้จึงมีคนสนใจซื้อไม่มากนัก

ตั้งแผงขายจนถึงแปดโมงเช้า ปรากฏว่ายังเหลือผลไม้อีกเกือบสองร้อยชั่ง

ดวงอาทิตย์ลอยแขวนอยู่บนท้องฟ้ามาสักระยะแล้ว แสงแดดจ้าในยามเช้าร้อนเกินไป ผู้คนจึงไม่ค่อยออกจากบ้านมาจับจ่ายซื้อของกันเท่าที่ควร

ต่อให้ตั้งแผงต่อก็คงขายผลไม้ได้อีกไม่มากนัก

หลินม่ายตัดสินใจปิดแผง ขับรถแทรกเตอร์ไปจอดแถวเขตชุมชนที่ผู้อาศัยค่อนข้างมีฐานะมั่งคั่งเพื่อขายผลไม้ ในที่สุดก็ขายผลไม้ที่เหลือได้เกือบหมดตั้งแต่ก่อนถึงสิบโมง

บนรถเหลือลูกท้อกับลูกไหนแค่ไม่กี่ผล หลินม่ายจึงตั้งใจว่าจะนำพวกมันกลับบ้านไปให้โต้วโต้วกินเสียหน่อย

ถึงแม้เธอจะรับซื้อลูกท้อกับลูกไหนมาขายติดกันสองวันแล้ว แต่เด็กหญิงตัวน้อยยังไม่ได้ชิมสักลูกเลย

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับบ้าน

ระหว่างนั้นในใจก็คิดคำนวณกำไรรวมทั้งสิ้นจากการขายผลไม้ทั้งสองชนิดไปด้วย ผลก็คือเธอมีรายได้สุทธิห้าร้อยหยวน

คิดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ช่วงปี 1980 ถือเป็นช่วงที่ดีในการสร้างเนื้อสร้างตัวจริง ๆ

โชคดีที่ชาวบ้านในชนบทยุคสมัยนี้ค่อนข้างขี้กลัว ไม่มีความกล้าพอที่จะเข้ามาทำธุรกิจค้าขายในเมืองด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากการรับพืชผลทางการเกษตรมาขายเป็นแน่

สำหรับหลินม่ายแล้ว การได้รับเงินรวมห้าร้อยหยวนภายในเวลาสองวันเป็นอะไรที่น่าภาคภูมิใจมาก

ทว่าสำหรับตาลุงพ่อค้าคนนั้นแล้ว เงินจำนวนน้อยนิดนี้อาจไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำ ตาลุงนั่นไม่สนใจแม้แต่จะหาเงิน

ช่วงชีวิตของเธอในภพชาติก่อน เธอเคยได้ยินว่าตาลุงขี้โกงคนนี้ทำธุรกิจหาเงินได้ครั้งละหลายพันถึงหลายหมื่นหยวน นับว่าเขาก็มีความสามารถพอตัว

ดี! สักวันหนึ่งคงดีไม่น้อยถ้าเธอสามารถหาเงินได้ครั้งละเยอะ ๆ แบบตาลุงนั่น ถ้าเป็นแบบนั้นคงไต่เต้าไปจนถึงจุดสูงสุดในชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็น

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์อย่างช้า ๆ ผ่านถนนอันเป็นที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายประกาศขายบ้านที่ตั้งอยู่หน้าตึกตึกหนึ่ง เธอรีบจอดรถ ก่อนจะอ่านป้ายประกาศขายดังกล่าวอย่างละเอียด

ขายบ้าน ตึกแถวสองชั้น เชื่อมต่อกันสามคูหา มีสามห้องนอน

หลินม่ายรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที

ตึกแถวสามคูหานี้ตั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงมาก อีกสิบปีต่อจากนี้ ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงจะมีการขยายพื้นที่ออกไป อาคารบ้านเรือนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณโดยรอบจะถูกรื้อถอน แน่นอนว่าทุกหลังคาเรือนได้รับเงินค่าชดเชยในราคาที่สูงเสียดฟ้า

ถ้าซื้อไว้ตั้งแต่ตอนนี้ ในอนาคตอย่างไรก็ได้กำไรเห็น ๆ

อีกอย่างที่นี่ยังมีทำเลการค้าที่ดีเพราะอยู่ติดกับห้างสรรพสินค้าใหญ่ มีผู้คนสัญจรพลุกพล่านตลอดเวลายิ่งกว่าอาคารริมถนนเสียอีก ต่อให้ซื้อไว้เพื่อเปิดร้านทำธุรกิจก็ยังนับว่าเข้าท่า

แต่เพราะมันเป็นตึกแถวสามคูหา แถมยังมีสองชั้น ราคาขายคงแพงไม่ใช่เล่น

หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปเพื่อสอบถามราคา

เจ้าของตึกแถวนี้เป็นผู้รับผิดชอบการซื้อขายด้วยตัวเอง เขายกถ้วยชาขึ้นจิบพลางทอดสายตามองออกไปด้านนอกด้วยความเบื่อหน่าย ทันใดนั้นก็เห็นว่าหลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาจอด

ถึงคนที่ใช้รถแทรกเตอร์เป็นยานพาหนะจะเป็นชาวบ้านในแถบชนบท แต่คนที่มีกำลังพอซื้อต้องไม่ใช่ชาวบ้านที่มีฐานะยากจนแน่ ดังนั้นคุณลุงเจ้าของตึกแถวนี้จึงไม่แสดงท่าทีเย่อหยิ่งต่อหลินม่าย

หลินม่ายเปิดประตูเข้าไปแล้วถามว่า “คุณลุงคะ คุณเป็นคนประกาศขายตึกแถวสามคูหาสองชั้นหลังนี้ใช่ไหมคะ?”

เจ้าของตึกแถวพยักหน้าพลางถามกลับ “คุณสนใจซื้อเหรอ?”

ทุกวันนี้ การหาคนที่สนใจอยากซื้อบ้านสักหลังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแต่ละคนใช่ว่าจะมีเงินเก็บเป็นถุงเป็นถัง

ยิ่งเมื่อเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีราคาแพงลิ่วแบบนี้ ยิ่งไม่มีใครสนใจซื้อเข้าไปใหญ่

ตราบใดที่มีคนผ่านมาถามราคา เจ้าของบ้านก็จะปฏิบัติกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีสุภาพเสมอ

หลินม่ายพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันยังไม่รู้เลยว่าตัวเองจะมีกำลังทรัพย์พอซื้อหรือเปล่า แล้วจะสนใจซื้อทันทีเลยได้อย่างไรคะ?”

คุณลุงเจ้าของบ้านชูนิ้วขึ้นมา “หนึ่งหมื่นหยวน”

สมองของหลินม่ายพลันว่างเปล่าจนส่งเสียงดังวิ๊ง ๆ

นี่มันปี 1980 นะ ใครที่ไหนจะมีเงินมากมายถึงหนึ่งหมื่นหยวนกัน!

เธออดบ่นไม่ได้ “ตั้งราคาขายแพงจังเลยค่ะ”

ลุงเจ้าของบ้านโบกมือ “บ้านของผมคุ้มค่าคุ้มราคาขนาดนี้ ลดราคาขายถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว…”

ถ้าจ่ายไม่ไหวก็ไม่ควรเข้ามาดูแต่แรกสิ

หลินม่ายถามอย่างระมัดระวัง “ฉันขอเข้าไปเยี่ยมชมบ้านหลังนี้หน่อยได้ไหมคะ?”

คุณลุงเจ้าของบ้านพยักหน้า “คุณขึ้นไปดูเองก็แล้วกัน ผมป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ เดินขึ้นเดินลงบันไดไม่ค่อยสะดวกน่ะ”

เขารู้ดีว่าตัวเองตั้งราคาขายตึกแถวหลังนี้เอาไว้สูงมาก น้อยคนนักที่จะมีปัญญาซื้อ เพราะแบบนี้เขาถึงไม่ค่อยกระตือรือร้นพาแขกเยี่ยมชมบ้านสักเท่าไหร่

ถ้าอีกฝ่ายสนใจซื้อบ้านจริง ๆ ทั้งยังมีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอ คงต่อรองราคาในการซื้อขายตั้งแต่แรกแล้ว

ตรงกันข้าม ถ้าอีกฝ่ายดูไม่มีกำลังทรัพย์มากพอ ต่อให้สนใจซื้อแค่ไหนแต่หาเงินมาจ่ายไม่ได้ก็เท่านั้น คนประเภทนี้มักจะแวะมาดูบ้านแล้วก็จากไป

หลินม่ายเดินดูชั้นที่หนึ่งของอาคารก่อนเป็นอันดับแรก อาคารทั้งสามเชื่อมต่อกันทั้งหมด มีความลึกประมาณสิบห้าเมตร พื้นที่ใช้สอยสำหรับเปิดร้านเพียงอย่างเดียวก็ประมาณสองร้อยตารางเมตรแล้ว

ด้านหลังแบ่งออกเป็นสามห้อง ขนาดประมาณสิบสองตารางเมตร โดยแต่ละห้องยังมีห้องน้ำในตัวซึ่งมีขนาดประมาณหกตารางเมตร

ภายในห้องน้ำมีอ่างล้างหน้าและโถสุขภัณฑ์ครบครัน

ถึงแม้ห้องน้ำจะถูกสร้างขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว แต่ยังสามารถสังเกตเห็นความหรูหราได้จากรสนิยมการจัดวางอุปกรณ์ใช้สอยในช่วงเวลานั้น

พอเปิดประตูด้านหลังของห้องโถงกลางออกไป ลานกว้างซึ่งมีพื้นที่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบตารางเมตรก็ปรากฏต่อสายตา

ลานกว้างยังทำเป็นโรงจอดรถในตัวอีกด้วย คาดว่าคงสร้างไว้สำหรับจอดรถยนต์หรือรถขนของ

โรงจอดรถสร้างขึ้นจากเหล็กดัด ไม่ต้องพูดถึงยุคก่อนปลดแอก แม้แต่ยุคนี้ยังนับว่าล้ำสมัย

หลินม่ายถามเจ้าของบ้านด้วยความสงสัย “ตึกแถวหลังนี้เคยใช้เปิดกิจการอะไรหรือคะ?”

“ขายเสื้อผ้าระดับไฮเอนด์” เจ้าของบ้านนิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วพูดเสริม “พวกเสื้อผ้าราคาแพงอะไรทำนองนั้น”

หลินม่ายก้มลงมองพื้นบ้านที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ทันใดนั้นเธอก็รู้แล้วว่าไม่น่าแปลกใจเลย แม้แต่กระเบื้องปูพื้นยังเลือกลายทันสมัยแบบนี้!

ด้านหน้าของตึกแถวสามคูหาเป็นบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง แต่วัสดุที่ใช้ทำขั้นบันไดยังทำจากไม้ เวลาเหยียบขึ้นไปก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดไม่ต่างจากร้านของเธอเลย

สิ่งที่แตกต่างจากบันไดไม้ในบ้านที่หลินม่ายเช่าอยู่ในปัจจุบัน ก็คือขั้นบันไดของที่นี่ทำจากไม้เนื้อดี ทั้งยังขัดแต่งจนมีรูปทรงสวยงาม

บนชั้นสองว่างเปล่า ไม่แบ่งย่อยออกเป็นสามห้องนอนเหมือนชั้นที่หนึ่ง ปล่อยทิ้งไว้เป็นห้องโถงโล่ง ๆ เท่านั้น

หลินม่ายเดาว่าชั้นสองของที่นี่ก็คงถูกใช้เป็นหน้าร้านด้วยเหมือนกัน

หลังจากเยี่ยมชมจนพอใจแล้ว หลินม่ายก็กลับลงไปชั้นล่าง

คุณลุงเจ้าของบ้านประเมินไว้แต่แรกแล้วว่าเธอคงไม่มีเงินมากถึงหนึ่งหมื่นหยวนแน่ จึงไม่ถามว่ายังสนใจซื้ออยู่หรือไม่

ความจริงแล้วหลินม่ายสนใจที่นี่ไม่น้อยเลย แต่ในส่วนของเงิน… ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ตกจริง ๆ

เธอขับรถกลับไปถึงร้านด้วยสภาพจิตใจที่หนักอึ้ง ก้าวยาว ๆ ขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะหยิบสมุดบัญชีเงินฝากที่ซ่อนอยู่ในเสื้อแจ็กเกตบุนวมออกมาดู ว่าตอนนี้เธอมีเงินเก็บอยู่ในนั้นมากแค่ไหน

แต่แล้วหลินม่ายก็ถอนหายใจออกอย่างหนักหน่วง เมื่อพบว่ายอดเงินยังห่างไกลจากหนึ่งหมื่นหยวนพอสมควร

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีองค์กรไหนที่อนุญาตให้กู้ยืมเงิน เห็นทีความฝันที่จะซื้อตึกแถวสามคูหาสองชั้นหลังนั้นคงเป็นไม่ไม่ได้เสียแล้ว

หลินม่ายเก็บสมุดบัญชีเงินฝากกลับเข้าที่เดิม ก่อนจะลงไปชั้นล่างทั้ง ๆ ที่ภายในใจยังคงรู้สึกกระสับกระส่าย จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อเตรียมเข้าครัวทำอาหารกลางวัน แต่เหลือบไปเห็นสีหน้าบูดบึ้งของโจวฉายอวิ๋นกับหลี่หมิงเฉิงเข้าเสียก่อน

เธอมองหน้าทั้งสองสลับกันไปมา “เป็นอะไรไปน่ะ? ช่วงเช้าขายไม่ค่อยดีเหรอ?”

หลินม่ายคิดว่าคงไม่พ้นเหตุผลนี้แน่ ๆ

แต่โจวฉายอวิ๋นกลับมองไปทางหลี่หมิงเฉิงด้วยหางตา แล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เธอถามเขาเองสิ ฉันไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้นแหละ!”

หลินม่ายหันมองไปที่หลี่หมิงเฉิงด้วยความสงสัยทันที

ใบหน้าของหลี่หมิงเฉิงซีดคล้ำกลายเป็นสีตับหมู หลังจากอมพะนำอยู่นาน ท้ายที่สุดเขาก็จำใจเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เอาแล้วหลินม่าย จะหาเงินให้ถึงหนึ่งหมื่นหยวนยังไงดี

เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่หลินม่ายไม่อยู่น่ะ?

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 142 บางทีนี่อาจจะเป็นรักแท้

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์มาถึงบ้านของคุณย่าฟางในเวลาอาหารกลางวันพอดี

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางกินอาหารที่ดูไม่สมฐานะเลย

เพราะในจานอาหารไม่มีเนื้อสัตว์เลย มีเพียงแค่ผักใบเขียวและเพ่าฉ่ายที่ทำมาจากผักสวนครัวของพวกเขาเอง

เงินบำนาญแต่ละเดือนของทั้งคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเองก็ไม่น้อยเลยนะ

ทั้งยังมีเงินเก็บมากมาย จนเลี้ยงลูกหลานได้อย่างสบาย ๆ แต่กลับมีความเป็นอยู่ที่ยากจนเสียอย่างนั้น

หลินม่ายรู้สึกเป็นห่วง “คุณปู่คะ คุณย่าคะ ใช่ว่าพวกคุณไม่มีเงินเสียหน่อย อย่าใช้ชีวิตอย่างลำบากแบบนี้เลย ตอนนี้ลูกหลานทุกคนต่างก็เลี้ยงตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องอดออมเพื่อพวกเขาหรอกค่ะ”

บรรดาลูกชายและลูกสาวของทั้งสองไม่ได้มีฐานะลำบากแร้นแค้น ความจริงแล้วสองสามีภรรยาชราไม่จำเป็นต้องจุนเจือพวกเขาด้วยซ้ำ

ลูกชายและลูกสาวของคนชราทั้งสองไม่ได้มีความกตัญญูขนาดนั้น แถมยังใช้ชีวิตในทางที่ไม่สมควร พวกเขาไม่สมควรได้รับความห่วงใยจากคุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเลย

คุณปู่ฟางยิ้ม “จั๋วหรานและคนอื่น ๆ มีรายได้เยอะก็จริง แต่ถ้าถามว่าทำไมพวกฉันถึงต้องประหยัด? เพราะเดิมทีฉันกับภรรยาเป็นคนมัธยัสถ์อยู่แล้ว พวกฉันสะดวกเอาเงินตรงนี้ไปช่วยเหลือผู้ยากไร้คนอื่น ๆ ต่างหาก”

หลินม่ายยอมรับฟังโดยไม่ขัดข้อง ซึ่งเธอเองก็เข้าใจพวกเขาดี เพราะเธอก็เป็นคนชอบช่วยเหลือคนเหมือนกัน

แต่ถ้าให้เธอเป็นแบบคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางคงเป็นไปไม่ได้ เธอเป็นคนถือคติที่ว่า ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่ตัวเองพอช่วยเหลือได้

ความจริงแล้วคนที่มีหัวใจดีงามราวทำด้วยทองคำแบบนั้น มีเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้

คุณย่าฟางเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมจานข้าวสำหรับหลินม่าย แล้วพูดว่า “เร็ว ๆ มากินข้าวด้วยกัน”

หลินม่ายไม่ได้ถือสาเรื่องอาหารมากนัก เธอรับจานมาแล้วหยิบตะเกียบกินอาหารตรงหน้าทันที

คุณปู่ฟางถาม “ทำไมวันนี้เธอถึงกลับมาแถวชนบทอีกล่ะ? อย่าบอกนะว่าเมื่อวานขายลูกท้อกับลูกไหนหมดแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางมองเธอด้วยความตกใจ “เธอนี่ขายของเก่งเกินไปแล้ว!”

หลังมื้ออาหารกลางวัน หมินม่ายก็ออกไปซื้อลูกท้อและลูกไหนต่อ

เมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง หลินม่ายก็แจ้งความจำนงให้ชาวบ้านได้รับทราบ หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็แก่งแย่งกันเพื่อขายลูกท้อและลูกไหนให้กับเธอ

ก่อนหน้านี้ ลูกท้อและลูกไหนไม่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่ปีนี้ทั้งสองอย่างสามารถขายเป็นเงินได้แล้ว ชาวบ้านจึงยินดีขายมันเพื่อแลกกับเงินไม่กี่สิบหยวนในมือหลินม่าย

ในสายตาชาวบ้านแล้ว เงินจำนวนสิบหยวนถือว่ามากโขเลยทีเดียว

ครั้งนี้หลินม่ายต้องการซื้อลูกท้อและลูกไหนอย่างละหนึ่งพันชั่ง

ทว่าต้นท้อแต่ละต้นสามารถให้ผลผลิตเจ็ดสิบถึงแปดสิบผล และต้นไหนให้ผลผลิตต้นละสี่สิบถึงห้าสิบผลเท่านั้น

เพราะมันให้ผลดกแบบนี้ ใครบ้างจะปลูกต้นผลไม้พวกนี้เกินสองสามต้น?

หลินม่ายทำการคัดเลือกอีกที ตอนนี้เธอเลือกผลที่สวยงามจนได้อย่างละหนึ่งพันชั่งครบถ้วน

พอมองเห็นสายตาผิดหวังของคนที่ไม่ได้รับการคัดเลือก หลินม่ายเองก็ทนใจร้ายกับพวกเขาไม่ได้

เธอหันไปพูดกับพวกเขา “พวกคุณสามารถเก็บเอาผลผลิตที่เหลือไปเร่ขายตามท้องถนนในเมืองได้นะ”

ชาวบ้านตอบกลับอย่างสิ้นหวัง “ทำได้ก็จริงแต่จะโดนตำรวจจับเอาน่ะสิ”

หลินม่ายรีบตอบกลับ “ถ้าไปเร่ขายตามชุมชนก็ไม่มีใครมาจับหรอก”

“แต่ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการทำนาของตัวเองอยู่นะ ถ้าต้องสละเวลาหลายชั่วโมงไปขายลูกท้อและลูกไหนก็คงไม่ได้หรอก”

นี่สินะปัญหาของพวกเขา

หลินม่ายรู้ดีว่าคงช่วยอะไรไม่ได้ เธอตัดสินใจขนลูกท้อและลูกไหนกลับเมืองทันที แต่ก็ไม่ลืมที่จะแวะไปกล่าวลาคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง

เธอกลับมาถึงร้านในเวลาพอ ๆ กันกับเมื่อวานนี้

โจวฉายอวิ๋นยกจานอาหารมื้อเย็นในส่วนของหลินม่ายมาให้ทันที ไม่ลืมบอกเธอว่าฟางจั๋วหรานนัดให้เธอขับรถแทรกเตอร์เข้าไปขายผลไม้แถวละแวกหอพักที่เขาอาศัยอยู่

เมื่อรู้ว่าเขากำลังรอเธออยู่

หลินม่ายก็พูดอะไรไม่ออก

แม้ว่ายุคสมัยนี้การจราจรไม่ค่อยติดขัดมากนัก แต่ก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเดินทาง กว่าจะขับรถแทรกเตอร์ออกจากร้านไปยังถนนเจี่ยเฟิงอันเป็นละแวกชุมชนที่เขาอาศัยอยู่

ในเมื่อเขากำลังรออยู่ที่นั่น เธอจะปล่อยให้เขารอเก้อได้อย่างไร…

หลังกินข้าวมื้อเย็นเสร็จ หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์พร้อมกับนำผลไม้บางส่วนไปที่หอพักบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผู่จี้

ขณะเดียวกันฟางจั๋วหรานมายืนรอเธออยู่ที่หน้าประตูแล้ว

เมื่อมองไปยังชายหนุ่มตัวสูงสง่า หลินม่ายก็รู้สึกถึงความวาบหวามในหัวใจขึ้นมา

รู้สึกดีจริงที่มีใครสักคนรอให้ฉันมาหา ชาติก่อน ๆ ที่ผ่านมา ไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆ

ชีวิตก่อนหน้านี้ เธอทำงานอย่างหนักและเหนื่อยแทบตาย แต่ไม่มีใครสักคนในครอบครัวเลยที่รอให้เธอกลับมากินข้าวด้วยกัน

หนำซ้ำยังเหลือแต่เศษอาหารให้แทบทุกครั้ง

สำหรับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนแล้ว เขาแทบไม่เคยสนใจความเป็นอยู่ของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่เขาจะสนใจเธอได้อย่างไรกัน?

ในเมื่อแต่ละวันเขาเอาแต่สนใจหลินเพ่ย ทั้งยังนั่งรอคอยความรักจากหล่อน แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถอยู่กับหลินเพ่ยได้จนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต

ไม่มีแม้แต่ความหวังที่จะได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้ด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วหลินเพ่ยไม่ได้รักเขาเลยด้วยซ้ำ

ในสายตาของหล่อน เขาเป็นเพียงผู้ชายไร้ค่า หน้าตาไม่หล่อเหลา ไม่มีเงินทองมากมาย ทั้งยังไม่มีความสามารถหรืออะไรในชีวิตเลย

สรุปว่าทั้งไม่ดีและย่ำแย่มากทีเดียว

แต่เพราะเขาเป็นคนที่เชื่อฟังหล่อนมากราวกับสุนัขที่ซื่อสัตย์ หล่อนจึงตั้งใจเอ่ยคำหวานโปรยเสน่ห์และเกลี้ยกล่อมคนโง่อย่างเขาให้เข้ามาติดกับ

หล่อนรู้สึกตระหนี่ในใจทุกครั้งที่ต้องพูดถ้อยคำที่ไม่ได้มาจากใจจริงเหล่านั้นกับอีกฝ่าย แม้จะรู้แก่ใจว่าเขาไม่คู่ควรเอาเสียเลย

อารมณ์ของหลินม่ายปั่นป่วนไปชั่วขณะ เธอพยายามสงบสติอารมณ์ให้ได้มากที่สุด จนกระทั่งฟางจั๋วหรานเป็นฝ่ายทักทายก่อน

ฟางจั๋วหรานรีบวิ่งเข้ามาแล้วกระโดดขึ้นรถแทรกเตอร์ เพื่อนั่งรถเข้าไปในเขตชุมชนพร้อมกัน เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณกินมื้อเย็นมาหรือยัง?”

หลินม่ายพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

การถามไถ่คนอื่นว่ากินข้าวแล้วหรือยัง ถือเป็นการแสดงความห่วงใยที่น่ารักที่สุด

ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครสนใจเธอเท่าไหร่นัก ดูจากครอบครัวก่อนหน้านี้ของเธอสิ มีใครบ้างที่ดีกับเธอ?

สมาชิกทุกคนในครอบครัวรวมถึงครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่เคยมีใครสนใจถามเธอเลยสักครั้งว่าหิวไหม ทำงานเหนื่อยหรือเปล่า

เมื่อเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขาหาที่เหมาะ ๆ ก่อนจอดรถแทรกเตอร์

ฟางจั๋วหรานหยิบบุหรี่ที่เตรียมเอาไว้ส่งให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อติดสินบนให้เขาใช้ลำโพงเสียงตามสายประกาศให้บรรดาคณาจารย์และนักศึกษาแพทย์ทุกคนออกมาซื้อผลไม้ของหลินม่าย

ผู้อยู่อาศัยทุกคนในละแวกโรงพยาบาลผู่จี้ล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาดีกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเรื่องซื้อขาย พวกเขาจะไม่เสียมารยาทต่อราคากับผู้ขายเด็ดขาด

แน่นอนว่าพวกเขามีเงินกินใช้เป็นจำนวนมากและเหลือเฟือ พวกเขาจึงยินดีซื้อในราคาที่หลินม่ายตั้งไว้

นอกจากนี้ ฟางจั๋วหรานยังช่วยพูดโน้มน้าวให้พวกเขาซื้อผลไม้อย่างน้อยคนละห้าชั่งอีกด้วย บางคนก็ซื้อถึงสิบชั่ง

แต่หลินม่ายเองก็กลัวว่าบางคนอาจซื้อไปแล้วกินไม่หมด ทำให้ผลไม้เน่าเสียเอาได้ จึงบอกให้พวกซื้อเท่าที่จำเป็น

ผู้อยู่อาศัยทุกคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี คนหลัง ๆ จึงเลือกซื้อกันไม่เกินคนละห้าชั่ง

แน่นอนว่าเรื่องนี้หนีไม้พ้นคำนินทาของชาวบ้าน

หลังจากพวกเขาซื้อผลไม้แล้ว ก็เดินเข้ามาซุบซิบกันทันที

“ดูเหมือนว่าคุณหมอฟางจะช่วยเหลือผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษเลยนะ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาต้องมีอะไรลึกซึ้งมากกว่านี้แน่ ๆ”

“ต้องเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รักแน่นอน ฉันได้ยินคนไข้หลายคนพูดถึงกันเยอะมากว่าผู้หญิงคนนี้เอากับข้าวมาส่งให้คุณหมอฟางตั้งหลายครั้ง”

“พวกเธอพูดอะไรไร้สาระ เขากำลังคบหากับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นอยู่ไม่ใช่หรือไง? คนอย่างคุณหมอฟางเนี่ยนะจะคบหากับผู้หญิงคนนี้?”

“แต่ก็ไม่เคยเห็นเขาออกปากว่าคบกับลูกพี่ลูกน้องคนนั้นซะหน่อย พวกเธอคิดเองเออเองแบบนี้ไม่ดีเลยนะ…”

เมื่อซุบซิบจนพอใจแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน ขณะเดียวกันหลินม่ายก็จดจ่ออยู่กับการขายผลไม้ตรงหน้า จึงไม่ได้สนใจคำนินทาของคนรอบข้างเลย

เนื่องจากหอพักนี้เป็นอาคารใหญ่ที่สูงถึงห้าชั้น แถมยังเป็นที่พักอาศัยของบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผู่จี้ แน่นอนว่ากำลังซื้อของพวกเขามีมากพอสมควร

เธอขายผลไม้ต่อจนถึงสามทุ่ม สรุปแล้วคืนนี้เธอขายผลไม้ไปได้ทั้งหมดหกร้อยกว่าลูก

ตอนนี้ก็ค่ำมากแล้ว จวนได้เวลากลับบ้านเสียที

แต่ฟางจั๋วหรานต้องการไปส่งเธอถึงบ้าน

คืนนี้เขาเสนอเข้ามาช่วยขายผลไม้ให้หลินม่ายอยู่นาน ดูเหมือนเขายังไม่ได้พักผ่อนเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะยอมให้เขาตามกลับไปส่งได้อย่างไร?

การเดินทางกลับไปกลับมาต้องใช้เวลามากพอสมควรเชียวนะ

หลินม่ายรีบห้ามเขาทันที “ฉันขับรถแทรกเตอร์กลับเองได้ คุณรีบกลับไปพักผ่อนเอาแรงเถอะค่ะ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของคุณในคืนนี้มาก ๆ นะคะ!”

ความจริงแล้วต่อให้ขายในเขตชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลผู่จี้ เธอก็สามารถขายผลไม้ได้หลายร้อยชั่งไม่แพ้ที่นี่เหมือนกัน

เพราะการมาขายที่นี่ ทำให้เธอเสียเวลาสำหรับพูดคุยกับเขาไปมากพอตัว

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอกำลังแสดงท่าทีสุภาพกับเขาอย่างนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย

อีกมุมหนึ่งเขารู้สึกว่าผู้หญิงตรงหน้า กำลังขีดเส้นกั้นไม่ให้เขาเข้าใกล้มากเกินไปหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงพยักหน้า แล้วโบกมือลาอย่างจำยอม

ฟางจั๋วหรานคิดว่าตัวเขาเองคงยังชัดเจนไม่มากพอ แต่ทุกครั้งที่เขาเผชิญหน้ากับหลินม่าย เขากลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอมเธอทุกครั้งไป ทั้งได้กำไรและขาดทุนในเวลาเดียวกัน

บางที… นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่ารักแท้ก็เป็นได้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รู้ใจตัวเองแล้วทำไงต่อดีคะ จะรุกหรือถอยดี

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 141 ต่อรองราคากับมนุษย์ป้า

หลินม่ายวางลูกท้อสีแดงสดที่หั่นเป็นชิ้นแล้วไว้บนจานที่เธอนำติดมาด้วย ก่อนจะใช้มีดหั่นมันเป็นชิ้นเล็กพอดีคำอีกครั้ง แล้วเชื้อเชิญให้คุณป้าทั้งหลายมาลองชิม

พอคุณป้าทั้งหลายได้ชิมแล้ว ก็พบว่ามันมีเนื้อสัมผัสที่ชุ่มฉ่ำทั้งยังหวานมากอีกด้วย หลายคนต่างถูกอกถูกใจ

ถึงแม้ว่าลูกท้อและลูกไหนของหลินม่ายจะขายในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป แต่คุณป้าทั้งหลายก็ยังรวมพลังกันเพื่อต่อรองราคา กดดันให้เธอยอมขายในราคาห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง

หลินม่ายตั้งราคาขายผลไม้ในราคาชั่งละไม่กี่เหมา แต่ลูกค้ายังคิดต่อราคาให้เหลือชั่งละห้าเฟิน นี่ชักจะมากเกินไปแล้ว

ถึงแม้หลินม่ายจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เธอก็ยังแสดงสีหน้าเรียบเฉยไม่เปิดเผยอารมณ์ใดออกมา

เธอพูดพลางทำสีหน้าขมขื่น “ฉันรับซื้อผลไม้พวกนี้มาจากหมู่บ้านแถบชนบท คิดค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แล้ว ฉันสามารถขายในราคาต่ำสุดได้แต่ชั่งละห้าเหมาจริง ๆ ค่ะ พวกคุณกดราคากันขนาดนี้ ฉันก็ขาดทุนย่อยยับน่ะสิคะ”

คุณป้าพวกนั้นไม่แสดงความเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ต่อให้หลินม่ายจะพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าสงสารเห็นใจขนาดไหน พวกหล่อนก็ยังยืนกรานจะต่อรองอยู่ดี

บางคนถึงกับขู่ว่าถ้าเธอไม่ยอมลดราคาให้ก็จะไม่ซื้อเสียเลย

คุณป้าคนหนึ่งจีบปากจีบคอพูด “ลูกท้อกับลูกไหนพวกนี้ขืนทิ้งไว้ข้ามคืนก็จะช้ำเสียไปเปล่า ๆ ถ้าเธอไม่ขายให้พวกฉันให้หมดเสียตั้งแต่คืนนี้ วันถัดไปก็ไม่สดใหม่แล้ว พรุ่งนี้ก็ไม่พ้นต้องขายแบบลดราคาอยู่ดี สู้ขายให้พวกฉันในราคาถูกซะตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยก็ช่วยลดปัญหาไปได้บ้าง”

ในที่สุดหลินม่ายก็ตัดสินใจเป็นฝ่ายล่าถอย “ถ้าอย่างนั้นฉันค่อยไปเร่ขายที่ถนนเส้นอื่นเอาก็ได้ ฉันขายของก็เพราะต้องการกำไรนะคุณ ต้องขอโทษพวกคุณทั้งหลายด้วย ฉันลดราคาให้ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ”

พูดจบแล้ว เธอก็ก้าวขึ้นไปบนรถแทรกเตอร์ เตรียมขับออกไป

ช่วงกลางคืนไม่มีหน่วยเทศกิจออกลาดตระเวน เธอสามารถเอาของไปเร่ขายตามริมถนนได้ตราบเท่าที่ต้องการ

ส่วนเหตุผลที่เธอไม่ใช่วิธีเอาผลไม้พวกนี้ไปเร่ขายตามท้องถนนตั้งแต่แรก ก็เพราะเธอกลัวว่าพวกอันธพาลจะเข้ามาสร้างความวุ่นวายอีก

ถ้าเธอเร่ขายไปตามเขตชุมชนต่าง ๆ ก็จะลดความเสี่ยงข้อนี้ลงไป

ไม่คิดเลยว่าคุณป้าพวกนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปเร่ขายตามท้องถนนเท่านั้น

เมื่อคุณป้าเห็นว่าเธอกำลังจะขับรถออกไป พวกหล่อนก็รีบวิ่งออกไปขวางหน้ารถแทรกเตอร์ทันที

“อะไรกันแม่หนูคนนี้ เธอขายของแบบนี้ได้ยังไง ไม่พอใจข้อเสนอก็หาเรื่องขับรถหนีเนี่ยนะ”

หลินม่ายถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ข้อเสนอของคุณเอาเปรียบฉันเกินไป ในเมื่อฉันขายให้ใครไม่ได้ ขืนอยู่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”

“พวกฉันเองก็ไม่อยากซื้อในราคาที่เธอตั้งไว้เหมือนกัน ถ้าเธอเสนอราคาที่สมเหตุสมผลตั้งแต่แรก ใครบ้างจะไม่อยากซื้อผลไม้จากเธอล่ะ”

หลินม่ายตอบกลับจากใจจริง “ราคาที่ฉันตั้งไว้เมื่อกี้นี้ก็ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลนี่คะ ฉันเปล่าคิดราคาเกินความเป็นจริงเสียหน่อย ฉันเองก็อยากขายให้หมดเหมือนกัน จะได้รีบกลับบ้าน”

เธอแสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเสนอว่า “ในเมื่อพวกคุณต้องการซื้อในราคาที่ถูกกว่านี้ งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าคุณซื้อสิบชั่งฉันจะแถมให้อีกครึ่งชั่งเลย”

คุณป้าเจ้าเล่ห์เหล่านั้นก็พากันโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง “ใครจะซื้อครั้งละสิบชั่งกัน นี่มันผลไม้นะ ไม่ใช่ข้าวเสียหน่อย!”

ชุมชนแออัดในยุคสมัยนี้ล้วนอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ละครัวเรือนมีสมาชิกห้าถึงหกคนกันทั้งนั้น!

ผลไม้สิบชั่ง ช่วยกันกินแค่สองสามวันก็หมดเกลี้ยงแล้ว มีหรือซื้อแล้วจะเหลือทิ้ง พวกหล่อนแค่พยายามหาเหตุผลมาต่อรองก็เท่านั้นแหละ

หลินม่ายไม่ได้โต้เถียงกับคุณป้าทั้งหลายเรื่องนี้ เธอยักไหล่แบมือ “ถ้าคุณซื้อเยอะฉันถึงจะยอมลดราคาให้”

คุณป้าคนนั้นโบกไม้โบกมือพัลวัน “ซื้อห้าชั่งแถมฟรีครึ่งชั่ง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันยอมซื้อแน่”

คุณป้าคนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเช่นเดียวกัน

ท้ายที่สุด หลินม่ายก็แกล้งทำสีหน้าราวกับตัวเองหมดหนทาง ยอมตกลงขายให้แต่โดยดี

เธอขายลูกท้อในราคาชั่งละสองเหมา และขายลูกไหนในราคาชั่งละสองเหมาห้าเฟิน

ต่อให้เธอขายผลไม้ให้คุณป้าเหล่านี้แบบห้าชั่งแถมครึ่งชั่ง แต่ก็ยังได้กำไรมากกว่าขายให้ในราคาชั่งละห้าเฟิน

ชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งถึงสองเมตรเห็นว่าคุณป้าทั้งหลายต่อรองราคาสำเร็จ ก็กรูกันเข้ามาจับจ่ายซื้อผลไม้กันบ้าง

คนหนึ่งซื้อห้าชั่ง อีกคนหนึ่งซื้อห้าชั่ง ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ผลไม้จำนวนหนึ่งพันชั่งก็ถูกขายออกไปแล้วเป็นจำนวนสามร้อยชั่ง

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปยังเขตชุมชนอีกสองสามแห่ง โดยใช้วิธีการขายแบบเดียวกัน ไม่นานก็ขายได้อีกสามร้อยชั่ง

พอเวลาล่วงมาถึงสามทุ่ม ผลไม้บนรถแทรกเตอร์ก็เหลืออยู่แค่ประมาณสองสามร้อยชั่งเท่านั้น หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับบ้าน วางแผนว่าจะนำออกไปขายเพิ่มเติมที่ตลาดมืดในวันพรุ่งนี้

ถ้าไปขายผลไม้ที่ตลาดมืดก็น่าจะขายดิบขายดีจนหมดเกลี้ยง เธอว่าจะกลับไปที่หมู่บ้านชนบทอีกครั้งเพื่อกว้านซื้อลูกท้อกับลูกไหนมาขายอีก

ข้อดีข้อแรกคือเธอสามารถขยายธุรกิจและได้เงินเพิ่ม ข้อดีข้อที่สองคือเธอสามารถช่วยชาวบ้านให้มีรายได้

หลี่หมิงเฉิงและคนอื่น ๆ ก็ทยอยปิดร้านช่วงกลางคืนแล้วเรียบร้อย

โจวฉายอวิ๋นผู้เอาใจใส่น้องสาวเสมอเตรียมต้มซุปถั่วเขียวไว้ให้หลินม่ายแล้ว พอเห็นเธอกลับมาก็ยกออกมาให้ดื่มทันที

สาเหตุที่เตรียมซุปถั่วเขียวเย็น ๆ ไว้รอก็เพื่อให้เธอดื่มคลายร้อนและดับกระหาย

ระหว่างนั้นก็แอบกระซิบถามว่าช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาเธอได้เงินจากการขายลูกท้อและลูกไหนรวมเท่าไหร่

โจวฉายอวิ๋นแตกต่างจากแม่เถียหนิว อย่างน้อยเธอก็ไม่เคยอิจฉาที่หลินม่ายหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ

เพราะแบบนี้หลินม่ายถึงได้เชื่อใจเธอ ยอมบอกตามตรงว่าเธอทำเงินได้มากกว่าสองร้อยเสียอีก

โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างมีความสุข “ฉันไม่คิดเลยว่าการขายสินค้าทางการเกษตรแบบนี้จะทำกำไรได้ไม่น้อยเลย บางทีอาจจะมากกว่าเปิดร้านขายอาหารด้วยซ้ำ!”

หลินม่ายตอบกลับ “ก็เพราะตอนนี้มีน้อยคนที่จะขนพวกพืชผลทางการเกษตรมาขายในเมืองยังไงล่ะ พอคนอื่นเริ่มหาผลผลิตพวกนี้มาขายบ้าง อีกหน่อยรายได้ของเราก็คงไม่ดีเท่านี้แล้ว”

หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ทุกคนก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและเข้านอน

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งวัน หลินม่ายผล็อยหลับทันทีที่หัวถึงหมอน คืนนี้เธอนอนหลับสนิททีเดียว

วันรุ่งขึ้น เธอตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้า

โจวฉายอวิ๋นลงมาเตรียมอาหารมื้อเช้าไว้ให้เธอแล้ว เป็นข้าวต้มกับซาลาเปา และหัวไชเท้าดองจานเล็ก ๆ

โจวฉายอวิ๋นผลักจานหัวไชเท้าดองไปจ่อตรงหน้าหลินม่าย “ฉันเป็นคนดองเอง ลองชิมดูสิว่ากรอบพอไหม อร่อยหรือเปล่า?”

หลินม่ายชิมไปคำหนึ่ง ปรากฏว่ามันทั้งสดกรอบและรสชาติดีเอามาก ๆ ความเปรี้ยวอยู่ในระดับที่กำลังพอดี เธอพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “กรอบมาก กินแล้วสดชื่น อร่อยด้วย!”

โจวฉายอวิ๋นได้รับคำชมแบบนั้นก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ

หลินม่ายคิดในใจว่าผักดองฝีมือโจวฉายอวิ๋นนอกจากจะสดกรอบและเปรี้ยวกำลังพอดีแล้ว ยังอร่อยถูกใจไม่น้อย

บางทีอีกหน่อยเธออาจเพิ่มผักดองลงในลิสต์โครงการค้าขายอีกอย่างหนึ่ง ต่อยอดสร้างแบรนด์ผักดองเป็นของตัวเองเสียเลย

ตั้งแต่เกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอค้นพบว่ามีอีกร้อยแปดหนทางที่จะสามารถนำพาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

หลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ออกไปที่ตลาดมืด

เธอคิดว่าตัวเองมาที่นี่แต่เช้าตรู่แบบนี้ อันธพาลที่เฝ้ายามอยู่คงยังไม่ตื่นแน่

แต่แล้วหลังจากเธอขับรถแทรกเตอร์มาจอดที่ตลาดมืดแล้วเรียบร้อย อันธพาลคนที่มารีดไถเงินเธอจากการตั้งแผงขายของครั้งก่อนกลับปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “นายกลัวว่าจะรีดไถเงินค่าแผงลอยไม่ได้หรือยังไงกัน ถึงได้วิ่งโร่ออกมาดักรอกันตั้งแต่หัววันแบบนี้ กะไม่ให้ฉันคลาดสายตาเลยสินะ ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือเลยหรือ? คราวที่แล้วฉันเกือบโดนจับเพราะใคร แม้แต่เส้นผมของคนอื่นก็ไม่คิดจะปล่อยให้หลุดรอดไปเลยหรืออย่างไรกัน?!”

ตลาดมืดที่นี่อยู่ในอาณาเขตคุ้มครองของเฉินเฟิง พวกอันธพาลที่คอยตรวจตราในตลาดก็เป็นคนของเขา

หลินม่ายรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของอีกฝ่ายหรอก ถึงได้กล้าพูดจาไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแบบนี้

อีกทั้งเธอยังรู้ดีด้วยว่าตราบใดที่ตัวเองพูดชื่อเฉินเฟิงขึ้นมา ไอ้หนุ่มคนนี้ต้องไม่กล้าทำอะไรเธออย่างแน่นอน

ครั้งล่าสุดที่ลูกสมุนตัวจ้อยคนนี้ละเลยหน้าที่ เขาเกือบทำให้หลินม่ายต้องประสบกับความเสียหายครั้งใหญ่ และถูกเฉินเฟิงสั่งลงโทษในเวลาต่อมา

ตอนนี้เขาควรทำงานชดใช้ความผิดพลาดของตัวเองด้วยซ้ำ กล้าดีอย่างไรถึงมาดักรอเรียกเก็บค่าแผงลอยจากเธอ?

เขาได้แต่ยิ้มแหยพลางพูดว่า “ฉันไม่ได้มาเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยซะหน่อย ที่มาก็เพื่อคุ้มครองเธอต่างหาก”

หลังจากนั้นเขาก็เดินออกไป เรียกเก็บค่าธรรมเนียมตั้งแผงลอยจากผู้ค้ารายย่อยคนอื่น ๆ ก่อนจะเดินวนกลับมาที่แผงลอยของหลินม่ายเป็นครั้งคราว

ลูกท้อและลูกไหนรวมสองถึงสามร้อยชั่ง ขายโดยเสนอส่วนลดซื้อห้าชั่งแถมครึ่งชั่งเช่นเคย ไม่นานก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว

มีอันธพาลคนนั้นเฝ้าคุ้มครองแผงลอยของหลินม่ายอยู่ทั้งคน การค้าขายจึงเป็นไปอย่างราบรื่น

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยขูดรีดเงินจากเธอ แต่หลังจากได้เงินไปแล้วเขาก็ไม่ได้มายุ่มย่ามอะไรอีก

วันนี้เขาทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถจริง ๆ

หลังจากปิดแผง หลินม่ายก็หาซื้อบุหรี่ดี ๆ ให้เขาหนึ่งซองเป็นการขอบคุณก่อนจะจากไป

เมื่อวานนี้ฟางจั๋วหรานมาที่ร้านเพื่อกินอาหารมื้อเย็นแต่กลับไม่เจอหลินม่าย เขารู้สึกโหวง ๆ เสมอเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป แม้แต่หัวใจก็พลอยว่างเปล่า

กระทั่งเช้าวันนี้เขาก็ยังไม่เจอหน้าหลินม่าย ในที่สุดถึงได้เข้าใจจากก้นบึ้งของความรู้สึกว่า ‘ไม่เจอหนึ่งวัน เหมือนผ่านไปสามฤดูสารท’ นั้นเป็นอย่างไร

เขาอดถามโจวฉายอวิ๋นไม่ได้ “ม่ายจื่อล่ะ เมื่อวานนี้เธอไม่ได้กลับมาหรอกหรือ?”

“กลับมาแล้ว” โจวฉายอวิ๋นเสิร์ฟอาหารเช้าให้เขา “รอบนี้หล่อนรับซื้อผลไม้มาเยอะเกินไป ก็เลยขับรถแทรกเตอร์ออกไปขายผลไม้แต่เช้า”

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้ว “คุณรู้หรือเปล่าว่าหล่อนออกไปขายผลไม้แถวไหน?”

“ย่านตลาดมืดค่ะ”

“แล้ววันนี้ตอนเที่ยงหล่อนจะกลับมากินอาหารกลางวันไหม?”

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่น่าจะกลับมานะคะ ก่อนที่หล่อนจะขับรถออกไปเมื่อเช้า หล่อนบอกว่าถ้าขายผลไม้หมดก็จะขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่หมู่บ้านแถบชนบทเพื่อรับซื้อผลไม้มาขายอีก”

คิ้วของฟางจั๋วหรานขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม “ถ้าม่ายจื่อกลับมาแล้ว ช่วยบอกหล่อนให้ขับรถแทรกเตอร์ออกไปขายผลไม้ในละแวกหอพักของผมด้วยนะ ผมจะช่วยหล่อนประกาศขายเอง”

โจวฉายอวิ๋นตอบรับอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ก็แอบกลอกตาพลางคิดในใจ ‘ในเมื่อคุณสนใจเรื่องของม่ายจื่อมากนัก ทำไมถึงไม่ยอมสารภาพรักกับหล่อนเสียทีล่ะ?’

พอไม่เห็นหน้าหลินม่ายตั้งแต่เมื่อวานเย็น ฟางจั๋วหรานก็ถึงกับกินข้าวไม่อร่อย

เขาจำใจกลืนอาหารเช้าอย่างฝืดคอ ก่อนจะขอตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….สารจากผู้แปล

ต่อราคากันโหดจัง กะให้หลินม่ายไม่ได้กำไรมั่งเลยเหรอ

ไม่เห็นหน้าคนในใจแล้วกินอาหารไม่อร่อยสินะพี่หมอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 140 อยากซื้อสูตรลับของคุณยายเถียน

เมื่อมีคุณปู่ฟางช่วยซื้อผลไม้ให้แล้ว หลินม่ายจึงมีเวลาไปที่บ้านคุณยายเถียน

เธอกลับชนบทครั้งนี้นอกจากมารับซื้อผลผลิตแล้ว ยังมีธุระต้องมาหาคุณยายเถียนด้วย

เดิมทีหลานชายของคุณยายเถียนก็ไม่ได้เป็นโรคร้ายอะไร เพียงแค่เป็นโรคปอดบวมที่ค่อนข้างรุนแรงเท่านั้น แต่ด้วยไม่มีเงินรักษา จึงทำให้อาการยิ่งทรุดหนักขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากเข้าโรงพยาบาล และได้รับการรักษาตามอาการแล้ว อาการป่วยก็หายดีอย่างรวดเร็ว

ทว่าร่างกายนั้นทรุดโทรมอย่างหนัก หากต้องการให้กลับมาแข็งแรงเต็มที่ ก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวครึ่งปี

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่อาการของหลานชายคุณยายเถียนก็ดีขึ้นกว่าที่หลินม่ายเจอครั้งแรกมาก สีหน้ามีเลือดฝาดหน่อยๆ อีกทั้งยังมีชีวิตชีวาตามประสาเด็ก

หลินม่ายมอบนมผง น้ำผึ้งและนมมอลต์ที่ซื้อมาจากในเมืองให้กับคุณยายเถียน มองไปยังหลานชายของนางแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มพริ้ม “เสี่ยวเหวินดีขึ้นมากแล้วนะคะ”

เสี่ยวเหวินคือชื่อของหลานชายคุณยายเถียน

คุณยายเถียนเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง “เสี่ยวเหวินมีวันนี้ได้ ก็ต้องขอบคุณเธอมากนะ”

แล้วเอ่ยอย่างโกรธเคืองอีกครั้ง “เธอจะมาก็มาเถอะ จะซื้อของมากมายขนาดนี้มาทำไมกัน?”

หลินม่ายหัวเราะพลางเอ่ยขึ้น “ของพวกนี้เป็นอาหารบำรุงร่างกาย เสี่ยวเหวินดื่มแล้วจะได้แข็งแรงเร็วๆ”

เมื่อบ้านมีแขกมาเยือน คุณยายเถียนนั้นไม่มีอะไรมาต้อนรับ จึงให้ตะกร้าใบเล็กกับเสี่ยวเหวินใบหนึ่ง แล้วให้เขาไปเก็บลูกท้อจากต้นท้อของตนให้หลินม่ายกิน

หลินม่ายเองก็ไม่ได้ขัดขวาง

เสี่ยวเหวินได้ออกกำลังอย่างเหมาะสมสักหน่อยก็เป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพของเขา

นอกจากนี้เธอก็มีเรื่องต้องคุยกับคุณยายเถียนด้วย ไม่สะดวกที่จะให้เสี่ยวเหวินฟังอยู่ข้างๆ

เสี่ยวเหวินถือตะกร้าออกไปข้างนอก หลินม่ายจึงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คุณยายเถียน หนูอยากซื้อสูตรลับกะปิกับซอสพริกของคุณยาย คุณยายจะขายไหมคะ?”

คุณยายเถียนอึ้งไปเล็กน้อยด้วยความเหนือคาด ก่อนพูดขึ้น “ขายเขยอะไรกัน ถ้าเธอต้องการให้ยายสอนเธอทำก็ได้แล้ว ถ้าพูดถึงสูตรลับยายเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน บรรพบุรุษของยายล้วนทำกะปิกับซอสพริกกันแบบนี้มารุ่นต่อรุ่นแล้วล่ะจ้ะ”

หลินม่ายพูดอย่างหนักแน่น “ฉันจะเรียนกับคุณยายฟรีๆ ได้ยังไงกันคะ? อีกอย่างฉันก็มีเงื่อนไขในการซื้อสูตรกะปิและซอสพริกของคุณยายด้วยนะคะ ตั้งแต่นี้ไป คุณยายจะไม่สามารถขายสองอย่างนี้ให้กับใครอีก และห้ามถ่ายทอดวิธีการทำให้คนอื่นด้วยค่ะ ทุกเดือนฉันจะให้เงินคุณยาย50 หยวนก่อน ให้คุณยายช่วยฉันทำซอสสองอย่างนี้ พอหนูส่งคนมาเรียนจนเป็นแล้ว หนูจะจ่ายให้คุณยายครั้งละ3000หยวนค่ะ และค่าหมอค่ายาที่คุณยายยืมไปก่อนหน้านี้ทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะ คุณยายคิดว่าได้ไหมคะ?”

คุณยายเถียนรีบโบกมือไปมาด้วยความประหม่าอย่างยิ่ง “ยายรู้ว่าเธออยากช่วยพวกเราสองยายหลาน แต่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ กะปิกับซอสพริกพวกนั้นของยายก็ไม่ได้มีค่าอะไร เอามาขายยังไม่มีคนซื้อเลย แล้วจะรับเงินหนูมากมายขนาดนั้นทุกเดือนได้ยังไง? แค่ให้เดือนละ30หยวนก็เยอะมากแล้วล่ะ ส่วนเรื่องซื้อสูตรก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าเธออยากส่งคนมาเรียนก็ส่งมาเถอะ ยายรับประกันว่าจะไม่สอนให้คนอื่น และจะสอนให้กับคนของร้านเธอเจ้าเดียวเท่านั้นจ้ะ”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ได้ค่ะ ต้องจ่ายเงินซื้อมาเท่านั้นฉันถึงจะสบายใจ และวางใจได้ค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เอาเปรียนคุณยายเกินไปเหรอคะ?”

คุณยายเถียนลังเลตัดสินใจอยู่นาน จึงเอ่ยอย่างห่อเหี่ยว “เราสองยายหลานทั้งเด็กทั้งแก่ เธอให้เงินเรามากมายขนาดนี้ พวกเราก็เก็บไว้ไม่ไหวหรอก~”

หลินม่ายครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูด “งั้นเอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะแบ่งเงินสักสองสามร้อยหยวนจากสามพันมาสร้างบ้านอิฐมุงกระเบื้องให้พวกคุณหนึ่งหลัง ปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยสักหน่อย บ้านของคุณยายแทบจะอยู่ไม่ได้แล้วนะคะ เงินมากมายนั้น หนูจะให้เดือนละ30หยวนเป็นค่าครองชีพ ทั้งยังรวมไปถึงค่าใช้จ่ายของคุณยายกับหลานทั้งสองคน เช่น ค่าเทอม ค่ารักษา ไปจนกว่าจะใช้เงิน3000หยวนหมด แบบนี้โอเคไหมคะ?”

คุณยายเถียนไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าเอ่ย “ได้จ้ะ แต่หนูอย่าพูดว่าหนูสร้างบ้านให้เพราะซื้อกะปิกับซอสพริกของฉันเลย ให้บอกว่าสร้างให้เพราะเห็นใจเราสองยายหลานเถอะนะ ยายกลัวว่าการที่เธอยอมแลกบ้านกับกะปิและซอสพริกที่เดิมทีไม่มีใครมาสนใจ มันจะดึงดูดความสนใจของคนที่คิดไม่ดี แล้วพวกเขาจะคิดวางแผน สร้างปัญหาให้เธอกับเราสองยายหลานน่ะจ้ะ”

หลินม่ายพยักหน้า “ไม่มีปัญหาค่ะ เพียงแต่ไม่เป็นธรรมกับคุณยายเถียนเกินไปน่ะสิคะ”

คุณยายเถียนโบกมือไปมา “ไม่เป็นธรรมอะไรกัน? ความปลอดภัยต้องมาก่อนสิจ๊ะ”

หลินม่ายให้เงิน30หยวนแก่คุณยายเถียนเป็นค่าครองชีพทันที พร้อมกับเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉินด้วย50หยวน

ในยุคนี้การสื่อสารไม่สะดวก และเธอก็ไม่สามารถวิ่งมาหาคุณยายเถียนที่นี่ได้บ่อยๆ จึงให้เงินฉุกเฉินกับนางเพื่อเอาไว้ใช้ในเวลาที่จำเป็น

ก่อนเดินทางจากไป หลินม่ายได้ขนกะปิและซอสพริกไปด้วยอย่างละหนึ่งไห และบอกกับคุณยายเถียนว่า เมื่อกลับไปแล้วเธอจะจัดการส่งคนมาสร้างบ้านใหม่ให้คุณยาย

เมื่อกลับมาถึงบ้านคุณปู่ฟาง คุณปู่ฟางก็ได้สั่งจองลูกท้อ ลูกไหนและมันฝรั่งเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่กำลังรอให้เธอขับรถแทรกเตอร์ไปรับเท่านั้น

หลินม่ายรับสินค้ากลับมาโดยได้คุณปู่ฟางช่วยนำทาง คุณย่าฟางเตรียมอาหารเที่ยงเอาไว้แล้ว หลังจากหลินม่ายกินอาหารเที่ยงอย่างรีบเร่งเสร็จก็ขับรถแทรกเตอร์กลับเข้าเมือง

เมื่อมาถึงในเมือง ก็เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว

หลินม่ายวางแผนว่าหลังจากกินอาหารเย็นแล้วจะไปขายผลไม้ต่อ ด้วยเหตุนี้เธอจึงจอดรถแทรกเตอร์เอาไว้บนถนนหน้าร้าน แล้วเรียกหลี่หมิงเฉิงขนมันฝรั่งกับกะปิและซอสพริกเข้าไปในร้าน

ไม่รู้เพราะอะไร เธอถึงเอาแต่รู้สึกว่าวันนี้ถนนสายนี้ต่างออกไปจากปกติ

พอมองดูอีกทีก็พบจุดที่ไม่เหมือนเดิม

ปกติแล้ว เมื่อถึงเวลาตั้งตลาดกลางคืน ร้านอาหารกินเล่นแทบทุกร้านในถนนสายนี้ต่างก็เลียนแบบร้านของป้าหู เอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งไว้บนทางเดินเท้า

แต่วันนี้กลับไม่มีร้านไหนเอาโต๊ะเก้าอี้ออกมาตั้งเลย อย่างมากที่สุดก็แค่วางเตาและกระทะเอาไว้หน้าประตูร้านของตนเท่านั้น

เธอถามหลี่หมิงเฉิงอย่างเดาส่ง “ทำไมวันนี้ไม่มีใครเอาโต๊ะเก้าอี้มาตั้งบนทางเดินเท้าเลยล่ะ มีทีมเทศกิจมาแล้วเหรอ?”

“เทศกิจไม่ได้มาหรอก แต่เพราะว่ามีคนขี่จักรยานมาชนลูกค้าร้านอาหารเข้า จนลูกค้าที่ถูกชนสลบไปเลยน่ะ แล้วสันติบาลก็มากัน ร้านค้าพวกนั้นตกอกตกใจกันแทบแย่ ใครจะยังกล้าตั้งแผงบนทางเดินเท้าต่อล่ะ พวกเขาเลยย้ายโต๊ะเก้าอี้เข้าไปในร้านแล้ว”

ทุกคืน ตลาดกลางคืนนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนขวักไขว่ไปมามากมายขนาดนั้น ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดอุบัติเหตุแน่

นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดเธอก็ไม่ยอมวางที่นั่งไว้บนทางเดินหน้าร้านเด็ดขาด เพราะกลัวว่าหากเกิดอุบัติเหตุทางการจราจรขึ้นมา จะต้องจ่ายเงินชดใช้ไม่น้อย

หลินม่ายถาม “ร้านใครโชคร้ายขนาดนี้กัน?”

หลี่หมิงเฉิงพยักเพยิดคางชี้ไปทางร้านอาหารกินเล่นที่อยู่ด้านขวา “ร้านนั้นน่ะสิ เจ้าของร้านถูกสันติบาลพาตัวไปแล้ว”

หลินม่ายคิดในใจด้วยจิตอกุศล ทำไมไม่เป็นร้านป้าหูกันนะ กระแสนิยมแย่ๆ ที่ครองถนนนี่ก็เริ่มมาจากร้านของหล่อนนี่นา

หลังจากกินอาหารเย็นที่โจวฉายอวิ๋นเก็บไว้ให้ หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ไปยังชุมชนอยู่อาศัยของพนักงานระบบการเงินที่สวัสดิการรายบุคคลดีที่สุดในละแวกใกล้เคียง

คนที่อยู่ในชุมชนนี้ล้วนเป็นพนักงานของธนาคารทั้งหมด

พนักงานธนาคารในยุคนี้ล้วนแต่ได้ถือชามข้าวทองคำ งานมีหน้ามีตา เงินเดือนสูง สวัสดิการก็ดีอีกด้วย หากไปขายผลไม้ที่นั่นจะต้องขายดีแน่

แม้ว่าเงื่อนไขพักอาศัยของพนักงานธนาคารจะดีกว่าทั่วไป แต่พื้นที่บ้านก็ไม่ได้กว้างมากนัก

นอกจากนี้เป็นเพราะมีสมาชิกในครอบครัวมาก จึงเกิดความแออัดเช่นเดียวกัน

ในวันที่ร้อนระอุ ผู้คนมากมายต่างไม่อยากอยู่ในบ้าน จึงย้ายมานั่งกันมานั่งรับลมเย็นที่ม้านั่งในชุมชน พร้อมกับถือโอกาสพูดคุยสัพเพเหระกับเพื่อนบ้านไปด้วย

เมื่อเห็นหลินม่ายขนลูกท้อและลูกไหนเต็มคันรถมาจอดอยู่ในชุมชน ผู้อยู่อาศัยจำนวนไม่น้อยก็เบิกตากว้ามองไปที่เธอด้วยความประหลาดใจ

ที่พวกเขารู้สึกประหลาดใจ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครขับรถแทรกเตอร์ที่ขนผลไม้เต็มคันเข้ามาในชุมชนมาก่อน

หลินม่ายกระโดดลงมาจากรถแทรกเตอร์อย่างสบายๆ พลันตะโกนไปทางชาวบ้านเหล่านั้น “ขายลูกท้อจ้า~~ ขายลูกไหนจ้า~~ท้อสีเลือดกับท้อน้ำผึ้งนุ่มชุ่มฉ่ำ ราคาเดียวชั่งละ4 เหมา ลูกไหนเปรี้ยวอมหวานชั่งละ5 เหมา”

ชาวบ้านเหล่านั้นได้ยินแล้ว ต่างก็พากันกระซิบกระซาบ “ราคานี้ไม่แพงเลย ตลาดผักรัฐวิสาหกิจก็ราคานี้เหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยเกินไป เลยซื้อไม่ไหว”

“ตลาดมืดก็มีขาย แต่ราคาแพงกว่าของแม่หนูคนนี้อยู่5เฟิน”

“ก็ไม่รู้เสียหน่อยว่าผลไม้ของหล่อนสดหรือเปล่า”

“ไปดูก็รู้แล้วนี่”

ในมือของคุณป้าเจ็ดแปดคนนั้นถือพัดใบปาล์มโบกไปมา พร้อมคีบรองเท้าแตะเดินเข้ามา “ลูกท้อกับลูกไหนของเธอสดไหมจ๊ะ”

หลินม่ายต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สดใหม่แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ฉันเพิ่งจะเก็บมาตอนเที่ยงวันนี้เอง”

ขณะที่พูดอยู่ เธอก็หยิบท้อสีเลือดลูกหนึ่งขึ้นมาแล้วใช้มีดผ่าออกเป็นสองซีก

เนื้อผลไม้แดงสดยิ่งกว่าเลือดปรากฏเบื้องหน้าทุกคน น้ำผลไม้ที่อยู่ภายในนั้นไหลหยดออกมาไม่หยุด ดูน่าดึงดูดเย้ายวนยิ่ง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นั่นน่ะสิ ทำไมไม่เป็นร้านยัยป้าหูที่โดนหิ้ว ย่านนี้จะได้สงบสุขเสียที

ทำเอาอยากกินลูกท้อเลยม่ายจื่อ คิดถึงรสชาติท้อญี่ปุ่นฉ่ำๆ หวานๆ ตอนหน้าร้อนมาก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 139 ลิ้นจี่ที่แย่งมา

สื่อเจินเซียงตกใจจนส่ายหน้าไปมาราวกับกลองป๋องแป๋ง พูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ฉันไม่ได้จะมาราวีคุณนะคะ แค่อยากจะบอกคุณว่าหลินม่ายเลี้ยงคนเถื่อนอยู่ในบ้าน”

หล่อนกับแม่สังเกตมานานแล้วว่าหลี่หมิงเฉิงพนักงานใหม่ของเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี้ยนอยู่ในบ้านของหลินม่ายตลอด นอกจากนี้ทั้งสองคนก็พูดคุยกันอย่างสนิทสนมมากทีเดียว

หลี่หมิงเฉิงคนนี้จะต้องเป็นชู้รักของหลินม่ายแน่นอน

คราวก่อนเป็นเพราะหลินม่ายทำให้แม่ของหล่อนถูกสันติบาลจับแล้วเสียค่าปรับ หล่อนจึงจำความแค้นนั้นได้จนถึงตอนนี้

ตอนนี้มีโอกาสชำระแค้นแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่มีทางพลาดแน่!

“อ๋อ? งั้นเหรอ?” มุมปากของฟางจั๋วหรานประดับรอยยิ้มที่ไม่อาจตีความหมาย “คุณเอาสิ่งที่พูดเมื่อครู่ทั้งหมดเขียนลงบนกระดาษสิ”

สื่อเจินเซียงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายอันตรายจางๆ จึงเอ่ยถามอย่างติดๆ ขัดๆ “ทำ… ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ?”

“ผมกลัวว่าพอผมไปพิสูจน์กับหลินม่ายแล้วจะไม่มีหลักฐานน่ะ”

สื่อเจินเซียงแบมือ “ถึง… ถึงฉันจะเขียนใส่กระดาษแล้ว หล่อนก็คงไม่ยอมรับหรอก เรื่องแบบนี้ฉันเองก็เอาหลักฐานแน่ชัดมาไม่ได้หรอกค่ะ”

ฟางจั๋วหรานแค่นหัวเราะ “คุณยังรู้ตัวเลยว่าเอาหลักฐานออกมาไม่ได้! อย่างนั้นคุณก็สาดโคลนใส่คนอื่นสินะ! เรื่องนี้ผมคงปล่อยผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ ผมจะต้องทำให้คุณได้ชดใช้กับการปลุกปั่นครั้งนี้แน่นอน!”

สื่อเจินเซียงตกใจมาก หล่อนแทบจะอ้อนวอนทั้งน้ำตา “ศาสตราจารย์ฟาง ฉันจะไม่พูดเหลวไหลอีกแล้ว คุณปล่อยฉันไปเถอะนะคะ~”

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเย็นชา “คุณไปขอให้หลินม่ายยกโทษให้สิ ถ้าหล่อนยอมยกโทษให้คุณ ผมก็จะปล่อยคุณไป แล้วก็ หากมีข่าวซุบซิบนินทาที่เกี่ยวกับหลินม่าย ไม่ว่ามันจะเกี่ยวกับคุณหรือไม่ ผมจะโทษว่าเป็นฝีมือคุณทั้งหมด!”

สื่อเจินเซียงมองแผ่นหลังที่เดินไกลออกไปของเขา อยากจะร้องก็ร้องไม่ออก

ถ้ารู้แต่แรกหล่อนคงไม่วิ่งไปหาไอ้ตัวซวยนี่เพื่อใส่ร้ายยัยสารเลวนั่นหรอก ตอนนี้มันจบแล้ว ยกหินขึ้นมาแต่ดันหล่นทับขาตัวเอง

หล่อนไม่ไปทำงานแล้ว หลังจากซื้อของขวัญเสร็จก็แอบหลบแม่ตัวเองไปที่ร้านของหลินม่าย

หล่อนไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตนใส่ร้ายเธอต่อหน้าฟางจั๋วหรานออกมา เพียงแค่บอกว่าเรื่องบางเรื่องแม่ของตนก็ทำเกินไปจริงๆ หล่อนจึงมาขอโทษแทนแม่ตัวเอง และยอมรับผิด

หลินม่ายสับสนงุนงง

สายตาที่สื่อเจินเซียงมองมายังเธอทุกๆ ครั้งนั้นร้ายกาจขนาดไหน เรื่องนี้เธอรู้ชัดดี

ตอนนี้เธอมาทำตัวเป็นมิตรราวกับถูกผีสิง หลินม่ายจึงสับสนมึนงงโดยสมบูรณ์

ศัตรูคู่แค้นควรแก้ไม่ควรผูก มือที่ยื่นมาย่อมไม่ทำร้ายคนที่ยิ้มให้

หลินม่ายยอมรับน้ำใจของสื่อเจินเซียงแต่โดยดี

แต่ก็เดาได้ว่าเบื้องหลังคงจะเป็นฝีมือของฟางจั๋วหราน

พอถึงเวลาที่ฟางจั๋วหรานมากินข้าวที่ร้านเธอจึงตั้งใจถามเรื่องนี้กับเขา และฟางจั๋วหรานก็ยอมรับอย่างเปิดเผย

เหล่าพนักงานที่รับสมัครเข้ามาเรียนรู้การทำเซาเข่าพวกนั้นของร้านหลินม่ายล้วนแต่มีฝีมือในการทำอาหารอยู่บ้าง หลังจากฝึกฝนอยู่ไม่กี่วัน ทุกคนต่างก็ทำเซาเข่าเป็น

ส่วนการทำเหลียงไช่นั้น สำหรับพวกเขาก็ยิ่งไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย

นอกจากนี้พนักงานทุกคนต่างก็ปรับตัวกับงานได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้หลินม่ายคอยสั่งคอยชี้แนะ โจวฉายอวิ๋นจึงสามารถควบคุมดูแลได้อย่างดี

การรับสินค้ามีหลี่หมิงเฉิงรับผิดชอบให้ หลินม่ายต้องทำเพียงแค่ผสมไส้ในทุกเช้าเท่านั้น โดยรวมก็ได้ปลดปล่อยตัวเองบ้างแล้ว เธอจึงตัดสินใจไปที่ชนบทเพื่อรับซื้อพืชผลทางการเกษตรเข้ามาขายต่อให้เมือง

นายช่างจางได้ปรับปรุงบ้านพักหลังนั้นที่หมู่บ้านซานหยางให้หลินม่ายแล้ว

ก่อนจะรับซื้อผลผลิต หลินม่ายได้กลับไปยังหมู่บ้านซานหยางรอบหนึ่ง เธอนำของขวัญไปเยี่ยมเยียนผู้ใหญ่ และฝากเขาช่วยปล่อยเช่าบ้านให้เธอ

เธอติดข้อมูลการเช่าบ้านไว้ที่ป้ายรถเมล์ทั่วละแวกนั้น ถ้ามีคนมาดูบ้าน ผู้ใหญ่บ้านช่วยพาไปดูบ้านแล้วปล่อยเช่าให้ก็เรียบร้อยแล้ว

ในยุคนี้ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ หลินม่ายจึงไม่มีวิธีติดต่อกับผู้เช่าได้ตลอดเวลา และไม่สามารถเสียเวลาอยู่เฝ้าที่หมู่บ้านซานหยางได้ ทำได้เพียงฝากให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยเหลือเท่านั้น

อีกทั้งเธอยังสัญญากับผู้ใหญ่บ้านว่า จะแบ่งค่านายหน้าให้เขาสิบเปอร์เซ็นจากค่าเช่า

ค่านายหน้านี้ไม่น้อยเลย นอกจากนี้ของขวัญที่หลินม่ายนำมาด้วยเองก็มีมากมายหลายอย่าง ผู้ใหญ่บ้านจึงพยักหน้าตกลง

หมู่บ้านชนบทของเมืองหู แต่ละครัวเรือนต่างก็ชอบปลูกท้อและไหน ซึ่งผลไม้ทั้งสองอย่างนี้มีคุณภาพไม่เลว

เดือนห้าเป็นฤดูกาลที่ลูกท้อและลูกไหนออกตลาดพอดี

หลังกลับมาจากหมู่บ้านซานหยาง หลินม่ายก็เริ่มลงมือจัดการธุรกิจในร้าน เพื่อจะไปรับซื้อลูกท้อและลูกไหนที่ชนบทมาขายในเมืองวันพรุ่งนี้

ในเวลานั้นเอง พนักงานส่งสินค้าของโรงงานผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมหงฉีก็มาส่งกล่องอาหารอะลูมิเนียมที่พิมพ์อักษร“เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน”สามร้อยกล่อง

หลินม่ายรู้ว่าฟางจั๋วหรานคงช่วยเหลือเธออย่างลับๆ อีกครั้ง

ในตอนแรกที่เธอไปสั่งทำกล่องอาหารอะลูมิเนียมพิมพ์อักษร “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน”สามร้อยกล่องที่ผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมหงฉี แต่โรงงานปฏิเสธ เพราะจำนวนที่สั่งซื้อน้อยเกินไป

พอฟางจั๋วหรานออกหน้าให้ก็ไม่รังเกียจที่จำนวนน้อยเกินไปแล้ว พูดได้แค่ว่าเส้นสายของฟางจั๋วหรานนั้นทั้งกว้างขวางและแข็งแกร่ง

หลินม่ายจัดการให้พนักงานนำกล่องอาหารอะลูมิเนียมสองสามร้อยกล่องนั้นไปฆ่าเชื้อทั้งหมด จากนั้นจึงติดประกาศในร้านว่าสามารถวางมัดจำแล้วเช่ากล่องอาหารได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนกล่องข้าวแล้วก็จะได้รับเงินมัดจำคืนเต็มจำนวน ไม่มีผลกระทบต่อลูกค้าเลยแม้แต่น้อย

เที่ยงวันนั้น ก็มีลูกค้าหลายคนเช่ากล่องอาหารเพื่อซื้ออาหารกินเล่นห่อกลับไป

ธุรกิจร้านอาหารของหลินม่ายจึงดียิ่งขึ้นไปอีก

ตอนที่ฟางจั๋วหรานมากินอาหารเย็นหลังเลิกงาน ได้นำลิ้นจี่มาด้วยไม่น้อย

หลินม่ายเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ญาติคนไข้ที่กวางตุ้งส่งลิ้นจี่มาให้คุณอีกแล้วเหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “ไม่ใช่ที่กวางตุ้ง ที่กวางสีน่ะ”

เขาบอกหลินม่ายไม่ได้ ว่าลิ้นจี่พวกนี้ไม่ใช่ของที่ญาติคนไข้ส่งมาให้เขา แต่ส่งมาให้หมออีกคนหนึ่งต่างหาก

เพราะได้ยินหนูน้อยบอกว่าหลินม่ายชอบกินลิ้นจี่ เขาจึงไปแย่งเอามาให้

หลินม่ายพูดด้วยความดีใจ “จะกวางตุ้งกวางสีก็ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ฉันกำลังจะกลับไปเมืองซื่อเหม่ยพอดี ถ้าเอาลิ้นจี่พวกนี้ไปให้คุณปู่คุณย่ากิน พวกเขาจะต้องชอบแน่ๆ”

แม้ฟางจั๋วหรานจะไม่ได้โตมากับคุณปูคุณย่าฟาง แต่กลับรู้สึกผูกพันกับพวกเขามาก

เมื่อเห็นหลินม่ายกตัญญูต่อผู้สูงอายุทั้งสองเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งยิ่งขึ้นไปอีก

เช้าตรู่วันต่อมา หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์กลับไปยังชนบท พร้อมกับของขวัญของผู้อาวุโสตระกูลฟางทั้งสองและลิ้นจี่เหล่านั้นของฟางจั๋วหราน

กลับมาครั้งนี้ ไม่ทันได้บอกกล่าวล่วงหน้า คุณปู่คุณย่าฟางทั้งสองคนถึงทั้งรู้สึกคาดไม่ถึงทั้งดีใจ

ตอนที่หลินม่ายหยิบลิ้นจี่ออกมา บอกว่าฟางจั๋วหรานตั้งใจให้เธอเอามาให้พวกเขา คุณปู่และคุณย่าฟางก็ยิ่งดีใจ

คุณย่าฟางมีความสุขเสียจนขอบตาแดงก่ำ “จั๋วหรานเจ้าเด็กคนนี้ทำงานยุ่งขนาดนั้นยังนึกถึงพวกเรา กลัวว่าเราจะมีเงินไม่พอใช้ จึงส่งเงินมาให้พวกเราทุกเดือน ตอนนี้ยังให้หนูช่วยเอาผลไม้มาให้”

หลินม่ายค่อนข้างปวดใจ ความจริงแล้วทั้งสองท่านแค่หวังอยากให้หลานชายใส่ใจพวกเขามากขึ้นสักนิด

เธอหยิบของขวัญที่ตนจะให้ผู้อาวุโสทั้งสองออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วทำเป็นว่าฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อมัน

ทั้งยังบอกว่า ฟางจั๋วหรานบอกกับเธอ ว่าต่อไปหากเธอกลับชนบทเมื่อไร ก็จะวานให้เธอเอาของมาให้พวกเขา

คุณย่าฟางยิ้มไม่หุบด้วยความปลื้มใจ แล้วจัดการทำข้าวหมากหวานใส่ไข่ให้หลินม่ายชามหนึ่ง

หลินม่ายนั้นกินอาหารเช้ามาแล้ว ในท้องยังอิ่มอยู่ เดิมทีจึงไม่อยากกินข้าวหมากหวานใส่ไข่อีก

แต่เธอก็ไม่อยากหักหาญน้ำใจของคุณย่าฟาง จึงประคองชามเหล้าหวานขึ้นมากิน

ผู้อาวุโสทั้งสองจ้องมองเธอกินด้วยความอ่อนโยน

คุณปู่ฟางถามขึ้น “เธอกลับมาคราวนี้จะเอาอะไรเหรอ? มันฝรั่ง?”

ที่จริงแล้วมันฝรั่งซื้อจากลุงขายผักเอาก็ได้ แต่ทุกๆ วันหลินม่ายก็ซื้อผักของร้านเขาไม่น้อย ช่วยให้สภาพเศรษฐกิจของครอบครัวดีขึ้นอย่างมาก

มันฝรั่งนี้หากซื้อจากคนบ้านเดียวกัน คนบ้านเดียวกันเหล่านี้เทียบกันแล้วยากจนกว่าลุงขายผักเสียอีก

“มันฝรั่งก็จำเป็นเหมือนกัน แต่ฉันอยากรับซื้อลูกท้อกับลูกไหนด้วยค่ะ”

คุณปู่ฟางรีบวางแก้วชาในมือลงทันที “มันฝรั่งจะเอากี่ชั่งดีล่ะ? ลูกท้อกับลูกไหนต้องการเท่าไหร่? ปู่จะช่วยหาให้”

หลินม่ายบอกกับเขาอย่างไม่มากพิธี “ลูกท้อ700ชั่ง ลูกไหน300ชั่ง มันฝรั่ง500ชั่งค่ะ”

ลูกไหนประจำท้องถิ่นมีรสชาติเปรี้ยวอมหวานเยี่ยมยอด แต่ไม่ควรกินมากไป หลินม่ายจึงไม่กล้าสั่งมามากนัก

คุณย่าฟางเกลี้ยกล่อม “สั่งมากขนาดนี้ในคราวเดียว จะขายหมดเหรอจ๊ะ? ลูกท้อท้องถิ่นของเราไม่ใช่ท้อน้ำผึ้งก็เป็นท้อสีเลือดที่มีน้ำมากเป็นพิเศษ ไม่ควรทิ้งไว้นาน หากขายไม่หมดภายในห้าวัน ก็จะเน่าเสียได้ ไม่สู้สั่งไปทีละครึ่งดีกว่า ทุกครั้งก็สั่งผลไม้แค่อย่างละ500ชั่งก็พอ ขายหมดแล้วค่อยมาใหม่ แบบนี้จะปลอดภัยกว่านะ”

คุณปู่ฟางเองก็โน้มน้าว “ฟังที่ย่าพูดเถอะ วางใจได้!”

หลินม่ายแหงนหน้ากรอกเหล้าหวานที่เหลือในชามทั้งหมดเข้าปาก

เธอวางชามลงแล้วพูด “คุณปู่คุณย่าไม่ต้องเป็นห่วง ขายหมดภายในห้าวันแน่นอนค่ะ”

คุณปู่ฟางได้ยินเธอพูดเช่นนั้น ก็ไม่ขัดขวางอีก ก่อนออกไปช่วยเธอรวบรวมมันฝรั่ง ลูกท้อ และลูกไหนมา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อ้าวพี่หมอ ถึงกับขโมยลิ้นจี่คนอื่นเพื่อเอาใจสาวเลยเหรอ

ม่ายจื่ออย่าไว้ใจนังผู้หญิงข้างบ้านนี่นะคะ นางไว้ใจไม่ได้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 138 หยิบมาทั้งหมด

ฟางจั๋วหรานมองแผ่นหลังของเธอค่อยๆ ลับไปจากสายตาของตน แล้วจึงค่อยก้มหน้าลงกินข้าว

ซี่โครงหมูยี่หร่านั้นหอมอร่อยมาก แพทย์และพยาบาลทุกคนที่เดินผ่านห้องพักของเขาต่างก็อดถามไม่ได้ว่าเขากินของอร่อยอะไรอยู่

แพทย์ชายสองสามคนที่คิดไปเองว่าตนพอจะสนิทสนมกับฟางจั๋วหรานได้วิ่งเข้ามา คิดจะลองดีแย่งอาหารจากปากเสือ ก็ได้ถูกเขาไล่ตะเพิดออกไป

ในวันที่อากาศร้อนระอุ สาวน้อยต้องเหงื่อไหลไคลย้อยทำของอร่อยให้เขากิน แล้วเขาจะแบ่งให้คนอื่นกินได้อย่างไร?

อย่างนั้นจะไม่เป็นการทรยศน้ำใจของสาวน้อยคนนั้นเกินไปหรอกเหรอ?

หลินม่ายถือลิ้นจี่กลับมาถึงร้าน โจวฉายอวิ๋นที่ไม่เคยเห็นลิ้นจี่ก็ถามว่ามันคืออะไรด้วยความสงสัยใคร่รู้

หลินม่ายหยิบลิ้นจี่ให้หล่อนกำหนึ่ง “ลิ้นจี่น่ะ เป็นผลไม้ที่หยางกุ้ยเฟยหนึ่งในสี่สาวงามชอบกินที่สุด”

โจวฉายอวิ๋นไม่เคยเรียนหนังสือ แล้วจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหยางกุ้ยเฟยคือใคร?

หลังจากชิมลิ้นจี่เข้าไปลูกหนึ่ง ก็สัมผัสถึงความอร่อยล้ำ หล่อนจึงเหล่ตาถาม “ศาสตราจารย์ฟางให้มาเหรอ?”

หลินม่ายแสร้งส่งเสียงอืมคำหนึ่งอย่างเรียบเฉย แล้วหยิบลิ้นจี่ให้หลี่หมิงเฉิงกำหนึ่ง ก่อนจะถือลิ้นจี่ขึ้นไปชั้นบน

โจวฉายอวิ๋นเดินไปข้างๆ หลี่หมิงเฉิง มองแผ่นหลังของหลินม่ายที่ขึ้นไปชั้นบน สีหน้าฉงนสงสัย “นายว่า ทั้งที่ศาสตราจารย์ดีกับม่ายจื่อมากแท้ๆ พอมีผลไม้อร่อยๆ ก็มอบให้หล่อนทันที แต่ทำไมเขาถึงไม่ยอมจีบหล่อนเสียทีล่ะ พวกเราต้องแอบช่วยดันเขาสักหน่อยหรือเปล่า?”

หลี่หมิงเฉิงที่กำลังกินลิ้นจี่อยู่ พอได้ยินคำพูดนั้น ลิ้นจี่ในปากก็พลันหมดความหวานไปในพริบตา

ที่เขายอมถอยออกมาก็นับว่าถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่นึกว่าโจวฉายอวิ๋นจะนึกเพ้อเจ้ออยากให้เขาช่วยฟางจั๋วหราน หล่อนคิดบ้าอะไรอยู่กันน่ะ!

ทุกวันหลังมื้อเย็น โต้วโต้วจะนั่งดูรายการสำหรับเด็กอยู่ในห้องนั่งเล่น

หลินม่ายเอาลิ้นจี่ให้หล่อนกิน เด็กน้อยกินลิ้นจี่ไปเพียงหนึ่งลูกก็ตะโกนลั่นอย่างมีความสุข “ลิ้นจี่อร่อยจริงๆ !”

หลินม่ายเองก็ปอกลิ้นจี่ลูกหนึ่งใส่เข้าปากตัวเองเช่นกัน “งั้นพรุ่งนี้เวลาเจอคุณอาฟาง หนูต้องบอกขอบคุณเขาด้วยนะ เพราะเขาเป็นคนให้ลิ้นจี่พวกนี้มา”

แม่หนูน้อยขานรับด้วยความเต็มใจ

หล่อนกินลิ้นจี่เข้าไปหลายลูกในคำเดียว แล้วพูดกับหลินม่าย “คุณอาฟางดีกับพวกเราขนาดนี้ หนูอยากให้คุณอาฟางมาเป็นคุณพ่อของหนูจังเลย”

หลินม่ายถึงกับเคว้งคว้างกลางอากาศ “หนูแค่คิดในใจก็พอแล้ว แต่อย่าพูดออกมาเด็ดขาดเลยนะ ไม่อย่างนั้นแม่คงไม่มีหน้าจะเอาไปไว้ไหนแล้ว”

แม่หนูน้อยถามอย่างงุนงง “ทำไมล่ะคะ? แม่ไม่ชอบคุณอาฟางเหรอ?”

“เอ่อ… คำว่าชอบมันมีหลายแบบน่ะ หนูยังเด็กเกินไป ไม่เข้าใจหรอกจ้ะ”

……

ฟางจั๋วหรานเพิ่งกินอาหารเย็นเสร็จ พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาบอกเขาอย่างรีบร้อนว่าอาการของผู้ป่วยคนหนึ่งไม่คงที่ ให้เขาไปช่วยดูอาการสักหน่อย

ฟางจั๋วหรานวางกล่องข้าวลงแล้ววิ่งออกไปทันที

โหมวตานที่เพิ่งจะให้ยาคนไข้ออกมาเห็นเขาเดินไปอย่างรีบร้อน กระทั่งประตูห้องพักแพทย์ก็ลืมปิด

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินไปหน้าประตูห้องพักของฟางจั๋วหรานอย่างรวดเร็ว หล่อนมองซ้ายมองขวา เห็นว่ารอบข้างไม่มีใคร จึงแทรกตัวเข้าไปในทันทีพร้อมกับปิดประตู

เมื่อกี้หล่อนเดินผ่านห้องพักแพทย์ของฟางจั๋วหราน ก็ได้ยินหลินม่ายคุยกับฟางจั๋วหรานโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่เพียงเอาอาหารเย็นมาให้เขา แต่ยังเอามื้อดึกมาด้วย

ของที่อยู่ในกระติกเก็บความร้อนนี้คืออาหารมื้อดึกสินะ

โหมวตานเปิดฝากระติกเก็บความร้อนด้วยมือสั่นเทา กลิ่นหอมของซุปไก่พลันโชยมาเตะจมูก

……ในมือของตนมีมียาถ่ายอยู่พอดี

หากใส่ยาถ่ายลงไปในน้ำซุปไก่นี้สักเล็กน้อย แล้วศาสตราจารย์ฟางดื่มมันเข้าไปทั้งแบบนี้ จะต้องส่งผลกระทบต่องานแน่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเกลียดหลินม่ายไปเลยก็ได้

ที่ตอนนี้ศาสตราจารย์ฟางเห็นหล่อนก็ทำเป็นไม่สนใจ แถมยังแสดงสีหน้ารังเกียจ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะหลินม่ายยัยสารเลวนั่น

ระหว่างตนกับศาสตราจารย์คงเป็นไปไม่ได้แล้ว อย่างนั้นยัยสารเลวนั่นก็อย่าคิดจะได้คบกับศาสตราจารย์ฟางเลย!

แต่ถ้าใส่ยาถ่ายลงไปในซุปไก่จริงๆ เกิดตอนกลางดึกมีคนไข้วิกฤตที่ต้องให้ศาสตราจารย์ฟางผ่าตัดขึ้นมาจะทำอย่างไร นั่นเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวกับชีวิตคนเลยนะ!

ในตอนที่โหมวตานกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่นั้น ประตูก็ถูกคนไขเปิดออกอย่างรวดเร็ว

โหมวตานหันหน้ากลับไป มองฟางจั๋วหรานและหัวหน้าพยาบาลด้วยความตระหนกลนลาน

ไม่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าฟางจั๋วหรานจะไปแล้วย้อนกลับมา นอกจากนั้นยังกลับมาพร้อมกับหัวหน้าพยาบาลด้วย

นับตั้งแต่วันที่โหมวตานปรักปรำหลินม่ายต่อหน้าเขา ฟางจั๋วหรานก็เกลียดหล่อนเข้ากระดูกดำ

เมื่อครู่ตอนที่เขาไปตรวจคนไข้วิกฤต ก็บังเอิญเห็นโหมวตานจ้องมองห้องพักแพทย์ของตนที่ลืมปิดประตูไว้ไม่วางตา

หลังจากตรวจอาการของคนไข้วิกฤตอย่างรวดเร็ว และถ่ายทอดวิธีการรักษาให้กับแพทย์เจ้าของไข้แล้ว เขาก็ออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างเร่งรีบ

เพียงแวบแรกที่เห็นประตูที่เปิดอยู่ของห้องพักแพทย์ปิดลง ความคิดแรกนั้นก็คือโหมวตานคงจะแอบเข้าไปข้างในแล้ว

ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจเรียกหัวหน้าพยาบาลมาจับคนร้ายด้วยกัน ไม่นึกว่าจะจับคนร้ายได้จริงๆ

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองกระติกเก็บความร้อนที่ถูกเปิดออกเล็กน้อย สีหน้าพลันเย็นยะเยือก เขาเอ่ยเสียงเย็น “คุณทำลับๆ ล่อๆ เข้ามาในห้องพักของผม คิดจะทำอะไรกันครับ?”

โหมวตานพูดอย่างตื่นตระหนก “ฉัน… ฉันจะเข้ามาแจ้งคุณว่าอาการของคนไข้เตียง4 ของห้องผู้ป่วยหมายเลข9 ไม่ค่อยสู้ดีน่ะค่ะ…”

ฟางจั๋วหรานถาม “คุณมาแจ้งผม แล้วทำไมต้องปิดประตูด้วยล่ะ?”

ความแข็งแกร่งทางจิตวิทยาของโหมวตานดีมาก ในยามนี้เธอได้สงบสติอารมณ์จากความตื่นตระหนกในตอนแรกลงได้แล้ว ก่อนแสร้งทำเป็นสับสนมึนงงได้อย่างสมจริงสมจัง

“ฉันทำเหรอคะ? คงจะปิดไปโดยไม่ได้ตั้งใจน่ะค่ะ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” พูดจบยังกระพริบตาปริบๆ อย่างผู้บริสุทธิ์อีกด้วย

ฟางจั๋วหรานไม่เคยโต้เถียงกับใครมาก่อน จึงหันไปพูดกับพยาบาล “โหมวตานพูดความจริงหรือเปล่า ผมคิดว่าคุณน่าจะสามารถตัดสินได้นะครับ พยาบาลที่จิตใจสกปรกคิดไม่ซื่อแบบนี้ อย่าให้มาอยู่ในแผนกศัลยกรรมเลยดีกว่า ผมกลัวว่าหล่อนจะก่อปัญหาขึ้นมา แล้วโรงพยาบาลจะรับผิดชอบไม่ไหว”

หัวหน้าพยาบาลพาโหมวตานตรงไปเบื้องหน้าเตียง4 ของห้องผู้ป่วยหมายเลข9 เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงกับญาติคนไข้ในทันที

“เมื่อครู่ตอนที่พยาบาลของเราคนนี้มาให้ยากับคนไข้ ได้ทำการตรวจเบื้องต้นกับคนไข้หรือเปล่าคะ?”

ญาติคนไข้ส่ายหน้ายืนยันอย่างหนักแน่น “เปล่าค่ะ”

หัวหน้าพยาบาลถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นเธอได้บอกว่าคนไข้มีอาการไม่ดีอะไรหรือเปล่าคะ?”

ญาติคนไข้เริ่มไม่สบอารมณ์ “พ่อของฉันอาการดีมากแท้ๆ แล้วหล่อนจะมาบอกว่าพ่อฉันอาการไม่ดีได้ยังไง นี่จะแช่งกันอย่างนั้นเหรอ?”

เมื่อถามถึงตรงนี้ ความจริงก็ปรากฏราวกับน้ำลดตอผุด

หัวหน้าพยาบาลเองก็ไม่ได้อ่อนข้อ พูดกับโหมวตานในทันที “พรุ่งนี้ฉันจะย้ายเธอไปทำงานที่แผนกผู้ป่วยฉุกเฉิน วันนี้เธอก็อย่าได้ก่อเรื่องอะไรให้ฉันอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอออกทันที!”

โหมวตานหน้าซีดเผือด

เมื่อเสร็จสิ้นงานของทั้งวัน หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็นอนลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน

ไม่รู้ว่าทำไม พอหลับตาลง ก็เอาแต่นึกถึงมือใหญ่อันเรียวยาวเกลี้ยงเกลา แต่ก็ยังเห็นข้อกระดูกใหญ่ของผู้ชายชัดเจนของฟางจั๋วหรานขึ้นมา

ในใจร้องว่าจบเห่แล้วๆ ไม่หยุด ทำไมตนถึงเอาแต่คิดถึงเขากัน หรือว่าแค่มือคู่หนึ่ง ก็รู้สึกอ่อนระทวยแล้วเหรอ?

ตนเป็นคนที่กลับชาติมาเกิด มาใจเต้นกับผู้ชายคนหนึ่งแบบนี้ได้อย่างไรกัน ให้ตายเถอะ…

เช้าวันต่อมา ฟางจั๋วหรานออกเวรดึก ก็มากินมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่าย เมื่อเห็นขอบตาดำคล้ำของเธอ ก็นึกไปว่าเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป

เขาเอ่ยโน้มน้าว “หาเงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่ร่างกายนั้นสำคัญกว่านะ อย่าทำตัวเองเหนื่อยจนเสียสุขภาพสิ”

หลินม่ายตอบอย่างขอไปที แล้วหลบไปที่อื่นไกลๆ รู้สึกอึดอัดที่จะเผชิญหน้ากับเขาเล็กน้อย

แต่โต้วโต้วนั้นกลับวิ่งเข้ามาอย่างร่าเริง บอกกับฟางจั๋วหรานว่าลิ้นจี่อร่อยมาก

ฟางจั๋วหรานแอบถามหล่อน “คุณแม่หนูกินเยอะหรือเปล่า?”

หนูน้อยเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเขา “เยอะค่ะ!”

ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก

หลังกินมื้อเช้าเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็หอบร่างกายอันอ่อนล้ากลับบ้าน

เขาทำงานตัวเป็นเกลียวติดต่อกันมา24ชั่วโมง ระหว่างนั้นยังทำการผ่าตัดอีกสองเคส ต่อให้ร่างกายทำมาจากเหล็กก็เหนื่อยได้เหมือนกัน

สื่อเจินเซียงสะพายกระเป๋าหนังกำลังจะไปทำงาน พลันเหลือบไปเห็นฟางจั๋วหรานที่เดินผ่านหน้าร้านของหล่อนไป

หล่อนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะไล่ตามเขาไป แล้วตะโกนเรียก “ศาสตราจารย์ฟาง”

ฟางจั๋วหรานหันมองหล่อนอย่างเย็นชา “คุณยังคิดจะมาตามราวีผมอีกเหรอ คราวก่อนผมสั่งสอนคุณเบาเกินไปใช่ไหม?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ยัยโหมวตานโดนเล่นงานแล้ว หมดเสี้ยนหนามไปแล้วหนึ่ง

ฝันเห็นแต่เขาแบบนี้ ใจเรามันไม่เป็นของเราแล้วน่ะสิม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 137 อย่าเกะกะขวางทาง

หลินม่ายหัวเราะไม่พูดอะไร แล้วให้พนักงานคนหนึ่งเอาเมนูอาหารมาให้จ้าวฮั่นเชิงดู

จ้าวฮั่นเชิงก้มหน้าลงมอง วัตถุดิบที่ระบุอยู่ด้านหลังคำว่าหอมสิบลี้นั้นก็คือตูดไก่

เขาแสดงสีหน้าตกตะลึง “รู้ว่าเป็นตูดไก่ แต่ก็ยังมีคนสั่งมากมายขนาดนี้เชียว?”

หลินม่ายพูดอย่างภูมิใจ “เพราะมันหอมน่ากินไงล่ะคะ”

ความต้องการของเหล่านักกินนั้นก็คือการแสวงหาของอร่อย เรื่องสุขภาพดีน่ะเอาไว้ข้างหลัง

ที่คอเป็ดในชาติก่อนเป็นที่นิยมอย่างมากไปทั่วประเทศเองก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน

จ้าวฮั่นเชิงกินเซาเข่าไปพลาง ดื่มเบียร์ไปพลาง พร้อมกับมองคนอื่นๆ กินหอมสิบลี้กับไส้ไก้ผัดพริกไปด้วย

ยิ่งมองก็ยิ่งแคลงใจ หอมสิบลี้กับไส้ไก่ผัดพริกมันอร่อยสักแค่ไหนกันแน่ คนถึงได้กินกันเยอะขนาดนี้้!

จึงสั่งหอมสิบลี้สองไม้และไส้ไก่ผัดพริกหนึ่งที่มาอย่างอดไม่ไหว

เขาเค้นความกล้าชิมไส้ไก่ผัดพริกเข้าไปก่อนหนึ่งคำ

รสชาติที่เต็มไปด้วยความกรอบอร่อยและเผ็ดจัดจ้านของไส้ไก่ผัดพริกแผ่ซ่านอยู่ในปาก อร่อยเกินบรรยาย

เขากวาดไส้ไก่ผัดพริกหนึ่งที่ลงท้องไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่หายอยาก

จากนั้น จึงหยิบหอมสิบลี้ขึ้นมาไม้หนึ่ง แล้วดึงตูดไก่ชิ้นหนึ่งงขึ้นมาเคี้ยว

เช่นเดียวกับไส้ไก่ผัดพริก ไม่มีกลิ่นเหม็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหอมอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเหล้าและยี่หร่าระเบิดอยู่ในปากขณะที่กิน อร่อยเสียจนทำเอาตัวสั่นเลยทีเดียว

ก่อนจะมาเขายังรังเกียจตูดไก่กับไส้เป็ดไส้ไก่เสียเต็มประดาอยู่เลย แต่ยามจากไป จ้าวฮั่นเชิงได้กลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของหอมสิบลี้และไส้ไก่ผัดพริกไปแล้ว

เขาห่อไส้ไก่ผัดพริกสองที่และหอมสิบลี้สิบไม้กลับบ้านไปอีกด้วย

เดิมทีเขาอยากจะสั่งหอมสิบลี้เพิ่มอีกสักหน่อย แต่หลินม่ายไม่ให้ บอกว่าเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพไม่ควรกินเยอะ

มีตู้แช่แข็ง หากไม่ขายไอศกรีมก็คงเสียของเกินไป

วันต่อมาหลังกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็ขี่รถสามล้อไปตามถนนเพื่อสั่งไอศกรีม

เธอไปโรงงานไอศกรีมแห่งแรกก็ขอซื้อไอศกรีมได้สำเร็จทันที

แต่ว่ารสชาตินั้นมีน้อยมาก มีแค่รสครีมนม ถั่วแดง ถั่วเขียวและไอศกรีมโบราณสี่รสชาติเท่านั้นเอง

หลินม่ายสั่งซื้อมารสชาติละหนึ่งร้อยแท่ง แล้วบรรจุในห้องโฟมนำกลับไปที่ร้าน

หากที่ร้านขายไอศกรีม คนที่ดีใจที่สุดคงไม่พ้นโต้วโต้ว ทั้งกระโดดโลดเต้นทั้งตบมือไปรอบกล่องโฟมที่ใส่ไอศกรีม ในปากตะโกนลั่นไม่หยุด “แม่คะ หนูอยากกิน หนูอยากกิน!”

หลินม่ายให้หล่อนเลือกไอศกรีมไปหนึ่งแท่ง แล้วนำที่เหลือทั้งหมดใส่เข้าไปในตู้แช่แข็งเพื่อขาย

ก่อนวางตู้แช่แข็งไว้หน้าร้าน นอกจากนี้ยังติดป้ายโฆษณาเอาไว้ คนที่เดินผ่านไปมาแค่มองมาก็สามารถเห็นได้ทันที

ไอศกรีมในยุคนี้ก็ราคาไม่แพง ไอศกรีมรสครีมนมที่แพงที่สุดเพิ่งจะ 1.5 เหมา และไอศกรีมโบราณที่ถูกที่สุดก็ราคาแค่ 5 เฟินเท่านั้นเอง เด็กประถมก็ยังสามารถซื้อได้ ไอศกรีมของร้านหลินม่ายขายได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

แม้จะบอกว่าไอศกรีมแท่งหนึ่งได้กำไรแค่ไม่เท่าไร แต่ขายวันละสองสามร้อยแท่ง ก็มีกำไรเจ็ดแปดหยวนเหมือนกัน

ผ่านไปสักเดือนก็สามารถหาได้สองร้อยกว่าหยวน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้ว

หลินม่ายยังเพิ่มเมนูเหลียงไช่เช่นยำถั่วงอก ยำมันฝรั่งเส้น และยำแตงกวาเข้าไปด้วย

ป้าหูที่อยู่ข้างเคียงเองก็เริ่มทำธุรกิจร้านกลางคืนเช่นกัน เพื่อที่จะแข่งกับธุรกิจของหลินม่าย จึงเอาโต๊ะเก้าอี้มาจัดวางไว้นอกร้าน

โจวฉายอวิ๋นเห็นแล้วก็โมโหแทบดิ้นตาย และอยากจะเอาโต๊ะเก้าไปวางนอกร้าน ประชันกับป้าหูด้วยเหมือนกัน แต่ก็ถูกหลินม่ายปรามเอาไว้

วางโต๊ะเก้าอี้ออกมานอกร้านแล้วคนเขาจะเดินกันยังไงล่ะ? มันขวางทางไม่ใช่เหรอ?

อย่างมากที่สุดเธอก็ทำได้วางแผงเอาไว้หน้าประตูร้านเท่านั้น เพื่อไม่ให้กีดขวางทางเดินคนเดินเท้า

โจวฉายอวิ๋นได้แต่ยอมรามือไปอย่างไม่เต็มใจ

หล่อนง่วนอยู่กับการขายของไป พร้อมกับคอยจับตามองธุรกิจกลางคืนของร้านป้าหู

ถึงแม้ว่าป้าหูจะเอาโต๊ะเก้าอี้มาวางไว้บนถนน แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลิ่นยี่หร่าของร้านหลินม่ายได้

เหล่านักกินที่เห็นแผงของป้าหูมาแต่ไกล ก็เร่เข้ามาด้วยความลิงโลด

แต่กลับถูกกลิ่นยี่หร่าของเซาเข่าเสียบไม้ที่โชยออกมาดึงดูดไปหมด ก่อนเดินเข้าร้านเปาห่าวชือสั่งของอร่อยกินกัน

ป้าอู๋โมโหจนหน้าดำคร่ำเครียด

สีหน้าหล่อนน่าเกลียดดูไม่ได้ นักกินพวกนั้นก็ยิ่งไม่มีทางเข้ามากินที่ร้านของหล่อน ใครจะอยากกินอาหารกับสีหน้าบูดบึ้งแบบนั้นกัน!

เวลา4ทุ่ม ตลาดกลางคืนก็เก็บแผง วัตถุดิบที่ป้าหูตระเตรียมไว้ดูเหมือนจะขายไม่ได้เท่าไรนัก

ถึงจะบอกว่าเป็นผักเสียส่วนใหญ่ แต่หากวางทิ้งไว้ทั้งคืนก็เน่าเสียได้

หาเงินไม่ได้ แถมยังขาดทุนอีก ป้าหูทั้งโกรธทั้งกลุ้ม กระทั่งนอนหลับก็ยังไม่สนิท

เดิมทีเจ้าของร้านอาหารกินเล่นในถนนสายนี้ต่างก็ลังเล ว่าควรต้องขายตลาดกลางคืนไหม

อย่างไรเสียถึงทำตลาดกลางคืน พวกเขาก็มีความได้เปรียบสู้ร้านเปาห่าวชือไม่ได้แม้แต่น้อย

แต่ธุรกิจตลาดกลางคืนของป้าหูทำให้พวกเขาไม่มีความลังเลอีกต่อไป

พวกเขาเองก็สามารถขายเสียวเฉ่า ขนมหวานและเหลียงไช่ในตลาดกลางคืนได้เหมือนกัน

แม้ว่าจะแข่งกับร้านเปาห่าวชือไม่ได้ แต่ขอแค่สามารถหาเงินได้ก็พอแล้ว

ไม่กี่วันต่อมา ร้านอาหารกินเล่นในถนนสายนี้ต่างเปิดขายตอนกลางคืนกันแทบทุกร้าน

เมื่อมีการขยายตัวขึ้น พอตกกลางคืน เหล่านักกินก็เร่งตรงมาทันที ถนนสายนี้เฟื่องฟูขึ้นมา ธุรกิจของร้านหลินม่ายยิ่งเจริญรุ่งเรือง

มีธุรกิจร้านอาหารกินเล่นในตลาดกลางคืนไม่น้อยที่ไปได้ดีกว่าร้านของป้าหู

ตอนนี้ป้าหูไม่เพียงด่าหลินม่าย หล่อนยังด่าเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ในละแวกนั้นไปทั่ว แต่เพียงแค่ปิดประตูด่าอยู่ในบ้าน จึงไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น

มาถึงวันที่ฟางจั๋วหรานเข้าเวรดึกอีกครั้ง

หลินม่ายรักษาสัญญา หลังกินมื้อเที่ยงเธอก็ให้หลี่หมิงเฉิงเชือดไก่สาวที่มีเพียงตัวเดียวให้

เธอใส่ลำไยและเก๋ากี้เข้าไป แล้วเคี่ยวไปจนถึงห้าโมงเย็นกว่าๆ ก่อนใส่ลงในกระติกเก็บความร้อน แล้วจึงนำอาหารเย็นที่เตรียมไว้สำหรับฟางจั๋วหราน ไปส่งให้กับเขาด้วยตัวเอง

พอมีตู้แช่แข็งก็สะดวกสบายขึ้น ซื้อเนื้อสัตว์ที่สดใหม่ที่สุดมาในตอนเช้าแล้วแช่ไว้ในตู้แช่ สามารถหยิบออกมาทำอาหารได้ตลอดเวลา

ตอนเช้าหลินม่ายได้ซื้อซี่โครงหมูจากเถ้าแก่ร้านเนื้อที่มาส่งของให้ที่ร้านมาหลายชั่ง มื้อเย็นเธอจึงย่างซี่โครงหมูยี่หร่า และเอาไปให้ฟางจั๋วหรานไม่น้อย

แค่คิดว่าอีกเดี๋ยวฟางจั๋วหรานจะได้กินซี่โครงหมูยี่หร่าเผ็ดร้อนหอมฉุย หลินม่ายก็มีความสุขเป็นพิเศษแล้ว แต่ตัวเธอเองกลับไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยสักนิด

เหล่าพยาบาลหลินม่ายเอามาทั้งกล่องข้าวทั้งกระติกเก็บความร้อน ก็วิ่งไปเรียกกันมาดู “ดูสิ! เถ้าแก่เนี้ยร้านเปาห่าวชือมาอีกแล้ว!”

“ยัยดำตับเป็ดนี่สุดยอดไปเลย ขยันวิ่งตามผู้ชายจริงๆ !”

หลินม่ายมาถึงหน้าของทำงานของฟางจั๋วหรานแล้วก็ชะโงกหัวเยี่ยมๆ มองๆ

แพทย์ใหม่คนหนึ่งที่มักจะไปกินข้าวที่ร้านของเธอจำเธอได้ ทั้งยังรู้ว่าเธอกับฟางจั๋วหรานนั้นสนิทสนมกันพอสมควร

เขาเดินไปข้างๆ ฟางจั๋วหรานแล้วเอ่ยเสียงเบา “ศาสตราจารย์ฟาง มีคนมาหาครับ”

ฟางจั๋วหรานนั้นกำลังตั้งอกตั้งใจดูเคสพิเศษของผู้ป่วยพิเศษคนหนึ่งอยู่

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หันหน้ามองไปทางประตู

เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่าย เขาก็รีบเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มบางๆ แล้วพาเธอไปที่ห้องพักผ่อนของตัวเอง

หลินม่ายวางกล่องข้าวและกระติกเก็บความร้อนไว้บนโต๊ะสำนักงาน แล้วอธิบายว่าอันไหนคือมื้อเย็น อันไหนคือมื้อดึก

ทั้งยังบอกเขาด้วยความใส่ใจ ว่ากระติกเก็บความร้อนนี้เธอซื้อมันมาใหม่ เก็บอุณหภูมิได้อย่างดี ต่อให้วางซุปไก่ทิ้งไว้ครึ่งค่อนคืนก็ไม่เย็นชืด

ฟางจั๋วหรานอมยิ้มฟังเธอพูดจนจบ แล้วยื่นลิ้นจี่ถุงใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะให้เธอ “ครอบครัวของคนไข้ชาวกวางตุ้งคนหนึ่งให้มาน่ะ แถมยังสดมากด้วย คุณเอากลับไปกินสิ”

ในยุคนี้ เมืองเจียงเฉิงที่เป็นเมืองติดทะเลนั้นมีขายลิ้นจี่อยู่น้อยมาก หรือต่อให้มีก็ไม่ค่อยสดนัก

แต่ลิ้นจี่พวกนี้ของฟางจั๋วหรานกลับสดมาก

มาส่งข้าวยังมีเรื่องประหลาดใจได้อีกนะ หลินม่ายรับลิ้นจี่ในถุงตาข่ายนั้นมาด้วยความดีใจ

ดวงตาจับจ้องอยู่บนมือที่เห็นข้อกระดูกได้ชัดเจนนั้นของเขาอยู่หลายวินาที คนที่ดูดี แม้แต่มือก็ยังน่าหลงใหลขนาดนี้

“ลิ้นจี่มากมายขนาดนี้ คุณไม่เก็บไว้ให้ตัวเองสักหน่อยเหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานเปิดกล่องข้าว อาหารเย็นที่เด็กสาวเตรียมให้เขาช่างมากมายจริงๆ

ในใจเขานึกปลื้มปริ่ม เขาเงยหน้าขึ้นตอบคำถามของหลินม่าย “ลิ้นจี่หวานเกินไปน่ะ ผมไม่ค่อยชอบกิน”

หลินม่ายหัวเราะ “เพิ่งเคยได้ยินคนบอกว่าไม่ชอบกินลิ้นจี่ครั้งแรกเลยค่ะ”

เมื่อเอ่ยขอบคุณแล้ว เธอก็ถือลิ้นจี่เดินจากไป

…………………………………………………………………………………………………………………………

เชิงอรรถ

(1)เหลียงไช่ อาหารที่ปรุงโดยไม่ใช้ความร้อน หรือสามารถกินได้โดยไม่ต้องอุ่น เช่น สลัด ยำ เป็นต้น

สารจากผู้แปล

เดี๋ยวนี้อาหารจัดเต็มขึ้นนะหลินม่าย รวมถึงข้าวกล่องพี่หมอด้วย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 136 ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ

เมื่อหลินม่ายกลับมาถึงร้าน ตู้แช่แข็งบนรถสามล้อก็ดึงดูดความสนใจจากเพื่อนบ้านจำนวนมาก

มีคนเอ่ยทักทายเธอด้วยความอิจฉา “โห! ม่ายจื่อ มีเงินจริง ๆ เลยนะ แม้กระทั่งตู้แช่ยังซื้อกลับมาได้! ”

หลินม่ายเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ควักเงินหมดตัวซื้อมาต่างหาก”

เมื่อรถสามล้อหยุดลงที่หน้าร้าน ป้าหูก็เอาแต่จ้องไปยังตู้แช่ที่อยู่บนรถสามล้อ รู้สึกอิจฉามากจนอยากจะแย่งมันมาเป็นของตัวเอง

หลินม่ายไม่ได้สนใจแต่อย่างใด พลันเรียกให้หลี่หมิงเฉิงและพนักงานชายคนอื่น ๆ มาช่วยกันยกตู้แช่ลง

โจวฉายอวิ๋นก็วิ่งมาเช่นกัน พลางตะโกนออกมาว่า “ฉันนึกว่าเธอจะออกไปไหนเสียอีก ที่แท้ก็ไปซื้อตู้แช่นี่เอง! ”

หลังจากวางตู้แช่ในร้านเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็เสียบปลั๊กและให้โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ นำเบียร์และน้ำอัดลมวางเข้าไปในตู้

ถึงแม้ว่าตู้แช่ในยุคสมัยนี้จะมีเพียงแค่ฟังก์ชั่นแช่แข็ง และหากแช่ไว้เพียงแค่เวลาสั้น ๆ ก็ไม่อาจทำให้เบียร์และน้ำอัดลมกลายเป็นน้ำแข็งได้ แต่จะเป็นเพียงน้ำเย็น

ขณะที่ทุกคนต่างง่วนอยู่กับการจัดวางเบียร์และน้ำอัดลมใส่ในตู้แช่ ฟางจั๋วหรานก็มาถึง

ทันทีที่โต้วโต้วเห็นเขา ก็เข้าไปหาอย่างดีอกดีใจ

ก่อนจะจับมือหนาใหญ่ของเขาลากไปยังตู้แช่เย็น พลางพูดอวดอ้างอย่างภาคภูมิใจ “คุณลุง คุณแม่ซื้อตู้แช่มา ต่อไปนี้เวลาที่คุณลุงมาที่บ้านหนู ก็จะดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ ได้แล้ว”

หล่อนไม่สามารถดื่มเบียร์ได้ จึงไม่สนใจที่จะพูดถึงมัน

หลินม่ายหันกลับไปพูดกับฟางจั๋วหราน “ขอบคุณที่ช่วยฉันติดต่อเรื่องเบียร์และน้ำอัดลมนะคะ คงต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลย”

ฟางจั๋วหรานไม่รู้จักผู้อำนวยการบริษัทผลิตเบียร์และบริษัทผลิตน้ำอัดลม จึงได้ใช้เส้นใช้สายสรรหารายชื่อต่าง ๆ เพื่อนำมาให้หลินม่ายได้ติดต่อเรื่องเบียร์และน้ำอัดลม นับว่าต้องใช้ความพยายามไม่น้อย

ทว่าเขากลับไม่ยอมรับแต่อย่างใด เอาแต่ยิ้มและพูดขึ้นมาว่า “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก”

พร้อมกับเอ่ยถาม “ มีตู้แช่แข็งก็สามารถขายไอศกรีมได้แล้ว อยากให้ผมช่วยติดต่อผู้อำนวยการบริษัทผลิตไอศกรีมให้ไหมล่ะ? ”

ไอศกรีมไม่เหมือนกับเบียร์และน้ำอัดลม ที่อยู่ภายใต้แผนการควบคุมเศรษฐกิจ

ไอศกรีมเป็นสิ่งที่ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงได้ เพียงแค่เดินเข้าไปในโรงงานผลิตไอศกรีมที่อยู่ตามถนนทั่วไปก็สามารถซื้อมันออกมาได้

หลินม่ายไม่อยากจะรบกวนฟางจั๋วหรานในเรื่องที่เธอสามารถทำได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเขาด้วยรอยยิ้ม

เธอเชิญฟางจั๋วหรานนั่งลง ก่อนจะเข้าครัวไปทำเต้าหู้ผัดซอสเสฉวนและและผัดผักบุ้งไฟแดง นำปลาตะเพียน 2-3 ตัวที่เถ้าแก่ส่งมาให้เมื่อช่วงบ่ายมาทำซุปปลาตะเพียน และนำกึ๋นเป็ดพะโล้ที่หั่นไว้ตักใส่จาน เพียงเท่านี้อาหารเย็นก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว

เมื่อหลี่หมิงเฉิงเห็นดังนั้น จึงอยากจะช่วยยกไปเสิร์ฟเพื่อที่จะพลอยได้กินอาหารเย็นไปด้วย ทว่ากลับถูกโจวฉายอวิ๋นปรามไว้ก่อน

หล่อนกลอกตาไปมาก่อนจะพูดว่า “ลืมไปแล้วเหรอว่าคุณเป็นพนักงาน ทำไมถึงได้ชอบคิดจะกินข้าวกับเจ้านายตลอด? มากินข้าวที่ทำงานกับพวกเราไม่ได้เหรอ ทำไมถึงอยากจะเป็นคนพิเศษนักล่ะ!”

เพียงแค่วินาทีเดียว หลี่หมิงเฉิงก็เข้าใจในทันทีว่าโจวฉายอวิ๋นต้องการจะจับคู่หลินม่ายกับฟางจั๋วหราน

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานยกอาหารทั้งหมดขึ้นไปยังห้องที่อยู่ชั้นบน

เมื่อเห็นว่าหลี่หมิงเฉิง โจวฉายอวิ๋นรวมทั้งโต้วโต้วยังไม่ขึ้นมาจึงยืนอยู่ทางลงบันไดและตะโกนเรียกชื่อพวกเขา “ได้เวลากินข้าวแล้ว! ”

หลี่หมิงเฉิงและโจวฉายอวิ๋นตะโกนกลับมาพร้อมกัน “พวกเราจะกินข้าวกันตรงที่ทำงานด้านล่างน่ะ”

โต้วโต้ววิ่งมาพร้อมกับตูดไก่ย่างที่พ่อครัวย่างไว้ในร้าน พลันตะโกนเสียงใสแจ๋วกลับมาว่า “มาแล้ว มาแล้ว! ”

เมื่อหลินม่ายเห็นดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก “ทำไมหนูยกจานหอมสิบลี้ขึ้นมาล่ะ? ”

ถึงแม้ว่าตูดไก่ย่างบาร์บีคิวจะมีรสชาติอร่อย แต่มันไม่ใช่วัตถุดิบที่ดี ไม่แนะนำให้กินเยอะ สามารถชิมได้เป็นครั้งคราว

เจ้าเด็กไร้เดียงสาพูดขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ “หอมสิบลี้อร่อยขนาดนี้ หนูอยากให้คุณอาได้ชิมน่ะค่ะ”

ทั้งสามคนนั่งลงบนโซฟาไม้พะยูงหอมและลงมือกินข้าว

เจ้าเด็กไร้เดียงสาทำท่าราวกับพนักงานขายเอาแต่โน้มน้าวให้ฟางจั๋วหรานลองชิมหอมสิบลี้ไม่ยอมหยุด “คุณอา ลองชิมหอมสิบลี้ดูสิคะ มันอร่อยมากเลยนะ! ”

หลินม่ายอึกอักที่จะพูด แต่ก็ไม่พูดออกมา

ฟางจั๋วหรานแยกยิ้มพลางหยิบตูดไก่ขึ้นมาและยัดเข้าไปในปากเพื่อลิ้มลองรสชาติอย่างช้า ๆ ก่อนจะพยักหน้าไม่ยอมหยุดด้วยความพึงพอใจ

ตูดไก่สองชิ้นถูกคีบวางลงบนจานของหลินม่าย “หอมสิบลี้รสชาติกรอบอร่อย ทั้งยังนุ่มอีกด้วยยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งอร่อย คุณลองชิมสักหน่อยไหม?”

หลินม่ายเขี่ยตูดไก่สองชิ้นไว้ข้างจานอย่างเงียบงัน และกินเพียงอาหารอื่น ๆ

เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นว่าเธอไม่ยอมกินตูดไก่ จึงได้เอ่ยถาม “ทำไมคุณถึงไม่กินอันนี้ล่ะ ? ”

หลินม่ายยัดผัดผักบุ้งไฟแดงเข้าปาก “ไก่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ”

ใบหน้าของฟางจั๋วหรานดูยุ่งเหยิงทันใด คุยกันอยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้ไปถึงเรื่องศักดิ์ศรีของไก่ได้

เขากินตูดไก่ไปหลายชิ้น พลางเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ทำไมหอมสิบลี้ถึงได้อร่อยขนาดนี้ วัตถุดิบมันคืออะไรกันแน่? ”

โต้วโต้วที่ง่วนอยู่กับการกินกึ๋นเป็ดพะโล้อย่างเอร็ดอร่อย เอ่ยขึ้นตอบด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดู “ก็ตูดไก่ไง! ”

ฟางจั๋วหรานแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ “ตูดไก่รสชาติดีขนาดนี้เลยหรอเนี่ย? ”

หลินม่ายยิ้มตอบ “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ เลยสิ”

ฟางจั๋วหรานผลักจานตูดไก่ออกไปไกล ๆ “ผมก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน”

เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จ ฟางจั๋วหรานจึงกลับบ้าน

หลินม่ายลงไปเก็บทำความสะอาดภาชนะที่ชั้นล่าง และเริ่มทำงานพร้อมกลุ่มพนักงาน

ค่ำคืนนี้ธุรกิจตลาดโต้รุ่งมีสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นยำฝักอ่อนถั่วเหลือง ไส้ไก่ผัดพริก กึ๋นไก่พะโล้และกึ๋นเป็ดพะโล้

นอกจากนี้ยังมีหอมสิบลี้ ตับไก่ย่าง ตับเป็ดย่าง รวมกับเครื่องดื่มแช่แข็งเย็น ๆ ธุรกิจที่ร้อนแรงเป็นพิเศษทำเอาเถ้าแก่ร้านอื่น ๆ ต่างพากันอิจฉา

และป้าหูที่อยู่ร้านข้าง ๆ ก็อิจฉาตาร้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เมื่อได้ปรึกษากับลูกชาย ลูกสะใภ้และลูกสาวเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่คืนพรุ่งนี้เป็นต้นไปหล่อนจะทำธุรกิจตลาดโต้รุ่ง โดยที่เน้นขายของหวานและอาหารผัดทอด

แม่ของหยางหยางเป็นคนแรกที่คัดค้านขึ้นมา “ฉันดูแล้ว คุณแม่อย่าได้ทรมานตัวเองอีกเลย ทั้งขายอาหารเช้าทั้งขายอาหารกลางวัน แล้วรวยหรือยังล่ะ?”

ป้าหูถึงกับพูดไม่ออก

ไม่ว่าอาหารเช้าหรือกลางวันก็ดี เพื่อแย่งลูกค้าจากร้านข้างเคียง ราคาถูกตั้งเอาไว้ต่ำเตี้ยจนแทบไม่มีกำไร อย่างนั้นแล้วหาเงินได้อย่างไร?

สื่อเจินเซียงที่ตามจีบฟางจั๋วหรานไม่สำเร็จทั้งยังถูกฟางจั๋วหรานสั่งสอน ก็ถึงกับโกรธแค้นเรื่องนี้มาโดยตลอด

หล่อนที่เกลียดอูจี้อูจึงพลอยจงเกลียดจงชังหลินม่ายไปด้วย

หล่อนสนับสนุนแม่ตนเองโดยทันที “ตอนนี้ไม่รวยแล้วอย่างไร? เพียงทำให้ร้านข้างเคียงอยู่ไม่ได้ ชัยชนะก็ตกเป็นของพวกเราแล้ว”

ป้าหูพลันฮึกเหิมขึ้นมาทันใด “ตราบใดที่ทำให้ร้านข้าง ๆ เจ๊งได้ พวกเราก็จะสามารถขึ้นราคาสินค้า ถึงตอนนั้นก็จะสามารถกอบโกยเงินทองได้”

แม่ของหยางหยางส่ายศีรษะพูดกล่าวไม่ออก ร้านข้างเคียงร้อนแรงถึงขนาดทั้งถนนการค้าไม่อาจสู้ คิดทำให้ร้านข้างเคียงปิดตัว มันไม่ใช่เรื่องง่าย!

แต่เมื่อคิดเรื่องแม่สามีทำร้านค้าช่วงกลางคืน เรี่ยวแรงใดไม่ออก ไม่ต้องสนเรื่องกำไรหรือขาดทุน หล่อนก็ขี้เกียจเกินจะพูด เพียงปล่อยให้แม่สามีและป้าหูจัดการไป

จ้าวฮั่นเชิงไม่เชื่อว่าจะมีคนกินตูดไก่ ไส้ไก่และไส้เป็ด

หลังจากที่เขารับประทานอาหารเย็นเสร็จ จึงเดินเล่นอยู่ครู่หนึ่งจนมาถึงร้านอาหารเปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยนของหลินม่าย อยากจะดูอาหารที่ขายไม่ออกพร้อมกับใบหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหล่านั้น

ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นฉากที่บรรดานักกินรุมล้อมซื้อตูดไก่ และไส้ไก่ผัดพริก ทำเอาเขาถึงกับอดไม่ได้ที่จะตะลึง

เมื่อหลินม่ายเห็นเขา ก็รีบเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเองพร้อมเอ่ยถามว่าอยากกินอะไร

จ้าวฮั่นเชิงสั่งเนื้อบาร์บีคิว กึ๋นไก่ย่าง มะเขือม่วงเผาและอื่น ๆ ที่เป็นอาหารธรรมดา ๆ

หลินม่ายรีบยกไปเสิร์ฟบนโต๊ะให้ด้วยตัวเอง ก่อนจะยิ้มให้แก่เขา “ให้กินฟรี” พร้อมกับเปิดเบียร์ให้เขาหนึ่งขวด

เธอไม่ได้สนใจเลี้ยงเนื้อบาร์บีคิวให้แต่อย่างใด ขอเพียงอีกฝ่ายมอบข้อเสนอที่ดีในตอนที่เธอต้องการก็พอแล้ว

จ้าวฮั่นเชิงคีบกุยช่ายเข้าปาก เมื่อได้ยินพนักงานคนหนึ่งของหลินม่ายกำลังเสิร์ฟตูดไก่ให้กับลูกค้า และเรียกตูดไก่นั้นว่าหอมสิบลี้

เขาเอ่ยถามขึ้น “พวกคุณเรียกตูดไก่บาร์บีคิวว่าหอมสิบลี้งั้นหรอ?”

หลินม่ายยิ้มตอบพลางพยักหน้า

จ้าวฮั่นเชิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเล่ห์นัก เปลี่ยนตูดไก่ไปเรียกหอมสิบลี้ นี่มันหลอกลวงลูกค้าชัดๆ!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

จะสู้ได้เหรอ อย่าไปงัดข้อกับม่ายจื่อในตอนนี้เลยจะดีกว่านะ ถ้าไม่อยากอับอายกลับไป

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 135 ช่วยซื้อตู้แช่แข็ง

พนักงานสั่งสินค้าหนุ่มรับเงินแล้วก็จากไป

แต่กลับถูกกลุ่มเถ้าแก่เถ้าแก่เนี้ยของร้านอาหารในถนนสายเดียวกันล้อมเอาไว้ที่หน้าประตูร้าน

เหล่าเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยพวกนั้นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยากให้เขาลงสินค้าให้

แม้พวกเขาจะไม่มีผงยี่หร่า จึงขายเซาเข่าไม่ได้

แต่หากว่ามีเบียร์ ก็สามารถขายเสียวเฉ่า(1)ในตลาดกลางคืนได้ ธุรกิจเองก็พอจะดำเนินไปได้บ้าง

พนักงานส่งสินค้าหนุ่มกลอกตาแล้วพูดขึ้น “เบียร์ของโรงงานเราไม่ขายให้กับบุคคลธรรมดา เราทำการค้าระหว่างร้านค้าเท่านั้น ไม่ใช่ว่าพวกคุณอยากซื้อ แล้วผมจะสามารถส่งสินค้าให้พวกคุณได้หรอกนะ”

เถ้าแก่เนี้ยคนหนึ่งชี้ไปยังหน้าร้านของหลินม่ายแล้วถาม “งั้นทำไมคุณถึงส่งสินค้าให้พวกเขาได้กันล่ะ?”

พนักงานส่งสินค้าหนุ่มพูด “คนอื่นเขามีเส้นสาย ถ้าพวกคุณก็มีเส้นเหมือนกัน หัวหน้าโรงงานก็คงจัดการให้ผมมาส่งสินค้าให้เองนั่นแหละ”

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยเหล่านั้นล้วนถูกตอกหน้าเสียจนพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงจ้องเขม็งมองพนักงานส่งของที่ขี่รถสามล้อจากไป

สถานการณ์ข้างนอกนั้น พวกของหลินม่ายมองเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในร้าน

โจวฉายอวิ๋นแค่นหัวเราะฮึด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เบียดกันหากินจนจะเบียดหน้าร้านเราอยู่แล้ว น่าเสียดายที่คนอื่นเขาไม่เอาด้วย!”

หลี่หมิงเฉิงถามหลินม่ายด้วยความสงสัย “จริงๆ แล้วใครเป็นคนช่วยติดต่อเรื่องเบียร์ให้เราอยู่เบื้องหลังกันแน่?”

“ใครเสียอีกล่ะ ก็ต้องเป็นศาสตราจารย์ฟางอยู่แล้ว!”

โจวฉายอวิ๋นวิเคราะห์ “ในคนที่ม่ายจื่อรู้จักก็มีเขานี่ล่ะที่เส้นสายกว้างขวาง เขาคือคนที่แม้แต่ผงยี่หร่าก็หามาได้ นับประสาอะไรกับเบียร์เล่า!”

หลินม่ายเองก็เดาว่าเป็นเขาเช่นกัน

มีแค่เขาคนเดียวที่ทำความดีโดยไม่เคยหวังผล

หลี่หมิงเฉิงได้ยินก็รู้สึกต่ำต้อย

ตนเองนั้นไม่ว่าฐานะทางสังคมรูปร่างหน้าตาหรือการศึกษาก็เทียบศาสตราจารย์ฟางไม่ได้เลยสักอย่าง ทำได้แค่ทำงานให้ม่ายจื่อเท่านั้น แต่ศาสตราจารย์ฟางกลับเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือม่ายจื่อได้

คนสองคนช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ตนจะมีคุณสมบัติอะไรไปแย่งชิงม่ายจื่อกับเขากัน!

หากว่าเขาเป็นคนที่ทำดีกับม่ายจื่อด้วยใจจริง เขาก็จะยอมถอยออกไป เป็นเพื่อนที่ดีของม่ายจื่อไปชั่วชีวิต

โต้วโต้วได้กินหอมสิบลี้สองสามไม้นั้นที่โจวฉายอวิ๋นให้หล่อนเกลี้ยงไปตั้งนานแล้ว

เมื่อครู่เห็นว่าแม่และพนักงานคนอื่นๆ ต่างก็กำลังยุ่งกันอยู่ หล่อนจึงไม่ได้ส่งเสียงรบกวนว่าอยากกินอีก

ตอนนี้เมื่อเห็นพวกเขาว่างแล้ว หล่อนจึงวิ่งเข้าเกาะขาของหลินม่ายเอาไว้ แหงนใบหน้าเล็กแล้วพูด “แม่คะ หนูอยากกินหอมสิบลี้อีกจัง”

หลินม่ายส่ายหน้า “หอมสิบลี้กินมากๆ ไม่ได้นะ แค่ชิมนิดหน่อยก็พอแล้ว”

โต้วโต้วนั้นเชื่อฟังเป็นอย่างดี แล้วจึงพาอาหวงออกไปเดินเล่นอย่างเบิกบานใจ

ในตอนนั้นเอง ก็มีรถสามล้อที่บรรทุกน้ำอัดลมเต็มคันรถมาจอดอยู่ที่หน้าประตูร้าน

พนักงานส่งสินค้าที่สวมเครื่องแบบของโรงงานน้ำอัดลมหวงเฮ่อโหลวขี่อยู่บนรถสามล้อแล้วโก่งคอตะโกน “หลินม่าย ใครคือหลินม่าย?”

หลินม่ายวิ่งออกไปด้วยความรีบร้อน “ฉัน! ฉันเองค่ะ!”

พนักงานส่งสินค้ายื่นใบรายการสินค้าให้เธอหนึ่งใบ “รับสินค้าด้วยครับ!”

คราวนี้หลินม่ายไม่ถามอะไรทั้งนั้น พลันโบกมือ ให้พนักงานทั้งหมดช่วยกันขนอัดลม

หลังจากพนักงานส่งสินค้าของโรงงานน้ำอัดลมไปแล้ว เหล่าพนักงานต่างก็ปลื้มอกปลื้มใจ “เบียร์ก็มีแล้ว น้ำอัดลมก็มีแล้ว ตลาดกลางคืนของพวกเราคืนนี้ต้องขายดีแน่ๆ”

โจวฉายอวิ๋นตีหลินม่ายอย่างแรง “ศาสตราจารย์ฟางเขาทำเรื่องมากมายขนาดนี้เพื่อเธอ มื้อเย็นเธอต้องทำอาหารอร่อยๆ ให้เขาหลายๆ จานเลยนะ”

หลินม่ายค่อนข้างลำบากใจ

ตอนนี้อากาศร้อนมาก น่ากลัวว่าถึงไปซื้อเนื้อที่ตลาดสดมา เนื้อก็คงจะไม่สดแล้ว

แม้แต่อาหารจานเนื้อยังไม่มี แล้วจะไปทำอาหารอร่อยๆ หลายๆ อย่างได้อย่างไร? หากไม่มีข้าวสารก็หุงข้าวไม่ได้หรอก

ถ้ามีตู้เย็นสักตัวก็คงดี จะได้สามารถซื้อวัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์แต่เช้าตรู่มาแช่ไว้ในตู้เย็น อยากจะกินตอนไหน ก็หยิบออกมาทำอาหารได้เลย

แม้ว่าห้างสรรพสินค้าของเมืองเจียงเฉิงจะมีตู้เย็นขาย แต่ก็แพงเกินไป แพงยิ่งกว่าโทรทัศน์เสียอีก

ตัวหนึ่งตั้งห้าร้อยกว่าหยวน แถมยังต้องใช้คูปองอุตสาหกรรมด้วย

ในตอนนี้แม้เธอจะสามารถซื้อได้ แต่หลังจากซื้อมาแล้ว เงินน้อยนิดที่เก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบากในสมุดบัญชีก็คงใช้ไปจนแทบไม่เหลือ

ช่างเถอะ หาเงินมาก็เพื่อใช้นี่แหละ

หลินม่ายตัดสินใจรวดเร็วฉับไว เธอวางแผนที่จะไปซื้อตู้เย็นกลับมาในทันที พรุ่งนี้จะได้ซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่มาใส่ตู้เย็น

เธอขี่รถสามล้อ ไปซื้อคูปองอุตสาหกรรมที่ตลาดมืดก่อน

ในวันที่อากาศร้อนระอุ พ่อค้าคูปองผีในตลาดมืดก็มีอยู่ไม่มากนัก

และในมือของคนขายคูปองผีที่มีอยู่เพียงไม่กี่ร้านนั้นก็ไม่มีคูปองอุตสาหกรรมเลย

ขณะหลินม่ายกำลังเดินคอตกจากไป ด้านหลังก็มีเสียงผู้ชายเสียงหนึ่งดังขึ้น “จะซื้อคูปองอะไรแล้วยังหาไม่ได้เหรอ?”

หลินม่ายหันกลับไป และเห็นว่าเป็นเฉิงเฟิง

จึงรีบโบกมืออย่างลนลาน “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!”

แม้เฉินเฟิงจะเดินอยู่ในเส้นทางสีเทา แต่ก็ไม่ได้เป็นคนดิบเถื่อน ตรงกันข้าม เขามีความคิดที่ละเอียดอ่อนด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่ยอมพูดความจริงกับเขา เขาก็รู้ว่าเธอไม่ต้องการเข้ามาใกล้ตนมากเกินไป

ในใจเขาปวดร้าว แต่ใบหน้ากลับแย้มรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นจางๆ “เธอกลัวว่าฉันจะให้เธอฟรีๆ เหรอ? พวกลูกน้องพวกพ้องของฉันก็ต้องดูแล ฉันจะให้เธอฟรีๆ ได้หรือไง? ฉันจะขายให้เธอ บอกมาเถอะน่า ยังหาคูปองอะไรไม่ได้ล่ะ? ฉันขายให้”

หากเป็นการทำการค้า อย่างนั้นก็คงไม่มีปัญหา

หลินม่ายพูด “คูปองอุตสาหกรรมยี่สิบใบ ฉันต้องการก่อนห้าโมงเย็น”

เฉินเฟิงขมวดคิ้ว “ต้องการคูปองอุตสาหกรรมมากขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอจะซื้ออะไร? โทรทัศน์? โทรทัศน์ขาวดำธรรมดาก็ยังใช้คูปองอุตสาหกรรมไม่มากมายขนาดนี้เลยนะ”

“เปล่า ซื้อตู้เย็นน่ะ”

เฉินเฟิงใคร่ครวญเล็กน้อย “อย่างนั้นเธอก็ไปรอฉันที่หน้าห้างเจียงเฉิง ฉันรับประกันว่าจะหาคูปองอุตสาหกรรมมากให้เธอยี่สิบใบก่อนห้าโมง”

หลังจากหลินม่ายจากไป เหลียนเฉียวก็ขมวดคิ้วพูดกับเฉินเฟิง “ลูกพี่ ในมือเรามีคูปองอุตสาหกรรมมากขนาดนั้นที่ไหนกัน?”

เฉินเฟิงเหลือบตามองหล่อน “ไม่พอก็ไปซื้อมาจากร้านคูปองผีใหญ่ๆ สักสองสามที่ สรุปก็คือ ไปรวบรวมมาเดี๋ยวนี้”

เหลียนเฉียวได้ยินก็ไม่สบายใจอย่างมาก

หล่อนนึกว่าเฉินเฟิงนั้นเห็นหลินม่ายเป็นเพียงคนโง่ ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่

เฉินเฟิงใส่ใจกับเรื่องของหลินม่ายเกินไปแล้ว!

ยังไม่ทันถึงห้าโมง เฉินเฟิงก็มาส่งคูปองอุตสาหกรรมให้ด้วยตัวเอง

หลินม่ายจ่ายเงินทันที

แต่เฉินเฟิงกลับไม่มีความคิดที่จะจากไปแม้แต่น้อย เขาพูดกับเธอ “ให้ฉันไปซื้อตู้เย็นเป็นเพื่อนเถอะ พอเธอซื้อตู้เย็นเสร็จแล้ว ฉันจะได้ช่วยเธอแบกขึ้นรถสามล้อได้”

แม้ว่าหลินม่ายจะเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว แต่บางครั้งความทรงจำก็ยังหยุดอยู่ในชาติก่อน

เธอลืมไปอยู่เรื่อยว่าตอนนี้การบริการหลังการขายนั้นไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ซื้อเครื่องใช้ในบ้านแล้วอย่าว่าแต่จัดส่งให้ถึงบ้านเลย แต่ช่วยเธอขนขึ้นรถสามล้อก็ยังเป็นไปไม่ได้

อีกเดี๋ยวซื้อตู้เย็นแล้ว เธอก็ไม่มีวิธีเอามันขึ้นรถสามล้อได้จริงๆ นั่นแหละ

ด้วยเหตุนี้หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พยักหน้าตกลง

ทั้งสองมายังแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

หลินม่ายพบว่า ไม่เพียงแค่มีขายตู้เย็นเท่านั้น ยังมีขายตู้แช่แข็งอีกด้วย

ทว่าตู้แช่แข็งในยุคนี้ไม่ใช่ประตูเปิดปิดแบบกระจก แต่เป็นประตูเปิดปิดโลหะ

หลินม่ายยืนลังเลอยู่หน้าตู้เย็นและตู้แช่แข็งตัดสินใจไม่ได้

พนักงานขายที่ต้อนรับพวกเขาพูดแนะนำอยู่ด้านข้าง “ซื้อเครื่องใช้ในบ้านแต่งเรือนหอตู้เย็นค่อนข้างจะเหมาะสมกว่านะครับ ใครเขาเอาตู้แช่แข็งไว้ในบ้านกัน ตู้แช่แข็งนี้ปกติแล้วร้านค้าเล็กๆ จะซื้อไปเพื่อขายไอศกรีมหรือว่าเบียร์เย็นน้ำอัดลมเย็นกันน่ะครับ”

หลินม่ายเห็นพนักงานขายเข้าใจความสัมพันธ์ของเธอกับเฉินเฟิงผิดไป ก็ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

เธอพูดเสียงชัดแจ๋ว “ไม่ได้ซื้อไปแต่งเรือนหอค่ะ ฉันจะซื้อไปทำธุรกิจ”

พนักงานขายยิ้มเก้อเขินเล็กน้อย

หลินม่ายพิจารณาถึงประสิทธิภาพของตู้เย็นแบ่งเป็นสองอย่างคือการแช่เย็นและการแช่แข็ง ประสิทธิภาพในการแช่เย็นรักษาความสดใหม่นี้เดิมทีเธอก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เธอต้องการแค่การแช่แข็ง

ด้วยเหตุนี้สุดท้ายเธอจึงซื้อตู้แช่แข็งมา เพื่อนำมาใช้แช่วัตถุดิบประเภทเนื้อสัตว์

อีกทั้งยังสามารถใช้ตู้แช่แข็งขายไอศกรีม ทำน้ำแข็ง และใช้แช่น้ำอัดลมกับเบียร์ได้ด้วย

เฉินเฟิงมีพละกำลังมาก เขาแบกตู้แช่แข็งไปขึ้นรถสามล้อของหลินม่ายด้วยตัวคนเดียว ก่อนถามด้วยรอยยิ้ม “ต้องการให้ฉันช่วยส่งสินค้าถึงบ้านด้วยไหม?”

หลินม่ายรีบร้อนปฏิเสธ พร้อมยัดเงินยี่สิบหยวนใส่มือของเขา ให้เขาเอาไปซื้อน้ำอัดลมดื่มสักขวด วันนี้ลำบากเขามามากแล้ว

เธอพูดด้วยความเกรงใจจบ ก็ออกแรงขี่รถสามล้อจากไปทันที

เฉินเฟิงถือธนบัตรที่หลินม่ายให้มาสองใบนั้นเอาไว้ จ้องมองแผ่นหลังที่ไกลออกไปของเธออย่างอ้างว้าง

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)เสียวเฉ่า คืออาหารประเภทผัดที่ใช้กำลังไฟไม่แรงมาก มีรสชาติเผ็ดร้อน มักผัดเนื้อสัตว์กับพริกและผักจำพวกขึ้นฉ่าย ต้นหอม หรือต้นกระเทียม

สารจากผู้แปล

เรือมาพร้อมกันสามลำเลย แต่เรือพี่หมอดูเหมือนจะแซงหน้าลำอื่นแล้วนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 134 เมนูใหม่หอมสิบลี้

หลังกินมื้อเที่ยงและนอนกลางวันกันแล้ว หลินม่ายก็ต้องขี่รถสามล้อไปซื้อผักที่จะใช่ในการทำเซาเข่าในคืนนี้ที่ร้านลุงขายผัก

หลี่หมิงเฉิงอยากจะตามออกไปด้วย บอกว่าจะได้รู้จักที่ทาง และต่อไปเขาจะไปรับสินค้าเอง

หลินม่ายตกลงด้วยความยินดี

ต่อไปนี้เมื่อมีหลี่หมิงเฉิงไปรับสินค้าให้ เธอก็สามารถเบาแรงตัวเองไปได้เปลาะหนึ่ง

หมู่บ้านในตัวเมืองของเมืองเจียงเฉิงโดยพื้นฐานต่างก็เป็นเกษตรกร ที่ดินเพาะปลูกกว่าสิบไร่ของลุงขายผักล้วนเป็นผักทั้งนั้น

หลินม่ายซื้อผักจำพวกกุยช่าย ถั่วฝักยาวและผักบุ้ง เมื่อเห็นถั่วแระของร้านลุงขายผักโตดีแล้ว หลินม่ายก็ซื้อมา 30 ชั่ง

ยำถั่วแระและถั่วแระพะโล้ได้รับความนิยมอย่างมากในร้านริมทางของตลาดกลางคืนเมื่อชาติก่อน ในยุคนี้เองก็คงจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

เมื่อซื้อผักเสร็จ ทั้งสองก็กลับ

หลังจากเอาผักลงจากรถสามล้อแล้ว หลินม่ายก็จะออกจากร้านไปอีกครั้ง

หลี่หมิงเฉิงถาม “เธอจะไปที่ไหนอีกเหรอ?”

หลินม่ายพูด “ก่อนหน้านี้ฉันนัดกับคนอื่นไว้น่ะ ฉันต้องไปรับสินค้าที่โรงเนื้อ แต่ก็ไม่มีเวลาว่างเลย วันนี้ไม่ว่ายังไงก็ต้องไป ยืดเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว”

หลี่หมิงเฉิงรีบพูดขึ้น “ฉันไปด้วย”

หลินม่ายโบกมือ “ฉันยังคุยกับเขาไม่เรียบร้อยเลยน่ะ รอตกลงกันเสร็จแล้วค่อยพานายไปอีกที”

โจวฉายอวิ๋นไม่รู้ว่าไปเอาหมวกฟางใหม่เอี่ยมใบหนึ่งมาจากไหน เธอวิ่งออกมาสวมไว้บนหัวของหลินม่าย “อุตส่าห์ลำบากลำบนบำรุงผิวให้ขาว แต่ชอบไม่ทาครีมกันแดดอยู่เรื่อย ไม่กลัวผิวคล้ำเอาเสียเลย”

หลินม่ายเป็นประเภทที่ขอให้ไม่โดนแดดก็สามารถผิวบำรุงให้ขาวและละเอียดได้อย่างรวดเร็ว

ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้ตากแดด ผิวพรรณจึงขาวผ่องขึ้นไม่น้อย

หลินม่ายหัวเราะ แล้วผูกเชือกรัดของหมวกฟางไว้แน่น เพื่อป้องกันไม่ให้หมวกถูกพัดปลิวไปตอนที่ขี่รถสามล้อ

หลินม่ายหาที่อยู่ของจ้าวฮั่นเซิงพบ ตามตำแหน่งที่เขาฝากไว้กับเธอ เจ้าฮั่นเซิงนั้นแทบจะลืมเธอไปแล้ว

ตอนที่เขาได้ยินหลินม่ายบอกว่า เธอไม่เพียงต้องการซื้อเครื่องในของสัตว์ปีกแต่ยังต้องการซื้อแม้แต่ไส้ด้วย เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย

“คุณจะซื้อเครื่องในผมยังพอเข้าใจได้ ของพวกนั้นมันยางกินได้หมด แต่ไส้นี่… พวกนี้มันกินได้ด้วยเหรอ?”

“ไส้ใหญ่หมูยังกินได้ ทำไมไส้ของสัตว์ปีกจะกินไม่ได้ล่ะคะ?”

ในชาติก่อนของหลินม่าย ไส้เป็ดไส้ไก่ไส้ห่านล้วนเป็นที่นิยมของเหล่านักกินอย่างมาก

จ้าวฮั่นเซิงจ้องมองเธออยู่เนิ่นนานด้วยแววตาซับซ้อน แล้วพยักหน้าพูดขึ้น “ถ้าคุณต้องการ ผมจะเก็บเงินเล็กน้อยพอเป็นพิธี ส่วนเครื่องในสัตว์ปีกผมก็จะขายให้คุณถูกๆ ทั้งหมดด้วย แต่ว่าถ้าผมไปกินเซาเข่าที่ร้านคุณก็อย่าเอาของพวกนี้มาให้ผมกินล่ะ”

หลินม่ายดีใจ “ไม่มีปัญหาค่ะ”

ทันใดนั้นเธอก็นึกคำถามสำคัญขึ้นได้ “คุณรับผิดชอบให้ได้ไหมคะ?”

จ้าวฮั่นเซิงเหล่มองเธออย่างไม่สบอารมณ์ “ผมเป็นแค่หัวหน้าแผนกคนหนึ่ง คุณว่าผมจะรับผิดชอบให้ได้ไหมล่ะ?”

หลินม่ายหัวเราะอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นว่ามีคนงานสองสามคนยกตูดไก่สองสามถังขึ้นมา คาดว่าคงจะเตรียมทิ้ง

เธอรีบชี้ไปที่ตูดไก่สองสามถึงนั้นแล้วเอ่ยตะโกนด้วยความเบิกบาน “อันนั้น! ฉันเอา!”

จ้าวฮั่นเซิงสีหน้าตระหนกตกใจ “แม้แต่นั่นคุณก็ยังเอา! คุณหาเงินโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว!”

หลินม่ายโบกมือด้วยความตื่นตระหนก “ไม่ใช่นะ ฉันเปล่า เดิมทีตูดไก่ก็สามารถกินได้อยู่แล้ว แถวกวางตุ้งฮ่องกง ตูดไก่เป็นของดีเชียวนะ คุณไม่ได้ดูหนังฮ่องกงไต้หวันบ้างเหรอ?”

จ้าวฮั่นเซิงลูบคางเล็กน้อย ดูเหมือนว่าในหนังฮ่องกงจะมีตอนที่แย่งกันกินตูดไก่อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน

เขาพูดพึมพำ “คนกวางตุ้งอะไรก็กินไปหมด ไหนจะคนฝูเจี้ยนอีก พวกเราที่นี่เป็นคนเจียงเฉิง ใครจะไปกินตูดไก่กัน”

คิดไปคิดมา เขาก็โบกมือ “ถ้าคุณต้องการก็เอาไปถูกๆ แล้วกัน”

สุดท้ายเมื่อขายไส้ของสัตว์ปีกสองสามถัง และตูดไก่กับเครื่องในไก่อีกหลายถังใหญ่ให้กับหลินม่ายแล้ว เขาก็เก็บเงินเธอแค่สิบหยวนเท่านั้น

หลินม่ายขี่รถสามล้อขนวัตถุดิบพวกนั้นกลับบ้านไปอย่างมีความสุข

แม้ว่าร้านอาหารกินเล่นจะรับพนักงานมาเพียงพอแล้ว และหลินม่ายก็ให้โจวฉายอวิ๋นรับผิดชอบแค่การจัดการเท่านั้น แต่งานก็ยังยุ่งมาก

เมื่อเห็นหลินม่ายขนไส้ของสัตว์ปีกและตูดไก่มากมายขนาดนั้นกลับมา โจวฉายอวิ๋นก็ตกตะลึงพรึงเพริด

ตอนที่ได้ยินหลินม่ายบอกว่าจะเอาของพวกนี้มาทำไส้ไก่ผัดพริกและเซาเข่า หล่อนก็ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว

ของพวกนี้มันกินได้ด้วยเหรอ?

แม้ว่าในใจจะไม่เห็นด้วย แต่ขอแค่เป็นเรื่องที่หลินม่ายสั่งมา หล่อนก็จะทำมันอย่างจริงจัง

ในร้านได้เชิญคุณป้าที่ทำงานเบ็ดเตล็ดมาสองคน

โจวฉายอวิ๋นพาคุณป้าสองคนนั้นไปล้างไส้และเครื่องในต่างๆ ของสัตว์ปีกกับตูดไก่พวกนั้นให้สะอาดตามความต้องการของหลินม่ายด้วยตัวเอง

หลินม่ายสอนหลี่หมิงเฉิง โจวฉายอวิ๋นและคนครัวที่ทำเซาเข่าโดยเฉพาะทั้งสองคนทำไส้ไก่ผัดพริก

หลังจากไส้ไก่ผัดพริกจานแรกออกจากเตามาสดใหม่ หลินม่ายก็ชวนให้ทุกคนลองชิม

ในตอนแรกทุกๆ คนไม่มีใครยอมรับอาหารพิสดารเช่นนี้ได้เลย เหมือนกับชาวต่างชาติที่รับไข่เยี่ยวม้าไม่ได้อย่างนั้น

แต่เมื่อได้เค้นความกล้าชิมเข้าไปคำหนึ่ง ทั้งหมดต่างก็อัศจรรย์ใจยิ่ง

ไส้ไก่อร่อยกรอบเด้ง เค็มกำลังดีเผ็ดเล็ดน้อย รสชาติเข้มข้น กลืนคล่องคอ

หลินม่ายก็เชียร์ให้ทุกคนลองชิมตูดไก่ชุดแรกที่ลองย่างออกมาด้วยเช่นกัน

ตูดไก่นั้นเธอไม่ขอกิน เธอรู้ตัวเองดี

ตูดไก่ย่างกรอบนอกนุ่มใน กัดเพียงคำเดียวก็มันเยิ้มทั่วปาก เทียบกับรสชาติของเนื้อย่างเสียบไม้แล้วไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย ทุกคนต่างกินกันจนสีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ พากันชมไม่หยุดปากพูดกันเซ็งแซ่ นึกไม่ถึงว่านำตูดไก่มาย่างเช่นนี้แล้วจะอร่อยขนาดนี้

หลินม่ายหัวเราะพลางเอ่ย “ที่ฮ่องกง ตูดไก่ไม่ได้เรียกว่าตูดไก่ แต่เรียกว่าหอมเจ็ดลี้ ทั้งยังมีสำนวนหนึ่งว่า ยอมทิ้งภูเขาทอง ดีกว่าทิ้งปลายไก่ ปลายไก่นั้นก็คือตูดไก่นี่แหละ”

ในทศวรรษที่80 แผ่นดินที่ห่างไกลจากทะเลอันยากจนและล้าหลังนับถือเลื่อมใสฮ่องกงอย่างมาก ไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับฮ่องกง ก็ย่อมเยี่ยมยอดอย่างแน่นอน

ทุกคนคิดอยู่ในใจ ในเมื่อตูดไก่ได้รับความนิยมในฮ่องกงขนาดนี้ อย่างนั้นก็คงเป็นของดีแน่

คนมณฑลหูไม่รู้จักกินเอาเสียเลย ถึงกับไม่รู้ว่าตูดไก่อร่อยขนาดนี้

ขณะที่วังเสี่ยวลี่กำลังเขียนเมนู ก็ถามหลินม่ายขึ้น “พวกเราเองก็เรียกตูดไก่ว่าหอมเจ็ดลี้กันบ้างไหม?”

“ไม่ เรียกว่าหอมสิบลี้ไปเลย เพราะตูดไก่ที่ฉันย่างหอมกว่าของพวกเขาเสียอีก”

ทุกคนได้ยินก็หัวเราะลั่น

และในตอนนั้นเอง โต้วโต้วก็พาอาหวงวิ่งเข้ามา เอ่ยตะโกน “แม่คะ ข้างนอกมีคนมาหาค่ะ”

ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นหอมประหลาดที่อบอวลอยู่ในห้องครัว จมูกเล็กสูดดมฟุดฟิด แล้วมองสำรวจทุกคนอย่างฉงนสงสัย

หล่อนถามขึ้นด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “ทุกคนกำลังแอบกินของอร่อยโดยไม่บอกหนูอยู่ใช่ไหมคะ?”

โจวฉายอวิ๋นรีบหยิบตูดไก่ย่างสองสามไม้ให้หล่อน “ใครแอบกินของอร่อยไม่บอกหนูกัน หนูวิ่งออกไปเล่นข้างนอก ไม่อยู่ที่บ้านเองต่างหากล่ะ!”

ในตอนนั้นหลินม่ายก็เดินออกไปจากห้องครัวแล้ว พบกับชายหนุ่มสวมชุดเครื่องแบบของโรงงานเบียร์สิงหยินเก๋อคนหนึ่งนั่งอยู่

หน้าประตูร้านมีรถสามล้อที่บรรทุกเบียร์สิงหลินเก๋อมาเต็มคันจอดอยู่

เบียร์สิงหยินเก๋อ เป็นเบียร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคทศวรรษที่80

น่าเสียดายที่มันรุ่งเรืองเพียงชั่วครู่ชั่วคราว และได้เงียบหายไปอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายมีความรู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เธอถาม “คุณมาหาฉันเหรอคะ?”

ชายหนุ่มคนนั้นหยิบรายการสินค้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วถาม “คุณคือหลินม่ายใช่ไหมครับ?”

“ฉันเองค่ะ”

ชายหนุ่มพูด “ผมเป็นพนักงานส่งสินค้าของโรงงานเบียร์สิงหยินเก๋อ หัวหน้าโรงงานของเราให้ผมมาส่งสินค้าครับ”

เขายื่นใบรายการสินค้าในมือให้กับหลินม่าย “กรุณาตรวจสอบสินค้าด้วยครับ หากไม่มีปัญหาอะไร ก็ชำระเงินได้เลยครับ”

หลินม่ายรับใบรายการสินค้ามาอย่างลังเล เอ่ยด้วยสีหน้างุนงง “ใครให้หัวหน้าโรงงานพวกคุณส่งสินค้ามาให้ฉันเหรอคะ?”

ชายหนุ่มรำคาญเล็กน้อย “ผมเป็นพนักงานตัวเล็กๆ จะไปรู้มากมายขนาดนั้นได้ยังไง? คุณรีบรับสินค้าเสียที ผมยังต้องกลับไปรายงานผลงานอีกนะ!”

หลินม่ายรู้จักอุปนิสัยของพนักงานโรงงานรัฐวิสาหกิจ จึงไม่กล้ายืดยาดต่อไปอีก เธอรีบบอกให้พนักงานยกเบียร์ทั้งหมดบนรถสามล้อข้างนอกเข้ามาทั้งหมด แล้วจ่ายเงินอย่างว่องไว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เมนูใหม่น่าอร่อยจัง มีเบียร์มาแกล้มก็คือฟิน

คนสั่งเบียร์นี่พี่หมอเปล่าคะ พอมีคู่แข่งแล้วออกตัวแรงเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 133 ศาสตราจารย์ฟางมีสิทธิพิเศษ

หลี่หมิงเฉิงไม่มีที่พักในเมือง หลังกินข้าวเสร็จ หลินม่ายจึงไปซื้อม้านั่งยาวสองตัว และแผ่นไม้หนึ่งแผ่นที่ตลาดมืด ตกกลางคืนก็ทำเป็นเตียงนอนไว้ในร้าน

เมื่อมีพนักงานเพิ่มขึ้น ความหลากหลายของสินค้าย่อมมากขึ้นตามไปด้วย

ตอนเช้าไม่เพียงขายซาลาเปา เกี๊ยวต้มและข้าวหมากเท่านั้น ยังมีเกี๊ยวทางเหนือและขนมจีบเพิ่มขึ้นมาใหม่ด้วย

ไส้ของซาลาเปาและเกี๊ยวทางเหนือเองก็ไม่ได้มีแบบเดียวอีกต่อไป มีทั้งไส้หมูหอมใหญ่ ไส้หมูผักกาดดอง ไส้หมูกุยช่าย… รวมทั้งหมดมีห้ารสชาติ

ซาลาเปาเองก็ไม่ได้ขายแค่ซาลาเปาลูกใหญ่เท่านั้น ยังขายเสี่ยวหลงเปา(1) และก้วนทังเปา(2)ด้วย

ตอนเที่ยงพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกี๊ยวทางเหนือนั้นจะขายตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนเที่ยง

เมืองเจียงเฉิงมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่ชินกับการกินซาลาเปาเป็นอาหารเที่ยง แต่กลับกินเกี๊ยวเป็นอาหารเที่ยงได้ไม่มีปัญหา

ส่วนการขายเซาเข่าในตอนกลางคืน หลินม่ายได้เพิ่มของหวานเช่น ถั่วแดงกวน ถั่วเขียวกวน และกุ้ยฮวาหู(3)ด้วย

หากไม่ดื่มเหล้า ก็จะพลาดของหวานเหล่านี้ไม่ได้เลย

เธอคิดไว้ว่าประเภทของเซาเข่าเองก็ต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ว่าเรื่องนั้นเธอต้องไปคุยกับพนักงานชื่อจ้าวฮั่นเซิงที่ทำงานในแผนกสัตว์ปีกที่โรงงานเนื้อสัตว์คนนั้นก่อน ถึงจะสามารถกำหนดได้แน่ชัดว่าจะเพิ่มสินค้าอะไรขึ้นมา

หลี่หมิงเฉิงขยันขันแข็งมาก หลินม่ายคิดจะให้เขาพักผ่อนหนึ่งวัน วันต่อไปค่อยเข้าทำงานอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อเขากินอาหารเที่ยงเสร็จก็หางานทำด้วยตัวเอง ตอนกลางคืนก็มาเรียนการทำเซาเข่ากับหลินม่าย

เขาเข้าสังคมได้ไม่เก่งนัก แถมยังเป็นคนซื่อโดนหลอกง่าย

แต่ด้านการทำงานถือว่าเป็นคนมือดีคนหนึ่ง เพียงแค่คืนเดียว เขาก็เรียนการย่างผักชนิดต่างๆ ได้แล้ว แต่การย่างเนื้อเสียบไม้ยังคงต้องฝึกฝนอีกสองสามคืน

พวกเนื้อหมูและวัตถุดิบในร้านทั้งหมดล้วนจัดส่งมาถึงที่ ไม่ต้องให้หลินม่ายโร่ไปตลาดมืดทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

หลินม่ายนอนหลับจนถึงหกโมงครึ่งถึงตื่นนอน แล้วไปขายอาหารเช้าด้วยกันกับวังเสี่ยวลี่และเด็กสาวอีกคนที่เป็นพนักงานใหม่

ธุรกิจในร้านเฟื่องฟูอย่างมาก ลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่อยากจะซื้อเกี๊ยวต้มเห็นว่าไม่มีที่นั่งว่าง ก็ได้แต่ยอมแพ้ที่จะซื้อเกี๊ยวต้ม แล้วซื้อซาลาเปาสองลูกเป็นอาหารหนึ่งมื้อแทน

หลินม่ายคิดในใจ หากว่ามีถ้วยกระดาษก็คงดี

แต่ถ้าไม่มีถ้วยกระดาษก็สามารถใส่กล่องอาหารห่อกลับไปได้

ลูกค้าที่ต้องการห่อกลับ สามารถจ่ายเงินมัดจำแล้วยืมกล่องข้าวไปได้หนึ่งใบ จากนั้นเมื่อเอากล่องข้าวมาคืนก็ค่อยรับค่ามัดจำคืน

ไม่ทันไรก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งเสียแล้ว

หลินม่ายที่กำลังตักไข่ต้มให้กับลูกค้าคนหนึ่ง ได้ยินเสียงโต้วโต้วร้องเรียกคุณอาขึ้นอย่างร่าเริง

เธอเงยหน้าขึ้นมอง ฟางจั๋วหรานมานั่นเอง

ฟางจั๋วหรานเข้ามาในร้านก็พบว่ามีพนักงานเพิ่มขึ้น เขาถามด้วยรอยยิ้ม “รับลูกน้องเพิ่มแล้วเหรอ?”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยถาม “เช้านี้อยากกินอะไรดีคะ?”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดเล็กน้อย “เกี๊ยวต้มหนึ่งถ้วย เพิ่มซาลาเปาหมูสองลูก”

ภายในร้านลูกค้าแน่นขนัด หลินม่ายวางถ้วยเกี๊ยวต้มร้อนกรุ่นและซาลาเปาหมูสองลูกลงบนถาด แล้วพาฟางจั๋วหรานขึ้นไปกินอาหารที่ห้องชั้นบน

โต้วโต้วจูงมือใหญ่ของฟางจั๋วหราน ขึ้นไปชั้นบนด้วยกันกับเขา

หลี่หมิงเฉิงยกซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งเสร็จสามสี่เข่งออกมาจากในห้องครัวเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึงอย่างมาก

เขาแอบถามโจวฉายอวิ๋น “ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอครับ? ทำไมม่ายจื่อถึงพาเขาขึ้นไปกินข้างบนล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นเอ่ยอย่างลึกลับ “เขาคือรองศาสตราจารย์แผนกศัลยกรรมฟางจั๋วหรานของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ที่อยู่ใกล้ๆ นี้ และเป็นคนสำคัญของม่ายจื่อด้วย เขาเลยมีสิทธิพิเศษขึ้นไปกินข้างบนได้น่ะ”

หลี่หมิงเฉิงได้ยินอย่างนั้น ก็นิ่งเงียบครุ่นอะไรบางอย่าง

ฟางจั๋วหรานกินอาหารเช้าเสร็จก็จากไป

ขณะกำลังจะเดินออกไปก็เห็นว่าหลี่หมิงเฉิงกำลังลอบมองตน จึงหันกลับไปมองเขาเล็กน้อย

ชายหนุ่มเองก็พอมีสัมผัสพิเศษ เขารู้สึกได้ว่าพนักงานที่เข้ามาใหม่ของร้านหลินม่ายผู้นี้จะมีเจตนาเป็นปรปักษ์กับเขา

เมื่อฟางจั๋วหรานเดินออกไป หลินม่ายเองก็ไม่ได้สาละวนกับงานในร้านต่อ

เธอขี่รถสามล้อไปที่ตลาดสดก่อน เพื่อรับเครื่องในหมูและปอดหมูที่สั่งจองล่วงหน้าจากหม่าเจียเฉียงส่งกลับไปที่ร้าน

แล้วจึงไปที่โรงงานอลูมิเนียมสองสามแห่ง คิดที่จะสั่งทำกล่องอาหารที่มีคำว่า“เปาห่าวชือ”จำนวนหนึ่ง

แต่หลังจากวิ่งไปวิ่งมาทั้งช่วงเช้า ผู้จัดการโรงงานอลูมิเนียมบางแห่งไม่แม้แต่จะยอมออกมาพบเธอด้วยซ้ำ

บางแห่งยอมลดตัวมาพบเธอ แต่กลับปฏิเสธคำสั่งซื้อ เพราะจำนวนที่เธอต้องการนั้นน้อยเกินไป

หลินม่ายได้แต่กลับมามือเปล่า

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วแท้ๆ โซ่ของรถสามล้อก็ดันหลุดกะทันหัน

หลินม่ายทำได้เพียงลงจากรถ แล้วนั่งซ่อมรถท่ามกลางแสงแดดแรง ซ่อมอยู่จนทั้งไม้ทั้งมือเลอะคราบน้ำมันก็ยังซ่อมรถไม่เสร็จเสียที

“รถเสียเหรอ?”

เสียงของชายหนุ่มที่ไพเราะและคุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ หลินม่ายเงยหน้า เห็นฟางจั๋วหรานกำลังก้มหน้าลงมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน

เธอพยักหน้า

ฟางจั๋วหรานย่อตัวนั่งลง หยิบกิ่งไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่งขึ้นจากพื้น แล้วเอาสายโซ่ที่หลุดออกมาใส่อยู่ครู่หนึ่ง ก็กลับมาเข้าฟันเฟืองอีกครั้ง

เขาขยับแป้นเหยียบสองสามครั้ง สายโซ่วิ่งได้ไม่เลว แล้วปัดมือเล็กน้อย “เสร็จแล้ว”

หลินม่ายเองก็ลองทดสอบดู มันซ่อมเสร็จแล้วดังคาด

จึงลุกยืนตามขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายมองไปยังฟางจั๋วหรานอย่างเลื่อมใส “ศาสตราจายร์ฟาง ทำไมคุณสุดยอดขนาดนี้กันคะ ทำเป็นเสียทุกอย่างเลย”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนพูดไปตามหลักการ “ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ไม่เรียกว่าสุดยอดหรอก”

หลินม่ายเก้อเขินแต่ก็หัวเราะไปตามมารยาท

หากนี่นับว่าเป็นความสามารถเล็กน้อย แล้วคนที่ทำไม่เป็นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างเธอจะไม่ไร้ประโยชน์สุดๆ ไปเลยหรอกเหรอ?

ฟางจั๋วหรานเห็นเธอเหงื่อไหลเต็มหน้า ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “อากาศร้อนๆ ไม่อยู่ในร้าน ออกมาทำอะไรเหรอ?”

หลินม่ายบอกที่มาที่ไปกับเขา

ฟางจั๋วหรานได้ฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

โจวฉายอวิ๋นได้ทำอาหารเที่ยงของพวกเขาเองเอาไว้แล้ว เมื่อหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเข้าร้านมา เธอก็เริ่มมื้ออาหารทันที

ทั้งยังพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าคุณจะมากินมื้อเที่ยงด้วย ไม่อย่างนั้นม่ายจื่อคงจะฆ่าไก่ตัวหนึ่งมาเคี่ยวซุปไก่ให้คุณดื่ม”

ฟางจั๋วหรานรู้ดีว่าสายตาของหลี่หมิงเฉิงที่มองมายังตนนั้นไม่เป็นมิตรอย่างมาก

แต่กลับจงใจหันไปพูดกับหลินม่าย “อีกไม่กี่วันผมเข้ากะดึก คุณเคี่ยวซุปไก่ให้ผมดื่มนะ”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า

คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกเล็กๆ ที่ห้อง

เดิมทีหลินม่ายอยากจะนั่งบนโซฟาไม้ตัวเดี่ยว แต่โต้วโต้วรั้นอยากจะลากเธอกับฟางจั๋วหรานมานั่งด้วยกันที่โซฟาไม้ตัวยาว

โจวฉายอวิ๋นเองก็โน้มน้าวเธอ “โต้วโต้วให้พวกคุณนั่งด้วยกัน คุณก็เอาตามที่หล่อนว่าเถอะ”

สุดท้าย โจวฉายอวิ๋นแล้วหลี่หมิงเฉิงต่างก็นั่งบนโซฟาเดี่ยวคนละตัว หลินม่าย ฟางจั๋วหรานและโต้วโต้วนั่งบนโซฟาตัวยาว

โต้วโต้วนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหลินม่ายกับฟางจั๋วหราน มองซ้ายทีขวาทีอย่างดีใจ แกว่งขาสั้นเล็กๆ ไปมาอย่างมีความสุข “พวกเราเหมือนพ่อแม่ลูกกันเลย!”

หลินม่ายคีบไข่คนชิ้นหนึ่งลงในชามใบเล็กของเธอ “กินข้าวก็ยังอุดปากหนูไม่ได้อีกนะ”

จากนั้นจึงแนะนำตัวฟางจั๋วหรานและหลี่หมิงเฉิงให้กันและกัน

เมื่อนั้นฟางจั๋วหรานถึงเพิ่งรู้ว่าหลี่หมิงเฉิงกับหลินม่ายเป็นเหมยเขียวม้าไผ่ ในใจเกิดหึงหวงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

หลังกินอาการเที่ยงเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ต้องกลับโรงพยาบาล

แม้จะบอกว่าตอนเที่ยงหมอเองก็มีเวลาพักอยู่สองชั่วโมง แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าหากอาการของผู้ป่วยคนไหนเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็ต้องไปถึงให้ทันเวลา

ดังนั้นแม้ว่าจะพักเที่ยง ฟางจั๋วหรานก็ยังพักอยู่ในห้องพักแพทย์ เพื่อให้พยาบาลตามตัวเขาได้สะดวกตลอดเวลา

ก่อนจะไป ฟางจั๋วหรานบอกว่าหลังเลิกงานแล้วจะมากินมื้อเย็นที่ร้าน

หลินม่ายค่อนข้างผิดคาด “ข้าวเย็นก็ยังจะขึ้นมากินตรงนี้อีกเหรอ”

ก่อนหน้านี้น้อยมากที่เขาจะมากินมื้อเย็นที่นี่

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างสบายๆ “มื้อเย็นสำหรับหนึ่งคนทำยากนะ ต่อไปมื้อเย็นผมก็จะมากินที่นี่นี่ล่ะ”

โจวฉายอวิ๋นตอบตกลงแทนหลินม่าย “ได้สิๆ ไม่มีปัญหา ตอนเย็นอยากกินอะไร ฉันจะให้หลินม่ายทำให้คุณเอง”

“ตามนั้นเลย”

หลี่หมิงเฉิงมองฟางจั๋วหรานจนลับสายตา

แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้สึกได้ ว่าที่ฟางจั๋วหรานอยากจะกินมื้อเย็นที่ร้านก็เพื่อยั่วยุเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1) เสี่ยวหลงเปา คือซาลาเปาในเข่งขนาดเล็ก

(2) ก้วนทังเปา คือซาลาเปาไส้น้ำซุป

(3) กุ้ยฮวาหู มีลักษณะเป็นน้ำซุปเหนียวข้นจากผงรากบัวและมีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา มักใส่บัวลอย ข้าวหมากและพุทรารับประทานด้วยกัน

สารจากผู้แปล

เรือชนกันแล้วม่ายจื่อ รีบเคลียร์ทางเร็ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 132 บังเอิญพบเพื่อนสมัยเด็ก

โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าเธอตัดสินใจมั่นแล้ว ก็ได้แต่คล้อยตามเธอ แต่เมื่อขอเรียนเทคนิคการทำเซาเข่า หลินม่ายก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล

ถึงแม้โจวฉายอวิ๋นทำเป็นแล้ว นึกอยากจะแยกไปทำคนเดียว เธอก็ไม่โกรธเคือง

น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ คนย่อมเดินมุ่งขึ้นที่สูง ในเมื่อมีโอกาสได้เป็นเถ้าแก่ ใครจะอยากทำงานให้คนอื่นไปทั้งชีวิตกัน?

แม้จะยอมรับสถานการณ์เช่นนั้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าหลินม่ายจะชอบให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นขึ้น

ใครจะอยากให้บุคลากรที่ฝึกอบรมมาไหลหายไป แล้วไปฝึกอบรมใหม่อีกครั้งกัน?

ดังนั้นการรับสมัครเด็กฝึกงานในครั้งนี้ หลินม่ายจึงมีเงื่อนไขจำกัด

เมื่อเรียนเทคนิคสำเร็จแล้ว ต้องทำงานในร้านอย่างน้อยสามปีขึ้นไปถึงจะสามารถลาออกได้ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าผิดสัญญา

หลินม่ายรับสมัครพนักงานใหม่เสร็จแล้ว ก็ขี่รถสามล้อไปขนผักกวางตุ้งที่ร้านลุงขายผัก

ตอนนี้ร้านของเธอขายเซาเข่า จึงมีความต้องการผักในปริมาณสูงมาก

หลังซื้อเสร็จแล้วก็ค่อยให้ลุงขายผักมาส่งผักอีกครั้ง แต่เขาเป็นคนแก่คนหนึ่ง หลินม่ายทนทำใจแข็งมองเขาขนผักมากมายขนาดนั้นไม่ได้ ฉะนั้นเธอจึงขี่รถสามล้อไปรับผักที่ร้านของเขาด้วยตัวเองทุกวัน

ถึงยังไงสถานที่ที่เธอกำลังมุ่งไปกับร้านลุงขายผักก็ไม่ได้ห่างกันมาก วนไปสักรอบก็ใช้เวลาไม่ได้นานนัก

เมื่อรับผักจากร้านลุงขายผักมาแล้ว หลินม่ายก็ถีบสามล้อกลับร้านอาหาร

ดวงอาทิตย์ร้อนแรงแผดเผา สาดแสงจนทำเอาแทบลืมตาไม่ขึ้น

แม้แต่ขอทานหนุ่มเสื้อผ้าสกปรกซอมซ่อคนหนึ่งที่อยู่หัวถนนก็ยังถูกแดดส่องเสียจนไม่อยากจะขยับตัว แล้วนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ริมถนนนิ่งๆ

หลินม่ายเหลือบมองขอทานหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร ในใจเต็มไปด้วยความดูแคลน

ตอนนี้ที่ดินไร่นา(1)ทำสัญญาปันผลผลิตต่อครัวเรือนแล้ว เจ้าคนหนุ่มอายุน้อยนี่ไม่ไปทำไร่ในชนบทให้ดีๆ แต่กลับเข้ามาขอทานในเมืองเสียนี่!

แต่สายตาที่มองไปนี้กลับทำให้เธอตะลึงอยู่กับที่

ไม่นึกว่าขอทานหนุ่มคนนั้นก็คือหลี่หมิงเฉิง!

หลี่หมิงเฉิงเป็นเหมยเขียวม้าไผ่(2)ของหลินม่าย แม้ทั้งสองคนจะอยู่คนละหมู่บ้าน แต่กลับเรียนจบชั้นประถมและมัธยมต้นมาด้วยกัน

ช่วงสมัยเรียน เขาดีต่อเธอมาก ในวันเกิด แม่ของเขาทำไข่ไก่ให้เขาฟองหนึ่ง เขาก็ยังเอาให้เธอกิน

ชาติก่อน เธออยากแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เขายังเคยมาโน้มน้าวเธอ บอกว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่คู่ควรที่เธอจะฝากทั้งชีวิตไว้

เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนนั้นเธอลุ่มหลงเหมือนผีบังตา ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยแม้แต่คำเดียว ทั้งยังแตกหักกับเขาด้วยเหตุนี้ด้วย

หลังจากนั้นเขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เธอเองก็ค่อยๆ ลืมเลือนเขาไปทีละน้อย

เกิดใหม่ครั้งนี้ ในวันแต่งงานวันนั้น คนคนนั้นก็ถูกลืมเลือนไปหลายปีแล้ว จนเธอเองไม่เคยได้นึกถึงมาก่อน

วันนี้หากหลี่หมิงเฉิงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอ เธอก็คงไม่ได้นึกถึงเขา

หลินม่ายหยุดรถสามล้อลง แล้วร้องเรียกอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “หลี่หมิงเฉิง!”

หลี่หมิงเฉิงที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้เบิกตาขึ้น และจำเธอได้ เขาร้องตะโกน “ม่ายจื่อ!” ด้วยความตื่นเต้นเสียจนเสียงหลง

หลินม่ายลงจากรถสามล้อ แล้วมองพินิจเขาขึ้นลง “นายกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ฉันยังนึกว่าตัวเองจำคนผิดแล้วเสียอีก”

หลี่หมิงเฉิงลุกยืนขึ้น ปัดเศษฝุ่นบนตัว แล้วพูดอย่างเก้อเขิน “ฉันมาหางานในเมือง งานยังหาไม่ได้ ก็ถูกคนมาปล้น เร่ร่อนอยู่ไม่กี่วัน ก็กลายเป็นสภาพนี้ซะแล้วน่ะ”

หลินม่ายพูดอย่างไม่เข้าใจ “ตอนนี้เป็นฤดูกาลทำไร่นา ทำไมนายถึงถ่อมาหางานทำถึงในเมืองล่ะ? อย่างน้อยก็ต้องรอให้ผ่านฤดูกาลทำไร่นาไปก่อนค่อยมาสิ”

หลี่หมิงเฉิงหัวเราะแห้งเล็กน้อย “ที่นาในชนบททำสัญญาปันผลผลิตแล้ว เธอเองก็รู้ หมู่บ้านของพวกเรามีไร่นาน้อย แถมบ้านฉันก็มีแรงงานมาก ที่ดินแค่นั้นจะไปพอปลูกที่ไหนกัน? แทนที่จะอยู่ที่บ้านว่างๆ ไม่สู้เข้าเมืองมาเผชิญโลกกว้างดีกว่า ลองดูซิว่าจะหาเงินได้บ้างไหม”

แม้เรื่องที่ดินของที่บ้านมีน้อยจะเป็นความจริง แต่ที่หลี่หมิงเฉิงกล้าออกจากหุบเขามาหางานที่เมืองเจียงเฉิง กลับไม่ได้มีเหตุผลเพียงเพราะอยากหาเงิน

แต่เพราะได้ยินมาว่า หลินม่ายถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไล่ออกจากบ้าน และออกมาทำมาหากินอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง

ได้ยินว่าเธอทำได้ไม่เลว เขาอยากจะมาเห็นเธอใช้ชีวิตอย่างดีด้วยตาตัวเอง ถึงจะวางใจ

แต่คำพูดเหล่านี้เขาอายเกินกว่าจะพูดกับหลินม่ายได้ สาวน้อยคนนี้ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาชอบเธอ และเห็นเขาเป็นพี่น้องมาตลอด

จู่ๆ จะให้เธอรู้เจตนาของตัวเองกะทันหัน ไม่รู้ว่าจะเกิดรู้สึกเกลียดขึ้นมาหรือเปล่า

หลินม่ายพูดพลางหัวเราะ “งั้นนายมาร่วมงานที่ร้านของฉันก็ได้” พูดจบ เธอก็เข็นรถสามล้อไปข้างหน้า

หลี่หมิงเฉิงรีบเข้าไปคว้ารถสามล้อมาช่วยเธอเข็น แล้วถามอย่างประหลาดใจ “เธอเปิดร้านเองเลยเหรอ”

หลินม่ายส่งเสียงอืม

“ขายอะไรเหรอ?”

“ของกินเล่น”

หลี่หมิงเฉิงร้อย “อ๋อ” ขึ้นมาคำหนึ่ง สังเกตเด็กสาวข้างกายอย่างละเอียด

ก็ไม่ได้เจอกันมากว่าครึ่งปีแล้ว หลินม่ายเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนลิบลับ มีความมั่นใจ เปี่ยมด้วยพลัง ไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยเซ่อซ่าคนนั้นอีกต่อไปแล้ว

หลินม่ายถามเขาอย่างสงสัยว่าถูกคนปล้นไปได้อย่างไร

แม้ว่าในตอนนี้ความสงบเรียบร้อยจะไม่ค่อยดีนัก นักล้วงหัวขโมยก่อเหตุกันให้ว่อน แต่ความสงบเรียบร้อยของเมืองเจียงเฉิงก็พอใช้ได้อยู่

ถูกคนปล้นในตัวเมืองกลางวันแสกๆ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยมาก นอกเสียจากจะอยู่ในซอยเปลี่ยวลับตาคน

หลี่หมิงเฉิงแค่นหัวเราะเล็กน้อย แล้วเล่าเรื่องที่ถูกปล้นมาให้หลินม่ายฟัง

ไม่กี่วันก่อนเขานั่งรถไฟมาถึงเมืองเจียงเฉิง และเดินอยู่ที่ถนนสถานีรถที่คึกคักจอแจ

ด้านหน้ามีคนทำเงินหล่นปึกหนึ่ง ด้านหลังก็มีคนพุ่งเข้ามาหยิบเงินปึกนั้นขณะกำลังจะใส่เข้ากระเป๋า ก็ว่าเขากำลังจ้องอยู่ แล้วเกิดใจฝ่อขึ้นมา

ก็มาบอกกับเขาว่า เขาตกลงที่จะแบ่งกับเขา แต่มีข้อเสนอว่าเขาห้ามบอกใคร ฉะนั้นจึงพาเขาไปในซอยเล็กๆ ที่ห่างตัวเมืองออกไป

ไม่นึกว่าในซอยจะมีพวกเดียวกันกับคนที่เก็บเงินได้คนนั้นอีกหลายคน ปล้นเขาจนหมดตัวแล้ววิ่งหนีไป

หลินม่ายฟังแล้วก็หมดคำพูด “นี่มันแค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นกับดัก ทีหลังอยู่ข้างนอกอย่านึกโลภเด็ดขาด ถ้าไม่โลภก็จะไม่โดนหลอก”

ใบหน้าของหลี่หมิงเฉิงแดงฉ่า “ฉันไม่ได้โลภ ตอนนั้นฉันก็บอกกับเจ้าสิบแปดมงกุฎนั่น ว่าฉันไม่แบ่งเงินด้วยหรอก แต่เขาบอกว่า ถ้าฉันไม่ร่วมแบ่งเงินกันก็คงจะไปแจ้งความเขา แล้วลากฉันไปที่ซอยนั้นน่ะสิ”

“นายร้องตะโกนดังๆ ก็ได้นี่ แค่นายตะโกนขึ้นมา เจ้าสิบแปดมงกุฎนั่นก็ตกใจหนีตะเพิดไปแล้ว”

หลี่หมิงเฉิงพูดเสียงอ่อน “ฉันกลัวว่า… เขาจะไม่ใช่สิบแปดมงกุฎ เพียงแค่อยากแบ่งเงินกับฉันด้วยความหวังดีเท่านั้น”

หลินม่ายเห็นว่าเขาไร้เดียงสาขนาดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

เห็นหลี่หมิงเฉิงไม่มีอะไรเลย จึงพาเขาไปห้างสรรพสินค้าซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนสองชุดและอุปกรณ์อาบน้ำกลับมาที่ร้าน

โจวฉายอวิ๋นเห็นหลินม่ายพาผู้ชายคนหนึ่งกลับมา ก็รีบถามว่าเขาเป็นใคร

หลินม่ายแนะนำพวกเขาทั้งสองฝ่าย แล้วให้หลี่หมิงเฉิงขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดๆ ที่ห้องชั้นบน

เมื่อหลี่หมิงเฉิงลงมาข้างล่างด้วยความสดชื่น เขาก็เป็นเด็กหนุ่มคิ้วหนาตาโตผู้มีชีวิตชีวาคนหนึ่งแล้ว

การต้อนรับเพื่อนเก่าจะทำลวกๆ ไม่ได้ หลินม่ายฆ่าไก่ตัวผู้หนึ่งในสองตัวที่เหลือจากการขาย แล้วไปซื้อวัตถุดิบอย่างดีอื่นๆ ที่ตลาดมืด ในตอนเที่ยงเธอทำอาหารกลางวันมากมาย ต้อนรับหลี่หมิงเฉิงในห้องชุดชั้นบน

เพื่อนเก่ากินพลางคุยพลาง

หลินม่ายพลั้งปากถามถึงตระกูลหลินเล็กน้อย โดยเฉพาะสถานการณ์ของหลินเพ่ย

หมู่บ้านที่หลี่หมิงเฉิงอยู่นั้นไม่ไกลจากหมู่บ้านตระกูลหวัง เขาน่าจะรู้สถานการณ์ของหลินเพ่ย

หลี่หมิงเฉิงบอกเธอว่า ตั้งแต่ทำสัญญาปันผลผลิตต่อครัวเรือน บ้านเดิมของเธอก็ยิ่งยากจนลง กินข้าวได้ไม่ครบมื้อ ความเป็นอยู่อัตคัดขันสน จนกลายเป็นตัวตลกของคนในหมู่บ้านแล้ว

พี่สะใภ้ของเธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จนทะเลาะแยกออกไปอยู่ที่อื่น

หลินม่ายได้ยินสภาพอันน่าเวทนาของบ้านเดิมตนแล้ว ไม่เพียงไม่ทุกข์ใจ แต่ยังรู้สึกอารมณ์ดียิ่ง

“บ้านเดิมของฉันจับพลัดจับผลูกลายเป็นแบบนี้ หลินเพ่ยล่ะ เธอเป็นอยู่ยังไงบ้าง?”

“หล่อนน่ะเหรอ!” พอพูดถึงหลินเพ่ยขึ้นมา สีหน้าของหลี่หมิงเฉิงก็บูดเบี้ยวเล็กน้อย

“เธอย้ายจากอำเภออวิ๋นไหลไปเรียนมัธยมปลายที่เมืองอวิ๋น ยังอยู่สุขสบายดี ฉันว่านะ ไม่ว่าคนทั้งบ้านของพวกเธอจะยากจนข้นแค้นยังไง หล่อนก็มีชีวิตแช่มชื่นอยู่ดี”

หลินม่ายค่อนข้างตกตะลึง หลินเพ่ยไม่ได้ถูกไล่ออกจากโรงเรียนในอวิ๋นไหลไปแล้วหรอกเหรอ แล้วยังย้ายไปเรียนที่เมืองอวิ๋นได้ยังไง?

แม้ว่าในใจจะเต็มไปด้วยคำถาม แต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยออกไป เธอวางแผนว่าเมื่อมีเวลาจะไปตรวจสอบดูว่าแท้จริงเกิดอะไรขึ้นกันแน่แล้วค่อยว่ากัน

ตอนที่ 131 เอาชื่อเสียงเป็นประกัน

เสียงของฟางจั๋วหรานดังขึ้นในฉับพลัน “ที่หลอกตบทรัพย์คราวก่อน สันติบาลคงอบรบคุณน้อยไปสินะ ถึงได้แผลหายก็ลืมเจ็บเร็วขนาดนี้ แล้วกุข่าวลือขึ้นมาได้?”

ป้าหูรีบหุบปากทันใด

ธุรกิจของหลินม่ายยุ่งมาก ไม่มีทางมีเวลามาจัดการป้าหูอยู่แล้ว

ทว่าเมื่อเห็นฟางจั๋วหรานตอกหน้าป้าหูแทนเธอ เธอก็ไม่อาจนิ่งดูดายอยู่ได้

แม้แต่ธุรกิจก็ไม่ทำมันแล้ว เธอเดินไปเบื้องหน้าป้าหูแล้วเอ่ยตำหนิต่อว่า “อาหารร้านคุณน่ะทั้งสกปรกทั้งไม่อร่อย ก็เพราะทั้งสกปรกทั้งไม่อร่อย กลิ่นเหม็นคาว หลูจู่ของร้านคุณเลยไม่มีคนกินและขายไม่ได้ คุณเอาข่าวเสียๆ หายๆ ของร้านคุณมาสาดสีใส่ฉัน คุณช่วยมียางอายสักนิดจะได้ไหม?”

ป้าหูโกรธจนหน้าดำหน้าเขียว แต่กลับไม่กล้าโต้เถียง กลัวว่าจะมีเรื่องจนต้องไปสถานีตำรวจอีก

หรือต่อให้ไม่กลัวจะมีเรื่องจนต้องไปสถานีตำรวจ หล่อนเองก็ไม่กล้าแข็งกร้าวสู้กลับอยู่ดี

เพราะครั้งนี้ฟางจั๋วหรานไม่ได้มาคนเดียว แต่พากลุ่มศัลยแพทย์มือใหม่มาทานอาหารเที่ยงที่ร้านของหลินม่ายด้วย

กลุ่มศัลยแพทย์มือใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟางจั๋วหรานนั้น แม้จะเป็นกลุ่มปัญญาชนที่ดูสะอาดสะอ้านเกลี้ยงเกลา แต่ก็ล้วนเป็นชายหนุ่มวัยรุ่น ทำให้ชวนตกตะลึงไม่น้อย

อีกฝ่ายมีกำลังคนมาก ทั้งยังเป็นหมอของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในเขตภาคกลาง ถึงป้าหูกินดีหมีหัวใจเสือมาก็ไม่กล้าหาเรื่องด้วย

เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นป้าหูหยุดโจมตี จึงได้เดินไปยังเบื้องหน้าของพยาบาลสองสามคนนั้น แล้วถามโหมวตานด้วยความคลางแคลง “เธอเคยกินอาหารของร้านม่ายจื่อไหม?”

หลินม่ายไม่ทันรอให้หล่อนตอบ ก็เอ่ยขึ้น “ไม่เคยน่ะสิ เธอจงใจใส่ร้ายฉัน คงเป็นเพราะชอบคุณ ฉันแค่ส่งอาหารให้คุณไม่กี่ครั้ง ก็ถูกเธอเห็นเป็นศัตรูหัวใจ ครั้งแรกที่ฉันส่งอาหารให้คุณ เธอก็มาขวางฉันซักถามอยู่เป็นครึ่งวัน”

เดิมทีหลินม่ายไม่คิดจะพูดเรื่องขี้ปะติ๋วพวกนี้กับฟางจั๋วหรานอยู่แล้ว

หากโหมวตานอยากจะไล่ตามฟางจั๋วหรานเธอก็ไม่อาจขัดขวาง

แต่เพื่อที่จะไล่ตามฟางจั๋วหรานจนมาใส่ร้ายป้ายสีเธอ เช่นนั้นเธอคงต้องเปิดโปงเบื้องหลังทั้งหมดของหล่อนออกมา

โหมวตานหน้าดำหน้าแดง กัดฟันยืนกรานว่าหล่อนเคยกินอาหารในร้านของหลินม่ายแล้ว และเคยท้องร่วงจริงๆ

หล่อนยอมพูดโกหก ยังดีกว่าให้ฟางจั๋วหรานมีความรู้สึกแย่ๆ ที่หล่อนใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

ต่อให้หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นปฏิเสธอย่างสุดกำลัง แต่เรื่องนี้ก็ไม่มีทางมีบุคคลที่สามที่จะมาเป็นพยานได้ จึงไม่อาจพูดได้ชัดเจน

ฟางจั๋วหรานทำมือเป็นสัญญาณให้หลินม่ายหยุด แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไปทำงานของคุณเถอะ ต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ยืนกระต่ายขาเดียว คิดแต่จะสาดโคลนใส่คุณไปก็ไม่มีประโยชน์”

สีหน้าของโหมวตานซีดเผือดลง หล่อนรู้ว่าฟางจั๋วหรานไม่เชื่อตนแต่เชื่อหลินม่าย ทันใดนั้นก็ห่อเหี่ยวราวกับลูกบอลที่ลมรั่ว ไร้ความทะยานที่จะโต้แย้งอีกต่อไป

ฟางจั๋วหรานพูดกับพยาบาลคนอื่นๆ “ผมกล้าใช้ชื่อเสียงเป็นประกัน อาหารของร้านม่ายจื่อทั้งสะอาดและอร่อย เชื่อผมเถอะ ตอนเที่ยงก็กินข้าวที่ร้านม่ายจื่อสิ ผมเลี้ยงเอง”

พูดจบ เขาก็เดินนำเข้าไปในร้านของหลินม่าย

แพทย์มือใหม่กลุ่มนั้นตามเข้าไปติดๆ ทั้งยังพากันถามเสียงอึกทึก “พวกเราได้สิทธิพิเศษนั่นไหม?”

ฟางจั๋วหรานผู้สุภาพเรียบร้อยมาตลอดมองไปทางพวกเขาอย่างเย็นชา “พวกนายว่ายังไงล่ะ?”

ท่าทางแบบนี้ แน่นอนว่าหมายถึงไม่มี

พยาบาลเหล่านั้นทิ้งโหมวตาน แล้วตามเข้าร้านไปด้วยความเบิกบานใจ ต่างคนต่างแย่งกันพูดแสดงความเห็น “พวกเราต้องเชื่อศาสตราจารย์ฟางสิคะ!”

โหมวตานยืนโดดเดี่ยวลำพังอยู่นอกร้าน โมโหจนแทบจะร้องไห้

ลูกค้าบางส่วนที่มารอดูเห็นแบบนั้น ก็เข้ามาซื้ออาหารในร้านของหลินม่ายอย่างวางใจ

ขณะเหล่าแพทย์มือใหม่และพยาบาลสาวสองสามคนกินอาหารของร้านหลินม่าย แต่ละคนต่างชมไม่ขาดปาก ทุกคนกินกันจนอิ่มถึงจากไปอย่างอาวรณ์

ธุรกิจเซาเข่าในตอนเย็น ถนนทั้งสายมีแค่หลินม่ายเจ้าเดียว นอกจากนี้ยังเพิ่มเมนูใหม่เข้าไปด้วย มีปลาตะเพียนย่าง เต้าหู้กระทะร้อนและไก่มังสวิรัติย่าง ธุรกิจคึกคักเฟื่องฟูเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน

ร้านอาหารที่อยู่ในถนนสายเดียวกันจำนวนไม่น้อยมองเธอค้าขายด้วยความอิจฉาตาร้อนอยู่ไม่ไกล

พวกเขาเองก็อยากจะขายเซาเข่าเหมือนกัน แต่ติดที่ไม่อาจหายี่หร่าได้

วันหยุดเนื่องในวันแรงงานสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในสามวันนี้ หลินม่ายมีกำไรสุทธิจากการขายสัตว์ปีกและร้านอาหารเกือบหนึ่งพันหยวน แม้จะเหนื่อยแทบตาย แต่มันก็คุ้มค่าแล้ว

แม้ว่าเสี่ยวลี่และคุณป้าทั้งสามคนจะไม่ได้ทำงานครบเต็มเดือน แต่หลินม่ายก็ยังจ่ายค่าจ้างของเดือนก่อนให้กับพวกหล่อน

และหลังจากนี้ก็จะจ่ายค่าจ้างทุกๆ สิ้นเดือน

ส่วนค่าทำงานล่วงเวลาของวันแรงงานก็ค่อยจ่ายสิ้นเดือนพฤษภาคม

เมื่อเสี่ยวลี่และเหล่าคุณป้าได้รับอั่งเปาของวันแรงงาน ก็นึกว่านั่นคือค่าทำงานล่วงเวลา

นึกไม่ถึงหลินม่ายจะบอกว่าค่าทำงานล่วงเวลาจะจ่ายตอนสิ้นเดือน ถึงได้รู้ว่าค่าทำงานล่วงเวลานั้นคิดแยกกัน แต่ละคนต่างก็ดีใจอย่างมาก

ออกมาทำงาน ใครจะไม่อยากได้เงินเพิ่มบ้าง?

ผ่านพ้นวันแรงงานไป ธุรกิจก็ดิ่งลงเหว สาเหตุหลักก็เพราะไม่มีการสนับสนุนทางเศรษฐกิจในวันหยุดแล้ว

แม้จะดิ่งลงอย่างฉับพลัน แต่ก็ดีกว่าช่วงก่อนวันแรงงานอยู่มากโข เพียงแย่กว่าตอนเปิดร้านใหม่เล็กน้อยเท่านั้น บ่งชี้ว่าในที่สุดร้านอาหารของตนได้ตั้งหลักอย่างมั่นคงบนถนนสายนี้แล้ว

หลินม่ายวางแผนจะจ้างคนงานเพิ่ม และปลดปล่อยตัวเองออกมา จะได้นำผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อในเมือง

การรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายทำกำไรได้มากว่าร้านอาหารมากทีเดียว

ชาติก่อนเธอเพิ่งจะมาเร่ร่อนที่เมืองเจียงเฉิงหลังจากปี 1983

ตอนนั้นไม่คุ้นเคยที่ทาง ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เริ่มทำจากแผงขายของข้างถนนที่ง่ายที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้สนใจการหาเงินด้วยการรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายเช่นนี้

เกิดใหม่ชาตินี้ รู้จักรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายทำกำไรแล้ว ไม่ว่ายังไงก็จะพลาดโอกาสแห่งความมั่งคั่งนี้ไปไม่ได้

การรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อนั้นจำเป็นต้องนำหน้าทำก่อนใคร ตอนที่ไม่มีใครทำนี่แหละ ถึงจะสามารถทำเงินได้มาก

รอให้คนอื่นมาทำตามกันหมดก็หาเงินอะไรไม่ได้แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้

โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าหลินม่ายจะรับสมัครคน โดยเฉพาะต้องการรับสมัครคนที่มีพื้นฐานการทำอาหารมาถ่ายทอดเทคนิคทำเซาเข่าสองสามคน ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

บอกว่าหากเธอสอนเทคนิคให้กับคนอื่น คนอื่นเขาก็เอาไปเปิดร้านใหม่

หลินม่ายยิ้มพลางพูด “เธอคิดว่าถ้าฉันไม่สอนเทคนิคให้คนอื่นแล้ว ก็จะไม่มีใครทำเซาเข่าได้เหรอ? ขอแค่มีพื้นฐานการทำอาหารสักหน่อย มาชิมเซาเข่าของฉันบ่อยๆ กระทั่งสังเกตให้มากๆ ก็สามารถทำได้เองโดยไม่ต้องมีครูสอนแล้ว การทำอาหาร นอกจากอาหารบางอย่างที่สามารถเก็บสูตรลับเอาไว้ได้เช่น ตุ๋นพะโล้ ซอสพริก อย่างอื่นก็ทำได้ยากมาก ไม่นานก็ถูกลอกเลียนแบบไปได้ เทคนิคการทำเซาเข่าจะรั่วก็รั่วออกไปเถอะ ขอแค่พวกเราเองทำออกมาจนพูดกันไปปากต่อปาก ลูกค้าคนอื่นก็จะมากินอยู่ดี อีกอย่างสิ่งสำคัญต่อจากนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่การทำเซาเข่า ฉันแค่วางแผนจะทำให้เซาเข่าหาเงินได้เร็วขึ้น”

เมื่อพูดถึงซอสพริก หลินม่ายก็นึกถึงซอสพริกเหล่ามาม่าที่ครองไปทั่วโลกในชาติก่อนขึ้น

น้ำพริกของคุณยายเถียนรสชาติไม่ได้ด้อยไปกว่าซอสพริกเหล่ามาม่าเลย เพียงแค่เปลี่ยนพริกในนั้นเป็นพริกขี้หนูของอวิ๋นกุ้ย แล้วเพิ่มวัตถุดิบเข้าไปอีกเล็กน้อย เป็นไปได้มากว่าจะแข่งกับซอสพริกเหล่ามาม่าได้เลย

ที่สำคัญก็คือในยุคนี้ซอสพริกเหล่ามาม่ายังไม่ได้ก้าวสู่โลกกว้าง

หากตนชิงนำไปก่อนหนึ่งก้าวล่ะ ไม่แน่ว่าอาจสามารถเข้าแทนที่เหล่ามาม่ากลายเป็นผู้นำของซอสพริกเลยก็ได้

เพียงแต่เงื่อนไขในตอนนี้ยังไม่สุกงอมเต็มที่ จึงยังไม่สามารถทำธุรกิจซอสพริกได้

แต่เธอก็ได้มีแผนการนี้แล้ว

นอกจากนี้แล้ว เธอยังคิดจะทำอาหารแช่แข็งอีกด้วย

แม้ว่าที่เธอทำในชาติก่อนจะเป็นแฟรนไชส์โรงแรม

แต่แฟรนไชส์โรงแรมหากอยากจะขยับขยายนั้นเป็นเรื่องยากมาก ชาติก่อนเธอลงทุนลงแรงมากมายทั้งหมดไป ก็ได้แค่ร่วมกับเจ้าพ่อด้านอาหารและเครื่องดื่มของมณฑลหูเท่านั้น

ในชาตินี้ เธอไม่มีทางพอใจกับความสำเร็จเล็กน้อยแค่นั้นแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็นเศรษฐีระดับแนวหน้าของประเทศให้ได้ อย่างนั้นแล้วการทำอาหารแช่แข็งก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

ที่เธอมีความคิดเช่นนั้น มาจากกะปิของคุณยายเถียนล้วนๆ

มีกะปิแล้ว รอให้ได้อาวุธลับแล้ว อาหารแช่แข็งที่ทำออกมาจะต้องรสชาติสดอร่อยกว่าอาหารแช่แข็งอื่นแน่นอน

แต่ไม่ว่าจะทำอาหารแช่แข็ง หรือว่าทำน้ำพริก ล้วนต้องมีทุนเริ่มต้นในการเปิดโรงงาน หากไม่มีสักหมื่นสองหมื่นหยวน ก็อาจสร้างโรงงานขึ้นมาไม่ได้

นั่นจึงยิ่งจำเป็นที่จะต้องสร้างรายได้อย่างรวดเร็วด้วยการรับผลผลิตทางการเกษตรมาขายต่อ

ตอนที่ 130 มื้อเที่ยงของเหล่าพยาบาล

ชายคนนั้นยิ้มตอบ “ก็เป็นพวกโรงเชือดสัตว์ปีกทุกชนิดน่ะ”

หลินม่ายถามต่อ “คุณจัดการกับพวกเครื่องในยังไงเหรอคะ”

โจวฉายอวิ๋นที่เอามะเขือม่วงกับกระเทียมย่างมาเสิร์ฟได้ยินบทสนทนานั้นก็แอบสงสัย

“ก็เอามาแปรรูปง่าย ๆ บางส่วนนะ ส่วนไส้ก็เอาทิ้งไป”

หลินม่ายเห็นว่ามีลูกค้าหลายคนกำลังกินอาหาร เลยไม่สะดวกจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตอนนี้

เธอเลยขอชื่อและที่อยู่ของเขาแล้วเลี้ยงมะเขือม่วงกับกระเทียมย่างสมนาคุณลูกค้าหนุ่ม

ลูกค้าคนนั้นมีความสุขมาก

เขาเริ่มถามหลินม่ายว่า “ที่นี่มีเบียร์หรือเปล่า ถ้าไม่มีขอเป็นโซดาก็ได้”

สิ้นคำถามนั้นลูกค้าคนอื่น ๆ ก็ออกเสียงสมทบว่าอยากได้เครื่องดื่มเหมือนกัน

เซาเข่าอร่อย ๆ น่าจะมีแอลกอฮอล์มากินคู่กันซักหน่อย พอไม่มีแล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

เจ้าของร้านสาวส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ”

แม้ว่านโยบายควบคุมการค้าจะไม่ได้เข้มงวดมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่อง่ายที่คนทั่ว ๆ ไปอย่างเธอจะหาซื้อเครื่องดื่มพวกนั้นจำนวนมาก ๆ ได้นอกจากจะมีเส้นสาย

เธอเป็นเพียงสาวบ้านนอกไม่ได้เส้นสายจากที่ไหน จะไปหาซื้อได้ยังไงกัน

กลุ่มลูกค้าคร่ำครวญด้วยความเสียดาย

ส่วนหลินม่ายจึงเริ่มขายของ “ไม่มีเครื่องดื่มแต่เรามีข้าวหมากนะคะ ลองสั่งซักชามไหม หรือเอาเป็นหลูจู่ก็มีค่ะ”

ลูกค้าบางคนสั่งเป็นหลูจู่ บางคนก็สั่งข้าวหมากมาแทน

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายกำลังยุ่งอยู่กับการขายอาหาร หลังจากกินคากิกระทะร้อนแล้วเขาก็อยากจะมาช่วยเธอ แต่ถูกหญิงสาวห้ามไว้แล้วสั่งให้เขาไปพักผ่อน

ศัลยแพทย์อย่างเขาควรพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้มีแรงไปช่วยเหลือคนไข้

เธอไม่อยากให้เขาต้องเสียพลังงานไปกับการช่วยเหลืองานในร้านอาหารเล็กน้อยแบบนี้

ที่ร้านคึกคักไปจนสองทุ่ม ในที่สุดของก็ขายหมด การทำงานอย่างยาวนานในวันนี้ก็จบลง

หลินม่ายขอบคุณเสี่ยวลี่ที่ทำงานหนักมาทั้งวันและมอบซองแดงที่มีเงิน 10 หยวน ให้เธอ

เสี่ยวลี่กลับบ้านอย่างมีความสุขพร้อมซองแดงนั้น

โจวฉายอวิ๋นและหลินม่ายช่วยกันทำความสะอาดจานชามเครื่องครัวที่ใช้แล้วด้วยกัน คนเป็นพี่ก็เริ่มชวนคุยอย่างที่ชอบทำประจำ “วันนี้ได้เปิดหูเปิดตา ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผักก็เอามาย่างแล้วอร่อยได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะมะเขือม่วงย่าง หอมอร่อยมาก พรุ่งนี้ทำเพิ่มอีกได้ไหม”

หลินม่ายตอบตกลงในทันที

โจวฉายอวิ๋นพูดต่อด้วยสีหน้าเบิกบาน “เซาเข่าคงจะทำเงินให้เราได้อีกมาก”

คนเป็นน้องส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก็มีคนมาทำตามน่า”

ตอนนี้บนถนนเส้นนี้เริ่มแน่นไปด้วยร้านอาหารเพราะเห็นว่าพวกเธอเปิดร้านแล้วรุ่ง

บางร้านเจ้าของร้านเป็นเจ้าของที่เอง บางร้านก็เป็นคนอื่นมาเช่าที่

โจวฉายอวิ๋นไม่ได้สนใจ “ใครจะทำตามได้ พวกเขาไม่น่าจะหายี่หร่าได้หรอก”

“นโยบายควบคุมการค้าไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อไปก็คงจะค่อย ๆ หย่อนยานไปตามเวลา”

แบบนั้นทำให้คนเป็นพี่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย “แบบนี้เซาเข่าจะยังขายดีอยู่ไหมนะ”

หลินม่ายมองในแง่ดีกว่านั้น “เราเป็นคนเริ่มทำก่อน ยังไงก็ไม่ต้องกังวลถ้าชื่อเสียงยังดีอยู่”

ถึงจะทำงานหนักมาทั้งวันแต่ก็ยังเข้านอนในเวลาที่ไม่ดึกเกินไป ทำให้หลินม่ายสามารถตื่นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดมืด

เซาเข่าเมื่อวานขายดี หลินม่ายเลยซื้อเนื้อหมูเพิ่มอีก 5 ชั่งในวันนี้

วันหยุดยาวแบบนี้ต้องมีของกินเพิ่มให้ตัวเองและเหล่าพนักงานในร้านด้วย

หลินม่ายซื้อหมูสามชั้นเพิ่มอีกสองสามชิ้น วางแผนจะทำหมูนึ่งข้าวคั่วให้ทุกคนกิน

เธอยังบอกกับเจ้าของร้านด้วยว่าต่อไปให้แวะเอาหมูมาส่งที่ร้านแทน จะได้ไม่ต้องคอยมาซื้อที่นี่อีก

พ่อค้าตอบตกลงในทันที

เพราะสำหรับเขาหลินม่ายคือลูกค้ารายใหญ่

หญิงสาวซื้อหมูและส่วนผสมอื่น ๆ แล้วก็เดินดูของในตลาดมืด เธอเห็นว่ามีเต้าหู้วางขายอยู่ แล้วก็ยังมีอาหารมังสวิรัติที่ทำจากถั่วให้เลือกซื้อด้วย

เธอเลยเข้าไปตกลงกับเจ้าของร้านว่าให้เอาเต้าหู้ 20 ชั่ง กับไก่มังสวิรัติ 10 ชั่งไปส่งที่ร้านตอนบ่ายสี่โมงครึ่งทุกวัน

เต้าหู้สามารถเอาไปทำเต้าหู้กระทะร้อนได้ หรือจะเอาไปย่างก็อร่อย ส่วนไก่มังสวิรัติเอาไปเสียบไม้ย่างก็ดีเหมือนกัน

เธอเดินหาสาหร่ายทะเลอยู่นานจนเจอและซื้อมาด้วยอีกจำนวนมาก

ก่อนจะกลับเธอเห็นว่ามีปลาตะเพียนขนาดใหญ่ขายอยู่และที่สำคัญคือยังเป็น ๆ อยู่ด้วย

ปลาตะเพียนแบบนี้ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ก็เอามาย่างแล้วอร่อยมาก เธอเลยขอซื้อปลาตะเพียนทั้งหมดนั่นจากคนขาย

แต่ไม่รู้ว่าจะเอาพวกมันกลับไปได้อย่างไร จึงบอกให้เขาเอาไปส่งให้ที่ร้าน

และเธอยังถามเขาอีกว่าถ้าอยากได้ปลาพวกนี้วันละ 20-30 ตัวเขาพอจะหามาให้เธอได้หรือไม่

เขาตอบตกลงอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่ยี่สิบสามสิบตัวเลย ถ้าต้องการวันละสี่สิบห้าสิบตัวก็หามาให้ได้

พอกลับมาถึงบ้านหลินม่ายก็เอาปลาตะเพียนที่ตายแล้วออกมาตุ๋นเป็นมื้อกลางวัน

ส่วนปลาเป็นยังปล่อยพวกมันไว้ในน้ำ เพื่อเตรียมจะเอามาย่างทำเซาเข่าตอนเย็นจะได้มีเนื้อปลาสดอร่อยขาย

เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเสี่ยวลี่ก็มาทำงานตามเวลาของเธอ

หลินม่ายกับเสี่ยวลี่จึงช่วยกันตั้งร้าน

ป้าหวังที่รับผิดชอบการทำเกี๊ยวอาสาเข้ามาช่วยเสี่ยวลี่ในการตั้งโต๊ะขายซาลาเปาที่หน้าร้าน

หลินม่ายเดินจากไปพร้อมกับเข่งซาลาเปาหลายใบ แต่ก็ได้ยินป้าหวังพูดกับเสี่ยวลี่อย่างเบา ๆ ว่า “หลังเลิกงานเมื่อวานเถ้าแก่เนี้ยให้เงินเธอเท่าไร

เธอทำงานเยอะกว่าเรา ได้มากกว่าหรือเปล่า”

เสี่ยวลี่ยิ้มแล้วตอบว่า “อ๋อ ก็มากกว่าอยู่นิดหน่อยค่ะ ได้มา 6 หยวน แบบว่า ลิ่วลิ่วต้าซุ่น* ฮ่า ๆ”

ฝ่ายป้าหวังเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวได้เงินมากกว่าเธอหนึ่งหยวนก็ไม่รู้สึกติดใจอะไร เธอจึงหันกลับไปทำงานที่ห้องครัว

หลินม่ายทำเป็นไม่ได้ยินอะไรแล้วเดินออกจากครัวไป

แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินให้กับเสี่ยวลี่มากกว่าแม่ครัวอีกสามคนถึงเท่าตัว แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่ามันยุติธรรมดีแล้ว

ไส้ของซาลาเปาและเกี๊ยวทั้งหมดหลินม่ายเป็นคนเตรียมมันเอง ส่วนป้าทั้งสามทำแค่มาประกอบมันให้เป็นอาหารเท่านั้น

งานของเสี่ยวลี่ต่างออกไป เพราะหน้าที่ของเธอคือพนักงานขาย

ต้องใช้ทั้งแรงกายและไหวพริบในการทำงานถือว่าต้องมีความอดทนมากกว่าป้าทั้งสามมาก เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่จะให้เงินเธอมากกว่า

ถึงเสี่ยวลี่จะไม่ได้บอกจำนวนเงินแท้จริงที่ตัวเองได้กับป้าหวัง แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่านั่นเป็นคำตอบที่น่าพอใจมาก

ถ้าบอกไปตามตรงป้าหวังอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมก็ได้ อาจจะส่งผลต่อการทำงานหลังจากนี้

นี่เป็นเหตุผลที่บริษัทบางแห่งไม่อนุญาตให้พนักงานถามกันเรื่องเงินเดือนหรือเงินโบนัส

มีคนไม่น้อยที่ไม่ได้มีผลงานดีเด่นอะไร แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองควรจะได้สิ่งต่าง ๆ เท่ากับคนที่ทำงานได้ดีกว่า

วันนี้อาหารขายดิบขายดีทั้งเช้าและเที่ยง

โดยเฉพาะในตอนเที่ยง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแน่นถนน ทำให้คนในร้านก็แน่นไม่ต่างกัน

เพื่อจะได้ขายของอย่างต่อเนื่องในตอนเที่ยง พนักงานทุกคนเลยได้กินข้าวเที่ยงตั้งแต่ 11 โมง

เป็นเมนูหมูนึ่งข้าวคั่วและปลาตะเพียนตุ๋นฝีมือหลินม่าย ป้า ๆ และเสี่ยวลี่ต่างกินจนอิ่มหนำแล้วตั้งใจทำงานอย่างขันแข็ง

ที่โรงพยาบาลผู่จี้

เหล่าพยาบาลที่ทำงานอย่างหนักแทบไม่ได้พักอยู่ตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็ได้พักเที่ยงกินข้าวเสียที

หัวหน้าพยาบาลจัดเวรที่ต้องทำงานตอนเที่ยงเรียบร้อย เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้ไปที่โรงอาหารพร้อมกล่องข้าวกลางวัน

พยาบาลสาวคนหนึ่งกลับไม่อยากจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร

เพราะสำหรับเธออาหารที่นั่นไม่ค่อยถูกปาก ก็เลยอยากจะออกไปซื้อข้างนอก

รุ่นพี่หลายคนเลยเริ่มแนะนำร้านที่น่าสนใจให้เธอ

รุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำว่า “ไปที่ถนนเจี่ยเฟิงข้างโรงพยาบาลสิ มีของกินเยอะเลย”

พยาบาลสาวสองสามคนมาที่ถนนเจี่ยเฟิงอย่างตื่นเต้น

หล่อนหยุดอยู่ที่หน้าร้านของหลินม่าย มองขึ้นไปที่ป้ายร้าน “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน อ้อ นี่ใช่ร้านของน้องสาวอาจารย์ฟางหรือเปล่านะ ไปกินข้าวร้านหล่อนกันเถอะ ทุกครั้งที่หล่อนเอาอาหารมาให้อาจารย์ฟางนะ กลิ่นหอมน่ากินมาก น่าจะอร่อย”

หล่อนเอ่ยชวนเพื่อน ๆ “มา ๆ ไปกินเกี๊ยวกันดีกว่า”

ส่วนพยาบาลอีกคนก็จ้องไปที่หลูจู่แล้วลอบกลืนน้ำลาย “ฉันเอาหลูจู่ชามใหญ่ละกัน”

โหมวตานเองก็ออกมากินข้าวกับพยาบาลกลุ่มนี้ พอเห็นว่าทุกคนจะเข้าไปที่ร้านของหลินม่ายก็ไม่ถูกใจขึ้นมา

“ฉันไม่กินร้านนี้แล้วนะ เคยกินครั้งที่แล้วแล้วท้องเสีย น่าจะไม่สะอาด”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็ตอบเสียงดัง “ร้านนั้นอาหารสกปรกมาก เอาทั้งปอดหมูไส้หมูมาต้มให้คนกิน ไม่รู้ว่าล้างสะอาดหรือเปล่ากินแล้วจะไม่ท้องเสียได้ยังไง”

เสียงนั้นทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังจะไปที่ร้านของหลินม่ายเริ่มลังเล

………………………………………………………………………………………………………………………

*ลิ่วลิ่วต้าซุ่น 六六大顺 คำอวยพรให้มีความสงบสุขราบรื่น เสี่ยวลี่เปรียบเทียบว่าเงินหก ( 六) หยวน เท่ากับคำอวยพรให้ชีวิตราบรื่น เพราะมีตัว 六 อยู่ในประโยคนั้น

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อคิดถูกที่ขาย ยิ่งอากาศเย็นๆ แล้วกินปิ้งย่างแกล้มเหล้าก็คือฟิน

เอาป้าหูไปเก็บทีสิ รำคาญ ขัดลาภคนอื่นอยู่ได้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 129 ลองขายเซาเข่า

วันนี้เป็นวันที่งานยุ่งมากทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลาห้าโมงเย็นจึงเลิกงาน

หลินม่ายมอบซองแดงให้ป้าแม่ครัวทั้งสามตามเทศกาลคนละ 5 หยวนก่อน เพราะพวกหล่อนต้องเลิกงานแล้ว ส่วนเสี่ยวลี่ยังต้องช่วยงานล่วงเวลาต่อสำหรับการขายเซาเข่าในตอนเย็น

เสี่ยวลี่เห็นว่าซองแดงที่หลินม่ายมอบให้เหล่าแม่ครัวนั้นค่อนข้างมาก เธอก็พอจะเดาได้ว่าหลังงานกะกลางคืนวันนี้จบลง ตัวเองก็จะได้รับเงินจำนวนมากเช่นเดียวกัน หล่อนจึงทำงานต่อไปอย่างอารมณ์ดี

วันนี้เป็นวันแรงงาน หลินม่ายเลยมีมื้อพิเศษให้เป็นซี่โครงหมูตุ๋น ทั้งสามรีบกินข้าวเย็นด้วยกันเพื่อรีบไปทำงานต่อ

หลินม่ายนำเสี่ยวลี่และโจวฉายอวิ๋นไปยังเตาย่างสองเตาที่ตั้งอยู่หน้าร้าน

พวกหล่อนไม่ได้มีถ่านอัดที่ใช้สำหรับทำเซาเข่าโดยเฉพาะ เลยใช้เป็นถ่านโค้กแทน

ข้อดีของการใช้ถ่านโค้กก็คือ ไม่มีควันจากการเผามากนักและให้ความร้อนสูง

แต่ก็มีข้อเสียคือเปลวไฟจะแรงเกินไป ทำให้อาหารไหม้เร็ว ต้องใช้ความระมัดระวังในการย่าง

หลินม่ายมีประสบการณ์ล้นเหลือ เธอไม่มีปัญหากับข้อจำกัดเหล่านี้

ร้านของป้าหูข้างบ้านเองก็ได้อานิสงค์จากช่วงเทศกาลเช่นกัน วันนี้เป็นวันที่ร้านของหล่อนขายดีเป็นพิเศษ

เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำแบบนี้ ร้านของป้าหูก็เลิกงานกันแล้ว ทั้งครอบครัวของหล่อนออกมานั่งกินมื้อเย็นด้วยกันที่หน้าบ้าน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกำลังยุ่งอยู่กับการทำงานก็ลอบส่งสายตาเยาะเย้ยมาให้

ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว แต่ลูกค้าที่ผ่านไปมาเพื่อซื้อของก็ยังดูบางตากว่าที่คาดเอาไว้ ทำให้พวกร้านรวงต่าง ๆ และพ่อค้าแม่ค้าที่มารอขายของต้องทำงานหนักเพื่อเรียกลูกค้า

ร้านอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เองก็รู้สึกว่ามันเงียบเกินไปจริง ๆ พวกเขามองหลินม่ายด้วยรอยยิ้มเจื่อน

โจวฉายอวิ๋นมองไปที่ถนน เห็นว่ามีรถขับผ่านไปมาน้อยกว่าตอนกลางวันครึ่งหนึ่งก็เริ่มกังวล “แบบนี้จะมีใครมากินเซาเข่าไหมเนี่ย”

“ต้องมีสิ น่ากลัวว่าจะเตรียมของมาน้อยเกินไปด้วยซ้ำ” หลินม่ายยังคงมีท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ

เซาเข่าใส่ยี่หร่าส่งกลิ่นหอมมาก ในยุคที่หาของอร่อยกินได้ไม่มากแบบนี้ใครจะอดใจไหว

หลินม่ายเริ่มเอาเนื้อสัตว์และผักที่เตรียมไว้ออกมาขึ้นเตาย่าง เธอนำมะเขือม่วงย่างบนกระทะร้อน ซึ่งข้าง ๆ กันมีหลูจู่

แค่กลิ่นหอมของหลูจู่ก็ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มน้ำลายสอแล้ว

พอเจ้าของร้านสาวโรยผงยี่หร่าและพริกป่นลงไป บรรดานักกินทั้งหลายที่ผ่านไปมาก็ก้าวเข้ามาที่หน้าร้านเพื่อถามซื้ออาหารของเธอ

หลินม่ายแนะนำเมนูทั้งหมดพร้อมราคาให้พวกเขา

ในยุคนี้พวกถั่วฝักยาวและผักต่าง ๆ มีราคาเพียงชั่งละหนึ่งถึงสองเหมาเท่านั้น

แต่พอเอามาเสียบไม้ขายก็เพิ่มมูลค่าได้ ราคาต่อหนึ่งไม้แทบจะซื้อผักสดได้หนึ่งชั่ง

แม้ว่าลูกค้าจะรู้แบบนั้น แต่พวกเขาก็สนใจเรื่องความอร่อยของมันมากกว่าจึงยอมจ่าย

ป้าหูที่มายืนสังเกตการณ์พอได้ยินราคาอาหารก็ลอบกลืนน้ำลายแล้วบ่นว่า “นี่แค่ผักเสียบไม่เองนะ ขายแพงขนาดนั้นมีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะยอมซื้อ”

ทำเอาลูกค้าที่รอซื้ออาหารอยู่หันมามองตาเขียว เริ่มนึกฉุนกับคำพูดนั้น หลังจากนั้นก็หันกลับไปเลือกซื้อเซาเข่า

เห็นแบบนั้นหญิงชราจึงบ่นพึมพำอย่างโกรธเคือง “ต้องโง่ขนาดไหนถึงซื้อมากินเนี่ย”

ลูกค้าได้ยินแบบนั้นจึงยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่ “ป้านั่นแหละโง่ ก็เห็นโง่กันทั้งบ้านอ่ะ”

พอถูกตอกกลับแบบนั้น หล่อนเลยยอมถอยกลับไปที่ร้านตัวเองแล้วมองร้านข้าง ๆ ขายดิบขายดีอย่างแค้นเคือง

เซาเข่าหอมมาก ทั้งที่ยังไม่ทันได้ชิมก็สัมผัสถึงความอร่อย

โต้วโต้วเดินมาที่ด้านข้างแม่ของเธอ ใบหน้าเล็ก ๆ เงยขึ้นมองหลินม่าย “แม่จ๋า หนูก็อยากกิน”

หลินม่ายเหล่มองลูกสาวยิ้ม ๆ “ลูกเพิ่งจะกินเกี๊ยวชามใหญ่ไปตอนเย็น ย่อยหมดแล้วเหรอ หิวเร็วจังเลย”

ถึงจะถามแบบนั้น แต่หลินม่ายก็นำหมูย่างสามชิ้น มะเขือม่วงย่าง ถั่วฝักยาว และมันฝรั่งเสียบไม้สองสามชิ้น โรยกระเทียมใส่จานให้ลูกกิน

ไม่นานนักคนที่มากินเซาเข่าก็แน่นร้าน

โจวฉายอวิ๋นต้องย้ายโต้วโต้วไปกินอาหารที่ม้านั่งเล็ก ๆ หน้าร้านแทน

ป้าข้างบ้านเห็นแบบนั้นก็เริ่มกระวนกระวายกับความอยากชิมเซาเข่าฝีมือหลินม่าย

ป้าหูมองหลินม่ายเป็นศัตรูตัวฉกาจ แล้วหล่อนจะเข้าไปซื้อเซาเข่าที่ร้านได้ยังไงกัน

หล่อนตีหยางหยางเข้าหนึ่งครั้งแล้วไล่หลานชายให้กลับเข้าบ้านไปนอน

ในที่สุดงานทั้งหมดของคุณหมอฟางประจำวันนี้ก็จบลง เขาตรงไปหาหลินม่ายที่ร้านทันทีที่เลิกงาน

พอโต้วโต้วเห็นคุณอาคนโปรด ก็รีบตรงเข้าไปหาเข้าพร้อมกับเนื้อหมูย่างที่เธอจงใจเหลือไว้กินเป็นอย่างสุดท้าย

เด็กน้อยรีบบอกอย่างตื่นเต้น “คุณอาคะ มากินเซาเข่าเร็ว เซาเข่าของแม่อร่อยมาก มีมะเขือม่วงย่างด้วย”

ชายหนุ่มเข้ามาอุ้มเด็กน้อยขึ้นในอ้อมแขนแล้วกินหมูย่างที่เจ้าตัวเล็กป้อนให้

ด้านนอกของหมูย่างกำลังเกรียมได้ที่แต่ข้างในยังมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ หอมเครื่องเทศและยี่หร่า มีรสเผ็ดติดลิ้นของพริกป่น เป็นรสชาติที่น่าทึ่งมาก

คุณอาพยักหน้าให้หลานสาวหงึกหงัก “อื้ม…อร่อยมากจริงด้วย”

จากนั้นก็มองไปที่เด็กน้อยในอ้อมแขนแล้วเอ่ยชมขึ้นมา “วันนี้ใส่ชุดใหม่เหรอ สวยจังเลย”

โต้วโต้วชี้ไปทางแม่ของเธอที่ทำงานอยู่แล้วถามบ้าง “แม่ก็ใส่ชุดใหม่เหมือนกัน สวยไหมคะ”

คุณหมอฟางมองตามไป เห็นหลินม่ายสวมชุดที่เขาเป็นคนซื้อให้ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “สวยมาก”

วันนี้หญิงสาวร่างบางดูสวยไปหมดแม้จะผิวคล้ำไปบ้างก็ตาม

พอได้ยินคำตอบจากคุณอาเด็กน้อยตัวแสบก็เอามือป้องปากตะโกนไปที่แม่ของเธอว่า “แม่คะ คุณอาชมว่าแม่สวยมาก”

เสียงดังนั้นทำเอาคนในร้านหลายคนหันมามอง

แม้ว่าหลินม่ายจะมีรูปร่างที่ได้สัดส่วนและใบหน้าจิ้มลิ้ม แต่เพราะผิวพรรณที่ดำคล้ำไม่ได้ขาวกระจ่าง ทำให้ผู้คนต่างมองข้ามความงามในส่วนอื่น ๆ ไป จะหาคนมาชมว่าสวยก็แทบจะไม่มี

ถ้าพินิจดูอย่างจริงจังแล้ว หลินม่ายไม่ได้จัดว่ามีรูปร่างหน้าตาที่แย่เลยซักนิด เพียงแค่มองข้ามเรื่องสีผิวไป เธอก็คือคนสวยคนหนึ่ง

ป้าหูข้างบ้านยังอยู่ บ่นพึมพำกับตัวเองขึ้นมา “อ๋อ ที่เอาชุดใหม่มาใส่แต่เช้าคือตั้งใจรออ่อยผู้ชายนี่เอง”

เสียงนั้นเบามากจนหลินม่ายไม่ได้ยิน

หญิงสาวอยู่ในอาการเขินอายเมื่อลูกตะโกนออกมาแบบนั้น

ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปใกล้เธอพร้อมลูกสาวในอ้อมแขนแล้วเริ่มชม “เซาเข่าอร่อยมาก”

หลินม่ายรีบดึงสติตัวเองกลับมา “มีอันที่อร่อยกว่านี้อีก”

คุณหมอฟางถามด้วยรอยยิ้ม “ไหน มีอะไรอีก”

“คากิกระทะร้อน”

หลินม่ายขอให้โจวฉายอวิ๋นเอาคากิที่หมักไว้ออกมาย่างบนกระทะ เกิดเสียงฉู่ฉ่าน่ากินเป็นพิเศษ

เห็นคุณลูกค้าสุดหล่อยืนมองอย่างตั้งอกตั้งใจก็ยิ้มแล้วพูดกับเขาว่า “ยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลยใช่ไหม พี่ฉายอวิ๋นเก็บเกี๊ยวไว้ให้จานใหญ่ไว้ให้คุณแหน่ะ”

แต่โต้วโต้วรีบแย้งขึ้น “แม่ไม่ได้เป็นคนบอกให้ป้าเก็บไว้ให้คุณอาหรอกเหรอคะ”

สุดท้ายคนถูกจับได้ก็กลับมาเขินอีกครั้งหลังจากที่พยายามอย่างมากในการดึงสติตัวเองกลับมาเมื่อครู่ สองข้างแก้มซับสีเลือดอย่างน่าเอ็นดู คนเป็นแม่หันไปเอ็ดลูกสาวจอมแสบแก้เก้อ “ไม่ต้องพูดเลย ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าเป็นใบ้หรอกน่า”

เด็กน้อยยิ้มอย่างซุกซน

หลังจากที่ฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวจนหมด หลินม่ายก็ทำคากิกระทะร้อนเสร็จพอดี

ระหว่างที่กำลังจัดใส่จาน ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วชี้ไปที่คากิของเธอ “ผมอยากได้เหมือนอย่างนี้ที่นึงครับ”

หลินม่ายยิ้มแล้วเอ่ยปฏิเสธ “อ้อ เมนูนี้เราไม่ได้ทำขายน่ะค่ะ”

ลูกค้าเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมไม่ขายล่ะ กลัวผมจ่ายไม่ไหวเหรอ ผมมีเงินนะ”

ฟางจั๋วหรานจึงตรงเข้ามาตอบแทน “ผมซื้อแล้วครับจานนี้” หลังจากนั้นก็ถือคากิจานนั้นไป

ทำให้ลูกค้าต้องยอมแพ้แล้วสั่งหมูย่างกับผักย่างไปหลายไม้และยังถูกดึงความสนใจด้วยมะเขือม่วงกับกระเทียมย่างหอม ๆ เขาจึงสั่งมันเพิ่มไปด้วย เพราะเห็นว่านั่นก็เป็นเมนูที่น่ากินเช่นกัน

ลูกค้าหนุ่มพึมพำขึ้นมา “คากิคงมีน้อยจนไม่พอขาย ไม่รู้จะไปหากินที่ไหนแล้วเหมือนกัน”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบลูกค้า “มันหาซื้อยากจริง ๆ ค่ะ”

ชายคนนั้นมีสีหน้าเสียดาย “เฮ้อ ถึงผมจะทำงานที่ปศุสัตว์ แต่น่าเสียดายที่ทำอยู่แผนกสัตว์ปีก ไม่งั้นก็คงช่วยคุณหาคากิมาย่างกระทะร้อนขายให้ผมได้”

พอได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็รีบถามต่ออย่างตื่นเต้นทันที “พี่ชาย คุณทำงานอะไรในแผนกสัตว์ปีกเหรอคะ”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เรือนี้ก็เครื่องแรงไม่เคยแผ่ว ยิ่งกว่าไฟย่างเซาเข่าอีก

ตีสนิทไว้เลยม่ายจื่อ เผื่อได้แหล่งวัตถุดิบ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 128 ความช่วยเหลือจากเฉินเฟิง

หลินม่ายไม่ได้ตื่นตระหนก และยังพูดเสียงดังให้คนผ่านไปมาได้ยินด้วย “ถ้าทุกคนเห็นแบบนั้นก็ไปแจ้งตำรวจกันเลย”

เธอกล้าท้าแบบนั้นเพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่ผิด อีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพ

พวกนี้คงจะมาเพื่อหลอกเอาเงินจากเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็น่าจะไม่ได้ท้องจริง ๆ

ถ้าท้องจริง ต่อให้เป็นมิจฉาชีพก็น่าจะค่อย ๆ ทำท่าล้มเพื่อไม่ให้เด็กทารกได้รับอันตราย

แต่ผู้หญิงคนนี้ตั้งใจล้มลงอย่างแรง เห็นแล้วยังแอบเจ็บแทน

หล่อนมีพิรุธอยู่หลายอย่าง ทำให้หลินม่ายค่อนข้างแน่ใจว่าคงเป็นท้องลมมากกว่า

ถ้าไม่ได้ท้องจริง ๆ แบบนี้ก็จัดการไม่ยาก แค่เรียกตำรวจมาพิสูจน์ พาไปตรวจที่โรงพยาบาล ความจริงก็คงเปิดเผย

มีหน้าม้าบางคนลอบซุบซิบกัน โดยที่หลินม่ายไม่ทันได้สังเกต พวกนั้นเหมือนจะมีแผนอะไรเพิ่มมาอีกเพื่อรับมือกับเหยื่อแบบนี้

ในตอนนั้นเองก็มีชายอีกคนแหวกฝูงชนเข้ามาหญิงท้องปลอม ๆ คนนั้นแล้วตะโกนขึ้นมา “ภรรยา เกิดอะไรขึ้น ทำไมไปนั่งอยู่แบบนั้น”

หล่อนทำทีรีบชี้ไปทางหลินม่ายแล้วตอบว่า “หล่อนขับรถชนฉันค่ะ แล้วไม่อยากรับผิดชอบ แทนที่จะพาไปหาหมอแล้วจ่ายค่ารักษา ยังจะบอกให้อยู่รอตำรวจก่อนอีก”

ชายคนนั้นยืนขึ้นทันที เขาตรงเข้ามากระชากแขนหลินม่ายอย่างแรงด้วยดวงตาแดงฉาน “จ่ายเงินมาเดี๋ยวนี้ มาทำร้ายภรรยาฉันแล้วจะไม่ยอมรับเหรอ ถ้าไม่จ่ายมาหนึ่งพันก็ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น”

พวกหน้าม้าก็พากันออกเสียงสำทับ “ใช่ จ่ายมาเลย ๆ ”

หลินม่ายวาดขาเตะชายที่มากระชากเธอเต็มแรงจนร่างนั้นล้มลงกับพื้น “อยากให้จ่ายก็เรียกตำรวจมา ถ้าผิดจริงฉันจะจ่ายให้เลย”

เหล่าหน้าม้ารีบตะโกนเสียงดัง “เฮ้ย ทำไมทำร้ายคนอื่นแล้วไม่รับผิดชอบ”

“ชนคนไม่ยอมรับผิดไม่พอยังทำร้ายร่างกายคนอื่นเพิ่มอีก อย่าปล่อยให้หนีไปได้นะ”

หญิงสาวไม่สนใจเสียงพวกนั้น แล้วพูดเสียงกับคนอื่น ๆ ที่ผ่านไปผ่านมาแล้วหยุดดูอยู่รอบ ๆ “ใครก็ได้เรียกตำรวจหน่อยค่ะ”

ชายคนหนุ่มคนหนึ่งตอบเธอ “เดี๋ยวผมโทรให้”

พวกหน้าม้าลืมตัวไปชั่วขณะแล้วหันไปส่งสายตาข่มขู่เขาอย่างกดดัน “อย่ามายุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่าน่า”

เห็นว่าพวกนี้ออกอาการมากเมื่อรู้ว่าจะเรียกตำรวจมา จะไม่ให้น่าสงสัยได้อย่างไร

เธอพอจะเข้าใจดีกว่าคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้อยากจะมายุ่งเรื่องที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนเท่าไร หลายคนเลี่ยง ๆ ที่จะเข้ามายุ่ง

ผู้ชายพลเมืองดีคนนั้นพอรู้ตัวว่ากำลังจะเดือดร้อนถ้าเข้ามายุ่งก็เลยถอยไป

เขาก็อยากจะช่วยเธอ แต่ก็ไม่อยากให้ตัวเองโดนร่างแหไปด้วย

พอเห็นว่าไม่มีใครกล้ามาช่วย พวกมิจฉาชีพเลยได้ใจ พากันปีนขึ้นมาบนรถของเธอแล้วล้อมรถไว้ด้วยท่าทางคุกคาม

หัวหน้าหน้าม้าพูดต่อ “จ่ายมาพันหยวน แล้วเราจะยอมปล่อยเธอไป”

หลินม่ายเริ่มคิดหาทางออกในหัวด้วยความร้อนรน ในตอนนั้นเองก็มีเสียงเนือย ๆ ของชายหนุ่มที่ฟังดูทรงอำนาจดังขึ้นมา “ไอ้หัวถั่วงอก ไปกินดีหมีมาจากไหนถึงกล้ามาหาเรื่องในถิ่นฉัน”

มิจฉาชีพที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าหันไปตามเสียงนั้น แล้วเห็นว่าเป็นเฉินเฟิงที่เดินเข้ามาอย่างสบาย ๆ พร้อมกับเหลียนเฉียวและลูกน้องอีกคนที่ชื่อเลี่ยเป้า ทั้งสามมองมาทางนี้ด้วยสายตาเย็นเยือก

ที่คนผู้นั้นโดนเรียกว่าหัวถั่วงอกเพราะเป็นคนหัวโตแซ่เหยียน* เขาจึงได้ฉายานี้มา

* ฉายา เหยียนต้าโถว แปลตรงตัวว่า คนหัวโตแซ่เหยียน

ไอ้หัวถั่วงอกและหญิงท้องลมพวกนี้ต่างอยู่ใต้อำนาจของเฉินเฟิง ได้ยินแบบนั้นก็พากันหน้าซีดเผือด

ไอ้หัวถั่วงอกรับโค้งคำนับเฉินเฟิงด้วยความหวาดกลัว “พวกเรา…ไปกันเถอะ…ลูกพี่เฟิง…อย่าถือสาพวกเราเลยนะ…”

ชั่วพริบตาเหล่ามิจฉาชีพก็วิ่งหนีหายไปไม่เห็นฝุ่น

โดยเฉพาะผู้หญิงท้องคนนั้นที่วิ่งเร็วกว่าใครเพื่อน ประหนึ่งว่าเคยเป็นนักกีฬาโอลิมปิก

หลินม่ายลงจากรถเพื่อขอบคุณเฉินเฟิง “ขอบคุณที่ช่วย”

ชายหนุ่มยกยิ้มก่อนจะถามติดตลกว่า “แค่ขอบคุณเหรอ”

หลินม่ายยิ้มค้าง ชะงักนิ่ง จากนั้นก็หยิบเอาธนบัตรสิบหยวนออกมาส่งให้เขาด้วยมือสองข้างพร้อมกันอย่างนอบน้อม “สินน้ำใจมอบให้ลูกพี่เฟิงที่เคารพ เผื่อจะเอาไปใช้สังสรรค์”

เฉินเฟิงเอามือปิดปากแล้วโต้ตอบกับเธอ “ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ไปด้วยกันไหมน้องสาว เลี้ยงข้าวกันซักมื้อ”

หลินม่ายปฏิเสธ “วันนี้ไม่ว่าง”

“งั้นก็นัดมาสิ”

หลินม่ายหมดอารมณ์จะล้อเล่นต่อ เธอจึงตอบเขาอย่างฉุน ๆ “นี่ ถึงวันนี้คุณจะช่วยฉัน แต่ก่อนหน้านี้ฉันก็ช่วยคุณแล้วไง ก็ถือว่าเสมอกันไป ทำไมต้องเลี้ยงข้าวด้วยหา”

พอเห็นเธออารมณ์เสียเขาจึงแก้อย่างยิ้ม ๆ “ล้อเล่นหรอกน่ะ ทำจริงจังไปได้” พูดจบเขาก็หันกายเดินจากไป

เหลียนเฉียวที่มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่มีสีหน้าขุ่นมัว มองการหยอกล้อกันระหว่างหลินม่ายและเฉินเฟิงด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะคลายลงเมื่อเขาเดินออกไปก่อน หล่อนจึงก้าวตามไปด้วย

หล่อนเข้าใจว่าเฉินเฟิงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการทำความรู้จักกับหลินม่ายให้มากขึ้นกว่าเดิม

แต่ไม่คาดว่าเขาจะแค่แหย่อีกฝ่ายเล่นแล้วก็กลับ นั่นทำให้หญิงสาวสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

เหลียนเฉียวแกล้งถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “ทำไมอยู่ ๆ ถึงได้ไปช่วยผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

เฉินเฟิงตอบกลับระหว่างที่ยังเดินนำอยู่ข้างหน้าโดยไม่ได้หันมามอง “หล่อนเคยช่วยฉันไว้ครั้งหนึ่งตอนที่บาดเจ็บ”

เหลียนเฉียวโล่งใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

เจ้านายของเธอถือเรื่องบุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ

หญิงสาวคนนั้นเคยช่วยเขาเอาไว้ เขาก็เลยเข้าไปหาเธอที่กำลังเจอเรื่องยุ่งยาก เพื่อช่วยเธอเป็นการตอบแทน

เพราะวันนี้ได้ตอบแทนน้ำใจของหลินม่ายแล้ว เขาถึงได้กลับออกมาอย่างสบายใจสินะ

ตราบใดที่เขาไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร

เมื่อเฉินเฟิงและพรรคพวกจากไป หลินม่ายก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบออกรถไปที่ตลาดสหกรณ์ของรัฐ

เธอสั่งเครื่องในหมูและปอดหมูเอาไว้อย่างละสองขีดครึ่งที่ร้านและยังไม่ได้ไปเอา

บ่ายสองหลินม่ายก็ได้ของทั้งหมดกลับไปที่ร้าน

วันนี้ช่วงเที่ยงร้านของเธอไม่ได้ขายเพียงแค่ หลูจู่ ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมู และข้าวผัดไข่ อย่างทุกวัน

ยังมีซาลาเปา เกี๊ยวต้ม ข้าวหมาก ที่ขายต่อเนื่องตั้งแต่ตอนเช้า แล้วก็เพิ่มเมนูใหม่เป็น ต้มเลือดหมูกับเกี๊ยวทางเหนือ

เพราะเป็นวันหยุด แถมที่ร้านยังมีอาหารให้เลือกสั่งหลายเมนูกว่าร้านอื่น ๆ บนถนนสายนี้ ทำให้ผู้คนมากินอาหารที่นี่จนคนแทบจะล้นออกมานอกร้าน

ถึงทุกคนจะอยู่ทำงานล่วงเวลากันหมด แต่ก็ยังทำงานกันแทบไม่ทัน

หลินม่ายรีบเอาเครื่องในที่ได้มาเข้าไปเก็บ ดื่มน้ำเย็น ๆ สองแก้วอย่างรีบ ๆ แล้วออกไปช่วยงานในร้าน

เสี่ยวลี่เดาว่าเจ้านายคงไม่ได้กินมื้อเที่ยงมา เลยส่งซาลาเปาให้เธอ

หลินม่ายกินซาลาเปาไปด้วยระหว่างที่ง่วนอยู่กับการทำข้าวผัดไข่ขาย

หลังจากที่หลูจู่ ซุปไชเท้า ต้มเลือดหมู ข้าวเปล่า และข้าวผัดไข่ ถูกขายจนหมด ความยุ่งเหยิงในร้านก็ค่อย ๆ เบาบางลง

แต่ซาลาเปายังถูกทำเติมมาเรื่อย ๆ แล้วขายต่อไป

เป็นช่วงน้ำขึ้นแล้วต้องรีบตักตวงเอาไว้ให้ได้มาก ๆ

และหลินม่ายยังมองว่าช่วงเทศกาลคนมากินเยอะขนาดนี้น่าจะช่วยสร้างชื่อเสียงแบบปากต่อปากให้กับซาลาเปาของร้านไปในตัว

หลินม่ายเอาเนื้อขาหมู 20 ชั่งที่ซื้อเมื่อเช้าออกมาล้าง หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วหมักเตรียมไว้

ตามด้วยการล้างเครื่องใน ปอดหมู คากิ ที่สั่งมาจากตลาดสหกรณ์ของรัฐ หมักทั้งหมดเอาไว้ แล้วถีบสามล้อไปหานายช่างจาง

เมื่อนายช่างเห็นว่าเธอมาแล้วจึงแอบบ่นด้วยรอยยิ้มว่า “ไหนว่าจะมาเอาตั้งแต่เที่ยง ทำไมเพิ่งมาล่ะ”

หลินม่ายกล่าวขอโทษ “ฉันยุ่งนิดหน่อย” เธอรีบจ่ายเงินส่วนที่เหลือ

นายช่างจางช่วยเธอยกเตาย่างขึ้นไปวางบนรถสามล้อ

เมื่อเรียบร้อยแล้วหลินม่ายก็ขนของทั้งหมดกลับไปที่ร้าน โจวฉายอวิ๋นและคนอื่น ๆ เตรียมปอกมันฝรั่ง ล้างผักและทิ้งให้สะเด็ดน้ำรออยู่แล้ว

พนักงานสองคนสาละวนอยู่กับอุปกรณ์ย่างเซาเข่า โดยไม่รู้ว่าต้องใช้งานมันยังไง

หลินม่ายไม่มีเวลาจะมาอธิบายเลยเปลี่ยนงานให้พวกเธอไปช่วยกันเสียบไม้เนื้อสัตว์และผักที่เตรียมไว้แทน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เรือลูกพี่เฉินเพิ่งจะได้แล่นก็ตอนนี้ล่ะ หลังปล่อยให้เรือพี่หมอแล่นนำมาตั้งนาน

เสน่ห์แรงจริงม่ายจื่อเอ๊ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 127 มิจฉาชีพในคราบหญิงท้อง

หลังจากวิ่งวุ่นไปมาเพื่อจัดการงานต่าง ๆ หลินม่ายก็กลับมาถึงบ้านตอนสามทุ่ม โต้วโต้วเข้านอนไปแล้วเรียบร้อย

โจวฉายอวิ๋นทำแป้งจี่ไข่อุ่น ๆ ในกระทะเตรียมไว้รอเธอ

ทันทีที่หลินม่ายกลับเข้ามา คนเป็นพี่ก็วางแป้งจี่ลงบนโต๊ะทันที บอกให้เธอรีบกินตอนที่ยังร้อน พร้อมรินน้ำอุ่นให้อีกหนึ่งแก้วด้วยท่าทางครุ่นคิด

เธอเริ่มถามขึ้นมาว่า “ที่รีบออกไปก็คือเพื่อไปซื้อผักนี่น่ะเหรอ ทำไมถึงซื้อมาล่ะ”

หลินม่ายกินแป้งจี่ไข่ด้วยความหิวพร้อมตอบ “ทำเซาเข่าน่ะ”

เป็นคำตอบที่เรียกความประหลาดใจให้โจงฉายอวิ๋นขึ้นมา “ใช้ผักทำเซาเข่ายังไงนะ”

หลินม่ายจิบน้ำเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “รอดูพรุ่งนี้จะรู้เอง เดี๋ยวมาลองทำด้วยกันพี่จะเข้าใจเองว่าใช้ผักทำยังไง พี่ไปต้มน้ำให้ฉันหน่อยสิ ฉันจะรีบอาบน้ำรีบไปนอน จะได้มีแรงทำงานหนักวันแรงงาน”

หลังจากกินมื้อค่ำแบบง่าย ๆ หลินม่ายก็ไปอาบน้ำแล้วหลับไปทันทีที่หัวถึงหมอน

เช้าวันต่อมาเธอก็รีบตื่นตอนหกโมงเช้า

อากาศเดือนพฤษภาคมร้อนมากแล้ว หลินม่ายสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้ที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้เพื่อคลายร้อน

คุณหมอฟางเป็นคนตาถึงมาก และยิ่งเสื้อผ้าสวย ๆ พวกนี้มาอยู่บนร่างกายของเธอก็ทำให้คนยิ่งดูดีขึ้นไปอีก

พอลงไปชั้นล่างก็พบว่าโจวฉายอวิ๋นกำลังรับเนื้อหมูจากเจ้าของเขียงหมูอยู่ที่หน้าร้าน

เธอรีบเข้าไปถามเจ้าของร้านว่า “คุณเอาแค่หมูที่ฉันสั่งมาเหรอ”

เจ้าของร้านยื่นเลือดหมูทั้งถังให้โจวฉายอวิ๋นแล้วส่ายหัวพร้อมตอบว่า “เปล่าครับ ผมเอาหมูที่จะขายทั้งหมดวันนี้มาด้วย แวะเอาของที่คุณสั่งมาส่งแล้วเดี๋ยวจะไปตลาดต่อ”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็รีบเข้าไปดู “พอดีเลย”

เธอกำลังกังวลเรื่องเซาเข่า เพราะยังไม่ได้เตรียมหมูสำหรับส่วนนี้เอาไว้

หญิงสาวเลือกซื้อเนื้อขาหมูมาเพิ่มอีก 20 ชั่ง คากิ และซี่โครงหมู อย่างละไม่มาก

เจ้าของร้านเองก็ดีใจที่ขายหมูไปได้เยอะทั้งที่ยังไปไม่ถึงตลาด เป็นนิมิตรหมายที่ดีของวันนี้

หลินม่ายจ่ายเงินทั้งหมดให้เขา พ่อค้าก็รับเงินแล้วขับสามล้อจากไปอย่างมีความสุข

เจ้าของร้านสาวหยิบแปรงสีฟันแล้วไปล้างหน้าที่สวนด้านหลัง ขอให้โจวฉายอวิ๋นทำบะหมี่ให้กิน กินเสร็จจะได้เอาสัตว์ปีกทั้งหลายออกไปขายที่ตลาดมืด

โจวฉายอวิ๋นมองไปที่ท้องฟ้าข้างนอกที่เริ่มจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย “ออกไปตั้งแผงตั้งแต่เช้ามืดขนาดนี้จะมีคนไปซื้อเหรอ”

“มีคนซื้ออยู่แล้ว ขนาดคนขายหมูยังไปตั้งแผงแล้วเลย”

โจวฉายอวิ๋นทำบะหมี่ให้เธอแบบตั้งใจเพิ่มไข่ลวกลงไปเป็นสองฟอง

หลินม่ายกินบะหมี่เสร็จก็เอารถแทรกเตอร์ขนสัตว์ปีกกว่า 500 ตัวไปที่ตลาดมืด

ทันทีที่ตั้งแผงเสร็จก็มีคนท่าทางเหมือนอันธพาลเข้ามาเก็บค่าแผงลอย

หญิงสาวตกใจที่เห็นแบบนั้น เพราะเมื่อครั้งที่แล้วที่เคยเอาของมาขายที่นี่ไม่เคยพบเจอกับอะไรแบบนี้มาก่อน

หลินม่ายไม่ได้กลัวที่จะต้องจ่ายค่าแผงถ้าทุกอย่างสมเหตุสมผล

มีอะไรจะต้องกลัวกัน แต่ความจริงแล้วการขายของในตลาดมืดก็ไม่ควรจะต้องจ่ายค่าแผง เพราะที่นี่มันไม่ได้ถูกกฎหมายอะไรมาตั้งแต่แรก

ถ้าต้องมาจ่ายเงินค่าแผงแบบนี้ ก็เท่ากับเสียเงินไปเปล่า ๆ น่ะสิ

เธอเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง “ไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าต้องจ่ายค่าแผงด้วย”

นักเลงหัวเราะขึ้นมา “แล้วถ้าคนขายของไม่ยอมจ่ายค่าแผง คนดูแลอย่างพวกเราไม่อดตายกันพอดีหรือไง”

หลินม่ายตอบอย่างมั่นใจ “แต่ฉันรู้มาแบบนั้นจริง ๆ นะ ว่าใคร ๆ ก็ขายของที่นี่แบบไม่ต้องจ่ายเงินกันทั้งนั้น”

เธอไม่ได้บอกพวกเขาไปว่าตัวเองยังไม่ได้จ่ายเงิน เพราะกลัวว่าพวกเขาจะบังคับให้ต้องสูญเงินไปฟรี ๆ

นักเลงหรี่ตาแล้วเริ่มถาม “ไปได้ยินแบบนั้นเมื่อไรกัน”

“ก็ ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วน่ะ”

นักเลงหัวเราะขึ้นมาอีก “ช่วงนี้เมื่อปีที่แล้วพวกเรากลับบ้านหลังวันไหว้พระจันทร์ยาวไปถึงปีใหม่ ตอนนั้นไม่มีใครมาดูแลที่นี่ เลยไม่ได้เก็บเงินค่าแผงไง ตอนนี้มีคนมาดูแลแล้วเพราะงั้นก็ต้องจ่ายค่าแผงมา”

หญิงสาวถามต่ออย่างลังเล “ถ้าฉันจ่ายค่าแผง ฉันจะได้ขายของอย่างปลอดภัยใช่ไหม”

อันธพาลพวกนั้นพยักหน้าตอบ “ก็ประมาณนั้น”

“ถ้าฉันจ่ายให้คุณไปแล้ว จะมีใครมาเก็บเพิ่มทีหลังอีกไหม”

“ไม่มีอยู่แล้ว”

แม้ว่าเธอจะรู้ว่าคนพวกนี้ไม่ได้น่าเชื่อถืออะไรขนาดนั้น

แต่ถ้าไม่จ่ายเงินในตอนนี้ก็คงไม่เป็นอันขายของกันพอดี

เลยถามราคาค่าแผงกับพวกนั้น “ฉันต้องจ่ายเท่าไร”

กลุ่มอันธพาลมองไปที่รถแทรกเตอร์ของเธอแล้วชูสองนิ้ว “20 หยวน”

ได้ยินแบบนั้นหญิงสาวก็เบิกตากว้าง “แพงไปหรือเปล่า”

นักเลงเริ่มเข้าสู่โหมดการค้า อธิบายกับเธอ “ก็นี่เป็นแผงใหญ่ ใช้ที่เยอะ ของที่จะขายก็เยอะมาก ค่าแผงก็ต้องแพงสิ”

เขาชี้ไปยังแผงผักที่อยู่ถัดไปจากเธอ “แผงผักของป้าคนนี้ เราก็เก็บเงินแค่ 5 เหมา”

ทุกวันนี้ขายผักรายได้ไม่มาก ได้แค่ชั่งละไม่กี่เหมา

ค่าแผงผักจ่าย 5 เหมา เพราะงั้นขายเป็ดไก่แถมมีรถแทรกเตอร์ จะเรียกสัก 20 ก็คงจะสมน้ำสมเนื้อ

แต่หลินม่ายไม่ยอมง่าย ๆ เธอคิดว่ามันแพงเกินไป หลังจากต่อรองกันอยู่ซักพักพวกเขาก็ยอมให้เธอจ่ายเพียง 2 หยวนเป็นค่าแผง

ชาวเจียงเฉิงนิยมกินซุปไก่ ซุปเป็ดในวันหยุดช่วงหน้าร้อน

ทันทีที่พวกนักเลงเก็บค่าแผงจากไปหลังได้เงิน แม่บ้านหลายคนที่มาจ่ายตลาดสำหรับงานเทศกาลก็มารวมตัวกันเพื่อถามราคาเป็ดไก่ของเธอ

ไม่ค่อยมีใครรู้ราคาห่าน เพราะคนเจียงเฉิงไม่ค่อยนิยมกินมันมากนัก

ทั้งพ่อไก่แม่ไก่ราคาชั่งละ 2 หยวนเหมือนเดิม ส่วนเป็ดจะอยู่ที่ 1.5 หยวน

แม้จะไม่มีใครถามถึงห่าน แต่หลินม่ายก็เสนอราคาชั่งละ 2 หยวนให้พวกเขาเผื่อว่าจะมีคนสนใจ

ในตลาดมืดยังมีร้านค้าสัตว์ปีกร้านอื่น ๆ อยู่อีกเช่นกันนอกจากหญิงสาว แต่ไม่มีร้านไหนใหญ่เท่าของเธอ

ปกติแล้วร้านพวกนี้จะมีสัตว์ปีกให้เลือกแค่หนึ่งชนิด และมีให้เลือกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น

ทุกร้านขายในราคาพอ ๆ กัน แต่หลินม่ายมีให้เลือกมากกว่า เลยเป็นที่สนใจของลูกค้า

เพราะเธอเตรียมสัตว์ปีกมาขายกว่า 500 ตัว ทำให้ใช้เวลาตั้งแต่หกโมงเช้าถึงเที่ยงกว่าเป็ดไก่พวกนี้จะขายเกือบหมด

ตอนนี้เธอเหลือไก่อยู่สองตัว เป็ดหนึ่งตัว และห่านที่ยังขายไม่ออก

แม่บ้านส่วนใหญ่ไม่ชอบเนื้อห่านเพราะเป็นอาหารชูกำลังมีฤทธิ์ร้อน ถ้าเอาไปกินตอนหน้าร้อนจะยิ่งทำให้เป็นร้อนในได้

หลินม่ายคิดว่าถ้ารอบหน้าจะมาขายอีกคงต้องบอกคุณปู่ฟางว่าไม่เอาห่านแล้ว

แต่ก็ยังดีที่มีห่านอยู่แค่แปดตัว ในเมื่อขายไม่ได้ก็เก็บไว้กินเองตอนหนาวก็แล้วกัน

เพียงหกชั่วโมงหญิงสาวก็มีรายได้มากกว่า 400 หยวน ถือว่าคุ้มค่ามาก ๆ

หลินม่ายเตรียมขับแทรกเตอร์ออกไป

เธอทั้งเหนื่อย ทั้งหิว อยากกลับไปหาอะไรกิน นั่งพักเฝ้าร้านอาหารจะแย่แล้ว

ทว่าก่อนที่จะขับรถออกไปก็มีผู้หญิงท้องวิ่งเข้ามาล้มที่หน้ารถแทรกเตอร์ ส่งเสียงร้องโอดโอยว่าหลินม่ายชนเธอ

แล้วอยู่ ๆ ก็มีหน้าม้าอีกเจ็ดแปดคนเดินมาล้อมรถของเธอไว้ ทำทีเป็นคนผ่านมาเอาเรื่อง

หลินม่ายรู้ตัวในทันทีว่ากำลังเจอเข้ากับมิจฉาชีพ เธอจึงตอบพวกนั้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ฉันไม่ได้ชน หล่อนเข้ามาแล้วก็ล้มเอง”

ต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้ชัดก่อนที่คนผ่านไปผ่านมาจะเข้าใจผิดว่าเธอขับชนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะเข้าทางมิจฉาชีพพวกนี้ได้

ตอนนี้หลินม่ายนั่งอยู่บนรถ และยังมีผู้หญิงท้องนั่งอยู่ที่พื้นหน้ารถเธออีก เป็นภาพที่ทำให้เชื่อได้ว่าเธอขับรถชนจริง ๆ

หน้าม้าคนหนึ่งชี้หน้าเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ “นี่ยังมีความเป็นคนไหมเนี่ย ชนคนท้องแล้วไม่ยอมรับเหรอ”

หลินม่ายตะโกนกลับ “ก็บอกว่าไม่ได้ชน”

“ก็เห็นอยู่ว่าชน” หน้าม้าคนนั้นพูดอย่างจริงจัง “ฉันเห็นกับตาว่าคุณขับรถชนคนท้อง ยังจะมาปฏิเสธอีก”

หน้าม้าหลายคนก็เออออตามไป “ใช่ ๆ ฉันก็เห็น”

ส่วนคนที่ผ่านไปผ่านก็เริ่มยืนดูเหตุการณ์อยู่รอบ ๆ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มิจฉาชีพเยอะแท้ ม่ายจื่อสู้ชีวิตแต่ชีวิตสู้กลับอีกแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 126 เรื่องฉาวของสื่อเจินเซียง

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองสื่อเจินเซียงอย่างเฉยเมยแล้วเดินผ่านไป

สื่อเจินเซียงตรงเข้ามาหาเขาพร้อมใบหน้าแดงก่ำ ยื่นแอปเปิ้ลสองสามลูกในมือมาที่เขาแล้วพูดอย่างเขิน ๆ “อาจารย์ฟาง ฉันขอโทษเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานนี้ด้วยนะคะ แม่ฉันก็เป็นคนแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะหยุดแม่…”

ชายหนุ่มดูไม่ได้อยากจะเสวนากับหล่อนมากนัก เขาแสดงท่าทางเย็นชาอย่างไม่ปิดบัง “คุณไม่จำเป็นต้องมาขอโทษหรอก แค่อย่ามายุ่งกับผมอีกก็พอ”

หลังพูดจบ เขาก็เมินหล่อนแล้วเดินหนีไป

สื่อเจินเซียงไม่ยอมละความพยาม รีบวิ่งตามไปขวางหน้าเพื่อจะหยุดเขา

ทันทีที่หล่อนเอ่ยเรียก “อาจารย์ฟาง” ฟางจั๋วหรานก็หันไปบอกเจ้าหน้าที่ รปภ. ของโรงพยาบาลที่ยืนอยู่ทันที “ช่วยแจ้งตำรวจด้วยครับ มีคนตามมาก่อกวนผม”

เจ้าหน้าที่ รปภ. ได้ยินแบบนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแจ้งตำรวจทันที

รปภ. อีกสองคนเข้ามากันหล่อนออกไป

หญิงสาวรู้สึกผิดมากจนน้ำตาคลอ หล่อนมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำแล้วเอ่ยกับเขาอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาก่อกวนคุณเลยนะคะ ฉันแค่มาเพื่อขอโทษแทนแม่ของฉัน”

ชายหนุ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย “ผมบอกไปแล้วไงว่าไม่จำเป็นต้องมาขอโทษ ถ้ายังจะรบกวนกันอยู่แบบนี้ ที่คุณบอกว่าไม่ได้จะมาก่อกวนจริง ๆ ก็คงจะมาตามรังควานผมใช่ไหม”

สื่อเจินเซียงนิ่งอึ้งไป

หล่อนเพียงแค่อยากจะใช้การขอโทษแทนแม่มาเป็นข้ออ้างในการมาเจอและคุยกับเขาต่างหาก

แต่จะให้บอกไปตรง ๆ แบบนั้นได้อย่างไรกัน

เมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ตอบอะไร เจ้าหน้าที่ทั้งสองก็มองว่าเป็นการยอมรับข้อกล่าวหา พวกเขาจึงไล่หล่อนออกไปพร้อมกับส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้

ผู้หญิงหน้าไม่อายคนนี้มาตามรังควานคุณหมอถึงที่นี่เชียวเหรอ

เมื่อคุณหมอฟางเข้ามาถึงห้องทำงาน เขาก็ลงมือติดต่อคนที่จะมาช่วยจัดการกับสื่อเจินเซียงทันที

ต้องสั่งสอนให้เข็ดหลาบทั้งเรื่องที่มาวุ่นวายกับเขาและที่ไปหาเรื่องโจวฉายอวิ๋นเมื่อวานนี้

สื่อเจินเซียงยังไม่ทันได้เริ่มทำงานในช่วงเช้า ก็มีตำรวจมาหาหล่อนถึงที่ทำงาน และมาเตือนว่าให้หยุดตามรังควานคุณหมอฟาง

หลังจากนั้นคุณป้าอาสาสมัครชุมชนก็เข้ามา ทั้งสั่งสอน ตักเตือนเรื่องพฤติกรรมของหล่อนพร้อมกับกำชับว่าอย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้ฟางจั๋วหรานอีก

จนสุดท้ายหัวหน้างานต้องเรียกหล่อนไปคุย ว่าถ้าไปก่อกวนคุณหมออีกจะถูกไล่ออก

ทั้งสามฝ่ายเข้ามาตักเตือนหล่อนในช่วงเวลาไล่เลี่ยจนสื่อเจินเซียงรับมือไม่ทัน กลายเป็นคนมีข่าวฉาวในสายตาเพื่อนร่วมงานไปในทันที

ทุกคนรู้กันหมดว่าหล่อนทำตัวน่าละอายไปก่อกวนอาจารย์ฟางถึงโรงพยาบาล

สื่อเจินเซียงอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมา ความพิสมัยที่มีต่อชายหนุ่มก็เริ่มจางหายไปด้วย

หลินม่ายตกลงกับคุณปู่ฟางไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะให้ท่านช่วยซื้อเป็ดและไก่เตรียมไว้สำหรับขายวันแรงงาน เลยต้องกลับไปที่บ้านคุณปู่ฟางในวันนี้เพื่อเตรียมเอาของไปขายที่ตลาดมืดในวันรุ่งขึ้น

หลังเลิกงานตอนเช้า หลินม่ายก็ประชุมกับพนักงานทุกคนสั้น ๆ เพื่อเตรียมพร้อม

พรุ่งนี้เป็นวันแรงงานซึ่งเป็นช่วงที่ร้านจะขายดีเป็นพิเศษ

เพราะแบบนี้เมื่อเธอไปเตรียมซื้อของที่ตลาดมืดตอนเช้าจึงได้วางเงินมัดจำค่าวัตถุดิบที่ร้านขายหมูเจ้าประจำเอาไว้ก่อนสำหรับเนื้อหมูในวันพิเศษ

หลินม่ายสั่งหมูมากกว่าปกติถึง 3 เท่า ทั้งเครื่องใน ปอดหมู และมีเลือดหมูเพิ่มมาอีกอย่างหนึ่ง

ปริมาณวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเท่ากับว่าทุกคนก็ต้องทำงานมากขึ้น

ก่อนอื่นเธอให้คำมั่นกับทุกคนว่าจะจ่ายค่าจ้างเพิ่มแลกกับการทำงานอย่างหนักในวันหยุดที่จะมาถึง

เจ้าของร้านสาวจะเพิ่มค่าจ้างให้มากเป็นสองเท่าจากค่าจ้างในวันปกติ

ในยุคสมัยนี้ แม้แต่คนที่ทำงานในหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้รับค่าล่วงเวลาเพิ่มในวันหยุดเลย

ค่าล่วงเวลาที่สูงขนาดนี้ทำให้ไม่มีใครคัดค้านเรื่องการทำงานในวันแรงงาน

หลังจากเสี่ยวลี่และบรรดาป้า ๆ แม่ครัวเลิกงานแล้ว หลินม่ายก็ฝากโต้วโต้วไว้กับโจวฉายอวิ๋น บอกให้ลูกอยู่รอที่บ้านเชื่อฟังป้า แล้วขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่เมืองซื่อเหม่ย

คุณปู่ฟางเตรียมเป็ดไก่ให้เธอกว่า 500 ตัว และยังมีห่านขาวตัวใหญ่อีกจำนวนมากผูกเอาไว้ที่สวนหลังบ้าน

เพราะเป็นการนัดกันเอาไว้ว่าจะกลับมา คุณย่าฟางจึงเคี่ยวซุปขาหมูมันฝรั่งรอให้เธอมากินด้วยกัน

หญิงสาวถือซุปขาหมูมันฝรั่งชามใหญ่มาวาง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้เป็นฤดูกาลของการเก็บเกี่ยวมันฝรั่ง

เธอวางแผนจะขายเซาเข่า ซึ่งจำเป็นต้องใช้มันฝรั่งมาก ถ้าขาดไปจะมีทำให้มีตัวเลือกให้ลูกค้าน้อยเกินไป

หลังจากกินซุปขาหมูมันฝรั่งเสร็จ หลินม่ายก็ไปที่หมู่บ้านเพื่อซื้อมันฝรั่งตามที่ตั้งใจไว้

เธอซื้อมันมาเพียง 300 ชั่งก่อน ซึ่งมีชาวไร่คนหนึ่งหามาให้เธอได้

เธอใช้วิธีใครมาก่อนได้ก่อน และบรรดาชาวไร่ก็รีบเข้ามาขายให้มันให้เธออย่างกระตือรือร้น

พวกเขาพากันถามว่าเธอจะกลับมาอีกเมื่อไร จะได้เตรียมของไว้ให้เธออีก

ตอนนี้ที่ดินทำกินของทุกบ้านเข้าระบบนารวมแล้ว ทุกคนเลยต่างต้องทำงานกันหนักขึ้น ต้องเตรียมผลผลิตให้ได้มากเป็น 2 เท่า จะได้เพียงพอกับการกินอยู่ในครอบครัว

แต่ถึงอย่างนั้น พวกผลผลิตทางการเกษตรก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องการส่งขาย พวกเขาทั้งหมดต้องการจะพึ่งพาเธอ อยากให้เธอมาช่วยซื้อผลผลิตของพวกเขา

แม้ว่าหลินม่ายจะอยากช่วยเหลือชาวบ้านด้วยการซื้อวัตถุดิบจากพวกเขาให้มาก ๆ แต่กำลังของเธอก็มีอยู่จำกัด ทำให้ไม่กล้าจะรับปากกับพวกเขาอย่างจริงจัง

เพียงแค่บอกไว้ว่าถ้ามันฝรั่งหมดเมื่อไรจะกลับมาซื้อไปเพิ่มอีก

หลังจากที่จัดการซื้อมันฝรั่งเรียบร้อยแล้ว เธอก็ขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่บ้านคุณย่าฟาง เพื่อเอาสัตว์ปีกทั้งหมดขึ้นรถกลับไปที่เมือง

คุณย่าฟางตกใจที่รู้ว่าเธอจะกลับเลย ท่านดูไม่อยากให้เป็นแบบนั้นเท่าไร “ย่าว่าเธอต้องพักหน่อย ค้างที่นี่ซักคืนก่อนค่อยไปไหม เดี๋ยวจะเตรียมของอร่อย ๆ เอาไว้ให้กินตอนค่ำ”

หลินม่ายเข้าใจว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคงเหงาที่อยู่กันเพียงลำพังที่นี่ เธอเองก็อยากจะอยู่ต่ออีกหน่อย แต่ตอนนี้เธอมีเงินเก็บอยู่อีกไม่มากเท่าไร เรื่องทำมาหากินเลยต้องมาก่อน

คุณปู่ฟางเอ็ดคุณย่าฟางขึ้นมา “ม่ายจื่อต้องไปทำงานทำการ อย่าไปทำให้หล่อนลำบากใจสิ”

คุณย่าฟางจึงตอบด้วยท่าทางเหงา ๆ “ฉันก็แค่ถามดู ไม่ได้อยากขัดลาภใครหรอก”

ผู้ใหญ่ทั้งสองออกมายืนคู่กันที่หน้าบ้านเพื่อส่งหลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ออกไป

หญิงสาวหันหลังกลับไปมองภาพนั้น ก็อดรู้สึกวูบโหวงในอกไม่ได้ เธอวางแผนไว้ว่าจะพาคุณปู่คุณย่าฟางไปอยู่ด้วยกันในเมืองกับเธอและลูกในวันที่ทุกอย่างมั่นคงมากกว่านี้ให้ได้

ไม่อยากให้ท่านทั้งสองตั้งอยู่ในชนบทที่ห่างไกลเพียงสองคนแบบนี้อีกแล้ว

หลินม่ายกลับมาถึงตอนหนึ่งทุ่ม

โจวฉายอวิ๋นแปลกใจเมื่อเห็นเธอที่หน้าบ้าน “ฉันคิดว่าเธอจะอยู่พักที่โน่นซักคืน ทำไมกลับมาเร็วจัง”

หลินม่ายจอดรถก่อนจะเอ่ยตอบ “ตอนแรกก็ว่าจะค้างแหละ แต่เห็นว่าพอมีเวลาเหลืออยู่ เลยกลับมาเลยดีกว่า”

จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ร้านด้วย

โจวฉายอวิ๋นจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เธอได้กินมื้อเย็นหรือยังเนี่ย เดี๋ยวไปทำแป้งจี่ไข่ให้”

“เดี๋ยวกลับมากินละกัน ฉันต้องออกไปข้างนอกต่อ” หลินม่ายลงจากรถแทรกเตอร์ เปลี่ยนไปขึ้นสามล้อแล้วปั่นออกไป

อย่างแรกคือเธอไปที่ไซต์ก่อสร้างของโรงพยาบาลผู่จี้ ขอให้นายช่างจางทำเตาสำหรับย่างเซาเข่าให้ เป็นเตาย่างแบบยาวที่ทำจากแผ่นเหล็ก บอกกับเขาว่าจะรับของพรุ่งนี้บ่ายสอง

แม้ว่าเธอจะไม่ได้มีเวลาให้มากนัก แต่ของพวกนี้สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้วัสดุดีมากก็เอาไปใช้ได้แล้ว

ช่างเก่ง ๆ อาจใช้เวลาแค่สองชั่วโมงก็สร้างเสร็จด้วยซ้ำ

นายช่างจางตกลงรับงานอย่างง่ายดายเพียงแค่ขอเงินมัดจำไว้ก่อน

หลินม่ายไม่ได้คิดมากอะไร เธอจ่ายเงินมัดจำไว้ 5 หยวน และขอให้เขาเตรียมไม้ไผ่ไว้ให้ด้วย

จะขายปิ้งย่างก็ต้องมีไม้ไผ่

จากนั้นหลินม่ายก็ไปหาลุงฉีที่หมู่บ้าน

เมื่อลุงฉีเห็นว่าเธอมา เขาก็ตกใจคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่หลินม่ายเพียงแค่จะมาซื้อผักเท่านั้น

ลุงฉีที่เบาใจลงได้ก็เริ่มพาหลินม่ายไปดูแปลงผัก เพื่อให้เธอเลือกผักที่อยากได้ด้วยตัวเอง

หญิงสาวซื้อมะเขือม่วง 30 ชั่ง กุยช่าย10 ชั่ง ผักบุ้ง 10 ชั่ง และถั่วฝักยาวอีก 10 ชั่ง แล้วก็กลับไป

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่ใช่ม่ายจื่อก็ลำบากหน่อยนะสาว คุณหมอไม่สนใครนอกจากม่ายจื่อล่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 125 สัปปะรดแสนอร่อยสองลูก

โจวฉายอวิ๋นกลับมาพร้อมกับตำรวจ เมื่อเธอเห็นว่าหลินม่ายและฟางจั๋วหรานอยู่ที่ร้านแล้วก็สบายใจขึ้น

เธอรีบตรงเข้ามาหาคนเป็นน้องแล้วถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง “ไปตรวจมาแล้วใช่ไหม เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

เพราะทั้งหมดเป็นแค่ละครตบตาเพื่อให้การทะเลาะกันจบลงเท่านั้น หลินม่ายจึงไม่จำเป็นต้องเล่นละครต่อหน้าตำรวจด้วย

เธอยิ้มแล้วอธิบายว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก ตอนนั้นฉันแค่เป็นลมไป อาจารย์ฟางช่วยปฐมพยาบาลให้นิดหน่อยก็หายแล้ว”

และต่อด้วยการหันไปเอ็ดโจวฉายอวิ๋น “พี่นี่จริง ๆ เลย ไปบอกโต้วโต้วว่าฉันเกือบตายได้ยังไง ทำหลานกลัวหมดแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นแอบเขินเมื่อรู้แบบนั้น “ก็ฉันตกใจจนพูดไม่ถูกนี่”

ตำรวจตามโจวฉายอวิ๋นมาที่ร้านเพื่อมาสอบสวนหลินม่าย

ถ้าเธอถูกทำร้ายจนบาดเจ็บจริง ป้าหูจะถูกดำเนินคดีอาญา

แต่เพราะเธอไม่ได้เป็นอะไรมาก สิ่งที่ตำรวจทำจึงเป็นการไกล่เกลี่ยแทน

หลินม่ายตามตำรวจไปที่โรงพักเพื่อไกล่เกลี่ยโดยมีฟางจั๋วหรานไปด้วย

ชายหนุ่มยืนยันว่าจะต้องไปร่วมการไกล่เกลี่ยครั้งนี้ให้ได้ เพราะตัวเองเป็นต้นเหตุของเรื่อง

โจวฉายอวิ๋นจึงรับหน้าที่ดูแลโต้วโต้วกับอาหวงอยู่ที่ร้านในระหว่างนี้

ทันทีที่พวกเขาเดินทางไปถึงสถานีตำรวจ ก็พบว่าสื่อเจินเซียงกำลังเดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่นด้วยความกระวนกระวาย เมื่อหันมาเห็นพวกเขาก็รีบเข้ามาทักทายฟางจั๋วหรานทันที

หญิงสาวอ้อนวอนทั้งน้ำตา “อาจารย์ฟาง ช่วยแม่ฉันด้วยนะคะ”

แต่ฟางจั๋วหรานกลับมองอย่างเฉยเมย แล้วหันไปคุยกับตำรวจข้าง ๆ ว่า “คุณตำรวจครับ แบบนี้เข้าข่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่หรือเปล่า?”

สื่อเจินเซียงกำลังจะอธิบาย แต่ตำรวจคนนั้นก็หันไปเรียกเจ้าหน้าที่อีกคนมา “อธิบายขั้นตอนการไกล่เกลี่ยให้หล่อนฟังหน่อย ไม่รู้อะไรเลยหรือไง ถึงกล้ามาแทรกแซงการทำงานต่อหน้าตำรวจทั้งสถานีแบบนี้”

ตำรวจคนนั้นพาสื่อเจินเซียงไปอีกทาง เพื่ออธิบายขั้นตอนต่าง ๆ ให้หล่อนฟัง

ส่วนป้าหูในตอนนี้ถูกขังอยู่ที่สถานีตำรวจ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวว่าจะต้องติดคุก

เพราะงั้นหลังจากที่หลินม่ายให้การว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก และตำรวจเพียงแค่ให้ทั้งคู่ไกล่เกลี่ยกัน

หล่อนก็ไม่กล้าที่จะมีเรื่องมีราวอะไรต่ออีก และยอมรับการไกล่เกลี่ยของตำรวจแต่โดยดี

ป้าหูต้องยอมขอโทษหลินม่ายตามที่ตำรวจแนะนำอย่างไม่มีข้อแม้

ตำรวจให้หล่อนชดใช้ค่าทำขวัญกับหลินม่ายเป็นเงิน 10 หยวน แม้ว่าจะไม่เต็มใจแค่ไหนป้าหูก็ต้องยอมจ่ายตามนั้น

ในตอนนี้หล่อนยอมทุกอย่าง ขอแค่ไม่ต้องนอนคุกก็พอ

หลินม่ายรับเงิน 10 หยวนจากป้าหูแล้วก็ไปที่ร้านขายอาหารตุ๋นของรัฐ เลือกซื้อกับข้าวจากที่นั่นมาสามสี่อย่าง

หลังกลับมาถึงบ้านก็ผัดผักเพิ่มอีกสองสามจานไว้กินแกล้ม กับข้าวมื้อใหญ่ก็พร้อมสำหรับทุกคน

ในระหว่างกินข้าวด้วยกัน โจวฉายอวิ๋นเล่าอย่างโกรธเคืองว่าตอนที่ฟางจั๋วหรานอุ้มหลินม่ายออกไป สื่อเจินเซียงก็เข้ามาขวางหล่อนไว้ไม่ยอมให้พาป้าหูไปสถานีตำรวจ

“พอพวกเธอไม่ได้อยู่ด้วย ลูกสาวยัยแม่มดเฒ่านั่นก็ไม่ยอม จะเข้ามาหาเรื่องฉัน แต่โชคดีที่มีคนมุงดูอยู่เยอะ เขาเลยมาช่วยเอาไว้ ทั้งช่วยหยุดไม่ให้มีเรื่องมีราวกันต่อแล้วก็ยังช่วยกันลากป้าหูไปส่งตำรวจ ไม่อย่างนั้นฉันคนเดียวคงไม่มีปัญญาจับยัยแก่ฤทธิ์เยอะแบบนั้นไปส่งโรงพักได้ แถมยังไปช่วยให้การกับตำรวจจนป้าหูโดนคุมตัวไว้อีก”

กลิ่นหอมน่ากินของอาหารตุ๋นลอยฟุ้งไปถึงบ้านข้าง ๆ

ป้าหูได้กลิ่นแล้วแทบจะอกแตก หล่อนหวังจะจัดการฟางจั๋วหรานกับหลินม่าย แต่ดันต้องมาติดกับดักของตัวเอง แม้แต่ลูกสาวก็ยังถูกตำรวจพาไปสั่งสอน ในขณะที่นังเด็กร่านข้างบ้านกลับมีแต่คนคอยให้ท้าย

ที่น่าโมโหที่สุดคือเรื่องที่หล่อนต้องเสียเงิน 10 หยวนเลี้ยงข้าวให้ยัยเด็กนั่นอีก

หลังจากกินมื้อกลางวันที่บ้านของหลินม่าย ฟางจั๋วหรานก็ขอตัวกลับ

ในตอนที่เขาไปถึงป้ายรถเมล์ก็พบว่ามีคนเอาสัปปะรดมาวางขาย คุณหมอหนุ่มแวะซื้อมันมาสองลูกเพื่อเอาไปฝากโต้วโต้ว

สัปปะรดหวานอมเปรี้ยว เจ้าตัวเล็กน่าจะต้องถูกใจแน่ ๆ ที่ได้กิน

หลินม่ายเองก็น่าจะชอบมันเหมือนกัน

ในตอนนั้นเขาเริ่มจะไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าสัปปะรดที่ตั้งใจซื้อมานี้เขาอยากจะเอาไปฝากเด็กน้อยหรือแม่ของหล่อนมากกว่ากัน

เพราะเมื่อนึกภาพรอยยิ้มเปี่ยมสุขของหญิงสาวตอนได้กินผลไม้อร่อย ๆ แล้วเขาก็เผลออมยิ้มขึ้นมา มันมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูก

เขาเดินกลับไปที่ร้านของหลินม่ายด้วยความตื่นเต้นพร้อมสัปปะรดสองลูก

หน้าร้านตอนนี้ไม่มีใครอยู่ แต่ได้ยินเสียงคนคุยกันมาจากในครัวด้านหลัง

ฟางจั๋วหรานจึงเดินเข้าไปด้านใน

และได้ยินสองสาวกำลังคุยกันอยู่ “ม่ายจื่อ ฉันรู้สึกว่าอาจารย์ฟางดูสนใจเธอมากกว่าเดิมหรือเปล่า”

หลินม่ายเอ็ดอย่างเคือง ๆ “อย่าพูดอะไรไร้สาระไปเลยน่ะ ให้ตายเขาก็ไม่มีทางสนใจฉันหรอก”

คุณหมอหนุ่มที่ฟังอยู่ก็เผลอยิ้มขึ้นมา

ทำไมถึงได้ไม่เข้าใจอะไรบ้างเลยนะเด็กคนนี้

ขนาดเมื่อสองชั่วโมงก่อน ทั้งตอนที่เธอเอื้อมมือมาพยายามจะดึงเขาไว้ไม่ให้วู่วาม ทั้งตอนที่เธอเข้ามาขวางไม่ให้ป้าหูมาโดนตัวเขา ทุกการกระทำเหล่านั้นอยู่ในความสนใจของเขาตลอด

ถ้าการกระทำพวกนั้นไม่สามารถทำให้เขาสนใจในตัวเธอได้เลย เขาก็คงเป็นคนที่โง่เกินทนแล้ว

โจวฉายอวิ๋นเถียงขึ้นบ้าง “ไร้สาระตรงไหน ถ้าเขาไม่สนใจเธอจริง ๆ เขาจะคอยช่วยเธอจนเปิดร้านได้ขนาดนี้เหรอ ขนาดผงฟูยังไปหามาให้เลย”

ฟางจั๋วหรานลอบพยักหน้าตามอย่างเงียบ ๆ คนเดียว

โจวฉายอวิ๋นพูดถูก บางทีเขาเองก็อาจจะชอบหลินม่ายมานานแล้วโดยที่ไม่ได้รู้ตัว

จากมุมมองของคนนอกอย่างหล่อน อาจจะเห็นการกระทำของเขาได้ชัดกว่าตัวเขาเองเสียด้วยซ้ำไป

เขาอาจจะไม่ทันได้รู้ตัว แต่โจวฉายอวิ๋นที่เห็นทุกอย่างอยู่ตลอดคงรู้สึกถึงมันได้ก่อน

ชายหนุ่มที่แอบฟังสองสาวคุยกันอยู่ก็ต้องถูกจับได้เมื่อมีเสียงใสของเด็กน้อยดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณอา กลับมาทำไมคะ แล้วถืออะไรมาด้วยเหรอ”

ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือก นอกจากหันกลับไปหาหลานตัวน้อยอย่างนึกเสียดาย “อาซื้อสัปปะรดมาให้หนู 2 ลูก หนูไปไหนมาเนี่ย”

“หนูออกไปเล่นกับเพื่อนข้างนอกมาค่ะ” โต้วโต้วเดินเข้ามาแล้วใช้มือเล็ก ๆ จับสัปปะรดอย่างระมัดระวัง “สัปปะรด กินได้หรือเปล่าคะ”

หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นเองก็เดินออกมาจากในครัวเช่นกัน

คนเป็นแม่หันมาตอบลูกสาวของเธอว่า “กินได้อยู่แล้ว แต่ต้องปอกเปลือกก่อนนะ ปอกยากมาก”

พอได้ยินแบบนั้นฟางจั๋วหรานจึงนำสัปปะรดลูกหนึ่งไปจัดการปอกเปลือกให้เสียเรียบร้อยพร้อมกินก่อนค่อยกลับ

ส่วนอีกลูกก็เก็บเอาไว้กินต่อพรุ่งนี้

หลินม่ายหั่นสัปปะรดเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วแช่น้ำเกลือประมาณครึ่งชั่วโมงจัดใส่จานให้ทุกคนกิน

สัปปะรดมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ผู้ใหญ่ทั้งสามและเด็กน้อยอีกหนึ่งชอบมันมาก ได้กินเข้าไปก็ถึงกับตาเป็นประกาย

ด้วยผงฟูจากอาจารย์ฟาง ร้านของหลินม่ายก็สามารถทำซาลาเปาฟูนุ่มลูกใหญ่ออกมาขายได้ ข้อได้เปรียบเพียงข้อเดียวของร้านข้าง ๆ จึงไม่มีความหมายกับพวกเธออีกต่อไป

ภายในไม่กี่วันยอดขายของพวกเขาก็ตกลง เพราะหลินม่ายสามารถแก้เกมทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แม้ว่าป้าหูจะโกรธมากแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

ไม่กี่วันก่อนจะถึงวันแรงงาน ฟางจั๋วหรานก็มากินข้าวเช้าที่ร้านของหลินม่ายพร้อมกับถุงขนาดใหญ่สองใบ

หลินม่ายรีบมาดูด้วยความตื่นเต้น “คุณหาเครื่องเทศกับเมล็ดยี่หร่าให้ฉันได้แล้วเหรอ”

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบด้วรอยยิ้ม “มีพริกป่นจากซินเจียงด้วย”

จากนั้นเขาก็ลดเสียงลงแล้วถามเธอว่า “คุณตั้งใจจะขายเซาเข่า* ใช่ไหม”

*เซาเข่า อาหารปิ้งย่างแบบเสียบไม้ของจีนคล้ายกับบาร์บิคิว มีทั้งแบบเนื้อสัตว์และผัก นิยมโรยผงเครื่องเทศสีแดงที่มีรสจัดจ้านเผ็ดร้อน

แม่ครัวสาวจึงพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่”

“ถ้าเป็นเนื้อหมูจะทำง่ายกว่าหรือเปล่า ถ้าหาซื้อยากเดี๋ยวผมจัดการให้เอง”

ถ้าพูดถึงเซาเข่า แน่นอนว่าเนื้อแกะจะเป็นอย่างแรกที่ทุกคนนึกถึง

แต่มณฑลหูในยุคนี้ เนื้อวัวและเนื้อแกะหาได้ยาก จะมีขายให้เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น แทบจะหาซื้อไม่ได้เลยในตลาดมืด

เป็นเพราะคนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นไม่ได้กินเนื้อแกะกันมากนัก ไม่ค่อยมีเกษตรกรเลี้ยงแกะ เพราะงั้นเซาเข่าที่เห็นบ่อยจึงทำด้วยเนื้อหมู

หลินม่ายไม่อยากให้เขาต้องมายุ่งยากจึงรีบตอบออกไปว่า “หาไม่ยากหรอก เดี๋ยวซื้อจากตลาดมืดได้ค่ะ”

เธอไม่อยากให้อาจารย์หมออย่างเขาต้องมาใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างร้านของเธอมากนัก เพราะเขาก็มีงานล้นมือพออยู่แล้ว ถ้าต้องมาเหนื่อยเรื่องนี้คงจะรู้สึกผิดต่อเขามาก

แต่สำหรับฟางจั๋วหราน คำตอบนั้นของหลินม่ายทำให้เขาคิดไปว่าเธออาจจะต้องการรักษาระยะห่างจากเขา ชายหนุ่มจึงยังไม่กล้าจะรุกหนักเดินหน้าเข้าไปใกล้มากเกินไปในตอนนี้

ใช่ว่าเขาจะไม่อยากขยับความสัมพันธ์กับเธอให้ได้เร็ว ๆ แต่คุณหมอหนุ่มกังวลว่าถ้าเร่งรีบเกินไปจะทำให้เธอปฏิเสธเขาแล้วกลายเป็นว่าแม้แต่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอย่างที่เคยมีมาก็จะให้กันไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะยากที่จะถอยกลับมาอีก

เขาคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าค่อย ๆ ขยับเข้าหาเธออย่างช้า ๆ แบบไม่ให้เธอต้องอึดอัด เป็นความสบายใจให้แก่เธอแล้วเรื่องสารภาพความรู้สึกก็ค่อยปล่อยให้เวลาที่เหมาะสมพาไป

หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ฟางจั๋วหรานก็กลับไปทำงาน

ยังไม่ทันถึงโรงพยาบาล เขาก็เห็นว่าสื่อเจินเซียงยืนรอใครซักคนอยู่ที่ประตูทางเข้า

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ซื้อนู่นนี่มาให้ขนาดนี้ มีใจให้แม่เด็กแหละ ขนาดคนรอบข้างยังดูออก

ยัยลูกสาวป้าหูมาดักรอหน้าโรงพยาบาลเลยเรอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 124 คุณอาช่วยปกป้องแม่ได้ไหมคะ

หลังจากถูกหลินม่านผลัก ป้าหูก็เดือดดาลขึ้นมาทันทีแล้วฟาดมือตบหลินม่ายอย่างไม่หยุดคิด “ยัยเด็กนี่ กล้าดียังไงมาผลักผู้ใหญ่ ป้าอย่างฉันจะตีแกให้ตาย!”

ฟางจั๋วหรานที่มักจะเอาตัวอยู่เหนือเรื่องวุ่นวายโดยเฉพาะกับคนอันธพาล พอเห็นว่าป้าหูทำร้ายร่างกายหลินม่ายเขาก็ควันออกหูทันที

ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงกว่า 180 ซม. มองเหตุการณ์ด้วยความโมโห การทำร้ายผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างหลินม่ายก็ไม่ต่างอะไรจากการทำร้ายเขาเช่นกัน

คุณหมอหนุ่มยั้งอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่ ลืมความสุขุมที่เคยถือไว้ไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นมาตบหญิงชราเข้าที่แก้มไปเสียหนึ่งฉาด

เสียงตบดังฉาดหนึ่ง แก้มซีกซ้ายของป้าหูบวมเป่งขึ้นทันตา

ฝูงชนที่มุงดูอยู่โดยเฉพาะสาว ๆ ไม่ได้รู้สึกสงสารหล่อนแม้แต่น้อย ซ้ำยังปรบมือให้ฟางจั๋วหรานอีกด้วย

“คนแบบนี้สมควรโดนตบซักฉาด ไม่อย่างนั้นก็คงไปเล่นละครขู่เอาเงินคนอื่น!”

แต่หลินม่ายกลับคร่ำครวญในใจ จบเห่แล้ว แบบนี้ก็เข้าทางยัยป้านี่น่ะสิ มีหวังโดนกัดไม่ปล่อยแน่!

ที่เธอเอาตัวเข้ามาปกป้องเขาเพราะอย่างน้อยเธอกับป้าหูก็ยังเป็นผู้หญิงด้วยกัน

ถ้ามีเรื่องลงไม้ลงมือกันจริง ๆ ก็เท่ากับว่าต่างฝ่ายต่างทะเลาะวิวาทกันเอง มีความผิดพอ ๆ กันทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน

แต่ถ้าเป็นการวิวาทระหว่างชายหญิง ผู้ชายที่แรงมากกว่ามักจะต้องเป็นฝ่ายผิด

หลินม่ายเริ่มคิดวิธีรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างตกประหม่าอยู่ในใจเมื่อได้ยินฟางจั๋วหรานพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าคุณยังไม่หยุดอีก ผมจะสงเคราะห์ให้คุณได้ไปนอนโรงพยาบาลสมใจแน่!”

ดวงตาของเขาในตอนนี้น่ากลัวมาก โทสะที่พยายามข่มไว้ใกล้ปะทุ และทุกคำพูดของเขาก็ทำเอาคนฟังหนาวเยือกถึงกระดูก

ป้าหูไม่มีอะไรจะเสีย หล่อนคิดแค่ว่าจะต้องทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่โต แล้วจัดการทั้งหลินม่ายและฟางจั๋วหรานไปเลยพร้อมกันทั้งสองคน

หญิงชราเริ่มแผนสกปรกอีกครั้ง รีบสาวเท้าตรงไปที่ฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าเศร้าโศก

ด้วยความคิดที่ว่าจะไปล้มลงที่ตัวชายหนุ่ม ทำเป็นล้มกระแทกบาดเจ็บเพราะถูกเขาทำร้ายอย่างสมเหตุสมผล ดึงเอาความสามารถด้านการเสแสร้งของตัวเองออกมาเต็มที่

จากนั้นก็ป่าวประกาศว่าถูกเขาทำร้ายร่างกายเพื่อทำลายชื่อเสียง

แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามนั้น เพราะหลินม่ายรีบเข้ามาผลักหล่อนออกไปอีกครั้งก่อนที่จะได้สัมผัสแม้แต่ปลายเส้นผมของคุณหมอฟาง

ป้าหูเลยกระแทกศีรษะของตัวเองกับร่างบางของหลินม่าย

หลินม่ายร้องด้วยความตกใจ เหลือกตาขึ้นบน ร่างกายอ่อนยวบหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน

ฝูงชนบริเวณนั้นตะโกนใส่ป้าหูด้วยความโกรธ “จบเห่แล้ว ทำร้ายสาวน้อยคนนี้จนสลบไปขนาดนี้ เตรียมตัวติดคุกได้เลยป้า”

พร้อมกับเสียงประณามที่ดังตามมาอีกเป็นชุด

โจวฉายอวิ๋นก็เป็นหนึ่งในฝูงชนเหล่านั้นเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายหมดสติไป ก็ตรงเข้าไปคว้าตัวป้าหูที่เริ่มอยากจะถอยหนีเพราะเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี “ทำร้ายคนอื่นแล้วจะหนีเหรอป้า!”

ฟางจั๋วหรานมีเวลานิดหน่อยที่จะหันมาพูดกับโจวฉายอวิ๋น “ยังไงก็ต้องส่งผู้หญิงคนนี้ไปให้ถึงมือตำรวจ”

เขาประคองตัวหญิงสาวไว้แนบอกในท่าเจ้าสาว อุ้มเธอวิ่งไปที่โรงพยาบาลผู่จี้

ถึงแม้ว่าหลินม่ายจะเอวบางร่างน้อย แต่ก็มีส่วนสูงถึง 165 ซม. เป็นอย่างต่ำ

แต่ฟางจั๋วหรานก็อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดายราวกับเป็นตุ๊กตายัดนุ่น ทำให้เห็นว่าเธอตัวเบาแค่ไหน

แต่ผู้หญิงตัวแค่นี้กลับสามารถทำงานหนัก ๆ ยกไหเพ่าฉ่ายหลายสิบชั่งด้วยตัวคนเดียวได้

เมื่อมองไปที่ร่างบางไร้สติในอ้อมแขนแกร่งของตนเอง ฟางจั๋วหรานก็วิตกอยู่ในใจ

คุณหมอหนุ่มพยายามเรียกเธออยู่หลายครั้งแต่กลับไม่มีการตอบสนอง นั่นยิ่งทำให้เขาร้อนใจมากขึ้นไปอีก

สองขารีบวิ่งพาคนเจ็บมาถึงโรงพยาบาล แต่แล้วแขนของเขาก็ถูกมือเล็ก ๆ ของหญิงสาวจับเอาไว้

เธอลืมตากลมโตจ้องมองมาที่เขาเหมือนนกฮูก แล้วเอ่ยออกมาสามคำ “ฉันไม่เป็นไร”

ฟางจั๋วหรานเห็นแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะโกรธเธอหรือโล่งใจก่อนดี ก่อนหน้านี้เขาตกใจไปหมด ตอนนี้จึงอยู่ในอาการสับสนสีหน้าบ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก

ในตอนแรกเขาอยากจะโยนเธอลงไปที่พื้นเสียให้เข็ด

กล้ามาล้อเล่นกับเขาแบบนี้ได้อ่ย่างไรกัน เขาร้อนใจจะแย่อยู่แล้วนะ?

แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าพื้นถนนร้อนระอุขนาดไหน หากโยนเธอลงไปแล้วเธอจะไม่กลายเป็นปลาย่างเลยหรือ?

เขาเลยเปลี่ยนใจแล้วเอ่ยถามเธอแทนอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่คุณหลอกผมเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้าแทนคำตอบแล้วลงจากอ้อมแขนของเขา “ถ้าไม่ทำแบบนี้เรื่องคงไม่จบง่าย ๆ แล้วคุณก็จะเดือดร้อนเพราะยัยแม่มดเฒ่านั่น”

อยู่ ๆ เธอก็ชะงักไปเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจ้องมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ “คุณคิดว่าฉันสลบไปจริง ๆ น่ะเหรอ?”

ฟางจั๋วหรานเพียงมองเธออย่างเงียบ ๆ แน่นอนว่าเขาตกใจมากและกังวลว่าเธอจะเป็นอะไรไปจริง ๆ

หลินม่ายแอบขันในใจ ไม่รู้จะว่าอะไรเขาดี คุณหมอฟางเป็นถึงอาจารย์แพทย์ ไอคิวก็น่าจะไม่น้อย แถมเป็นหมอศัลยกรรมมือต้น ๆ ของโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถแยกออกได้ว่าอาการหมดสติของเธอเป็นแค่การแสดง!

ทั้งสองกลับมาที่ร้าน พบว่าโต้วโต้วกำลังอยู่ในอาการวิตกโดยมีอาหวงอยู่ข้าง ๆ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเด็กน้อยเท่าไรนัก

ทันทีที่เห็นว่าหลินม่ายกลับมา โต้วโต้วก็ร้องไห้จ้าวิ่งเข้ามากอดแม่ของเธอ “แม่จ๋า…ฮือออ ป้าฉายอวิ๋นบอกว่าแม่ถูกตีจนเกือบตาย….”

ในตอนที่หลินม่ายกับฟางจั๋วหรานกำลังมีเรื่อง เด็กน้อยกับอาหวงกำลังเล่นกันอยู่ที่สนามด้านหลัง ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่หน้าร้าน

และเพราะว่าโจวฉายอวิ๋นต้องส่งป้าหูไปที่สถานีตำรวจ หล่อนจึงเรียกโต้วโต้วให้มาช่วยเฝ้าหน้าร้าน และตอนนั้นเองที่เด็กหญิงได้รู้ว่าแม่ถูกทำร้าย

ฟางจั๋วหรานอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาในอ้อมแขน ใช้มือใหญ่ปาดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน “แม่ไปเป็นไรแล้วนะ อย่าร้องไห้สิ”

เด็กน้อยยังคงมีน้ำตาซึมออกมา แล้วอ้อนวอนคุณอาของเธออย่างน่าสงสาร “คุณอาคะ ฮึก…ไม่มีใครคอยปกป้องแม่เลย…คุณอาช่วยปกป้องแม่ได้ไหมคะ”

หลินม่ายกลัวว่าคำถามนี้จะทำให้เกิดความลำบากใจต่อฟางจั๋วหราน เธอจึงรีบเอ่ยตอบลูกไปแทนว่า “แม่เก่งจะตาย ไม่ต้องให้ใครมาปกป้องหรอกนะลูก”

หลังจากยื่นมือไปรับเจ้าตัวเล็กแสนดีของเธอจากฟางจั๋วหรานมาไว้อ้อมแขน หลินม่ายก็เห็นเขาก้มหน้าตอบลูกสาวของเธอ “ได้อยู่แล้ว”

โต้วโต้วได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มกว้างแล้วยื่นนิ้วก้อยเล็ก ๆ ออกมา “งั้นเรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน”

คุณหมอหนุ่มยิ้มตามแล้วยื่นนิ้วก้อยออกมาเช่นกัน ทั้งสองเกี่ยวก้อยสัญญากันอย่างอ่อนโยน

พูดขึ้นพร้อมกันว่า “เกี่ยวก้อยสัญญาแล้วร้อยปีก็ไม่มีเปลี่ยน”

หลินม่ายเผลอมองไปที่ใบหน้าหล่อเหลาแสนอ่อนโยนนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้เลยว่าการสัญญาครั้งนี้ของเขาทำเพื่อเอาใจหลานน้อย หรือมีความหมายอื่นที่มากกว่านั้นหรือเปล่า

คงไม่มีอะไรหรอก เขาคงไม่ได้มีใจให้เธอแบบนั้นหรอก

พอคิดแบบนั้นเธอก็ประหม่าขึ้นมา และรู้สึกเศร้านิดหน่อย

โต้วโต้วชี้ไปที่ถุงใบหนึ่งบนข้อมือของฟางจั๋วหราน “คุณอา เอาอะไรใส่ไว้ในถุงนั้นเหรอคะ มีขนมหรือเปล่า?”

ฟางจั๋วหรานเลยนึกขึ้นได้ในตอนนั้นว่าตั้งใจจะเอาผงฟูมาให้หลินม่าย

แม้ว่าผงฟูทั้งห้าห่อจะน้ำหนักรวมกันเพียง 5 ชั่ง แต่หูจับของถุงทำด้วยเชือกเส้นบาง เมื่อห้อยมันไว้ที่ข้อมือของชายหนุ่มก็ทำให้เกิดรอยแดงเข้มปรากฏขึ้นมา

ในตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อถูกหนูน้อยเอ่ยทัก ก็เริ่มรู้สึกเจ็บขึ้นมา

ชายหนุ่มรีบหยิบถุงใบนั้นออกจากแขนแล้ววางลงบนโต๊ะ

แล้วหันไปยิ้มอ่อนโยนกับโต้วโต้วพร้อมอธิบาย “ไม่ใช่ขนมนะ นี่คือผงฟูเอาไว้ให้แม่เขาทำซาลาเปา”

เด็กน้อยได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อย

ในขณะที่หลินม่ายมีความสุขมากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันคิดว่าคุณจะใช้เวลาสักสองสามวันกว่าจะหามาได้ ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”

ฟางจั๋วหรานเองก็มีประกายรอยยิ้มออกมาจากดวงตา “ผมฝากที่โรงอาหารซื้อมาให้ก็เลยไม่ต้องรอนาน”

ในยุคนี้ ผงฟูเป็นของที่แทบไม่มีขายในท้องตลาดทั่วไป มีเพียงโรงอาหารของรัฐบาลหลายแห่งที่มีไว้ใช้

ศัลยแพทย์หนุ่มผู้กว้างขวางคนนี้ไปขอซื้อมันถึงโรงอาหารให้เธอถึงที่ ทำให้หลินม่ายรู้สึกของคุณเขาอย่างมาก

หญิงสาวหยิบเงินออกมาแล้วออกปากถาม “คุณซื้อผงฟูมาเท่าไร?”

ฟางจั๋วหรานเริ่มจะเรียนรู้วิธีรับมือกับหลินม่ายที่ดึงดันอยากจะจ่ายเงินคืนเขาแล้ว

เขายิ้มแล้วตอบไปว่า “ผมไม่อยากได้เป็นเงิน เอาแบบเดิมละกัน คุณจ่ายผมด้วยอาหารของที่ร้านแทน”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ถ้ายังจะทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มีหวังคุณคงได้กินอาหารร้านฉันฟรีไปยันชาติหน้าหนี้ถึงจะหมดได้”

คุณหมอฟางได้ยินแบบนั้นก็ตอบเธอกลับพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นดั่งพระอาทิตย์แรกฤดู “งั้นผมก็จะกินไปจนชาติหน้าเลย”

หลินม่ายได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเขาตาค้าง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อยู่ในคุกซะนะนังป้าหู อยู่ยาวๆ ไปเลย จะได้ไม่ออกมากัดคนอื่นเพ่นพ่าน

กินไปจนชาติหน้า อั้ยยยย แบบนี้คือเขาจีบเธอแล้วล่ะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 123 ป้าหูจอมมารยา

หลินม่ายเริ่มอธิบายให้คุณหมอหนุ่มกระจ่างขึ้น “แค่เติมผงฟูลงไปในแป้ง แป้งจะพองขึ้นฟูตอนที่นึ่ง เท่านี้ก็ดูลูกใหญ่ขึ้นมากกว่าปกติได้แล้ว ฉันหาซื้อผงฟูไม่ได้ ส่วนผสมของแป้งที่ใช้ก็มีแค่น้ำด่างกับแป้งหมัก ถึงจะช่วยให้ฟูได้บ้างแต่ก็ไม่เท่ากับการใส่ผงฟูลงไปหรอก”

“อย่างนี้นี่เอง” ฟางจั๋วหรานพยักหน้าตาม “เอาไว้เดี๋ยวผมจะหาซื้อผงฟูมาให้คุณเอง”

หลินม่ายรู้ว่าเขาเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนมากมาย คงจะหาซื้อผงฟูที่ไม่มีในท้องตลาดให้เธอได้ จึงขอบคุณเขาไปอย่างยินดี

ถ้าเธอได้ผงฟูมาล่ะก็ ไม่มีทางที่ร้านข้าง ๆ จะมาต่อกรได้

ยอดขายของร้านอาหารยังดีวันดีคืน โจวฉายอวิ๋นทำงานอย่างขันแข็งอยู่ทุกวัน

ในตอนเที่ยงของวัน หลังจากขายอาหารเช้าเรียบร้อย โจวฉายอวิ๋นก็เอาซึ้งไม้ไผ่ออกมาล้างอย่างมีความสุขแล้วพูดกับหลินม่ายว่า “พรุ่งนี้ขอให้ขายได้เยอะ ๆ แบบเมื่อก่อนทีเถอะ”

หลินม่ายส่ายหน้า “จะให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนเลยคงยังไม่ได้ เพราะยังไงบ้านข้าง ๆ ก็ขายถูกกว่าเรา ถ้าทำเยอะเกินไปก็กลัวว่าจะขายไม่หมด แถมอากาศช่วงนี้ก็ร้อนมาก เก็บของกินไว้นานก็จะเสียอีก เปลืองเงินเปล่า ๆ รออาจารย์ฟางซื้อผงฟูมาให้ก่อนแล้วกัน”

โจวฉายอวิ๋นได้ยินแบบนั้นก็อดเคืองใจไม่ได้ “ฉันล่ะอยากจะจัดการนังแม่มดเฒ่านั่นให้ได้เร็ว ๆ จริง ๆ “

หล่อนเกลียดยัยป้าร้านข้าง ๆ เอามากๆ อยากจะให้ล่มจมเสียตั้งแต่วันนี้

หลินม่ายเหลือบมองคนอายุมากกว่า “พี่ว่าเราจะจัดการเขาได้เหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นถามกลับ “แล้วมันไม่ได้เลยเหรอ”?

“ไม่น่า พวกเขาเองก็มีทักษะในการทำอาหาร ราคาขายก็ถูกกว่าเรา แถมยังมีกลยุทธ์ลดราคาบ่อย ๆ เรียกลูกค้าให้ไปซื้อได้เยอะ ถนนเส้นนี้คนก็ผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอด มีลูกค้าขาจรที่ไม่รู้ว่าที่ไหนดีกว่าก็มาก ที่ไปเป็นลูกค้าของเขา”

“แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ยังอยู่ได้แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำไปจนตายก็ไม่เข้าเนื้อ แต่ยัยแม่มดเฒ่านั่นขายแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยได้กำไรเดี๋ยวก็คงเจ๊งไปเอง”

หลินม่ายกล่าวแล้วพยักหน้ายืนยัน “อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้นะ”

สองวันต่อมาฟางจั๋วหรานก็หาผงฟูมาให้หลินม่ายจนได้

หลังเลิกงาน ชายหนุ่มมาหาเธอพร้อมกับเอาผงฟูห้าซองใส่ถุงมาด้วย

ส่วนสื่อเจินเซียงสาวบ้านข้าง ๆ ก็แอบชื่นชมเขาจากระยะไกลอยู่ที่ร้านฝั่งตัวเอง

ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้เจอเขาในร้านของแม่ หล่อนก็ตกลงกับตัวเองว่าจะต้องหาโอกาสไปเจอเขาอีกบ่อย ๆ

ทว่าหล่อนกลับไม่ได้เจอเขาอีกเลย

วันนี้ได้เจอเขาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็จะหาทางเข้าไปพูดคุยกับเขา

ถ้าทำความรู้จักกันไว้แล้ว ต่อไปจะทักทายหรือหาเรื่องไปเจอก็คงจะสมเหตุสมผลมากขึ้นกว่านี้ แล้วหลังจากนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอาชนะใจเขาได้

การจะได้ผู้ชายมาก็ต้องอาศัยมารยาร้อยเล่มเกวียนเสียหน่อย

คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็สาวเท้าเข้าไปใกล้เป้าหมาย

เมื่อเข้าใกล้ฟางจั๋วหรานก็แสร้งทำเป็นสะดุดล้มลงไปซบเขา

ฟางจั๋วหรานตกใจเบี่ยงตัวหนีตามสัญชาตญาณ ทำให้สื่อเจินเซียงหน้าคะมำลงไปที่พื้นอย่างสวยงาม

ในหน้าร้อนแบบนี้ พื้นถนนทั้งแข็งและร้อนจนแทบจะใช้ทอดไข่ได้

สาวเจ้าถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อล้มไปกองอยู่ที่พื้นนั่น

พอเห็นแบบนั้นฟางจั๋วหรานจึงขยับเข้าไปเพื่อจะช่วยหล่อน แต่ป้าหูกลับออกจากร้านมาช่วยลูกสาวเอาไว้ก่อน

ป้าหูออกปากตำหนิชายหนุ่มขึ้นมาทันที “ไม่ดูตาม้าตาเรือเลยหรือไงหา ชนคนอื่นจนล้มขนาดนี้!”

คุณหมอหนุ่มหน้าตึงขึ้นมาทันที “คุณเอาตาที่ไหนดูว่าผมชนหล่อน?”

สื่อเจินเซียงยังอยากสานสัมพันธ์ในภายภาคหน้ากับฟางจั๋วหรานอยู่ จะปล่อยให้แม่ของหล่อนกล่าวโทษเขาได้อย่างไร

หญิงสาวรีบเอ่ยกับแม่ของตนทันที “แม่…แม่เข้าใจผิดแล้ว ฉันสะดุดล้มเอง”

ป้าหูจึงตระหนักได้ว่าตนกล่าวโทษฟางจั๋วหรานแบบผิด ๆ ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่ละอายใจ ฉุดสื่อเจินเซียงให้ลุกขึ้นแล้วจากไป

สื่อเจินเซียงหันมาขอโทษฟางจั๋วหราน“แม่แค่ห่วงฉันเกินไปน่ะค่ะ อย่าใส่ใจเลยนะคะ”

ชายหนุ่มตอบหล่อนอย่างเย็นชา “นั่นไม่ได้เรียกว่าเป็นห่วงคุณครับ นั่นเรียกว่าเป็นคนไร้เหตุผล!”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็รีบขมวดคิ้วทันที “นี่คุณว่าใครหา?”

“คุณนี่ฟังไม่รู้เรื่องเหรอครับ!”

ถึงเขาจะไม่ใช่คนที่จะชอบรังแกผู้หญิง แต่ป้าหูทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่อยู่จริง ๆ

“นี่แกกล้าด่าฉันเหรอหา!”

ป้าหูปล่อยมือจากลูกสาวแล้วตรงเข้าไปหาฟางจั๋วหรานอย่างเหลืออด แม้ถูกลูกสาวดึงเอาไว้ก็ห้ามไม่อยู่

ฟางจั๋วหรานเริ่มเหลืออดต่อการโต้เถียงกับผู้หญิง แต่เขาก็ไม่อยากจะใช้กำลังกับหญิงชรานางนี้

ก่อนที่ป้าหูจะมาถึงตัว ชายหนุ่มก็ถอยหลบได้ทัน

ป้าหูหยุดฝีเท้าไว้ไม่ทันจนล้มหน้าคะมำดังตุบ ทำให้คนที่ผ่านไปมาหัวเราะดังลั่น

ป้าหูเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโกรธ ใบหน้าเต็มไปด้วยกระของหล่อนโชกไปด้วยเลือดกำเดา

หญิงชราไม่ยอมลุกขึ้นมาแต่ตะโกนเสียงดังแทน “มีคนทำร้ายฉัน! อาจารย์หมอทำร้ายฉัน!”

“อาจารย์ฟาง เกิดอะไรขึ้นคะ?”

หลินม่ายได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบออกมาดู

เธอมองป้าหูนอนอยู่บนพื้นด้วยสายตารังเกียจแล้วหันไปมองชายหนุ่มด้วยความสงสัย

ฟางจั๋วหรานตอบหลินม่ายเบา ๆ “เปล่า ไม่มีอะไร พอดีมีคนมาเล่นละครให้ดูน่ะ”

ป้าหูลุกขึ้นอย่างโกรธเคือง “หาว่าใครเล่นละครหา? คุณนั่นแหละที่มากระแทกฉันจนล้มเนี่ย”

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแล้วเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างต่างพากันซุบซิบถึงป้าหูอย่างรังเกียจ “มาเล่นละครอยู่กลางถนนแล้วยังจะมาหาคนผิดอีกนะยัยป้าคนนี้!”

“โทษคนอื่นไม่พอ ยังเป็นคนเริ่มก่อนอีกต่างหาก”

อีกอย่างหนุ่มหล่อคนนี้จะไปทำร้ายยัยป้านี่ทำไมกัน…

“ผมไม่ได้ทำ! ป้าอย่ามาใส่ความคนอื่นนะ!”

คนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบ ๆ นั้นอยู่ข้างคุณหมอ ทำเอาป้าหูเริ่มรับมือไม่ได้

หลินม่ายเริ่มกังวลว่าอาจารย์หมอของมหาวิทยาลัยผู่จี้อย่างเขาจะต้องด่างพร้อยจากเหตุการณ์นี้

เธอกลัวว่ามันจะมีปัญหาทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงได้

เขาต่างจากป้าหูที่ไม่มีอะไรจะให้เสีย การทะเลาะกับคนแบบนี้ทำให้เขามีแต่จะเสื่อมเสีย

เพราะอย่างนั้นเธอต้องรีบจบเรื่องแบบนี้ให้เร็วที่สุด

หญิงสาวก้มหน้าลงคุยกับป้าหู “มีพยานอยู่เยอะแยะไปหมดว่าคุณหาเรื่องเขาก่อนแล้วยังจะมาเล่นละครใส่ความกัน ถ้ายังดันทุรังจะเล่นต่อไปเรื่อย ๆ คุณจะไม่ได้อะไรเลย เพราะงั้นก็เลิกแล้วต่อกันตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า และรู้จักสงบปากสงบเอาไว้ซะบ้าง”

ป้าหูจึงเอ่ยขึ้นอย่างโกรธ “เวรเถอะ! เป็นอาจารย์หมอแล้วไม่ต้องรับผิดเวลาทำร้ายคนอื่นหรือไง?”

เนื่องจากก่อนหน้านี้ป้าหูต้องเสียเงินบำนาญไปจนหมด หล่อนจึงคิดวิธีหาเงินเพิ่มมาตลอด เมื่อโอกาสมารอตรงหน้าแบบนี้จะปล่อยให้หลุดมือไปได้อย่างไร

คนรอบข้างส่งเสียงเข้ามาแทรกด้วยความโกรธ “แต่เขายังไม่ได้ทำอะไรป้าเลยนะ!”

ฟางจั๋วหรานกำลังจะเถียงกลับแต่ถูกหลินม่านดึงเอาไว้จากด้านหลัง

อาจารย์มหาวิทยาลัยแพทย์ชื่อดังมาทะเลาะกับยัยป้าปากตลาดอยู่กลางถนน มันจะไม่เป็นผลเสียต่อชื่อเสียงของเขาหรือ?

ความหวังดีอย่างไม่รู้ตัวของหลินม่ายทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างห้ามไม่อยู่

หลินม่ายพูดกับป้าหูอย่างเย็นชา “ถ้ายังไม่เลิกเล่นละครก่อเรื่อง ฉันจะเรียกตำรวจมาจัดการ เล่นละครไม่เนียนแบบนี้ระวังจะโดนข้อหารีดไถคนอื่นนะ”

ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ก็ออกเสียงสนับสนุนในความคิดนั้น “โทรเรียกตำรวจเลย ให้ตำรวจมาลากหล่อนไปเข้าคุกซักสี่ห้าปี หล่อนจะได้เลิกเล่นใหญ่!”

“เรียกตำรวจมาเลย ต่อให้มีพยานเป็นร้อยคน ฉันก็ถูกทำร้ายจริง ๆไม่ใช่เหรอ?”

ป้าหูพูดออกมาแล้วลุกขึ้นตรงเข้าไปหมายจะชนกับตัวของฟางจั๋วหราน

ถ้าเขาสัมผัสตัวหล่อนแม้เพียงเล็กน้อยแล้วหลังจากนั้นหล่อนล้มลงอีก ก็คงไม่มีใครกล้ามาพูดได้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!

แต่เป็นหลินม่ายที่ตรงเข้ามาผลักร่างของหล่อนออกไป “จะทำอะไร! ยังจะทำร้ายคนอื่นอีกเหรอ!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ยัยป้านี่ควรลากไปขังคุกแบบขังลืมจริง ๆ ค่ะ อยู่ไปก็ภาระสังคมมาก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 122 มาลองเทียบกันหน่อย

หลินม่ายเองก็ยิ้มตอบรับไมตรีนั้นจากโหมวตานด้วยเช่นกัน “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเกรงใจคุณ เดี๋ยวฉันรอเอาให้อาจารย์เองดีกว่า คุณจะได้ทำงานของตัวเองด้วย”

โหมวตานยังคงแสร้งยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเกรงใจอะไรหรอกค่ะคุณ กะกลางคืนแบบนี้งานก็ไม่ได้ยุ่งอะไรขนาดนั้นด้วย”

“งั้นคุณก็ไปพักผ่อนเถอะค่ะ พยาบาลอย่างคุณคงทำงานหนักมาก ฉันไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ รอได้”

โหมวตานไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมจากไปในที่สุด

เวลาผ่านไปมากกว่าครึ่งชั่วโมงไฟหน้าห้องผ่าตัดก็เปลี่ยนสี การผ่าตัดเสร็จสิ้นลงในที่สุด คนไข้ถูกเข็นออกไป ในขณะที่คุณหมอฟางเดินตามออกมา

ครอบครัวของผู้ป่วยที่รออยู่รีบมารวมตัวกันที่หน้าคุณหมอทันทีด้วยความร้อนใจและเริ่มถามไถ่ถึงอาการของเขา

ฟางจั๋วหรานถอดหน้ากากออก ยิ้มอย่างอบอุ่นให้ญาติผู้ป่วยแล้วแจ้งกับพวกเขาว่า “การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีนะครับ”

ทั้งรอยยิ้ม คำพูด และน้ำเสียงของเขาเป็นเหมือนยาที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้บรรดาครอบครัวของคนไข้ได้เป็นอย่างดี พวกเขามีท่าทางโล่งใจแล้วเดินตามคนไข้ไปที่ห้องพักฟื้น

ทันทีที่แยกกับญาติคนไข้ ฟางจั๋วหรานก็หันมาเห็นหลินม่าย เขารีบตรงมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม

หญิงสาวรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วส่งอาหารที่เตรียมมาให้เขา “คุณกินเกี๊ยวไปก่อน ซุปเย็นหมดแล้วฉันจะเอากลับไปอุ่นให้”

แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเอ่ยตอบอะไร โหมวตานที่ยินอยู่แถวนั้นก็รีบพูดขึ้นมาก่อน “อาจารย์ฟางคะ ฉันมีนมมอลต์อยู่ เดี๋ยวฉันจัดการเอาไปชงให้คุณดื่ม จะได้ไม่ต้องรบกวนเสี่ยวหลินให้ต้องเทียวไปเทียวมาดีไหมคะ”

“ผมก็มีนมมอลต์อยู่เหมือนกัน” ฟางจั๋วหรานตอบกลับ แล้วหันมาคุยกับหลินม่ายต่อ “ผมอยากกินซุปไชเท้าของคุณ ที่ห้องทำงานมีเตาไฟฟ้าเล็ก ๆ อยู่เดี๋ยวผมเอาไปอุ่นเองแล้วก็กินเลยดีกว่า”

เมื่อเขายืนยันแบบนั้น หลินม่ายเลยส่งหม้อซุปให้เขาแล้วขอตัวกลับบ้านไป

โหมวตานมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้วยสีหน้ามืดมนและเจ็บปวด

ตัวหล่อนทั้งสวยและมีความสามารถ อาชีพการงานเองก็ดีกว่าผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่เป็นแค่แม่ค้าขายอาหารคนนั้น แต่อาจารย์ฟางกลับลดตัวไปสนใจอีกฝ่ายมากกว่าหล่อน

ยิ่งคิดเรื่องนี้มากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกขัดใจมากขึ้นไปอีก

ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่เวรของฟางจั๋วหรานและเขาถูกเรียกเข้ามาทำการผ่าตัดฉุกเฉินเท่านั้น แต่ผู้ป่วยที่เขาเพิ่งทำการรักษาไปเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสที่เกษียณอายุแล้ว ไม่ว่าการผ่าตัดจะออกมาเป็นที่น่าพอใจแค่ไหน ก็อาจมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นอีกได้

เพื่อความปลอดภัย คุณหมอหนุ่มเลยยังอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ หลังจากกินอาหารทั้งหมดที่หลินม่ายเตรียมมาให้แล้ว

หากว่าอาการของคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงเขาจะได้อยู่จัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างทันที

คุณหมอฟางได้ล้มตัวลงนอนไปไม่ถึงสองชั่วโมงดีก็ถูกปลุกให้ไปช่วยผ่าตัดผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อีก คนหนึ่งต้องผ่าตัดเอาม้ามที่แตกออก และอีกคนต้องรับการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ

ฟางจั๋วหรานใช้เวลาทั้งคืนนั้นกับการทำงานในห้องผ่าตัด

เขาเสร็จจากงานและเดินออกจากโรงพยาบาลในเวลาราว ๆ แปดโมงเช้า ตั้งใจจะไปกินมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายแล้วกลับไปนอนให้เต็มตื่น

ก่อนจะถึงร้านของหลินม่าย ชายหนุ่มเห็นเด็กหนุ่มยืนอยู่หน้าร้านชี้ไปที่ร้านของหลินม่ายแล้วหันไปบอกเพื่อนตัวเอง “ไปกินข้าวเช้าร้านนี้กัน อร่อยมากเลย!”

“ไม่เอา ฉันอยากกินที่นี่มากกว่า” แต่เพื่อนคนนั้นกลับชี้ไปที่ร้านเว่ยเหม่ยไจของป้าหู “ร้านนี้ก็อร่อย ถูก แล้วก็ให้เยอะด้วย”

ฟางจั๋วหรานที่ยืนฟังอยู่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย อาหารร้านข้าง ๆ นี่สามารถเทียบรสชาติกับร้านของหลินม่ายได้เชียวเหรอ?

แถมซาลาเปา เกี๊ยว อาหารต่าง ๆ ของหลินม่ายก็ใช่ว่าจะให้น้อยเสียที่ไหน ถ้าร้านข้าง ๆ ยังให้เยอะกว่า ร้านป้าหูนี่ขายอาหารเพื่อการกุศล ไม่แสวงผลกำไรหรืออย่างไรกัน?

ฟางจั๋วหรานลองเข้าไปในร้านป้าหูเพื่อลองซื้ออาหารที่นั่นดู

เขาอยากจะรู้เหมือนกันว่าอาหารร้านข้าง ๆ จะอร่อยคุ้มค่าอย่างที่ได้ยินมาหรือเปล่า

ป้าหูเห็นฟางจั๋วหรานเข้ามาในร้านก็อดตื่นเต้นไม่ได้

หล่อนรู้ว่าเขาเป็นลูกค้าคนพิเศษของหลินม่าย

การที่เขาเลือกมาที่นี่แสดงว่าอาหารของหล่อนต้องดึงความสนใจจากเขาได้เช่นกัน

ไม่อย่างนั้นผู้ชายคนนี้จะยอมเปลี่ยนใจจากร้านประจำมาเข้าร้านคู่แข่งแบบนี้ได้อย่างไร

ป้าหูเป็นคนยกซาลาเปาและเกี๊ยวที่ลูกค้าคนพิเศษคนนี้สั่งมาเสิร์ฟให้เขาเองกับมือ และไม่ลืมที่จะค่อนแคะหลินม่ายด้วยเสียงกดต่ำ “คุณมากินมื้อเช้าที่ร้านเราได้ทุกวันเลยนะคะ ต่อไปฉันมีส่วนลดพิเศษให้เลยค่ะ อาหารร้านข้าง ๆ รสชาติงั้น ๆ แถมยังให้น้อย ที่ยังขายได้อยู่คงเพราะอ่อยเก่งมากกว่า ไม่งั้นไม่น่ามาเปิดร้านได้หรอกมั้ง”

ฟางจั๋วหรานรับซาลาเปาและเกี๊ยวจากป้าหูแล้วเอ่ยตอบอย่างเย็นชา “อายุคุณก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว ไม่น่าเป็นคนไม่มีจิตสำนึกแบบนี้เลยนะครับ หรือว่าคุณไม่เคยมีมาตั้งนานแล้ว?”

ป้าหูหน้าซีดไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่กล้าตอบโต้อะไร เพราะกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาอีก ทุกคนรู้กันหมดเรื่องกิตติศัพท์ของหลินม่าย ใคร ๆ ก็ไม่อยากมีปัญหากับเธอทั้งนั้น

แม้ว่าหลินม่ายจะดูนิ่งเงียบต่างจากสาวบ้านนอกทั่วไป และดูไม่ใช่คนชอบหาเรื่องคนอื่น แต่ชื่อเสียงที่ผ่านมาของเธอก็ทำให้ป้าหูจำต้องกลืนความโกรธลงท้องไป

แถมผู้ชายคนนี้ยังคอยช่วยเหลือเธออยู่ตลอด ถ้าจะมีเรื่องกันจริง ๆ ก็คงยากจะรับมือกับทั้งสองคนนี้พร้อม ๆ กันได้

ป้าหูทำได้เพียงบ่นเบา ๆ โดยไม่ให้เขาได้ยินเท่านั้น “เฮอะ ! เห็นกงจักรเป็นดอกบัวจริง ๆ เลยหมอนี่!”

สื่อเจินเซียง ลูกสาวของป้าหูกำลังสะพายกระเป๋าไว้บนหลังและกำลังจะไปทำงาน หล่อนพลันเหลือบมองฟางจั๋วหรานด้วยความสนอกสนใจ และรีบถามแม่อย่างตื่นเต้น “ผู้ชายคนนั้นใครน่ะแม่?”

ป้าหูตอบอย่างเคือง ๆ “ผู้ชายของยัยคนข้างบ้านน่ะสิ”

สื่อเจินเซียงเหลือบมองไปทางหลินม่ายที่กำลังยุ่งกับงานของตัวเองในร้านข้าง ๆ แล้วถามต่อว่า “แม่รู้ไหมว่าเขาทำงานอะไร”

“ฉันได้ยินว่าเขาเป็นอาจารย์หมออยู่ที่คณะแพทย์”

ได้ยินแบบนั้นคนเป็นลูกสาวก็มีดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที ระหว่างเดินผ่านร้านของหลินม่ายก็เหลือบมองคุณหมอหนุ่มอีกครั้ง ยิ่งมองก็ยิ่งหล่อน่ามองเหลือเกิน

หลินม่ายเองก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินเข้าร้านข้าง ๆ

แล้วก็พอเข้าใจด้วยว่าที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้เป็นการหักหน้าเธอแต่อย่างใด

ทันทีที่คุณหมอหนุ่มเข้ามาในร้าน หลินม่ายก็ฝากให้วังเสี่ยวลี่ดูหน้าร้านต่อ ส่วนเธอก็พาฟางจั๋วหรานขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นบนชั้นสอง

ชายหนุ่มเอาอาหารจากร้านข้าง ๆ ใส่ลงไปในหม้อซุปของหลินม่ายที่เขาได้มาเมื่อคืนกลับมาด้วย

เขาเอ่ยกับหลินม่าย “คุณไปเอาชามมาสิ”

หญิงสาวรับคำ ไปหยิบชามขึ้นมาโดยไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม

ฟางจั๋วหรานบอกให้เธอนั่งลงตรงข้ามเขา เทเกี๊ยวที่ห่อมาลงไปในชาม แล้วยื่นให้เธอ “ลองชิมดูว่ามันต่างกันยังไง”

หลินม่ายตักเกี๊ยวชิมคำเล็ก ๆ อย่างระมัดระวัง

“รสชาติต่างกันนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าดีกว่าเกี๊ยวธรรมดาทั่วไป แถมเป็นร้านเก่าแก่มีชื่อเสียง ที่สำคัญก็คือราคาถูกกว่าของฉัน”

ฟางจั๋วหรานยื่นซาลาเปาอีกลูกให้เธอ “คุณลองชิมซาลาเปานี่ดู”

หลังจากชิมไปแล้วหลินม่ายก็เลิกคิ้วขึ้น “นอกจากราคาถูกกว่าแล้วก็ไม่ได้มีข้อดีอะไรนะ”

อาหารเช้าของหลินม่ายมีรสชาติโดดเด่นเพราะเครื่องปรุงพิเศษอย่างกะปิ ทำให้อาหารของร้านข้าง ๆ ไม่สามารถมาแข่งขันกับเธอเรื่องรสชาติได้

ในเรื่องปริมาณ หลินม่ายก็ไม่ได้ถือว่าให้น้อยเลย

เธอเชื่อเสมอว่าถ้าทำธุรกิจแล้วไม่ซื่อตรงกับลูกค้า ก็จะทำธุรกิจนั้นได้ไม่นาน

ฟางจั๋วหรานหยิบซาลาเปาขึ้นมาสังเกตดู ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามต่อว่า “ซาลาเปานี่ไม่ใช่แค่ราคาถูกอย่างเดียวแต่มันใหญ่กว่าของคุณแบบเห็นได้ชัดเลย”

หลินม่ายแค่นยิ้มออกมา “ซาลาเปานี่ขายแบบขาดทุนอยู่ ถ้าขายมากเกินไปคงล้มละลายได้ อีกอย่าง มันดูใหญ่กว่าของฉันก็จริง แต่น้ำหนักก็พอ ๆ กับของฉันนี่แหละ หรืออาจจะน้อยกว่าอีกด้วยซ้ำ”

ชายหนุ่มได้ฟังก็ยิ่งสงสัย “แล้วทำไมมันถึงได้ดูใหญ่กว่าล่ะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ช็อตฟีลเลยไหมป้าหู เจอฝีปากมีดผ่าตัดของพี่หมอเข้าไปเป็นไง

อย่าเชียวค่ะนังลูกสาว พี่หมอเป็นของม่ายจื่อ

พี่หมอยิ่งมองก็ยิ่งเหมาะสมกับม่ายจื่อ สองคนนี้ดูรู้ทันกันดีนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 121 นี่ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ

แม้แต่ลูกชายและลูกสะใภ้ของป้าหูยังต้องทำงานกับพ่อแม่ แล้วจะให้ไปหางานใหม่ให้คนอื่นได้อย่างไร แถมยังต้องเป็นงานประจำอีก

ลูกสะใภ้ป้าหูเอ่ยเสียงเบา “เอ่อ…มันคงเป็นไปได้ยาก เราขอเปลี่ยนเงื่อนไขได้หรือเปล่า?”

แม่ของหลานชายทั้งสองเริ่มเสนอขึ้น “ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็จ่ายมาให้เราคนละ 500 หยวนก็พอแล้ว”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็โกรธมาก “แล้วทำไมฉันต้องจ่ายขนาดนั้นหา”

แม่ของหลานชายทั้งสองเองก็ไม่พอใจเช่นกัน “นี่ยายแก่ มีสิทธิ์อะไรมาเอาเปรียบลูกชายฉัน ลืมไปแล้วเหรอว่าให้ลูกฉันต้องออกจากงานเพราะใครน่ะหา แม้แต่ที่สถานีตำรวจเธอก็ยังเอาแต่โบ้ยความผิดทั้งหมดมาที่ลูกฉัน เป็นคนยังไง เห็นแก่ตัวไร้มนุษยธรรมขนาดนี้ ถ้าไม่มี 500 หยวนก็ไม่ต้องมาคุยกันแล้ว ออกไปเลยไป!”

ลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็รู้ดีว่าป้าหูเป็นคนบงการ แต่หล่อนปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับหลานห่าง ๆ ทั้งสองคน

ป้าหูไม่สนใจแล้วว่าจะมีคนจำนวนมากอยู่รอบ ๆ ในตอนนี้ หล่อนปล่อยให้ความโกรธครอบงำ แล้วโวยวายออกมา

แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับการแก้ไข

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ลูกชายกับลูกสะใภ้ก็บังคับให้ป้าหูเอาเงินบำนาญทั้งหมดออกมารวมเข้ากับเงินออมส่วนตัวและไปหยิบยืมคนอื่น ๆ มาเพิ่ม

จนสุดท้ายครอบครัวป้าหูก็จ่ายเงิน 500 หยวน เพื่อแลกกับความปลอดภัยของหยางหยาง

ป้าหูต้องสูญเงินบำนาญทั้งหมด หญิงชราเอาแต่ร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่ที่บ้านถึงสองวัน

ในช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายของบ้านป้าหู หลินม่ายก็ง่วนอยู่กับงานของตัวเอง

แม่ครัวสาวไม่เพียงแต่ใส่กะปิลงไปในซาลาเปาและเกี๊ยวเท่านั้น แต่ยังเติมมันลงไปในซุปไชเท้ากระดูกหมู และข้าวผัดไข่ด้วย ไม่ว่าจะเติมลงไปในเมนูไหนกะปิก็ช่วยให้อาหารอร่อยและมีรสชาติแปลกใหม่เฉพาะตัวจนใครกินก็พากันติดใจ

แม้ว่าป้าหูจะมีแผนสกปรกมากมายมาใช้เพื่อพยายามจะเอาชนะ แต่หลินม่ายก็ยังยืนหยัดอยู่ได้เพราะมีกะปิช่วยเติมความอร่อย ร้านของเธอก็ยังขายดีวันดีคืน

ฟางจั๋วหรานอยู่เวรทั้งคืนแล้วมากินมื้อเช้าที่ร้านของหลินม่ายก่อนจะกลับบ้านเพื่อเข้านอน

กว่าคุณหมอหนุ่มจะตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดลงอีกครั้ง กระเพาะอาหารส่งเสียงร้องประท้วงด้วยความหิว

มองดูนาฬิกาที่โต๊ะก็พบว่าเป็นเวลาหกโมงเย็น ไม่แปลกเลยที่จะหิวขนาดนี้

ชายหนุ่มเข้าไปในห้องน้ำจัดการล้างหน้าล้างตา ก่อนจะเข้าไปในครัว ทำบะหมี่ไข่ลวกสองชามให้ตัวเอง

อยู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา

ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย เดินผ่านน้องนั่งเล่นไปที่ประตูหน้าห้องแล้วเปิดออก พบว่าเป็นหวังหรงที่ยืนรออยู่ด้านนอก

ในมือของหล่อนมีกระติกน้ำร้อนกับกระเช้าผลไม้ในใหญ่เมื่อเห็นหน้าเขาก็พูดออกมาอย่างร่าเริง “พี่ชาย รับไปหน่อย มันหนัก”

ฟางจั๋วหรานรับของในมือของหล่อนมาถือพร้อมกับถามอย่างเฉยเมย “มาทำไมอีก?”

ริมฝีปากที่ฉาบด้วยลิปสติกของหญิงสาวเริ่มขยับเอ่ยตอบ “ฉันก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก พี่ไม่ได้ไปบ้านคุณย่าเพื่อพักผ่อนบ้างเลย ฉันกลัวพี่จะไม่ได้กินอะไรดี ๆ ก็เลยต้มซุปไก่มาให้ เผื่อจะได้กินบำรุงร่างกายซะหน่อย”

สุดท้ายแล้วหล่อนก็เข้าไปในครัว เอาจานชามบนโต๊ะอาหารมาเทซุปไก่จากกระติกลงไปแล้ววางลงบนโต๊ะให้ชายหนุ่ม ฟางจั๋วหรานรับมาซดขณะที่ยังร้อน ๆ

ชิมคำเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นซุปฝีมือคุณย่า

คนไม่เคยเข้าครัวอย่างหวังหรงไม่มีทางทำซุปไก่แบบนี้ได้

หญิงสาวนั่งลงตรงข้ามเขา เท้าคางมองชายหนุ่มที่หล่อนหลงรัก

“ฉันได้ยินมาจากคุณลุงกับคุณป้าว่าปีนี้พี่ 28 แล้ว อายุก็ไม่ใช่ว่าจะน้อย น่าจะต้องคิดเรื่องแต่งงานได้แล้ว”

ระหว่างที่พูดแบบนั้นก็ลอบสังเกตปฏิกิริยาของเขาไปด้วย

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานไม่ได้ตอบอะไรจึงเริ่มพูดต่อ “พี่คิดว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงแบบไหนเหรอ?”

ชายหนุ่มเหลือบมองหล่อนนิดหน่อยแต่ก็ยังคงเงียบแล้วกินซุปต่อไป

เขากินซุปที่คุณย่าทำมาตั้งแต่เด็กและมันก็อร่อยมาก ๆ แต่พอได้กินอาหารที่หลินม่ายเป็นคนทำแล้วลองเทียบกันดูก็มักจะต้องคิดว่า อาหารที่เคยกินมายังห่างไกลกว่านั้นมาก

หวังหรงรอคำตอบจากเขาไม่ไหวเลยเริ่มเข้าประเด็น “ถ้างั้นเป็นฉันได้ไหม?”

แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นความเฉยเมย “ฉันปฏิเสธเธอมาหลายรอบแล้ว นี่ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ?”

หญิงสาวบ่นขึ้นมาบ้าง “ทำไมฉันต้องยอมแพ้ด้วย เราเป็นคู่รักวัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกันนะ เป็นคู่ที่ฟ้าประทานเลย”

ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา “ฉันไม่เห็นจะคิดแบบนั้นเลย”

“ถ้างั้นพี่เต็มใจจะทำตามที่คุณลุงคุณป้าบอกด้วยการกลับบ้านไปแต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองไม่รู้จักงั้นเหรอ”

ใบหน้าเล็ก ๆ ละเอียดละออของหลินม่ายกลับปรากฏขึ้นในใจของเขา “เป็นห่วงแค่เรื่องของตัวเองเถอะ ฉันจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันรู้จักแล้วก็รักเธอด้วยหัวใจแน่นอน”

ชายหนุ่มใช้ชีวิตมาแล้วหนึ่งในสามของอายุขัยน่าจะได้

ที่ผ่านมา เขาเคยทุ่มเททั้งหัวใจให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เธอกลับทิ้งเขาไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่าโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ ถ้าจะต้องเลือกใช้ชีวิตกับผู้หญิงสักคน เขาจะต้องมอบความรักให้กับคนที่พร้อมจะอยู่ด้วยกันอย่างดี ไม่อยากจะต้องผิดหวังอีกต่อไปแล้ว

หวังหรงเหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดต่อแต่เสียงโทรศัพท์กลับดังขึ้นเสียก่อน

ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นไปที่ตู้เล็ก ๆ ที่มีโทรศัพท์วางอยู่เพื่อรับสาย

เป็นสายจากโรงพยาบาลบอกให้เขารีบไปที่นั่นทันที มีผู้ป่วยหลอดเลือดหัวใจตีบต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน

คุณหมอหนุ่มไม่ได้อยู่กินซุปต่อ รีบหยิบกุญแจแล้วออกไปทันที โดยฝากให้หวังหรงล็อคห้องก่อนกลับให้ด้วย

ถนนเจี่ยเฟิงที่คึกคักในตอนกลางวันกลับเงียบเหงาในตอนหนึ่งทุ่ม

หลินม่ายนั่งอยู่ที่หน้าร้าน สอนหนังสือให้โจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วไปพร้อมกัน

โจวฉายอวิ๋นที่เป็นผู้ใหญ่กำลังตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง

ส่วนเด็กน้อยอย่างโต้วโต้วกลับไม่ชอบเรียนหนังสือ เธอมักจะแอบเล่นไปด้วยอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเดินผ่านมาก็รีบส่งเสียงเรียกเอาไว้ “คุณอาคะ” แถมยังวิ่งออกไปหา อ้าแขนสองข้างให้เขาอุ้มขึ้น

แต่คุณอาของเธอกลับยิ้มแล้วปฏิเสธ “อากำลังรีบไปผ่าตัดคนไข้น่ะ ยังไม่มีเวลาเล่นกับหนูตอนนี้”

ชายหนุ่มเปลี่ยนไปคุยกับหลินม่ายด้วยเหตุผลที่แวะมาแทน “มีอะไรง่าย ๆ ให้กินไหม”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มยังไม่ได้กินข้าวและเขาคงต้องการอะไรติดไปกินที่โรงพยาบาล

เธอเอ่ยต่ออย่างรู้สึกผิด “ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่พอจะทำบะหมี่ให้ได้นะ”

ในบ้านยังมีเส้นบะหมี่ น่าจะเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายที่สุดในตอนนี้

“งั้น ไม่เป็นไรดีกว่า คนไข้ไม่น่าจะรอไหว” คุณหมอหนุ่มรีบจากไปอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายมองตามแผ่นหลังของเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าครัว

ถึงไม่มีเวลากินตอนนี้ แต่หลังผ่าตัดต้องหิวมากแน่ ๆ

ในครัวยังมีต้นหอมเหลืออยู่ หญิงสาวจึงวางแผนจะทำเกี๊ยวนึ่งไส้ต้นหอมและไข่ให้เขา

เกี๊ยวนึ่งไส้มังสวิรัติสามารถกินแบบเย็นได้ และยังมีคุณค่าทางอาหารที่ดีอีกด้วย

โจวฉายอวิ๋นตามเข้ามาในครัวได้ซักพักก็แนะนำให้หลินม่านทำซุปเพื่อกินกับเกี๊ยว

ด้วยส่วนผสมที่มีจำกัดหลินม่ายเลยใช้หัวไชเท้าที่เหลือจากซุปกระดูกหมูมาเคี่ยวซุปไชเท้า

เป็นวิธีอันชาญฉลาดในการปรุงอาหารเวลาที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสวยเหลืออยู่ในครัว

หลังจากนึ่งเกี๊ยวและต้มซุปหัวไชเท้าเรียบร้อย หลินม่ายก็เอาอาหารไปให้ฟางจั๋วหราน

ศัลยแพทย์หนุ่มกำลังทำหน้าที่ของเขาอยู่ในห้องผ่าตัด หลินม่ายจึงนั่งรออยู่ด้านนอก

คืนนี้โหมวตานเองก็มาเข้าเวร หล่อนรู้เช่นกันว่าคุณหมอฟางเข้าไปผ่าตัดโดยที่ยังไม่ได้กินอะไรและจะออกมาหาอะไรกินหลังงานเรียบร้อย

หล่อนจึงไปที่ร้านขนมเพื่อซื้อพวกขนมปัง เค้ก และอย่างอื่นอีกนิดหน่อยมารอให้เขากินหลังเสร็จจากการผ่าตัด

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับกล่องอาหารและหม้อใส่ซุปขนาดใหญ่ก็เดาได้ทันทีว่าคงเอามาให้ฟางจั๋วหราน สีหน้าของพยาบาลสาวเคร่งขรึมขึ้นโดยทันที

แต่ถ้าหล่อนไล่หลินม่ายกลับไปตรง ๆ แล้วอาจารย์ฟางรู้เข้าคงได้มีปัญหากันแน่

โหมวตานกลอกตาแล้วเดินเข้าไปหาหลินม่ายด้วยท่าทางเป็นมิตร “เตรียมอาหารมาให้อาจารย์ฟางเหรอคะ ฝากไว้ที่ฉันได้นะคะ เดี๋ยวอาจารย์ฟางผ่าตัดเสร็จแล้วฉันจะเอาไปให้เขาเองค่ะ คุณจะได้กลับบ้านไปพักผ่อน”

แต่หลินม่ายรู้ดีว่าโหมวตานมองเธอเป็นศัตรูหัวใจ

หลังจากผ่านเรื่องของหลินเพ่ยและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาก่อนในชาติที่แล้ว เธอก็มีประสบการณ์ในการมองเรื่องเหล่านี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ที่แน่ๆ เขาไม่เลือกเธอแล้วกันนังหรง นางในใจของเขาออกจะชัดขนาดนั้น

คิดจะเอาอาหารของม่ายจื่อไปเททิ้งล่ะสิ ดูออกนะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 120 กะปิของยายเถียน

หลินม่ายถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมบ้านย่าฟางมีกะปิของยายเถียนล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง แล้วยังบอกอีกว่ายายเถียนยังฝากไข่เป็ดเค็มมาให้อีกหลายสิบฟอง

พูดจบก็ถามด้วยความสงสัย “กะปิคืออะไร?”

“กะปิ?” หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย “นั่นไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของเฉาซาน(แต้จิ๋ว)หรือ ยายเถียนทำกะปิได้ด้วยเหรอ? หรือว่าบรรพบุรุษของท่านมาจากเฉาซาน?”

แม้ว่าในสายตาของชาวเฉาซานจะมองว่ากะปิเป็นของดี เค็ม และอร่อย แต่หลินม่ายไม่ค่อยชอบ โดยส่วนตัวคิดว่ามันเค็มเกินไป

ในสายตาของเธอ กะปิไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนักนอกจากปรุงเป็นซุปหรือผัดผัก

โจวฉายอวิ๋นยิ้มและพูดว่า “ฉันยังไม่เคยกินกะปิเลย ขอฉันชิมหน่อย”

หลินม่ายไม่สนใจกะปิ แต่โจวฉายอวิ๋นอยากลอง อย่างนั้นก็ลองดูแล้วกัน

ทั้งสองคนเปิดกระปุกกะปิ กลิ่นแรงตีขึ้นจมูก ทำเอาน้ำลายสอ

“หอมมาก!” โจวฉายอวิ๋นพูดอย่างแปลกใจ “เหมือนว่าจะไม่เลวนะ”

หล่อนหยิบช้อนเล็กๆ ตักใส่ถ้วยแล้วชิมเล็กน้อย ทันใดนั้นก็สั่นสะท้านสองสามครั้ง

หลินม่ายหัวเราะแล้วพูดว่า “อร่อยขนาดนั้นเลยเหรอ?ไม่เกินจริงไปใช่ไหม?”

โจวฉายอวิ๋นมีสีหน้าเหมือนกำลังกินอุจจาระ และใบหน้าของหล่อนก็เหยเก “มันไม่อร่อย มันไม่อร่อยย”

“ต่อให้ไม่อร่อย มันก็ไม่น่าถึงขนาดนั้นมั้ง”

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยกินกะปิ แต่มันเค็มเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกที่มันจะไม่อร่อยจนสีหน้าบิดเบี้ยว

หลินม่ายใช้ตะเกียบจิ้มกะปิเล็กน้อยแล้วชิมดู ปรากฏว่าตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้หลายครั้ง

เช่นเดียวกับคนที่ไม่กินเปรี้ยว เมื่อดื่มน้ำมะนาวหนึ่งแก้ว ความเปรี้ยวนั้นก็สุดจะพรรณนาได้

โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่ได้โกหกเธอนะ มันไม่อร่อยใช่ไหม?”

หลินม่ายส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าไม่อร่อย แต่มันมีรสแรงเกินไป เหมือนซุปไก่สกัดเข้มข้น ที่สำคัญคือรสจัดกว่าซุปไก่ ด้วยความที่รสจัดเกินไปจึงใช้เป็นเครื่องปรุงรสได้เท่านั้น”

โจวฉายอวิ๋นไม่เชื่อ “อย่างนั้นหรือ?”

“ตอนเที่ยงลองใส่ในซุปผักดู ไม่ลองก็ไม่รู้”

ตอนเที่ยงทำแกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่ผักชี หลินม่ายใส่กะปิลงไปเล็กน้อย

เมื่อทำเสร็จแล้ว เธอก็ลองชิมดู

อร่อยสุดๆ อร่อยกว่าซุปไก่ตุ๋นเห็ดเสียอีก ผงซุปไก่สกัดแพ้ไปเลยเมื่อเจอกกะปิของยายเถียน

โจวฉายอวิ๋นก็ได้ลิ้มรสเล็กน้อย คราวนี้รู้สึกอร่อยจนมีสีหน้าเคลิบเคลิ้ม

แกงจืดเต้าหู้ไข่ใส่กะปิของยายเถียนอร่อยมาก หลินม่ายและคนอื่นๆ กินไปสองสามชาม

หลินม่ายมีความคิดว่าถ้าใช้กะปิของยายเถียนทำไส้เนื้อ คงออกมาอร่อยอย่างแน่นอน

ลงมือทำดีกว่ามัวแต่ตื่นเต้น วันรุ่งขึ้นหลินม่ายจึงใช้กะปิผสมในไส้ทั้งซาลาเปาและเกี๊ยว ทำออกมาก็อร่อยยิ่งขึ้น

ตอนเช้าฟางจั๋วหรานมากินอาหารเช้า โต้วโต้วเห็นเขาจึงร้องตะโกน “คุณอาคะ วันนี้ซาลาเปาและเกี๊ยวอร่อยมาก มากินกันเถอะค่ะ!”

ฟางจั๋วหรานยิ้มและพูดว่า “มีวันไหนที่แม่ของหนูขายซาลาเปาและเกี๊ยวไม่อร่อยบ้างเหรอ?”

“แต่วันนี้อร่อยเป็นพิเศษนะคะ!”

โต้วโต้วโบกมือเรียกหลินม่าย “แม่ รีบเอาซาลาเปาและเกี๊ยวมาให้คุณอาเร็วค่ะ!”

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม นำซาลาเปาและเกี๊ยวไปที่ห้องนั่งเล่นเล็กๆชั้นบนอย่างรวดเร็วเพื่อให้ฟางจั๋วหรานได้เพลิดเพลิน

แม้จะกินอาหารเช้าบนโต๊ะน้ำชา แต่บรรยากาศก็ดีกว่าการกินอาหารเช้าที่ชั้นล่าง

ฟางจั๋วหรานหยิบซาลาเปาขึ้นมากัด ก็รู้สึกประหลาดใจในทันที

โตมาขนาดนี้ เขาได้กินซาลาเปาชื่อดังจากทั่วประเทศมาหมดแล้ว แต่เขาไม่เคยกินซาลาเปาที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย มันอร่อยมาก!

โต้วโต้วนั่งอยู่ตรงข้ามเขา ดูสีหน้าของเขาก็รู้ว่าเขาพอใจกับอาหารมาก

อดไม่ได้ที่จะภูมิใจ “หนูพูดไม่ผิดใช่ไหมคะ ซาลาเปาวันนี้อร่อยมาก!”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้าซ้ำๆ “แม่ของหนูมีฝีมือ!”

เด็กน้อยยื่นมือทั้งสองข้างมาบังหน้าแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณอาจะแต่งงานกับแม่หนูไหม ถ้าแต่งงานกับแม่ของหนู อาจะได้กินซาลาเปาและเกี๊ยวแสนอร่อยทุกวัน ของอื่นๆ ด้วยนะคะ”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม “ทำไมหนูถึงต้องการให้อาแต่งงานกับแม่ของหนูอยู่เรื่อยเลย?”

โต้วโต้วถอนหายใจ “หนูอยากมีพ่อ และหนูไม่อยากให้เพื่อนพูดว่าไม่มีใครต้องการแม่ของหนู ~”

ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะเล็กๆ ของเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม และอยากจะบอกว่าในอนาคตต้องมีคนต้องการแม่ของหนูแน่ๆ

แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่พูดประโยคนี้ออกมา ราวกับพูดออกมาแล้วมันจะเป็นจริง

กินอาหารเช้าเสร็จเขาก็ลงไปชั้นล่าง ตอนที่กล่าวลาหลินม่าย ฟางจั๋วหรานสังเกตว่าวันนี้หลินม่ายสวมกระโปรง

น่าเสียดายที่ผ้ากันเปื้อนและปลอกแขนเก่าๆบนตัวได้คลุมทับกระโปรงจนไม่สามารถมองเห็นชัด

เขาเอ่ยขึ้น “วันนี้ซาลาเปาและเกี๊ยวของคุณอร่อยมาก!”

หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “จากนี้ไปจะอร่อยทุกวันเลยค่ะ!”

ไม่เพียงแต่ฟางจั๋วหรานเท่านั้นที่กินจนอิ่มหนำสำราญ ลูกค้าคนอื่นๆก็ชมเชยตามๆกัน บางคนถึงกับเรียกเพื่อนให้มาที่ร้านของหลินม่ายเพื่อซื้อซาลาเปาและเกี๊ยว

หลินม่ายมีความสุขมาก ตราบใดที่ลูกค้าพอใจกับอาหาร กิจการร้านอาหารเช้านี้ก็จะดำเนินไปได้

เมื่อเห็นว่ากิจการอาหารเช้าของหลินม่ายกำลังดีขึ้น ป้าหูก็โกรธจนควันออกหูและอุทานสาปแช่งเบาๆ

หลังจากจัดการธุรกิจเสร็จในตอนเช้า ป้าหูก็เรียกหยางหยางมากินไข่ตุ๋นที่ขายไม่หมด

แต่หลังจากยืนอยู่ที่ประตูร้านและตะโกนเป็นเวลานาน หยางหยางก็ไม่กลับมา

หล่อนกังวลใจขึ้นมา และจู่ๆ ก็นึกถึงสิ่งที่แม่ของหลานชายสองคนพูดไว้ หล่อนใจหายวาบทันที หรือว่าเขาถูกผู้หญิงบ้าสองคนนั้นทำร้ายจริงๆ?

หล่อนออกตามหาทุกซอกมุม แต่ไม่เห็นแม้แต่เงาของหยางหยาง จึงร้องไห้ออกมา

หล่อนคิดเสมอว่าผู้หญิงบ้าสองคนนั้นแค่ขู่ให้หล่อนกลัว แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริง

ป้าหูไม่ได้สนใจที่จะปิดประตู หล่อนร้องไห้ตลอดทางขณะไปหาลูกชายและลูกสะใภ้

ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ทุกข์ระทม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสะใภ้ที่ชี้ไปที่จมูกของป้าหูและดุด่าว่าป้าหูเป็นตัวการที่ทำให้ลูกชายของหล่อนลำบาก แต่เมื่อคืนหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ป้าหูพูดอย่างเสียใจ “ฉันไม่คาดฝันว่าผู้หญิงบ้าๆ สองคนจะทำเรื่องแบบนี้”

ลูกสะใภ้ดุด่าพลางเต้นเร่า “แม่โง่หรือเปล่า? ทำร้ายลูกชายของคนอื่นบางคนอย่างป่าเถื่อน แม่ยังคิดว่าเขาล้อเล่นอีก?”

ลูกชายและลูกสะใภ้รีบไปแจ้งตำรวจ

หลังจากการสืบสวน ตำรวจพบว่าหยางหยางอยู่ที่บ้านของหนึ่งในหลานชายสองคนที่ป้าหูใช้

ทั้งสองครอบครัวไม่ได้ทำร้ายหยางหยาง แต่พวกเขาให้อาหารและเครื่องดื่มที่ดีแก่เขาแทน

ตำรวจถามว่าตอนที่พวกเขาพาหยางหยางไป ทำไมไม่แจ้งครอบครัวของหยางหยางก่อน

ผู้หญิงสองคนพูดพร้อมกันว่าพวกเขาฝากคนอื่นไปบอกแล้ว

เป็นครั้งแรกที่ตำรวจเจอแบบนี้

คนนั้นบอกป้าหูแล้ว แต่ตอนนั้นป้าหูกำลังด่าหลินม่าย หล่อนจึงไม่ได้ยิน

เนื่องจากหญิงวัยกลางคนสองคนไม่ได้กระทำผิดใดๆ ตำรวจย่อมไม่ปฏิบัติต่อพวกหล่อนอย่างเลวร้าย

แม้ว่าหยางหยางจะปลอดภัย แต่ป้าหู ลูกชายและลูกสะใภ้ของหล่อน ก็เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าพวกนั้นพยายามทำให้พวกเขากลัว ใครจะรู้ว่าครั้งต่อไปพวกเขาจะเอาจริงหรือเปล่า

ไม่มีวิธีป้องกัน ทำได้แค่แก้ไข

ป้าหู ลูกชายและลูกสะใภ้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซื้อของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อชดเชยให้กับทั้งสองครอบครัว

ทั้งสองครอบครัวยอมรับของขวัญทั้งหมด แต่บอกว่าพวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของหยางหยางได้

ในขณะเดียวกัน พวกเขายังบอกด้วยว่าพวกเขาจะไม่ทำร้ายหยางหยาง และถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับหยางหยาง ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขาอย่างแน่นอน

สมาชิกในครอบครัวของป้าหูทั้งสามคนไม่มีใครโง่ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พวกนั้นพูด พวกเขาต้องลงมือแน่ แต่พวกเขาจะไม่มีวันยอมรับ

ลูกสะใภ้ของป้าหูกำลังจะร้องไห้ จึงพูดออกไปตรงๆ “ต้องทำยังไงพวกคุณถึงจะปล่อยหยางหยางไป?”

แม่ของหลานชายห่างๆ กลอกตาและพูดว่า “เราพูดไปแล้วว่าเราจะไม่ทำร้ายหยางหยาง ทำไมคุณถึงยืนกรานที่จะตำหนิเรา”

แม่ของหลานชายห่างๆ อีกคนเสริมว่า “พวกคุณต้องการชำระความก่อน ถึงจะวางใจสินะ? ง่ายนิดเดียว หลังจากลูกชายสองคนของเราได้รับการปล่อยตัว คุณก็แค่หางานประจำให้พวกเขาทำ อย่างไรเสียลูกชายสองคนของเราก็ตกงานเพราะแม่สามีของคุณ ”

ลูกชายและลูกสะใภ้ของป้าหูตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่าเพิ่งบู้บี้กะปินะ กะปิน่ะของอร่อยเลย

กรรมตามสนองแล้วรู้สึกยังไงคะป้าหู

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 119 ป้าหูปัดความรับผิดชอบ

ผู้ช่วยจากร้านป้าหูที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็รีบวิ่งเข้ามาบ่น “พวกคุณทำอะไรน่ะ มีอะไรก็พูดกันดีๆสิ ไม่ใช่ว่าพอเข้าร้านมาก็ทุบทำลายข้าวของแบบนี้!”

ป้าหูรู้จักหญิงวัยกลางคนสองคนนี้ และรู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงทุบร้าน ทว่ากลับเอาแต่เบียดเสียดอยู่ที่มุมห้องและไม่พูดอะไร โดยหวังว่าตนจะล่องหนเป็นอากาศธาตุ

หญิงวัยกลางคนสองคนสลัดพวกผู้ช่วยที่มาดึงรั้งไว้ออก ก่อนนั่งแปะลงบนพื้นและเริ่มร้องโวยวาย

“ให้พูดบ้าอะไร! ลูกชายของพวกเราโดนอีแก่นี่ทำลาย ตอนนี้อยู่สถานีตำรวจตัดสินจำคุกสิบห้าวัน กลับไปคงถูกหน่วยงานไล่ออก อนาคตจบเห่!”

ทุกคนสับสน “ป้าหูส่งลูกชายของคุณไปที่สถานีตำรวจ? ลูกชายของคุณคือใคร? เขาส่งลูกชายของคุณไปที่สถานีตำรวจได้อย่างไร?”

จู่ๆ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็พบป้าหูที่เบียดเสียดอยู่ตรงมุมห้อง ก็ผุดลุกขึ้นจากพื้นทันทีและลากหล่อนออกมาต่อหน้าทุกคน

“คนแซ่หู กล้าทำก็ต้องกล้ารับ ปิดบังทำไม? บอกทุกคนไปสิว่าทำลายลูกชายฉันยังไง?

ในเวลานี้ป้าหูทำหน้าเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือด สลัดหญิงวัยกลางคนออกอย่างแรง

“จะมาพูดว่าฉันทำลายลูกพวกเธอได้ยังไง! ฉันมีข้อตกลงกับพวกเขา ฉันจ่ายให้ และพวกเขาทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อฉัน มีปัญหาอะไรไหม!”

หญิงวัยกลางคนอีกคนเห็นว่าป้าหูไม่ได้รู้สึกผิดเลย ก็เดือดเป็นฟืนไฟ เดินเข้าไปหาและตบหน้าหล่อน

“เธอเป็นผู้ใหญ่ จ้างลูกชายของเราให้ก่อกวนเพื่อนบ้าน นี่เป็นเรื่องที่คนเขาทำกันเหรอ!”

เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ พวกเขาจึงเข้าใจว่าหญิงวัยกลางคนเป็นแม่ของชายหนุ่มที่ไปสร้างปัญหาที่ร้านของหลินม่ายเมื่อวานนี้

ผู้ช่วยเหลือพูดอะไรไม่ออก แต่เพื่อนบ้านที่ยืนดูความตื่นเต้นอยู่ที่ประตูร้านทั้งหมดชี้ไปที่ป้าหู

พลางรู้สึกว่าหล่อนช่างไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย ทำลายอนาคตลูกๆ ของญาติของตัวเองแล้วไม่เพียงพยายามแก้ไข แต่ยังก่นด่าใส่กัน บาปบุญคุณโทษคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว

ป้าหูถูกทุบตีจนล้มลงกับพื้นและแสร้งทำเป็นตาย และขอให้ผู้ช่วยโทรหาตำรวจ

ผู้ช่วยของร้านหล่อนได้รับค่าจ้างต่ำ ใครจะยอมออกหน้าถูกสาดโคลนแทนหล่อนกัน ดังนั้นจึงไม่มีใครตอบสนองต่อคำพูดของหล่อน

หญิงวัยกลางคนสองคนเริ่มรำคาญมากขึ้น ทุบตีแรงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับนำข้าว แป้งและน้ำมันในครัวมาสาด

“ปลิ้นปล้อนนักใช่ไหม? เอาเลย! อย่าหาว่าพวกฉันไม่เตือน ดูแลหลานชายของเธอให้ดีแล้วกัน!”

หลังจากที่หญิงวัยกลางคนสองคนขู่เสร็จแล้ว พวกหล่อนก็จากไปด้วยสีหน้าทะมึน

หลินม่ายเห็นว่ามีคนมาจัดการป้าหู ก็ไม่คิดจะไปสะสางบัญชีกับหล่อนแล้ว

ครั้งนี้ถ้าเธอยื่นเท้าเข้าไปอีก มันดูเหมือนคนล้มแล้วเหยียบซ้ำ

หญิงวัยกลางคนสองคนเดินไปข้างหน้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายเดินตามหลัง ส่วนป้าหูถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจในข้อหายุยงให้คนอื่นกระทำความผิด

เมื่อพวกเขามาถึงสถานีตำรวจ ป้าหูปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะยอมรับว่าหล่อนขอให้หลานชายห่างๆ สองคนมาข่มขู่หลินม่าย

หล่อนเต็มใจยอมรับว่าตนจ้างพวกเขามาทำลายร้านของหลินม่าย แต่หลานชายที่อยู่ห่างๆ สองคนของหล่อนจงใจข่มขู่หลินม่ายเอง

หลานชายห่างๆ สองคนของป้าหูโกรธมาก ทั้งคู่ยืนยันว่าหล่อนสั่งให้พวกเขาข่มขู่หลินม่าย

ทั้งสองฝ่ายกัดกันเองในสถานีตำรวจ

ป้าหูกลัวว่าตนจะถูกคุมขังเป็นเวลาสิบห้าวัน หากเดินตามรอยเท้าของหลานชายสองคน

ดังนั้นหล่อนจึงใช้ไม้เด็ด นำเรื่องที่หลานชายทั้งสองขู่กรรโชกทรัพย์เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนออกมาแฉ

ทั้งคู่ยืนยันในความคิดเห็นของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตำรวจจะตัดสินว่าใครพูดความจริงและใครโกหก

แต่ตอนนี้หลานชายทั้งสองของหล่อนมีประวัติอาชญากรรม จึงยากที่จะแยกแยะออกว่าพวกเขาตั้งใจขู่กรรโชกหรือไม่

ในท้ายที่สุด ตำรวจได้ลงโทษป้าหูด้วยการปรับทัศนคติและเรียกค่าปรับเป็นเงินป้องกันสาธารณภัย

ตกเย็นเมื่อลูกชาย ภรรยา และลูกสาวกลับจากเลิกงาน พวกเขาก็ตกใจเมื่อเห็นคนร้ายเข้ามาในหมู่บ้าน

หลังจากรู้เหตุผลจากป้าหู ใบหน้าของลูกสะใภ้ก็ฉายความไม่พอใจ “วันทั้งวันรู้แต่วิธีเก็บเงิน ไปจ้างใครมาเนี่ย! นี่เป็นการทุ่มหินลงเท้าตัวเองชัดๆ!”

ป้าหูรู้สึกผิดและพูดว่า “เรื่องนี้โทษฉันได้หรอ? พวกเขารับเงินฉันไปแล้ว พวกเขาก็ต้องรับผิดชอบหากเกิดข้อผิดพลาด เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”

เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่มีเหตุผล ลูกสะใภ้ก็ขี้เกียจเถียง

พักอยู่ที่บ้านพ่อแม่ได้หนึ่งวัน วันรุ่งขึ้นโจวฉายอวิ๋นก็เตรียมกลับเข้าเมืองหลังกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว

แม่โจวใส่ไข่ยี่สิบฟองและผักแห้งในตะกร้า และขอให้หล่อนนำไปฝากหลินม่าย

เมื่อครอบครัวส่งหล่อนออกจากหมู่บ้าน พ่อและแม่ก็คอยบอกให้หล่อนทำงานหนักเพื่อหลินม่าย

โจวฉายอวิ๋นรักษาสัญญา หล่อนไปที่บ้านของคุณย่าฟางเมื่อผ่านเมืองซื่อเหมย

คุณย่าฟางให้กะปิกระปุกหนึ่งและไข่เป็ดเค็มหลายสิบฟอง

บอกว่าหลานชายของยายเถียนหายป่วยแล้ว ยายเถียนจึงส่งกะปิกับไข่เค็มมาที่บ้านของฉัน เพื่อขอบคุณหลินม่ายโดยเฉพาะ

คุณย่าฟางไหว้วานให้โจวฉายอวิ๋นมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับหลินม่าย

โจวฉายอวิ๋นกลับมาถึงในเมืองเวลาประมาณสิบสองนาฬิกา

ยังไม่ทันเดินถึงร้านของหลินม่าย หล่อนก็แวะที่ร้านของป้าหูเพื่อเปรียบเทียบกิจการ

หล่อนแปลกใจนัก ที่ร้านของป้าหูที่อยู่ติดกันกิจการไม่ดีเท่าร้านของหลินม่าย

โจวฉายอวิ๋นยิ้มทันที รีบเดินไปที่ร้าน เอาของไปไว้ที่ครัวแล้วล้างมือ เสร็จแล้วมาช่วยหลินม่าย

หลินม่ายคนเดียว ขายทั้งซุปกระดูกหมูหัวไชเท้า หลูจู่ ข้าวสวย และข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ ดูยุ่งเกินไปหน่อย

การมีโจวฉายอวิ๋นทำให้เธอรู้สึกสบายขึ้นมาก

วันนี้หลินม่ายไม่ได้เตรียมหลูจู่ไว้มากเกินไป ไม่ถึงเที่ยงครึ่งเธอก็ขายหมด

ลูกค้าหลายคนที่ซื้อไม่ทันต้องสั่งข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่แทน และระบุขอพริกน้ำส้มเพิ่มหนึ่งช้อนโต๊ะ

บางคนไม่อยากกินข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ ก็สั่งข้าวสองถ้วยกับซุปกระดูกหมูหัวไชเท้าหนึ่งชาม

ข้าวกับซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูเหลือไม่เยอะแล้ว

เมื่อโจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้น ก็กระซิบกับหลินม่ายว่า “ฉันจะเข้าไปในครัวและหุงข้าวอีกสองหม้อ”

หายากที่กิจการจะดี เธอไม่อยากเลิกกิจการก่อนเวลา เพราะร้านข้างๆขายถูกกว่า เธอจึงยังอยากทำข้าวสองหม้อและขายข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ต่อไป

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้กิจการตอนเที่ยงจะยุ่งกว่าทุกวัน ถ้าวันนี้เธอสามารถพักผ่อนได้ก็พักผ่อนเถอะ”

โจวฉายอวิ๋นไม่มีทางเลือก

ประมาณบ่ายโมง อาหารก็ขายหมด ได้เวลาทำกินเอง

ส่วนโต้วโต้วกินข้าวกับหลูจู่ไปแล้ว

ตอนที่ทั้งสองกำลังทำอาหารกลางวันอยู่ในครัว โจวฉายอวิ๋นก็ถามหลินม่ายว่าทำไมจู่ๆ กิจการถึงดีขึ้น

หลินม่ายนำข้าวที่ซาวแล้ววางลงบนเตาเพื่อนึ่ง “งานในตอนเที่ยงนั้นค่อนข้างหนัก ในตอนเช้าก็ยังเหมือนเดิม”

โจวฉายอวิ๋นนั่งบนม้านั่งตัวเล็กแล้วเด็ดผัก “แล้วทำไมกิจการในตอนกลางวันถึงได้หนัก?”

หลินม่ายนั่งตรงข้ามกับเธอและเด็ดผักด้วยกัน “หลูจู่ของฉันรสชาติดี ไม่เหมือนหลูจู่ข้างบ้านที่มีกลิ่นคาวเครื่องใน นานๆ กินอาหารมีกลิ่นคงไม่เป็นไร แต่น้อยคนที่จะทนกินได้ทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไป ถ้าอยากกินหลูจู่ แม้ว่าร้านของเราจะแพงกว่าห้าเฟิน ผู้คนก็เต็มใจที่จะมากิน ”

จู่ๆ โจวฉายอวิ๋นก็นึกขึ้นได้และพยักหน้า “ไม่แปลกใจที่เธอพูดก่อนหน้านี้ ว่ากิจการจะดีขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนนิยมกินข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผล”

หลินม่ายกล่าว “เป็นเพราะว่าข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ของเราร้านเรามีพริกน้ำส้มของยายเถียนน่ะ พริกน้ำส้มของยายเถียนหอมอร่อย ใส่ข้าวผัดไข่ไปหนึ่งช้อน ขอแค่ชอบรสจัด จะมีสักกี่คนที่ทนได้?”

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเสียใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งนี้ “น่าเสียดายที่วันนี้นำมาแค่กะปิมาจากบ้านย่าฟาง ที่ยายเถียนเอามาให้ ถ้าเปลี่ยนกะปิเป็นพริกน้ำส้ม ก็ใช้พริกน้ำส้มมาฆ่าธุรกิจข้าวผัดไข่ข้างบ้านได้เลย”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ร้านข้าง ๆ น่าจะล้มจนลุกไม่ขึ้นแล้วล่ะมั้ง ทำธุรกิจไม่ใสสะอาดก็งี้แหละ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 118 โจวฉายอวิ๋นกลับบ้านแม่

หลังออกจากบ้านของคุณย่าฟาง โจวฉายอวิ๋นก็ไปที่ตลาดมืดในเมืองเพื่อซื้อหมูสามชั้นสักสองสามชั่ง จากนั้นก็เดินไปที่บ้านของพ่อแม่

ผ่านไปชั่วโมงกว่าก็มาถึงบริเวณทุ่งนาของหมู่บ้านจินเผิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านครอบครัวทางแม่

ช่วงนี้เป็นฤดูกาลเพาะปลูก คนที่ทำงานอยู่ในไร่นาเห็นโจวฉายอวิ๋นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกระโปรงจีบลายดอกไม้ ก็ต่างนึกกันว่าตนจำคนผิด

หลังขยี้ตาแล้วมองอีกครั้งก็พบว่าคนๆ นั้นคือโจวฉายอวิ๋น ซึ่งดูขาวขึ้น มีน้ำมีนวลมากขึ้น และสวยยิ่งกว่าเดิม

ชาวบ้านต่างมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ บางคนถึงกับตะโกนเรียกหล่อน “ฉายอวิ๋นเอ้ย ไปอยู่กับใครในเมือง ทำอะไรมาถึงดูร่ำรวยขึ้น แต่งตัวเหมือนคนเมืองเลยน่ะ!”

โจวฉายอวิ๋นติดตามผู้หญิงที่หย่าร้างจากหมู่บ้านของอดีตสามีเพื่อไปทำงานในเมือง และทุกคนในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้

ตามคำบอกเล่าของพ่อแม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ของเธอ โจวฉายอวิ๋นติดตามผู้หญิงที่หย่าร้างไปในเมืองเพื่อขายซาลาเปา

ประเด็นอยู่ที่ว่า แค่ทำซาลาเปาจะสร้างรายได้ขนาดไหนเชียว? ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรเลย!

นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาถามโจวฉายอวิ๋นว่าเธอทำอะไรในเมือง

โจวฉายอวิ๋นไม่น่ากลับชนบทด้วยชุดนี้เลย

ชุดนี้มีอยู่ทั่วไปในเมืองก็จริง แต่มันสะดุดตาเกินไปในชนบท

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนขี้อาย ไม่ชอบให้คนอื่นจ้องมองมาที่หล่อน

เมื่อถูกชาวบ้านจับตามอง หล่อนจึงรู้สึกไม่สบายใจ ดึงเสื้อแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะทำอะไรได้ล่ะ เป็นคนงานขายของให้เขาน่ะสิ!”

ชาวบ้านคนหนึ่งสงสัย “ขายแรงงานแต่งตัวดีขนาดนี้เลยหรอ? เราทำงานหนักทุกวัน ใช้ชีวิตเหมือนสุนัข ไม่ได้กินดีอยู่ดี การแต่งตัวยิ่งไม่ต้องพูดถึง”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญญาอ่อน แค่ฟังเท่านี้ก็พอจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร

ผู้คนถามหล่อนเพราะสงสัยว่าหล่อนกำลังทำสิ่งลึกลับในเมือง!

แม้โจวฉายอวิ๋นจะโกรธ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เพียงอธิบายอย่างอารมณ์ดี “ขายแรงงานในเมืองกับการทำไร่ทำนาในชนบทมันต่างกันมากน่ะ ฉันช่วยคนอื่นทำซาลาเปาในเมือง และขายตามท้องถนน ได้เงินวันละ 10-20 หยวน ขณะที่การทำไร่ทำนาในชนบทได้รายได้วันละหนึ่งหยวนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เจ้านายของฉันเป็นคนดี ไม่เพียงแต่จ่ายค่าจ้างให้ฉันเท่านั้น แต่ยังให้เงินพิเศษอีกด้วย หล่อนยังซื้อเสื้อให้ฉันเมื่อฉันจะกลับบ้านอีก ไม่งั้นคนขี้เหนียวอย่างฉันก็คงไม่ซื้อเสื้อผ้าราคาแพงและทันสมัยขนาดนี้หรอก”

สิ่งที่หล่อนพูดไม่เพียงไขข้อสงสัยของชาวบ้านเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาอิจฉาหล่อนอีกด้วย

แม่ของฉายอวิ๋นกำลังทำงานบ้านอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินชาวบ้านคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้านพลางตะโกนว่า “แม่ฉายอวิ๋น ฉายอวิ๋นของคุณกลับมาแล้ว ทำไมคุณไม่ไปดูล่ะ แต่งตัวเหมือนผู้หญิงในเมือง แถมยังใส่กระโปรงด้วยนะ”

หลังจากไม่ได้เจอลูกสาวเป็นเวลาหนึ่งเดือน แม่ของฉายอวิ๋นก็แทบอยากจะตาย เมื่อได้ยินดังนั้นจึงทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่และวิ่งออกไปด้านนอก

ทันทีที่วิ่งออกจากหมู่บ้าน นางก็เห็นลูกสาวที่แต่งตัวเฉิดฉายเดินเข้ามาในหมู่บ้านอยู่ไกลๆ แม่ของฉายอวิ๋นมีความสุขมากจนยิ้มปากจะฉีกถึงรูหู

ลูกสาวเข้าเมืองไปกับใครบางคนเป็นเวลาหนึ่งเดือน ไม่มีแม้ข่าวคราว ทำให้นางเป็นห่วงตลอดเวลา แต่เมื่อเห็นลูกสาวกลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งใจ

แม่ลูกกลับบ้านมาด้วยกัน

ระหว่างทางแม่ก็คอยถามโจวฉายอวิ๋นว่าอยู่ในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง

แล้วก็ได้ยินจากลูกสาวว่าตอนอยู่ในเมืองได้กินสามมื้อต่อวัน และเกือบทุกมื้อเป็นเนื้อสัตว์ งานก็ไม่เหนื่อย หลินม่ายปฏิบัติต่อหล่อนเป็นอย่างดีและหล่อนก็มีความสุขมาก

แม้ว่าลูกสาวของนางจะไม่มีความสุขเพราะถูกครอบครัวสามีไล่ต้อนกลับไปบ้านแม่ แต่ในใจลึกๆ นางก็อยากให้ลูกสาวมีชีวิตที่ดี

ครั้นกลับถึงบ้าน โจวฉายอวิ๋นได้มอบขนมกับน้ำตาลทรายแดงให้พ่อโจวและแม่โจว ส่วนเนื้อหมูสามชั้นนั้นมอบให้กับแม่โจว

แม่โจววางขนมกับน้ำตาลทรายแดงไว้ในห้อง จากนั้นจึงนำหมูสามชั้นไปเตรียมอาหารสองสามจานสำหรับมื้อกลางวัน

เพียงใช้หมูสามชั้นสองชั่งกับผักใบเขียว ก็ได้อาหารจานเนื้อและผักมาสองสามอย่างแล้ว

“แม่ ไม่ต้องรีบทำข้าวเที่ยงนะคะ” โจวฉายอวิ๋นหยุดนางไว้ ก่อนหยิบเงินสิบหยวนจากกระเป๋าให้ “เงินนี้ให้พ่อแม่ไว้ซื้อของกินของใช้นะ”

แม่โจวรีบผลักมือที่ถือเงินออก “ลูกเอาเงินนี้ไปเถอะ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในชีวิต ถ้ามีเงินอยู่ในมือบ้างจะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นหน่อย”

เมื่อลูกสาวกลับมาก็ไม่อยากจะเป็นภาระ ลูกคงเป็นทุกข์และไม่มีความสุข และนางก็เป็นห่วงชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ของลูก

หล่อนมีลูกไม่ได้ บั้นปลายชีวิตคงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีลูกสาวเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าก็เก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณก็ได้

โจวฉายอวิ๋นยืนยันที่จะมอบเงินสิบหยวนให้กับแม่ “แม่ ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันอยู่กับม่ายจื่อไม่เสียค่าใช้จ่าย และฉันยังมีเงินเดือนสามสิบหยวนต่อเดือน เงินเดือนสามสิบหยวนนี้ฉันเก็บออมทั้งหมด เมื่อฉันแก่ลงฉันก็อยู่ได้ เงินสิบหยวนเป็นเงินพิเศษจากม่ายจื่อ มันไม่ง่ายสำหรับพ่อแม่ที่เลี้ยงฉันมา นี่คือเงินบำนาญของพ่อแม่นะ ตราบใดที่ฉันทำงานกับม่ายจื่อต่อไป ฉันจะให้เงินบำนาญแก่พ่อแม่เดือนละสิบหยวน”

แม่โจวรับเงินสิบหยวนทั้งน้ำตา “พ่อกับแม่… ขอโทษลูกด้วยนะ”

ลูกสาวนางมีลูกไม่ได้ ในใจนางจึงรู้สึกผิด

พวกเขาไม่ได้ให้ร่างกายที่แข็งแรงแก่หล่อน ซึ่งทำให้ชีวิตของหล่อนต้องลำบาก

โจวฉายอวิ๋นโบกมือ “พ่อแม่ไม่ต้องเสียใจหรอกค่ะ นี่คือโชคชะตาของฉัน”

หล่อนตระหนักว่าถ้าตนไม่แต่งงาน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีชีวิตต่อไม่ได้ ดังนั้นทำไมต้องรู้สึกไม่พอใจสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นด้วย

ในตอนเที่ยง พ่อโจว พี่ชายและพี่สะใภ้ของฉายอวิ๋นที่ทำงานอยู่ในทุ่งนาก็กลับมา

ทุกคนรู้ว่าโจวฉายอวิ๋นใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกับหลินม่ายได้ไม่เลว พวกเขาก็มีความสุขแทนหล่อน

โดยเฉพาะพี่สะใภ้ที่ยิ่งมีความสุขเมื่อแม่สามีบอกว่าโจวฉายอวิ๋นให้เงินนางสิบหยวน

พ่อแม่สามีและแม่สามีล้วนเป็นคนประหยัดและขยันขันแข็ง ส่วนพี่สะใภ้ก็เป็นคนประหยัด แต่สุดท้ายก็ไม่เหลือให้พวกเขา!

ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติต่อโจวฉายอวิ๋นด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ และคอยคีบเนื้อให้เธอ

ในที่สุดโจวฉายอวิ๋นก็ตระหนักถึงประโยชน์ของการหาเงิน อย่างน้อยเธอก็มีตัวตนในครอบครัวของหล่อน

หลานชายห่างๆของป้าหูถูกฟางจั๋วหรานจับได้

แถมยังขู่ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความที่โรงพัก หล่อนจึงตกใจมาก กอดหลานพาไปซ่อนที่บ้านญาติ

วันรุ่งขึ้นตอนสิบโมงกว่าก็ได้แอบกลับมาที่บ้าน เมื่อเห็นว่าบ้านของตนไม่เปิดทำการ และร้านเปาห่าวชือเสี่ยวชือเตี่ยนกำลังเฟื่องฟู จึงกัดฟันด้วยความโกรธ

ด้วยความที่ลืมไปว่ามีชนักติดหลัง เลยบอกผู้ช่วยที่จ้างไว้ให้มาทำงานตอนเที่ยง

หลินม่ายเห็นการเคลื่อนไหวทั้งหมดที่อยู่ข้างๆ แต่เธอไม่มีเวลาที่จะสะสางบัญชีกับป้าหู

โจวฉายอวิ๋นไม่อยู่ ดังนั้นตอนเที่ยงเธอจึงดูแลกิจการคนเดียว ปลีกตัวไปไหนไม่ได้

เพื่อที่จะแย่งชิงธุรกิจของหลินม่าย ป้าหูยืนอยู่ที่ประตูและตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาน

แต่ก็ยังมีลูกค้าไม่น้อยที่มองร้านของหล่อนอย่างเฉยเมย แล้วไปที่ร้านของหลินม่ายแทน

ทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ครอบครัวของหล่อนขายไม่ใช่อาหาร แต่เป็นอุจจาระ

ป้าหูโกรธจัดจนแทบจะขาดใจ ด่าเสียงขรมว่าคนที่มากินล้วนงี่เง่า ไม่ซื้อของถูก แต่ยืนกรานจะซื้อของแพง

ผู้ช่วยในร้านเม้มปากอย่างดูถูก เมื่อได้ยินคำสบถของหล่อน

แม้ว่าซาลาเปาและหมั่นโถวของร้านป้าหูจะมีรสชาติจะไม่เลว แต่รสชาติของหลูจู่นั้นยากที่จะอธิบายจริงๆ เพราะมันมีกลิ่นเหม็นคาว

พวกเขาปรุงหลูจู่ทุกวัน ไม่ต้องพูดถึงลูกค้าที่มากิน

ป้าหูรู้สึกหดหู่ใจ ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนสองคนก็พุ่งเข้ามา ไม่ทันได้อธิบายอะไร ก็ทุบสิ่งของทุกอย่างต่อหน้าต่อตา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้รับประทานอาหารในร้านหลายคน

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ คำกล่าวนี้ยังไงก็ใช้ได้ทุกครั้งล่ะค่ะ

ป้าหูกำลังรับกรรมแล้วล่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 117 ร้านข้างๆเป็นคนบงการ

ชายหนุ่มคนหนึ่งถอยหลังหนึ่งก้าว “จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร งั้นช่างมันเถอะนะ”

เขาชี้ไปที่จมูกของหลินม่ายแล้วพูดว่า “คราวหลังต้องระวังเรื่องความปลอดภัยในร้านอาหารของคุณด้วย ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดจาดีๆเหมือนเรา”

พูดแล้วก็อยากจะอันตรธานหายไปกับผู้สมรู้ร่วมคิด

ฟางจั๋วหรานก้าวไปข้างหน้าและขวางทางไว้ “อะไรนะ? มาข่มขู่ถึงหน้าประตูบ้าน ทำลายชื่อเสียงของร้านแล้วจะออกไปง่ายๆ แบบนี้เหรอครับ? ในโลกนี้มีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ! ผมจะไม่ยอมแพ้ จนกว่าความจริงจะถูกเปิดเผย! ”

“ไปให้พ้น!” ชายหนุ่มทั้งสองผลักฟางจั๋วหรานและหนีออกไป

ฟางจั๋วหรานมีสายตาและมือที่รวดเร็ว ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างฉับไว เขาก็ตรึงชายหนุ่มคนหนึ่งไว้กับโต๊ะ

ชายหนุ่มอีกคนถูกเตะที่ขาด้านหลังแล้วล้มลงกับพื้น

ชายหนุ่มที่ถูกเตะลงกับพื้น ลุกขึ้นได้แล้วหันหลังวิ่งหนี

ฟางจั๋วหรานไม่สนใจ ตราบใดที่เขาจับได้คนหนึ่ง อีกคนก็คงหนีไม่รอด

หลินม่ายหันไปหาโจวฉายอวิ๋นและพูดว่า ”ไปที่สถานีตำรวจและเรียกตำรวจมา บอกไปว่าที่นี่มีคนมาข่มขู่พวกเรา ให้พวกมันไปนอนในคุกสักสองสามปี”

โจวฉายอวิ๋นตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไป

ชายหนุ่มกระวนกระวายจนลูกตาแทบจะถลนออกมา เขาตะโกนว่า “อย่าเรียกตำรวจ นี่ไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันรับเงินมาจากคนอื่นเพื่อจัดการแทนพวกเขา!”

ฟางจั๋วหรานออกแรงที่มือ จนชายหนุ่มวัยละอ่อนคนนั้นร้องด้วยความเจ็บปวด “คุณรับเงินมาจากใคร มาจัดการแทนใคร?”

ในเวลานี้ชายชราสองคนเบียดจากฝูงชนที่เฝ้าดูความตื่นเต้นที่ประตูร้านเข้ามา

หนึ่งในนั้นเห็นชายหนุ่มแวบหนึ่งและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “ต้าอวิ้น ทำไมแกมาอยู่ที่นี่?”

ชายหนุ่มไม่มีเวลาสนใจเขา และพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยใบหน้าโศกเศร้าว่า “หล่อนเป็นคุณป้าห่างๆ ของผม คุณป้าร้านที่อยู่ติดกับคุณให้เงินผมห้าหยวนมาก่อกวนสร้างปัญหา เพื่อที่จะทำลายร้านนี้ พี่ชาย ผมรับค่าจ้างมาห้าหยวนเอง แต่พี่จะจับฉันเข้าคุก นี่มันไม่โหดร้ายเกินไปเหรอ?”

“โหดร้ายเหรอ? ผมไม่รู้สึกแบบนั้น”

น้ำเสียงของฟางจั๋วหรานเย็นชา “คุณรับเงินจากเขามาห้าหยวน เพื่อทำร้ายร้านของเพื่อนผม แล้วหล่อนจะทำธุรกิจได้อย่าง ไร พวกหล่อนไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เหรอ? คุณช่างเป็นคนที่ไร้ความปรานีจริงๆ!”

ชายชราสองคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง “คนแซ่หูร้านข้างๆเป็นคนบงการใช่ไหม? งั้นพวกเราไปหาคนแซ่หูเพื่อหาคำอธิบายกัน!”

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาก็รู้จักป้าหู

ชายหนุ่มสองคนที่มาสร้างปัญหา ล้วนเป็นหลานห่างๆ ของป้าหู

ทันทีที่พวกเขาวิ่งไปที่ร้านของหลินม่ายเพื่อสร้างปัญหา ป้าหูก็หลบอยู่ในฝูงชนเพื่อดูความสนุก

เมื่อเห็นว่าไฟกำลังจะไหม้ลามมาที่ตัวเอง หล่อนจึงปิดประตูแล้วย่องออกไปกับหลานชายในอ้อมแขน

คนกลุ่มหนึ่งรีบไปที่บ้านของหล่อน แต่เปล่าประโยชน์

ชายชราคนหนึ่งพูดกับหลินม่าย “ถึงหล่อนจะหนีไปได้ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็หนีไปไหนไม่รอดหรอก พรุ่งนี้ค่อยคิดบัญชีกับหล่อน”

คนกลุ่มหนึ่งกลับเข้าไปในร้านของหลินม่าย

หลินม่ายถามชายชราทั้งสอง “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

ชายชราทั้งสองแนะนำตัวเอง “ฉันคือปู่ของหูจื้อ”

“”ฉันคือปู่ของเหยาซวงเฉิง

“โชคดีที่เธอช่วยหลานชายทั้งสองของเราไว้ เด็กน้อยสองคนถูกกลุ่มค้ามนุษย์ลักพาตัวไปพร้อมกับลูกอมที่มียานอนหลับ พวกเราไม่รู้เรื่องเลย!”

“พวกเรามาที่นี่เพื่อขอบคุณเธอโดยเฉพาะ”

ชายชราสองคนคุยกัน และวางของขวัญที่พวกเขานำมาไว้บนโต๊ะ

หลินม่ายปฏิเสธ “แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะค่ะ คุณปู่สองคนไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้”

“ต้องสิ ต้องสิ”

ชายชราสองคนทิ้งของขวัญไว้และจากไป

ฟางจั๋วหรานเพิ่งรู้ว่าตอนบ่ายหลินม่ายได้ช่วยชีวิตเด็กที่ถูกลักพาตัวไว้

ในขณะนี้โจวฉายอวิ๋นก็พาตำรวจมา หลังจากสืบสวนคดีแล้วตำรวจก็พาตัวชายหนุ่มไป

ของขวัญจากชายชราทั้งสองมีขนมอบจำนวนมาก ตอนกลางคืน ขณะที่ทั้งสามคนนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นเล็กๆ ชั้นบน หลินม่ายก็หยิบขนมอบออกมาแบ่งปันกับทุกคน

เด็กน้อยชอบกินขนมไข่ที่สุด ขณะที่กินขนมไข่หล่อนก็ถามขึ้นว่า “แม่ไปซื้อขนมไข่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมหนูไม่รู้เลย?”

“แม่ไม่ได้ซื้อ แต่ปู่ของเด็กสองคนที่ถูกพวกค้ามนุษย์ลักพาตัวไปนำมาให้จ้ะ”

หลินม่ายถือโอกาสสั่งสอนเด็กน้อยผู้น่ารัก ไม่ว่าใครจะให้ขนมก็อย่ารับมากินง่ายๆ

เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “คนรู้จักให้ก็กินไม่ได้เหรอคะ?”

“ไม่ได้” มีหลายกรณีแล้วที่คนรู้จักก่ออาชญากรรม และหลินม่ายต้องให้เด็กน้อยระวังคนรู้จักด้วย

……

โจวฉายอวิ๋นถูกหลินม่ายแต่งตัวอย่างสวยงามในตอนเช้า และรีบออกจากบ้าน

ตอนที่จะออกไปก็เหลือบไปมองร้านข้างๆอย่างไม่รู้ตัว พบว่าไม่ได้เปิดกิจการ

“เกือบหกโมงครึ่งแล้ว คงไม่น่าขายแล้วมั้ง”

โจวฉายอวิ๋นรีบกลับไปที่ห้องครัวและบอกข่าวดีกับหลินม่ายอย่างมีความสุข

หลินม่ายมองค้อนหล่อน “เธอรีบขึ้นรถไฟได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ร้านหรอก”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ยังเดินไปที่หน้าร้านเพื่อดูสักหน่อย เป็นไปอย่างที่โจวฉายอวิ๋นว่าไว้ วันนี้ป้าหูไม่ได้เปิดร้าน

เธอเดาในใจว่า เป็นเพราะกลัวเธอจะไปเอาเรื่องหรือเปล่า หล่อนเลยหลบหน้า?

แต่เรื่องนี้หลีกเลี่ยงได้หรอ?

โจวฉายอวิ๋นลงจากรถไฟที่เมืองซื่อเหมย และไปที่บ้านของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตามคำขอของหลินม่าย

หญิงชราหลายคนในละแวกนั้นกำลังนั่งคุยกันที่บ้านของคุณย่าฟาง เห็นหลินม่ายไหว้วานโจวฉายอวิ๋นให้นำของขวัญมากมายมาให้กับผู้เฒ่าสองคนของครอบครัวฟาง พวกเขาต่างพากันชะเง้อดูว่ามีอะไรอยู่ในนั้น

มีทั้งของกินของใช้ที่จำเป็น

โดยเฉพาะอาหารอย่างพุทราแดง ลำไย นมมอลต์ น้ำผึ้ง นมผง มีครบทั้งหมด

นอกจากพุทราแดงที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของหญิงชราไม่กี่คน ลำไยยังเป็นของหายากสำหรับพวกเขาที่จะกินหลายครั้งในชีวิต

ในมณฑลหูไม่มีลำไย และมันก็มีราคาแพงมากเมื่อถูกส่งมาจากแหล่งกำเนิด

สำหรับนมมอลต์ น้ำผึ้ง และนมผง นับประสาอะไรกับรสชาติ แม้แต่กลิ่นพวกนางก็ไม่เคยได้รับรู้สักครั้ง

หญิงชราเหล่านั้นต่างรู้สึกอิจฉาและเปรี้ยวฝาดอยู่ในใจ

ลูก ๆ ของพวกเขาไม่ได้กตัญญูเหมือนอย่างที่หลินม่ายปฏิบัติต่อผู้เฒ่าสองคนของครอบครัวฟาง สองผู้เฒ่าตระกูลฟางเคยช่วยหลินม่าย เธอเลยปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนผู้อาวุโสในครอบครัว

เป็นเพราะโจวฉายอวิ๋นผ่านเมืองซื่อเหมย หลินม่ายจึงขอให้หล่อนนำของขวัญมากมายมามอบให้ผู้เฒ่าสองคนของครอบครัวฟาง

เนื่องจากรู้สึกเสียสมดุลในใจ หญิงชราสองสามคนจึงเอ่ยยั่วยุ

หญิงชราคนหนึ่งพูดด้วยความอิจฉาริษยา “ตอนนี้ผ้าที่ดีที่สุดคือผ้าดากรอน ทำไมหลินม่ายไม่ซื้อเสื้อผ้าดากรอนให้คุณล่ะ เห็นซื้อแต่พวกผ้าฝ้ายหยาบ”

คุณย่าฟางนำเสื้อผ้าที่หลินม่ายซื้อให้มาทาบกับร่างของตนเอง “พวกเธอจะไปรู้อะไร ถึงมันจะแพง แต่ก็ไม่ซับเหงื่อ อากาศตอนนี้ร้อนขึ้นทุกวันและฉันก็กลัวเป็นลมแดด ผ้าแบบนี้ใส่แล้วเย็นสบายมาก การสวมเสื้อผ้าฝ้ายนี่แหละซับเหงื่อและเย็นสบายดี”

หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าแบบนี้ให้นางกับคุณปู่ฟาง เห็นได้ชัดว่าเธอใส่ใจแค่ไหน

หญิงชราต้องการยุแยง แต่ก็ไม่สำเร็จ ทั้งหมดจึงรู้สึกขุ่นเคืองใจ

หญิงชราอีกคนกล่าวว่า “แม้ลำไยจะเป็นของดี แต่ก็เป็นอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน ใครจะทนกินลำไยในวันที่อากาศร้อนแบบนี้ได้ ฉันกลัวว่าคนแก่อย่างพวกเธอทั้งสองจะเลือดกำเดาไหลหลังจากกินเข้าไปน่ะสิ”

คุณปู่ฟางยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ว่ามีน้ำผึ้งด้วยหรือ น้ำผึ้งช่วยดับร้อนและล้างพิษ กินลำไยกับน้ำผึ้งก็ไม่เป็นไรแล้ว”

หญิงชราสองสามคนไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ พวกนางกลัวว่าหากอยู่นานไปพวกตนจะสำลักความอิจฉาริษยาไปมากกว่านี้

ผู้เฒ่าฟางทั้งสองต้องการพักรับประทานอาหารกลางวันกับโจวฉายอวิ๋นก่อนออกเดินทาง แต่โจวฉายอวิ๋นต้องการกลับบ้านก่อนเวลา เพื่อไปเยี่ยมพ่อแม่ หล่อนจึงขอไม่อยู่ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน

นี่เพิ่งจะสิบโมงเอง เร็วเกินไปที่จะกินอาหารเที่ยงเวลานี้

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางไม่ได้บังคับให้หล่อนอยู่ แต่เพียงขอให้หล่อนเข้ามาในบ้านสักครู่ เพราะมีของที่จะให้หลินม่าย

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เตรียมเจ๊งได้เลยป้าหู โดนจับได้แล้วว่าหล่อนส่งคนมาพังร้านหลินม่าย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 116 ชายหนุ่มเจ้าปัญหา

หลินม่ายยืนอยู่ข้างๆ ด้วยอาการสงบ

เด็กชายสองคนในอ้อมแขนของเขาดูเหมือนเพิ่งจะถูกขโมยมา เป็นไปไม่ได้ที่พวกที่พวกเขาจะตอบคำถามเหมือนกัน แบบนี้ก็ไม่มีข้อแก้ต่างแล้ว

ชายหญิงคู่นั้นบังคับตัวเองให้สงบ

ฝ่ายหญิงสุ่มชื่อและวันเกิดให้กับเด็กทั้งสองที่ขโมยมา แต่ฝ่ายชายไม่ตอบ อ้างว่าเขามักเลอะเลือน ลืมไปแล้วว่าเด็กชื่ออะไร นับประสาอะไรกับวันเกิด

คนที่มามุงดูบอกว่า “การลืมวันเกิดเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ผู้ชายบางคนก็มักจะประมาทเลินเล่อแบบนี้แหละ แต่ถ้าลืมแม้กระทั่งชื่อเด็กใครจะเชื่อ ชื่อนี่มันต้องเรียกทุกวัน วันละหลายครั้งอยู่แล้ว”

“ใช่แล้ว!”ผู้คนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

ชายคนนั้นมีเหงื่อออกเต็มหน้าผาก แต่สีหน้าเขายังคงเรียบเฉย “ปกติผมไม่ค่อยเรียกเด็กด้วยชื่อของพวกเขา ผมมักจะเรียกว่าต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามคนรักของผมสิว่าผมเรียกเด็กทั้งสองแบบนี้จริงไหม”

มีคนวิ่งไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วถาม “ผู้ชายของเธอเรียกเด็กๆ ว่าอะไร?”

“เรียกว่าต้าเป่ากับเสี่ยวเป่า มีปัญหาไหม?”

คนที่ถามหมดอารมณ์ทันที

หลินม่ายจงใจถามฝ่ายหญิง “เรียกว่าต้าเป่ากับเสี่ยวเป่าแน่เหรอ? เธอลองคิดดีๆ นะ!”

หญิงสาวตื่นตระหนกทันที

พวกเขาสองคนขโมยเด็กมา ปกติก็จะเรียกเด็กว่าต้าเป่าเสี่ยวเป่านี่แหละ

จบแล้ว โดนจับได้แล้ว ทำยังไงดี?

“ชื่ออะไรกันแน่บอกฉันมา!” หลินม่ายเร่งเร้า “คุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายของคุณเรียกเด็กว่าอะไรใช่ไหมล่ะ?”

ผู้หญิงคนนั้นพูดตะกุกตะกัก เห็นได้ว่าหล่อนตอบไม่ได้

ทุกคนเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ ต้องพาหล่อนและเขาไปที่สถานีตำรวจ

ชายหญิงคู่นี้ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ อุ้มเด็กไว้แล้วจะวิ่งออกจากวงล้อม

แม้จะฝ่าวงล้อมสำเร็จ แต่ฝูงชนก็วิ่งตามพวกเขาได้ และล้อมพวกเขาไว้อีกครั้ง

ทั้งคู่เริ่มตะโกนกล่าวหาว่าพวกคนที่มามุงดูไม่มีสิทธิ์ที่จะกักขังพวกเขา ทำให้ผู้ที่สัญจรไปมาเข้ามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น

ผู้ที่สัญจรผ่านมาคนหนึ่งชี้ไปที่เด็กในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้น แล้วอุทานว่า “ทำไมหลานชายของพ่อเฒ่าเหยาถึงอยู่ในมือคุณล่ะ?”

เมื่อทั้งคู่ได้ยินดังนั้นก็รีบโยนเด็กลงพื้น แล้วต้องการที่จะหนี

คราวนี้พวกเขาวิ่งไปทางซ้ายหรือขวาก็หนีไม่รอด

ขณะนี้ตำรวจก็มาทันท่วงทีและจับกุมตัวไว้ในที่สุด

ในฐานะบุคคลแรกที่เจอพวกค้ามนุษย์ หลินม่ายก็ถูกเชิญไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำ

หลังจากลงบันทึกเสร็จ หลินม่ายออกมาก็เห็นโจวฉายอวิ๋นพาโต้วโต้วมานั่งรออยู่ที่ห้องโถง

เด็กน้อยน่ารักวิ่งเข้ามาหา กอดต้นขาของเธอข้างหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองตาเป็นประกาย และมองเธอด้วยความชื่นชม “แม่เก่งมากเลย จับคนร้ายได้ด้วย!”

หลินม่ายหยิกแก้มเจ้าตัวยุ่งตัวน้อย “โชคดีที่หนูเตือนแม่ ไม่งั้นแม่คงมองไม่ออกว่านี่คือคนร้าย”

เด็กน้อยภูมิใจที่ได้รับการยกยย่อง

ทั้งสามกลับไปที่ร้านอาหาร ป้าหูเห็นหลินม่ายและคนอื่นๆกลับมาพร้อมของเต็มกระเป๋าก็รู้สึกหมั่นไส้ “มีความสุขไปเถอะ กำลังจะตายอยู่แล้วยังมีความสุขอยู่ได้!”

ขณะที่พูด หล่อนก็ยืนอยู่หน้าประตู สายตามองไกลออกไป คนที่หล่อนจ้างวานมาให้จัดการหลินม่ายใกล้จะมาถึงแล้ว

โจวฉายอวิ๋นกำลังจะกลับบ้านเกิดในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงบ้าน หลินม่ายก็จ่ายเงินเดือนและเงินพิเศษให้กับเธอสิบหยวน

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยที่ได้รับเงินพิเศษสิบหยวน “ฉันใช้แค่แรงกาย ไม่รู้จักการขาย เธอน่ะเป็นคนหาเงินทั้งหมดแล้วยังจะให้เงินพิเศษกับฉันทำไม?”

“หลังจากทำงานมาทั้งเดือน เธอเองก็พักผ่อนน้อย แล้วยังต้องช่วยฉันดูแลบ้านและลูกอีก เงินนี้เธอสมควรได้มันนะ”

โจวฉายอวิ๋นจึงยอมรับเงินสิบหยวนไว้

ในขณะนั้นก็มีเสียงดังลำพองของชายคนหนึ่งดังมาจากชั้นล่าง “หายไปไหนกันหมด ตายหมดแล้วหรือไง ทำไม เอาของเสียให้ลูกค้ากินแล้วคิดจะหนีหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นขมวดคิ้ว “ใครน่ะ?”

หลินม่ายเดินลงมาชั้นล่าง แล้วเห็นชายหนุ่มหน้าตาไม่ดีสองคนนั่งอยู่ในร้าน ท่าทางเหมือนมาทวงหนี้

เธอจำพวกเขาได้

พวกเขามาที่ร้านของเธอเพื่อกินข้าวกลางวัน แต่เธอไม่ได้เห็นว่าตอนนั้นพวกเขาเป็นอย่างไร ทว่าตอนนี้พวกเขากำลังมาสร้างปัญหา

หลินม่ายขมวดคิ้วและถามว่า “เอาของเสียให้ใครกิน พูดให้มันดีๆ นะ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งตบโต๊ะ “ตอนกลางวันพวกเราสั่งหลูจู่กับข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ เธอจำได้ไหม?”

หลินม่ายยอมรับ “จำได้!”

“ยอมรับก็ดี ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ยอมรับ!”

ชายหนุ่มกล่าวว่า “พวกเรากินหลูจู่กับข้าวผัดน้ำมันหมูใส่ไข่ กลับไปแล้วท้องเสีย นี่ก็เพิ่งจะดีขึ้นนะ คุณจะรับผิดชอบยังไงกับค่ารักษาพยาบาลและค่าแรงที่เสียไป?”

โจวฉายอวิ๋นรวบรวมเงินเดือนและเงินพิเศษของเธอ แล้วรีบลงไปชั้นล่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หล่อนโต้กลับด้วยความโกรธ “พวกคุณสองคนท้องเสียหลังจากกินอาหารในร้านของเรางั้นเหรอ? บังเอิญจังเลยที่มีแค่พวกคุณสองคน ไม่มีคนอื่น ฉันคิดว่าพวกคุณมาที่นี่เพื่อข่มขู่สินะ! ”

ชายหนุ่มทั้งสองมีท่าทางฮึดฮัดเมื่อโจวฉายอวิ๋นเปิดเผยความจริง

หนึ่งในนั้นยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว และเดินเข้าหาโจวฉายอวิ๋นทีละก้าว “ทำไม?จะหาเรื่องใช่ไหม?”

หลินม่ายกลัวว่าโจวฉายอวิ๋นจะเสียเปรียบ ดังนั้นเธอจึงยืนอยู่ระหว่างฉายอวิ๋นกับชายหนุ่มทั้งสอง

เธอพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าไม่อยากให้พวกเราสงสัย นั่นง่ายมาก ก็แค่ไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจและยืนยันว่าอาหารในร้านของเราทำให้คุณท้องเสียสิ”

ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างชั่วร้าย “ฉันท้องเสียไปแล้ว เกือบจะหายเป็นปกติแล้ว ไปโรงพยาบาลจะตรวจเจออะไร เธอคิดจะกลั่นแกล้งกันใช่ไหม?”

หลินม่ายยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ตำรวจยังต้องการหลักฐานเพื่อจัดการคดีนี้ ถ้าคุณไม่มีหลักฐานแล้วกล่าวหาลอยๆ ว่าเป็นเพราะกินอาหารที่ร้านของพวกเราแล้วท้องเสีย ใครเขาจะเชื่อ”

เพื่อนบ้านละแวกนั้นมารวมตัวกันที่ประตูเพื่อรอดูความตื่นเต้น

จากนั้นเสียงซุบซิบก็ดังขึ้นเซ็งแซ่

“ดูเหมือนว่าชายหนุ่มสองคนนี้มาที่นี่เพื่อข่มขู่ เสี่ยวหลินให้เงินพวกมันไปก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ จะไปงัดข้อกับพวกมันคงสู้ไม่ได้หรอก! ”

ชายหนุ่มอีกคนคว่ำโต๊ะ “บอกมาเลยดีกว่าว่าคุณจะชดใช้ค่ารักษาพยาบาลกับค่าแรงที่เสียไปไหม?”

“ชดใช้สิ!” หลิยม่ายตอบอย่างเด็ดขาด “ตราบใดที่พวกคุณแสดงหลักฐานว่าคุณท้องเสียหลังจากที่กินอาหารของฉัน”

“แม่งเอ้ย ถ้าพวกเราไม่มีหลักฐาน ก็ต้องก้มหน้ายอมรับเรื่องบ้าๆ นี้น่ะหรอ?”

ชายหนุ่มโกรธจัดจนอยากจะเหวี่ยงหมัดไปที่ใครสักคน

“เกิดอะไรขึ้น?”

ฟางจั๋วหรานเดินผ่านหลังเลิกงานและเห็นว่าทางเข้าร้านของหลินม่ายเต็มไปด้วยผู้คน เขาก็รู้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จึงเบียดเข้าไปและมองไปที่ชายหนุ่มทั้งสองแล้วถามหลินม่าย

หลินม่ายจึงแจงสี่เบี้ยให้เขาฟัง

ฟางจั๋วหรานกล่าวอย่างสุภาพกับชายหนุ่มทั้งสอง “สวัสดีครับ ผมเป็นหมอจากโรงพยาบาลผู่จี้ พวกคุณไม่ต้องกังวลนะครับว่าจะหาสาเหตุการท้องเสียไม่ได้ การรักษาทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลผู่จี้ค่อนข้างก้าวหน้า ผมจะพาคุณไปตรวจ ตราบใดที่คุณสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณท้องเสียหลังจากทานอาหารไม่สะอาด ผมจะให้ทางร้านชดใช้ทุกอย่าง!”

ชายหนุ่มทั้งสองสับสนเล็กน้อย “คุณเป็นใคร? ทำไมถึงช่วยเรา?”

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเฉยเมย “ผมเป็นเพื่อนกับเจ้าของร้าน และผมไม่ได้ช่วยพวกคุณ ผมกำลังผดุงความยุติธรรม ถ้าร้านอาหารของเพื่อนผมมีปัญหาจริง มันก็ต้องทำในสิ่งที่ควรทำ แม้กระทั่งการปิดร้าน เพราะมันเป็นความผิดของพวกเขาเอง แต่ถ้าพวกคุณมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาและต้องการข่มขู่ ผมจะไม่ปล่อยคุณไปและจะส่งเรื่องให้ตำรวจแน่นอน คงได้กินนอนอยู่ในคุกหลายปีเชียวหล่ะ ยิ่งตอนนี้เป็นช่วงปราบปรามอยู่ด้วย!”

ชายหนุ่มทั้งสองตกตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าสิ่งต่างๆ จะเกินการควบคุมเพียงนี้

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ชอบเรื่องนี้ตรงที่ชาวบ้านมีสมอง ไม่ไหลตามๆ กันไปนี่แหละ

คุณหมอทำคะแนนอีกแล้วนะคะ แต่ว่า ม่ายจื่อนี่เพื่อนแน่เหรอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 115 จับพวกค้ามนุษย์

พอขายของเสร็จในตอนเที่ยง ทั้งสองคนก็ช่วยกันเก็บห้องครัว

โจวฉายอวิ๋นแนะนำขึ้น “ร้านข้างๆ ทำซาลาเปา งั้นพวกเราทำเสี่ยวหลงเปาขายไหม เพื่อสับขาหลอกนังแม่มดเฒ่า กิจการน่าจะดีขึ้นหน่อย”

หล่อนครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน แต่หลินม่ายกลับไม่เห็นด้วย

“แม่มดเฒ่าข้างบ้านเป็นนักลอกเลียนแบบ เธอทำเสี่ยวหลงเปาแล้วเขาเลียนแบบไม่ได้หรือ? อย่าทำอะไรให้มันยุ่งยากเลย”

โจวฉายอวิ๋นรำคาญใจนักเมื่อได้ยินแบบนี้

หลังจากทำความสะอาดครัวเสร็จ หลินม่ายก็สอนใหหล่อนอ่านตัวหนังสือและตัวเลขอีกสักพัก แล้วจึงพาโต้วโต้วออกไปเดินเล่น

อีกห้าหกวันก็จะถึงวันแรงงาน แล้วก็เข้าหน้าร้อน ได้เวลาสวมกระโปรงแล้ว

ครั้งก่อนหลินม่ายซื้อเสื้อผ้าให้โจวฉายอวิ๋น หล่อนได้รับแล้วก็เกรงใจมาก

หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าตนทำงานให้หลินม่าย แล้วหลินม่ายยังจะซื้อเสื้อผ้าให้หล่อนอีก

เพราะฉะนั้นครั้งนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้หลินม่ายซื้อกระโปรงให้หล่อนเด็ดขาด

กิจการของเธอไม่ดี อย่าเพิ่งใช้เงินเลย

หลินม่ายเลือกเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกระโปรงพลีทให้หล่อนอย่างละตัว

เธอบอกด้วยรอยยิ้ม “เงินสองส่วนนี้ไม่พอสำหรับฉันที่จะซื้อบ้านอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บออมหรอก ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอ ครั้งหน้าไม่ซื้อให้เธอแล้ว ครั้งนี้ฉันซื้อเสื้อผ้าให้เธอ เพราะตั้งแต่วันพรุ่งนี้ฉันให้เธอหยุดสองวัน กลับไปเยี่ยมพ่อแม่นะ ให้เธอใส่เสื้อผ้าดีๆ เพื่อไม่ให้พ่อแม่เธอเป็นห่วงแล้วคิดว่าเธอลำบากที่มาอยู่กับฉัน สำหรับกิจการนี้เธอไม่ต้องเป็นห่วง นานสุดแค่หนึ่งเดือนก็น่าจะดีขึ้น แค่เดือนเดียวฉันทนได้”

เมื่อซื้อเสื้อผ้าครบทั้งสามคนแล้ว หลินม่ายเห็นโจวฉายอวิ๋นไม่ซื้ออะไร เลยถามอย่างสงสัย “พรุ่งนี้เธอกลับบ้านแล้ว ไม่ซื้อของขวัญให้พ่อแม่หรอ?”

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ไม่ใช่ว่าเธอต้องให้เงินเดือนฉันหรอ ฉันเอาเงินเดือนนั้นให้พ่อแม่เลยแล้วกัน ถ้าซื้อของขวัญไปให้พวกเขา ไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่มีความสุข แต่ยังดุว่าฉันใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เอาเงินให้พวกเขาดีกว่า ทั้งสบายใจแล้วยังได้ประโยชน์ด้วย”

หลินม่ายเงียบและพูดว่า “เธอเอาเงินเดือนทั้งหมดให้พ่อแม่หรอ?”

“ไม่ใช่ทั้งหมด เก็บไว้เองห้าหยวน ที่เหลือก็ส่งให้พ่อแม่”

หลินม่ายตกใจ “ส่งให้เยอะขนาดนั้นเลยหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นตอบ “อยู่บ้านเธอกินฟรีอยู่ฟรี ก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไร”

หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เธอส่งเงินให้พ่อแม่หมด แล้วหลังเธอเกษียณล่ะ”

โจวฉายอวิ๋นดูเศร้าลง “ฉันคงไม่ได้แต่งงานอีกแล้วล่ะ ถึงตอนนั้นคงพึ่งพาหลานชายให้ดูแล เอาเงินให้พ่อแม่ แล้วให้พวกท่านช่วยจัดการให้หลานชายดูแลฉันยามแก่”

หลินม่ายพูดไม่ออก “ถ้าหลานชายไม่เชื่อฟังพ่อแม่เธอล่ะ ถึงตอนนั้นเธอจะทำยังไง?”

โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ “ฉันส่งเงินให้พ่อแม่ ถึงเวลาพ่อแม่ก็ให้หลานชาย เขาเอาเงินฉันไป ทำไมจะไม่เลี้ยงฉันตอนแก่ล่ะ?”

“หากเขาจะไม่เลี้ยงเธอตอนแก่มันก็ไม่ผิดกฏหมายนะ!”

โจวฉายอวิ๋นจ้องไปที่เธอด้วยความว่างเปล่า ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

หลินม่ายเกลี้ยกล่อม “พ่อมีแม่มีก็ไม่เท่ากับตัวเองมี เงินอยู่ที่มือเราปลอดภัยที่สุดแล้วนะ ถึงแม้ว่าเธอจะต้องพึ่งพาหลานชายให้เลี้ยงดูตอนแก่ แต่การที่เธอมีทรัพย์สมบัติในมือก็ยังมอบเป็นมรดกให้แก่เขาได้ เช่นนั้นเขาก็ยินดีเลี้ยงดูเธอตอนแก่ใช่ไหมล่ะ?

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าซ้ำๆ “ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผล งั้นเธอว่าถ้าฉันให้เงินบำนาญพ่อแม่เดือนละสิบหยวน เธอว่าได้ไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้ แต่ฉันแนะนำให้เธอซื้อของขวัญไปให้ผู้ใหญ่ด้วย กลับไปมือเปล่าชาวบ้านเห็นคงดูไม่ดี”

ทั้งสองพาโต้วโต้วไปที่ตลาดมืด โจวฉายอวิ๋นซื้อน้ำตาลทรายแดงสองถุง ส่วนพวกขนมอย่างอื่นนั้นไม่ได้ซื้อ

หล่อนกะว่าวันที่กลับบ้านจะแวะซื้อเนื้อที่เมืองซื่อเหม่ยกลับไปสักสองชั่ง เดิมทีในชนบทมีประเพณีซื้อเนื้อไปฝากผู้ใหญ่อยู่แล้ว

เมื่อหลินม่ายได้ยินเรื่องนี้ เธอก็พูดว่า “ในเมื่อเธอผ่านเมืองซื่อเหม่ย งั้นฉันซื้อของขวัญให้เธอช่วยนำไปให้ปู่ฟางย่าฟางแทนฉันได้ไหม”

หญิงทั้งสามกำลังเลือกซื้อของ

หลินม่ายซื้อของกินของใช้ให้ผู้เฒ่ารองตระกูลฟางหมดแล้ว เธอยังซื้อลูกอมนมตรากระต่ายขาวให้โต้วโต้วอีกหนึ่งชั่ง

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงวัยไหนก็ชอบซื้อของกันทั้งนั้น ทั้งสามเลือกซื้อของกันอย่างมีความสุข

ระหว่างทางก็มีผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กชายสองคนมาชนกับหลินม่าย

ของในมือหล่อนร่วงลงพื้น นมมอลต์หนึ่งกระป๋องตกใส่เท้าของโต้วโต้ว ทำให้เด็กน้อยยืนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้น

หลินม่ายรีบหมอบลงและลูบที่หลังเท้าของเธอ

โจวฉายอวิ๋นนั่งยองๆ เพื่อปลอบเด็กน้อย “เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ต้องร้องนะ กินลูกอมที่แม่หนูซื้อให้สักเม็ดแค่นี้ก็ไม่เจ็บแล้ว”

จากนั้นก็ชี้ไปที่ผู้หญิงที่ชนหล่อนแล้วพูดว่า “ดูสิ เมื่อครู่เด็กผู้ชายสองคนนั้นหลุดจากอ้อมแขนแม่แล้ว ยังไม่ร้องเลย”

โต้วโต้วร้องไห้พลางบอกว่า “น้องชายคนนั้นนอนหลับอยู่ พลัดตกพื้นแล้วก็ยังไม่ตื่น เขาไม่ร้องไห้อยู่แล้วค่ะ”

หลินม่ายได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นทันทีแล้ววิ่งตามผู้หญิงคนนั้น “หยุดนะ!”

ยิ่งเธอตะโกนมากเท่าไหร่ ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น และในที่สุดก็กลายเป็นวิ่งเหยาะๆ

หลินม่ายวิ่งตามหล่อนทัน ขวางทางหล่อนเอาไว้แล้วพูดอย่างจริงจัง “ขอฉันตรวจสอบเด็กในอ้อมกอดของคุณหน่อย”

ผู้หญิงคนนั้นไม่พอใจ “คุณเป็นใคร? มีสิทธิ์อะไรมาตรวจสอบลูกของฉัน?”

หลินม่ายตะโกนอย่างไม่คิด “พวกค้ามนุษย์ จับพวกค้ามนุษย์นี่หน่อยค่ะ!”

ทันใดนั้นผู้คนจำนวนมากก็มาล้อมเธอกับผู้หญิงคนนั้นไว้

ผู้หญิงคนนั้นรีบอธิบายให้ทุกคนฟัง “ฉันไม่ใช่พวกค้ามนุษย์ ที่ฉันชนหล่อนเมื่อครู่ เพราะหล่อนรีดไถฉันแต่ฉันไม่ให้ หล่อนก็เลยสาดน้ำเสียใส่หัวฉัน”

ผู้คนมองไปที่ผู้หญิงคนนั้นและหลินม่าย สองคนนี้ดูไม่เหมือนคนไม่ดีทั้งคู่ ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครดี

หลินม่ายกล่าวว่า “พวกคุณช่วยฉันนำตัวผู้หญิงคนนี้ไปตรวจสอบที่สถานีตำรวจเถอะ ว่าหล่อนเป็นพวกค้ามนุษย์หรือเปล่า”

“ใครว่าภรรยาผมเป็นพวกค้ามนุษย์?”

ชายคนหนึ่งเบียดเข้ามาแล้วมองไปที่หลินม่าย

หญิงสาวถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าชายคนนั้นไม่เข้ามาหล่อนคงหนีรอดออกไปไม่ได้

หล่อนยื่นเด็กชายคนหนึ่งให้กับผู้ชายคนนั้น “อย่าไปยุ่งกับนังหมาบ้าตัวนี้ พวกเราไปกันเถอะ!”

หลินม่ายขวางทางของพวกเขาอีกครั้ง “เป็นสามีภรรยากันใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้ผู้คนสอบสวนพวกคุณแยกกัน เด็กสองคนชื่ออะไร เกิดวันที่เท่าไหร่ ดูสิว่าพวกคุณจะใช่พวกค้ามนุษย์หรือเปล่า”

ผู้คนพวกนั้นตื่นเต้นมากและตอบรับคำแนะนำของหลินม่าย

ชายคนนั้นจ้องไปที่หลินม่าย “อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่ ระวังตัวไว้เถอะฉันจะฟาดเธอให้!”

หลินม่ายไม่กลัว “ร้อนตัวเหรอ?”

ผู้หญิงคนนั้นลอบยักคิ้ว “ใครร้อนตัว? พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด เธอพูดว่าพวกเราเป็นพวกค้ามนุษย์แล้วจะสอบสวนเรา ใครอนุญาตไม่ทราบ?”

“ฉันถึงได้บอกไงว่าไปที่สถานีตำรวจ ให้ตำรวจเป็นคนสอบสวน”

ชายคนนั้นก้าวไปด้านหน้าสองก้าว “ถึงเธอจะให้พวกเราไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบสวน อย่างน้อยพวกเราก็ต้องเป็นผู้ต้องสงสัย ถ้าพวกเราเป็นผู้ต้องสงสัยจริง ไหนล่ะหลักฐาน!”

หลินม่ายชี้ไปที่เด็กชายตัวเล็กๆ ที่ผู้หญิงคนนั้นอุ้มไว้ในอ้อมแขน “หลักฐานคือเด็กสองคนนี้ พวกเราโวยวายกันอยู่ตั้งนาน พวกเขาก็ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา ดูก็รู้ว่าพวกคุณวางยาพวกเขาทำให้พวกเขาหมดสติ ยังกล้าพูดอยู่อีกเหรอว่าไม่ใช่พวกค้ามนุษย์?”

ผู้คนพูดถึงเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่าที่หลินม่ายพูดก็มีเหตุผล

มีคนวิ่งไปที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดและแจ้งความแล้ว

ผู้คนที่มามุงดูบังคับให้ชายหญิงแยกออกจากกัน กลุ่มหนึ่งถามผู้หญิงคนนั้นว่าเด็กสองคนนี้ชื่ออะไรและเกิดวันที่เท่าไหร่?

อีกกลุ่มก็ถามชายคนนั้นว่าเด็กสองคนนั้นชื่ออะไรและเกิดวันที่เท่าไหร่

ผู้คนที่มามุงต่างบอกกับชายหญิงคู่นี้ว่า “ขอแค่พวกคุณตอบเหมือนกัน พวกเราจะจับคนที่ใส่ร้ายคุณส่งสถานีตำรวจทันที”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อหัวไวมาก มองแล้วรู้เลยว่าเป็นคนค้ามนุษย์

ตอบไม่เหมือนกันก็เสร็จละจ้า

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 114 แผนร้ายในครอบครัว

ป้าหูตกใจ หล่อนไม่คิดว่าหลินม่ายจะทำแบบนี้

ถ้าคืนซึ้งนึ่งไปแล้ว จะหาซื้อใหม่ได้จากที่ไหน?

แม้ว่าจะหาซื้อได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน อาจทำให้ธุรกิจล่าช้าไป

ป้าหูเอียงคอ “ตอนนี้ฉันไม่มีเงิน อีกสองสามวันฉันจะจ่ายส่วนที่เหลือให้แล้วกัน!”

ลุงทำซึ้งนึ่งทำตามหลินม่าย เปลี่ยนเป็นพูดเสียงแข็ง “จะจ่ายวันนี้ หรือจะคืนซึ้งนึ่งมาให้หมดก็เลือกเอา”

ป้าหูพูดอย่างไม่ทน “ทำไมเป็นคนแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงว่าจะจ่ายภายในสองวัน จะเอายังไงหา?”

ใบหน้าของลุงขายซึ้งเต็มไปด้วยโทสะ เขาต้องการที่จะโต้เถียงต่อ แต่ถูกหลินม่ายห้ามเอาไว้ “ไปหากรรมการเพื่อตกลงเรื่องนี้เถอะค่ะ”

ถนนละแวกนี้ในสมัยนี้มีการจัดตั้งป้าคณะกรรมการเป็นกำลังการสู้รบ มีพวกหล่อนออกหน้า ก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าเรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไม่เป็นธรรม

ลุงทำซึ้งนึ่งรีบทำตามคำแนะนำของคนที่มามุงดู รีบไปเชิญป้าในละแวกนั้นมาเป็นคณะกรรมการ

ป้าคณะกรรมการไล่เรียงหาสาเหตุได้แล้ว ก็พูดกับป้าหูด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขายอมให้คุณผิดนัดมาแล้วครั้งหนึ่ง คุณไม่ควรที่จะผิดนัดอีกครั้ง คุณต้องจ่ายเงินงวดสุดท้ายให้เขาวันนี้ ไม่เช่นนั้นฉันจะนั่งอยู่ที่ร้านคุณไม่ไปไหนทั้งนั้น”

ป้าหูเหมือนหมูตายที่ไม่กลัวน้ำเดือด พูดอย่างเฉยเมยว่า “ฉันไม่มีเงิน กลัวว่าพวกคุณจะต้องนั่งอยู่ที่ร้านฉันตลอดชีวิตแล้ว ฉันไม่มีเงิน พวกคุณจะให้ฉันจ่ายอะไร?”

ป้าคณะกรรมการหลอกตาแล้วกล่าวว่า “คุณพูดมาตามตรงดีกว่าว่าไม่อยากจ่ายเงิน งั้นก็เอาซึ้งนึ่งคืนเขาไปให้หมด!”

ป้าหูได้ฟังก็ไม่สนใจ

ป้าคณะกรรมการละแวกนั้นได้กล่าวกับผู้ชม “เพื่อนบ้านที่รัก ตอนนี้ฉันได้นำซึ้งนึ่งจากป้าหูคืนให้ลุงคนขายหมดแล้ว โปรดเป็นพยาน ฉันไม่ได้แตะต้องของสิ่งใดในบ้านป้าหู นอกจากซึ้งนึ่ง”

หลินม่ายเป็นผู้นำตะโกน “พวกเราดูอยู่ค่ะ”

ป้าหูตกตะลึงถึงขีดสุด

ถ้ามีใครมาแตะต้องซึ้งนึ่งในบ้านของหล่อน หล่อนจะไม่ปล่อยไว้แน่ แต่กับป้าคณะกรรมการแล้วหล่อนกลับไม่กล้า

อายุของนางก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ถ้าเกิดถูกผลักได้รับบาดเจ็บ ก็ถือเป็นการบาดเจ็บจากการทำงาน ป้าหูจะถูกตัดสินว่าขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งถือเป็นอาชญากรรม

หล่อนกลอกตาไปมา มีความคิดหยุดพวกป้าคณะกรรมการ แล้วเอ่ยว่า “ฉันจะยืมเงินมาจ่ายส่วนที่เหลือ”

ขอแค่มีเงินจ่าย ก็ไม่สนใจแล้วว่าจะยืมมาหรือเป็นเงินของตัวเอง

ป้าคณะกรรมการพยักหน้าตอบรับ

ป้าหูยื่นมือไปด้านหน้าของหลินม่าย “ได้ยินว่าเธอใจดีนี่ งั้นขอยืมเงินหน่อย”

หลินม่ายยิ้มอย่างเหยียดหยาม “ฉันให้ยืมเฉพาะคนที่ใจดีเท่านั้น ฉันไม่ให้ป้ายืมหรอก”

ป้าหูลำพองใจ พูดกับป้าคณะกรรมการว่า “ดูสิ ฉันยืมเงินแล้ว แต่หล่อนไม่ให้ยืม”

ป้าคณะกรรมการไม่รู้จะมองหล่อนอย่างไร พวกหล่อนเคยเจอคนไร้ยางอายมาก็มาก แต่ไม่เคยเจอคนไร้ยางอายถึงขนาดนี้มาก่อน

หลินม่ายกล่าว “ไม่ให้ยืม แต่ว่าคณะกรรมการให้ป้ายืมได้นะ”

ป้าคณะกรรมการโมโหมากที่เกือบโดนป้าหูถอนหงอก

นางพยักหน้ารับทราบ “ใช่ คณะกรรมการให้คุณยืมได้ แต่ถ้าไม่คืนภายในสิบห้าวัน ก็เชิญไปปรับทัศนคติที่สถานีตำรวจได้เลย”

ความจริงแล้วไม่มีวิธีนี้หรอก การที่หล่อนพูดว่าคณะกรรมการให้ยืมเงินได้ก็เพื่อบังคับให้ป้าหูจ่ายเงิน

เคล็ดลับนี้ใช้ได้ผล ป้าหูเดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าบึ้งตึง แล้วนำเงินออกมาให้ลุงทำซึ้งนึ่ง

หลินม่ายออกมาส่งลุง แล้วมอบมีดคืนแก่เขา

ลุงทำซึ้งนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “หนูเอ๋ย โชคดีที่วันนี้หนูหยุดลุงไว้ ไม่งั้นเกิดหายนะแน่”

ถ้าเมื่อครู่เขาฆ่าคนด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เขาคงจบเห่แล้ว ครอบครัวเขาก็คงไม่เหลือ

หลินม่ายเตือนว่า “เป็นเรื่องเล็กน้อยค่ะ แต่ลุงจำไว้นะ หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าหุนหันพลันแล่น เพราะมันคือปีศาจ”

ลุงพยักหน้าอีกครั้งและอีกครั้ง “จะไม่ทำอีกแล้ว”

ว่าแล้วเขาก็รู้สึกผิดต่อหลินม่าย “ลุงผิดเอง ลุงไม่ควรขายซึ้งนึ่งให้กับคู่แข่งของหนู และสร้างความเดือดร้อนแล้วกับตัวเองอีก”

หลินม่ายโบกมือ “ไม่เป็นไรค่ะ”

หลังจากกลับมา โจวฉายอวิ๋นก็ยกนิ้วโป้งให้เธอ “เธอเก่งมากเลย จัดการกับแม่มดเฒ่าข้างบ้านนั่นได้เฉียบขาดจริงๆ!”

หลินม่ายหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร

วันนี้เป็นเผชิญหน้าระหว่างลุงทำซึ้งนึ่งกับป้าหู ไม่รู้ว่าแม่มดเฒ่านั่นกลายเป็นปีศาจได้ยังไง

ป้าหูที่นั่งอยู่ในบ้านก็คลุ้มคลั่งอยู่สักพัก กำชับหยางหยางให้เฝ้าประตูไว้ หลังจากกลับมาก็นำลูกอมมันหมูมาให้เขากินแล้วจึงออกไปหาพ่อเฒ่าเฮ่อ

พ่อเฒ่าเฮ่ออาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆในหน่วยที่เขาเคยทำงาน กำลังเล่นหมากรุกอยู่กับใครสักคนใต้ต้นไม้

เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนะ ป้าหูที่มาถึงก็ตะโกนว่า “พ่อเฒ่าเฮ่อ คุณยังมีอารมณ์มาเล่นหมากรุกแถวนี้อยู่ไหม?”

พ่อเฒ่าเฮ่อตกใจกับเสียงของหล่อน ทำตัวหมากรุกตกลงมาในที่ที่ไม่ควรจะตก

เขาหยิบหมากรุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกำลังเปลี่ยนใจ “ฉันไม่ได้จะลงตรงนี้ ฉันจะลงตรงนี้ต่างหากหล่ะ”

แต่ชายชราฝั่งตรงข้ามไม่ยอมให้เขาเปลี่ยนใจ เขาจับข้อมือพ่อเฒ่า “ลงแล้วห้ามเปลี่ยน!”

พ่อเฒ่าเฮ่อไม่มีทางเลือก ต้องคืนตัวหมากรุกไป

สถาณการณ์พลิกกลับทันที

เขาใช้สมองเพื่อพลิกสถานการณ์ แต่ป้าหูมาดึงเขาไว้ “ไม่ต้องลงแล้ว!มากับฉัน ไปดูร้านของคุณ”

พ่อเฒ่าเฮ่อถามด้วยอารมณ์ “เกิดอะไรขึ้นกับร้านของฉัน? ไฟไหม้หรอ?”

“ที่เช่าทำเลดีแบบนั้น คุณให้นังบ้านนอกเช่าในราคาผักกาดขาวก็ไม่ต่างอะไรกับไฟไหม้ ไปขึ้นค่าเช่านังบ้านนอกนั่นเดี๋ยวนี้!”

ป้าหูมาหาพ่อเฒ่าเฮ่อในวันนี้ เพราะต้องการให้เขาขึ้นค่าเช่าหลินม่าย

หลินม่ายทำให้หล่อนเสียเงิน หล่อนไม่ปล่อยหลินม่ายไว้แน่!

เมื่อพ่อเฒ่าเฮ่อเห็นว่าป้าหูทำลายเกมหมากรุกของเขาด้วยเรื่องเล็กน้อย เขาก็โมโหทันที “ถ้าพูดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องก็หุบปากไปซะ อย่ามายุ่งกับเกมหมากรุกของฉัน!”

ป้าหูถูกตำหนิจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทำได้เพียงเดินคอตกกลับไปด้วยความสิ้นหวัง

ในมื้อค่ำ เมื่อคุยกับลูกชายและลูกสะใภ้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนบ่าย น้ำตาก็แทบไหล

ในเรื่องอื่น ลูกชายลูกสะใภ้หรือแม้กระทั่งลูกสาว อาจมีข้อขัดแย้งกับป้าหูบ้าง แต่ทว่าเรื่องทรัพย์สินเงินทองของครอบครัวพวกเขารวมใจกันปกป้อง

เมื่อได้ยินป้าหูพูดว่าเป็นเพราะหลินม่าย หล่อนจึงสูญเงินไปหลายสิบหยวน ทุกคนจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ลูกสะใภ้พูดว่า “ฉันจะให้น้องชายฉันหาคนไปก่อความวุ่นวาย ให้พวกเขาบอกว่าท้องเสียหลังจากที่กินอาหารไป นังตัวดีไม่รอดแน่!”

ป้าหูพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “เป็นความคิดที่ดี แต่อย่ารีบร้อนเกินไปไม่งั้นคนอื่นจะสงสัยได้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

ลูกสะใภ้พยักหน้าเห็นด้วย ค่อยๆ พูดขณะกินข้าวว่า “แต่น้องชายของฉันต้องใช้เงินจ้างคนนะคะ”

ป้าหูตกใจแต่ก็จนปัญญา “สิบหยวนพอไหม?”

ใบหน้าของลูกสะใภ้นิ่งลงทันที “ฉันคิดดูแล้วว่าเรื่องนี้ฉันไม่ควรเข้าไปยุ่ง พวกคุณคิดหาวิธีกันเองแล้วกัน”

ป้าหูจึงต้องเพิ่มเงินอีกห้าหยวน “สิบห้าหยวนคงจะพอนะ”

“อย่างน้อยก็ยี่สิบ ไม่สิ ยี่สิบหยวนน้องชายฉันยังจ้างใครไม่ได้ด้วยซ้ำ”

ป้าหูได้ยินแบบนี้ก็มีสีหน้าย่ำแย่ลง “ช่างเถอะ ฉันไปหาจ้างคนเอง”

ลูกสะใภ้นึกดูถูกในใจ ลอบด่าหล่อนว่าขี้งก

หลายวันผ่านไปในชั่วพริบตาเดียว

ไม่กี่วันมานี้ ป้าหูเอาแต่ขายตัดราคากับร้านของหลินม่าย

ในทุกวันหลินม่ายทำได้แค่ลดปริมาณอาหารลง เพราะป้าหูพยายามกดเธอไว้ด้วยการทำราคาต่ำกว่า

โจวฉายอวิ๋นเริ่มอยู่อย่างไม่สงบ

ธุรกิจแย่ลงทุกวัน ถึงสิ้นเดือนแล้วจะเอาเงินจากไหนมาจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน?

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อย่าเพิ่งถอดใจนะคะ ใครที่มันทุจริตกับธุรกิจมันจะเจริญได้ไม่นานหรอกค่ะ เดี๋ยวไม่นานนังป้าหูก็จะแพ้ภัยตัวเอง ขนาดจะจ้างคนไปทำลายชื่อเสียงร้านม่ายจื่อยังทำท่าจะล่มกลางคันเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 113 การทวงเงินครั้งสุดท้าย

เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานต้องการช่วยตัวเองจริงๆ และไม่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง เธอจึงบอกกับเขาว่าขาดส่วนผสมอะไรบ้าง

ถ้าเป็นช่วงหลังปี 90 วัตถุดิบพวกนั้นต่างหาซื้อได้ทั่วไป

แต่ทว่าในช่วงปี 80 การขนส่งล้าหลัง พวกเครื่องหลูจู่ที่มีเฉพาะในเทือกเขาอวิ๋นหนานและกุ้ยโจวจะไม่สามารถหาซื้อได้ในเจียงเฉิงเลย

แต่เมื่อรับความช่วยเหลือมาจากฟางจั๋วหรานแล้ว หลินม่ายก็ไหว้วานเขาอย่างตรงไปตรงมาว่าขอผงยี่หร่าอีกสักสองสามกิโล

เนื่องจากร้านข้างๆ กัดเธอไม่ปล่อย เช่นนั้นเธอก็สู้ตาย

แม้ในช่วงปี 80 จะไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัว แต่เพื่อความสะดวกแก่การทำงาน ทางหน่วยงานก็จะติดตั้งโทรศัพท์บ้านไว้ให้ข้าราชการระดับสูง

แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะไม่ใช่ข้าราชการระดับสูง แต่เขาเป็นศัลยแพทย์อายุน้อยที่มีฝีมือ

มีหลายกรณีที่เขาจะต้องเป็นผู้ลงมือผ่าตัดฉุกเฉินเพียงคนเดียว เขาไม่เพียงแต่มีทักษะการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่เขายังมีร่างกายที่แข็งแกร่งอีกด้วย

สำหรับการผ่าตัดที่สำคัญหลายครั้ง แม้ว่าศาสตราจารย์อาวุโสด้านศัลยแพทย์ยังมีความสามารถ แต่แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายเทียบกันไม่ได้

ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงติดตั้งโทรศัพท์บ้านให้ฟางจั๋วหราน เพื่อให้เขารับสายได้ง่ายขึ้น

ทันทีที่ฟางจั๋วหรานถึงบ้าน เขาก็โทรศัพท์หลายสายทันที

ไม่นานผู้ป่วยจากมณฑลอวิ๋นหนานและกุ้ยโจวที่เขาเป็นผู้รักษาก็สัญญาว่าจะช่วยจัดหาส่วนผสมในการทำหลูจู่ที่หลินม่ายต้องการให้เขา

ผงยี่หร่าจากซินเจียง ก็มีคนช่วยจัดหาให้เขา

ฟางจั๋วหรานขอให้พวกเขาส่งของมาให้เร็วที่สุด

เมื่อคิดถึงเรื่องที่สามารถช่วยสาวน้อยคนนี้ได้ ฟางจั๋วหรานก็กระตุกยิ้มเบาๆ

การมีร้านข้างๆ เป็นคู่แข่ง ทำให้ร้านของหลินม่ายเริ่มขายไม่ดี ถึงแม้ว่าจะทำปริมาณที่ลดลงแต่ก็แทบจะขายไม่หมด ไส้ที่ทำไว้ก็ยังเหลือ

ถึงเวลาที่พนักงานเลิกงาน หลินม่ายก็ไปที่ตลาดสดของรัฐเพื่อเอาเครื่องในหมูและปอดหมูที่เธอสั่งไว้

โจวฉายอวิ๋นขมวดคิ้วและพูดว่า “เอาของวันนี้มาแล้ว วันพรุ่งนี้อย่าเพิ่งสั่งของไว้นะ ตอนเที่ยงร้านข้างๆอาจทำเหมือนตอนเช้าก็ได้ เราไม่พูดเรื่องการลอกเลียนแบบ แต่การขายตัดราคาแบบนี้มันแย่มาก หากซื้อเครื่องในหมูและปอดหมูมาแล้วใช้ไม่หมดจะเสียดายเงินเปล่าๆ”

เพราะว่าต้องลดปริมาณลง ไส้ที่ทำไว้ในตอนเช้าก็ยังใช้ไม่หมด โจวฉายอวิ๋นจึงกังวลมาก

หล่อนไม่รู้ว่าตอนกลางวันจะทำยังไงกับเครื่องในหมูและปอดหมูพวกนี้ดี

ตอนนี้อากาศร้อน ของที่ขายไม่หมดทิ้งไว้ค้างคืนก็คงเน่าเสีย

หลินม่ายพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ”

เมื่อมาถึงตลาดสด เธอก็ไปพบหม่าเจียเฉียงพนักงานที่ช่วยเธอส่งสินค้า บอกว่าเธอน่าจะไม่ได้มารับสินค้าประมาณหนึ่งอาทิตย์

แต่ว่ายังไม่ต้องคืนเงินมัดจำ เพราะหลังจากนี้หนึ่งอาทิตย์เธอจะกลับมารับสินค้าอีกครั้ง

หม่าเจียเฉียงพยักหน้าตอบรับเมื่อได้ยินว่าเธอยังมารับสินค้าในวันหลัง

แน่นอนว่ามันเป็นไปตามที่โจวฉายอวิ๋นคาดไว้ ตอนกลางวันร้านข้างๆ ก็ขายของเหมือนกับร้านหลินม่ายทุกประการ และเป็นเช่นเดียวกับอาหารเช้าที่ขายถูกกว่าห้าเฟิน

หากต้องการหาความแตกต่าง ก็คงเป็นที่หลูจู่จากร้านของหลินม่ายนั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะ ในขณะที่หลูจู่ของร้านป้าหูนั้นมีกลิ่นคาวของเครื่องใน

ความต้องการของคนในยุคนี้มีไม่สูง ขอแค่เป็นเนื้อและราคาถูก

แม้ว่ารสชาติอาหารของป้าหูจะไม่อร่อย แต่ตอนกลางวันคนก็ไปกินที่ร้านของป้าหูไม่น้อย

หลินม่ายเห็นว่าธุรกิจไม่ค่อยดี เธอจึงขายของที่หน้าร้านคนเดียว ให้โจวฉายอวิ๋นนำไส้ที่ทำเหลือไว้ในตอนเช้ามาทำซาลาเปา แล้วเธอจะนำมันออกไปขายที่อื่น

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ซาลาเปาก็ทำเสร็จแล้ว หลินม่ายแบ่งไว้ให้โจวฉายอวิ๋นขาย เพื่อขัดขวางร้านข้างๆ ที่ไม่ยอมให้ร้านเธอได้ขายราคาปกติ

ในเมื่อร้านข้างๆ ทำให้เธออยู่ไม่เป็นสุข เช่นนั้นเธอก็จะทำให้ป้าหูอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน มาเจอกันสักตั้ง

สำหรับอาหารที่เหลือ หลินม่ายนำขึ้นรถสามล้อออกไปขายข้างถนน

เธอขายของจนหมดในช่วงเวลาประมาณบ่ายสอง ช้าอีกนิดก็เกือบจะโดนเทศกิจจับไปแล้ว

ป้าหูร้านข้างๆ และโจวฉายอวิ๋นขายของกันหมดแล้ว หมดเวลาไปอีกวันหนึ่งสำหรับการทำธุรกิจ

ป้าหูเห็นหลินม่ายกลับมาแล้ว หล่อนก็พูดด้วยความภาคภูมิใจ

หลินม่ายขบริมฝีปากด้วยความรังเกียจ ขายของตัดราคาคนอื่นแบบนี้ มีอะไรให้น่าภูมิใจกัน!

เธอและโจวฉายอวิ๋นนำของจากรถสามล้อเข้าไปเก็บในครัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงถกเถียงมาจากด้านนอก

โจวฉายอวิ๋นเงี่ยหูฟังตาปริบๆ “ดูเหมือนว่าข้างๆจะมีการทะเลาะกัน ฉันไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”

หลินม่ายตามติดไปด้วยความสนใจ

เป็นลุงที่ทำซึ้งนึ่งกับป้าหูกำลังยืนเถียงกัน

หลังจากฟังไม่กี่คำหลินม่ายก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้ป้าหูก็สั่งซึ้งนึ่งมาจากลุง ตกลงกันไว้ว่าจะมัดจำไว้ครึ่งหนึ่งก่อน แล้วหลังจากส่งมอบค่อยจ่ายอีกครึ่ง

แต่พอลุงนำซึ้งนึ่งมาให้ ป้าหูก็ผลัดจ่ายเงินที่เหลือมาสองสามวันแล้ว

ลุงบอกว่าวันนี้มาเอาเงินงวดสุดท้าย แต่ป้าหูบอกว่าคุณภาพซึ้งนึ่งมันไม่ดี และปฏิเสธจะจ่ายเงินส่วนที่เหลือ

ลุงขายซึ้งคนนั้นโกรธมาก จึงเกิดการปะทะขึ้น

แต่ไม่ว่าจะเถียงกันเสียงดังแค่ไหน ป้าหูก็ยืนยันว่าคุณภาพของมันไม่ดี และจะไม่จ่ายเงินส่วนที่เหลือ

ลุงคนทำซึ้งนึ่งโกรธมาก ชี้ไปที่จมูกของป้าหูแล้วพูดว่า “แกรอดูได้เลย!” พูดจบลุงก็หันหลังเดินกลับไป

ป้าหูไล่ตามไปด่าเขา “รอดูก็รอดูสิ คิดว่าฉันกลัวแกเหรอไอ้บ้านนอก!”

โจวฉายอวิ๋นกลอกตาด้วยความรังเกียจ “มีบรรพบุรุษของใครไม่ได้มาจากชนบทบ้าง ผ่านมาสามชั่วอายุคนแล้วยังดูถูกกันอยู่อีกเหรอ?”

หลินม่ายเองก็เกลียดคนที่ยโสโอหังเช่นกัน

เธอหยิบปากกาและกระดาษมานั่งในร้านเพื่อสอนโจวฉายอวิ๋นให้อ่านและเรียนรู้เรื่องตัวเลขง่ายๆ

ตอนเด็กๆ โจวฉายอวิ๋นเคยเรียนหนังสืออยู่สองสามปี แม้จะลืมไปหมดแล้ว แต่ก็ยังมีความทรงจำหลงเหลืออยู่ และหลินม่ายเองก็ไม่ได้สอนยากมาก

ทั้งสองคนกำลังเรียนอยู่ ก็ได้ยินเสียงคนด้านนอกตะโกน “ฆ่ากันแล้ว! จะฆ่ากันตายแล้ว!”

หลินม่ายมองไปทางประตู เงยหน้าขึ้นก็เห็นลุงคนขายซึ้งนึ่งถือมีดทำครัวเดินดุ่มๆ มุ่งไปที่ร้านข้างๆ

เธอตะโกนร้อง “ไม่นะ!”แล้วพุ่งตัวออกไป

แต่ก็ช้าไปก้าวเดียว ลุงทำซึ้งนึ่งได้เอามีดทำครัวชี้ไปที่หน้าอกของป้าหู และตะโกนอย่างขุ่นเคือง “จะจ่ายส่วนที่เหลือไหม?”

ป้าหูกลอกตาลอกแลกด้วยความหวาดกลัว พูดด้วยริมฝีปากสั่นระริก “ฉะ..ฉันให้ก็ได้…”

หลินม่ายรีบเข้าไปคว้ามีดทำครัวจากมือลุง พร้อมเอ่ยว่า “ลุงคะ ฉันขอให้ลุงช่วยหาซื้อมีดทำครัวก็จริง ลุงก็ควรเอามีดมาให้ฉันก่อนที่จะไปพูดกับใครนะคะ ลุงว่าการที่ลุงเอามีดมาคุยกับคนอื่นแบบนี้ ถ้าลุงเจอคนไม่มีเหตุผลแจ้งว่าลุงใช้มีดทำร้ายเขา ไม่ว่าลุงจะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นนะคะ!”

ลุงทำซึ้งนึ่งถูกยั่วโมโหจนขาดสติไปครู่หนึ่ง

เมื่อหลินม่ายเข้ามาคว้ามีดทำครัวไป ก็ทำให้เขาได้สติขึ้น

แม้จะยังโกรธอยู่เต็มอก แต่เขาก็ยังระงับอารมณ์ของตนได้

เขายิ้มกับหลินม่ายอย่างขอบคุณ “ลุงลืมตัวไปน่ะ”

ป้าหูตกตะลึงไป

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายคว้ามีดทำครัวไปแล้ว สถานการณ์ก็คลี่คลายลง นางก็กำลังจะเอะอะพาลุงขายซึ้งไปสถานีตำรวจ ให้ถูกจับเข้าคุกสักสองสามปี

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินม่ายจะช่วยให้นางหลุดพ้นจากอาชญากรรมของลุงทำซึ้งนึ่งเพียงคำพูดไม่กี่คำ หล่อนก็โมโหจนควันออกทวารทั้งเจ็ด

หล่อนชี้ไปที่จมูกของหลินม่าย “เธอตาบอดหรือไง มันใช้มีดทำครัวมาจี้ฉันขนาดนี้ จะบอกว่ามันไม่ได้ใช้มีดทำร้ายคนอย่างนั้นเหรอ?”

หลินม่ายผายมือไปที่ลุงทำซึ้งนึ่ง “ฉันบอกลุงแล้ว ถ้าลุงถือมีดแล้วเจอกับคนไร้เหตุผล เขาก็จะใช้เป็นข้ออ้างในการโต้กลับได้”

ป้าหูโมโหขึ้นมาทันที “แกว่าใครไร้เหตุผล?”

หลินม่ายเปิดปากพูด “ป้าไงคะ!ซื้อซึ้งนึ่งจากคนอื่นไม่ยอมจ่ายเงิน ทั้งยังหาข้ออ้างสารพัด ถ้าไม่เรียกคนไร้เหตุผลจะให้เรียกว่าอะไร!”

แม้เธอจะไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เธอก็ทนเห็นคนโดนรังแกไม่ได้เหมือนกัน

ป้าหูเท้าเอวโวยวาย “ก็ของมันไม่มีคุณภาพ ทำไมฉันต้องจ่ายด้วย?”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้!งั้นป้าก็เอาซึ้งนึ่งมาคืนลุงแกให้หมด แล้วฉันจะช่วยลุงคืนเงินที่ป้าจ่ายไปก่อนหน้านี้ให้ ยุติธรรมนะ!”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

จะจ่ายไม่จ่าย เกือบตายแล้วยังปากดีอีกนะป้า

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 112 ถ้าคุณเป็นพ่อหนูก็คงดี

พยาบาลที่แอบชอบฟางจั๋วหรานระงับความอิจฉาไว้ “ศาสตราจารย์ฟาง ผู้หญิงคนนั้นเป็นเป็นใครหรือคะ คุณดีกับหล่อนจัง มอบเชอร์รี่ให้เธอทั้งกล่องเลย”

ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เป็นเพื่อนต่างวัยของปู่กับย่าผมน่ะ ก็เหมือนกับน้องสาวคนหนึ่ง อ่อใช่ เธอเปิดร้านขายขนมอยู่ข้างๆโรงพยาบาลของเรา ชื่อร้านว่าเปาห่าวซือเสี่ยวชือเตี่ยน ฝากพวกคุณอุดหนุนกิจการของหล่อนด้วยนะ”

เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้น เธอก็ถอนหายใจในใจเงียบๆ และเตือนตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าคิดอะไรเกินเลยกับเขา เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับเธอ

ฟางจั๋วหรานพูดคุยกับพยาบาลคนนั้นเสร็จ ก็หันมองไปหลินม่ายที่หายไปตรงบันได อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

เขาเป็นคนให้เธอนำอาหารมาให้ เพื่อที่จะถามเธอว่ายังขาดวัตถุดิบอะไรในการทำหลูจู่

ยังไม่ทันได้ถามอะไรเธอก็หายไปแล้ว เธอไม่ชอบที่จะคบค้าสมาคมกับเขาขนาดนั้นเลยหรอ?

ช่างเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยถาม ไม่รีบ

ครั้นถือเชอร์รี่กลับบ้านแล้ว หลินม่ายก็แบ่งให้โต้วโต้วกับโจวฉายอวิ๋นกิน

เชอร์รี่กล่องนี้หวานอร่อยมาก ขณะกินโจวฉายอวิ๋นก็ขยิบตาให้หลินม่าย “ศาสตราจารย์ฟางดีกับเธอจริงๆ เธอให้เกี๊ยวแก่เขา เขาก็ให้เชอร์รี่แก่เธอ”

หลินม่ายกลอกตา “กินแล้วยังไม่หยุดปากพูดอีกนะ เชอร์รี่นี้ให้ฉันกินคนเดียวหรือไง ตั้งใจเอามาให้โต้วโต้วกินต่างหาก”

โต้วโต้วตบมือ “คุณอาใจดีจัง ถ้าคุณอาเป็นพ่อของหนูก็คงดี! ”

หลินม่ายตีหล่อนเบาๆ “อย่าพูดจาเหลวไหลสิ!”

จู่ๆโต้วโต้วก็ไม่สบอารมณ์

เมื่อพิจารณาถึงการแข่งขันในครั้งนี้ แถมยังเป็นการแข่งขันที่ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้อีก เช้าวันที่สอง หลินม่ายก็ไปซื้อเนื้อที่ตลาดมืดน้อยลง

ตอนแรกเจ้าของร้านค่อนข้างไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นเธอหยิบกระเพาะหมูเพิ่ม ก็รู้สึกดีขึ้นอีกครั้ง

ถึงแม้กระเพาะหมูจะเป็นของดี แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง นอกจากช่วงเทศกาลแล้วปกติก็ขายไม่ค่อยดี หลินม่ายซื้อกระเพาะไปจึงทำให้เขาสบายใจไม่น้อย

หลินม่ายไม่เพียงแต่ซื้อกระเพาะหมู เธอยังซื้อพุทราแดง ฟองเต้าหู้แห้งและถั่วลิสงอีก เพื่อเตรียมที่จะตุ๋นซุปกระเพาะหมูให้ฟางจั๋วหรานกิน

เขาต้องเข้าเวรทั้งคืนคงเหนื่อยแย่ ต้องบำรุงสักหน่อย

หลังจากซื้อของเสร็จแล้ว หลินม่ายก็นั่งรถสามล้อกลับบ้าน และยังเห็นว่ามีร้านขายอาหารเช้าอีกสองร้านอยู่ตรงถนนนั่น

ทั้งสองร้านเพิ่งเริ่มตั้งร้าน ยังมองไม่ออกว่าขายอะไร

แต่หลินม่ายไม่สนว่าพวกเขาจะขายอาหารเช้าเป็นอะไร

ถนนสายนี้เป็นตึกแถว คนขายอาหารเช้าก็เล่ห์เหลี่ยมเยอะ และนับวันคนขายอาหารเช้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

นี่มันอยู่ในความคาดหมายของเธออยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วขนาดนี้

เมื่อกลับถึงบ้าน คุณป้าทั้งสามคนที่ทำงานในครัวมาถึงแล้ว โจวฉายอวิ๋นก็อยู่ด้านใน ทั้งสี่คนดูไม่ค่อยร่าเริง

หลินม่ายเปลี่ยนบรรยากาศ “ฉันไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีกับพวกคุณใช่ไหม ทำไมเช้านี้ดูไม่สดใสกันเลยล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นกล่าว “ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แค่เห็นมีร้านขายอาหารเช้าเพิ่มสองร้าน ในใจเลยรู้สึกหวั่นๆ”

“มันมีอะไรหรอ ใครๆต่างก็ทำธุรกิจได้ อย่าไปคิดมากเลย ถึงเราคิดอยากจะซื้อกิจการทั้งถนน เราก็คงไม่มีปัญญาขนาดนั้นหรอกใช่ไหม”

หลังจากปลอบใจทุกคนแล้ว หลินม่ายก็เริ่มสับเนื้อและสั่งให้โจวฉายอวิ๋นตอนที่ห่อเกี๊ยวเนื้อห่อเสี่ยวหลงเปาสองเข่ง

โจวฉายอวิ๋นถาม “ทำให้ฟางจั๋วหรานหรอ?”

หลินม่ายส่งเสียงตอบไปเสียงหนึ่ง

เดิมทีโจวฉายอวิ๋นคิดจะแกล้งแซวเธอ แต่เมื่อคิดถึงคนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านนอก หล่อนก็ยิ้มอย่างมีความหมายและไม่พูดอะไร

หลินม่ายเห็นการแสดงออกทางสายตาของฉายอวิ๋นแล้ว ก็ทำได้เพียงบังคับให้ตัวเองสงบ

แต่ก็ยังพยายามล้างสมองตัวเอง ว่าเธอกับคุณหมอฟางเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น ไม่ได้คิดเป็นอื่น ฉายอวิ๋นจะคิดอย่างไรก็ปล่อยหล่อนไป

หกโมงครึ่งแล้ว หลินม่ายและวังเสี่ยวลี่เตรียมตัวตั้งร้านที่หน้าทางเข้าร้าน

เมื่อถึงช่วงเวลาที่อาหารเช้าขายดีที่สุด โจวฉายอวิ๋นก็ออกมาดูธุรกิจข้างๆ

เมื่อเห็นว่าไม่มีป้าหูมาตีฆ้องร้องตะโกนซื้อหนึ่งแถมหนึ่งหล่อนก็วางใจ และกลับเข้าไปทำงานในครัว

หลินม่ายรู้สึกโล่งใจเช่นกัน

ขอแค่ร้านข้างๆ ไม่ทำการขายแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง มันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเธอ

มีลูกค้าจำนวนมากในชั่วโมงเร่งด่วน หลินม่ายและวังเสี่ยวลี่จึงยุ่งมาก จากนั้นก็ได้ยินลูกค้าคนหนึ่งพูดว่า “หือ? ซาลาเปาเนื้อร้านข้างๆ ราคาแค่หนึ่งเหมา ฉันไปซื้อร้านข้างๆดีกว่า

เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น คนส่วนใหญ่ก็รีบตามกันออกไป

ส่วนที่เหลือกำลังรีบร้อน จึงไม่มีเวลาไปต่อแถวร้านข้างๆ

หลินม่ายขมวดคิ้วแล้วมองไปที่ป้ายด้านข้าง ไม่รู้ว่าร้านข้างๆติดป้ายราคาอาหารขนาดใหญ่ที่ประตูตั้งแต่เมื่อใด

นอกจากหมั่นโถวม้วนแล้ว พวกซาลาเปา ข้าวหมาก ข้าวต้มและเกี๊ยว ร้านนั้นก็ขายถูกกว่าร้านเธอห้าเฟิน

ทำแบบนี้แสดงว่าต้องการงัดข้อกับร้านของเธอใช่ไหม?!

เมื่อวังเสี่ยวลี่เห็นรายละเอียดบนป้ายที่ร้านข้างๆ เขียนไว้ จึงถามว่า “ร้านข้างๆ นี่ไม่อยากทำกำไรแล้วเหรอ?”

หลินม่ายรู้สึกว่าป้าหูอายุมากสมองเลอะเลือน ไม่ตั้งใจทำธุรกิจ ได้แต่ทำอะไรไร้สาระไปวันๆ

ซาลาเปาเนื้อหนึ่งลูกขาย 1.5 เหมา ยังได้กำไรแค่ 5-6 เฟินเท่านั้น นางขายถูกกว่าเธอ 5 เฟินแล้วจะไปเอากำไรมาจากไหน

ถึงแม้ว่าร้านของเธอจะตั้งขายอยู่หน้าบ้านไม่เสียค่าเช่าที่ แต่ก็ยังต้องจ่ายเงินเดือนพนักงาน

ทำธุรกิจแบบนี้ สิ้นเดือนจะได้เงินไหม?

ช่างเถอะ เรื่องของคนอื่น อย่าไปใส่ใจเลย

หลินม่ายไปที่ห้องครัวเพื่อแจ้งกับพวกโจวฉายอวิ๋น ให้วันนี้ลดปริมาณการทำลง

โจวฉายอวิ๋นเบิกตากว้างถามว่า “ลดปริมาณลงอีกแล้วหรอ ทำไมล่ะ?”

หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมด

ใบหน้าของโจวฉายอวิ๋นพลันดำทะมึน “ร้านข้างๆ ทำแบบนี้นี่คิดจะบีบบังคับให้พวกเราปิดกิจการลงใช่ไหม?”

หลินม่ายโบกปัด “อย่ากังวลเกินไปเลย กลัวแค่พวกเขายังไม่ทันได้บีบบังคับ พวกเราก็ทนไม่ไหวซะเอง”

ฟางจั๋วหรานเพิ่งออกเวรก็ตรงไปที่ร้านของหลินม่ายเพื่อกินอาหารเช้า

เมื่อเห็นว่าร้านข้างๆ ขายดีกว่าร้านของหลินม่ายก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

หลินม่ายเห็นเขาก็ต้อนรับอย่างอบอุ่น และให้โจวฉายอวิ๋นนำซุปกระเพาะหมูใส่ฟองเต้าหู้แห้งกับเสี่ยวหลงเปามาให้

โจวฉายอวิ๋นให้บริการอาหารเช้าแก่ฟางจั๋วหราน และยิ้มให้เขาอย่างมีความหมาย “หลินม่ายทำอาหารเช้านี้ไว้เป็นพิเศษสำหรับคุณเลยล่ะค่ะ แม้แต่โต้วโต้วก็ยังไม่ได้กิน”

ความรู้สึกแปลกๆ แทรกซึมอยู่ภายในใจฟางจั๋วหราน

โต้วโต้ววิ่งมาด้วยสองเท้าน้อยๆ ร้องเรียกอย่างมีความสุข “คุณอาคะ คุณอา!”

ฟางจั๋วหรานอุ้มหล่อนขึ้นแล้วถามอย่างอ่อนโยน “หนูกินข้าวเช้าหรือยัง?”

“กินแล้วค่ะ” โต้วโต้วจ้องมองไปที่ซุปกระเพาะหมูกับเสี่ยวหลงเปาตรงหน้าเขาอย่างตาเป็นประกาย แล้วพูดอย่างเขินอายว่า “แต่อยากกินอันนี้ด้วยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานยิ้มแล้วให้เสี่ยวหลงเปากับหล่อนหนึ่งลูก รอหล่อนกินเสร็จแล้วจึงป้อนซุปกระเพาะหมูให้

โต้วโต้วไม่โลภ หล่อนกินแค่เสี่ยวหลงเปาหนึ่งลูกกับซุปกระเพาะหมูไม่กี่คำ

ฟางจั๋วหรานจึงถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่กินแล้วล่ะ?”

โต้วโต้วตบที่พุงน้อยๆ ของ หล่อน “ท้องหนูเก็บไม่ไหวแล้วค่ะ”

หล่อนโอบรอบคอของฟางจั๋วหรานแล้วจ้องมองมาที่เขาอย่างตั้งใจ

ฟางจั๋วหรานยัดเสี่ยวหลงเปาเข้าปากตัวเอง แล้วยิ้มถามว่า “ทำไมมองฉันแบบนั้นล่ะ?”

เสี่ยวโต้วโต้วถอนหายใจเบาๆ “ถ้าคุณเป็นพ่อของหนูก็คงจะดีมากเลย!”

หล่อนพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง “แม่ของหนูทั้งสวยและทำอาหารเก่ง คุณอาแต่งงานกับแม่หนูนะคะ”

ฟางจั๋วหรานเขี่ยจมูกน้อยๆ ของหล่อน “หนูรู้เหรอว่าการแต่งงานคืออะไร?”

โต้วโต้วเกาศีรษะน้อยๆ ด้วยความไม่เข้าใจว่าการ “แต่งงาน” หมายความว่าอย่างไร

หล่อนได้ยินมาจากเด็กคนอื่น ว่าถ้าอยากจะเป็นพ่อต้องแต่งงานกับแม่ก่อน

ที่หน้าประตูร้านมีเด็กมาชวนโต้วโต้วไปเล่น เด็กน้อยตอบตกลงแล้วรีบลงจากตัวฟางจั๋วหรานไปเล่นกับเพื่อนๆ

หลังจากฟางจั๋วหรานกินอาหารเช้าเสร็จ เขาเห็นว่าหลินม่ายไม่ค่อยยุ่งจึงเรียกเธอออกมานอกบ้าน “เมื่อวานได้ยินคุณบอกว่าทำหลูจู่แล้วขาดวัตถุดิบหลายอย่าง บอกผม ผมจะวานคนไปซื้อให้”

หลินม่ายรีบปฏิเสธ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันค่อยไปตะเวนหาในตลาดมืดได้”

ฟางจั๋วหรานมองเธออย่างอ่อนโยน “ผมรู้ว่าคุณกลัวว่าผมจะลำบาก ไม่หรอกนะ ผมรู้จักคนเยอะ แค่ทักทายพวกเขาก็ได้แล้ว”

หลินม่ายยังคงปฏิเสธ

ฟางจั๋วหรานมองไปที่ร้านข้างๆแล้วกล่าวว่า “คุณยอมให้กิจการตัวเองถูกคู่แข่งแซงได้เหรอ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขายตัดราคาก็ขายไป เดี๋ยวระยะยาวอุ้มทุนไม่ไหวก็แพ้ไปเอง

โต้วโต้วชิปแรงมากนะคะ ยกตำแหน่งกัปตันเรือให้เลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 111 เชอร์รี่หนึ่งกล่อง

เมื่อซื้อคูปองเนื้อจากพ่อค้าที่เร่ขาย หลินม่ายก็ซื้อคูปองเนื้อไปถึงสามสิบชั่งในคราวเดียว

ร้านอาหารของเธออยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัยการแพทย์และโรงพยาบาลที่ฟางจั๋วหรานทำงาน ต่อไปนี้คงต้องทำอาหารให้เขาบ่อยๆ วันละสามมื้อ ดังนั้นคูปองเนื้อนี้ต้องห้ามขาด

เมื่อซื้อคูปองแล้ว หลินม่ายก็เดินตรงไปที่ตลาดขายผักของรัฐ และได้พบกับพนักงานขายเนื้อที่ขายกระดูกหมูและลำไส้ให้เธอเมื่อปีก่อน

พลันหลินม่ายก็มีความคิดขึ้นมา

เห็นได้ชัดว่าวันนี้หลูจู่ของเธอน่าจะไม่พอขาย และอาจจะซื้อเครื่องในหมูและปอดหมูไม่เพียงพอสำหรับการทำหลูจู่ในวันพรุ่งนี้

คิดแล้วจึงลองถามพนักงานขายดู ว่าเขาจะสามารถหาเครื่องในหมูและปอดหมูมาขายให้เธอได้หรือไหม

ตราบใดที่ส่วนผสมพวกนี้เพียงพอ พรุ่งนี้เธอก็สามาถทำหลูจู่ได้เพียงพอต่อการขาย มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกที่ข้างบ้านจะลอกเลียนแบบกิจการของเธอ

หลินม่ายเลือกเนื้อขาหลังจำนวน 750 กรัม แล้วถามคนขายเบาๆ “พี่ชาย ฉันขอลำไส้ใหญ่หมู ลำไส้เล็กหมู แล้วก็ปอดหมู 3 ชุดได้ไหมคะ พรุ่งนี้ฉันจะเข้ามาเอา”

พนักงานเหลือบมองเธอ “จ่ายเงินก่อน”

หลินม่ายรู้ว่าเขาเคยถูกคนรู้จักหลอกมาก่อน ดังนั้นเธอจึงตอบตกลง

“ไม่มีปัญหาค่ะ แต่ฉันอยากรู้ว่าคุณขายพวกลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก แล้วก็ปอดหมูนี่ยังไง”

พนักงานขายมองมาที่เธอแล้วพูดว่า “ผมจำคุณได้ คุณเคยซื้อไส้หมูจากผม แต่ก่อนขายให้คุณครึ่งกิโล 2 เหมา ตอนนี้ยังเป็นราคาเดิม ปอดหมูคู่ละ 1 หยวน”

เมื่อได้ยินราคา หลินม่ายก็พลันรู้สึกไม่อยากได้

“คราวก่อนที่ฉันซื้อไส้หมูจากคุณ ฉันไม่รู้ว่ามันแพงขนาดนี้ คราวนี้คุณจะขายให้ฉันราคาแพงขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ฉันซื้อเครื่องในหมูจากคนอื่นชุดละ 1.5 หยวน ปอดหมูคนอื่นเขาแถมให้ฉันฟรี แน่นอนว่าคุณคงแถมให้ฉันไม่ได้ แต่ฉันก็จะไม่ยอมเสียคู่ละ 1 หยวนเหมือนกัน”

เครื่องในหมูเป็นของที่ขายไม่ออก ก็เพราะว่าทางสมาคมเนื้อสัตว์ไม่ยอมขายให้คนนอก แต่ขายในราคาถูกให้กับพนักงานภายใน ทั้งชุดนั้นขายแค่ 1 หยวนเท่านั้น

ไม่มีใครต้องการปอดหมู ดังนั้นพนักงานภายในคนไหนที่ต้องการ ก็ได้จ่ายเงินเพียง 2 เหมาเท่านั้น

พนักขายเห็นว่าหลินม่ายถูกเขาหลอกขายไส้หมูไปในครั้งที่แล้วก็อยากจะฟันราคาเพิ่ม แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเธอจะรู้ราคาตลาดจนจับทางได้แล้ว

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เครื่องในหมูชุดละ 1.5 หยวน ฉันลดให้อีกไม่ได้แล้ว ให้ได้แค่ชุดละ 2 หยวน ปอดหมูก็คู่ละ 5 เหมา”

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าเขายอมอ่อนข้อให้ ก็ค่อยๆพูดกับเขา “ขายเครื่องในหมูให้ฉัน 1.5 หยวนแล้วกันค่ะ อย่าพูดว่าคุณขายไม่ได้ ถ้าคนอื่นเขาซื้อได้คุณก็ควรจะขายให้ได้ ก็แค่รายได้น้อยลงเท่านั้นเอง แต่ถ้าคุณคิดแบบนี้ หลังจากนี้ฉันจะมาซื้อของกับคุณทุกวัน ซึ่งเท่ากับว่าคุณมีรายได้คงที่ ลองคิดดูแล้วกัน”

หากทุกวันเขามีของในมือ ตอนที่เธอต้องการเครื่องในหมู 3 ชุด กับปอดหมู แบบนี้เขาก็สามารถมีรายได้จากผู้หญิงผิวคล้ำคนนี้แล้ววันละ 2 หยวน

เดือนๆหนึ่งก็ได้แล้ว 60 หยวน สูงกว่าเงินเดือนตัวเองอีก ยังจะต้องคิดอะไรอีก รีบรับปากเข้า

ถ้าคุณรับประกันว่าจะซื้อของทุกวัน แล้วเอาเครื่องในหมูและปอดหมู 3 ชุดขึ้นไป ผมจะให้ราคานี้กับคุณ

หลินม่ายยิ้ม “แบบนี้ไม่เชื่อใจฉันหรอ?งั้นฉันจะมัดจำไว้ก่อน 5 หยวน ถ้าวันพรุ่งนี้ฉันไม่มาเอาของ ไม่บอกคุณล่วงหน้า ก็ริบเงินมัดจำไป คุณว่าไง?”

เพราะว่ามีเงินมัดจำแล้วเลยไม่ต้องกลัว พนักงานคนนั้นจึงรีบตอบตกลง

หลินม่ายนำเงินออกมา 5 หยวนให้กับพนักงานคนนั้น ณ จุดขาย ก่อนที่พนักงานจะเขียนใบเสร็จรับเงินให้กับเธอด้วย

ในตอนเช้าที่เถ้าแก่ฉีมาส่งหอมแดง ก็ยังส่งผักชีกับคื่นช่ายอีกด้วย หลินม่ายวางแผนที่จะใช้ผักทั้งสองชนิดนี้ผสมกับเนื้อหมูเพื่อทำเกี๊ยว

ก่อนถึงประตูร้านก็ได้กลิ่นน้ำมันหมูลอยออกมาจากด้านใน เธอจึงรู้ว่าโจวฉายอวิ๋นใช้มันหมูที่เธอซื้อมาในตอนเช้าเจียวน้ำมันหมู

เมื่อเข้าไปในห้องครัวก็เห็นโจวฉายอวิ๋นเจียวน้ำมันหมูเพิ่งเสร็จ กำลังตักกากหมูรอบสุดท้ายขึ้นมาจากหม้อเพื่อสะเด็ดน้ำมัน

อุ้งมือน้อยๆ ทั้งสองข้างของโต้วโต้วเกาะขอบเตาแน่น กระพริบตาปริบๆ รอกินกากหมูที่เพิ่งจะเจียวใหม่ออกจากหม้อ

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “กากหมูนี้หนูกินไม่ได้ ต้องเก็บไว้ทำเกี๊ยวนะ”

หลินม่ายกล่าว “ให้หล่อนกินครึ่งถ้วยเล็กๆก็ได้ ฉันซื้อเกี๊ยวเนื้อกลับมาด้วย”

จากนั้นโจวฉายอวิ๋นใส่กากหมูในถ้วยเล็กๆ แล้วโรยเกลือเล็กน้อยให้โต้วโต้วกิน

ก่อนหันกลับมาแล้วบ่นกับหลินม่าย “ถ้าฉันรู้ว่าเธอจะออกไปซื้อเนื้อมาทำเกี๊ยว ฉันน่าจะห้ามเธอไว้ เธอก็รู้ว่าฉันจะเจียวน้ำมันหมู คงเจียวได้กากหมูไม่น้อย เธอยังจะซื้อเนื้ออีกนะ! ”

ว่าแล้วก็ใช้ทัพพีเคาะหม้อใบใหญ่ที่ใส่กากหมูไว้ “ยังมีกากหมูเหลืออีกมาก ทำยังไงดีนะ?”

หลินม่ายไม่ได้สนใจ “พรุ่งนี้เช้าห่อเกี๊ยวผักดองกับกากหมูที่เหลือดีไหม? กากหมูวางไว้คืนหนึ่งจะเสียไหม”

เมื่อคิดแล้วว่าเกี๊ยวต้มจะกลายเป็นก้อนได้ง่าย หลินม่ายจึงเลือกเกี๊ยวนึ่ง

นึ่งเกี๊ยวเสร็จ ก็ปาเข้าไป 5 โมงครึ่งแล้ว ได้เวลากินข้าวเย็นพอดี

หลินม่ายหวังว่าจะนำเกี๊ยวไปให้ฟางจั๋วหรานทันที แต่โจวฉายอวิ๋นบอกว่ากินเสร็จแล้วค่อยเอาไปให้

หลินม่ายก็ไม่กล้าเอาไปให้ก่อนแล้วค่อยกิน เพราะกลัวว่าโจวฉายอวิ๋นจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอชอบฟางจั๋วหราน

แม้ว่าในใจเธอจะชอบเขามาก แต่ก็กลัวว่าคนอื่นจะรู้

คิดไม่ถึงเลยว่าการได้เกิดใหม่อีกครั้งแล้วจะได้มีความรู้สึกเช่นสาวน้อยแบบนี้

ตอนกินเกี๊ยว โจวฉายอวิ๋นให้หลินม่ายใช้น้ำมันงาใส่ซอสเปรี้ยวเพื่อทำน้ำจิ้มง่ายๆสำหรับกินกับเกี๊ยว

มีน้ำมันงาทั้งหมดสามชั่ง ทำให้หลินม่ายรู้สึกเสียดาย แต่ก็ยังทำตามที่โจวฉายอวิ๋นบอก ด้วยการใช้น้ำมันงากับซอสเปรี้ยวผสมกัน แต่ใช้น้ำมันงาเพียง 3 หยด

เมื่อกินเกี๊ยวเสร็จ หลินม่ายก็บรรจุเกี๊ยวนึ่งลงในกล่องอะลูมิเนียมจนเต็ม จากนั้นใช้ถ้วยขนาดเล็กเพื่อเตรียมน้ำจิ้ม ใส่น้ำมันงาและซอสเปรี้ยว แล้วก็นำไปให้ฟางจั๋วหราน

เมื่อเห็นว่าเธอใช้น้ำมันงามาก โจวฉายอวิ๋นก็บ่น “ทำให้พวกเรานี่งกเชียวนะใส่อยู่ไม่กี่หยด ทำให้ศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานกิน น้ำใจล้นเหลือ ให้น้ำมันงาเยอะเชียว”

หลินม่ายเหลือบมองหล่อน “เธอไม่พูดหน่อยล่ะว่าเขาน่ะช่วยเหลือพวกเราตั้งเยอะ?”

โจวฉายอวิ๋นยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ไม่พูด

ตอนที่หลินม่ายเอาเกี๊ยวไปให้ เธอก็เห็นพยาบาลสาวสวยหลายคนพูดคุยหัวเราะอยู่รอบๆ ฟางจั๋วหราน ดวงตาของพยาบาลทุกคนเต็มไปด้วยดาวดวงเล็กๆเปล่งประกาย

หลินม่ายถอนหายใจด้วยความละอายอย่างเงียบๆ ผู้ชายที่เพรียบพร้อมมักตกเป็นเป้าของสาวๆ แบบนี้สินะ

พยาบาลชื่อโหมวตานที่หยุดซักถามเธออยู่ตรงมุมบันไดในตอนนั้นก็อยู่ตรงนั้นด้วย

หล่อนเป็นคนแรกที่เห็นหลินม่าย จึงเดินเข้ามาหาเธอแล้วถามอย่างเย่อหยิ่ง “ศาสตราจารย์ฟางขอให้เธอนำอาหารมาส่งอีกแล้วหรอ?”

“เกี๊ยวนึ่งค่ะ” หลินม่ายมอบสิ่งของที่อยู่ในมือให้ฟางจั๋วหราน พยักหน้าแล้วรีบผละออกไป

“อย่าเพิ่งรีบสิ ผมมีอะไรจะให้คุณ” ชายหนุ่มเรียกเธอแล้วไปที่ห้องพักของตน ก่อนออกมาพร้อมกับกล่องกระดาษในมือ

หลินม่ายรู้สึกหนักอึ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาถือกล่องกระดาษออกมา แล้วถามว่า “มีอะไรอยู่ข้างในเหรอคะ?”

“เชอร์รี่ ครอบครัวของผู้ป่วยให้มาน่ะ”

เนื่องจากทักษะทางการแพทย์ของเขา ทำให้บ่อยครั้งครอบครัวของผู้ป่วยมักจะมอบสิ่งของให้แก่เขาเพื่อเป็นการขอบคุณ

ไม่ต้องพูดถึงเชอร์รี่ในยุคนี้ แม้จะผ่านไปสองสามทศวรรษแล้ว ก็ยังเป็นผลไม้ที่ค่อนข้างแพง

เธอมอบเกี๊ยวให้เขาหนึ่งกล่อง แต่เมื่อต้องแลกกับเชอร์รี่จำนวนหนึ่ง หลินม่ายก็รู้สึกเกรงใจจึงปฏิเสธ “ทำไมคุณถึงให้ฉันล่ะคะ? คุณเก็บไว้กินเองเถอะค่ะ”

“ผู้ชายที่ไหนชอบกินผลไม้”

หลินม่ายเห็นว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงต้องขอบคุณเขาแล้วกอดเชอร์รี่ไว้ในอ้อมกอด

โดยไม่รู้ตัวเลยว่าโหม่วตานกำลังจ้องมองเธออย่างไม่พอใจ

ตอนที่ฟางจั๋วหรานได้รับกล่องเชอร์รี่ โหม่วตานได้หยิบเชอร์รี่ขึ้นมาด้วยความสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้ให้อะไรกับหล่อน ทว่าตอนนี้เขามอบมันให้หญิงสาวผิวคล้ำคนนั้นทั้งกล่อง

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เริ่มเลยยยย มนต์รักกล่องข้าวสินะ

คนที่ไม่ใช่ยังไงเขาก็ไม่มอบให้น่ะจ้ะโหม่วตาน

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 110 อย่าโพล่งออกมาแบบนั้น

ขณะที่สองสาวกำลังคุยกันอยู่ ป้าหูข้างบ้านก็ตีฆ้องเสียงดังแล้วเริ่มป่าวประกาศ “ข้าวผัดไข่จ้า ราคาชามละ 2 เหมา 5 เฟิน!”

โจวฉายอวิ๋นโกรธจนสบถออกมา “ให้ตาย บ้าไปแล้ว!”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เราไปกันเถอะ เอาซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่ไปวางหน้าร้านกัน”

ทันทีที่ซุปกระดูกหมูและหลูจู่ถูกยกมาวาง กลิ่นหอมหวนของอาหารก็โชยไปทั่ว

ลูกค้าหลายคนที่มาทางนี้เพราะเสียงฆ้องเริ่มเปลี่ยนใจมามองซุปเหล่านี้แทน พากันเริ่มถามว่า “แม่ค้า ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่นี่ขายยังไง”

“ซุปหัวไชเท้าชามละ 2 เหมา ส่วนหลูจู่ชามละ 3 เหมาค่ะ”

“แล้วจานหลักล่ะ”

“เป็นข้าวผัดไข่ค่ะ”

“ราคาเท่าไร”

“ชามละ 3 เหมาเหมือนกันค่ะ”

ลูกค้าบางคนเริ่มไม่พอใจ “ร้านข้าง ๆ ขายแค่ 2 เหมา 5 เฟินเอง แล้วร้านนี้ขาย 3 เหมา มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ”

หลินม่ายยิ้มแล้วอธิบายเหตุผล “นาฬิกาข้อมือของฮั่นโขวราคาเรือนละ 30 กว่าหยวน ในขณะที่นาฬิกาของเซี่ยงไฮ้เรือนละ 50 หยวน คุณคิดว่าอะไรทำให้ราคาแพงกว่าล่ะคะ?”

ลูกค้าจึงถามต่อ “แล้วอะไรที่ทำให้ข้าวผัดของเธอแพงกว่าล่ะ?”

“ก็ต้องเป็นเรื่องรสชาติอยู่แล้วค่ะ” หลินม่ายชี้ไปที่ชามซอสพริกบนโต๊ะ “ถ้าคุณสั่งเมนูข้าวผัดไข่น้ำมันหมูแล้วชอบกินรสจัด ก็สั่งเติมซอสพริกอันนี้ได้หนึ่งช้อน รับรองว่ารสชาติอร่อยเข้ากันมากเลย”

ลูกค้าอีกคนเริ่มถามบ้าง “แล้วถ้าไม่อยากกินเผ็ด ไม่เอาซอสพริก จะขายแค่ 2 เหมา 5 เฟินหรือเปล่า?”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ”

และหญิงสาวเสริมขึ้นอีกว่า “หรือถ้าคุณไม่อยากรับข้าวผัดก็ซื้อข้าวเปล่า 2 ถ้วย ราคา 1 เหมา 2 เฟิน ไปกินกับซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูหรือหลูจู่ก็ได้”

หากร้านข้าง ๆ มาลอกเลียนแบบ เธอก็สามารถพลิกแพลงมันไปให้เป็นรูปแบบใหม่ได้ทันทีเช่นกัน

ลูกค้าบางคนสนใจแค่ซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูและหลูจู่เท่านั้น

เมื่อได้ยินว่าสามารถสั่งเพียงข้าวเปล่ามากินกับซุปหรือหลูจู่ได้เลย พวกเขาก็รีบสั่งข้าวสองถ้วยและหลูจู่หนึ่งชามทันที

แม้ว่าหลูจู่จะทำมาจากเครื่องในหมู แต่กลิ่นน้ำซุปและเครื่องเทศนั้นหอมมากจนทำให้หลายคนน้ำลายสอ

บางคนที่มีงบน้อยก็สามารถสั่งเพียงซุปไชเท้ากระดูกหมูกินแก้หิวได้เช่นกัน

ส่วนคนที่ชอบรสจัดก็สนใจซอสพริกที่หลินม่ายเอามาแนะนำมาก สั่งข้าวผัดแบบเพิ่มซอสพริกลงไปมากินกัน

ข้าวผัดไข่น้ำมันหมู พอเติมซอสพริกรสชาติจัดจ้านลงไปก็อร่อยเข้ากันดีมาก คุ้มค่ากับเงิน 5 เฟินที่ต้องจ่ายเพิ่ม

ข้าวผัดไข่แบบไม่เติมซอสพริกก็ยังขายได้ในราคา 2 เหมา 5 เฟิน ทำให้ข้าวผัดของป้าหูเทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย

แถมหลินม่ายยังมีซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับหลูจู่เป็นไม้ตายเด็ด

ศึกระหว่างร้านอาหารทั้งสองในตอนเที่ยงได้ผลว่าฝ่ายป้าหูพ่ายแพ้ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ทำเอาหล่อนโกรธจนหน้ามืด

ฟางจั๋วหรานรีบมาที่ร้านหลังเสร็จงานตอนเที่ยง ก็เห็นว่าร้านของหลินม่ายกับร้านของป้าหูดูแตกต่างจากตอนเช้ามาก

ร้านของหลินม่ายกำลังเป็นที่สนใจ ส่วนร้านป้าหูกลับเงียบเหงา ทำให้ความรู้สึกกังวลในตอนเช้าของเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง

ชายหนุ่มตรงเข้าไปที่ร้านของหลินม่ายแล้วสั่งเมนูหลูจู่หนึ่งชามกับข้าวผัดไข่

หลินม่ายลังเลเล็กน้อย “มันจะไม่แปลกใช่ไหมที่ศัลยแพทย์อย่างคุณจะกินเครื่องในตุ๋น?”

เธอแอบกลัวว่าคุณหมออย่างเขาจะคิดถึงอวัยวะภายในเมื่อกินเครื่องในหมูเหล่านี้

เพราะเขาเป็นศัลยแพทย์ น่าจะต้องได้เห็นอวัยวะภายในอยู่ทุกวัน

เธอกังวลว่าเขาจะรู้สึกไม่ดี เพราะหลินม่ายอยากให้เขาได้กินอาหารที่ตัวเองทำอย่างมีความสุขทุก ๆ มื้อ

ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็ไม่เข้าใจนิดหน่อย “มันแปลกตรงไหน ผมสั่งเครื่องในหมูตุ๋น ไม่ใช่อวัยวะภายในของคนซักหน่อย”

คำพูดของเขาทำให้ลูกค้าหลายคนที่กำลังกินอยู่ถึงกับสะดุ้ง และบางคนเริ่มลังเลที่จะซื้อหลูจู่

หลินม่ายแอบคร่ำครวญอยู่ในใจ โธ่คุณหมอ อย่าโพล่งออกมาแบบนั้นได้ไหมคะ~

หลินม่ายผัดข้าวผัดไข่ให้คุณหมอหนุ่ม เธอไม่เพียงแค่ใส่น้ำมันหมูให้มากเป็นพิเศษแต่ยังเติมไข่เพิ่มให้เขาอีกหนึ่งฟองด้วย

ลูกค้าที่เพิ่งมาใหม่และสั่งข้าวผัดไข่เหมือนกันเห็นหลินม่ายถือชามที่มีไข่มากเป็นพิเศษก็ถามด้วยความสงสัย “ทำไมชามนี้มีไข่เยอะจัง”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “คุณสามารถสั่งแบบเพิ่มไข่พิเศษได้เพียงจ่ายเพิ่มแค่ 1 เหมาเท่านั้น”

ลูกค้าไม่มีทางเลือกเลยได้แค่ถือข้าวผัดไข่ของตัวเองเข้าไปในร้านและหาที่นั่งกินอย่างเงียบ ๆ

ฟางจั๋วหรานกินมื้อกลางวันที่เรียบง่ายแต่แสนอร่อยเรียบร้อยก็เอ่ยชมเธอทิ้งท้าย “ทำหลูจู่อร่อยมากเลย”

หลินม่ายแอบกระซิบกับเขา “ยังขาดเครื่องเทศอีกสองสามอย่างค่ะ ไม่งั้นจะอร่อยกว่านี้อีก”

ฟางจั๋วหรานจะถามเธอต่อว่ายังขาดเครื่องเทศอะไรอีก แต่เพราะเห็นว่ามีลูกค้าจำนวนมากอยู่ด้วย เขาเลยคิดว่าคงยังไม่สะดวกนัก

เพราะกลัวว่าจะเผลอไปเผยสูตรอาหารของเธอเข้า เขาจึงให้หญิงสาวจดของที่ต้องการเพิ่มมาให้แทน

ถึงเขาจะเป็นหมอ แต่ก็รู้ดีว่าสูตรอาหารของแต่ละร้านเป็นความลับเฉพาะที่บอกใครไม่ได้

ชายหนุ่มกล่าวขึ้นอีกครั้ง “คืนนี้ผมต้องค้างที่นี่อีกแล้ว ช่วยเตรียมมื้อเย็นเผื่อไว้หน่อยนะ”

หลินม่ายตอบรับอย่างยินดี

ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเธอยังอายุน้อยอยู่หรือเปล่า เสียงตอบรับนั้นถึงสดใสราวกับเสียงของกระดิ่งเงินต้องลม ทำเอาชายหนุ่มรู้สึกสดชื่นตามไปด้วย

ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมูอย่างละคู่ เพียงพอสำหรับทำหลูจู่ไม่ได้เยอะมาก ขายได้ประมาณ 30 ชามเท่านั้น

โชคดีที่ข้าวสวยจำนวนมากขายออกไปพร้อมกับหลูจู่และซุปไชเท้ากระดูกหมู ทำให้การขายอาหารกลางวันของวันนี้จบลงตั้งแต่ก่อนบ่ายสอง

ทั้งคู่ช่วยกันปิดร้าน โจวฉายอวิ๋นแอบมองไปยังร้านข้าง ๆ ด้วยความโล่งอก

ป้าหูและลูกน้องยังคงตะโกนขายของอย่างหนักในตอนนี้

หลังจากเก็บของแล้ว โจวฉายอวิ๋นก็เริ่มกังวล “พรุ่งนี้ยัยแม่มดเฒ่าข้างบ้านคงเริ่มเคี่ยวซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูกับทำหลูจู่ออกมาขายอีกแน่เลย”

หลินม่ายกลับไม่ได้ดูร้อนใจ “ฉันมีเคล็ดลับเฉพาะตอนที่ทำซุปกับหลูจู่ ถึงข้างบ้านจะพยายามลอกเลียนแบบยังไงก็ไม่มีทางทำได้เหมือนแน่นอน รสชาติก็ไม่ดีเท่าของเรา ต่อให้ทำได้ก็เรียกแขกได้ไม่เยอะหรอก”

ฉายอวิ๋นก็ยังไม่วางใจอยู่ดี “แต่ยัยป้านั่นก็ลดราคาเก่งเหลือเกิน ถึงยังไงอาหารชนิดเดียวกันที่ราคาถูกกว่า ลูกค้าก็ต้องสนใจมากกว่าอยู่แล้ว”

หลินม่ายโบกมือไปพลางอธิบาย “ปล่อยให้ลดราคาไปเลย ร้านอาหารต้องอาศัยลูกค้าบอกกันแบบปากต่อปาก ถ้าส่วนผสมของเราดี อาหารอร่อย บริการก็ดี มีชื่อเสียงที่ดี ไม่ว่าราคาสูงกว่ายังไงก็ยังมีคนตามมากิน อย่างแผ่นเต้าหู้เหล่าทงเฉิงที่ราคาแพงมากแต่ก็ยังมีคนต่อคิวรอกิน นั่นก็เพราะปากต่อปากนี่แหละ”

โจวฉายอวิ๋นแอบเคืองขึ้นมา “กว่าปากต่อปากที่ว่าจะเห็นผล ต้องใช้เวลาอีกนานมากเลยนะ”

หลินม่ายรีบต่อ “แล้วมีร้านเก่าแก่อายุร้อยปีร้านไหนที่ไม่มีชื่อเสียงบ้างล่ะ?”

หลังจากจัดแจงทำความสะอาดเครื่องครัวอุปกรณ์ต่าง ๆ เรียบร้อย โจวฉายอวิ๋นก็ผัดกวางตุ้งฮ่องเต้สองต้นกับตุ๋นปลาเกล็ดเงินเป็นอาหารกลางวันแบบง่าย ๆ

แม้ว่าโต้วโต้วจะกินข้าวต้มมาแล้วก่อนหน้านี้ แต่เด็กน้อยก็ยังกินมื้อกลางวันต่อได้เป็นปกติ

โจวฉายอวิ๋นแกะเนื้อท้องปลาเอาก้างออกแล้วส่งให้เธอ

หลินม่ายนึกถึงฟางจั๋วหรานที่ต้องทำงานทั้งคืนในคืนนี้และอาหารเย็นที่เขาขอให้เตรียมให้

หลังจากกินมื้อกลางวันและงีบหลับไปสองชั่วโมง หญิงสาวก็ไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองเนื้อสัตว์ และวางแผนจะไปที่ตลาดของรัฐเพื่อซื้อเนื้อสัตว์มาทำอาหารที่มีประโยชน์ให้เขากิน

การเข้าเวรดึกกินพลังงานมากทั้งร่างกายและจิตใจ เขาควรจะได้กินของดี ๆ บำรุงเสียหน่อย

หญิงสาวซื้อเนื้อหมูในตอนบ่าย และจะไม่ซื้อมันจากตลาดมืด

แผงขายเนื้อสัตว์ในตลาดมืดเป็นแบบเปิดโล่ง ช่วงนี้อากาศร้อน บ่าย ๆ แบบนี้หมูจะไม่สดแล้ว

ต่างจากตลาดของรัฐที่เป็นตลาดแบบปิด อยู่ในร่มตลอดเวลา แม้ว่าเนื้อหมูตอนบ่ายจะไม่สดเท่าตอนเช้าแล้ว แต่ก็ดีกว่าหมูที่ซื้อจากแผงแบบเปิดในตลาดมืดอยู่มาก

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พี่หมออย่าพูดอย่างงั้นสิ จะไล่ลูกค้าออกจากร้านม่ายจื่อเหรอ

ดูเอาใจใส่พี่หมอมากเลยนะคะ รู้ตัวไหมเนี่ยม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 109 อยากจะคิดการใหญ่

หลินม่ายยกนิ้วให้กับผู้ช่วยทั้งสองอย่างยินดี “ทุกคนเก่งมาก ขนาดมีคู่แข่งแบบนี้ยังขายของหมดก่อนเวลาได้อีก มีพรสวรรค์นะเนี่ย!”

โจวฉายอวิ๋นยกเตาเข้ามาพร้อมเอ่ยต่อ “พรสวรรค์อะไรกัน ก็ร้านข้าง ๆ ทั้งลดแลกแจกแถม ไม่ทันไรก็ขายหมด หลังจากนั้นลูกค้าก็เลยมาซื้อของเราไม่ใช่เหรอ?”

เมื่อเห็นว่าของถูกขายไปจนหมดแล้ว หลินม่ายก็ให้เสี่ยวลี่เลิกงานได้ ขณะที่เธอและฉายอวิ๋นก็เริ่มเข้าครัวเพื่อเตรียมของต่อด้วยกัน

โจวฉายอวิ๋นรับหน้าที่ล้างหม้อนึ่งที่ใช้เสร็จแล้ว ถังไม้ อุปกรณ์ต่าง ๆ บนโต๊ะ ส่วนหลินม่ายก็เริ่มเอาปอดหมูกับเครื่องในต่าง ๆ ที่อยู่ในอ่างมาล้างทำความสะอาด

เครื่องในหมูเป็นวัตถุดิบที่ต้องทำความสะอาดอย่างดีถึงจะสามารถขจัดกลิ่นคาวที่ไม่พึงประสงค์ออกไปได้ ถ้ายังมีกลิ่นเหล่านี้อยู่ลูกค้าก็จะไม่อยากกิน

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนช่างพูด แม้ว่ามือจะกำลังทำงานอยู่ก็ยังสามารถเล่าเรื่องระหว่างขายของที่ร้านตอนหลินม่ายไม่อยู่ให้ฟังได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

เพราะป้าหูขายซาลาเปาแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ทำให้ไม่ได้มีแค่ลูกค้าที่สนใจ แม้แต่เพื่อนบ้านเองก็ออกมาดูด้วย

ยายคนหนึ่งในละแวกนี้รีบมาซื้อซาลาเปาลดราคานั่น แต่ถูกฝูงชนเบียดเสียดจนล้มลงแล้วยังโดนเหยียบไปหลายครั้ง

“ถึงกับเหยียบกันเลยเหรอ” หลินม่ายถามอย่างตกใจ

ชาติที่แล้วเธอเคยเห็นในอินเตอร์เน็ตว่ามีคนแก่จำนวนมากแย่งกันซื้อไข่ที่ซุปเปอร์มาเก็ตจนเกิดเหตุชุลมุน มีคนเสียชีวิตในตอนนั้นด้วย

ผู้บาดเจ็บมีอายุมากแล้ว จึงทำให้ทนพิษบาดแผลไม่ไหว

“แล้วยายเป็นอะไรมากหรือเปล่า” หลินม่ายถามต่อ

โจวฉายอวิ๋นมีท่าทางไม่แน่ใจ “ฉันได้ยินว่าแกโดนเหยียบจนซี่โครงหักนะ ยายเขาพูดไว้ว่าอย่างนั้น”

“แล้วสุดท้ายทำยังไง”

โจวฉายอวิ๋นวางซึ้งไม้ไผ่ที่ล้างแล้วลงบนเตาเพื่อสะเด็ดน้ำพร้อมเล่าไปด้วย “จะทำยังไงได้ ก็ต้องจ่ายค่ารักษาให้คนเจ็บน่ะสิ”

คำตอบนั้นทำเอาหลินม่ายประหลาดใจขึ้นมา “นึกไม่ถึงว่าป้าบ้านข้าง ๆ ก็รู้จักมีเหตุผลกับเขาด้วย คิดว่าจะไม่ยอมรับผิดชอบเพราะทุกอย่างเกิดจากลูกค้าไม่เกี่ยวกับตัวเองซะอีก”

“ยัยป้านั่นน่ะเหรอจะยอมเอง?…มองในแง่ดีเกินไปแล้ว! ครอบครัวของยายคนนั้นมาเอาเรื่องถึงที่ ขู่จะทำลายข้าวของในร้านต่างหาก ยัยแม่มดเฒ่านั่นถึงได้ยอมจ่ายเงิน!”

โจวฉายอวิ๋นแอบสะใจเล็กน้อยที่ป้าหูถูกครอบครัวของคนเจ็บทำให้อับอาย

ส่วนหลินม่ายก็เข้าใจขึ้นมาในทันทีว่าทำไมตอนกลับมาเธอถึงได้รับสายตาโกรธเคืองจากป้าหูขนาดนั้น

คนตรรกะป่วย ๆ แบบนั้นก็คงไม่พ้นที่จะโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอที่ทำให้ต้องเสียเงิน

ถ้าหลินม่ายไม่ขายซาลาเปาได้ดีกว่า หล่อนก็คงไม่ต้องมาใช้กลยุทธ์นี้ในการเอาชนะ

แล้วก็คงไม่มีใครต้องเจ็บตัว

ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยป้านั่นลืมไปหรือเปล่าว่าเป็นหลินม่ายที่เปิดร้านซาลาเปามาก่อน

โจวฉายอวิ๋นยังคงรอที่จะซ้ำเติมในความซวยของป้าข้างบ้าน “ยัยป้านั่นเจอเรื่องไปขนาดนั้น ฉันจะรอดูว่าพรุ่งนี้จะยังกล้าลดแลกแจกแถมแบบนั้นอีกไหม!”

หลินม่ายทำความสะอาดขั้วปอดและท่อทั้งหมดที่อยู่ในปอดหมูพลางเอ่ยต่อ “ต่อให้วันนี้ไม่ได้มีเรื่องคนเจ็บตัวเข้ามาเกี่ยว การขายแบบนั้นไม่มีทางจะเอามาใช้ได้บ่อย ๆ พรุ่งนี้ก็คงไม่น่าจะขายหนึ่งแถมหนึ่งได้อีก”

คนเป็นพี่ที่ฟังอยู่ยังไม่เข้าใจนัก “ทำไมล่ะ?”

“ใครจะทนขายของแบบเข้าเนื้อตัวเองแบบนั้นได้ทุกวันนอกจากจะเป็นเจ้าของเหมืองทองคำกันล่ะ?”

“ก็จริงนะ” โจวฉายอวิ๋นล้างถังไม้ที่ใช้ใส่โจ๊กอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มเขิน ๆ “ฉันเกือบจะร้องไห้แล้วที่เห็นว่าพวกเขาขายตัดราคา แต่ไม่ได้คิดเลยว่าวิธีพวกนี้คงใช้ได้ไม่นาน”

หลินม่ายส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ “ต่อให้ลูกค้าทั้งหมดเปลี่ยนใจไปกินร้านนั้น ฉันก็ไม่กลัวหรอก ทำไมพี่ถึงขวัญอ่อนขนาดนี้ หรือว่ากลัวฉันจะค้างค่าแรงถ้าขายไม่ดีขึ้นมา?”

“เปล่าหรอก” คนเป็นพี่รีบส่ายหน้า “ฉันแค่กลัวว่าเราจะต้องปิดร้าน แล้วกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่อีกเท่านั้นเอง ฉันไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ต่อให้พยายามทำงานหนักแค่ไหน พ่อแม่ พี่ชายพี่สะใภ้ก็เอาแต่มองว่าฉันอยู่บ้านว่าง ๆ เป็นภาระให้พวกเขา แต่พอมาทำงานที่นี่ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งพาใคร อยู่ได้ด้วยตัวเอง”

หลินม่ายถึงกับแซวขึ้นมา “อะไรเนี่ย พี่จะดูถูกกันเกินไปแล้ว เราเพิ่งจะเปิดร้านนี้ได้ไม่เท่าไร จะรีบให้เจ๊งแล้วงั้นเหรอ”

โจวฉายอวิ๋นยิ้มอย่างเขิน ๆ แล้วเริ่มเปลี่ยนเรื่อง “ฉันแอบเห็นว่าฮวาเจวี่ยนของร้านข้าง ๆ ดูขายดีนะ เรามาลองทำขายดูบ้างดีไหม ในเมื่อเขาลอกเราแล้ว เราก็เอาคืนด้วยการลอกเขาบ้าง”

หลินม่ายเอ่ยปฏิเสธ “อย่าเลย ทำฮวาเจวี่ยนได้กำไรน้อยเกินไป ต้องขายเป็นหลายพันชิ้นต่อวันถึงจะคุ้มนะ”

ไม่ใช่แค่ฮวาเจวี่ยน แม้แต่ข้าวต้มเองก็เป็นของที่กำไรน้อยเหมือนกัน

ต่างกันที่ข้าวต้มยังทำง่ายขายคล่อง

ฮวาเจวี่ยนแต่ละชิ้นกว่าจะทำออกมาขายได้ ต้องทำทั้งผสมแป้ง เอามาม้วนแล้วนึ่ง ถ้าจะให้เพิ่มสองเมนูนี้เข้ามาหลินม่ายขอผ่านดีกว่า

หลังจากทำความสะอาดเครื่องในทั้งหมดดีแล้วหญิงสาวก็เริ่มทำการหมักพวกมันด้วยเครื่องหลูจู่*แบบปักกิ่ง

*หลูจู่ พะโล้เครื่องในแบบปักกิ่ง มีไส้หมู ปอดหมู เต้าหู้ ต้มในน้ำพะโล้ โรยผักชีเล็กน้อย

จากนั้นก็ต้มผสมกับซุปกระดูกหมูที่เหลือจากเกี๊ยวเมื่อเช้ากับน้ำเกลือเพื่อเพิ่มรสชาติ เธอวางแผนจะขายหลูจู่ชามละ 3 เหมา แบบไม่มีแป้งทอด

ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมู ถูกปรุงเรียบร้อย ส่งกลิ่นหอมเครื่องเทศเฉพาะตัวจนโจวฉายอวิ๋นที่กำลังหุงข้าวอยู่อดไม่ได้ที่จะตั้งใจดมกลิ่นแล้วเอ่ยชมออกมา “หอมน่ากินมากจริง ๆ “

หลินม่ายเหลือบมองพี่สาวแล้วแอบแหย่ “ไหนเมื่อเช้าใครบอกว่าไม่น่ากินคะ”

โจวฉายอวิ๋นรีบตอบเพื่อแก้ตัว “ถึงจะหอมมากแต่ก็ต้องลองชิมก่อน รสชาติก็อีกเรื่องหนึ่งนะ”

หลินม่ายตักปอดหมูชิ้นเล็ก ๆ ที่ตุ๋นในน้ำซุปจนได้ที่แล้วให้เธอ “ไหนลองบอกซิว่าอร่อยไหม?”

ปอดหมูชิ้นนั้นถูกส่งเข้าปาก คนชิมถึงกับเบิกตาด้วยความประหลาดใจ “หอมอร่อยมากจริง ๆ ด้วย ไม่คาวเลย”

โต้วโต้วตามกลิ่นอาหารเข้ามาถึงในครัว เมื่อเห็นอาการของฉายอวิ๋นก็รีบกระโดดขึ้นลงแล้วตะโกนว่า “แม่ขา แม่ขา ขอหนูลองกินหน่อย หนูอยากกินด้วย”

หลินม่ายหันไปหั่นไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมูที่ตุ๋นจนได้ที่ลงไปในถ้วย ราดด้วยน้ำซุปร้อน ๆ โรยผักชีลงไปแล้วยกไปที่โต๊ะอาหารเพื่อเอาให้เด็กน้อยลองชิม

ทุกอย่างถูกเตรียมจนพร้อมตอนสิบเอ็ดโมง หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นก็เริ่มขายเมนูกลางวันของวันนี้

โจวฉายอวิ๋นสะกิดหลินม่ายแล้วโบกมือให้มองไปด้านข้าง

เธอหันไปเห็นป้าหูและลูกน้องกำลังเริ่มตั้งร้านด้วย

ดูจากวัตถุดิบแล้วน่าจะเป็นข้าวผัดไข่เหมือนกัน

โจวฉายอวิ๋นกลอกตา “น่ารำคาญชะมัด จะลอกให้หมดทุกอย่างเลยงั้นสิ”

หลินม่ายชี้ไปรอบ ๆ “แถวนี้ยังมีบ้านอีกหลายสิบหลังที่พร้อมจะขายของตามเราถ้าเห็นว่าเราทำเงินได้ดี ถ้าตอนนั้นพวกเขาจะเริ่มขายซาลาเปากับข้าวผัดไข่เหมือนกัน พี่จะรับไม่ได้งั้นเหรอ เอาเป็นว่าอย่าไปใส่ใจเลยดีกว่านะ”

โจวฉายอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างขุ่นเคือง “แบบนั้นเราก็ได้กำไรน้อยลงน่ะสิ?”

“เอาน่า ถึงจะได้เงินน้อยลงแต่ก็ยังไม่ได้ไปเป็นลูกจ้างใครนะ”

หลินม่ายยังคงมั่นใจอยู่

“ฉันคิดไว้ว่าจะสอนพี่อ่านเขียน ทำบัญชี หลังจากนั้นซักสองเดือนฉันจะยกร้านนี้ให้พี่ดูแล ฉันจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น”

“เธอวางแผนจะไปไหน”

“ฉันก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร” แม้ว่าอะไร ๆ จะยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างแต่หลินม่ายก็ไม่เคยคิดจะทำอยู่แค่ร้านนี้อย่างเดียว

ตอนนี้เธอได้ชีวิตใหม่มาแล้ว ก็อยากจะคิดการใหญ่พาตัวเองไปถึงจุดที่สูงยิ่งกว่านี้

อย่างแรกที่ต้องทำคือสะสมทุน ซื้อห้องแถวซักหลาย ๆ ห้อง รอให้รัฐเวนคืนพื้นที่ แล้วกลายเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน

จากนั้นก็ทำธุรกิจใหญ่ ๆ จากเงินที่ได้มา

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฟังคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมาชาติหนึ่งเถอะค่ะ การโดนก็อปแบบนี้ทำอะไรม่ายจื่อไม่ได้หรอก

อยากกินปอดหมูตุ๋นในน้ำพะโล้เลย ปอดหมูถ้าทำดีๆ ไม่เหม็นคาวแล้วมันอร่อยมากนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 108 ข้างบ้านก็ขายซาลาเปาด้วย

เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มเสียกำลังใจ หลินม่ายก็เริ่มพูดเพื่อแก้สถานการณ์ “ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเปิดร้านของตัวเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า”

โจวฉายอวิ๋นกลับรู้สึกว่านี่มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย “แต่นี่พวกนั้นขายซาลาเปาเหมือนกันเลยนะ ถ้าขายอย่างอื่นก็ยังว่าไปอย่าง”

หลินม่ายจึงถามกลับไปว่า “มันก็ไม่ได้ผิดกฎหมายใช่ไหมล่ะ? อย่าเอาเรื่องคนอื่นมาใส่ใจเลยน่า”

คำตอบนั้นทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างไม่ค่อยพอใจ “บ้าไปแล้วหรือไง โดนขายของแข่งขนาดนี้ ยังจะมาแก้ตัวให้เขาอีก”

หลินม่ายจึงเริ่มต้นอธิบาย “ฉันไม่ได้แก้ตัวให้พวกนั้น แต่ที่จะบอกก็คือ ต่อให้เราไม่พอใจไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงเราก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ที่เราทำได้ตอนนี้ก็คือทำซาลาเปาของเราให้อร่อยกว่าแล้วก็บริการลูกค้าดี ๆ เราจะได้เอาชนะคู่แข่งได้ไงล่ะ”

พออธิบายจบหลินม่ายก็ไปเปิดร้านกับเสี่ยวลี่ที่ด้านหน้า เธอแอบเหลือบมองร้านใหม่ข้าง ๆ พวกเขาไม่ได้มีแค่ซาลาเปา แต่ยังมีไข่ต้มดองซีอิ๊วและข้าวหมากด้วยเหมือนกัน ตั้งใจจะมาเป็นคู่แข่งกันอย่างชัดเจน

เมื่อป้าหูเห็นว่าหลินม่ายมองอยู่ก็ส่งสายตาท้าทายมาให้

แม้ว่าร้านของหลินม่ายจะเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่เพราะความอร่อยคุ้มค่า และยังมีร้านที่ขายของกินแบบนี้อยู่แค่ร้านเดียว ลูกค้าก็เลยติดใจและพากันมาอุดหนุนเรื่อย ๆ

ป้าหูเห็นแบบนั้นจึงเริ่มตะโกนขายของ “ซาลาเปา ซาลาเปานึ่งใหม่ ๆ ร้อน ๆ จ้า”

ลูกค้าประจำที่กำลังจะเข้าร้านของหลินม่ายก็ชะงักแล้วหันไปพูดคุยกันว่า “เอ๊ะ นี่มีซาลาเปาเปิดใหม่อีกร้านนี่”

ป้าหูรีบเรียกลูกค้าอย่างกระตือรือร้น “มาลองชิมซาลาเปาของร้านเราได้นะคะ อร่อยมาก เป็นสูตรของร้านเว่ยเหม่ยไจ ขายมาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ”

แม้ว่าเว่ยเหม่ยไจจะเป็นร้านที่เคยมีชื่อเสียง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนที่นี่เท่าไรนัก ลูกค้าเหล่านั้นส่ายหัวอย่างนึกไม่ออก “ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย”

ลูกค้าจึงเริ่มถามเจ้าของร้านคนใหม่ “ร้านป้ามีอะไรนอกจากซาลาเปาอีกไหม”

ป้าหูรีบตอบไปว่า “มีฮวาเจวี่ยน* หมั่นโถว แล้วก็ข้าวต้มค่ะ”

* ฮวาเจวี่ยน อาหารจีนทำจากแป้ง ไม่มีไส้คล้ายหมั่นโถว แต่มีลักษณะเป็นเส้นแล้วนำมาม้วนเป็นรูปดอกไม้ก่อนนึ่ง

หลินม่ายเริ่มตะโกนขายของบ้าง “ซาลาเปา เกี๊ยวต้ม ข้าวหมากจ้า”

ลูกค้าหันเหความสนใจไปที่เธอทันที “วันนี้มีเกี๊ยวด้วยเหรอ”

หลินม่ายยิ้มหวานแล้วรีบตอบ “มีค่ะ ถ้าวันไหนเห็นว่ามีต้มซุปกระดูกหมูมาตั้งแสดงว่าวันนั้นมีเกี๊ยวต้มนะคะ”

“ไม่ได้กินเกี๊ยวต้มมานานแล้ว” ลูกค้าคนนั้นเดินเข้ามาในร้านของหลินม่ายพร้อมรอยยิ้ม “ขอเกี๊ยวกับซาลาเปาไส้เพ่าฉ่ายนะ”

ป้าหูเห็นแบบนั้นก็โกรธจัดจนหน้าคล้ำ หล่อนจงใจพูดกับลูกน้องเสียงดังให้หลินม่ายได้ยินว่า “พรุ่งนี้ทำเกี๊ยวมาขายด้วย”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็เดินเข้าไปในครัวแล้วบอกให้โจวฉายอวิ๋นลดการทำซาลาเปาลงก่อนเพื่อคอยดูสถานการณ์

ช่วงเวลาที่ลูกค้าจะเข้ามากที่สุดคือตอนเจ็ดโมงครึ่ง หลินม่ายและเสี่ยวลี่ต่างตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามา

ในตอนนั้นเองที่พวกเธอได้ยินเสียงดังเซ็งแซ่มาจากร้านข้าง ๆ ป้าหูตีฆ้องเสียงดังและเริ่มตะโกนขายของ “ซาลาเปาเว่ยเหม่ยไจลดพิเศษ ซื้อซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่หนึ่งลูก แถมซาลาเปาผักลูกโต ๆ อีกหนึ่งไปเลยจ้า”

โจวฉายอวิ๋นที่เริ่มว่างเพราะถูกสั่งให้ลดการทำซาลาเปาก็ออกมาดูที่หน้าร้าน

เมื่อเห็นว่าร้านข้าง ๆ เริ่มลดแลกแจกแถมขนาดนั้นก็โมโหขึ้นมาอีก “ซื้อซาลาเปาเนื้อแถมซาลาเปาผัก นี่คิดจะตัดราคากันงั้นเหรอ”

หลินม่ายรีบตอบอย่างรวดเร็ว “พี่เข้าไปบอกป้าหวังให้ทีว่าหยุดทำซาลาเปาก่อน”

โจวฉายอวิ๋นเดินกลับเข้าไปข้างในด้วยความขุ่นเคืองใจ

ฟางจั๋วหรานมาที่ร้านของหลินม่ายเพื่อกินมื้อเช้าอย่างปกติ เขาเดินผ่านบ้านป้าหูแล้วเห็นว่าป้าหูเองก็ขายซาลาเปาเหมือนกัน

ดูก็รู้ว่าจงใจลอกเลียนแบบกันมาทั้งหมด เพราะมีทั้งซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊ว เขาที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ก็รู้สึกเครียดตามไปด้วย

คนที่ผ่านไปผ่านมาเดินเข้าไปซื้อซาลาเปาที่ร้านป้าหู “ร้านนั่นเพิ่งเปิดใหม่ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง คุ้มมากเลย”

“ที่สำคัญคือไม่หวงเครื่องเลย ลูกใหญ่มากแถมไส้แน่นสุด ๆ “

“จริงเหรอ งั้นฉันจะซื้อไปซักโหลหนึ่งแล้วกัน”

พอเป็นแบบนั้นร้านของหลินม่ายก็เริ่มจะเงียบ ลูกค้าพากันไปที่ร้านข้าง ๆ

ฟางจั๋วหรานเดินมาถึงหน้าร้านของหลินม่ายแล้วสั่งอาหารด้วยรอยยิ้ม “เอาซาลาเปาหมูสับร้อยลูก ซาลาเปาเพ่าฉ่ายร้อยลูก แล้วก็ไข่ต้มดองซีอิ๊วร้อยฟอง”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ลำบากใจ “ฉันเข้าใจว่าคุณอยากจะช่วย เพราะเห็นว่าวันนี้ขายไม่ค่อยดี แต่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ถ้าขายไม่ได้ก็แค่เอาใส่สามล้อออกไปขายข้างนอก ไม่ต้องห่วงนะ”

หญิงสาวทำเกี๊ยวแบบพิเศษเฉพาะให้ชายหนุ่ม แล้วเสิร์ฟให้เขาพร้อมกับซาลาเปาหมูสับสองลูกและไข่ต้มดองซีอิ๊วถึงโต๊ะ

ชายหนุ่มกินมื้อเช้าด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด คล้ายกับว่าตัวเองกำลังได้รับการดูแลจากครอบครัว

หลังจากเสิร์ฟมื้อเช้าให้คุณหมอแล้ว โจวฉายอวิ๋นกับหลินม่ายก็ช่วยกันเอาซาลาเปาที่ทำไว้ใส่ลงไปในถังไม้ยกขึ้นสามล้อ เพื่อเอาออกไปปั่นขายริมถนน

คนเป็นพี่สาวแอบมองไปที่ด้านในร้านก็เห็นว่าคุณหมอหนุ่มกำลังกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข

เธอลดเสียงลงแล้วพูดกับหลินม่ายว่า “เธอไม่ได้ขอให้อาจารย์ฟางช่วยบอกนักเรียนให้มาอุดหนุนซาลาเปาของเราหน่อยเหรอ? วันนี้ซาลาเปาขายได้น้อย ทำไมไม่ลองให้ลูกศิษย์ของเขามาช่วยซื้อ นักเรียนของอาจารย์ก็มีตั้งหลายคน มาแค่ครึ่งเดียวก็ขายหมดแล้ว ยัยป้าหูนั่นคงโกรธจนเป็นบ้า”

หลินม่ายลำเลียงซาลาเปาลงถังไม้พลางตอบไปด้วย “พวกนักศึกษาได้เงินสนับสนุนค่าอาหารของโรงอาหารมหาวิทยาลัย อย่างถ้ากินร้านข้างนอกต้องจ่าย 5 เหมา แต่ถ้าไปกินที่โรงอาหารก็จะได้จ่ายแค่ 2 เหมาเท่านั้น จ่ายแค่ 2 เหมาในโรงอาหารก็ดีอยู่แล้ว อย่าให้พวกเขาต้องจ่ายเพิ่มเพื่อมากินร้านเราเลย จะเป็นภาระกับพวกนักศึกษาเปล่า ๆ “

โจวฉายอวิ๋นตอบด้วยความประหลาดใจ “โอ้โห ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นนักศึกษาก็มีเงินค่าอาหารให้ด้วย คิดว่ากินที่ไหนก็เหมือนกันซะอีก”

หลินม่ายกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึม “ถึงจะไปขอให้เขาช่วย แต่เราก็ไม่ควรจะไปหวังพึ่งคนอื่นตลอดหรอก ยังไงก็ต้องหาทางดูแลร้านของตัวเองให้อยู่รอดต่อไปด้วยกำลังของเรานะ”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าแล้วตอบว่า “ฉันก็เข้าใจนะ แต่ก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี”

หลินม่ายดูไม่ได้เป็นกังวลขนาดนั้น “เรื่องเล็กน้อย มีอะไรน่าห่วงตรงไหน?”

คนเป็นพี่มองเจ้าของร้านของเธอด้วยความชื่นชม “เธออายุน้อยกว่าฉันแท้ ๆ แต่ดูใจเย็นขนาดนี้ได้ยังไงนะ?”

หลินม่ายแอบตอบโต้ในใจว่า เป็นเธอต่างหากที่อายุมากกว่า เพราะผ่านการใช้ชีวิตมาแล้วหนึ่งรอบ ถ้าจะยังดูร้อนรนอยู่อีก การเกิดใหม่ครั้งที่สองก็คงจะเปล่าประโยชน์

หลินม่ายปั่นรถสามล้อไปตามถนน โดยเลือกที่จะไปหยุดขายตามสถานทีที่มีผู้คนค่อนข้างหนาแน่น

โชคดีที่สั่งให้หยุดทำซาลาเปาได้ทัน วันนี้จึงมีซาลาเปาที่ต้องขายเพียง 400 ลูกเท่านั้น

เมื่อเช้าแบ่งไว้ที่ร้านแล้วครึ่งหนึ่งส่วนอีกสองร้อยชิ้นที่เหลือก็สามารถขายหมดที่ริมถนนตั้งแต่ยังไม่ทันสิบโมงเช้า

เมื่อเธอกลับมาถึง ร้านข้าง ๆ ก็ขายอาหารของพวกเขาหมดลงแล้ว

ป้าหูนั่งอยู่ที่หน้าร้านของตัวเอง จ้องมองมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นว่าไม่สามารถทำอะไรเธอได้

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็แอบบ่นในใจ คนที่ควรโกรธน่าจะเป็นเธอมากกว่าหรือเปล่าที่โดนขายของตัดหน้า ยัยป้านี่ท่าจะประสาท

หญิงสาวเมินสายตาโกรธเคืองที่ถูกส่งมา จอดสามล้อไว้ที่หน้าบ้านแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง

พนักงานครัวที่มาเพิ่มเป็นพนักงานกะเช้า พวกเขาจึงกลับบ้านกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงโจวฉายอวิ๋นกับเสี่ยวลี่ที่กำลังจัดโต๊ะ เตา และอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่หน้าร้าน

หลินม่ายรีบถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมขายหมดแล้วล่ะ!”

เสี่ยวลี่และโจวฉายอวิ๋นฮัมเพลงขึ้นมาด้วยกันอย่างสบายใจแทนคำตอบ

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

รอดูระยะยาวก่อนค่ะ มาตรฐานยัยป้าหูตกเมื่อไหร่นั่นแหละถึงรู้รสชาติ

พี่หมอแอบช่วยซื้อหรือเปล่าคะเนี่ยถึงหมดไวขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 107 เถียหนิวเข้ามาหยุดรถ

หลังรับประทานมื้อเย็น หลินม่ายก็ขับแทรกเตอร์คู่ใจกลับไปที่เมือง

ขณะที่กำลังขับรถออกจากเมืองซื่อเหม่ย หญิงสาวก็พบกับเถียหนิวที่ยืนอยู่ข้างทางแล้วโบกมือให้เธอ

หญิงสาวหยุดรถแล้วเอ่ยถามอย่างเฉยเมย “มีอะไรหรือเปล่า”

เถียหนิวหน้าแดงแล้วเอ่ยอย่างลังเลว่า “เธอยังขาดคนช่วยงานอยู่อีกไหม ฉันอยากไปทำงานกับเธอ เธอก็รู้ว่างานที่ฉันขยันทำงานขนาดไหน”

เธอกล่าวต่ออย่างเย็นชา “นายจะขยันทำงาน แล้วฉันก็จะต้องจ่ายเงินให้ แล้วมันต่างจากการทำงานที่นี่ยังไง”

ใบหน้าของเถียหนิวเปลี่ยนสี “เพราะเธอเป็นคนดี ฉันก็เลยอยากทำงานกับเธอ”

“แต่ฉันไม่ได้อยากให้นายมาช่วยงานแล้ว ฉันคิดว่านายน่าจะรู้ว่ามันเพราะอะไร” หลังพูดจบหลินม่ายก็ออกรถไปโดยไม่สนใจเขาอีก

ส่วนเถียหนิวก็กลับบ้านไปด้วยความโกรธ ทันทีที่พบหน้าแม่ นางก็ถามขึ้นอย่างรวดเร็ว “ได้เจอม่ายจื่อไหม หล่อนว่ายังไงบ้าง?”

เถียหนิวรับโพล่งออกมาด้วยความโมโห “แม่ทำให้หล่อนโกรธขนาดนั้น จะให้ต้องพูดอะไรกันล่ะครับ?”

ใบหน้าของแม่เถียหนิวเองก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น “หมายความว่าหล่อนไม่อยากให้ไปช่วยงานแล้วงั้นเหรอ”

เถียหนิวตอบแม่อย่างอารมณ์เสีย “ก็เขารู้กันหมดแล้วว่าแม่ต้องการอะไร แล้วเขาจะยอมให้ไปทำงานด้วยได้ยังไงล่ะ!”

สีหน้าของคนเป็นแม่ยิ่งแย่ลงไปอีก “ฉันก็แค่ต้องการจับคู่หล่อนกับแกเอง ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายซักหน่อย ทำไมถึงต้องมาเกลียดกันขนาดนั้น เป็นบ้าอะไรเนี่ย!”

เถียหนิวเริ่มทนฟังไม่ได้จึงเถียงกลับไป “แม่ยังอยากให้ผมไปทำงานกับคนที่แม่เอาแต่คอยด่าว่า แบบนี้เราก็คงไม่ต่างจากพวกเขาหรอกมั้ง!”

แม่เถียหนิวโกรธจนจะอกแตกเมื่อได้ยินลูกชายตอบแบบนั้นออกมา

กว่าหลินม่ายจะกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาสี่ทุ่ม โต้วโต้วเข้านอนไปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงโจวฉายอวิ๋นที่รอเธออยู่

ทันทีที่รถแทรกเตอร์ขับเข้ามาในบริเวณบ้าน โจวฉายอวิ๋นก็ออกมาช่วยขนของเข้าไปด้านใน

แม้ว่าจะเป็นอาคารสองชั้น แต่ก็มีขนาดเล็ก และชั้นล่างไม่สามารถวางของได้เพราะต้องใช้ขายของ

แต่ทั้งคู่ก็ยังมีห้องขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บอาหาร น้ำมัน ไข่ และข้าวของอื่น ๆ ไว้ในนั้นได้

พวกเธอต่างเป็นคนที่มาจากชนบทจึงไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไรนัก

โจวฉายอวิ๋นหยิบเอาขวดน้ำมันพืชขนาดสามชั่งขึ้นมาดมกลิ่นน้ำมันงาที่ออกมาจากขวดน้ำมันแล้วพูดว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย เอาน้ำมันงาให้แทนน้ำมันพืชแบบนี้ ขาดทุนแย่เลย”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “เปล่า เขาไม่ได้ให้มาผิดหรอก ฉันซื้อน้ำมันงามาด้วยนิดหน่อย”

เพราะเห็นว่าอากาศเริ่มจะร้อนขึ้นทุกวัน หลินม่ายจึงซื้อน้ำมันงาขวดนี้มาด้วย เพื่อจะใช้ทำเมนูแบบเย็นอย่างบะหมี่เย็นให้ฟางจั๋วหลานกิน แต่หญิงสาวเขินที่จะบอกกับโจวฉายอวิ๋นไปตามตรง

โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยถามเซ้าซี้อะไรต่อ

แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนดึก แต่หลินม่ายก็ยังคงต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าและถีบสามล้อไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อวัตถุดิบ

ครั้งนี้ของที่ต้องซื้อไม่ได้มีแค่เนื้อขาหมูสำหรับทำซาลาเปาและเกี๊ยวต้ม แต่ยังต้องซื้อกระดูกหมูและมันหมูเพิ่มด้วย

ในยุคนี้หาร้านที่ขายเครื่องในหมูอย่างพวก ไส้ใหญ่ ไส้อ่อน และปอดหมูได้ยากมาก

เพราะเป็นยุคที่มีคนนิยมกินเครื่องในน้อยกว่าตอนปี 2021 มาก ในเมืองนี้เครื่องในจึงมีราคาถูก

คนที่นี่ไม่ค่อยกินปอดหมูกัน ทำให้ปอดหมูราคาถูกที่สุด

เพราะหลินม่ายซื้อเนื้อหมูเป็นจำนวนมาก พ่อค้าเลยมีกลยุทธ์ลดแลกแจกแถม คิดราคาค่าเครื่องในหมูเพียงแค่ 1.5 หยวน แล้วยังแถมปอดหมูให้ฟรี ๆ

พ่อค้าบอกกับหลินม่ายอย่างใจดีว่าถ้าเธอมาซื้อหมูที่แผงของเขาทุกวันเขาจะขายเครื่องในให้ในราคาถูกพร้อมกับแถมปอดให้ฟรีแบบนี้อีก

แต่หลินม่ายก็ไม่ได้หลงในกลยุทธ์นั้นของเขาในทันที

“ถ้าเนื้อหมูร้านนี้ถูกสุดในตลาด ฉันจะมาซื้อที่นี่นะคะ ฉันเองก็ไม่ได้เห็นแก่ของแถมเล็กน้อยอย่างเดียวจนจะยอมมาซื้อร้านคุณทุกวันได้แบบไม่ดูราคา”

คนขายหมูก็รีบรับคำเสียงดังด้วยท่าทีมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงเลย ฉันไม่ให้ราคาถูกสุดกับเธอแน่นอนรับรองไม่มีลับหลัง”

ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูร้อนปี 1982 มีการผ่อนคลายนโยบายการค้า ทำให้เกิดร้านค้ารายย่อยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก พ่อค้าแม่ค้าต่างมาที่ตลาดมืดเพื่อเอาผลผลิตทางการเกษตรมาขาย หมูพวกนี้ก็หาซื้อง่ายและมีตัวเลือกมากขึ้นในการจับจ่าย

มีร้านขายหมูหลายร้าน แข่งกันขายอย่างดุเดือด ลูกค้ารายใหญ่อย่างเธอร้านขายหมูไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปเด็ดขาด

วันนี้เป็นวันแรกที่พนักงานใหม่ทั้งหมดจะเริ่มเข้ามาทำงาน

หลังจากซื้อวัตถุดิบเรียบร้อยหลินม่ายก็กลับมาที่บ้าน อีกสิบห้านาทีจะหกโมงเช้า ป้าสามคนที่จะมาทำงานครัวยังมาไม่ถึง

โจวฉายอวิ๋นที่กำลังนึ่งซาลาเปารอบแรกอยู่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูหลังบ้านเธอก็รีบไปช่วยหลินม่ายขนวัตถุดิบเข้ามาในครัวทันที

เมื่อเห็นว่ามีปอดหมูเธอก็หันไปพูดกับอาหวงที่วอแวอยู่รอบ ๆ ขาตัวเองอย่างมีความสุขว่า “วันนี้มีปอดหมูอีกแล้ว”

เพราะบางครั้งที่บังเอิญได้ปอดหมูมากอจากตลาดมืดหลินม่ายก็จะเอามาใช้ทำอาหารให้กับอาหวง

อาหวงเป็นหมาป่า ต้องได้กินเนื้อบ้าง เพื่อการเติบโตที่ดี

เจ้าหมามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินม่ายแล้วส่ายหางไปมาเหมือนจะขอบคุณเธอ

หลินม่ายใช้ขาเขี่ยอาหวงให้หลบไป “วันนี้ไม่ได้ให้ปอดหมูแกหรอกนะ ฉันต้องเก็บไว้เป็นเมนูกลางวัน”

เจ้าหมาดูมีท่าทางผิดหวังหลังจากได้ยินแบบนั้น ถึงกับส่งเสียงร้องหงุงหงิงออกมาอย่างไม่พอใจ

โจวฉายอวิ๋นดูไม่เห็นด้วยเท่าไร “จะมีลูกค้าอยากซื้อปอดหมูกินเหรอ”

หลินม่ายขยิบตาให้เธอพร้อมตอบอย่างมั่นใจ “รับรองว่าติดใจแน่นอน”

โจวฉายอวิ๋นขมวดคิ้ว

หลินม่ายเอากระดูกหมูสองสามชิ้นออกมา “เคี่ยวกะดูกหมูนี่กับหัวไชเท้าด้วย”

คนที่ฟังอยู่ก็ยังไม่เข้าใจ พ่นลมหายใจออกมา “เมื่อคืนก็เคี่ยวซุปกระดูกหมูสำหรับทำเกี๊ยวไปแล้วไม่ใช่เหรอ

ทำไมต้องเคี่ยวเพิ่มอีก แล้วซุปสำหรับเกี๊ยวไม่ต้องใส่หัวไชเท้านี่”

หลินม่ายจัดการเอาปอดหมูลงไปในอ่างขนาดใหญ่ “พี่ก็น่าจะได้ยินว่าลูกค้าบ่นว่าไม่มีซุปกินคู่กับข้าวผัดไข่ตอนเที่ยงเมื่อวาน ฉันก็เลยซื้อกระดูกหมูกับหัวไชเท้ามาทำซุปไว้กินกับข้าวผัดไข่”

โจวฉายอวิ๋นถอนหายใจแล้วเอากระดูกหมูไปล้าง

หญิงสาวคิดกับตัวเองในหัวอย่างเข้าใจแล้วว่าทำไมตัวเองถึงเป็นได้เพียงผู้ช่วย ส่วนม่ายจื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนที่ใส่ใจทุกความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอสินะ

อีกห้านาทีจะหกโมงเช้าพนักงานใหม่ที่จะมาช่วยงานครัวก็ทยอยมาถึง

หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงาน ห่อเกี๊ยว และ ต้มเกี๊ยว

เมื่อเกี๊ยวทั้งหมดพร้อมขายเรียบร้อย ป้าที่ช่วยทำเกี๊ยวก็มาช่วยหลินม่ายหั่นหมู

การสับหมูหั่นหมูเป็นอะไรที่ต้องใช้แรงอย่างมาก หลินม่ายวางแผนว่าจะจ้างคนมาทำงานนี้โดยเฉพาะให้ได้ในอนาคตเมื่อร้านขยับขยาย

ถ้าเธอต้องมาคอยสับหมูเป็นเวลานาน ๆ มีหวังคงกล้ามขึ้นแขนใหญ่กันไปพอดี

หลินม่ายเคยทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูตระกูลอู๋และตระกูลหลินในชาติที่แล้ว โดยเฉพาะหลินเพ่ย หล่อนได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเป็นพิเศษ

หลินเพ่ยและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมักจะชอบหัวเราะเยาะแขนใหญ่หนาราวกับชายหนุ่มของเธออยู่เสมอ

แต่คนพวกนั้นไม่เคยได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าสาเหตุของแขนหนา ๆ นั่นมันมาจากไหน เพียงแค่มองว่ามันเหมาะกับเธอดีแล้ว

เมื่อถึงหกโมงครึ่งเสี่ยวลี่ที่ต้องรับผิดชอบงานขายก็เดินเข้ามาจากทางด้านหลังบ้าน หลินม่ายให้โจวฉายอวิ๋นช่วยเปิดหน้าร้าน

โจวฉายอวิ๋นที่ออกไปเปิดร้านกลับเข้ามาด้วยความโกรธจนทำให้หลินม่ายสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “มีเรื่องอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย”

คนเป็นพี่ตอบอย่างโกรธเคือง ดวงตาของเธอแดงก่ำ “บ้านหยางหยางก็ขายซาลาเปาด้วยเหมือนกัน”

เหล่าแม่ครัวที่กำลังง่วนอยู่กับอาหารเมื่อได้ยินแบบนั้นก็พากันออกไปดู แล้วกลับเข้ามาด้วยท่าทางเคร่งเครียด

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ป้านี่ยังไม่หยุดอีกเหรอ ทั้งที่โดนปฏิเสธไปขนาดนั้นแล้วเนี่ยนะ ตายยากจริง

ขายเหมือนกันอีก งั้นก็มาดูเลยว่าระหว่างร้านของม่ายจื่อกับร้านป้าใครจะซื้อเยอะกว่ากัน

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 106 ซอสพริกรสจัดแสนอร่อย

หลินม่ายกำลังมองหาคนช่วยงานที่มีฝีมือโดยไม่ได้สนใจเรื่องระดับการศึกษา

ในยุค 80 มีคนที่ไม่รู้หนังสืออยู่ค่อนข้างมาก การอ่านหนังสือไม่ออกไม่เป็นเรื่องใหญ่ตราบใดที่ทำงานได้ดี

สุดท้ายแล้วหลินม่ายก็เลือกคุณป้าเพิ่มมาสามคน พวกหล่อนมาจากครอบครัวฐานะยากจน แต่ทำงานได้อย่างคล่องแคล่วและรับมือกับงานหนักได้ดี

ในชาติที่แล้วเธอก็มักจะเลือกลูกจ้างที่มีภูมิหลังครอบครัวที่ค่อนข้างลำบากแต่มีความสามารถในการเรียนรู้ได้เร็ว จะได้ช่วยพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีขึ้นไปพร้อม ๆ กับการทำงานอย่างตั้งใจและอดทน

สำหรับการเลือกพนักงานที่จะมาช่วยขายของ เธอจะมีมาตรฐานในการเลือกคนที่สูงกว่าตำแหน่งอื่น ๆ อย่างน้อยก็ควรเรียนจบชั้นประถม และดูอัธยาศัยดี

ในบรรดาผู้สมัครทั้งหมด มีคนหนึ่งที่อายุประมาณ 18 หรือ 19 ชื่อวังเสี่ยวลี่ ที่ทำให้หลินม่ายประหลาดใจด้วยวุฒิการศึกษาชั้นมัธยมปลาย

ในยุคนี้แทบจะหาคนจบมัธยมปลายแบบนับหัวได้

หลินม่ายถามตามตรงว่า “ในเมื่อจบม.ปลายมา ทำไมถึงไม่ไปหางานราชการทำล่ะ?”

วังเสี่ยวลี่ยิ้มอย่างขมขื่น “พ่อแม่ฉันเป็นคนซื่อตรงเกินไป ไม่มีทางยอมแน่”

หลินม่ายพิจารณาบุคลิกของอีกฝ่าย เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างผอมบางสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว เห็นแบบนั้นก็ยอมรับเสี่ยวลี่เข้าทำงาน

เธอจัดแจงมอบหมายงานและแจ้งเวลาเข้างานให้ผู้สมัครแต่ละคนในหน้าที่ต่าง ๆ ตามที่คัดเลือกมา

ป้าสามคนที่มีหน้าที่ทำแผ่นเกี๊ยว ทำซาลาเปา และต้มเกี๊ยว ให้มาเริ่มงานตอนหกโมงเช้า และเลิกงานตอนเก้าโมงครึ่ง

วังเสี่ยวลี่เป็นพนักงานขายมาทำงานตอนหกโมงครึ่งและเลิกงานสิบโมงเช้า ค่าแรงของทุกคนคือ 15 หยวนต่อเดือน

ถือเป็นเงินเดือนจำนวนไม่น้อยเลยถ้าเทียบกับชั่วโมงทำงานเพียงสามชั่วโมงครึ่งต่อวัน

หลังเรียบร้อยเรื่องพนักงานใหม่ หลินม่ายก็รีบกินมื้อกลางวันอย่างเร่งรีบ ฝากให้โจวฉายอวิ๋นขายข้าวผัดเพียงลำพัง ส่วนเธอขับรถแทรกเตอร์ไปที่เมืองซื่อเหม่ยเพื่อซื้อไข่ ข้าวสาร แป้ง และน้ำมัน พร้อมกับถือโอกาสเอาไหเพ่าฉ่ายกลับไปคืนชาวบ้านด้วยเลยทีเดียว

คุณปู่ฟางซื้อไข่เตรียมรอไว้แล้ว เธอสามารถไปขนมันขึ้นรถได้ทันทีที่ไปถึง

ข้าวสาร แป้ง และน้ำมันพืช เป็นสินค้าที่หาได้ทั่วไปในพื้นที่แสนอุดมสมบูรณ์อย่างที่นี่ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว แต่ผลผลิตทางการเกษตรก็ยังมีให้หาซื้อได้อย่างไม่ขาดมือ

เมื่อซื้อข้าวสารและน้ำมันจากคุณยายผู้ยากไร้คนหนึ่งหลินม่ายมักจะเห็นว่ายายทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับเธออยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้พูด

เธอจึงเอ่ยถามกับยายอย่างใจดีกว่า “ยายคะ มีอะไรอยากจะคุยกับฉันก็บอกมาตามตรงได้เลยนะ”

หญิงชราจึงเอ่ยอย่างลังเลต่อลูกค้าสาว “ยายมีซอสพริกโหลใหญ่อยากจะขายให้หนู แต่ไม่รู้ว่าหนูอยากจะลองซื้อดูไหม

ชาวบ้านจากหมู่บ้านเดียวกันของหญิงชราเอ่ยขึ้นอีกว่า “เธอน่าจะลองซื้อซอสพริกของคุณแม่เถียนนะ หลานชายของหล่อนกำลังป่วยและต้องหาเงินไปรักษา”

หลินม่ายเริ่มคิดขึ้นว่าชาวเจียงเฉิงมักจะชอบกินอาหารรสจัดกันอยู่แล้ว

ถ้าซื้อซอสพริกจากคุณยายเถียน ในตอนเที่ยง ที่ทำเมนูข้าวผัดไข่ขายก็จะสามารถใช้เอาไปเติมให้คนที่ชอบกินรสจัดจ้านได้ ลูกค้าอาจจะติดใจกลับมากินอีก หญิงสาวเลยตัดสินใจตามคุณยายเถียนไปที่บ้านของเธอ

บ้านที่หญิงชราอาศัยอยู่ค่อนข้างทรุดโทรมมากแล้ว นางใช้กระสอบปุ๋ยคลุมหน้าต่างแทนกระจก จึงทำให้มีแสงสว่างลอดเข้าไปในบ้านได้เพียงเล็กน้อย ภายในบ้านมืดสลัวแม้เป็นเวลากลางวัน

เมื่อหลินม่ายเข้าไปในบ้านก็ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับสายตาให้เข้ากับความมืดภายในนี้

จากนั้นเธอก็เห็นเด็กชายผอมบางคนหนึ่งนอนป่วยอยู่ในห้องโถงของบ้าน

ดวงตาของเขาดูหม่นหมองและสิ้นหวัง ภาพนั้นทำให้หลินม่ายรู้สึกสะเทือนใจ

เธอหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วถามว่า “นี่คือหลานชายที่ป่วยของยายเหรอคะ”

คุณยายเถียนพยักหน้าตอบอย่างเศร้าใจ

เธอมองไปที่เด็กชายตัวน้อยเพื่อสังเกตอาการ “หลานของยายดูอาการหนักมาก น่าจะต้องรีบไปโรงพยาบาลได้แล้วนะคะ”

คุณยายเถียนเริ่มอึกอักแล้วพูดขึ้นอย่างลำบากใจ “ยาย…ยายไม่มีเงินเลย”

“ลองให้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของยายหาวิธี…”

ยังไม่ทันพูดจบประโยคดีคุณยายเถียนก็ร้องไห้ออกมา “ลูกชายกับลูกสะใภ้ของยายเสียไปแล้วทั้งคู่เพราะอุบัติเหตุเมื่อต้นปีก่อน ตอนนี้เหลือกันอยู่แค่สองยายหลาน ต้องดูแลกันเองแล้ว”

หลินม่ายได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มไม่สบายใจ

หลังจากตัดสินใจอยู่สักพักจึงหยิบเอาธนบัตรสิบหยวนออกมาห้าใบส่งให้หญิงชรา เพื่อให้นางพาหลานไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล

คุณยายเห็นแบบนั้นก็ตื้นตันใจจนแทบจะคุกเข่าขอบคุณแต่หลินม่ายห้ามไว้เสียก่อน

หญิงชราเอ่ยขึ้นทั้งน้ำตา “ยายพยายามไปขอยืมเงินจากทุกคนที่รู้จัก เพื่อจะพาเขาไปหาหมอ แต่ไม่มีใครกล้าให้เพราะกลัวว่ายายจะไม่มีเงินจ่ายคืน มีแค่หนูนี่แหละที่มีเมตตาให้ยายยืมเงิน ไม่ต้องห่วงนะ ยายเอาหัวเป็นกันเลย ต่อไปจะต้องตอบแทนหนูอย่างแน่นอน”

หลินม่ายรีบโบกมือห้าม “ไม่ถึงกับต้องใช้หัวเป็นประกันหรอกค่ะ แค่ยายเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้นมาแล้วคอยเอามาขายให้ฉันทุกปีแล้วค่อย ๆ จ่ายเงินคืนก็พอแล้ว”

ความจริงแล้วหลินม่ายตั้งใจจะมอบเงินห้าสิบหยวนนี้ให้กับคุณยายเถียนไปเลย เพราะเห็นใจในความยากลำบากของสองย่าหลาน

แต่เมื่อคุณยายเถียนต้องการจะหาทางชดใช้ให้เธอ หญิงสาวจึงไม่ปฏิเสธแต่คิดวิธีการในการคืนเงินแบบนี้ขึ้นมาแทน

คุณยายเถียนปาดน้ำตาพลางขอบคุณเธออย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็รีบตรงเข้าไปในห้องแล้วหยิบเอาโหลซอสพริกออกมา

มือเหี่ยวย่นเปิดฝาโหลออกตักเอาซอสพริกขึ้นมาใส่ชามแบ่งจำนวนสองช้อนเล็ก ๆ แล้วส่งให้หลินม่ายลองชิม “ลองชิมดูก่อนว่ารสชาติเป็นยังไง ถ้าถูกใจก็ซื้อกลับไปได้เลย แต่ถ้าไม่อร่อยก็ไม่ต้องซื้อนะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็แอบมองหญิงชราด้วยความชื่นชม

แม้ชีวิตของนางและหลานชายกำลังลำบาก ต้องพบเจอกับทั้งความยากจนและอาการเจ็บป่วย แต่ก็ไม่ได้เอาเปรียบคนอื่น พยายามจะขายซอสพริกด้วยฝีมือตัวเองจริง ๆ

หญิงสาวลองชิมซอสพริกนั้นแบบเปล่า ๆ อยู่สามคำ รับรสเผ็ดร้อนนั้นด้วยลิ้นตัวเองเต็ม ๆ

ในความคิดของเธอ ซอสพริกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าซอสพริกเหล่ามาม่า ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในช่วงเวลาหลังจากนี้เลย

อาจจะยังเป็นรองอยู่ตรงที่ไม่ได้มีส่วนผสมพวกเนื้อวัว ถั่วลิสง ถั่วดำ และเครื่องปรุงอื่น ๆ

ซอสพริกของคุณยายเถียนใช้เพียงแค่พริกสดและถั่วเหลืองในการทำ แต่เป็นซอสที่อร่อยกว่าของเหล่ามาม่าเสียอีก เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก

หลินม่ายชิมซอสพริกอีกครั้งอย่างตั้งใจ

ในชาติก่อน เธอเป็นผู้จัดการของฝ่ายของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในเหอหนาน มีความเชี่ยวชาญในการชิมอาหารเป็นอย่างมาก

แต่หลังจากที่ได้ชิมซอสพริกสองครั้งติดกัน ก็ยังไม่แน่ใจว่าทำไมซอสนี้ถึงได้มีรสชาติดีได้ขนาดนี้

แม้ว่าจะเป็นการใช้ถั่วเหลืองที่สดใหม่และมีรสหวาน ซึ่งเป็นถั่วที่ต่างจากถั่วเหลืองหมักซีอิ๊ว แต่เธอก็คิดว่านั่นไม่น่าจะใช่เคล็ดลับที่แท้จริงทั้งหมด

หลินม่ายตัดสินใจเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ยายเถียน ทำไมซอสพริกของยายถึงอร่อยขนาดนี้ ยายมีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าคะ”

คุณยายเถียนมีท่าทางมึนงงเล็กน้อยแล้วตอบว่า “ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไรนะ”

หลินม่ายคิดว่ามันต้องมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่แน่ ๆ แต่คุณยายเถียนอาจจะไม่อยากบอกเธอ

แต่นี่เป็นสูตรลับของคนอื่น การที่เจ้าของสูตรจะไม่อยากบอกก็เป็นเรื่องปกติ

หลินม่ายส่งเงินห้าหยวนให้คุณยายแล้วขอซื้อซอสพริกของหญิงชรา “ยายช่วยทำซอสพริกส่งให้ฉันเดือนละสองโหลได้ไหมคะ”

คุณยายเถียนได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออก แต่ไม่ได้รับเงินห้าหยวนนั้น “ซอสนี่โหลหนึ่งหนักแค่ยี่สิบชั่ง ยายขายให้หนูชั่งละ 1 เหมาก็คุ้มแล้ว โถนี้จ่ายให้ยายแค่สองหยวนพอ ไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้นหรอก”

เมื่อได้ยินราคาซอสพริก หญิงสาวก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ยายจะมาขายซอสในราคาเท่านี้ยังไง ฉันคิดว่าห้าหยวนยังน้อยไปด้วยซ้ำ”

เธอบังคับให้ยายรับเงินห้าหยวนนั้นไปซึ่งนั่นยิ่งทำให้คุณยายเถียนยิ่งซาบซึ้งใจมากไปกว่าเดิม

กว่าจะออกมาจากบ้านคุณยายเถียนแล้วเดินทางกลับมาที่บ้านคุณย่าฟาง พระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว คุณย่าฟางเตรียมมื้อเย็นเอาไว้ให้และกำลังรอหลินม่ายอยู่

หญิงสาวรีบไปล้างมือแล้วมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับผู้ใหญ่ทั้งสอง

คุณปู่ฟางเล่าว่าพ่อของโจวฉายอวิ๋นมาหาท่านที่บ้านเพื่อถามข่าวคราวของลูกสาว และค่อนข้างเป็นห่วง อยากจะให้หล่นอกลับไปเยี่ยมบ้างเพื่อความสบายใจ

หลินม่ายพยักหน้าตอบ “พี่ฉายอวิ๋นกำลังจะทำงานครบเดือนในอีกสองสามวันนี้ เอาไว้ฉันจะให้พี่เขาได้หยุดงานกลับไปเยี่ยมครอบครัวซักสองสามวันนะคะ”

ทั้งสามไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปมา หลินม่ายขอให้คุณปู่ฟางเป็นธุระหาซื้อไก่และเป็ดให้เธอ เพราะเริ่มจะใกล้วันที่ 1 พฤษภาคมแล้ว เธอวางแผนไว้ว่าจะเอาไก่กับเป็ดไปขายที่ตลาดมืดอีก

และยังคิดไว้ว่าจะอาศัยช่วงวันหยุดยาวมาเอาผลผลิตทางการเกษตรอย่างเป็ดไก่และของอื่น ๆ ไปขายเป็นค่ารถแทรกเตอร์

คุณปู่ฟางก็ตอบรับด้วยความยินดี

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ได้แหล่งวัตถุดิบใหม่แล้ว แถมเป็นการช่วยคนยากไร้ด้วย ประโยชน์สองต่อเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 105 แบ่งซุปไก่ไว้ให้

โจวฉายอวิ๋นตกใจรีบปล่อยบันไดแล้วเข้าไปดึงโต้วโต้วหลบจักรยานคันนั้น

เมื่อเห็นว่าไม่ได้ชนใครเข้า เจ้าคนประมาทคนนั้นก็จากไปแบบรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

โจวฉายอวิ๋นโกรธมากจนถึงกับสบถคำด่าตามหลังไป

ในขณะเดียวกันบันไดที่ไร้คนช่วยจับก็เริ่มโงนเงน

หลินม่ายที่ยืนอยู่ด้านบนเริ่มเสียการทรงตัว หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับร่างบางที่ร่วงลงมาจากที่สูง เธอเห็นว่าร่างกายกำลังจะตกลงไปกระแทกพื้นถนนข้างล่าง ทางเดียวที่จะรอดจากความเจ็บในครั้งนี้คงต้องบินได้เท่านั้น

ฟางจั๋วหรานที่กำลังรีบมากินข้าวหลังผ่าตัดเห็นแบบนั้นก็รีบตรงเข้ามารับหลินม่ายด้วยมือของเขาเอง

หญิงสาวลงมาอยู่ในอ้อมกอดของเขาพอดิบพอดี ทั้งสองจ้องตากันอยู่ครู่หนึ่ง

ความใกล้ชิดนั้นทำให้เขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากร่างกายของเธออีกครั้ง ทำเอาเขาไม่อยากจะปล่อยให้เธอผละจากไปเลยแม้แต่น้อย

ป้าหูที่อยู่ข้างบ้านเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง หล่อนกลอกตาแล้วบ่นกับตัวเองอยู่ที่ข้างประตูบ้าน “นังจิ้งจอกยังไงก็ยังเป็นนังจิ้งจอกอยู่วันยังค่ำ ถึงกับกล้าอ่อยผู้ชายกลางวันแสก ๆ แบบนี้เชียว!”

ผ่านไปไม่นานหลินม่ายก็ได้สติกลับมาจากความตกใจ รีบกระโดดออกจากอ้อมแขนแกร่งนั้นด้วยความเร็วสูง

มือเรียวสวยถูกยกขึ้นมาทัดผมที่ข้างหูของตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ใบหน้าซับสีเลือดจาง ๆ ขึ้นที่สองข้างแก้มด้วยความเขินอายแล้วกล่าวขอบคุณออกไป

โต้วโต้วรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับปรบมือไปรอบ ๆ คุณอาและแม่ของเธอ “คุณอาเท่มากเลย หนูอยากลองกระโดดจากบันไดให้คุณอารับหนูบ้างจังเลยค่ะ!”

หลินม่ายตบก้นลูกน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น “ไร้สาระน่า ถ้าคุณอารับไม่ได้คงได้ล้มหัวแตกกันพอดี”

เด็กน้อยจึงต้องยอมล้มเลิกความคิดจะเล่นอะไรพิเรนทร์ ๆ นั้นไป

หญิงสาวหันไปถามคุณหมอด้วยรอยยิ้ม “ทำไมถึงออกมากลางเวลาทำงานล่ะคะ?”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานเจือแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ผมเพิ่งผ่าตัดเสร็จเลยออกมากินข้าวนี่แหละ มีอะไรอร่อย ๆ ให้กินบ้างไหม?”

หลินม่ายไม่ได้คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อกินมื้อกลางวันด้วยกัน ในครัวจึงแทบไม่เหลืออะไรให้เขากินเลย

ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง หญิงสาวช้อนตามองชายหนุ่มอย่างน่ารัก “ไม่มีของอร่อยอะไรหรอก ฉันทำให้คุณได้แค่บะหมี่ไข่ลวกสักชามเท่านั้นแหละค่ะ สนใจไหมคะ”

ความน่าเอ็นดูนั้นทำเอาฟางจั๋วหรานอดไม่ได้ที่ยกมือขึ้นมาหยิกแก้มเล็ก ๆ ของเธอ “งั้นเราก็มากินบะหมี่ไข่ลวกกันเถอะ”

สิบนาทีต่อมา บะหมี่พร้อมไข่ลวกสามฟอง ไชเท้าดองหั่นเต๋า และผักโขมอีกนิดหน่อยถูกเสิร์ฟลงที่โต๊ะ

ฟางจั๋วหรานใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดตั้งแต่เก้าโมงเช้ายาวจนถึงบ่ายสองเพื่อผ่าตัดคนไข้อาการสาหัส ร่างกายจึงรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก หิวจนท้องไส้กิ่ว

แม้มันจะเป็นบะหมี่ไข่ลวกธรรมดาชามหนึ่ง เขากลับสวาปามเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่สูญเสียท่าทางอันสง่างามเลยสักนิด

หลินม่ายมองเขาอยู่ข้าง ๆ ด้วยความเห็นใจ การเป็นศัลยแพทย์คงเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก ๆ ถึงทำให้เขาไม่ได้กินข้าวแบบนี้

หลังจากฟางจั๋วหรานกินบะหมี่เสร็จและกลับไปทำงาน หลินม่ายก็ออกไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อไก่บ้านตัวเล็ก เห็ด และพุทราแดง เมื่อกลับถึงบ้านก็ฆ่าไก่แล้วตุ๋นเป็นซุปไก่ในหม้อดิน

เธอแบ่งซุปนั้นหนึ่งชามไว้สำหรับโต้วโต้วแล้วเอาส่วนที่เหลือทั้งหมดใส่หม้อเก็บความร้อนส่งให้โจวฉายอวิ๋นช่วยฝากเอาไปให้ฟางจั๋วหราน

โจวฉายอวิ๋นกลับโบกมือปฏิเสธ “ฉันขี้อายจะตาย ขนาดไปขายของยังไม่กล้าคุยกับลูกค้า ฉันไม่กล้าเอาอาหารไปส่งให้คุณหมอฟางถึงที่หรอก เธอไปเองเถอะนะ”

หลินม่ายจึงต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาลผู่จี้พร้อมหม้อซุปไก่อย่างไม่มีทางเลือก

ฟางจั๋วหรานค่อนข้างจะเป็นคุณหมอที่คนในโรงพยาบาลรู้จักเป็นอย่างดี ครั้นเธอถามกับพยาบาลคนหนึ่งว่าเขาอยู่ที่ไหน พยาบาลคนนั้นก็บอกทางได้อย่างรวดเร็ว

หลินม่ายเดินมาตามทางที่ได้รับคำแนะนำมา

คล้อยหลังจากหญิงสาวที่มาส่งอาหาร เหล่าพยาบาลก็เริ่มจับกลุ่มซุบซิบกันทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าไม่อายเสียจริงถึงได้กล้าเอาซุปไก่มาตามอ่อยอาจารย์ฟางถึงที่

เมื่อหลินม่ายไปถึงก็พบว่าอาจารย์หมอหนุ่มกำลังพากลุ่มนักศึกษาแพทย์วิเคราะห์อาการคนไข้อยู่หน้าฟิล์มเอกซเรย์

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เขาในชุดกาวน์ของคุณหมอ การแต่งกายแบบนั้นช่วยเสริมให้เขาดูภูมิฐาน สง่างามขึ้นจากที่ดูดีมากอยู่แล้ว

ถ้าจะให้คิดคำจำกัดความก็คงได้แค่คำว่างดงามจริง ๆ

แม้ว่าจะดูแปลก ๆ ไปหน่อยที่จะอธิบายถึงผู้ชายซักคนด้วยความงดงาม แต่หญิงสาวที่ไม่ได้รู้หนังสือมากนักจึงไม่สามารถหาคำไหนมาแทนและไม่อยากชมเขาแบบบ้าน ๆ อย่าง “โคตรหล่อเลยยยย” ออกมา

เธอไม่กล้าเข้าไปรบกวน จึงทำเพียงยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงาน แต่เพราะมีคนมายืนอยู่หน้าห้องจึงทำให้เหล่านักศึกษาหันมองมาทางนี้กันหมด

ฟางจั๋วหรานที่อ่อนโยนกับเธออยู่เสมอ หันมามองอย่างเย็นชา เหลือบมองไปที่ประตูด้วยสายตาเฉียบขาด

แต่เมื่อเห็นว่าเป็นหลินม่ายที่มารบกวนการเรียนการสอนในครั้งนี้ชายหนุ่มก็มีสายตาอ่อนลง

ขายาวของอาจารย์หนุ่มตรงไปที่หน้าประตูห้องแล้วเอ่ยถาม “คุณมาทำไมเหรอ?”

หลินม่ายรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจว่าเธอคงเอาซุปมาให้

เธอกระแอมในลำคอเบา ๆ “เอ่อ…โต้วโต้วบ่นว่าอยากกินซุปไก่ ฉันเลยเคี่ยวเอาไว้หนึ่งตัว แต่เพราะว่าโต้วโต้วกินคนเดียวไม่หมด ฉันก็เลยแบ่งมาให้คุณด้วย”

หลังจากนิ่งคิดไปซักพักหญิงสาวก็อธิบายต่อ “ตอนเที่ยงคุณได้กินแค่ของธรรมดา ๆ เอาซุปนี่ไปกินชดเชยแล้วกันนะ”

ฟางจั๋วหรานมองหญิงสาวที่หน้าเริ่มแดงเพราะความเขิน ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก รับซุปไก่จากเธอมาถือแล้วบอกขอบคุณ

หลินม่ายโล่งใจที่เห็นว่าเขาไม่โกรธ “ไม่เป็นไรค่ะ อย่าลืมเอาหม้อมาคืนที่ร้านหลังเลิกงานนะคะ” หลังจากจบธุระแล้วเธอก็รีบกลับ

หลินม่ายหมุนตัวกลับ ถ้าเธอยังไม่กลับไปตอนนี้ก็กลัวว่าจะถูกเขามองเห็นไปถึงความคิดที่แสนว้าวุ่นของตัวเอง

ฟางจั๋วหรานถือซุปไก่ไปที่โซนกินข้าวของห้องเพื่อเปิดอาหารออกมากิน ซุปไก่นั้นหอมหวนและมีรสชาติกลมกล่อมมาก

ปริมาณของมันไม่ได้มีเพียงครึ่งเดียวอย่างที่หลินม่ายบอก แต่เห็นชัดว่ามากกว่านั้นมามาก

ไม่ใช่ว่าโต้วโต้วกินไม่หมดเธอเลยแบ่งครึ่งหนึ่งมาให้เขา แต่เธอแบ่งให้โต้วโต้วแค่เล็กน้อยและยกน้ำซุปส่วนใหญ่ให้เขาต่างหาก

ภาพความเขินอายของหญิงสาวพลันปรากฏขึ้นมาในหัว ทำเอาเขาเผลอยิ้มขึ้นมาอย่างเอ็นดู

พอหลินม่ายคิดว่าซุปไก่ของตัวเองจะช่วยให้ฟางจั๋วหรานมีแรงทำงานที่แสนหนักหน่วงก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมา

เขาเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเธออยู่เสมอตั้งแต่รู้จักกันมาจนถึงตอนนี้ ถ้าตอบแทนอะไรเขาได้ก็อยากจะช่วยดูแลเขาให้ได้มากที่สุด

ขณะที่หญิงสาวกำลังรีบเดินกลับอยู่นั้น ก็มีพยาบาลสาวสวยมาขวางเอาไว้ที่บริเวณมุมบันได

ท่าทางของอีกฝ่ายดูไม่เป็นมิตรและเข้าประเด็นทันทีแบบไม่มีเกริ่นนำ “คุณเป็นอะไรกับอาจารย์ฟาง ทำไมถึงได้เอาซุปมาให้เขาได้”

หลินม่ายไม่ใช่สาวน้อยใสซื่อ ทันทีที่ถูกยิงคำถามแบบนั้นก็รู้ได้ในทันทีว่าพยาบาลคนนี้คงเป็นแฟนของฟางจั๋วหราน

เธอไม่ต้องการให้เกิดเรื่องวุ่นวายจึงตอบความจริงไปเพียงบางส่วน “ฉันเป็นแม่ค้าขายอาหาร อาจารย์ฟางสั่งซุปไก่ที่ร้านให้ฉันเอามาส่งที่นี่ มีอะไรหรือเปล่าคะ”

บรรยากาศตึงเครียดระหว่างทั้งคู่คลายลงหลังได้รับคำตอบ ท่าทางของพยาบาลสาวดูอ่อนลงในทันตา หลินม่ายรีบขอตัวไปจากตรงนี้ทันที

จะว่าไปแล้ว คนอย่างอาจารย์ฟางเหรอจะมาสนใจยัยนี่!

พยาบาลพวกนั้นพูดจาไร้สาระเสียจริง!

ฟางจั๋วหรานมีเคสผ่าตัดอีกครั้งในช่วงบ่าย เขายุ่งอยู่ในห้องผ่าตัดถึงหนึ่งทุ่ม

ระหว่างขากลับเมื่อผ่านร้านอาหารของหลินม่ายเขาก็เอาหม้อที่ใส่ซุปมาไปคืนให้พร้อมกับเอ่ยชมไม่หยุดว่า “อร่อยมาก”

แต่ก่อนที่หลินม่ายจะตอบอะไร โจวฉายอวิ๋นก็รีบเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ถ้ามันอร่อยมากก็ให้ม่ายจื่อตุ๋นให้คุณอีกสิคะ!”

ฟางจั๋วหรานรีบปฏิเสธอย่างยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ” จากนั้นก็รีบขอตัวกลับไป

หลินม่ายต้องดูแลลูกเล็ก แล้วไหนจะเรื่องร้านอาหารนี่อีก เขาไม่อยากให้เธอต้องเสียเงินกับเขามากเกินไป

แต่การปฏิเสธของฟางจั๋วหรานทำให้หลินม่ายแอบเศร้าในใจ เขาคงไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเธอแม้แต่น้อย

หากเขารู้สึกว่าเธอเป็นคนสำคัญหรือสนิทใจต่อกัน อีกฝ่ายคงไม่ปฏิเสธออกมาแบบนั้น

การบอกว่า “ไม่เป็นไร” นั้นมักต้องใช้สำหรับคนที่เขาเกรงใจหรือเป็นคนอื่นคนไกลต่อกัน

เอาล่ะ! ถึงเรื่องระหว่างทั้งคู่มันจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่ทำไมมันถึงมีเศษเสี้ยวความหวังอยู่ตลอดเลยล่ะ!

วันรับสมัครคนเพิ่มมาถึงแล้ว

เธอประกาศให้คนที่ต้องการสมัครงานมาที่ร้านในช่วงสิบถึงสิบเอ็ดโมงเช้า

มีคนมารอที่หน้าร้านก่อนถึงเวลาเป็นจำนวนมาก

เพราะในยุคนี้การหางานทำเป็นเรื่องยาก ทำให้แม้แต่งานลูกจ้างในร้านขายอาหารเล็ก ๆ แบบนี้ก็ยังเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก

พอสิบโมงตรง หลินม่ายก็เริ่มต้นการรับสมัครงานขึ้นภายในร้าน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น้องเริ่มรุกพี่หมอแล้วสินะคะ สู้ต่อไปค่ะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 104 แผนการของป้าหู

โต้วโต้วเริ่มพูดอีกครั้ง “บ้านเราไม่ได้มีแค่ทีวีเครื่องใหม่ แต่ยังมีคากิตุ๋นกับไข่ต้มดองให้กินด้วย บ้านนายไม่เห็นจะมีเลย”

เจ้าลูกหมีได้ยินแบบนั้นก็วิ่งร้องไห้กลับบ้านด้วยความเจ็บใจ

พอไปถึงบ้านตัวเองก็ตะโกนออกไปว่า “ย่าโกหก! ไหนบอกว่าบ้านข้าง ๆ เป็นพวกยาจกน่าสงสาร พวกเขาไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย พวกเขามีทั้งทีวีเครื่องใหม่ ยังมีคากิ มีไข่ต้มดอง ผมก็อยากกินคากิกับไข่ต้มดองบ้าง”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็ตอบด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ครอบครัวนั้นไม่ได้เป็นพวกยาจกน่าสงสารตรงไหน คิดว่าแม่ของโต้วโต้วซื้อทีวีเครื่องนั้นมาหรือไง พ่อบุญทุ่มนั่นต่างหากที่เป็นคนซื้อมา”

หยางหยางไม่เข้าใจจึงเริ่มถามขึ้นมา “พ่อบุญทุ่มคืออะไรครับ?”

“ก็คนที่เลี้ยงดูแม่ของเด็กนั่นไง คากิ ไข่ต้มดองพวกนั้นก็มาจากพ่อบุญทุ่มคนนั้นทั้งนั้นแหละ”

แม่ของหยางหยางที่ฟังอยู่เริ่มทนไม่ไหวจึงท้วงขึ้นมา “แม่ ทำไมไปพูดถึงคนอื่นแบบนั้นคะ?”

ป้าหูกลับไม่ได้หยุด “ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อ แม่นั่นก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มาบอกว่าไม่มีสามี แล้วคนไม่มีสามีจะไปมีลูกได้ยังไง ฉันเห็นกับตาว่าผู้ชายหล่อ ๆ คนนั้นมาช่วยแม่นั่นขายซาลาเปาตอนเช้า แถมเอาทีวีเครื่องใหม่มาให้ด้วยตอนบ่าย ถ้าไม่ได้มีอะไรกัน จะซื้อทีวีตั้งแพงให้ทำไมล่ะ?”

แม่ของหยางหยางได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะหล่อนเองก็เห็นว่ามันเป็นแบบนั้นจริง ๆ

ย่าของหยางหยางที่กำลังกินอาหารเริ่มมองไปที่สมาชิกครอบครัวรอบ ๆ มีลูกชาย ลูกสะใภ้ และลูกสาวคนเล็กที่กำลังจะแต่งงาน อย่างมีแผนการบางอย่าง “วันนี้ฉันนั่งคิดดูอยู่แล้วเห็นว่าร้านซาลาเปาข้าง ๆ ก็ดูจะขายดี ถ้าเราเปิดบ้างก็ต้องขายดีเหมือนกัน”

สมัยก่อนการปฏิวัติ ครอบครัวของหล่อนก็เคยขายของกินเล่นพวกซาลาเปา หมั่นโถว แบบนี้มาก่อน ถ้าขายอย่างอื่นอาจจะไม่ได้มีความรู้มากนัก แต่ถ้าเป็นซาลาเปา อย่างไรก็ทำได้ดีแน่

หล่อนติดต่อกับช่างทำซึ้งไม้ไผ่คนเดียวกับที่ทำให้หลินม่ายเพื่อให้ทำซึ้งให้ตัวเองด้วย

ลูกสาวคนเล็กไม่ได้สนใจสิ่งที่ป้าหูพูด ส่วนลูกชายกับลูกสะใภ้ก็มองหน้ากันไปมาอย่างไม่แน่ใจ

หลังจากกินข้าวได้สองสามคำ ลูกชายก็เริ่มแสดงความเห็นบ้าง “ลองดูต่อไปอีกหน่อยดีไหมครับ ถ้าบ้านข้าง ๆ ขายดีจริง เราจะเปิดหลังจากนี้ก็ยังไม่สายนะแม่”

คู่สามีภรรยามีอาชีพรับจ้าง ถ้ามาเป็นเจ้าของธุรกิจแม้จะเพียงกิจการเล็ก ๆ ก็จะต้องออกจากงาน ถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงพอสมควร

ป้าหูพยักหน้าตามลูกชาย “ก็ได้ ปล่อยให้พวกนั้นนำหน้าไปก่อนละกัน”

หลังอาหารเย็น ยังมีคากิ น้ำซุปมันเยิ้ม และข้าวผัดน้ำมันหมูเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก

หลินม่ายไม่ได้ทิ้งของเหลือพวกนี้ไปเปล่า ๆ เธอเอาข้าวผัดที่เหลือแช่ลงไปในน้ำมันและคากิที่เหลือให้อาหวง เจ้าหมาเห็นแบบนั้นก็กระดิกหางด้วยความยินดี

แต่โจวฉายอวิ๋นกลับรู้สึกว่านั่นจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป “อาหวงเป็นแค่หมา แต่ก็ยังเอาของดี ๆ ให้มันกินด้วยเหรอเนี่ย

กับข้าวที่เหลือพวกนี้เก็บไว้กินต่อพรุ่งนี้ยังได้เลย

หลินม่ายหันมาตอบว่า “ช่วงนี้อากาศร้อน ถ้าเก็บอาหารข้ามคืนมันจะเสียเอาได้ กินไปก็คงท้องเสีย ไม่ต้องเก็บไว้หรอก”

หลังจากเก็บจานชามมาล้างเสร็จเรียบร้อย โจวฉายอวิ๋นก็เอาข้าวเหนียวออกมานึ่ง แล้วทิ้งให้เย็นเพื่อใช้ทำข้าวหมาก

หลินม่ายตรวจดูเพ่าฉ่ายก็พบว่าเริ่มเหลือไม่มากแล้ว น่าจะมีให้ใช้อีกไม่เกินสี่ห้าวันจึงวางแผนที่จะกลับไปที่บ้านในชนบทอีกครั้งเพื่อซื้อเพ่าฉ่ายเพิ่ม

โจวฉายอวิ๋นกล่าวขึ้นว่า “ไม่ต้องซื้อเพิ่มแล้วก็ได้ เอาไหพวกนี้คืนชาวบ้านไปดีกว่า เดี๋ยวฉันจะดองเพ่าฉ่ายให้เอง พูดแล้วจะหาว่าคุย ฉันทำผักดองอร่อยนะ”

ความจริงแล้วหลินม่ายก็เคยทดลองดองเพ่าฉ่ายเองอยู่เหมือนกัน แต่พอลองทำดูแล้วก็พบว่ารสชาติยังใช้ไม่ได้ ยังเปรี้ยวไม่พอและไม่กรอบเท่าที่ควร เลยยังต้องซื้อจากชาวบ้านอยู่

ในเมื่อโจวฉายอวิ๋นมั่นใจในฝีมือการทำเพ่าฉ่ายก็ควรจะลองดูซักครั้ง เพราะการที่ต้องคอยขนไหเพ่าฉ่ายไปกลับชนบทก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะวุ่นวายพอสมควร

ฟางจั๋วหรานใช้เวลาก่อนนอนไปกับการอ่านหนังสือ จนกระทั่งสี่ทุ่ม ชายหนุ่มก็เริ่มเข้านอน

เขาเป็นคนนอนหลับได้ง่าย ปกติจะผล็อยหลับหลังศีรษะถึงหมอนแล้วสิบห้านาที

แต่คืนนี้ชายหนุ่มกลับเอาแต่พลิกตัวไปมา นอนไม่หลับโดยไม่ทราบสาเหตุ เอาแต่คิดถึงคำพูดของโจวฉายอวิ๋นซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลินม่ายเป็นเด็กดีที่เจอเรื่องเลวร้ายมามากมาย

คนดี ๆ แบบนี้ควรได้รับความเมตตาจากสวรรค์บ้าง น่าจะมีผู้ชายดี ๆ ซักคนมาทำให้เธอมีความสุข แต่ว่า…ผู้ชายคนนั้นจะเป็นเขาได้จริงเหรอ?…

หลังจากที่ได้นอนพักอย่างเต็มที่เป็นเวลาหนึ่งคืน อาการไข้ของโต้วโต้วก็เริ่มดีขึ้นจนเกือบจะหายเป็นปกติ

เมื่อฟางจั๋วหรานมาถึงที่ร้านเพื่อกินอาหารเช้า ก็มีโต้วโต้วมาคอยบริการอย่างเต็มที่

คุณหมอฟางได้รับบริการอาหารเช้ามื้อใหญ่เป็นซาลาเปา ไข่ต้มดองซี้อิ๊ว และข้าวหมากชามโต

คนเป็นอารีบเดินเข้าไปรับชามข้าวหมากมาจากมือเด็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มต้นถือมันมาเสิร์ฟให้เขา เพราะกลัวว่าถ้าปล่อยให้โต้วโต้วถือมาเองจะถูกของร้อนลวกเอาได้

เด็กน้อยพิงตัวกับโต๊ะ มองดูเขากินข้าวหมาก แล้วถามด้วยเสียงอ่อนหวานว่า “คุณอาคะ ข้าวหมากที่แม่ทำหวานอร่อยมากใช่ไหมคะ”

ฟางจั๋วหรานเอื้อมมือไปเกาจมูกเล็ก ๆ ของเด็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “ใช่ หวานอร่อยมาก”

“ถ้างั้นคุณอาก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่บ้านของเราสิคะ จะได้มีข้าวหมากอร่อย ๆ ให้กินตอนไหนก็ได้”

ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มตาม แล้วเผลอหันมองไปที่ร่างเล็ก ๆ ของหลินม่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ

หญิงสาวกำลังทำงานหลายอย่างทั้งขายซาลาเปา ไข่ต้ม ข้าวหมาก ทั้ง ๆ ที่มีมืออยู่แค่สองมือ แต่ก็ไม่ได้ดูเร่งร้อน การขยับตัวเป็นธรรมชาติอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นภาพที่น่าทึ่งจริง ๆ

หลังจัดการมื้อเช้าเรียบร้อย ฟางจั๋วหรานก็ออกไปทำงาน

ประมาณ 10 โมงเช้า ซาลาเปาและข้าวหมากก็ถูกขายจนหมด ถึงจะยังเหลือไข่ต้มอยู่บ้างแต่หลินม่ายก็เลือกที่จะจบการขายอาหารมื้อเช้าลง

เธอให้โจวฉายอวิ๋นหุงข้าวหม้อใหญ่หลายหม้อ พักให้เย็น แล้วนำมาเตรียมขายข้าวผัดไข่สำหรับตอนเที่ยง

หญิงสาวถีบสามล้อไปที่บ้านลุงฉี ซื้อกะหล่ำปลีและหัวไชเท้าหลายสิบชั่ง พร้อมกับไหขนาดใหญ่สองใบที่สามารถดองเพ่าฉ่ายได้ครั้งละ 50 ชั่ง เพื่อให้โจวฉายอวิ๋นได้ดองผักเหล่านี้

เธอกลับมาถึงบ้านตอน 11 โมง จากนั้นสองสาวก็เริ่มช่วยกันตั้งแผงขายข้าวผัดไข่ที่หน้าร้าน

แม้ทั้งคู่จะมีห้องครัวที่พร้อมสำหรับการทำข้าวผัดไข่อย่างสะดวกสบาย แต่ในเมื่อร้านของเธอเพิ่งจะเริ่มขายข้าวผัดไข่ และไม่มีป้ายบอก ก็ควรจะตั้งเตาผัดหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้ารู้ว่าที่นี่มีข้าวผัดขายด้วย

หลังจากเริ่มตั้งเตาได้ไม่นานก็เริ่มมีลูกค้าเข้ามาถามด้วยความสนใจ “ขายอะไรเนี่ยแม่ค้า”

หลินม่ายรีบตอบว่า “ข้าวผัดไข่ ผัดด้วยน้ำมันหมูค่ะ”

ลูกค้าหนุ่มจึงถามราคา

หญิงสาวชูสามนิ้วพร้อมคำตอบ “ชามละ 3 เหมาค่ะ”

แม้เธอจะเคยขายเมนูเดียวกันนี้ที่ท่าเรือในราคาเพียง 2 เหมา 5 เฟิน แต่เพราะตอนนี้มีเรื่องต้นทุนค่าเช่าร้านเพิ่มเข้ามา ราคาของอาหารจึงเพิ่มขึ้นด้วย

แต่ข้าวผัดไข่ราคา 3 เหมา ก็ยังถือว่ายอมรับได้สำหรับลูกค้าทั้งหลาย

ไม่นานนัก กระทะของแม่ค้าทั้งสองก็เริ่มจะไม่ว่าง ร้านอาหารเริ่มเต็มไปด้วยลูกค้าที่มารอซื้อข้าวผัดไข่เมนูใหม่

ยังไม่ทันจะบ่ายสอง ข้าวสวยหม้อใหญ่หลายใบก็หมดไป ทำเอาโจวฉายอวิ๋นรู้สึกประสบความสำเร็จในการทำอาหารขึ้นมา

มีลูกค้าหลายคนเอ่ยชมในรสชาติของอาหารที่หล่อนทำ

กลิ่นข้าวผัดของหลินม่ายหอมหวนจนโต้วโต้วเองก็ไม่สามารถอดทนได้ เธอจึงต้องทำข้าวผัดให้เด็กน้อยกินก่อนจนพุงป่อง

หลังจากการขายอาหารมื้อเที่ยงจบลง โจวฉายอวิ๋นก็ทำมื้อเที่ยงสำหรับตัวเองและหลินม่ายเพื่อกินกันแค่สองคน

มีผัดกวางตุ้งฮ่องเต้ มันฝรั่งเส้นผัด ปลาตะเพียนตัวเล็กตุ๋น อย่างละจาน

โจวฉายอวิ๋นเริ่มคีบปลาตะเพียนลงในชามข้าวก็เริ่มเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมอาจารย์ฟางถึงไม่ได้มากินข้าวกลางวันที่นี่ล่ะ ฉันอุตส่าห์เตรียมปลาตะเพียนเอาไว้รอเชียว

หลินม่ายที่กินอยู่ก็ตอบคำถามนั้น “ให้เขากินที่โรงอาหารของโรงพยาบาลจะไม่สะดวกกว่าเหรอ ทำไมต้องมากินข้าวเที่ยงถึงที่นี่? แถมที่โรงอาหารก็น่าจะมีของกินให้เลือกเยอะกว่ากับข้าวสองสามอย่างของเรานะ”

โจวฉายอวิ๋นเงียบไปหลังจากได้ยินแบบนั้น

หล่อนต้องการจะใช้อาหารเป็นข้ออ้างในการชวนฟางจั๋วหรานมาที่ร้าน เพื่อให้เขากับหลินม่ายได้เจอกันมากกว่าเดิม และอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มเป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น

อยากจะให้ทั้งสองสานสัมพันธ์กันสักที

หลังมื้อกลางวัน หลินม่ายไปหานายช่างจางที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อให้เขาช่วยทำป้ายให้ด้วยไม้กระดานสี่เหลี่ยม

เธอขอให้เขาช่วยทาสีแดงและเขียนคำว่า “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน” ลงบนป้ายนั้น หลังจากสีแห้งก็เอาป้ายกลับมาบ้านด้วยรถสามล้อ

หลินม่ายยืมบันไดจากนายช่างจางมาด้วยเพราะคิดขึ้นได้ว่าบันไดที่มีอยู่คงสูงไม่พอที่จะแขวนป้ายได้

ในตอนแรกโจวฉายอวิ๋นจะเป็นคนปีนขึ้นไปแขวนป้ายให้ แต่เพราะบันไดที่ยืมมาแข็งแรงไม่พอ หลินม่ายกลัวว่ามันจะรับน้ำหนักของโจวฉายอวิ๋นไม่ไหว จึงอาสาจะขึ้นไปแขวนเอง

แม้ว่าโจวฉายอวิ๋นจะตัวผอมมาก แต่พอเทียบกันแล้วก็ยังมีรูปร่างใหญ่และน้ำหนักตัวมากกว่าหลินม่ายอยู่

เจ้าของร้านสาวจึงปีนขึ้นไปบนบันไดเพื่อแขวนป้ายโดยมีโจวฉายอวิ๋นคอยช่วย และมีโต้วโต้วกับอาหวงเล่นอยู่แถวนั้น

ในตอนนั้นเองก็มีวัยรุ่นบ้าบิ่นปั่นจักรยานตรงเข้ามาหาโต้วโต้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มันเห็นเขาประสบความสำเร็จไม่ได้เลยต้องก็อปเขาใช่ไหมป้าหู

พี่หมอมีคนชงเยอะนะคะ เมื่อไหร่พี่จะสมปรารถนาหนอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 103 อวดทีวีใหม่

ผู้อำนวยการหลิวเป็นคนจัดการเรื่องใบอนุญาตให้กับหลินม่ายด้วยตัวเอง ทำให้เธอจัดการเอกสารทุกอย่างเสร็จภายใน 4 ชั่วโมง

หลังจากออกจากสำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ หลินม่ายรีบบอกให้เขากลับบ้านเพื่อพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ฟางจั๋วหรานมีงานต้องทำต่ออีก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน หญิงสาวก็ส่งใบอนุญาตให้โจวฉายอวิ๋นดู ก่อนที่จะเก็บมันไว้ที่ตู้ชั้นบน แล้วถีบสามล้อออกไปซื้อข้าวเหนียว หัวเชื้อหมักเหล้า และอุปกรณ์ต่าง ๆ

ข้าวเหนียวและหัวเชื้อหมักเหล้าสามารถหาซื้อได้ที่ตลาดมืดเท่านั้น ส่วนพวกอุปกรณ์อย่างชาม ตะเกียบ สามารถซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป

ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1970 เป็นต้นมา มีสินค้าบางรายการที่ไม่ต้องใช้คูปองในการซื้อ

หญิงสาวถีบสามล้อกลับมาที่บ้าน ได้ยินเสียงจอแจมาจากหน้าบ้านของตัวเอง

ยังไม่ทันที่เธอจะมีเวลาเอาของที่ซื้อมาไปเก็บ ก็ต้องเดินไปที่ครัวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น

เธอพบว่าที่ร้านเต็มไปด้วย ป้า ๆ น้า ๆ มายืนล้อมโจวฉายอวิ๋นอยู่ ไม่แน่ใจว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่

หลินม่ายเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

มองปราดเดียวก็รู้ว่าป้า ๆ น้า ๆ พวกนี้ไม่ใช่ลูกค้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามาทำอะไรกัน

ป้าคนหนึ่งเห็นหลินม่ายก็รีบพูดขึ้นมา “นายหญิงกลับมาแล้ว!”

พวกหล่อนเลิกสนใจโจวฉายอวิ๋นแล้วพากันเฮโลเข้ามาหาหลินม่ายแล้วพูดขึ้นว่า “เสี่ยวหลิน ฉันได้ยินมาว่าเธออยากได้คนมาทำงานเพิ่ม ฉันอยากทำงานที่นี่”

“ฉันก็อยากทำงานที่เหมือนกัน ฉันรีดแป้งเกี๊ยวได้สวยมากนะ”

“ฉันคิดบัญชีเร็วมาก ขายซาลาเปาก็เก่งด้วย”

หลินม่ายเริ่มถามอย่างแปลกใจ “พวกคุณรู้จักฉันได้ยังไงกัน”

โจวฉายอวิ๋นรีบตอบ “คุณป้าทุกคนเป็นเพื่อบ้านที่อยู่ซอยเดียวกับเรา”

หลินม่ายไม่รู้จักพวกเขา แต่วันที่เธอและครอบครัวย้ายเข้ามา เพื่อนบ้านเหล่านี้พากันมาดูจึงทำให้หลินม่ายเป็นที่รู้จักไปโดยปริยาย

หญิงสาวยิ้มแล้วพูดว่า “พวกคุณตามมาจากใบประกาศที่ประตูนี่เอง แต่ในใบสมัครเขียนไว้ว่าเป็นมะรืนนี้ ไม่ใช่วันนี้นี่คะ”

เหล่าป้า ๆ ไม่พอใจเท่าไร กลอกตาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่น่าฟังว่า “โธ่ นี่แค่ธุรกิจเล็ก ๆ เอง ไม่เห็นต้องมากพิธีไปเลย ไหน ๆ ก็มาวันนี้แล้ว ทำไมไม่คัดเลือกวันนี้ไปเลยล่ะ”

ป้าหลายคนเริ่มเอ็ดขึ้น “พวกเราเพื่อนบ้านกันคนกันเองทั้งนั้น เหมือนที่เขาว่า ญาติห่าง ๆ ยังไม่สู้เพื่อบ้านใกล้ชิด ไหน ๆ เราก็มาถึงที่นี่แล้ววันนี้ มันจะไปเสียหายอะไรถ้ารับสมัครตอนนี้เลย หรือว่าไม่อยากชวนให้พวกเรามาที่นี่งั้นเหรอ มันจะไม่เล่นตัวไปหน่อยแล้วน่า”

โจวฉายอวิ๋นที่ฟังอยู่ก็เริ่มโมโหขึ้นมาแต่ไม่ได้พูดออกไป ยัยป้าพวกนี้นี่ มาพล่ามอะไรกันที่นี่

พูดจาดูถูกกันแบบนี้แล้วยังจะกล้ามาสมัครงานอีกงั้นเหรอ มีความอายเหลืออยู่บ้างหรือเปล่า

หลินม่ายยังคงตอบพวกหล่อนด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนบ้านกันนี่แหละค่ะ ฉันก็เลยเกรงใจที่ชวนพวกคุณมา”

น้าคนหนึ่งเอ่ยต่อ “ไม่เห็นจะต้องเกรงใจกันเลย แค่จ่ายเงินเดือนมาก็พอแล้วน่า”

หลินม่ายยังคงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ที่ใบสมัครฉันประกาศรับแค่ผู้ชายสี่คน แต่พวกคุณมากันหลายคนมาก ฉันเลยไม่แน่ใจว่าจะรับใครดี เพราะว่าฉันรับได้แค่จำนวนน้อย ถ้าฉันชวนแค่บางคนก็จะกลายเป็นเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันอีก ก็เลยเลือกไม่ชวนใครเลยดีกว่าเพื่อความสบายใจ”

โจวฉายอวิ๋นมองหลินม่ายอย่างชื่นชม นั่นเป็นการตอบคำถามที่ดีมาก ๆ

ป้า ๆ น้า ๆ เงียบไป ถ้าขอให้หลินม่ายรับตัวเองเข้าทำงานก็เท่ากับเป็นการทำให้คนที่เหลือไม่พอใจอย่างนั้นสิ

หลังจากที่กลุ่มป้า ๆ เหล่านั้นกลับบ้านไป หลินม่ายที่เห็นว่ามีของเหลือให้ขายอยู่แค่ไม่กี่อย่างจึงชวนโจวฉายอวิ๋นไปเตรียมอาหารเย็น

อาหารเย็นวันนี้เตรียมอย่างง่าย ๆ ด้วยอาหารที่เหลือจากตอนเที่ยง

แต่เพราะมื้อเที่ยงมีแต่กับข้าว ไม่ได้เตรียมข้าวสวยเอาไว้ โจวฉายอวิ๋นจึงทำข้าวผัดไข่ที่ผัดด้วยน้ำมันหมูเพิ่มขึ้นมา

การทำข้าวผัดไข่ไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะอะไรมากมายนัก หลินม่ายสอนคนเป็นพี่เพียงไม่นานก็ทำข้าวผัดไข่สำเร็จอย่างรวดเร็ว แถมยังมีรสชาติอร่อยเป็นที่น่าพอใจอีกต่างหาก

เมื่ออาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย หลินม่ายก็เดินไปที่บันไดแล้วเรียกโต้วโต้วให้ลงมากินข้าว คนเป็นแม่เรียกลูกสาวอยู่สองครั้งติดต่อกันแต่ได้รับตอบกลับมาเพียงความเงียบจากชั้นบน

โจวฉายอวิ๋นที่ถือจานสองใบเดินออกมาจากครัวก็เริ่มขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสังเกตว่า “วันนี้โต้วโต้วแปลก ๆ นะทำไมนอนนานจัง”

หลินม่ายรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างจึงเดินขึ้นไปที่ชั้นบน

หญิงสาวเข้าไปในห้องนอนก็เห็นว่าโต้วโต้วยังหลับอยู่

เธอรีบเอื้อมมือไปอังหน้าผากลูกเพื่อตรวจดูว่าตัวร้อนหรือเปล่า ก็พบว่าโต้วโต้วตัวร้อนเล็กน้อย น่าจะมีไข้ต่ำ ๆ

ร่ากายของเด็กน้อยมีปัญหาอยู่บ่อย ๆ และยังเป็นไข้ในวันอากาศร้อนได้อีก

เธอยังให้ลูกกินยาที่หมอสั่งตอนป่วยคราวก่อนไม่ครบดีเลยด้วยซ้ำ

หลินม่ายหยิบเอายาที่มีอยู่ออกมา เทน้ำอุ่นลงในแก้ว แล้วปลุกโต้วโต้วขึ้นมากินยา

เด็กน้อยตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง พิงแขนของแม่แล้วกินยาทั้งที่ยังไม่ตื่นดี

เธอพาลูกลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อไปกินข้าวด้วยกันที่ชั้นล่าง

เมื่อเด็กน้อยเดินผ่านห้องนั่งเล่นก็มองเห็นโทรทัศน์เครื่องใหม่ที่ถูกตั้งเอาไว้

อาการอ่อนเพลียเพราะไม่สบายของหล่อนดูสดใสขึ้นมาทันทีที่เห็นทีวีเครื่องนั้น “แม่ซื้อทีวีมาเหรอคะ?”

หลินม่ายคิดได้ว่าเธอต้องจ่ายอาหารเช้าให้ฟางจั๋วหรานเป็นค่าทีวีเครื่องนี้ ดังนั้นก็นับได้ว่าเธอเป็นคนซื้อมา จึงได้พยักหน้าตอบลูกสาวไป

เด็กน้อยรีบกอดต้นขาของเธออย่างมีความสุขแล้วพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “แม่น่ารักที่สุดเลย”

คนเป็นแม่ตบก้นลูกสาวแล้วพูดว่า “เลิกชมแม่แล้วลงไปกินข้าวกันดีกว่า”

โต้วโต้วชี้ไปที่ทีวีแล้วบอกว่า “แม่คะ เอาทีวีลงไปข้างล่างหน่อยสิ หนูอยากดูทีวีไปกินข้าวไปด้วย”

“อยู่ข้างบนก็กินข้าวไปดูไปได้ ทำไมถึงอยากเอาลงไปดูข้างล่างล่ะ”

หลินม่ายกลัวว่าถ้าเอาทีวีไว้ชั้นล่างจะทำให้มีคนเข้ามาวุ่นวายจนเกิดปัญหาหรือเสียหายได้ เลยตั้งใจวางโทรทัศน์เครื่องนี้ไว้ที่ชั้นบน

เจ้าหนูน้อยยังคงชี้ไปที่ทีวีแล้วเล่าต่อว่า “หนูอยากให้หยางหยางเห็น ว่าบ้านเราก็มีทีวีเหมือนกัน”

แม้จะเป็นเพียงแค่เด็กน้อย แต่ก็รู้สึกอึดอัดใจที่ถูกหัวเราะเยาะได้เช่นกัน คำตอบนั้นทำให้หลินม่ายเลิกคิ้วด้วยความเข้าใจ

แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ได้เกินขอบเขตมากไปนัก หลินม่ายจึงพยักหน้าตกลง

“แต่แม่จะให้เอาไปดูชั้นล่างแค่วันนี้นะ พรุ่งนี้ต้องเอากลับมาวางชั้นบนเหมือนเดิมเข้าใจไหม”

“ทำไมล่ะคะ” เจ้าตัวเล็กถามต่ออย่างไม่เข้าใจ

หลินม่ายตอบลูกลูกสาว “วางไว้ที่ชั้นล่าง คนโน้นมาย้าย คนนี้มาจับ ย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวพังไวกันพอดี”

เด็กน้อยพยักหน้าแล้วรับคำ “ได้ค่ะ”

แม่ลูกจึงพากันยกทีวีลงไปชั้นล่าง

ส่วนโจวฉายอวิ๋นจัดโต๊ะรอสำหรับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้ว

หลินม่ายวางทีวีไว้ที่หน้าโต๊ะกินข้าว แล้วทั้งสามก็เริ่มกินมื้อเย็นด้วยกัน

โต้วโต้วได้กลิ่นหอมของน้ำมันหมูที่ใช้ผัดข้าวผัดไข่ก็เริ่มน้ำลายสอ มือเล็ก ๆ ตบเข้าเข้าหากันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ได้กินข้าวผัดไข่น้ำมันหมูแล้ว!”

ในตอนนั้นเองที่หยางหยาง เด็กชายข้างบ้านวิ่งมาที่ประตูร้านพร้อมกับชามข้าวของตัวเองเพื่อมาโอ้อวดกับโต้วโต้ว “ฉันจะไปเปิดทีวีดูแล้ว ยัยบ้าอย่างเธออย่ามายุ่งเชียวนะ ถ้ามาวุ่นวายฉันจะตีเธอแน่”

โต้วโต้วรีบตอบกลับอย่างโมโห “ใครจะไปอยากสนใจทีวีเจ๊งกะบ๊งแบบนั้นกันล่ะ แม่ฉันซื้อทีวีให้ใหม่แล้ว ถ้ายังกล้ามาดูถูกกันอีกฉันจะให้อาหวงไปกัดเลย”

อาหวงที่กำลังกินข้าวผัดเป็นอาหารเย็นได้ยินแบบนั้นก็เริ่มเห่าและแยกเขี้ยวใส่หยางหยางราวกับว่าเข้าใจเรื่องที่เด็กทั้งสองเถียงกัน ท่าทางเหมือนจะตรงเข้าไปกัดหยางหยางเมื่อไรก็ได้

หยางหยางเถียงอย่างไม่เชื่อ “อย่ามาโม้น่า ย่าฉันบอกว่าบ้านเธอจนจะตาย จะซื้อทีวีได้ไง ซอยนี้มีแค่บ้านฉันกับบ้านของเสี่ยวพ่างเท่านั้นที่มีทีวี”

เด็กชายไปยืนอยู่ที่มุมตู้ บังโทรทัศน์เครื่องใหม่อยู่พอดีจึงไม่ทันได้มองเห็น

หลินม่ายเดินไปเสียบปลั๊กทีวีแล้วเปิดเครื่อง ก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวอย่างเงียบ ๆ

โต้วโต้วชี้ไปที่ทีวีอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดเกทับหยางหยางบ้าง “ดูซะ ทีวีใหม่ เครื่องใหญ่กว่าที่บ้านนายอีก แถมไม่มีหิมะตกในทีวีด้วย ไม่เหมือนทีวีเจ๊งกะบ๊งของบ้านนายที่ดูก็ไม่ชัดมีแต่เกล็ดหิมะเต็มไปหมด”

คราวนี้หยางหยางจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างเจ็บใจ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เด็กอะนะ ขอแค่ได้อวดของใหม่แก้แค้นก็นับว่าสบายใจแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 102 ทั้งชีวิตเลยก็ได้

หลินม่ายออกไปที่ร้านค้าเล็ก ๆ ของรัฐที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก เพื่อซื้อหมึก พู่กัน กระดาษ เพื่อใช้เขียนประกาศรับสมัครคนงาน

ลำพังเธอและโจวฉายอวิ๋นทำงานกันแค่สองคนค่อนข้างจะหนักเอาเรื่อง ทำให้ตกลงกันว่าจะจ้างคนเพิ่มเป็นผู้ชายซักสองคน

หญิงสาวบังเอิญเห็นลุงขายซึ้งถูกป้าหูลากไปที่บ้านของหล่อน แต่ไม่รู้ว่าทั้งสองกำลังคุยเรื่องอะไรกัน

ป้าหูเห็นว่าหลินม่ายมองอยู่จึงมีท่าทางหลบเลี่ยงเล็กน้อย น่าจะเพราะเรื่องที่ผ่านมา

หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะขวมดคิ้ว นี่มันยายแม่มดเฒ่าจอมหยิ่งไม่ใช่เหรอ พอเจอกันแบบนี้ก็ทำทีเป็นหลบหน้าอย่างนั้นสินะ

หญิงสาวไม่ได้สนใจอะไร เธอตรงไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อของแล้วก็กลับมาที่บ้าน

โจวฉายอวิ๋นเอาซึ้งไม้ไผ่อันใหม่ออกมาจากห้องครัว เมื่อเห็นว่าหลินม่ายนั่งเขียนพู่กันอยู่ที่โต๊ะก็ทิ้งตัวลงนั่งด้วยความสงสัย

แม้ว่าหญิงสาวจะมีดวงตากลมโตราวกับนกฮูก แต่น่าเสียดายที่ไม่สามรถจดจำตัวหนังสือได้มากมายอะไร

จดจ้องอยู่นานก็ไม่เข้าใจความหมายของข้อความที่ถูกเขียน “เขียนอะไรอยู่เหรอ”

หลินม่ายตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง “ประกาศรับสมัครงาน”

แล้วอธิบายเพิ่มเติมว่า “ฉันว่าจะหาผู้ชายมาช่วยงานซักสองสามคน”

โจวฉายอวิ๋นถามด้วยความสงสัย “เราทำกันสองคนไม่พอเหรอ ถ้ามีคนเพิ่มมาจะเป็นการเพิ่มต้นทุนหรือเปล่า”

หลินม่ายเหล่มองอีกฝ่าย “แต่ทุกวันนี้เราทำงานกันไม่ได้พักเลย ถ้ามีผู้ชายสักสองสามคนมาช่วยก็ได้พักบ้าง แถมเมื่อเช้าตอนขายซาลาเปา ลูกค้าหลายคนบอกว่าแค่ซาลาเปาไข่ต้มดองซีอิ๊วสองอย่างไม่พอ เลยอยากเพิ่มเมนูข้าวต้ม ข้าวหมาก แล้วก็เกี๊ยวต้มมาอีก ถ้าเราทำกันแค่สองคนก็คงเพิ่มเมนูไม่ได้ จ้างคนเพิ่มนั่นแหละดีแล้ว”

โจวฉายอวิ๋นถามเพิ่ม “แล้วอยากจ้างเพิ่มกี่คน”

หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คนหนึ่งมาช่วยทำซาลาเปา คนหนึ่งมาช่วยห่อเกี๊ยว อีกคนมาช่วยต้มเกี๊ยว แล้วก็ต้องมีคนมาช่วยขายของตอนนี้อยากได้สักสี่คน”

เมื่อธุรกิจเริ่มไปได้ดีหลินม่ายวางแผนจะเพิ่มลูกจ้างอีกซักสองคนแล้วก็จะได้อยู่อย่างสบาย ๆ ได้เสียที

เธอไม่อยากจะเป็นเหมือนในชาติก่อน เพื่อประหยัดเงินค่าจ้างกลับต้องแลกกับการต้องเหนื่อยทำงานหนักไปจนแก่ เพราะงั้นต้องรีบจัดการทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนนี้

เมื่อมีโอกาสอีกครั้ง เธอจะไม่ยอมแลกเงินเหล่านั้นกับสุขภาพของตัวเองเป็นอันขาด

หลังจากเขียนประกาศรับสมัครและติดประกาศไว้ที่ประตูเรียบร้อย หลินม่ายก็ขึ้นไปพักผ่อนที่ชั้นบน

วางแผนที่จะหลับซักงีบ แล้วไปซื้อข้าวเหนียว กับอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับทำข้าวหมาก

ข้าวต้มและเกี๊ยวจะเริ่มขายได้เมื่อมีคนมาเพิ่ม แต่ข้าวหมากจะต้องขายในวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่ของแห้งติดคอมาขาย ลูกค้าคงหนีกันหมด

คนเจียงเฉิงชอบกินอาหารเช้าที่มีทั้งของแห้งให้เคี้ยวและแบบมีน้ำด้วยจะได้เข้ากัน

เมื่อหญิงสาวเข้าไปในห้องก็พบว่าโต้วโต้วนอนหลับอยู่ที่เปลของตัวเอง

นั่นทำให้หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าลูกกำลังเล่นกับเด็ก ๆ อยู่ด้านนอก

แต่หลินม่ายไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นเรื่องที่ปกติเด็ก ๆ จะง่วงเพราะเหนื่อยจากการเล่น

หลังจากที่ฟางจั๋วหรานออกจากร้านซาลาเปาของหลินม่าย ชายหนุ่มยังไม่กลับบ้าน แต่เขาไปที่สำนักงานอุตสาหกรรมและการพาณิชย์เขตฮั่นโข่ว เพื่อยื่นขอใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจให้หลินม่าย

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ลูกชายของผู้อำนวยการหลิวตรวจพบถุงน้ำในตับ ซึ่งปกติไม่ใช่โรคร้ายแรงและไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต

แต่เพราะมีสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เด็กและตับของเขาก็เสียหายอย่างรุนแรง

ทำให้ไม่มีใครกล้าทำการผ่าตัดให้ลูกชายของเขา ทำได้เพียงแค่นอนรอความตายเท่านั้น

เป็นฟางจั๋วหรานที่ใช้ทักษะการผ่าตัดอันยอดเยี่ยมมาช่วยชีวิตลูกชายของเขาและไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ

ผู้อำนวยการหลิวมีลูกชายเพียงคนเดียว อีกฝ่ายจึงรู้สึกขอบคุณอย่างมาก เคยแสดงความขอบคุณเขาด้วยซองแดงแต่แพทย์หนุ่มไม่ได้รับเอาไว้

ฟางจั๋วหรานขอให้เขาช่วย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ

นอกจากจะมีเอกสารพร้อมอยู่แล้วทำให้สามารถยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ จึงไม่ผิดกฎหมายอะไรที่จะช่วยฟางจั๋วหราน

เพียงแต่ว่าฟางจั๋วหรานยังไม่มีข้อมูลของหลินม่ายที่จะใช้ในการสมัคร ซึ่งผู้อำนวยการหลิวไม่สามารถออกเอกสารให้ได้ต้องได้ข้อมูลส่วนนี้ก่อนถึงจะสามารถทำใบอนุญาตให้ได้

ฟางจั๋วหรานเข้าใจในเรื่องนั้นดี

เขามาติดต่อในครั้งนี้เพื่อขอข้อมูลให้แน่ใจว่าผู้อำนายการหลิวจะสามารถช่วยเรื่องนี้ได้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ได้เขาจะได้ลองไปติดต่อคนอื่น

เมื่อรู้ว่าผู้อำนวยการหลิวสามารถช่วยได้ก็รู้สึกวางใจ

ฟางจั๋วหรานไม่ได้รีบกลับไปที่ร้านซาลาเปาของหลินม่าย แต่กลับไปที่โรงพยาบาลผู่จี้และค้นหาคูปองอุตสาหกรรมของเพื่อนร่วมงาน

หลังจากได้คูปองอุตสาหกรรมครบ 10 ใบ ก็ไปที่ห้างสรรพสินค้าทันทีเพื่อซื้อโทรทัศน์ขาวดำ 14 นิ้วยี่ห้อโบตั๋นให้กับโต้วโต้ว

เมื่อนึกถึงโต้วโต้วที่ต้องไปคอยยืนดูทีวีที่หน้าบ้านคนอื่นเขาก็รู้สึกแย่เหมือนกับการเห็นลูกตนเองถูกรังแก

ชายหนุ่มกลับมาที่ร้านของหลินม่ายพร้อมกับทีวีเครื่องใหม่ แต่พบเพียงโจวฉายอวิ๋นที่ขายของอยู่

เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานที่ออกไปแล้วกลับมาอีกครั้งก็คิดว่าเขาลืมอะไรหรือเปล่า

ทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มซื้อทีวีมาให้โต้วโต้ว โจวฉายอวิ๋นก็ตกใจมาก

ทีวีราคามากกว่า 400 หยวน เทียบได้กับราคาของบ้านสองชั้นหลังเล็ก ๆ ในชนบท แต่ผู้ชายคนนี้กลับซื้อมันมาให้โต้วโต้วได้อย่างสบาย ๆ

โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

โจวฉายอวิ๋นไม่กล้ารับของชิ้นใหญ่นี้โดยไม่ได้ถามหลินม่ายก่อนจึงรีบขึ้นไปชั้นบน

แม้ว่าหลินม่ายจะหลับสบายอยู่แต่เธอก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปปลุก “หลินม่าย ตื่นก่อน ๆ ลุกขึ้นเร็ว”

หลินม่ายลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้น?”

โจวฉายอวิ๋นตาโตเท่าไข่ห่าน “เรื่องใหญ่แล้ว อาจารย์ฟางซื้อทีวีมาให้โต้วโต้ว”

เมื่อหลินม่ายได้ยินดังนั้น ความงัวเงียในตอนแรกก็หายไปทันที

คิดว่าตัวเองฟังผิดไป “ทีวี?”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าอย่างจริงจัง

หลินม่ายลุกขึ้นจากเตียงในทันที ตามคนเป็นพี่ลงไปชั้นล่าง พบว่าฟางจั๋วหรานกำลังช่วยเฝ้าร้านให้อยู่

มีกล่องกระดาษแข็งขนาดใหญ่อยู่บนโต๊ะด้านหลังของเขา และคำว่า โบตั๋น TV ก็เขียนไว้บนกล่องกระดาษแข็งอย่างโดดเด่น

ฟางจั๋วหรานได้ยินเสียงคนมาจากด้านหลัง ชายหนุ่มจึงหันกลับมายิ้มให้เจ้าของร้าน “ผมขายไข่ต้มดองซีอิ๊วได้ทีเดียวตั้ง 5 ฟอง”

แต่หลินม่ายชี้ไปที่ทีวีแทน “ฉันรับไว้ไม่ได้ นี่มันแพงเกินไป”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ผมซื้อให้โต้วโต้ว”

“ไปซื้อมาจากไหน ยังไงก็รับไว้ไม่ได้หรอก” หญิงสาวยืนยันหนักแน่น

แต่ชายหนุ่มยิ้มกริ่มขึ้นมา “ผมซื้อมาแล้ว คืนไม่ได้ด้วย จะให้ทำยังไง”

ในยุคสมัยนี้สินค้าที่ซื้อจากห้างสรรพสินค้าของรัฐไม่มีการรับประกันหรือเปลี่ยนคืน

หลินม่ายชะงักนิ่ง ตอนแรกคิดว่าจะบอกให้เขาเอาทีวีไปให้คุณปู่คุณย่าฟาง

แต่ก็คิดขึ้นมาได้ว่าในชนบทไม่มีสัญญาณโทรทัศน์ ถ้าส่งมันไปที่นั่นคงหนีไม่พ้นจะกลายเป็นแค่ของตกแต่งเท่านั้น

หลังจากที่ไตร่ตรองดูแล้วก็บอกเขาไปว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะซื้อทีวีเครื่องนี้ต่อ จะรีบจ่ายคืนให้หมดในสองเดือนได้ไหม”

ฟางจั๋วหรานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้าตอบ “แต่ไม่ต้องจ่ายเป็นเงินหรอก เอาเป็นเลี้ยงอาหารในร้านนี้แทนละกัน”

หลินม่ายตกตะลึง “แค่เงินยี่สิบเหรียญที่คุณให้ฉันซื้อเฟอร์นิเจอร์ยังตั้งนานกว่าจะจ่ายคืนได้ แล้วทีวีนี่จะต้องใช้เวลาเท่าไร ทั้งชีวิตเลยงั้นเหรอ”

ชายหนุ่มยิ้มตอบ “ก็…ทั้งชีวิตเลยก็ได้”

โจวฉายอวิ๋นที่เป็นคนกลางมองไปทั้งสองคนด้วยความรู้สึกสงสัยในบรรยากาศระหว่างหนุ่มสาวทั้งคู่

แต่ก็ไม่แน่ใจว่าอะไรที่มันแปลก

หลินม่ายยกมือขึ้นมาเกาคิ้วตัวเองและในที่สุดก็ต้องปล่อยเลยตามเลย รับข้อเสนอของเขา

เธอเตรียมการจะย้ายทีวีไปที่ชั้นบน

“เอามาสิ ผมช่วยเอง” ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะดึงทีวีไปจากมือของเธอ

เขาวางทีวีไว้ที่ชั้นบนในห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ที่สองแม่ลูกมักจะเข้าไปนั่งพักผ่อน

ฟางจั๋วหรานวางโทรทัศน์ลงแล้วกล่าวว่า “ผมไปเจอผอ.หลิว ที่สำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของฮั่นโข่ว เขาบอกว่าจะช่วยออกใบอนุญาตทำธุรกิจให้คุณ แต่ว่าต้องเตรียมเล่มทะเบียนบ้านกับเอกสารการสมัครมาก่อน แล้วเดี๋ยวผมจะพาไปทำใบอนุญาตด้วยกัน”

หลินม่ายรีบหยิบเล่มทะเบียนบ้านออกมาจากตู้ กรอกเอกสารสำหรับสมัครอย่างรวดเร็ว และออกไปที่สำนักงานกับฟางจั๋วหรานทันที

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

แน่ใจเหรอว่าแค่น้องสาว ขนาดซื้อทีวีมาให้แล้วให้เขาจ่ายหนี้ทั้งชีวิตนี่ไม่เรียกว่าน้องสาวแล้วนะคะพี่หมอ

ตกใจเหมือนกันค่ะ เรือลำน้อยจู่ๆ อัพเกรดเป็นเรือสำราญเฉย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 101 ลูกหมีที่ทรยศต่อย่า

โต้วโต้วลังเลอยู่เล็กน้อย เงยหน้ามองคนเป็นอาแล้วถามด้วยความสงสัย “แต่แม่บอกหนูว่าอย่ายอมให้ใครรังแกได้ ต้องเอาคืนให้สาสม เมื่อวานหยางหยางไม่ยอมให้หนูยืนดูทีวีที่หน้าบ้านของเขา แล้วทำไมหนูจะต้องให้เขามาแตะต้องวิทยุของหนูด้วย”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกแย่ในใจเมื่อเห็นว่าโต้วโต้วกำลังรู้สึกไม่ดี “แม่ของหนูพูดถูกแล้ว ทำตามที่แม่สอนเถอะ”

สีหน้าของโต้วโต้วดูสดชื่นขึ้นทันที เธอเอียงศีรษะแล้วหันไปตอบโต้กับหยางหยาง “อย่ามาแตะต้องของของฉันนะ ยังไงฉันก็ไม่ยอมหรอก”

หยางหยางโกรธมาก กวาดหนังสือการ์ตูนของโต้วโต้วทั้งหมดบนโต๊ะลงบนพื้น “อย่ามาแตะตัวฉันนะ! ยัยลูกนอกไส้!”

โต้วโต้วกระพริบตากลมโตด้วยความสงสัย แม้จะไม่เข้าใจคำว่า ‘ลูกนอกไส้’ แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันเป็นคำพูดที่ไม่ดี

ฟางจั๋วหรานดูนิ่งขึ้นอย่างน่ากลัว “เก็บหนังสือการ์ตูนทั้งหมดมาให้ฉัน แล้วขอโทษโต้วโต้วซะ หล่อนไม่ใช่ลูกนอกไส้”

หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นได้ยินบทสนาทนาในครัว ทั้งสองจึงรีบเดินเข้ามาดูอย่างรวดเร็ว

หญิงสาวมองหยางหยางอย่างไม่มั่นใจแล้วหันไปถามโต้วโต้วด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

โต้วโต้วรีบตรงเข้าไปหาแม่ เด็กน้อยชี้มือไปที่หยางหยางแล้วงอแง “หยางหยางว่าหนูว่าเป็นลูกนอกไส้แล้วโยนการ์ตูนของหนูทิ้ง”

หลินม่ายเริ่มดุทันที “เธอเรียกใครว่าลูกนอกไส้?”

หยางหยางกลัวจนหน้าซีดแล้วรีบหนีกลับบ้านไป

ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ราวกับเป็นฝ่ายถูกรังแกจากข้างบ้าน

หลังจากนั้นไม่นานป้าหูก็ตรงเข้ามาด้วยความโกรธจนหน้าขึ้นสี หล่อนเข้ามาพูดกับผู้ใหญ่ทั้งสามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มารังแกเด็ก ไม่รู้จักอายบ้างหรือไง?”

ฟางจั๋วหรานตอบโต้กลับไปด้วยสีหน้าเย็นชา “เรารังแกเด็กยังไงครับ?”

ป้าหูยกแขนขึ้นท้าวเอวอย่างเอาเรื่อง “หลานฉันวิ่งกลับมาบอกว่าคุณตะคอกเขา”

หลินม่ายรีบโต้กลับ “ทำไมไม่ถามเราบ้างว่าทำไมเราถึงต้องตะคอกเขา เขาว่าโต้วโต้วว่าเป็นลูกนอกไส้”

เจ้าลูกหมีที่มาด้วยกันกลับทรยศย่าของเขาขึ้นมาเป็นครั้งแรก

หยางหยางร้องไห้แล้วรีบเถียงว่า “ผมไม่ได้เรียกโต้วโต้วว่าลูกนอกไส้ ก็เมื่อคืนนี้ย่าเป็นคนบอกพ่อกับแม่ว่าโต้วโต้วเป็นลูกนอกไส้…”

ป้าหูหน้าชาไปในทันที

แม้ว่าหล่อนจะบอกกับคนในบ้านว่าโต้วโต้วเป็นลูกนอกไส้เพราะได้ยินหลินม่ายบอกว่าเธอไม่มีสามี

แต่เรื่องบางเรื่อง คำบางคำสามารถใช้พูดได้เพียงแค่ลับหลังเท่านั้นถ้าไม่อยากมีเรื่อง

คนเป็นย่าใช้มือตบไปที่หลังของหลานชาย “ฉันไปพูดอย่างนั้นเมื่อไหร่! ไอ้เด็กนี่!”

หยางหยางที่ถูกตีทั้ง ๆ ที่พูดความจริงก็ยิ่งร้องไห้ดังกว่าเดิม “ก็เมื่อคืนย่าพูดนี่…ฮือ…”

“ย่าไม่ได้พูด !”

ขณะที่ตีหลานรัก ป้าหูก็ดันหลังเจ้าเด็กน้อยออกไป หวังจะเนียนหนีไปจากตรงนี้

ฟางจั๋วหรานกลับไปขวางทางไว้แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “หลานชายคุณขอโทษโต้วโต้วหรือยัง เก็บการ์ตูนที่โยนลงพื้นขึ้นมาหรือยัง จะกลับได้ยังไงครับ”

ป้าหูพูดต่อด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์ “จะเอาอะไรนักหนา ก็แค่เด็กมันทะเลาะกัน”

หลินม่ายรีบพูดต่อ “เป็นเด็กพูดจาแย่แล้วไม่ต้องขอโทษหรือไง บ้านนี้สอนลูกหลานกันแบบนี้เหรอ”

ป้าหูจนใจจะเลี่ยงบาลี หล่อนจึงตีหลานตัวเองอีกสองสามครั้งแล้วบอกให้เขาขอโทษโต้วโต้ว พร้อมกับเก็บหนังสือการ์ตูนทั้งหมดขึ้นจากพื้นมาวางบนโต๊ะ เพื่อจะได้จบเรื่องจบราวแล้วกลับบ้านไป

หลังจากทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ หลินม่ายก็เตรียมอาหารกลางวันแล้วจัดโต๊ะอาหาร

คากิตุ๋นสมุนไพร หูหมูตุ๋น กระเพาะหมูผัดพริก ปลาทรายแดงตุ๋น แล้วก็ยังมียำผักกาดหอมกับผัดดอกกะหล่ำ

ยำผักกาดหอมและผัดดอกกะหล่ำปรุงขึ้นโดยผักที่ได้จากลุงฉี

แม้ว่าครอบครัวของหลินม่ายจะย้ายจากหมู่บ้านซานหยางมาที่ถนนเจี่ยเฟิงแล้ว แต่ลุงฉีก็ยังรับหน้าที่ส่งวัตถุดิบมายังที่บ้านนี้อยู่เหมือนเดิม

ลุงฉีสูงอายุมากแล้ว ทำมาหากินเริ่มลำบาก มีอะไรที่พอช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป

อาหารทุกจานที่หลินม่ายเตรียมไว้ส่งกลิ่นหอมดึงดูดผู้คนให้พากันมาชะเง้อดู แล้วอดกลืนน้ำลายตามไม่ได้เมื่อเห็นว่าอาหารน่ากินขนาดไหน

มีบางคนที่มาถามเพราะอยากสั่งอาหารแบบนี้ แต่หลินม่ายตอบพวกเขาไปว่าเธอขายแค่ซาลาเปาเท่านั้น

ฝีมือการทำอาหารของหลินม่ายไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าเชฟจากร้านอาหาร ฟางจั๋วหรานเอ่ยชมไม่หยุด

ชายหนุ่มรู้ว่าเธอยังมีงานต้องทำ ต่อหลังอาหารกลางวันจบลงอย่างรวดเร็วเขาจึงรีบขอตัวกลับไปทำงาน

หลินม่ายรีบตามมาในขณะที่เขายังออกมาได้ไม่ไกลเท่าไร เธอยื่นธนบัตรสิบหยวนให้เขาหลายใบ “นี่เงินค่าเสื้อผ้าของฉันกับโต้วโต้ว”

ในตอนแรกหลินม่ายจะรับไว้เพียงแค่เสื้อผ้าของโต้วโต้ว และคืนชุดของเธอให้กับเขา

แต่พอคิดแล้วว่าเขาอาจจะเสียหน้าเลยเปลี่ยนเป็นคืนเงินให้เขาแทน

ฟางจั๋วหรานแอบดีใจไปก่อนหน้านี้ที่หลินม่ายยอมรับของจากเขาเสียที

ไม่คิดว่าสุดท้ายเธอก็ยังจะมาจ่ายเงินอีกอยู่ดี

ทั้งคู่สบตากันซักพัก ชายหนุ่มตัดสินใจรับธนบัตรนั่นมาเพียงสามใบเท่านั้น “เสื้อผ้าพวกนั้นราคาสามสิบหยวน”

หลินม่ายเริ่มสงสัยว่าเขากำลังโกหก ผ้าเนื้อดีขนาดนั้นจะมาราคาแค่สามสิบหยวนได้ยังไง

แต่หญิงสาวก็ต้องเก็บมันไว้เป็นเพียงความสงสัยในใจ เพราะกลัวว่าเขาอาจจะเสียหน้าได้ เธอจึงทำเป็นเชื่อแล้วตามน้ำไป

ช่วงเที่ยงร้านค้าเงียบเหงากว่าตอนเช้ามาก พวกเธอขายซาลาเปาได้เพียงร้อยลูกและหลังบ่ายสองก็ไม่มีลูกค้าอีก

โจวฉายอวิ๋นนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนถนนด้านหน้าด้วยความสงสัย “ตอนเที่ยงแบบนี้ทำไมไม่ค่อยมีคนซื้อซาลาเปาเลยนะ”

หลินม่ายคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “น่าจะเป็นนิสัยการกินของคนเจียงเฉิง คนที่นี่ไม่คุ้ยเคยกับการกินอาหารเส้นหรือพวกแป้งทุกมื้อ แถมยังชอบกินข้าวเป็นมื้อเที่ยงกับมื้อเย็นมากกว่า”

โจวฉายอวิ๋นจึงเริ่มกังวลใจ “แล้วซาลาเปาในครัวที่ยังเหลือเป็นร้อยลูกนั่นล่ะ”

“วางใจได้ เดี๋ยวฉันถีบสามล้อออกไปขายเอง”

เพียงครึ่งชั่วโมงต่อมาหลินม่ายก็กลับมาจากการออกไปขายซาลาเปาข้างนอก

โจวฉายอวิ๋นยิ่งสงสัยมากขึ้นเข้าไปอีก “แปลกจังที่ไม่มีคนมาซื้อซาลาเปาที่ร้าน แต่พอออกไปขายริมถนนก็ขายหมด”

หลินม่ายถอนหายใจออกมา “ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อซาลาเปาไปเป็นมื้อกลางวัน แต่จะเอาไปกินเล่นเป็นของว่าง หรือคนที่ซื้อเป็นมื้อกลางวันก็เป็นคนที่ต้องรีบซื้อรีบกินน่ะสิ”

คนเป็นพี่รินน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้วก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วเท้าคางกับโต๊ะพลางเอ่ยขึ้น “ตอนเที่ยงซาลาเปาขายยากมาก แบบนี้จะเอายังไงดี”

หลินม่ายดื่มน้ำทั้งหมดในรอบเดียว วางแก้วเปล่าลงแล้วรีบพูดขึ้น “ถ้าซาลาเปามันขายยาก เราก็เปลี่ยนมาขายข้าวแทน น่าจะดีกว่า”

โจวฉายอวิ๋นเหลือมองเธอ “ตอนแรกฉันก็คิดแบบนั้น แต่ถ้าขายกับข้าว ยังต้องมีเครื่องเคียงเป็นพวกผักเอาไว้เสิร์ฟอีก ฉันทำอาหารได้แค่พวกกับข้าวที่กินกันเองในบ้าน จะให้ทำขายก็น่าจะยาก ไม่น่าจะมีคนกิน เธอทำอาหารเก่งมากก็จริง แต่ถ้าเรามีลูกค้า พวกเขาสั่งอาหารมากกว่าหนึ่งอย่างแน่ ๆ ลองคิดว่าเธอทำคนเดียวมันจะยุ่งขนาดไหน แล้วยิ่งถ้าต้องรับซักสองสามโต๊ะพร้อมกัน ฉันก็ยังไม่เก่งพอจะช่วยเธออีก”

แต่หลินม่ายมีแผนในใจอยู่แล้วในเรื่องนี้ “พี่ทำกับข้าวไม่เก่ง แต่ทำข้าวผัดไข่ได้ไม่ใช่เหรอ ตอนเที่ยงก็ขายข้าวผัดไข่ ทำง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ยังไงก็อร่อยอยู่แล้ว แค่เติมพริกไทยกับผงปรุงรส อาหารที่ทำขายจะต้องปรุงให้รสจัดกว่าที่กินกันเองที่บ้าน ไม่งั้นอาหารตามร้านจะมีแต่ซอสแดง ๆ ดูเยิ้ม ๆ เหรอ”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเรามาขายข้าวผัดไข่ตอนเที่ยง แล้วตอนค่ำเธอมาสอนฉันทำกับข้าว”

ขณะที่สองสาวกำลังตกลงกัน ลุงขายซึ้งก็เอาซึ้งไม้ไผ่ที่สั่งไว้มาส่งที่บ้าน

หลินม่ายตรวจดูแล้วไม่มีปัญหาอะไรจึงจ่ายเงินไปอย่างมีความสุข

ลุงขายซึ้งรับเงินแล้วก็จากไป

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ชอบฝีปากพี่หมอนะคะ คมพอๆ กับมีดผ่าตัดเลย

งานไม่ใหญ่แน่นะวิ จะผันตัวไปขายข้าวแกงแทนซาลาเปาแล้วนะวิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 100 บทสนทนาที่น่าอึดอัด

จนเวลาล่วงเลยไปถึงเก้าโมง หลินม่ายก็ขายซาลาเปาได้ทั้งหมดสี่ร้อยลูก ไข่ต้มอีกสองร้อยฟอง

ถือว่าขายดีกว่าตอนที่เธอเร่ขายตามริมถนนมากทีเดียว ที่สำคัญคือไม่ต้องเผชิญกับลมฝน และไม่ถูกใครขับไล่

หลังเก้าโมงครึ่ง ลูกค้าหน้าร้านก็เริ่มเบาบางลงไปบ้าง ทำให้ฟางจั๋วหรานมีเวลาพูดคุยกับหลินม่าย

เขาชี้ไปทางป้าหูที่คอยชะเง้อชะแง้ออกมาจากบ้านของตัวเองเป็นครั้งคราว แล้วถามพลางขมวดคิ้ว “ทำไมป้าคนนั้นเขาถึงเอาแต่แอบมองคุณอยู่เรื่อยเลย?”

หลินม่ายพูดติดตลก “หล่อนคงไม่ได้มองฉันหรอกค่ะ คงแอบมองคุณเสียมากกว่า”

พอป้าหูเห็นว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานหันมองมาที่ตัวเอง หล่อนก็ผลุบหายกลับเข้าบ้านของตัวเองไปอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าหน้าร้านเริ่มเงียบแล้ว หลินม่ายก็เดินไปที่ประตูห้องครัว พูดกับโจวฉายอวิ๋นว่า “พี่หยุดทำซาลาเปาก่อนเถอะค่ะ ฉันขอฝากร้านแปบหนึ่ง ว่าจะพาโต้วโต้วออกไปซื้อวิทยุเทปกับการ์ตูนสักหน่อย ไม่นานจะรีบกลับมา”

ฟางจั๋วหรานพูดยิ้ม ๆ “ไม่ต้องรบกวนหล่อนหรอก เดี๋ยวผมช่วยเฝ้าร้านให้ก็ได้”

หลินม่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยอมรับการอาสาจากเขา

หลังจากนับเงินแล้ว เธอก็เดินไปเรียกโต้วโต้วที่กำลังวิ่งเล่นอยู่กับอาหวงจนเหงื่อท่วมตัว ไม่นานนักเด็กหญิงตัวน้อยกับสุนัขของเธอก็วิ่งปร๋อกลับมา

หลินม่ายกำชับให้หล่อนขึ้นไปอาบน้ำล้างตัวเสียก่อน แล้วถึงจะพาออกไป

ทันทีที่โต้วโต้วได้ยินว่าหลินม่ายจะพาหล่อนออกไปเลือกซื้อวิทยุเทปและหนังสือการ์ตูน เด็กหญิงตัวน้อยก็ดีใจจนลิงโลด ไม่ยอมขึ้นไปอาบน้ำท่าเดียว และรบเร้าให้แม่พาไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อพวกมันโดยเร็ว

ปลายเดือนเมษายน สภาพอากาศค่อนข้างร้อนทีเดียว เป็นปกติที่วิ่งเล่นไม่ทันไรเหงื่อก็ท่วมตัวเสียแล้ว

เด็กสมัยนี้วิ่งเล่นจนตัวเปียกเหงื่อเป็นเรื่องปกติ หลังจากนั้นพวกเขาก็แค่นั่งนิ่ง ๆ ปล่อยให้เหงื่อที่ซึมออกมาตามเสื้อผ้าเแห้งไปเอง ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนเจ็บป่วย

หลินม่ายกลัวว่าถ้าตัวเองประคบประหงมโต้วโต้วมากเกินไป อาจทำให้ภูมิต้านทานภายในร่างกายของหล่อนต่ำลงได้ ดังนั้นจึงไม่บังคับให้หล่อนขึ้นไปอาบน้ำ แล้วพาหล่อนออกไปซื้อของ

โจวฉายอวิ๋นจัดการนึ่งซาลาเปาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง บิดแขนเล็กน้อยเพื่อคลายความเมื่อยล้า ก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัวเพื่อพักหายใจหายคอ

ช่วงกลางวันที่อากาศร้อนแบบนี้ ขืนหมกตัวอยู่แต่ในครัวที่มีเตาไฟหลายเตา เห็นทีหล่อนคงร้อนตายก่อนแน่!

เมื่อเห็นว่าข้างนอกเหลือแค่ฟางจั๋วหรานที่กำลังนั่งกินซาลาเปาพร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย หล่อนนึกลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปลากเก้าอี้อีกตัวหนึ่งมานั่งลงข้าง ๆ ฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองตาม ถามว่า “เมื่อวานนี้พอม่ายจื่อรู้ว่าผมซื้อเสื้อผ้ามาฝาก หล่อนมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?”

โจวฉายอวิ๋นตกตะลึงไปชั่วครู่ “ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรนะ…”

ฟางจั๋วหรานหยักหน้า ก่อนจะก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อไป

โจวฉายอวิ๋นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ครั้นตัดสินใจได้แล้ว ก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นบทสนทนาอันน่าอึดอัดใจ “ศาสตราจารย์ฟาง คุณคิดว่าม่ายจื่อของฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

ฟางจั๋วหรานหยุดคิดแวบเดียว ก่อนจะหยักหน้า “หล่อนเป็นเด็กน่ารัก ขยันขันแข็ง แถมยังมีจิตใจดี”

โจวฉายอวิ๋นนึกยินดีอยู่ภายในใจ เมื่อเห็นว่าเขาประเมินนิสัยใจคอของหลินม่ายไปในทางที่ดี

หล่อนพูดต่อไปอีกประโยคด้วยความระมัดระวัง “ม่ายจื่อคนนี้… เผชิญกับความทุกข์ทรมานในชีวิตมามากพอแล้ว ฉันคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันจะมีผู้ชายที่ดีมาแต่งงานกับหล่อน และปฏิบัติต่อหล่อนด้วยความรักจากใจจริง…”

ถึงแม้หล่อนไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าผู้ชายที่ดีคนนั้นเป็นใครกันแน่ แต่สังเกตจากสีหน้าและแววตา มองปราดเดียวก็เดาออกได้ไม่ยากว่าหล่อนกำลังหมายถึงฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าควรตอบกลับอย่างไรดี ทั้งยังดูไม่เหมาะสม จึงตัดสินใจนิ่งเงียบเสีย

หล่อนอุตส่าห์รวบรวมความกล้าอยู่นาน พอพูดสิ่งที่อยากพูดออกมาอย่างกล้าหาญแล้ว ประโยคต่อมาก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป

โจวฉายอวิ๋นพูดต่อ “คือว่า… ศาสตราจารย์ฟาง ฉันเห็นว่าคุณเป็นคนดี ฉัน… ฉันก็เลยอยากให้คุณกับม่ายจื่อแต่งงานกัน รับรองได้ว่าชีวิตคู่ของคุณต้องราบรื่นแน่”

ฟางจั๋วหรานยังคงนิ่งเงียบครั้งแล้วครั้งเล่า

สีหน้าของโจวฉายอวิ๋นแปรเปลี่ยนเป็นกระดากอายขึ้นมา ครั้งแรกที่คิดเสนอตัวเป็นคนผูกด้ายแดงก็ประสบความล้มเหลวเสียแล้ว

“เอาเถอะ ในเมื่อคุณไม่สนใจม่ายจื่อ งั้น งั้น งั้นก็ทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปซะก็แล้วกัน แต่คุณอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ม่ายจื่อฟังเลยนะ ฉัน ฉันกลัวหล่อนจะมาโทษฉันภายหลังที่ไปสร้างความลำบากใจให้คุณ…”

“คุณคงเป็นห่วงหล่อนมากเกินไป”

ถึงน้ำเสียงของชายหนุ่มจะยังคงความอ่อนโยนเช่นทุกครั้ง แต่กลับทำให้โจวฉายอวิ๋นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จนต้องเดินเลี่ยงกลับเข้าไปหลบอยู่ในครัวตามเดิม

ฟางจั๋วหรานไม่มีกะจิตกะใจจะอ่านหนังสือมาสักระยะแล้ว

อยากให้เขาแต่งงานกับหลินม่ายอย่างนั้นหรือ? เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

หลินม่ายพาโต้วโต้วไปที่ตลาดมืดก่อน เพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรมมาสองใบในราคาสิบหยวน จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังห้างสรรพสินค้า อนุญาตให้เด็กหญิงตัวน้อยเลือกวิทยุด้วยตัวเอง

โต้วโต้วมีไหวพริบดีเยี่ยม หลังจากถามราคากับพนักงานขายแล้ว หล่อนก็ตัดสินใจเลือกซื้ออันที่มีราคาถูกที่สุด

หลินม่ายก้มลงกระซิบกับหล่อนว่า “ลูกไม่ควรเลือกซื้อของที่มีราคาถูกเสมอไป การซื้อของนอกจากคำนึงถึงราคาแล้ว ยังต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย ยกตัวอย่างวิทยุอันนี้ ถึงลูกจะเลือกเครื่องที่มีราคาถูกที่สุดในร้านก็จริง แต่ใช้ไปได้ไม่นานมันก็พังแล้ว ต้องเสียเงินซื้อใหม่อีก เลือกอันที่มีคุณภาพดีไว้ก่อนเถอะ ถึงราคาจะสูงไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายในภายภาคหน้า”

เด็กควรได้รับการปลูกฝังแนวคิดทางการเงินตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่เวลาพวกเขาเติบโตขึ้นจะได้บริหารเงินได้เป็นอย่างดี

โต้วโต้วยังคงสับสน หันไปถามหลินม่ายว่า แล้วหล่อนจะตัดสินคุณภาพของวิทยุแต่ละเครื่องได้จากอะไร

หลินม่ายแนะนำให้ใช้วิธีฟังเสียง ยิ่งวิทยุเครื่องไหนมีคลื่นแทรกรบกวนน้อยที่สุดก็ยิ่งมีคุณภาพดี

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็ช่วยกันฟังเสียงวิทยุอีกหลายเครื่องในร้าน จนพบว่าวิทยุที่มีราคาถูกที่สุดมีคลื่นแทรกรบกวนน้อยมาก บ่งชี้ว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี

นี่ทำให้ได้ข้อสรุปว่าในยุคสมัยนี้ โรงงานอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดยรัฐผลิตสินค้าคุณภาพใช้ได้ทีเดียว

สองแม่ลูกตัดสินใจซื้อวิทยุราคาสี่สิบห้าหยวน ซึ่งเป็นเครื่องเดียวกันกับที่โต้วโต้วเลือกก่อนหน้านี้

พนักงานที่ขายวิทยุเครื่องนั้นให้พวกเธอกลอกตาขณะมองตามแผ่นหลังของหลินม่ายไป ก่อนจะพูดพึมพำด้วยเสียงกระซิบ “เข้าใจใช้อุบายสอนลูกจริง ๆ เลย ตอนแรกฉันก็นึกว่าจะซื้อเครื่องที่แพงที่สุด ดันซื้อเครื่องที่ถูกที่สุดซะงั้น!”

นับตั้งแต่บทความวิจารณ์การบริการย่ำแย่ของพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงที่หลินม่ายเป็นคนเขียนถูกตีพิมพ์แพร่หลายออกไป มาตรฐานงานบริการทั้งหมดในห้างก็ถูกสังคายนายกใหญ่

ด้วยเหตุนี้พนักงานขายจึงทำได้แค่กระซิบกระซาบกันลับหลังลูกค้าเท่านั้น แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินม่ายกับลูกสาวของเธอแล้ว กลับไม่กล้าพูดจาเหน็บแนมซึ่งหน้า

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็แวะร้านหนังสือที่ไม่เรียกเก็บคูปองใด ๆ โต้วโต้วซื้อ “ไซอิ๋ว”ฉบับการ์ตูนมาสองสามเล่ม เสร็จธุระแล้วสองแม่ลูกก็เดินกลับบ้านด้วยกัน

ตอนที่หลินม่ายแวะไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรม เธอได้ซื้อขาหมู (คากิ) มาหลายชิ้น กระเพาะหมูหนึ่งชิ้น หูหมูสองชิ้น และปลาทรายแดงหนึ่งชั่งครึ่ง ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าครัวทำอาหารดี ๆ สักสองสามจานให้ฟางจั๋วหรานเสียหน่อย

เขาอุตส่าห์สละเวลาพักผ่อนอันมีค่าของตัวเองเพื่อมาช่วยเหลือเธอ จะไม่ให้เธออยากทำบางสิ่งเพื่อเป็นการตอบแทนเขาได้อย่างไร

พอกลับมาถึงร้าน หลินม่ายก็พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อลงมือทำอาหารกลางวันด้วยตัวเอง

ถึงเวลานี้จะยังเช้าอยู่ แต่ช่วงเที่ยงต้องมีลูกค้าระลอกใหม่แวะเวียนมาซื้ออาหารอีกแน่ จึงต้องกินข้าวมื้อกลางวันกันล่วงหน้า

หลินม่ายยกวิทยุและหนังสือการ์ตูนให้โต้วโต้วเปิดฟังและอ่านฆ่าเวลา ดังนั้นโต้วโต้วจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ทันทีที่เห็นฟางจั๋วหรานก็รีบโผเข้าหาอ้อมแขนของเขาทันที พลางอวดวิทยุกับหนังสือการ์ตูนให้เขาดูว่าออกจากบ้านครั้งนี้ตัวเองได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง

ฟางจั๋วหรานอุ้มโต้วโต้วให้ขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเขา ก่อนจะหมุนช่องวิทยุให้ตรงกับช่องรายการสำหรับเด็ก

ทันใดนั้นเสียงที่ฟังดูร่าเริงดังออกมาจากวิทยุเครื่องน้อย “ด่าดิ๊ดา ด่าดิ๊ดา คุณหนูทั้งหลาย รายการวิทยุกระจายเสียงสำหรับเด็กออกอากาศแล้วจ้า!”

เสียงเชื้อเชิญดังกล่าวดึงดูดเด็ก ๆ หลายคนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันทันที

ถึงแม้หลายครัวเรือนในตัวเมืองจะมีวิทยุอยู่ในบ้าน แต่มันก็ถือเป็นสิ่งของราคาแพง เด็กน้อยก่อนวัยเรียนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันอย่างใกล้ชิด เนื่องจากผู้ใหญ่กลัวว่าพวกเขาจะเผลอทำพัง

พอเด็ก ๆ เหล่านั้นเห็นว่าโต้วโต้วสามารถถือวิทยุและวิ่งเล่นไปมาได้ ต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตาม ๆ กัน

เด็กน้อยเจ้าเนื้อคนหนึ่งถามไถ่เธอว่า “โต้วโต้ว ฉันขอลองจับวิทยุของเธอหน่อยได้ไหม?”

ถึงแม้ครอบครัวของหลินม่ายจะเพิ่งย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่โต้วโต้วก็พอรู้จักมักคุ้นกับเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันนี้อยู่บ้าง เด็ก ๆ เหล่านั้นจึงเรียกชื่อเธอได้อย่างถูกต้อง

โต้วโต้วอนุญาตอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้นฉันจะถือไว้ แล้วพวกเธอค่อยมาจับดูนะ”

สิ้นเสียงเล็ก ๆ ของหล่อน เด็ก ๆ หลายคนต่างก็เดินเข้ามาสัมผัสวิทยุที่เธอถืออยู่ในมือ

พอเห็นแบบนั้นหยางหยางก็เดินเข้ามาร่วมวงด้วย เขาเองก็อยากจับวิทยุเครื่องใหม่ของโต้วโต้วเหมือนกัน

แต่โต้วโต้วกลับหดมือที่ถือวิทยุอยู่กลับเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง ปฏิเสธเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่ให้นายแตะต้องมันเด็ดขาด!”

ฟางจั๋วหรานเดินมาลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อน “ทำแบบนั้นไม่ดีนะ ต้องมีน้ำใจกับทุกคนอย่างเท่าเทียมกันสิ”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เรือพี่หมอนี่มีคนสมัครเป็นกัปตันหลายคนเลย ท่าทางจะครึกครื้น

พี่หมอดูเป็นผู้ชายอบอุ่นรักครอบครัวมากเลยนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 99 คุณอาป้อนแม่สิคะ

โต้วโต้วรู้ความมาก จึงตอบรับอย่างดีใจด้วยเสียงแหลมเล็กตามประสา

หลินม่ายพาหล่อนไปอาบน้ำ จากนั้นก็หยิบชุดใหม่ที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้ขึ้นมา

โต้วโต้วตบมือน้อย ๆ ด้วยความยินดี “มีเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ใส่แล้ว!”

หล่อนกวาดตามองเสื้อผ้าทั้งหมดที่วางเรียงอยู่บนเตียง ก่อนจะเดินไปหยิบชุดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อและถือไว้ไม่ยอมปล่อย “แม่คะ หนูขอใส่ชุดนี้ได้ไหม?”

“ได้จ้ะ!” หลินม่ายจัดการสวมชุดนั้นให้ลูกสาว ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักน่าเอ็นดู

โต้วโต้วยืนส่องกระจกหน้าตู้เสื้อผ้า ชื่นชมตัวเองอยู่นานทีเดียว สองมือน้อย ๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าชุดเอี๊ยม

จากนั้นก็หันไปพูดอย่างระมัดระวัง “แม่คะ ถ้ามีขนมอยู่ในกระเป๋านี้คงจะดีไม่น้อยเลย”

หลินม่ายยกนิ้วจิ้มปลายจมูกน้อย ๆ ของหล่อน “ดูลูกสิ กินเยอะจนตุ้ยนุ้ยใหญ่แล้ว”

โต้วโต้วยิ้มหวานด้วยความเขินอาย

เพราะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากหลินม่าย กินดื่มแต่อาหารดี ๆ ร่างกายจึงเจริญเติบโตสมวัย

ตอนนี้ผิวของโต้วโต้วขาวเปล่งปลั่ง แถมยังจิ้มลิ้มราวกับตุ๊กตาตัวน้อยในปฏิทินปีใหม่

ดึกมากแล้ว หลินม่ายยังนอนไม่หลับ เอาแต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

ชั่วขณะหนึ่ง เธอนึกถึงเสื้อผ้าสองสามชุดที่ฟางจั๋วหรานเป็นคนซื้อให้ และแล้วความคิดเจ้ากรรมก็หวนนึกถึงคำพูดของโจวฉายอวิ๋นและคุณป้าสองคนในหมู่บ้านซานหยาง

หรือว่าฉัน… ควรเป็นฝ่ายเข้าหาฟางจั๋วหรานจริง ๆ?

เธอไม่สนใจว่าหัวใจของตัวเองจะเคยถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำลายในภพชาติก่อนจนไม่เหลือชิ้นดี เธอยังคงตั้งตารอความรักครั้งใหม่หลังจากที่เธอมีโอกาสย้อนเวลามาเกิดใหม่อีกครั้ง!

…แต่ว่า… ฟางจั๋วหรานคิดกับเธอแค่น้องสาวนี่นา ขืนเธอเป็นฝ่ายเข้าหาเขา แล้วถ้าเขาเกิดไม่เล่นด้วยขึ้นมาล่ะ แบบนั้นคงน่าอายแน่!

ช่างเถอะ อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเลยจะดีกว่า ไม่เริ่มก่อนอย่างน้อยหน้าก็ไม่แตก

พอมีร้านเป็นของตัวเองแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสามหรือตีสี่อีกต่อไป แถมยังไม่ต้องรีบร้อนนึ่งซาลาเปาสามร้อยลูกให้เสร็จก่อนหกโมงเช้า เพื่อที่จะเข็นรถออกไปตั้งแผงลอยริมถนน

ตอนนี้เธอสามารถตื่นสายสักประมาณตีห้า แล้วเริ่มนึ่งซาลาเปาชุดแรกให้เสร็จก่อนหกโมงครึ่งได้

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นนอนตอนตีห้า สวมเสื้อและกางเกงตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อมาเมื่อวานนี้ แล้วออกไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อหมู

หลังจากกลับมาแล้ว เธอก็ยกหน้าที่ผสมไส้ให้กับโจวฉายอวิ๋น ส่วนเธอจะเป็นคนห่อ

ถึงแม้ทักษะการทำอาหารของโจวฉายอวิ๋นจะไม่ได้แย่ แต่พอเทียบฝีมือกับเธอแล้วยังมีช่องว่างอยู่บ้าง เพราะไส้ที่เธอเป็นคนผสมด้วยตัวเองจะมีรสชาติอร่อยกว่า

เวลาหกโมงครึ่ง ซาลาเปาและไข่ต้มชุดแรกก็สุกหอมสดใหม่

การเปิดร้านบนถนนแบบนี้แตกต่างจากการตั้งแผงลอยบริเวณท่าเรืออยู่บ้าง

เนื่องจากบริเวณท่าเรือจะเริ่มมีคนพลุกพล่านตั้งแต่หกโมงครึ่ง เพราะมีคนนั่งเรือข้ามฟากไปทำงานตั้งแต่เช้าตรู่

ในขณะที่พนักงานออฟฟิศไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อนั่งเรือข้ามฟากหรือเดินทางไปทำงานแต่เช้าตรู่ขนาดนั้น จึงไม่แปลกที่เวลาหกโมงครึ่งแบบนี้ การค้าขายบนถนนเจี่ยเฟิงค่อนข้างจะซบเซากว่า

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ไม่ได้รีบร้อน รอให้ถึงเจ็ดโมงเช้าเสียก่อน การค้าขายคงคึกคักมากขึ้น

ระหว่างนั้นเธอก็จัดการนึ่งซาลาเปาเพิ่มอีกชุดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ของหมดจนขาดตอนในขณะที่หน้าร้านกำลังขายดิบขายดี

เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เวลาเจ็ดโมงเช้าเริ่มมีผู้คนสัญจรผ่านหน้าร้านกันอย่างขวักไขว่ ถนนที่เคยเงียบสงัดและหนาวเย็นมีเสียงดังและมีชีวิตชีวามากขึ้น

โจวฉายอวิ๋นรับผิดชอบหน้าที่ทำอาหารเช่นเคย ส่วนหลินม่ายรับผิดชอบการขาย

หลินม่ายย้ายโต๊ะคิดเงินไปตั้งหน้าร้าน บนโต๊ะมีซึ้งไม้ไผ่บรรจุซาลาเปาร้อน ๆ ถัดมาเป็นหม้อต้มไข่ที่ตั้งอยู่เหนือเตาถ่านอีกทีหนึ่ง

กลิ่นหอมฟุ้งของไข่ต้มโชยมาแต่ไกล ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างหันมามองร้านของหลินม่ายด้วยความสนใจ ถึงแม้บางคนจะไม่ได้หยุดซื้อ แต่ก็อดน้ำลายไหลไม่ได้

คนที่สนใจซื้อตรงเข้ามาถามไถ่ “ไข่ต้มนี่ขายยังไงหรือ?”

หลินม่ายชูนิ้วขึ้นมา “ฟองละหนึ่งเหมาค่ะ”

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เธอพูดเสริมด้วยว่า “มีซาลาเปาไส้เนื้อกับไส้ซึงฉ่ายขายด้วยนะคะ ซาลาเปาไส้เนื้อขายลูกละสิบห้าเหมา ไส้ซึงฉ่ายลูกละสิบเหมา ทั้งหมดนี้ไม่ต้องใช้คูปองอาหาร สนใจรับสักสองลูกไหมคะ?”

ซาลาเปาที่ขายอยู่ในร้านอาหารของรัฐก็ขายในราคาเดียวกันนี้เหมือนกัน แต่พวกเขารับคูปองอาหารร่วมด้วย

ลูกค้าถามราวต้องการชั่งใจ “ซาลาเปาลูกเล็กหรือเปล่า”

“เชิญดูเองได้เลยค่ะ แต่ละลูกไม่เล็กเลยนะ”

ขณะที่หลินม่ายพูดก็เอื้อมมือไปรวบผ้าขาวบางที่ห่อหุ้มฝาเอาไว้ไม่ให้ความร้อนกระจายออกไปจากซึ้งไม้ไผ่ จากนั้นก็เปิดฝาหม้อนึ่งออก

ภายในซึ้งไม้ไผ่ กลิ่นหอมของแป้งสาลี เนื้อหมู และผักก็ลอยกรุ่นออกมา ซาลาเปาพวกนี้มีขนาดไม่ต่างไปจากซาลาเปาที่วางขายอยู่ในร้านอาหารของรัฐเลย

ที่สำคัญคือลูกค้าไม่จำเป็นต้องจ่ายด้วยคูปองอาหาร ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงถือว่าถูกกว่าร้านอาหารของรัฐเสียอีก

เมื่อใคร ๆ ต่างก็เห็นชัดแล้วว่าอาหารแต่ละอย่างของเธอมีราคาถูกมาก ก็กรูกันเข้ามาซื้อซาลาเปาไส้เนื้อคนละสองลูกบ้าง ซื้อซาลาเปาไส้ซึงฉ่ายคนละสองลูกบ้าง บ้างก็ซื้อไข่ต้ม การค้าขายคล่องตัวขึ้นภายในพริบตา

ในขณะที่โต๊ะพับทั้งแปดตัวในร้านยังคงว่างเปล่า

เป็นเพราะซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มต่างก็เป็นอาหารเช้าที่สามารถถือแล้วเดินกินไปพลาง ๆ ได้ ไม่จำเป็นต้องนั่งกินให้หมดเสียก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเจียงเฉิงมีทักษะพิเศษที่คนส่วนใหญ่ของทั้งประเทศไม่มี คือถึงแม้อาหารตรงหน้าจะเป็นซุปที่ต้องใส่ชาม พวกเขาก็สามารถเดินไปด้วยกินไปด้วยได้ ที่นั่งในร้านจึงไม่จำเป็นเสมอไป

ถึงภายในร้านจะไม่ค่อยมีคนเข้ามานั่งเท่าไรนัก แต่หน้าร้านก็เนืองแน่นไปด้วยลูกค้าที่แวะเวียนเข้ามาซื้ออาหารเช้า เห็นได้ชัดว่าธุรกิจของเธอค่อนข้างประสบความสำเร็จ

ป้าหูเองก็เดินออกมาสอดส่องดูกิจการของหลินม่ายเป็นครั้งคราว พอเห็นว่าร้านของเธอขายดิบขายดี ก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ฟางจั๋วหรานแวะมาอุดหนุนกิจการของหลินม่ายเช่นทุกวัน

ถึงวันนี้เขาจะไม่ต้องเตรียมตัวไปเข้างาน แต่เขากลับมาถึงที่ร้านของเธอตั้งแต่ยังไม่ถึงเจ็ดโมงครึ่งด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นว่าหน้าร้านมีลูกค้าเข้ามาซื้ออาหารเช้าไม่ขาดสาย เขาก็ส่งยิ้มทักทายหลินม่าย “ขายดีเชียวนะ!”

ปากเอ่ยคำทักทาย แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่

เธอไม่ได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ที่เขาซื้อให้…

หลินม่ายยิ้มตอบเขา มือก็สาละวนอยู่กับการหยิบซาลาเปาไส้เนื้อสามลูกกับไข่ต้มอีกสองฟองบรรจุลงในกล่องอาหารกลางวันของเขา “คุณไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะคะ?”

“ผมเคยชินกับการตื่นเช้าไปเสียแล้ว” ฟางจั๋วหรานยื่นมือไปรับกล่องอาหารกลางวัน ก่อนจะเงยหน้ามองขึ้นไปบนกรอบประตูที่ว่างเปล่าของร้าน “คุณไม่คิดจะตั้งชื่อร้านหน่อยเหรอ?”

หลินม่ายตอบเขาไปด้วยขายของไปด้วย “ศาสตราจารย์ฟางช่วยคิดชื่อร้านให้หน่อยสิคะ?”

ฟางจั๋วหรานเริ่มคิดอย่างจริงจัง “ตั้งชื่อร้านว่า ‘เปาห่าวซือ เสี่ยวซือเตี้ยน’ เป็นไง? ในเมื่อคุณขายซาลาเปา ชื่อนี้ก็ดูเหมาะสมดีนะ”

หลินม่ายพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เข้าท่าเลยล่ะค่ะ ชื่อนี้มีความหมายดีมาก ถ้าให้ฉันคิดเองคงจะตั้งชื่อร้านว่า ‘ห่าวไจ้หลาย’ แน่ ๆ”

“ชื่อห่าวไจ้หลายก็เข้าท่าดีออก น่าสนใจ แถมยังจำง่ายอีกด้วย”

ฟางจั๋วหรานบรรจงปอกเปลือกไข่ออกจากไข่ต้ม พอโต้วโต้วตื่นขึ้นและวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมกับอาหวง เธอก็ร้องเรียกเขาว่าคุณอา แล้วโผเขาไปหาด้วยความดีใจ

เมื่อเห็นว่าเธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขาเป็นคนซื้อให้ ฟางจั๋วหรานถึงยิ้มออก ถามว่า “หนูชอบชุดที่อาซื้อให้ไหม?”

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าทันที “ชอบค่ะ”

ฟางจั๋วหรานบิไข่ขาวออกมาชิ้นหนึ่ง แล้วยื่นไปจ่อปากหล่อน

โต้วโต้วส่ายหน้า “หนูไม่ชอบกินไข่ขาว แต่แม่ของหนูชอบ คุณอาป้อนให้แม่ของหนูแทนสิคะ”

ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อทันใด รีบปฏิเสธไปว่า “แม่กินข้าวมื้อเช้าไปแล้ว กินอีกไม่ไหวแล้วล่ะ”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม หยิบไข่ขาวชิ้นนั้นเข้าปากตัวเอง ก่อนจะหันไปถามหลินม่าย “คุณได้ยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการสำหรับร้านอาหารของตัวเองแล้วหรือยัง?”

“ยังค่ะ…”

ฟางจั๋วหรานเตือนด้วยความหวังดี “ใบอนุญาตประกอบการยังมีความจำเป็นสำหรับร้านค้าอยู่นะ นโยบายของรัฐในปัจจุบันยังไม่เสถียร ในระหว่างที่คุณยังไม่ไปยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการ อาจถูกเจ้าหน้าที่ทางการมองว่าคุณฉวยโอกาสนี้เพื่อเก็งกำไรเอาได้ มีใบอนุญาตประกอบการอยู่ในมือก็เหมือนมียันต์เอาไว้ป้องกันตัว ต่อให้พวกเขาออกกวาดล้างบรรดาผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตราบใดที่คุณทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณได้”

หลินม่ายเคยใช้ชีวิตมาแล้วสองชาติ เธอจะไม่รู้ถึงความสำคัญของใบอนุญาตประกอบการเชียวหรือ “ใช่ว่าฉันไม่อยากไปยื่นเรื่อง แต่ฉันยังหาคนมาช่วยรับรองใบอนุญาตประกอบการให้ไม่ได้เลย”

ทุกวันนี้ การขอใบอนุญาตประกอบการสำหรับร้านค้าส่วนตัวไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยก็ต้องมีเส้นสาย

เธอเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เจียงเฉิงได้แค่ไม่กี่เดือน ยังไม่ทันทำความรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในการเซ็นรับรองด้วยซ้ำ แล้วเธอจะไปยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบการจากใครได้

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับอาสา “เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ของผมเถอะ ภายในหนึ่งสัปดาห์ก็คงเรียบร้อยแล้ว”

หลังกินอาหารมื้อเช้าเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็อาสาช่วยหลินม่ายขายของ

ยิ่งมีเขามายืนอยู่หน้าร้านที่มีซึ้งไม้ไผ่บรรจุซาลาเปาวางอยู่บนโต๊ะแบบนี้ ก็ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่ายิ่งกว่าเดิมเสียอีก

เด็กสาวที่เดินผ่านไปมาหน้าร้านต่างก็เดินเข้ามา ขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้มจากเขาด้วยท่าทางกระบิดกระบวนเขินอาย จนกระทั่งคิดเงินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ยังไม่วายหันมองกลับมาที่ฟางจั๋วหรานอย่างอาลัยอาวรณ์

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คุณหมอดูว่างงานนะคะ ไม่ไปทำงานของตัวเองเหรอคะถึงมาช่วยม่ายจื่อขายของได้

เรือลำนี้มันแล่นแรงจริงๆ เลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 98 ป้าหูใจร้าย

หลังจากอาบน้ำเสร็จ หลินม่ายก็ล้มตัวลงนอนงีบสักพัก กะเวลาว่าอาหารเย็นใกล้ปรุงเสร็จค่อยลงไปด้านล่าง

ขณะที่เธอกำลังรินน้ำเย็นหนึ่งแก้วให้ตัวเอง คุณป้าอายุราว ๆ ห้าสิบก็เดินอาด ๆ เข้ามา

หล่อนยิ้มให้และเป็นฝ่ายทักทาย “ฉันแซ่หู อยู่บ้านถัดจากเธอนี่เอง เธอจะเรียกฉันว่ายายหูก็ได้นะ”

หลินม่ายเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง แล้วพูดคุยด้วยรอยยิ้ม “คุณยังดูไม่แก่เลย เรียกว่าคุณป้าดีกว่าค่ะ”

สำหรับชาวเจียงเฉิงในยุคสมัยนี้ การเรียกขานอีกฝ่ายด้วยวัยวุฒิที่ต่ำกว่าความเป็นจริงถือเป็นการไม่ให้เกียรติ

ป้าหูรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จิบปากจิบคอพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ฉันมีหลานชายแล้วนะ ยังจะเรียกฉันว่าป้าอยู่เหรอ?”

หลินม่ายยังคงถามอย่างสุภาพ “หลานชายของคุณอายุเท่าไหร่คะ?”

ป้าหูตอบกลับ “ห้าขวบแล้ว”

หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ลูกสาวของฉันจะอายุครบสี่ขวบสิ้นปีนี้ หล่อนอายุใกล้เคียงกับหลานชายของคุณด้วยซ้ำ แบบนี้จะให้ฉันเรียกคุณว่ายายได้ยังไงล่ะคะ?”

ป้าหูทำสีหน้าแปลกใจ ชี้นิ้วไปทางประตูร้านที่โต้วโต้วกับหลานชายของหล่อนกำลังเล่นด้วยกันอยู่ พลางถามด้วยความไม่เชื่อ “นั่นลูกสาวของเธอหรอกเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะรินน้ำเปล่าให้หล่อนอีกแก้วหนึ่ง

ป้าหูรีบโบกไม้โบกมือและพูดด้วยท่าทางรังเกียจว่า “ไม่ต้องหรอก วันนี้บ้านฉันต้มซุปถั่วเขียว ฉันดื่มซุปถั่วเขียวไปแล้ว วันนี้อากาศร้อนจะตายไป ยังจะให้ฉันดื่มน้ำต้มสุกอีกหรือ!”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ไม่คิดรินน้ำให้หล่อนอีก

ป้าหูมองหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า “เธออายุเท่าไหร่?”

หลินม่ายไม่อยากบอกความจริงกับหล่อน จึงโกหกไปว่า “ยี่สิบแล้วค่ะ”

ทันใดนั้นสีหน้าประหลาดใจของป้าหูก็จางหายไป

การมีลูกตั้งแต่อายุสิบหกปีถือเป็นเรื่องปกติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนบท

สายตาของหล่อนแสดงความเหนือกว่าออกมาอย่างไม่ปิดบัง “ดีแล้วที่ผิวพรรณของเธอดีไม่หยาบกร้าน ที่แท้ก็โตแล้วนั่นเอง ฉันนึกว่าเธอมีอายุแค่สิบหกหรือสิบเจ็ดปีเท่านั้น”

หลินม่ายยิ้มให้ ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย

ดูเหมือนป้าหูจะหมดเรื่องคุยแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนยังสรรหาเรื่องมาพูดคุยต่อไป “คนที่มาช่วยเธอย้ายบ้านเมื่อเช้าใช่สามีของเธอหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ”

ป้าหูตกตะลึงไปพักหนึ่ง “แล้วสามีของเธอไปไหนเสียล่ะ?”

หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ฉันไม่มีสามี”

พอป้าหูได้ยินแบบนี้ หล่อนก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอด้วยความสงสัยหลายครั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองโต้วโต้วที่เล่นอยู่หน้าประตูร้าน

จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อเสียใหม่ “พ่อเฒ่าเฮ่อปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ราคาเท่าไหร่?”

หลินม่ายตอบเธอด้วยสี่คำสั้น ๆ “ไม่สะดวกบอกค่ะ”

ป้าหูไม่คาดคิดว่าเธอจะตอบแบบนี้ หล่อนสำลักน้ำลายตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่เห็นจะเป็นความลับตรงไหนเลยนี่ เธอไม่เห็นต้องปิดบังกันเลย!”

หลินม่ายไม่ตอบ ทำเป็นเมินคำพูดของอีกฝ่ายไปเสีย

ป้าหูกัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แล้วยกมือขึ้นเพื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ “นี่ก็ค่ำแล้ว เธอยังไม่เข้าครัวทำอาหารมื้อเย็นอีกรึ?”

หลินม่ายตอบกลับ “ฉันไม่ได้เข้าครัวเพราะกำลังคุยกับคุณป้าอยู่นี่ไงคะ อีกอย่าง ฉันยังมีคนทำอาหารให้”

ดูเหมือนว่าป้าหูจะไม่เข้าใจถึงความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ “แล้วเธอจะทำกับข้าวอะไรกินกันล่ะ?”

หลินม่ายมองหล่อนด้วยสายตาแปลก ๆ

ต่อให้พวกเธอจะทำกับข้าวอะไรก็ตาม เธอคงไม่ชวนหล่อนมาร่วมโต๊ะด้วยแน่ ช่างเป็นคำถามที่พิลึกเสียจริง

หลินม่ายตอบกลับ “ฉันทำกับข้าวแค่ไม่กี่อย่างหรอกค่ะ เป็นเมนูง่าย ๆ ทั้งนั้น”

“เข้าครัวทำกับข้าวเองก็ดีเหมือนกัน ประหยัดเงินดีด้วย” หลังจากพูดแบบนั้นออกมา ป้าหูก็เปลี่ยนท่าทางเป็นโอ้อวด “ช่วงนี้เจียงเฉิงฝนตกบ่อยเกินไป สภาพอากาศทำให้เบื่ออาหารได้ง่าย มื้อเย็นวันนี้ฉันทำหมูเส้นผัดจ้าฉ่าย กุยช่ายผัดไข่ แล้วก็ซุปเต้าหู้ใส่กุ้งแห้ง หยดน้ำมันงาลงไปสองสามหยด มันวาวน่ากินเชียวล่ะ…”

ยังสาธยายไม่ทันจบ ประตูห้องครัวที่ปิดอยู่ในตอนแรกก็เปิดออก กลิ่นหอมของซุปซี่โครงหมูลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณทันที

โจวฉายอวิ๋นเดินออกมาพร้อมกับซุปซี่โครงหมูหม้อใหญ่ ตะโกนเรียกไปพลาง “กับข้าวเสร็จแล้ว!”

หลินม่ายจงใจถาม “ยังมีกับข้าวอย่างอื่นอีกไหม ฉันจะได้ไปยกมาวาง”

“มีต้มปลาผักกาดดอง มันฝรั่งเส้นผัด เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน แล้วก็หมูเส้นผัดขึ้นฉ่าย”

ป้าหูมองหลินม่ายยกกับข้าวออกมาจากห้องครัวทีละจาน สีหน้าของหล่อนฉายแววสับสนเล็กน้อย

นี่น่ะหรือกับข้าวไม่กี่อย่างที่เธอว่า?! เมนูทั้งหลายที่หล่อนเคยคุยโวโอ้อวดก่อนหน้านี้แทบเปรียบเทียบกับเมนูเหล่านี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

ป้าหูจึงจำใจขอตัว “พวกเธอกินข้าวกันเถอะ เดี๋ยวฉันจะกลับบ้านแล้ว”

หลินม่ายเองก็ตอบไปตามมารยาทเหมือนกัน “ไว้ถ้าว่างแล้วมานั่งคุยกันใหม่นะคะ”

หลังจากร้องเรียกโต้วโต้วสองถึงสามครั้ง เด็กหญิงตัวน้อยก็วิ่งกลับเข้าบ้านพร้อมกับอาหวง

โจวฉายอวิ๋นวางชามกับตะเกียบบนโต๊ะ สีหน้าแสดงความรังเกียจ “ป้าหูมาวุ่นวายอะไรแถวนี้อีกล่ะ?”

หลินม่ายตีมือน้อย ๆ ของโต้วโต้วเมื่อเห็นว่าหล่อนกำลังจะเอื้อมไปหยิบผัก “ล้างมือก่อนสิ!”

จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถามโจวฉายอวิ๋น “ทำไมล่ะ? พี่รู้จักกับป้าหูด้วยหรือ?”

ปกติแล้วโจวฉายอวิ๋นเป็นคนขี้อาย ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนจะทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านอย่างป้าหูทั้ง ๆ ที่ย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงไม่นาน ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อย

“ไม่เชิงรู้จักเสียทีเดียวหรอก”

โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าโต้วโต้ววิ่งกลับมาหลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปลากเก้าอี้ออกมาให้เธอนั่ง

“เมื่อเช้าตอนที่ฉันขายซาลาเปากับไข่ต้ม หล่อนพาหลานชายของตัวเองมาด้วย ทำทีเป็นขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้ม พอรับของแล้วก็เดินจากไปโดยไม่จ่ายเงินให้ฉัน ฉันเลยเรียกหล่อนไว้แล้วเตือนให้หล่อนจ่ายเงินมา ลองเดาดูสิว่าหล่อนพูดว่าอะไร?”

หลินม่ายตอบด้วยน้ำเสียงดูถูก “จะพูดอะไรได้? คงไม่พ้นอ้างว่าตัวเองอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันกับเรา ยังคิดจะเรียกเก็บเงินค่าอาหารจากกันอยู่หรือ?”

โจวฉายอวิ๋นดูประหลาดใจ “เธอรู้ได้ไงเนี่ย? ตอนนั้นเธอไม่ได้อยู่ที่นี่เสียหน่อย”

หลินม่ายพูดพลางหยิบตะเกียบขึ้นมา “คนมีนิสัยเอาเปรียบก็ชอบพูดจาทำนองนี้แหละ”

ก่อนจะถามกลับ “แล้วสุดท้ายหล่อนยอมจ่ายค่าซาลาเปากับไข่ต้มให้พี่ไหม?”

โจวฉายอวิ๋นตอบ “ฉันทวงเงินจากหล่อนต่อหน้าลูกค้าที่ยืนออกันอยู่เต็มหน้าร้าน เธอคิดว่าหล่อนจะยอมจ่ายหรือยอมขายขี้หน้ากันล่ะ? ฉันถึงได้รู้สึกตงิดใจ ในเมื่อหล่อนคิดจะโกงเราแต่แรก แล้วยังกล้ามาหาเราถึงหน้าประตูอีกหรือ?”

หลินม่ายเอนตัวไปกระซิบกับเธอ “ที่หล่อนมาก็เพราะอยากอวดว่าครอบครัวของตัวเองมีฐานะมั่งคั่งยังไงล่ะ ที่หล่อนมาขอซื้อซาลาเปากับไข่ต้มกับพี่เมื่อเช้านี้ ก็เพราะต้องการจะเหยียดพี่ ไม่ใช่เพราะมีเจตนาโกงอะไรหรอก”

โจวฉายอวิ๋นรู้แบบนั้นก็ยิ่งรังเกียจอีกฝ่ายมากกว่าเดิม

หลังมื้ออาหารเย็น จานและตะเกียบถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นทำการเตรียมของให้พร้อมสำหรับการเปิดร้านในวันพรุ่งนี้

ส่วนโต้วโต้วพาอาหวงออกไปวิ่งเล่น

หลินม่ายหยิบเอากระเทียมดองหลายกลีบออกมาล้างผ่านน้ำ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเห่ากรรโชกของอาหวง

เธอวางงานในมือลงแล้ววิ่งออกไป ระหว่างนั้นก็ตะโกนสั่ง “โต้วโต้ว จับอาหวงเอาไว้นะ อย่าปล่อยให้มันเผลอไปกัดใครเข้า!”

จนกระทั่งเธอวิ่งออกไป ถึงเห็นว่าอาหวงไม่ได้จ้องจะกัดใครทั้งนั้น แต่ป้าหูกับหลานชายของหล่อนกำลังขับไล่โต้วโต้วที่ไปยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของพวกเขา

อาหวงคงคิดว่าพวกเขาต้องการจะทำร้ายโต้วโต้ว ดังนั้นมันจึงเห่าเสียงดัง แต่ก็ได้แค่เห่าอย่างเดียว ไม่ได้กระโจนเข้าไปกัดใคร

ป้าหูเห็นหลินม่ายเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้ามืดมน ก็รีบคว้าแขนหลานชายของตัวเองไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ขังหมาของเธอเอาไว้สิ มาแยกเขี้ยวใส่กันแบบนี้เดี๋ยวเด็กก็ตกใจแย่หรอก”

ยังไม่ทันที่หลินม่ายจะตอบอะไร อีกฝ่ายก็ปิดประตูใส่หน้าเธอไปแล้ว

หลินม่ายจูงแขนโต้วโต้วแล้วพาเธอเดินกลับบ้าน “ทำไมลูกถึงไปยืนเกาะประตูรั้วบ้านของคนอื่นเขาล่ะ พอโดนเขาไล่ก็ยังไม่รีบออกมาอีก?”

โต้วโต้วโผเข้าหาอ้อมแขนของเธอแล้วตบด้วยเสียงกระซิบ “บ้านของหยางหยางมีทีวี หนูอยากดูทีวีของเขาบ้าง…”

หยางหยางก็คือหลานชายของป้าหู

“พวกเขาคงไม่อนุญาตให้หนูเข้าไปใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไม่ต้องเข้าไปหรอก”

เด็กหญิงตัวน้อยโอบคอหลินม่ายไว้แล้วพูดอย่างโกรธเคือง “หนูไม่เคยคิดอยากจะเข้าไปในบ้านของเขาเลย หนูแค่อยากยืนอยู่หน้ารั้วบ้านของเขาแล้วดูทีวีจากข้างนอก แต่ย่าของเขากลับไม่ยอมให้หนูทำแบบนั้น… ก่อนหน้านี้หนูยังเคยแบ่งลูกอมน้ำมันหมูให้หยางหยางแท้ ๆ”

หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอ “บางครั้งถึงหนูจะทำดีกับคนอื่นเพราะคิดว่าเขาเป็นเพื่อน แต่คนอื่นเขาอาจไม่ได้มองว่าเราเป็นเพื่อนของเขาเสมอไป อย่าเศร้าไปเลย พรุ่งนี้แม่ว่าง แม่จะออกไปซื้อวิทยุเทปกับการ์ตูนสักสองสามเรื่องมาให้ ลูกอยากฟังการ์ตูนจากวิทยุไหม?”

ยุคนี้โทรทัศน์มีราคาแพงเกินไป

แค่โทรทัศน์ระบบขาวดำขนาดสิบสองนิ้วธรรมดา ๆ ก็มีราคาสูงถึงสี่ร้อยหยวนแล้ว ไม่นับรวมถึงคูปองอุตสาหกรรม

ด้วยสภาพการเงินในตอนนี้ หลินม่ายไม่มีทางจ่ายเงินซื้อของราคาแพงขนาดนั้นได้แน่ นับประสาอะไรกับคูปองอุตสาหกรรมพวกนั้น

แตกต่างจากวิทยุเทปที่สามารถหาซื้อได้ในราคาห้าสิบถึงหกสิบหยวน และใช้คูปองอุตสาหกรรมแค่สองใบ ด้วยราคานี้เธอยังพอมีปัญญาจ่ายอยู่บ้าง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีเพื่อนบ้านแบบนี้ก็ปวดประสาทดีพิลึกนะคะ มาหาเรื่องถึงบ้านเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 97 ความหลังเคล้าน้ำตาของโจวฉายอวิ๋น

เสื้อผ้าที่แขวนขายอยู่ในร้านมีรูปแบบที่ทันสมัยมาก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแขนปีกค้างคาว กางเกงขาบาน รวมถึงเดรสก็มีแต่แบบสวยงามทั้งนั้น ทำให้หญิงสาวหลายคนต่างเดินเข้าไปเลือกมาลองสวม

ขณะที่หลินม่ายกำลังจะเอื้อมมือออกไปจับดูเสื้อแขนปีกค้างคาว เจ้าของร้านก็รีบเดินมาห้ามเธอไว้อย่างรวดเร็ว “ราวนี้เป็นสินค้าชั้นเลิศ ถ้าคุณไม่คิดจะซื้อก็อย่าจับมันส่งๆ”

เสื้อผ้าที่ตัดเย็บจากใยสังเคราะห์กลายเป็นสินค้าชั้นเลิศไปตั้งแต่เมื่อไร? ยุคสมัยนี้ช่างแปลกดีแท้

ในเมื่อห้ามจับ อย่างนั้นไม่จับก็ได้

หลินม่ายชี้ไปที่เสื้อแขนปีกค้างคาวแล้วถามว่า “ตัวนี้ราคาเท่าไหร่?”

เจ้าของร้านมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “สิบแปดหยวน คุณมีเงินจ่ายไหมล่ะ?”

หึๆ เธอมีเงินจ่ายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่อาจทำใจซื้อได้ทีเดียว ราคาของมันแพงอย่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

เสื้อผ้าที่แขวนขายอยู่ในห้างสรรพสินค้ามีราคาอยู่ที่ตัวละหกถึงแปดหยวนเท่านั้น คุณภาพของเนื้อผ้าก็ไม่เลว แต่มีสไตล์อนุรักษ์นิยมและล้าสมัย

หลินม่ายนึกลังเล แต่ช่วงจังหวะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเด็กสาวคนหนึ่งซื้อเสื้อแขนปีกค้างคาวที่ราคาสิบแปดหยวนตัดหน้าเธอไปอย่างไม่ลังเล

หลินม่ายอึ้งงันเล็กน้อย ในยุคสมัยที่สังคมยังยากจนเป็นส่วนใหญ่แบบนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าสาว ๆ จะกล้าจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ อย่างไม่นึกเสียดายเงิน

ตลาดมืดแห่งนี้เป็นสถานที่ในความปกครองของแก๊งเฉินเฟิง เหลียนเฉียวกำลังพาเขาเดินเข้าไปตรวจเยี่ยมชมกิจการ

ทันทีที่ก้าวเข้ามาในตลาดมืด เฉินเฟิงก็ถูกพ่อค้าล็อคที่สองเรียกไว้ เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ

เหลียนเฉียวยืนอยู่ไม่ไกลจากเขา คอยสอดส่องสายตามองไปรอบ ๆ ทำหน้าที่เฝ้าระวัง

ครั้งล่าสุดที่เฉินเฟิงอยู่ตามลำพังและถูกคู่อริแทงเข้า เหลียนเฉียวก็เอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง

หล่อนไพล่คิดไปว่าการที่เฉินเฟิงต้องมาประสบเคราะห์ครั้งใหญ่ เป็นเพราะตอนนั้นเขาไม่ได้มีหล่อนคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นตอนนี้หล่อนจึงทำตัวติดกับเขาอยู่เสมอราวไม่สามารถแยกจากกันได้

ทันใดนั้น สีหน้าของหล่อนก็ชะงักงัน เมื่อจ้องมองไปทางหลินม่ายที่กำลังเลือกซื้อเสื้อผ้าอยู่หน้าร้านค้าใกล้ ๆ

เฉินเฟิงอำลาพ่อค้าล็อคสอง และกำลังจะเดินต่อเพื่อตรวจตราสถานที่ต่อไป ไม่คาดคิดว่าเหลียนเฉียวจะยกมือขึ้นกุมท้องของตัวเองพลางแสดงสีหน้าเจ็บปวด

เฉินเฟิงรีบก้าวเข้าไปประคองหล่อน “เป็นอะไรไป?”

เหลียนเฉียวทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ฉันปวดท้องมากเลยค่ะ เหมือนไส้ติ่งอักเสบจะกำเริบยังไงไม่รู้”

เฉินเฟิงเห็นว่าน้ำเสียงของหล่อนสั่นสะเทือน อาจจะเป็นผลมาจากอาการเจ็บปวดที่ว่า จึงตอบกลับ “อย่าเดาสุ่มเลยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือเปล่า ไว้ไปโรงพยาบาลให้หมอตรวจดูก็รู้แล้ว” พูดจบเขาก็หันหลังกลับ หมายจะพาหล่อนไปโรงพยาบาล

มุมปากของเหลียนเฉียวปรากฏรอยยิ้มสมใจโดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น แค่ไม่นานรอยยิ้มนั้นก็จางไป

หลินม่ายเฝ้ามองเจ้าของร้านเสื้อผ้ารับเงินครั้งละเป็นกอบเป็นกำด้วยความฉงนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ผละออกมาเพื่อไปหาซื้อวัตถุดิบ

เธอซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ ซื้อคูปองเสื้อผ้าจากคนขายคูปอง แล้วมุ่งตรงไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อกับกางเกงตัวใหม่ให้ตัวเองและลูกสาวรวมถึงโจวฉายอวิ๋น จากนั้นก็เดินออกมาพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังเต็มมือ ถีบรถสามล้อกลับไปที่ร้านอาหาร

โจวฉายอวิ๋นไม่เพียงก่อกำแพงขั้นเขตลานหลังบ้านเท่านั้น แต่ยังจัดการติดตั้งประตูรั้วเหล็กให้เรียบร้อย ทั้งยังทำความสะอาดบ้านไว้รอเธออีกด้วย

เมื่อวานนี้เพิ่งจะมีการทาสีผนังบ้าน ทำให้ผงสีขาวแห้ง ๆ จากตัวผนังร่วงลงมาเต็มขอบหน้าต่างและพื้น แต่ตอนนี้ฝุ่นผงสีเหล่านั้นได้รับการทำความสะอาดอย่างหมดจด หน้าต่างทั้งชั้นล่างและชั้นบนสะอาดเอี่ยมอ่อง

โจวฉายอวิ๋นไปล้างมือ แล้วเข้ามาช่วยเธอจัดของ

หลินม่ายยื่นเสื้อกับกางเกงที่เพิ่งซื้อมาให้อีกฝ่าย “ฉันซื้อมาให้ พี่ลองดูซิว่าชอบหรือเปล่า”

โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ฉันไม่ได้ขาดแคลนเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่เสียหน่อย จะซื้อมาให้ฉันทำไม? ซื้อให้ตัวเองกับโต้วโต้วก็พอแล้ว”

ถึงปากจะพูดอีกอย่าง แต่การกระทำกลับสวนทางกัน

หล่อนคลี่เสื้อผ้าพวกนั้นออก ทาบไว้กับลำตัว ก่อนจะชื่นชมทั้งรอยยิ้มว่า “สวยมากเลย!”

หลินม่ายตอบยิ้ม ๆ “อีกหน่อยเราต้องเปิดร้านอาหารกันอย่างจริงจัง เราจำเป็นต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยสะอาดตา ขืนใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งต่อไป ลูกค้าเห็นแล้วจะพลอยไม่เจริญหูเจริญตา คราวนี้ฉันเลยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ตัวเองกับโต้วโต้วด้วย”

โต้วโต้วซึ่งกำลังเล่นสนุกกับอาหวงอยู่บนห้องชั้นบน พอเธอได้ยินเสียงของหลินม่ายดังมาจากชั้นล่าง เด็กน้อยหนึ่งคนกับสุนัขอีกหนึ่งตัวก็วิ่งลงบันไดมาทันที

โต้วโต้วร้องถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “แม่คะ แม่ได้ซื้อของอร่อย ๆ มาให้หนูไหม?”

“ซื้อสิ” ว่าแล้วหลินม่ายก็เอื้อมมือไปหยิบลูกอมน้ำมันหมู(1)สองสามชิ้นออกมาจากตะกร้า แล้วยื่นให้เด็กหญิงตัวน้อย

พอเห็นว่าเนื้อตัวของเด็กหญิงตัวน้อยสกปรกไปหมด จึงถามด้วยรอยยิ้ม “ทำไมเสื้อผ้าของลูกถึงได้เลอะเทอะอย่างนี้ล่ะ? ไปนอนกลิ้งกับพื้นถนนมาหรือ?”

โจวฉายอวิ๋นเป็นคนตอบ “โต้วโต้วไม่ได้เล่นซนหรอก เมื่อกี้นี้หล่อนอาสาช่วยฉันก่อกำแพงกับทำความสะอาดบ้าน เพราะแบบนี้เนื้อตัวถึงได้สกปรกนัก”

หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของโต้วโต้ว “โต้วโต้วของแม่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ”

โต้วโต้วที่ได้รับการชมเชยยิ้มกว้างอย่างร่าเริง ยื่นมือไปรับลูกอมน้ำมันหมู ก่อนจะวิ่งนำอาหวงเดินออกจากประตูไป

หลินม่ายไม่คิดห้ามปรามหล่อน

ยุคสมัยนี้น้อยคนนักที่จะมีรถยนต์ส่วนตัว ต่อให้ปล่อยโต้วโต้ววิ่งเล่นหน้าร้าน ก็คงไม่เกิดอันตรายใด ๆ

หลินม่ายขนย้ายวัตถุดิบที่ใช้ในการทำอาหารไปที่ห้องครัว ก่อนจะขนเสื้อผ้าชุดใหม่ของสองแม่ลูกขึ้นไปเก็บไว้ในห้องนอนชั้นบน จากนั้นก็ออกไปทำธุระนอกบ้านอีกครั้ง

การเปิดร้านขายซาลาเปา ถ่านถือเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ เธอจึงแวะไปที่สถานีหัวรถจักรเพื่อซื้อถ่านหุงต้มเพิ่ม

รอบนี้เธอขอซื้อถ่านจำนวนหลายร้อยชั่งในคราวเดียว

ทันทีที่เธอกลับมาถึงร้าน โจวฉายอวิ๋นก็ตบเข่าฉาดด้วยความเสียดาย “ถ้าเธอกลับมาเร็วกว่านี้แค่แป๊บเดียว เธอคงไม่คลาดกันกับศาสตราจารย์ฟางแน่”

หลินม่ายนิ่งงันไป “ทำไมเขาถึงแวะมาที่นี่อีกแล้วล่ะ ไม่คิดจะกลับบ้านไปพักผ่อนเลยเหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นเดินไปที่รถสามล้อ ขนย้ายถ่านหุงต้มไปกองอยู่ตรงมุมลานบ้านโดยใช้พลั่ว “เขาแวะมาที่นี่เพราะซื้อเสื้อผ้ามาฝากเธอกับโต้วโต้วน่ะ”

หลินม่ายตกใจยิ่งกว่าเดิม “อยู่ดี ๆ ทำไมถึงได้คิดจะซื้อเสื้อผ้าให้เราเฉยเลย…”

โจวฉายอวิ๋นเหลือบมองเธอ “เธอก็ไปถามศาสตราจารย์ฟางเขาสิ ถามฉัน ฉันจะรู้เหตุผลได้ยังไง!”

พูดจบก็หันไปขยิบตาให้หลินม่ายอย่างลึกลับ “ศาสตราจารย์ฟางคงชอบเธอเข้าแล้วกระมัง?”

หลินม่ายหวนคิดถึงประโยคที่เขาเคยพูดกับเธอว่าเขามองเธอเป็นเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ารัว “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ที่เขาทำดีกับฉัน ก็เพราะเห็นแก่หน้าของคุณปู่และคุณย่าฟางเท่านั้นเอง”

“จริงหรือ?” โจวฉายอวิ๋นแอบรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นก็ยังกระซิบกระซาบ “แต่ทำไมฉันกลับรู้สึกว่าเขาทำทุกอย่างเพราะชอบเธอนะ…”

หลินม่ายทำเสียงจริงจัง “เป็นไปไม่ได้ อย่าพูดซี้ซั้วน่า!”

สองสาวก้มหน้าก้มตาทำงานกันเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่ง จู่ ๆ โจวฉายอวิ๋นก็ถามขึ้นมา “ม่ายจื่อ เธอไม่คิดจะหาพ่อใหม่ให้โต้วโต้วแล้วหรือ?”

ใบหน้าหล่อเหลาของฟางจั๋วหรานแวบเข้ามาภายในห้วงความคิดของหลินม่ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พี่กังวลเรื่องของตัวเองดีกว่า พี่เองก็ไม่คิดจะหาคู่ครองใหม่แล้วหรือ?”

สีหน้าของโจวฉายอวิ๋นเศร้าหมองลงไปเล็กน้อย “ใช่ว่าฉันไม่คิดจะหาใครใหม่ แต่… แต่ฉันสุขภาพไม่แข็งแรง คะ… ใครจะต้องการฉันกันล่ะ”

พูดมาถึงตรงนี้ หล่อนก็หันไปแนะนำหลินม่ายอย่างจริงใจ “ฉันจะเป็นอย่างนี้ก็ช่างเถอะ แต่เธอควรมีความสุขในชีวิตคู่ เจอผู้ชายดี ๆ ทั้งทีก็อย่าปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด”

หลินม่ายรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงใคร จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่เป็นหมัน แต่นั่นก็เป็นแค่สิ่งที่สามีของพี่คิดไปเอง อย่าฟังคำพูดคำจาไร้สาระของคนพวกนั้นเลย โดยเฉลี่ยแล้วคู่สามีภรรยาที่ไม่มีบุตรสืบสกุล เป็นเพราะฝ่ายชายมีแนวโน้มว่าจะมีลูกยากมากกว่าฝ่ายหญิง พี่ควรหาเวลาว่างไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลดูสักวันให้แน่ใจนะคะ”

ถึงแม้ภพชาตินี้เธอจะจบการศึกษาแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น แต่หลังจากขยันทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ในที่สุดสองชาติที่แล้วเธอก็สามารถผลักดันตัวเองจนกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวงอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงของมณฑลหูหนาน ถึงแม้ประสบความสำเร็จในด้านอาชีพการงาน แต่เธอก็ยังคงศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ ทำให้พอรู้อยู่บ้างว่าฝ่ายชายต่างหากที่มีภาวะเสี่ยงเป็นหมันมากกว่าฝ่ายหญิง

โจวฉายอวิ๋นหลุบตาลงต่ำ พยายามระงับความเศร้าภายในจิตใจ พูดด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ฉันยังจำเป็นต้องไปตรวจอีกหรือ? ในเมื่อคนขี้ขลาดคนนั้นมีลูกกับผู้หญิงอีกคนไปแล้ว แทบไม่ต้องหาหลักฐานอะไรมายืนยันด้วยซ้ำ…”

หลินม่ายตกตะลึง “พี่รู้ได้ยังไง?”

โจวฉายอวิ๋นเงยหน้าขึ้นราวกับจะยิ้มเย้ยให้กับชะตากรรมของตัวเอง “เธอคิดว่าทำไมฉันถึงโดนขับไล่ให้กลับมาอาศัยอยู่กับพ่อแม่ของตัวเองกันล่ะ? เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นต้องการเปิดทางให้หญิงชู้กับลูกนอกสมรสของเขาเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันยังไงล่ะ แต่เพราะเขายังมีฉันอยู่ เขาถึงได้หาข้ออ้างมาเขี่ยฉันทิ้ง!”

หลินม่ายนิ่งอึ้ง

เธอคิดมาโดยตลอดว่าโจวฉายอวิ๋นถูกสามีขับไล่ออกจากบ้านเพราะเธอมีลูกให้กับเขาไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าความเป็นจริงจะหม่นเศร้าเคล้าน้ำตายิ่งกว่า

เธอปลอบโยนโจวฉายอวิ๋น “เป็นโสดก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร พี่ยังมีฉันอยู่ด้วยทั้งคนไม่ใช่หรอกหรือ? เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ชายก็ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ บางทีชีวิตโสดอาจดีกว่าชีวิตแต่งงานด้วยซ้ำไป”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “ใช่แล้ว!”

หลังจากถ่านหุงต้มถูกย้ายมากองรวมกันแล้วเรียบร้อย สองสาวก็ล้างมือ โจวฉายอวิ๋นจัดการต้มน้ำสำหรับอาบ โดยบอกให้หลินม่ายขึ้นไปอาบน้ำบนห้องชั้นบนก่อน ส่วนเธอจะรับหน้าที่ทำอาหารมื้อเย็น

หลินม่ายซื้อซี่โครงหมูมากด้วย การทำซุปจากซี่โครงหมูต้องใช้เวลาเคี่ยวนานพอสมควร

ดังนั้นเธอจึงต้องจัดการเคี่ยวเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นอาจล่าช้าเกินไป พอถึงเวลาอาหารเย็นตัวซี่โครงอาจเปื่อยไม่พอ

หลินม่ายขึ้นไปชั้นบน มือข้างหนึ่งหิ้วถังน้ำขนาดใหญ่เดินเข้าไปในห้อง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งหอบอ่างล้างหน้าเอาไว้

เธอเหลือบไปเห็นว่าบนเตียงใหญ่ของตัวเองมีเสื้อผ้ากองอยู่หลายชุด มีทั้งตัวใหญ่และเล็กคละกันไป

มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเสื้อผ้าพวกนี้คือของที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาให้

เธอวางถังน้ำและอ่างล้างหน้าลง เดินไปเลือกเสื้อผ้าตัวเล็กออกมาจากกอง

พอคลี่ดูก็เห็นว่าเป็นเสื้อเชิ้ตตัวเล็กสีขาวแขนตุ๊กตา ไว้สวมคู่กับชุดเอี๊ยมสีแดงเข้ม ถ้าโต้วโต้วสวมใส่คงน่ารักไม่หยอก

สภาพอากาศในเดือนนี้นับว่าไม่เอื้ออำนวยต่อการแต่งตัวเอาเสียเลย จะใส่ชุดของฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ได้แล้ว เนื่องจากอากาศร้อนเกินไป

แต่ถ้าใส่กระโปรงแล้วไม่ใส่ถุงน่องก็จะหนาวเกินไปอีก ฤดูกาลนี้การแต่งตัวที่เหมาะสมที่สุดคือสวมเสื้อตัวกางเกงตัวอย่างง่าย ๆ

เธอหยิบเสื้อผ้าที่ฟางจั๋วหรานซื้อให้ขึ้นมา เตรียมคัดแยกพวกมันออกจากกัน แต่พอคิดทบทวนดูอีกทีแล้ว เธอก็ล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าวไปเสีย

เธอไม่ควรยอมรับเสื้อผ้าเหล่านี้จากเขา และตั้งใจว่าจะส่งคืนให้กับฟางจั๋วหรานในวันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นไม่แยกชิ้นส่วนพวกมันออกจากกันคงเป็นการดีที่สุด

…………………………………………………………………………………………………………….

ลูกอมน้ำมันหมู ขนมชนิดหนึ่งที่ทำโดยการเคี่ยวน้ำมันหมูผสมกับแป้งและน้ำตาล มีรสหวาน หอมสดชื่น ให้พลังงานได้เป็นอย่างดี

สารจากผู้แปล

เห็นนะว่ามีคนคอยล่มเรือหัวหน้าแก๊งหนึ่งอัตรา จะเจอกันก็มีเหตุทำให้คลาดกันเฉยๆ

ส่วนเรือพี่หมอก็ติดน้องสาวพี่ชายโซนอีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 96 คำแนะนำจากเด็กหญิงตัวน้อย

พอมีรถแทรกเตอร์ การขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ก็สะดวกสบายมากขึ้น เพราะสามารถยกทุกสิ่งอย่างขึ้นรถและทำการขนย้ายได้ในคราวเดียว

ที่ประตูหน้าร้าน หลินม่ายหยิบขวดโหลใส่ผักดองที่หนักพอสมควร ก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน

ฟางจั๋วหรานก็ยกโหลผักดองเดินตามเธอเข้ามาในร้านด้วยเช่นกัน

ผักดองโหลนี้หนักไม่เบา เพราะมีน้ำหนักราว ๆ สามสิบชั่ง แต่หญิงสาวเพียงคนเดียวกลับแบกขึ้นมาได้โดยไม่มีคนช่วย ช่างเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งมาก ๆ!

แต่การเป็นหญิงสาวที่แข็งแกร่งแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวบีบบังคับให้เธอต้องเข้มแข็งและไม่สามารถอ่อนแอได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงอดรู้สึกเห็นใจเธอไม่ได้

หลินม่ายและฟางจั๋วหรานช่วยกันจัดของ แม้แต่โต้วโต้วก็มาช่วยพวกเขาอีกแรงหนึ่ง

เนื่องจากว่าเธอเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จึงแบกหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของขนาดใหญ่ไม่ได้ สิ่งที่พอจะทำได้คือเข้าไปช่วยหยิบจับของจำพวกถ้วยชามและของใช้กระจุกกระจิกต่าง ๆ

หลังจากจัดการเก็บข้าวของพวกแป้ง น้ำมัน และผักดองเสร็จแล้ว พวกเขาก็ช่วยกันขนผ้าห่ม หมอน และเสื้อผ้าขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

ฟางจั๋วหรานและโต้วโต้วรับผิดชอบด้านการส่งของให้หลินม่าย โดยเธอจะเป็นคนจัดแจงทุกอย่างเอง

หลังจากทำความสะอาดห้องของโจวฉายอวิ๋นเสร็จ หลินม่ายก็เข้าไปทำความสะอาดของเธอและลูกสาวต่อทันที

ขณะที่ฟางจั๋วหรานช่วยขนเสื้อผ้าของพวกเธอที่เหลืออยู่ เขาสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของสองแม่ลูกมีสภาพทรุดโทรมพอสมควร ซึ่งเขาไม่คิดเลยว่าทั้งสองจะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าขนาดนี้ ทันใดนั้นดวงตาก็ฉายแววสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ

แม้เบื้องหลังของหลินม่ายและโต้วโต้วจะน่าสงสารมากก็ตาม แต่เขากลับแปลกใจที่พวกเธอยังคงยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

ขณะที่หลินม่ายกำลังจัดการกับเตียงไม้หวงฮวาหลี โต้วโต้วก็กระโดดขึ้นมานอนเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างตื่นเต้น

ไม่นานหล่อนก็หันไปพูดกับฟางจั๋วหรานว่า “คุณอาฟาง บ้านใหม่ของหนูอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลมากเลย คุณอาคงเดินทางสะดวกมากขึ้นถ้าย้ายมาอยู่บ้านเดียวกันกับพวกเรานะคะ ได้อยู่กินข้าวด้วยกันทุกมื้อ พอตกกลางคืน คุณอาก็เข้ามานอนกับหนูและแม่”

สีหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที เธอก้มไปตีก้นของหล่อนเบา ๆ แล้วพูดว่า “ชักเอาใหญ่แล้วนะเรา เดี๋ยวรีบไปจัดที่นอนของตัวเองให้เรียบร้อยด้วย เพราะแม่จะไม่นอนเตียงเดียวกันกับหนูแล้ว หนูจะต้องนอนคนเดียว รีบไปจัดการเลยเร็ว!”

หลังจากนั้น โต้วโต้วก็หันไปมองเตียงของตัวเอง

โต้วโต้วลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงเพื่อจัดที่นอนให้เรียบร้อย ขณะจัดที่นอนก็พูดขึ้นมาว่า “หนูนอนเตียงเดียวกับแม่ไม่ได้ แต่คุณอานอนได้นะคะ”

หลินม่ายตกใจมาก รีบสวนกลับไปว่า “ทะ… ทำไมพูดแบบนั้น?”

โต้วโต้วตอบกลับอย่างไม่ลังเล “หนูมีเตียงก็จริง แต่มันเล็กเกินไปสำหรับคุณอานี่คะ ยังไงก็นอนไม่พอแน่ ๆ แต่เตียงของแม่กว้างมาก คงไม่มีปัญหาถ้าให้คุณอาไปนอนด้วย”

อืม อา…

ฟางจั๋วหรานทำอะไรไม่ถูก และไม่สามารถทนฟังหล่อนพูดแจ้ว ๆ ต่อไปได้ จึงวิ่งหนีลงมาชั้นล่างด้วยความเขินอาย

สีหน้าของหลินม่ายยิ่งแดงก่ำมากกว่าเดิมเสียอีก ก่อนแสร้งทำเป็นไม่พอใจแล้วพูดว่า “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาแบบนั้นไม่ดีนะ ถ้าคราวหลังพูดแบบนี้อีก แม่จะไม่ให้กินของอร่อยอีกตลอดชีวิตเลย”

โต้วโต้วได้ยินแบบนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำตาโตแล้วแสดงสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับตัวเองไม่เคยพูดแบบนั้นออกไป

เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เวลาก็เดินมาถึงเที่ยงวันพอดี

หลินม่ายลงไปชั้นล่าง พบว่าโจวฉายอวิ๋นขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วหมดแล้ว เธอจึงพูดขึ้นว่า “ปิดร้านเถอะ เดี๋ยวพวกเราไปหาอะไรนอกบ้านกินกันดีกว่า”

โต้วโต้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

แม้ว่าฝีมือปรุงอาหารของหลินม่ายจะอร่อยมาก แต่บางครั้งหล่อนก็อยากทานอาหารนอกบ้านเหมือนกัน

แต่โจวฉายอวิ๋นหันมาตอบว่า “งั้นไปซื้อวัตถุดิบกลับมาทำที่บ้านดีกว่า ประหยัดเงินแถมยังราคาไม่แพงด้วย”

เนื่องจากช่วงนี้พวกเธอยังจำเป็นต้องใช้เงินพอสมควรสำหรับจ่ายค่าเช่าและซื้อเฟอร์นิเจอร์ หล่อนจึงไม่ยอมหมดเงินไปกับสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็น

หลินม่ายหันกลับมามองฟางจั๋วหราน

เขามีน้ำใจมาช่วยเธอย้ายบ้านตั้งแต่เช้าแล้ว ทั้งยังต้องอดทนกับสภาพอากาศร้อนจัดอีก

เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาต้องทำงานเข้ากะตลอดทั้งคืน แค่ดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าค่อนข้างเหนื่อยล้า

ถ้าเธอต้องออกไปซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหาร คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงกว่าจะปรุงเสร็จ และหลังกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ฟางจั๋วหรานต้องนั่งพักอีกราว ๆ หนึ่งชั่วโมง ถึงจะกลับบ้านไปพักผ่อนได้

หลินม่ายอยากให้เขารีบกินมื้อเที่ยงให้ตรงเวลาที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปพักผ่อนเร็ว ๆ ดังนั้นเธอจึงยืนกรานว่าจะไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ในละแวกนี้

กลับกัน ฟางจั๋วหรานต้องการให้เธอประหยัดเงินเอาไว้ จึงพูดขึ้นว่า “ความจริงแล้วผมก็อยากชิมฝีมือของคุณนะ”

หลินม่ายตอบกลับไปอย่างไม่ยอมท่าเดียว “ฉันเหนื่อยมาตั้งแต่เช้าแล้วนะคะ จะเอาแรงที่ไหนไปทำอาหาร ไว้คราวหลังฉันจะทำให้คุณชิมก็แล้วกันค่ะ ตอนนี้เราออกไปกินข้าวด้านนอกกันเถอะ”

ในเมื่อเธอพูดแบบนี้ ทุกคนจึงยอมออกไปกินมื้อเที่ยงนอกบ้าน

หลินม่ายรับหน้าที่เป็นหัวโต๊ะกระเป๋าหนัก สั่งคากิอบซอสหนึ่งจาน ลูกชิ้นสี่เกษม(1)อีกหนึ่งจาน… นอกเหนือจากนี้ยังสั่งอาหารจานใหญ่มาเพิ่มอีกห้าถึงหกจานจนเต็มโต๊ะ

พนักงานเสิร์ฟหลายคนเดินมารวมตัวกัน โดยยืนห่างจากโต๊ะของพวกเขาพอประมาณ แล้วหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงคนที่มากับหลินม่าย

พวกเธอรู้สึกประหลาดใจมากกับภาพตรงหน้า เพราะไม่คิดว่าจะมีหนุ่มหล่อเข้ามากินมื้อเที่ยงด้วยกันกับผู้หญิงหน้าตาธรรมดาสองคน ซึ่งพวกเธอเป็นผู้หญิงผิวคล้ำและแต่งตัวบ้าน ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับชายหนุ่มคนนี้แล้วดูแตกต่างกันเกินไป

ต่อให้พวกเธอจะมีเงินเข้าภัตตาคาร แต่ผู้ชายคนนั้นหล่อเหลาจะตายไป คงไม่มีทางชายตามองสาวบ้านนอกอย่างพวกเธอหรอก

ระหว่างกินอาหาร ฟางจั๋วหรานก็ชวนพวกเธอพูดคุยไปพลาง

โจวฉายอวิ๋นถามหลินม่ายว่า “ตั้งแต่เราย้ายบ้านมา ยังไม่เห็นลานจอดรถเลย แล้วจะเอารถแทรกเตอร์กับรถสามล้อไปจอดตรงไหนล่ะ?”

ถ้าหากพวกเธอจอดรถทั้งสองคันไว้หน้าบ้าน อาจส่งผลกระทบต่อการสัญจรได้

เธอเป็นกังวลเล็กน้อยเพราะกลัวว่ารถพวกนี้จะถูกโจรขโมยไป

แน่นอนว่าหลินม่ายจัดการทุกอย่างไว้แล้ว “ฉันเตรียมลานกว้างหลังบ้านเอาไว้แล้ว ขนาดประมาณห้าหรือหกเมตรได้ ตอนนี้รถแทรกเตอร์กับรถสามล้อก็จอดอยู่ที่นั่น”

เพื่อนบ้านของเธอก็ทำลานกว้างไว้หลังบ้านเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจทำแบบเดียวกัน

ทั้งนี้ลานกว้างหลังบ้านก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับเจ้าของพื้นที่นี้ด้วย เลยไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อเฒ่าเฮ่อมาเจรจาเพิ่มเติม

ฟางจั๋วหรานพูดขึ้นว่า “หลังกินข้าวเสร็จเดี๋ยวผมไปช่วยคุณจัดสวนนะ”

หลินม่ายรีบปฏิเสธ “หลังจากนี้คุณควรกลับบ้านไปพักผ่อนนะคะ เดี๋ยวเรื่องจัดสวน ฉายอวิ๋นกับฉันจะช่วยกันทำเอง ส่วนกำแพงด้านซ้ายและด้านขวาสามารถใช้ร่วมกันกับเพื่อนบ้านได้ ก็จะเหลือแค่กำแพงด้านเดียวเอาไว้ปิดท้ายลานไว้ ทั้งหมดทำไม่ยากอยู่แล้ว เดี๋ยวพวกฉันจัดการกันเองได้ค่ะ”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ตอบกลับอะไร

หลังกินมื้อเที่ยงเสร็จ หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปหานายช่างจาง เพื่อไปขอซื้ออิฐเก่า ปูนซีเมนต์ และประตูรั้วเหล็กเก่า

ยุคนี้ค่อนข้างขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง แรงงานก่อสร้างที่ถูกว่าจ้างให้ไปรื้อถอนอิฐ หน้าต่าง และประตูเก่าตามหอพักหรือโรงพยาบาลเก่า ได้เก็บวัสดุพวกนั้นกลับมาทั้งหมด เพื่อนำมาขายต่อสร้างรายได้

หลังจากนั้นเธอกับโจวฉายอวิ๋นช่วยกันขนวัสดุต่าง ๆ ไปกองไว้ด้านหลังบ้าน แล้วปล่อยให้โจวฉายอวิ๋นก่อกำแพงคนเดียว เนื่องจากการสร้างกำแพงกั้นเขตท้ายลานนั้นง่ายมาก จึงสามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้

ปกติแล้วในพื้นที่ชนบทห่างไกล ผู้หญิงส่วนใหญ่สร้างบ้านและก่อกำแพงด้วยตัวเองกันทั้งนั้น

หลังจากนั้นหลินม่ายนัดหมายนายช่างจางให้ไปพบกันที่หมู่บ้านซานหยาง เพื่อให้เขาเข้าไปดูห้องครัวในบ้านของเธอ โดยจะให้ดัดแปลงให้กลายเป็นห้องพักสำหรับเปิดให้คนมาเช่าในอนาคต การเดินทางครั้งนี้เธอถีบรถสามล้อไป

เมื่อนายช่างจางได้มาเห็นสถานที่จริงก็ลงความเห็นว่า บ้านหลังนี้สามารถดัดแปลงโดยแบ่งเป็นห้องเช่าได้หลายห้อง เพียงเท่านี้หลินม่ายก็สามารถเปิดห้องให้คนมาเช่าเพิ่มได้อีกหลายหยวนทีเดียว

หลินม่ายยกหน้าที่ออกแบบให้เขาจัดการตามสบาย ไม่ลืมทิ้งกุญแจบ้านไว้ให้ ตกลงว่าจะรอให้เขาดำเนินการเสร็จก่อนค่อยจ่ายเงินค่าจ้าง

หลินม่ายถีบรถสามล้อออกจากหมู่บ้านซานหยาง แต่แทนที่จะกลับร้าน เธอกลับแวะไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อซึ้งไม้ไผ่เพิ่ม

ในอนาคตเธออาจต้องเปิดร้านขายซาลาเปาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทั้งหม้อและซึ้งที่มีอยู่คงไม่เพียงพอแน่ ๆ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์เพิ่ม

ในตลาดมืดเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ขายที่มีความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ดี ๆ หลายอย่าง ซึ่งหลินม่ายก็เคยซื้อซึ้งไม้ไผ่อันแรกจากลุงขายซึ้งที่นี่

เพราะซึ้งไม้ไผ่แผงนี้มีคุณภาพดี และจำหน่ายในราคาที่สมเหตุสมผลที่สุด

หลินม่ายเดินตรงไปหาลุงขายซึ้งอย่างร่าเริง ก่อนจะพูดคุยกันสักพัก เธอขอซื้อซึ้งไม้ไผ่ขนาดใหญ่ถึงสิบอัน แล้วขอให้เขาช่วยเอาไปส่งที่ร้านของเธอตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้

ลุงขายซึ้งรับเงินมัดจำมาส่วนหนึ่ง ก่อนปิดแผงแล้วกลับบ้านไปเตรียมของ

ถึงอย่างไรแผงของเขาก็ขายของยากมาสักพักแล้ว จึงเลือกกลับบ้านดีกว่าเสียเวลานั่งเฝ้าแผงต่อ

หลินม่ายคิดว่าจะแวะไปซื้อวัตถุดิบกลับไปทำมื้อเย็น แต่ก่อนไปนั้น เธอตัดสินใจแวะไปที่ร้านขายเสื้อผ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตลาดมืด

เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าหากจะทำธุรกิจขายอาหารแล้ว เรื่องการแต่งตัวก็สำคัญ แถมพวกเธอไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่มานานแล้วด้วย ปัจจัยดังกล่าวอาจทำให้ร้านของเธอไม่น่าเข้ามาอุดหนุน

เธอตั้งใจว่าจะต้องหาซื้อเสื้อและกางเกงดี ๆ สักสองตัวสำหรับตัวเธอเองและโจวฉายอวิ๋น ดังนั้นเธอจึงเดินทางไปยังร้านขายเสื้อผ้าโดยไม่ลังเล

……………………………………………………………………………………………………………

ลูกชิ้นสี่เกษม (四喜丸子) ก็คือลูกชิ้นทอดราดซอสน้ำแดงนั่นเอง

สารจากผู้แปล

เรือพี่หมออยู่สบายมากเลยค่ะ ลูกเรือไม่ต้องพายแล้ว น้องโต้วโต้วรับหน้าที่กัปตันคุมเรือเองเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 95 เลี้ยงอาหารเช้า

หลินม่ายเดินวนเวียนอยู่รอบเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ตัดสินใจกัดฟันซื้อ

เธอขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสดออกมาซื้อเครื่องเรือนพวกนี้โดยเฉพาะ

สิ่งแรกที่เธอทำคือเลือกเฟอร์นิเจอร์คุณภาพธรรมดาทั่วไป รวมถึงโต๊ะและเก้าอี้ที่จำเป็นสำหรับการเปิดร้าน

ในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองมีโต๊ะและเก้าอี้แบบพับได้จำนวนหนึ่งซึ่งถูกคัดออกมาจากร้านอาหารขนาดเล็กที่ดำเนินกิจการโดยรัฐ

ถึงพวกมันจะมีสภาพเก่าไปหน่อย แต่ก็ยังมีคุณภาพดี แถมยังแข็งแรงพอสมควร

สุดท้ายหลินม่ายก็ซื้อเครื่องเรือนไม้หวงฮวาหลีที่เธอหมายตาไว้ตั้งแต่แรก

ขณะที่หลินม่ายแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายว่าต้องการซื้อเครื่องเรือนไม้หวงฮวาหลี พนักงานขายที่จัดการวางใบเสร็จรับเงินก็ต้องประหลาดใจ

ไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้หญิงหน้าตาบ้าน ๆ ที่สวมใส่เสื้อผ้าโทรม ๆ จะมีเงินพอซื้อเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงขนาดนี้

พนักงานขายเคาะลูกคิดคำนวณยอดเงินรวมทั้งหมด ก่อนจะพูดว่า “ทั้งหมดหนึ่งพันห้าร้อยหยวนค่ะ”

หลินม่ายหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า แล้วเริ่มนับเงินอย่างละเอียด

จากนั้นก็หันไปพูดกับพนักงานขายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “เงินของฉันขาดไปยี่สิบหยวน ช่วยลดราคาให้ฉันสักยี่สิบหยวนได้ไหมคะ?”

เมื่อครู่นี้ตอนที่เธอถอนเงินออกมา เธอแค่ประมาณไว้คร่าว ๆ เท่านั้นว่าต้องใช้เงินประมาณเท่าไร ไม่คาดคิดว่าจะยังขาดไปส่วนหนึ่ง

พนักงานขายปรายตามองเธอ “ที่นี่เป็นตลาดค้าขายของรัฐนะคะ ไม่มีการต่อรองราคาใด ๆ ทั้งนั้น”

หลินม่ายจึงหันกลับไปเพื่อตัดเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ธรรมดาออกเป็นบางชิ้น แต่แล้วมือเรียวยาวขาวสะอาดข้างหนึ่งก็ยื่นมาหยิบเอาไม้กระดานแผ่นใหญ่สองแผ่นจากมือเธอไป “ผมมีเงินพอจ่ายส่วนต่าง”

หลินม่ายหันขวับไป พอเห็นว่าผู้พูดคือฟางจั๋วหราน ก็ทักทายเขาด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่ได้ล่ะคะ?”

ดวงตาของฟางจั๋วหรานเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นราวกับแสงแดดอ่อนในช่วงเดือนมีนาคม “ผมเพิ่งแวะไปที่ร้านของคุณมา ผู้ช่วยในร้านของคุณบอกผมว่าคุณมาที่นี่”

หลินม่ายเอื้อมมือไปรับไม้กระดานแผ่นใหญ่ทั้งสองแผ่นกลับมาจากมือเขาด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ไว้กลับไปแล้วฉันจะหาเงินมาจ่ายคืนนะคะ”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไร ถ้าคุณยังมีเงินไม่พอจ่ายคืน งั้นหลังจากนี้ก็เลี้ยงอาหารเช้าผมทุกวันก็แล้วกัน”

หลินม่ายตอบรับ

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีระบบบริการหลังการขาย

ในเมื่อเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์ ก็จะต้องยกเฟอร์นิเจอร์ขึ้นรถแทรกเตอร์ด้วยตัวเอง

หลินม่ายวางแผนว่าช่วยฟางจั๋วหรานจะขนย้ายพวกมันกลับไปที่ร้าน แต่ฟางจั๋วหรานกลับไม่ยอมให้เธอทำงานแบบนี้

เขาหันไปกวักมือเรียกผู้ชายร่างกายแข็งแรงคนหนึ่งที่เดินผ่านมาบนท้องถนน ขอแรงเขาให้ช่วยยกพวกมันขึ้นรถ

หลินม่ายคิดว่าคนอย่างฟางจั๋วหรานที่ทั้งชีวิตถือแต่มีดผ่าตัดคงไม่มีแรงกำลังมากนัก คาดไม่ถึงว่าเขาเองก็แข็งแรงพอตัว

ใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาก็ช่วยผู้ชายคนนั้นยกเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดขึ้นรถแทรกเตอร์จนครบภายในไม่กี่อึดใจ

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ร้านพร้อมกับฟางจั๋วหราน

โจวฉายอวิ๋นเห็นว่าเธอซื้อเฟอร์นิเจอร์กลับมาเป็นจำนวนมาก จึงต้องการออกไปช่วย ถึงอย่างนั้นก็ไม่กล้าวางมือจากงานที่ทำอยู่เสียทีเดียว ได้แต่นิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง

หลินม่ายบอกว่า “พี่ทำงานตรงหน้าต่อไปเถอะ ปล่อยให้พวกเรายกกันเองก็ได้ เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไม่ได้หนักอะไรมากอยู่แล้ว ต่อให้พี่ไม่มาช่วยพวกเราก็ยกกันเองได้อยู่แล้ว”

คราวนี้เธอขอความช่วยเหลือจากผู้ชายท่าทางแข็งแรงสองคนที่เดินผ่านมาพอดี ให้พวกเขาช่วยยกเฟอร์นิเจอร์ลงจากรถ

ขั้นตอนแรกคือย้ายเฟอร์นิเจอร์ประเภทเครื่องเรือนขึ้นไปชั้นบน จากนั้นก็กางโต๊ะพับแปดตัววางตรงบริเวณหน้าร้านชั้นล่าง ตามด้วยโต๊ะมีลิ้นชักสำหรับคิดเงิน ไม่นานเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดที่ซื้อมาก็เข้าที่เข้าทาง

หลังจากจ่ายเงินเป็นสินน้ำใจให้กับแรงงานยกของจำเป็นทั้งสองคน เธอก็ส่งพวกเขากลับออกไป หลินม่ายหันไปถามฟางจั๋วหรานว่าเขากินอาหารมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง ถ้ายังจะได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันที่นี่

ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางตอบกลับ “ตอนผมแวะมาที่ร้านคุณเมื่อเช้า ผมรองท้องด้วยซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มไปแล้วเรียบร้อย”

เมื่อเห็นว่าเขากำลังกวาดสายตาสำรวจมองไปทั่วร้าน หลินม่ายจึงถามเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณคิดว่าการทาสีผนังแบบนี้ไม่ดีหรือคะ?”

“เปล่า” ฟางจั๋วหรานตอบด้วยน้ำเสียงแสดงความผิดหวังเล็ก ๆ “เมื่อวานผมบอกว่าจะมาช่วยคุณทำความสะอาดบ้านในวันนี้ ปรากฏว่าคุณทำทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว…”

หลินม่ายยิ้มกว้าง “เมื่อวานฉันพอมีเวลาว่างค่ะ ก็เลยขอให้นายช่างเขามาช่วยจัดการให้”

ตอนนี้ที่นี่มีเฟอร์นิเจอร์ครบถ้วนแล้ว เหลือก็แต่กลับไปที่หมู่บ้านซานหยางเพื่อขนย้ายพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงข้าวสาร แป้ง น้ำมัน ไข่ ผักดอง และข้าวของอื่น ๆ มาด้วย

พอโต้วโต้วรู้ว่าหลินม่ายกำลังจะกลับไปที่หมู่บ้านซานหยาง หล่อนก็ร้องขอว่าอยากไปด้วย

ฟางจั๋วหรานเสนอตัวจากด้านข้าง “ผมขอไปด้วยคนสิ”

หลินม่ายปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเล “ไม่ดีหรอกค่ะ ระยะทางจากที่นี่กลับไปที่หมู่บ้านซานหยางค่อนข้างไกล กลัวคุณสูดดมเขม่าควันรถแทรกเตอร์นานเข้าแล้วจะทนไม่ได้เสียก่อน”

“คุณเป็นผู้หญิงคุณยังทนได้เลย แล้วผมที่เป็นผู้ชายจะทนไม่ได้เชียวหรือ?”

ฟางจั๋วหรานปีนขึ้นรถแทรกเตอร์แล้วนั่งลงตรงตำแหน่งคนขับ “ขึ้นมาเร็วเถอะ ย้ายข้าวของให้เสร็จเสียตั้งแต่วันนี้เลย วันพรุ่งนี้คุณจะได้เปิดร้านตามปกติอย่างสบายใจ”

หลินม่ายตกใจ “คุณขับรถแทรกเตอร์เป็นด้วยหรือคะ?”

“เป็นสิ ผมเรียนรู้การขับมันตั้งแต่ตอนที่ผมลงพื้นที่ชนบทเป็นแพทย์อาสา”

ในที่สุด หลินม่ายก็ขึ้นรถแทรกเตอร์ไปพร้อมกับโต้วโต้ว

อาหวงยืนเห่าเสียงดังอยู่ด้านล่าง เป็นเชิงร้องขอว่าอยากติดตามไปด้วย

แต่คราวนี้โต้วโต้วไม่ได้อุ้มมันไปด้วย ทั้งยังกำชับให้มันกลับเข้าไปนอนในครัวตามเดิม

ถึงแม้อาหวงจะไม่พอใจสักเท่าไร แต่มันก็ยอมเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างเชื่อฟัง

ฟางจั๋วหรานไม่เพียงขับรถแทรกเตอร์เป็นเท่านั้น ฝีมือในการขับของเขาค่อนข้างดี ควบคุมรถได้เสถียรกว่าหลินม่ายเสียอีก

หลินม่ายชำเลืองมองเขา ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนนี้จะมีความสามารถรอบด้านถึงขั้นทำได้ทุกอย่าง

เฉินเฟิงวิ่งออกมาดักรอที่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมเจียงอันตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยหวังว่าตัวเองจะได้พบกับหลินม่าย

เขาอดทนรอจนเวลาล่วงเลยไปถึงสิบโมงเช้า เห็นพ่อค้าแม่ค้ารายย่อยถีบรถสามล้อมาตั้งแผงขายของหน้าประตูโรงเรียนกันประปราย แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่เห็นหลินม่าย

เหลียนเฉียวยืนมองเขาจากที่ไกล ๆ ด้วยสีหน้ามืดมน

หล่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาจะผูกพันกับหญิงสาวคนนั้นมากขนาดนี้ ชีวิตเขามีหมื่นบุปผารายล้อมแต่ไร้ซึ่งกลีบดอกติดกาย(1)

ตอนนี้ประตูโรงเรียนปิดไปนานแล้ว ทว่าหญิงสาวผิวคล้ำคนนั้นก็ยังไม่มาขายซาลาเปาเสียที ท้ายที่สุดแล้วเฉินเฟิงจึงจำใจต้องจากไปด้วยความสิ้นหวัง

รถแทรกเตอร์คันหนึ่งขับผ่านเขาไป ชายหนุ่มเพียงเหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก

หลินม่ายที่นั่งอยู่บนรถแทรกเตอร์ถูกร่างสูงตระหง่านของฟางจั๋วหรานบังไว้อีกทีหนึ่ง ทำให้ต่างฝ่ายต่างมองไม่เห็นกัน

เมื่อกลุ่มของหลินม่ายเดินทางมาถึงหมู่บ้านซานหยาง ชาวบ้านละแวกนั้นต่างก็ประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายพาชายรูปงามคนหนึ่งกลับมาด้วย

คุณป้าสองสามคนที่เข้ามาช่วยหลินม่ายขนย้ายของ แอบกระซิบถามว่าฟางจั๋วหรานเป็นแฟนหนุ่มของเธอหรือเปล่า

ค่านิยมของยุคสมัยนี้ก็เป็นอย่างนี้ ตราบใดที่ชายหญิงโสดใกล้ชิดกัน ไม่ใช่เรื่องแปลกหากคนนอกจะเข้าใจไปว่าทั้งสองต้องคบหากันอยู่เป็นแน่

หลินม่ายกลัวว่าฟางจั๋วหรานอาจรู้สึกอับอายเมื่อได้ยินคำพูดของป้า ๆ เหล่านี้ เธอจึงลดระดับเสียงลงแล้วตอบกลับว่า “เราสองคนไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ อย่าคาดเดาส่งเดชเลย”

หลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง เธอก็พูดเสริมอีกสองประโยคด้วยความขมขื่น

“เขาเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ค่ะ แถมยังควบตำแหน่งศัลยแพทย์ที่โรงพยาบาลในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์เดียวกันอีกด้วย ต่อให้เขาสายตาสั้นแค่ไหนก็คงไม่ตกหลุมรักฉันแน่ เพราะฉะนั้นเราจะคบหากันได้ยังไงคะ?”

คุณป้าพวกนั้นกลับไม่เชื่อคำพูดของเธอ “ถ้าเขาไม่ได้สนใจจะจีบเธอ แล้วจะตามเธอมาช่วยขนของทำไมกัน?”

การขนย้ายข้าวของไม่เหมือนการที่เขาแวะเวียนมาซื้ออาหาร เพราะถือเป็นงานหนัก

หลินม่ายอธิบายว่า “ฉันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณปู่และคุณย่าของศาสตราจารย์ฟางเขาน่ะค่ะ ที่เขามาช่วยฉันก็เพราะเห็นแก่คุณปู่กับคุณย่าของเขา”

คุณป้าสองคนได้ยินแบบนั้นก็ถึงบางอ้อ

คุณป้าคนหนึ่งแนะนำเธออย่างใจดี “ศาสตราจารย์ยังไม่แต่งงาน ถ้าอย่างนั้นเขามีแฟนหรือยังล่ะ? ถ้าเขายังไม่มีแฟน เธอก็รีบคว้าเขาเอาไว้เถอะ อย่าได้พลาดโอกาสแบบนี้เชียว มีผู้ชายดี ๆ ผ่านมาในชีวิตทั้งที เธอจะปล่อยให้เขาผ่านไปไม่ได้!”

คุณป้าอีกคนหนึ่งก็สนับสนุนให้หลินม่ายเริ่มต้นชีวิตคู่ใหม่เช่นเดียวกัน

หลินม่ายได้แต่ยิ้มตอบไปอย่างร่าเริง

เธอเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัวมากพอ รู้ดีว่าตัวเองไม่เหมาะสมคู่ควรกับคนที่ดีพร้อมอย่างฟางจั๋วหราน

แต่คำพูดไม่กี่ประโยคของคุณป้าเหล่านี้ก็สมเหตุสมผลดีเหมือนกัน ในเมื่อได้พบเจอผู้ชายดี ๆ ทั้งทีก็ไม่ควรปล่อยให้เขาหลุดมือ มิฉะนั้นโอกาสที่พระเจ้าอุตส่าห์หยิบยื่นให้อาจมีอันหลุดลอยไป

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงเหลือบมองไปทางฟางจั๋วหรานอย่างพิจารณา

ยิ่งมองนานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ารัศมีของเขาเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ ในขณะที่เธอเป็นไม่ได้แม้แต่หิ่งห้อยด้วยซ้ำ…

เป็นความแตกต่างระหว่างเมฆกับโคลนอย่างแท้จริง…

……………………………………………………………………………………………………………………..

เป็นคำอุปมาเพื่ออธิบายว่าผู้ชายอยู่ท่ามกลางผู้หญิงมากมาย มีผู้หญิงหลายคนที่ชอบเขา แต่กลับไม่เคยมีใครมีโอกาสได้สนิทสนมพัวพันกับเขาเลย

สารจากผู้แปล

เรือพี่หมอมาแรงมากเลยค่ะ บังเรืออีกลำไปแล้ว

เริ่มคิดเล่นของสูงแล้วสินะม่ายจื่อ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองใช่ไหมคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 94 แรงงานชนบทใจดี

แรงงานชนบท(1)ทุกช่วงวัยที่ทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้างดูท่าทางใจดีมาก หลินม่ายเข้าไปแจ้งความประสงค์กับพวกเขาว่าระบบน้ำและระบบไฟฟ้าของบ้านของเธอมีอายุการใช้งานหลายปีแล้ว เลยต้องการว่าจ้างช่างเข้าไปซ่อมแซม

ทันใดนั้นแรงงานชนบทคนหนึ่งก็มีน้ำใจเป็นธุระไปคุยกับนายช่างคนหนึ่งที่มีอายุอานามประมาณสี่สิบปี “นายช่างจาง ผู้หญิงคนนี้บอกว่าสายไฟในบ้านของหล่อนเริ่มเสื่อมสภาพแล้วครับ คุณช่วยไปดูให้หล่อนหน่อยเถอะ”

นายช่างจางตอบรับ พลางหันไปพูดกับหลินม่าย “รอผมสักครู่ เดี๋ยวผมจะไปหยิบชุดเครื่องมือช่างก่อน”

หลินม่ายตอบกลับ “เอาวัสดุที่จำเป็นติดมาด้วยก็ดีนะคะ เผื่อส่วนไหนใช้งานไม่ได้แล้วจะได้รวดเปลี่ยนทีเดียวค่ะ”

นายช่างเหล่านี้ทำงานอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง แน่นอนว่าภายในพื้นที่มีวัสดุประเภทงานเดินท่อและเดินสายไฟที่ใหม่เอี่ยม

ถึงแม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะใช้สำหรับซ่อมแซมและเปลี่ยนใหม่ให้กับผู้พักอาศัยตามบ้าน

ต่อให้หลินม่ายไปที่ตลาดมืดด้วยตัวเอง อาจจะหาซื้ออุปกรณ์พวกนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ

พอเห็นว่านายช่างจางทำสีหน้าลังเล หลินม่ายจึงรีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “ฉันไม่ใช้วัสดุอุปกรณ์ของคุณฟรี ๆ หรอกค่ะ และจะไม่เชิญคุณไปทำงานโดยเปล่าประโยชน์แน่ คุณสามารถเรียกค่าเสียเวลากับค่าอุปกรณ์จากฉันได้เลย”

หลังจากนั้นนายช่างจางก็เดินออกไปที่กระท่อมพักอาศัยชั่วคราวของแรงงานชนบท หยิบเอากล่องเครื่องมือช่างกับวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นติดมือมาด้วย แล้วตามเธอกลับไปยังบ้านเช่า

สิ่งแรกที่เขาทำคือตรวจสอบระบบท่อประปา

สันนิษฐานได้ว่าระบบการเดินท่อคงมีอายุการใช้งานนานไม่ต่ำกว่าสิบปี

ถึงแม้ก๊อกน้ำจะมีสภาพเก่าโทรมไปสักหน่อย แต่ก็ยังมีคุณภาพดี แถมยังเปิดใช้งานได้ตามปกติ ดังนั้นระบบน้ำประปาในบ้านจึงยังไม่มีจุดไหนที่ต้องเปลี่ยนใหม่

นายช่างจางตรวจสอบระบบเดินสายไฟเป็นงานต่อไป

หลังจากตรวจสอบทั่วแล้ว เขาหันไปพูดกับหลินม่าย “ถึงสายไฟจะเก่าแต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร ยังใช้งานต่อไปได้อีกประมาณสี่ถึงห้าปี จะเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดเลยหรือยังไม่ต้องดีครับ?”

คุณลุงคนนี้ซื่อสัตย์ต่องานของตัวเองจริง ๆ

ถ้าเป็นคนอื่นที่จ้องหาโอกาสขูดรีดผู้ว่าจ้าง คงไม่ยอมบอกความจริงกับเธอแบบนี้แน่

ดีไม่ดีคงโกหกว่าสายไฟหมดอายุการใช้งานไปนานแล้ว เพื่อให้เธอเดินสายไฟใหม่ทั้งหมด

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาก็จะพลอยได้รับค่าจ้างเพิ่ม และหาทางขายวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ให้เธอในราคาที่สูงกว่าความเป็นจริง

หลินม่ายคิดในใจ เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองจะเช่าบ้านหลังนี้เพื่อเปิดร้านไปอีกนานแค่ไหน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ประหยัดงบไว้คงดีกว่า เธอส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องเปลี่ยนหรอกค่ะ”

ท้ายที่สุด นายช่างจางแค่เปลี่ยนสวิตช์ไฟที่เปิดไม่ติดกับหลอดไฟที่เสียสองสามหลอดให้หลินม่าย เขาเรียกเก็บค่าแรงและค่าวัสดุอุปกรณ์จากหลินม่ายแค่สองหยวนเท่านั้น

หลินม่ายยินดีจ่ายให้เขาสามหยวน

ถึงแม้การหารายได้แต่ละหยวนจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเธอ แต่เพราะความซื่อสัตย์ของคุณลุงคนนี้ ทำให้เธอยอมควักจ่ายเป็นสินน้ำใจให้กับเขาอย่างไม่นึกเสียดาย

พอนายช่างจางได้รับเงินแล้ว ก็เก็บของเตรียมกลับไปที่ไซต์งานอย่างมีความสุข

หลินม่ายร้องเรียกเขาไว้ก่อน “คุณลุงคะ พอจะติดต่อช่างทาสีให้ฉันหน่อยได้ไหม? ฉันอยากทาสีบ้านใหม่ด้วยน่ะค่ะ”

นายช่างจางตอบรับคำขอของเธอด้วยความเต็มใจ เขากลับไปที่ไซต์งานก่อสร้าง ไม่นานก็เดินกลับมาพร้อมกับช่างทาสี

ช่างทาสีคนนี้ไม่ได้มามือเปล่า แต่ยังพกเอากระป๋องสีกับแปรงติดมือมาด้วย

หลินม่ายกับช่างทาสีช่วยกันทำงาน ทาสีผนังด้านในบ้านทั้งหมดด้วยสีขาวอย่างเรียบง่าย

ยุคสมัยนี้ผู้คนส่วนใหญ่นิยมทาสีผนังบ้านด้วยสีขาวธรรมดากันทั้งนั้น

แตกต่างจากการตกแต่งบ้านของยุคสมัยใหม่ สีขาวสะอาดไม่กลายเป็นที่นิยมอีกต่อไป ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการมากมายหลายขั้นตอน

หลังจากทำความสะอาดบ้านเช่าเสร็จสรรพแล้ว หลินม่ายก็ถีบรถสามล้อกลับไปถึงบ้านของตัวเองในหมู่บ้านซานหยางในเวลาราว ๆ สี่โมงเย็น

สี่โมงยังไม่นับว่าเย็นย่ำมากนัก เธอเปลี่ยนไปขับรถแทรกเตอร์ แล้วพาโจวฉายอวิ๋นกับโต้วโต้วไปดูบ้านเช่าหลังใหม่ด้วยกัน

โต้วโต้วไม่ลืมอุ้มอาหวงที่ตัวโตขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่งมาด้วย ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนไร้เดียงสา “แม่คะ หนูขอพาอาหวงไปด้วยได้ไหม?”

หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของเธอด้วยความรักใคร่ “ได้สิ มันก็เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเราเหมือนกัน”

โต้วโต้วดีใจมาก รีบอุ้มอาหวงไว้แนบอกแล้วปีนขึ้นไปบนรถแทรกเตอร์

ทันทีที่พวกเธอเดินทางมาถึงบ้านเช่าหลังใหม่ โต้วโต้วก็เอาแต่วิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดอย่างร่าเริง เหยียบบันไดไม้เสียงดังเอี๊ยดอ๊าด มีอาหวงคอยวิ่งตามไม่ห่างอย่างตื่นเต้นเช่นเดียวกัน

โจวฉายอวิ๋นยืนอยู่ด้านหน้า สายตาสำรวจมองใต้ถุนอาคารชั้นล่างที่มีขนาดแคบไปหน่อย “ร้านนี้ไม่เล็กไปหน่อยหรือ?”

หลินม่ายตบแขนอีกฝ่ายเบา ๆ “พี่คงไม่รู้ ถึงแม้ร้านของเราจะวางโต๊ะได้แค่ไม่กี่โต๊ะ แต่ตราบใดที่โต๊ะพวกนั้นมีลูกค้าแวะเวียนมานั่งอย่างไม่ขาดสาย ร้านเราจะขายดียิ่งกว่าเดิมเสียอีก คนผ่านไปมาเห็นว่าเรามีลูกค้าเยอะก็จะสนใจเข้ามาอุดหนุนมากขึ้น อีกอย่าง ร้านเราขายแค่ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องนั่งกินในร้าน เพราะงั้นร้านไม่จำเป็นต้องใหญ่มากก็ได้”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “แล้วถ้า… อีกหน่อยเราย้ายมาอยู่ที่นี่ เธอจะทำอย่างไรกับบ้านที่หมู่บ้านซานหยาง?”

“ฉันจะต่อเติมแล้วเปิดให้เช่า”

โจวฉายอวิ๋นตกตะลึง “แต่คนในเมืองต่างก็มีบ้านเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ใครจะมาเช่าบ้านของเรากันล่ะ?”

“พี่อย่าลืมสิว่าสภาพที่อยู่อาศัยของคนในเมืองส่วนใหญ่ค่อนข้างแออัดไม่น้อยเลยนะ หลายครอบครัวต้องอาศัยอยู่ภายในห้องที่มีพื้นที่แค่สิบสองตารางเมตร เด็กสาวหลายคนไม่มีแม้แต่พื้นที่ส่วนตัวสำหรับเปลี่ยนผ้าอนามัย คนประเภทนั้นต้องสนใจเช่าบ้านของฉันแน่”

หลินม่ายคิดไว้ว่าจะปล่อยเช่าในราคาแค่สามหยวนต่อห้อง ซึ่งเป็นราคาที่สมเหตุสมผล

ถึงตอนนั้น เธอจะดัดแปลงห้องครัวให้กลายเป็นห้องส่วนตัวเพิ่มขึ้นมาอีกห้องหนึ่ง ค่าเช่าทั้งสี่ห้อง รวมกันแล้วเป็นเงินสิบสองหยวนต่อเดือน ถึงไม่มากนักแต่ก็ไม่น้อยเกินไป

พอเยี่ยมชมบ้านเช่าหลังใหม่จนทั่วแล้ว ทั้งสามก็พากันเดินทางกลับ

ระหว่างทาง โต้วโต้วจามหลายครั้งติดต่อกัน

โจวฉายอวิ๋นหันไปดุเธอทันที “ต้องเป็นเพราะหนูเอาแต่วิ่งขึ้นลงบันไดไม่หยุดแน่ ๆ พอร้อนจนเหงื่อออกแล้วโดนลมเย็น ๆ โกรกเข้าก็เป็นหวัดขึ้นมาอีกจนได้ ป้าบอกแล้วว่าอย่าวิ่ง หนูก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ครั้งล่าสุดที่หนูเป็นหวัดก็เพราะออกไปวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ แถวบ้านนี่แหละ ลืมแล้วหรือ?”

โต้วโต้วได้แต่ก้มหน้างุดอย่างรู้ความผิด

อาหวงใช้อุ้งเท้าหน้าแตะโจวฉายอวิ๋นพลางครางหงิง ๆ สองสามหน ราวกับต้องการร้องขอให้หล่อนหยุดดุเจ้านายตัวน้อยของตัวเองเสียที

หลินม่ายเหลือบมองโต้วโต้วที่ซบอยู่ในอ้อมแขนของโจวฉายอวิ๋น ถามว่า “เร็ว ๆ นี้โต้วโต้วเป็นหวัดอีกแล้วหรือ? ทำไมฉันไม่ยักรู้เลย?”

“ทันทีที่รู้ว่าเธอเป็นหวัด พี่ก็รีบจัดการต้มน้ำขิงให้เธอดื่ม แล้วต้มน้ำอุ่นไว้ให้เธออาบ ไม่นานก็กลับมาหายเป็นปกติอย่างที่เห็น พี่เองก็ลืมบอกเธอไปเสียสนิท”

พอได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นกลับไปก็ต้มน้ำให้โต้วโต้วอาบ แล้วต้มน้ำขิงให้เธอดื่มบรรเทาหวัดก็พอแล้วล่ะ”

โต้วโต้วดื่มแค่น้ำขิงกับอาบน้ำอุ่นเป็นประจำ เท่านี้อาการไข้หวัดของเธอก็ดีขึ้นมากแล้ว

ตกกลางคืน สองแม่ลูกเข้านอนบนเตียงเดียวกัน หลินม่ายคอยวัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กหญิงตัวน้อยหลายครั้งตลอดทั้งคืน เมื่อเห็นว่าอาการของเธอยังคงปกติดี ก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายกับโจวฉายอวิ๋นตื่นนอนแต่เช้าตรู่เหมือนทุกวันเพื่อเตรียมซาลาเปากับไข่ต้มให้พร้อมขาย

เวลาหกโมงเช้า หลินม่ายก็ออกไปตั้งร้านตามปกติ

แต่คราวนี้แทนที่เธอจะถีบสามล้อออกไป กลับเปลี่ยนไปขับรถแทรกเตอร์ แล้วพาโจวฉายอวิ๋น โต้วโต้ว กับอาหวงมุ่งตรงไปยังบ้านเช่าหลังใหม่บนถนนเจี่ยเฟิง

ถึงแม้ภายในบ้านจะไม่มีอุปกรณ์อะไรมากมาย แต่ก็พร้อมสำหรับการขายอาหารเช้าแล้ว

หลินม่ายเดินเข้าไปที่ห้องชั้นแรกใต้ถุนอาคาร ลากโต๊ะแปดเซียนเพียงตัวเดียวในบ้านออกมาตั้งไว้หน้าประตูร้าน ก่อนจะวางซึ้งไม้ไผ่สามอันที่บรรจุซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มไว้บนโต๊ะแปดเซียน มอบหมายให้โจวฉายอวิ๋นตะโกนเรียกลูกค้าไปก่อน

โต้วโต้ววิ่งเล่นอยู่ในครัวกับอาหวง ส่วนเธอปลีกตัวออกไปยังตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐเพื่อซื้อเครื่องเรือนเพิ่ม

เธอไม่คิดจะขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จากบ้านที่หมู่บ้านซานหยางมาที่นี่ เดิมทีพวกมันก็ทั้งเก่าและโทรมพออยู่แล้ว ถ้าขนมาด้วยคงพังระนาวอย่างไม่ต้องสงสัย

ครั้งต่อไปเธอคงต้องหาบ้านเช่าที่มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมใช้ในตัวเสียแล้ว

ตามหลักแล้วถ้าจะซื้อเฟอร์นิเจอร์มือหนึ่งต้องใช้คูปอง แต่หลินม่ายไม่มี จึงเลือกเดินทางไปที่ตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองแทน

อย่างน้อยร้านขายของมือสองก็ไม่เรียกเก็บคูปองจากเธอ

ถึงโจวฉายอวิ๋นจะไม่มีหัวการค้าเฉลียวฉลาดเท่าหลินม่าย แต่การขายอาหารที่หน้าประตูบ้านก็เป็นไปอย่างราบรื่นดี

เธอไม่จำเป็นต้องเร่ขายไปตามท้องถนน และไม่ต้องเก็บร้านหนีเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่เทศกิจออกลาดตระเวน

ตอนแรกหลินม่ายคิดว่าตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองที่นี่คงมีแต่เครื่องเรือนเก่า ๆ สภาพเยินเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าภายในร้านจะยังมีเครื่องเรือนระดับไฮเอนด์บางชิ้นที่ทำจากไม้มีค่าอย่างไม้หวงฮวาหลี(2)และไม้อื่น ๆ วางขายอยู่ด้วย

ภพชาติก่อนหลินม่ายหาเงินได้เป็นจำนวนมาก ทั้งตระกูลอู๋และตระกูลหลินต่างก็ใช้ไม้มีค่าประเภทนี้ในการทำเครื่องเรือน ดังนั้นเธอจึงจดจำลักษณะของมันได้อย่างชัดเจน

เครื่องเรือนภายในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐติดป้ายราคาไว้ทุกตัว

หลินม่ายเดินวนทั่วร้านเพื่อเปรียบเทียบราคา พบว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หรือวัสดุทั่วไปมีราคาถูก ในขณะที่เครื่องเรือนซึ่งทำจากไม้ล้ำค่ามีราคาแพงหูฉี่

อย่างเช่นเตียงขนาดใหญ่สไตล์ยุโรปที่ผลิตจากไม้หวงฮวาหลี มีราคาอยู่ที่สามร้อยหยวน ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ผลิตจากไม้หวงฮวาหลีราคาห้าร้อยหยวน ส่วนชุดโซฟาไม้ที่ทำจากไม้ประเภทเดียวกันก็มีราคาอยู่ที่สี่ร้อยหยวน

ถ้าเธอตัดสินใจซื้อเครื่องเรือนพวกนี้ เงินที่อุตส่าห์เก็บหอมรอมริบมาคงหายไปมากกว่าครึ่ง

แต่ถ้าไม่ซื้อเก็บไว้ก็คงน่าเสียดายไม่แพ้กัน

เพราะหลังจากเวลาล่วงเลยผ่านไปประมาณสองถึงสามทศวรรษ เครื่องเรือนเหล่านี้จะสามารถขายต่อได้ในราคาสูงลิ่วถึงหลายแสนหยวน

ตราบที่ที่เธอกว้านซื้อเครื่องเรือนที่ทำจากไม้หวงฮวาหลีทั้งหมดในร้าน ในอนาคตคงขายได้กำไรกลับคืนมานับล้านหยวนเลยทีเดียว

พนักงานขายหลายคนที่ทำงานอยู่ในตลาดค้าเฟอร์นิเจอร์มือสองของรัฐจับกลุ่มพูดคุยกัน ไม่มีใครให้ความสนใจหลินม่าย

เครื่องเรือนราคาแพงขนาดนี้ ผู้หญิงปอน ๆ คนนั้นจะมีปัญญาจ่ายเงินซื้อได้อย่างไรกัน

……………………………………………………

(1) แรงงานชนบท คือแรงงานที่มีทะเบียนบ้านเป็นเกษตรกรในชนบท แต่เข้ามาทำงานในเมือง

(2) ไม้หวงฮวาหลี ไม้ล้ำค่าที่นิยมในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง เป็นไม้เขตร้อน พบทางจีนตอนใต้และเวียดนาม บางคนเรียกไม้พะยูงหอม มีความโดดเด่นที่ลวดลายสวย ไม้เก่าที่มีริ้วลายหลอน ๆ และประกายสีทองในเนื้อไม้ ยิ่งมีราคาแพงขึ้นไปอีก

สารจากผู้แปล

โชคดีที่เจอช่างดี ไม่งั้นคงโดนขูดไปเยอะ

พวกหล่อนที่จับกลุ่มนินทากันตรงนั้นน่ะ รู้จักผ้าขี้ริ้วห่อทองไหมคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 93 ลงนามสัญญาเช่า

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายสวมเสื้อกันฝนและถีบรถสามล้อไปที่ท่าเรือเพื่อขายอาหารเช้าตามปกติ

ฟางจั๋วหรานเองก็มาแวะที่ร้านเธอเพื่อซื้อซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วก่อนไปทำงานเหมือนทุกครั้ง

เขายิ้มพลางถามว่า “ผมได้ยินว่าวันนี้คุณนัดเซ็นสัญญาเช่ากับพ่อเฒ่าเหอแล้ว?”

หลินม่ายตอบยิ้ม ๆ “คุณรู้ข่าวเร็วจังนะคะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับเบา ๆ “ผมผ่านไปทางนั้นหลังจากเลิกงานพอดี มีโอกาสก็เลยแวะไปถามเรื่องนี้น่ะ”

หลินม่ายพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากนะคะ ศาสตราจารย์ฟาง”

ฟางจั๋วหรานโบกมือ “อย่าสุภาพเกินไปเลย เดี๋ยวผมจะรู้สึกไม่สบายใจเอาเปล่า ๆ คิดเสียว่าผมเป็นพี่ชายที่คอยดูแลความเป็นอยู่ของน้องสาวก็แล้วกัน น้องสาวไม่จำเป็นต้องขอบคุณพี่ชายหรอกนะ”

หลินม่ายตอบรับในลำคอ

ฟางจั๋วหรานเห็นเม็ดฝนจำนวนมากไหลผ่านหมวกของเสื้อกันฝน หยดลงไปบนใบหน้าของเธอ จึงหยิบผ้าเช็ดหน้าลายตารางผืนหนึ่งออกมาแล้วยื่นให้ “เช็ดน้ำฝนบนหน้าหน่อยสิ”

หลินม่ายเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าสะอาดสะอ้านที่โชยกลิ่นหอมของมินต์จาง ๆ แต่ไม่ได้เอื้อมมือออกไปรับแต่อย่างใด

เธอยกมือขึ้นเช็ดหน้าตัวเองสองสามครั้ง “ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าหรอกค่ะ” หลังจากพูดจบก็ส่งยิ้มกว้างให้เขา

ชั่วขณะหนึ่ง ฟางจั๋วหรานเกิดความคิดอยากหยิบยื่นที่พักพิงให้เธอปลอดภัยจากลมพายุและสายฝน เพื่อที่เธอจะได้เบ่งบานอย่างสวยงามสมวัยราวดอกไม้แรกแย้มเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ๆ

ไม่เหมือนตอนนี้ ที่ต้องต่อสู้เพียงลำพังท่ามกลางลมฝนอันโหดร้าย

เขาดึงผ้าเช็ดหน้ากลับคืนมา “พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปช่วยคุณทำความสะอาดร้าน จะได้เริ่มค้าขายได้โดยเร็ว”

“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง!” หลินม่ายรีบปฏิเสธทันควัน “คุณยังต้องไปทำงานไม่ใช่หรือคะ อย่าสละเวลาอันมีค่ามาช่วยฉันให้เปลืองแรงเลย ชีวิตของคนไข้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับมีดผ่าตัดในมือคุณ ต้องใช้ทั้งพลังใจและพลังกายไม่น้อย จะให้คุณมาช่วยฉันทำงานหนักได้อย่างไรกัน?”

สายตาของฟางจั๋วหรานอ่อนโยนลง “วันนี้ผมต้องอยู่เวรทั้งคืนก็จริง แต่วันพรุ่งนี้กับวันมะรืนผมได้หยุดงานสองวัน ผมสามารถช่วยคุณได้โดยที่ไม่กระทบกับงานของผมเลย”

ท้ายที่สุด หลินม่ายก็หยิบยกเหตุผลอื่นใดมาปฏิเสธน้ำใจเขาไม่ได้อีก เขาหันหลังกลับและเดินลับสายตาไปในม่านฝนพร้อมกับร่มในมือเสียแล้ว

หลังจากที่ฟางจั๋วหรานเดินออกไป หลินม่ายก็ถีบรถสามล้อไปขายอาหารตามท้องถนน

ตอนนี้เธอสั่งสมประสบการณ์ได้มากพอสมควร เธอคิดว่าถ้าขับรถไปขายอาหารเช้าอยู่หน้าประตูโรงเรียนคงรายได้ดีไม่หยอก เพียงแต่ต้องระวังรปภ.ของโรงเรียนออกมาไล่ที่เท่านั้น

หลินม่ายถีบรถสามล้อไปจอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมเจียงอัน หลังจากตะโกนเรียกลูกค้าอยู่สองสามรอบ ทันใดนั้นนักเรียนก็กรูกันเข้ามายืนล้อมรอบรถของเธอ

เหลียนเฉียวออกมาหาซื้ออาหารเช้าพอดี เห็นกลุ่มนักเรียนไปยืนล้อมรอบรถสามล้อคันหนึ่งเพื่อซื้อซาลาเปากับไข่ต้ม ในขณะที่ผู้ค้ารายย่อยอีกสองเจ้าที่ขายอาหารเช้าเหมือนกันกลับไม่มีใครให้ความสนใจ

หล่อนคาดเดาในใจว่าซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มของร้านนั้นต้องมีรสชาติอร่อยแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นพวกนักเรียนคงไม่พร้อมใจกันไปมุงอยู่หน้าร้านของเธอแบบนี้

พอนึกขึ้นได้ว่าเจ้านายของตัวเองก็ชอบกินซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วเหมือนกัน จึงยกเท้าเดินตรงไปที่ร้านนั้นบ้าง

เหลียนเฉียวไม่เพียงซื้ออาหารเช้าสำหรับตัวเองและเจ้านาย แต่ยังรวดซื้อไปฝากสหายพี่น้องคนอื่น ๆ

หลังจากซื้ออาหารเรียบร้อยแล้ว หล่อนไม่ลืมซื้อหม้ออะลูมิเนียมขนาดใหญ่เพื่อบรรจุซาลาเปากับไข่ต้มเป็นการเฉพาะกลับมาด้วย

โรงเรียนอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก หล่อนห่อหุ้มหม้ออะลูมิเนียมด้วยเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้ายตัวเก่าอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเธอกลับมาถึง ซาลาเปากับไข่ต้มจึงยังร้อนอยู่

ยกเว้นเจ้านายของหล่อน สหายพี่น้องคนอื่น ๆ ต่างก็เอื้อมมือไปหยิบซาลาเปาจากหม้อแล้วเริ่มกัดกิน

กัดเข้าปากไปแค่คำเดียว พวกเขาต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

สหายรุ่นน้องคนหนึ่งหันไปถามเหลียนเฉียว “เธอซื้อซาลาเปาพวกนี้มาจากไหนน่ะ ทำไมถึงได้อร่อยขนาดนี้?”

“ซื้อมาจากแผงขายของริมถนนน่ะ” เหลียนเฉียวหยิบซาลาเปาขึ้นมาลูกหนึ่งแล้วยื่นให้กับชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเงียบ ๆ “เจ้านายคะ คุณชอบกินซาลาเปาไม่ใช่หรือ รีบกินตอนที่มันยังร้อนอยู่เถอะค่ะ”

ชายคนนั้นเหล่มองซาลาเปาในมือเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะรับมากัดเข้าปาก

หลังจากลิ้มรสชาติของมันอย่างชัดเจน ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นหิน

ทุกคนมองดูเขาด้วยความสับสน ลูกน้องคนหนึ่งของเขาถามขึ้นว่า “ลูกพี่ เป็นอะไรไปน่ะ? ซาลาเปาไม่อร่อยเหรอ?”

ชายคนนั้นทำหูทวนลม จ้องมองไปทางเหลียนเฉียวแล้วถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เธอซื้อซาลาเปามาจากที่ไหน?”

เหลียนเฉียวตื่นตะลึงเล็กน้อยกับสีหน้าท่าทางของเขา “หน้า หน้า… หน้าโรงเรียนมัธยมเจียงอันค่ะ…”

เธอยังพูดไม่ทันขาดคำ ชายหนุ่มก็วิ่งฉิวออกไปเสียแล้ว

เหลียนเฉียวตกใจอยู่ไม่นานนัก พอได้สติก็วิ่งตามออกไปพร้อมกับร่มสีดำคันใหญ่ ตะโกนเรียกชื่อชายคนนั้นอย่างกระวนกระวายใจ “เฉินเฟิง ข้างนอกฝนตกหนัก พกร่มไปด้วยสิคะ!”

แต่ชายหนุ่มวิ่งหายลับไปไกลแล้ว

ลูกน้องสี่คนที่เหลืออยู่ในห้องต่างหันมองหน้ากัน

ลูกน้องคนหนึ่งถามอย่างไม่เข้าใจ “ลูกพี่เป็นอะไรไปน่ะ?”

ลูกน้องอีกคนหนึ่งเดา “ฉันว่าเขาคงเจอศัตรู เลยจะตามไปแก้แค้นล่ะมั้ง”

ลูกน้องอีกคนกลับส่ายหัว “ไม่ใช่ศัตรูแน่ ถ้าเป็นศัตรูจริงลูกพี่คงเรียกพวกเราออกไปช่วยแล้ว”

ลูกน้องคนสุดท้ายยังคงยัดซาลาเปาเข้าปากในคำเดียว พร้อมกันนั้นก็พูดความเห็นของตัวเองไปด้วย “อย่ามัวคาดเดาอะไรไม่เข้าท่าเลย รีบออกไปดูกันเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”

ลูกน้องทั้งสี่คนคว้าร่มคนละคัน แล้ววิ่งตามออกไป

เฉินเฟิงวิ่งไปที่โรงเรียนมัธยมเจียงอันโดยไม่แม้แต่จะหยุดพักหายใจ เห็นว่าเจ้าหน้าที่รปภ.ของโรงเรียนกำลังตะโกนขับไล่บรรดาผู้ค้าแผงลอยที่สวมเสื้อกันฝนให้ออกไปจากหน้าโรงเรียนซะ ทันใดนั้นเส้นเลือดของเขาก็แทบจะระเบิดเพราะความโกรธ

เขาเดินอาด ๆ เข้าไปชี้หน้าเจ้าหน้าที่รปภ.ที่อายุราว ๆ ห้าสิบกว่าปีคนนั้นทันที “ถ้านายจะตะโกนไล่พวกเขาอีกครั้ง ฉันจะฆ่านายทิ้งซะ!”

เจ้าหน้าที่รปภ.เห็นว่าเฉินเฟิงทำท่าทางกร่างใส่เหมือนเป็นนักเลง ก็ไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก รีบวิ่งกลับไปที่ป้อมยามภายในโรงเรียนตามเดิม

เฉินเฟิงหันหน้ากลับไปอีกครั้งเพื่อมองหาหญิงสาวร่างเพรียวที่สวมเสื้อกันฝนคนนั้น

พ่อค้าแผงลอยคนหนึ่งโพล่งขึ้น “ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม ถ้าไม่ได้คุณ ลุงคงสูญเสียรายได้ไปไม่น้อยเลย ทุกวันนี้ลุงขายขนมโก๋นึ่งได้แค่วันละไม่กี่ชิ้นเอง เฮ้อ!”

หญิงชราตัวเล็กอีกคนที่มีริ้วรอยย่นเต็มใบหน้าผลักรถสามล้อกลับมา ก่อนจะส่งยิ้มอย่างขอบคุณไปทางเฉินเฟิง แล้วเดินโซซัดโซเซจากไป

เฉินเฟิงถูกทิ้งให้อยู่ลำพังท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำ เขาตาลายจนเห็นว่าหญิงชราคนนี้กลายเป็นหญิงสาวผิวคล้ำคนนั้นได้อย่างไร?

เหลียนเฉียวเดินเข้ามาใกล้ กางร่มไว้เหนือศีรษะของเขา พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยว่า “เจ้านายคะ อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หายดี น้ำฝนอาจทำให้แผลของคุณติดเชื้อได้”

เฉินเฟิงยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝน หันหน้าไปอีกทางหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินกลับทางเดิม

ลูกน้องทั้งสี่คนที่ตามมาสมทบภายหลังได้แต่เฝ้าดูเขาเดินผ่านหน้าตัวเองไป

รอจนเขาเดินห่างออกไปไกลแล้ว พวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้ามายืนรายล้อมรอบเหลียนเฉียว แล้วยิงคำถามอย่างไม่รอช้า “ลูกพี่ออกมาตามหาคนขายซาลาเปาเหรอ?”

“คนขายซาลาเปาเป็นผู้หญิงใช่ไหม?”

“ถ้าเป็นผู้หญิง ก็แสดงว่าลูกพี่ชอบเธอน่ะสิ”

“ผู้หญิงคนนั้นสวยหรือเปล่า?”

เหลียนเฉียวไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา สีหน้าของหล่อนมืดมนลงเรื่อย ๆ

หลังรับประทานอาหารกลางวัน หลินม่ายเดินทางไปที่หน้าบ้านสองชั้นของพ่อเฒ่าเฮ่อ พร้อมกับเอกสารสัญญาเช่าที่ร่างขึ้นด้วยตัวเอง และเงินค่าเช่ารายปีอีกสามร้อยหยวน

พ่อเฒ่าเฮ่อรอเธออยู่ด้านในนานแล้ว

หลินม่ายยื่นเอกสารสัญญาเช่าให้เขาอ่าน “พ่อเฒ่าเฮ่อคะ ลองตรวจสอบดูว่าคุณต้องการแก้ไขรายละเอียดหรือเพิ่มเติมอะไรลงไปในสัญญาฉบับนี้ไหม? ถ้าไม่มีก็เซ็นชื่อได้เลยค่ะ”

เนื้อหาสัญญาเช่าที่หลินม่ายร่างขึ้นยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย มีเงื่อนไขปกป้องผลประโยชน์ทั้งของเจ้าของบ้านและผู้เช่า

หลังจากอ่านแล้ว พ่อเฒ่าเฮ่อก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ไม่มีปัญหา ไม่จำเป็นต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไร”

หลินม่ายไม่ลืมย้ำกับเขาเป็นพิเศษ “พ่อเฒ่าเฮ่อคะ หลังจากที่คุณเซ็นสัญญาฉบับนี้แล้ว คุณจะไม่สามารถฉีกสัญญาได้อีก ถ้าคุณฉีกสัญญา จะต้องจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายจำนวนห้าร้อยหยวน”

พ่อเฒ่าเฮ่อหัวเราะ “หลังจากลงนามแล้ว ฉันแน่ใจว่าตัวเองจะไม่เสียใจภายหลังแน่ แต่ถ้าเธอฉีกสัญญา เธออาจเสียใจเพราะต้องเป็นฝ่ายจ่ายค่าชดใช้เหมือนกัน”

หลังจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็ผลัดกันเซ็นชื่อลงนามในสัญญาเช่าด้วยความยินดี หลินม่ายจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าแล้วเป็นเวลาหนึ่งปี พ่อเฒ่าเฮ่อเขียนใบเสร็จรับเงินให้เธอเก็บไว้ ก่อนจะส่งมอบกุญแจให้แล้วจากไป

หลินม่ายยังไม่ตรงกลับบ้าน แต่ไล่ถามผู้อาศัยที่อยู่ในบริเวณโดยรอบว่าแถวนี้มีไซต์งานก่อสร้างอยู่ใกล้ ๆ หรือเปล่า

เธอต้องการไปติดต่อไซต์งานก่อสร้างเพื่อว่าจ้างช่างประปาให้มาซ่อมแซมระบบน้ำและระบบไฟฟ้าภายในบ้าน โดยเฉพาะสายไฟที่มีปัญหา

ความปลอดภัยเกี่ยวกับการเดินสายไฟเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยิ่งสายไฟมีอายุการใช้งานนาน อาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย

ถึงตอนแรกพ่อเฒ่าเฮ่อจะรับปากว่าจะหาคนมาช่วยซ่อมแซมสายไฟให้เธอภายในสองวันนี้ แต่เธอไม่อยากรอนานถึงขนาดนั้น ยิ่งซ่อมเสร็จเร็วเท่าไหร่ยิ่งเปิดร้านได้ไวขึ้น

เธอไม่อยากรอให้ฟางจั๋วหรานมาช่วยเธอซ่อมแซมบ้านในวันพรุ่งนี้ เขาช่วยเหลือเธอมามากพอแล้ว ในขณะที่เธอไม่เคยทำอะไรเป็นการตอบแทนน้ำใจเขาเลย

เธอไม่อยากรบกวนเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่จุดประกายความคิดให้เธอก็ตาม

ผู้อาศัยที่อยู่ไม่ไกลบอกเธอว่า หลังจากหอพักสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลผู้จี้ถูกรื้อถอนเพื่อขยายพื้นที่เป็นห้องพักแผนกผู้ป่วยใน สถานที่นั้นก็กลายเป็นเขตก่อสร้าง สามารถถามหาช่างประปาจากที่นั่นได้

หลินม่ายขอบคุณเขา หลังจากนั้นก็ถีบรถสามล้อไปที่ไซต์งานก่อสร้างดังกล่าว

……………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เรือลำหนึ่งก็อบอุ่นไมโครเวฟมาก ส่วนเรืออีกลำก็ตามติดไม่หยุด จะลงเรือไหนดีคะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 92 บรรลุเป้าหมาย

หลินม่ายยังทำหน้าเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ยอมขยับเขยื้อน “พ่อเฒ่าคะ อย่ารีบร้อนขับไล่ฉันไปเลย จะทำธุรกิจซื้อขายก็ต้องมีการต่อรองราคากันไม่ใช่เหรอคะ ถ้าไม่ต่อรองแล้วจะหาข้อตกลงร่วมกันได้ยังไง?”

พ่อเฒ่าเฮ่อพูดอย่างโกรธเคือง “ราคาที่เธอเสนอมามันเอาเปรียบกันเกินไป เพ้อเจ้อไร้สาระ!”

“ราคาที่ฉันเสนอไม่ได้น่าเกลียดเลยนะคะ ถนนเส้นนี้มีตึกแถวที่ปล่อยเช่าเยอะแยะจะตายไป”

พ่อเฒ่าเฮ่อสวนกลับทันทีด้วยความโกรธเคือง “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปขอเช่าที่ของคนอื่นดูสิ ลองดูว่าคนอื่นเขาจะยอมปล่อยเช่าไหม!”

หลินม่ายยังต่อรองต่อไปโดยไม่มีท่าทีโกรธหรือหงุดหงิดรำคาญ “ใช่ว่าคนอื่นไม่อยากปล่อยเช่าหรอกค่ะ แต่คนอื่นเขาอาจจะต้องการความเป็นส่วนตัวเกินกว่าจะปล่อยให้เช่า อีกทั้งบ้านของพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต่อให้ปล่อยเช่า ครอบครัวอาจจะยิ่งแออัดมากกว่าเดิม ไม่เหมือนคุณที่ยังมีบ้านอีกหลังหนึ่งให้อยู่อาศัย แล้วปล่อยบ้านว่างหลังนี้ให้เช่าเพื่อเก็งกำไร”

ระหว่างทางก่อนมาถึงที่นี่ หลินม่ายสำรวจพื้นที่ด้านหน้าอาคารอื่น ๆ ไว้บ้างแล้ว

พื้นที่หน้าบ้านของคนอื่นต่างมีข้าวของวางเกือบเต็มพื้นที่ ไม่โล่งเท่าหน้าบ้านของพ่อเฒ่าเฮ่อ ที่มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้วางอยู่แค่ไม่กี่ตัว

อีกทั้งใต้ถุนอาคารของครอบครัวอื่น ไม่ได้มีแค่โต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเท่านั้น บางบ้านยังมีเตียงเดี่ยวตั้งอยู่อีกด้วย

การที่ครอบครัวนั้น ๆ จัดวางเตียงเดี่ยวไว้หน้าบ้าน แสดงให้เห็นว่าสถานภาพทางการเงินของครอบครัวไม่ค่อยดีนัก หรือไม่ก็อาจมีสมาชิกหลายคนจนแออัดเกินไป

ต่อให้ประชาชนรู้กันทั่วว่าตอนนี้รัฐบาลกำลังมีแผนนโยบายในการปฏิรูปประเทศ แต่ในเมื่อยังไม่มีการเผยแพร่เอกสารหลักฐานอย่างเป็นทางการ คนทั่วไปก็ยังมองว่านโยบายดังกล่าวยังไม่เป็นรูปธรรม

แน่นอนว่าบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในอาคารที่มีสภาพแออัดบนถนนเส้นนี้ ไม่มีทางยอมเสี่ยงปล่อยพื้นที่ว่างของตัวบ้านให้หลินม่ายเช่า เพราะลำพังในครัวเรือนก็แออัดมากพออยู่แล้ว

ในขณะที่พ่อเฒ่าเฮ่อออกปากว่าเขายินดีให้หลินม่ายเช่าบ้านทั้งหลัง นั่นหมายความว่าเขายังมีบ้านหลังอื่นให้อยู่อาศัย ด้วยเหตุนี้หลินม่ายถึงได้ต่อรองให้เขายอมปล่อยเช่าบ้านว่างหลังนี้ในราคายี่สิบห้าหยวน

รอบนี้ถึงคราวที่พ่อเฒ่าเฮ่อเป็นฝ่ายนิ่งเงียบบ้าง

หลินม่ายพยายามเกลี้ยกล่อมเขาต่อไป “ยี่สิบห้าหยวนไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะคะ เทียบเท่ากับเงินเดือนของคนรุ่นใหม่ที่รับราชการมานานหลายปี ยังดีกว่าปล่อยให้บ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างโดยที่คุณไม่ได้อะไรเลยเสียอีก”

พ่อเฒ่าเฮ่อยังคงนิ่งเงียบ

หลินม่ายรู้ว่าความคิดของเขาเริ่มสั่นคลอนแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคิดว่าราคาที่เธอเสนอมาต่ำเกินไป ดังนั้นเขาจึงใช้สงครามทางจิตวิทยาเข้าสู้ หวังให้เธอยอมแพ้

แต่หลินม่ายจะยอมจ่ายเงินในจำนวนดังกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อเธอเองก็อ้างอิงราคาค่าเช่าตามสภาวะตลาดเหมือนกัน

พูดถึงสภาวะตลาดในยุคปัจจุบัน ราคายี่สิบห้าหยวนที่เธอเต็มใจจ่ายถือว่าไม่ต่ำเลยด้วยซ้ำ

รอให้ค่าเงินสูงขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้ก่อนเถอะ ต่อให้ราคาค่าเช่าจะสูงถึงสี่สิบหรือห้าสิบหยวน สัญญาว่าเธอจะไม่เกี่ยงเลย

ตรงกันข้าม ในเมื่อค่าเงินยังคงที่ จะให้เธอยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเช่าร้านในราคาที่เกินตัวอย่างนั้นหรือ?

หลินม่ายใช้วิธีการทางจิตวิทยากลับโดยเป็นฝ่ายล่าถอยออกมา “ในเมื่อพ่อเฒ่ายังยืนกรานคำเดิม งั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปเถอะค่ะ ฉันมีรถสามล้ออยู่ ค่อยขับเร่ขายตามริมถนนทุกวันก็ได้”

พอพูดจบก็หันหลังเดินออกจากประตูไป ก้าวขึ้นรถสามล้อ ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดังฟังชัด “ขายซาลาเปา ขายไข่ต้มดองซีอิ๊วจ้า ซาลาเปาไส้เนื้อลูกละห้าเหมา ไข่ต้มฟองละหนึ่งเหมา ซาลาเปาไส้ซึงฉ่ายก็ลูกละหนึ่งเหมาเช่นกันจ้ะ”

ใครคนหนึ่งที่เดินผ่านมาถามเธอว่า “ต้องใช้คูปองอาหารกับคูปองไข่หรือเปล่าจ๊ะ?”

แป้งที่ใช้สำหรับทำซาลาเปานึ่ง รวมถึงไข่สำหรับทำไข่ต้มดองซีอิ๊ว เป็นวัตถุดิบที่เธอซื้อหามาได้จากในชนบท จึงไม่ต้องเสียเงินซื้อคูปองอาหารหรือคูปองไข่อีกต่อหนึ่ง

หลินม่ายไม่เคยขายอาหารโดยต้องใช้คูปองอาหารหรือคูปองไข่ในการลงทุน เธอตอบกลับไปว่า “ไม่ใช้ค่ะ!”

พริบตาเดียว ผู้คนจำนวนมากก็เดินเข้ามาสมทบที่รถสามล้อของเธอทันที

แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อเห็นว่าเธอขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ต่างก็เดินเข้ามาด้วยความสนใจ

พอสอบถามราคาแล้ว พบว่าหลินม่ายขายในราคาเดียวกันกับร้านขายอาหารว่างของรัฐไม่มีผิด

ด้วยเหตุนี้ ร้านของหลินม่ายจึงมีลูกค้าสนใจอุดหนุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง คนเหล่านี้ต่างซื้อซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วที่เหลืออยู่จนหมดเกลี้ยง ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือซาลาเปากับไข่ต้มของเธอเย็นชืดไปหมดแล้ว

ถ้าร้านอื่นขายซาลาเปากับไข่ต้มที่เย็นชืดแบบนี้ บรรดาลูกค้าคงโอดครวญกันใหญ่โต เพราะไม่ชอบอาหารที่เย็นชืด

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ไม่มีที่ยืนสำหรับลูกค้าที่มีนิสัยจู้จี้จุกจิกมากเรื่อง ตราบใดที่เจอลูกค้าแบบนั้นเธอก็แค่ปฏิเสธไม่ยอมขายให้ ถึงอย่างไรก็มีลูกค้าที่ไม่เรื่องมากต่อคิวซื้ออยู่ดี

บอกได้คำเดียวเลยว่าถนนเส้นนี้มีคนสัญจรผ่านพลุกพล่านพอสมควร ถ้าตัดสินใจเปิดร้านแถวนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำเงินได้

น่าเสียดายที่พ่อเฒ่าเฮ่อยังคงลังเล ถึงหลินม่ายจะยอมถอยออกมา แต่เธอก็ไม่ได้ยอมแพ้ เพียงแต่ต้องอดทนรอดูผลลัพธ์สักหน่อย

หลินม่ายจงใจวางระเบิดโน้มน้าวไว้ก่อนจะเดินจากมา ไม่รอให้พ่อเฒ่าเฮ่อไตร่ตรองหรือตัดสินใจเดี๋ยวนั้น

ดูเหมือนว่าใจจริงแล้วพ่อเฒ่าเฮ่อเองก็ไม่ได้อยากปล่อยเช่าเท่าไรนัก นอกเสียจากว่าผู้เช่าจะตกลงเช่าตามราคาที่เขาตั้งไว้

ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโน้มน้าวให้ผู้อยู่อาศัยคนอื่นในละแวกใกล้เคียงมาเช่าบ้านหลังนี้ของเขา

หลินม่ายขี่จักรยานข้ามไปยังถนนฝั่งตรงข้าม คิดในใจว่าอาคารฟากนี้ดูมีความเจริญมากกว่า ถ้าเธฮตัดสินใจเช่าร้านบริเวณนี้ คงขายดีกว่าอีกฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน

เธอขับรถสามล้อมาจอดเทียบหน้าอาคารริมถนนหลังหนึ่งซึ่งเปิดประตูไว้

ก่อนจะตะโกนถามหญิงชราที่นั่งล้างจานอยู่หน้าประตู ว่านางยินดีแบ่งพื้นที่หน้าอาคารให้เธอเช่าหรือเปล่า

หญิงชราตกตะลึงนิ่งไป “เธอจะเช่าในนามบริษัท หรือเช่าในนามส่วนตัวกันล่ะ?”

นางไม่อยากปล่อยเช่าในนามบริษัท เพราะมีความเสี่ยงที่จะถูกหน่วยงานรัฐเข้ามาตรวจสอบให้ยุ่งยาก

แต่ถ้าอีกฝ่ายเช่าเอง ก็ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเรื่องนี้

พอหลินม่ายเห็นว่าหญิงชรามีท่าทางยินดีที่จะเจรจากับตัวเอง หลินม่ายก็รีบกระโดดลงจากรถสามล้อ แล้วนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าอีกฝ่าย อาสาช่วยนางล้างจาน “ฉันจะเช่าเองค่ะ ได้ไหมคะ?”

อีกด้านหนึ่ง อันที่จริงใช่ว่าพ่อเฒ่าเฮ่อไม่ต้องการปล่อยเช่าบ้านหลังนี้ เพียงแต่เขาคิดว่าตัวเองควรอดทนรอต่อไปอีกหน่อย จนกว่าหลินม่ายจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ จากนั้นเขาค่อยตกลงปล่อยเช่าในราคาสามสิบหยวน

ไม่คิดเลยว่าหลินม่ายกลับไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ ทั้งยังเปลี่ยนเป้าหมายไปเจรจากับเจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามอีก เห็นแบบนี้แล้วชายชรากลับกลายเป็นฝ่ายนั่งไม่ติดเสียเอง

ถ้าแม่เฒ่าเจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามยินดีให้หญิงสาวผิวคล้ำคนนี้เช่าบ้านขึ้นมาจริง ๆ ละก็ บ้านหลังนี้ของเขาก็จะยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม

ยุคสมัยนี้มีน้อยคนนักที่จะกล้าหาเช่าพื้นที่สำหรับเปิดร้านค้าขาย พลาดจากเธอไปสักคนหนึ่ง หลังจากนี้ใครจะรู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนถึงจะเจอคนที่สนใจเช่าบ้านของเขาอีก

คิดได้ดังนั้น พ่อเฒ่าเฮ่อก็รีบเดินข้ามถนนตรงมาหาหลินม่ายอย่างไม่รอช้า “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันลองมาทบทวนดูดี ๆ แล้ว ราคาค่าเช่าที่เธอเสนอมาในตอนแรกก็ไม่เลว”

หลินม่ายไม่คาดคิดว่าการที่เธอข้ามมาพูดคุยกับหญิงชราคนนี้ จะสามารถกดดันให้พ่อเฒ่าเฮ่อยอมใจอ่อนลงได้ในที่สุด

เธอส่งยิ้มเป็นการขอโทษหญิงชรา ก่อนจะยืนขึ้นแล้วหันไปขอบคุณพ่อเฒ่าเฮ่อ

เธอถีบรถสามล้อตามพ่อเฒ่าเฮ่อกลับไปที่บ้านฝั่งตรงข้าม แล้วพูดคุยกันถึงวิธีการชำระค่าเช่า

พ่อเฒ่าเฮ่อต้องการให้เธอจ่ายค่าเช่าเป็นรายปี

ค่าเช่ายี่สิบห้าหยวนต่อเดือน ปีหนึ่งก็สามร้อยหยวน เป็นราคาที่หลินม่ายรับได้

เธอตอบตกลงทันที ทำการนัดหมายกับพ่อเฒ่าเฮ่อว่าเธอจะเดินทางมาทำสัญญาเช่ากับเขาภายในวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายลงนามในสัญญาเช่าแล้ว ค่อยทำการส่งมอบเงินและบ้าน

ทันทีที่หลินม่ายถีบรถสามล้อกลับมาถึงบ้าน ประโยคแรกที่โจวฉายอวิ๋นทักทายคือคำถามว่าทำเลร้านใหม่ที่เธอไปดูเป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนออกไปข้างนอก หลินม่ายพูดทิ้งท้ายไว้ว่าเธอจะขับเลยไปดูที่ทางแถวหน้าอาคารริมถนนในช่วงบ่าย ดังนั้นโจวฉายอวิ๋นจึงรู้เรื่องนี้

หลินม่ายช่วยอีกฝ่ายขนย้ายลังบรรจุอาหารที่ว่างเปล่าเข้าไปในตัวบ้านด้วยกัน “ไม่ใช่แค่ทำเลดี แต่ยังเจรจาค่าเช่ากันเรียบร้อยแล้วด้วย ฉันกับเจ้าของบ้านนัดเซ็นสัญญากันในวันพรุ่งนี้”

โจวฉายอวิ๋นตกใจ “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?”

“เร็วอะไรกันคะ? หน้าฝนใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว ถ้าไม่หาที่เช่าร้านใหม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เราคงขายของกันไม่ได้หรอก”

ตราบใดที่เข้าสู่ฤดูฝน เธอจะขายซาลาเปาได้ทั้งหมดไม่ถึงสองร้อยลูกต่อวัน และไม่มีทางขายไข่ต้มดองซีอิ๊วได้ถึงหนึ่งร้อยฟองแน่ ในเมื่อเป็นแบบนี้รายรับของเธอก็จะน้อยเกินไป

ที่สำคัญคือผู้คนมากมายยังคงเดินทางไปทำงานกันตามปกติ ถึงแม้จะต้องฝ่าลมฝนก็ตาม

ช่วงชีวิตของเธอในภพชาติที่แล้ว ตอนที่เธอเริ่มต้นเปิดร้านเป็นครั้งแรก เธอต้องทำงานอย่างหนักท่ามกลางพายุฝนที่ตกกระหน่ำ จนในเวลาต่อมาเธอป่วยเป็นโรคไขข้ออักเสบ เวลาฝนตกหรืออากาศหนาวเย็น จะรู้สึกเจ็บร้าวตามข้อกระดูกอย่างแสนสาหัส

ภพชาตินี้เธอไม่ต้องการตรากตรำทำงานหนักจนเสียสุขภาพอีกต่อไป เพราะแบบนี้ถึงได้พยายามหาเช่าร้านโดยเร็วที่สุด

ฝนหยุดตกในช่วงบ่าย แต่แล้วกลางดึกเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง

ขณะนอนฟังเสียงฝนด้านนอก โจวฉายอวิ๋นรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้

หล่อนรู้ตัวเองดี ว่านอกจากทำซาลาเปาเป็นแล้ว ตัวเองก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นอีก

หล่อนไม่กล้าไปตลาดมืดตามลำพัง ไม่รู้วิธีซื้อขาย แม้แต่ไส้เนื้อยังทำได้ไม่อร่อยเท่ารสมือของหลินม่าย

ดังนั้นหล่อนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากช่วยเหลืองานอื่น ๆ ของหลินม่ายอย่างสุดความสามารถ ทั้งนวดแป้ง หมักแป้ง ทำซาลาเปา ช่วยดูแลลูกสาวของอีกฝ่าย ทำงานบ้าน… ยินดีทำทุกอย่างเพื่อให้คู่ควรกับเงินเดือนที่ได้รับจากหลินม่าย

แต่ด้วยความที่สภาพอากาศเลวร้าย มีฝนตกตลอดเวลาแบบนี้ ทำให้หล่อนไม่สามารถทำซาลาเปาได้ทุกวัน แน่นอนว่าหล่อนรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย ราวกับตนเองเอาแต่ปอกลอกเงินค่าจ้างของหลินม่ายไปวัน ๆ

หลังจากนี้ถ้าหลินม่ายเปิดร้าน หล่อนก็หวังว่าการค้าขายจะเป็นไปด้วยดี จะได้ลงแรงทำซาลาเปาอย่างขยันขันแข็ง ให้คุ้มกับค่าแรงที่หลินม่ายมีน้ำใจจ่ายให้หล่อน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ในที่สุดก็เช่าร้านได้ ฝีมือมากเลยม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 91 หาที่เช่าร้าน

เขารู้ว่าหลินม่ายกำลังมองหาหน้าร้านสำหรับเช่าพื้นที่ค้าขาย ถึงเธอจะเจอร้านที่มีทำเลที่ตั้งเหมาะสมหลายแห่ง แต่เจ้าของบ้านกลับไม่ยินดีปล่อยเช่า

ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงเป็นธุระหาที่ทางไว้ให้ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอ

พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ส่วนตัวของเจ้าของบ้านที่ปล่อยเช่ารวมถึงที่ตั้งโดยละเอียด วางแผนไว้ว่าจะแวะเข้าไปดูสถานที่จริงในช่วงบ่าย

หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวัน ฝนหยุดตกแล้ว หลินม่ายขนซาลาเปากับไข่ต้มขึ้นรถ ก่อนไปดูสถานที่จริง เธอตั้งใจว่าจะขายอาหารทั้งสองอย่างนี้ตามริมถนนไปตลอดทางจนกว่าจะถึงเขตมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้

ถึงอย่างไรการทำมาค้าขายด้วยวิธีนี้ก็ไม่ได้ผิดกฎหมายเสียหน่อย

หลินม่ายมาถึงหน้าอาคารที่ฟางจั๋วหรานพูดถึงแล้ว เธอมองดูอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง

อาคารส่วนตัวแห่งนี้ตั้งอยู่บนถนนเส้นเดียวกันกับทางไปโรงพยาบาลผู่จี้ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวโรงพยาบาลประมาณห้าช่วงตึก

สถานที่นี้อยู่ตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง แถมยังอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ห่างจากกันแค่สามช่วงถนน ถือเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองเจียงเฉิงเลยก็ว่าได้

ถึงแม้จำนวนคนที่สัญจรผ่านจะไม่พลุกพล่านเท่าที่เก่า แต่ก็ยังมีคนผ่านไปมามากพอสมควร

คิดจะเปิดร้านขายของทั้งที ปริมาณผู้คนที่สัญจรผ่านถือว่าสำคัญมาก

ใต้ถุนอาคารที่ฟางจั๋วหรานแนะนำให้กับเธอไม่ได้กว้างขวางโอ่อ่ามากนัก ความกว้างแค่ประมาณสามเมตร แต่ลึกเข้าไปประมาณเจ็ดถึงแปดเมตร มีพื้นที่ว่างด้านหน้าตัวอาคารพอใช้สอย

…อันที่จริงถนนเส้นนี้ก็มีแต่บ้านส่วนตัวสองชั้นที่มีพื้นที่ว่างหน้าตัวอาคารทั้งนั้น

ด้านหน้าอาคารมีโต๊ะแปดเซียนกับเก้าอี้อีกหลายตัววางอยู่ ชายชราสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกันตรงโต๊ะแปดเซียนตัวนั้น ดูเหมือนพวกเขากำลังเล่นหมากรุกแข่งกัน มีชายชราอีกหลายคนมุงดูอยู่รอบ ๆ

โชคดีที่ซาลาเปานึ่งกับไข่ต้มดองซีอิ๊วของหลินม่ายยังเหลืออยู่บางส่วน

เธอหยิบไข่ต้มอุ่น ๆ สองสามฟองออกมาจากถังดองไข่ ก่อนจะเดินตรงไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พร้อมถามด้วยท่าทางสุภาพว่า “ขอโทษค่ะ ที่นี่ใช่บ้านของพ่อเฒ่าเฮ่อ เฮ่อหมิงเซิงหรือเปล่าคะ?”

ชายชราหนึ่งในสองคนที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองหลินม่ายด้วยสีหน้าท่าทางใจดี “ฉันเอง…”

หลินม่ายรีบยัดไข่ต้มดองซีอิ๊วฟองหนึ่งใส่มือเขา “ศาสตราจารย์ฟางเป็นคนแนะนำให้ฉันมาที่นี่ค่ะ พอดีฉันสนใจอยากเช่าพื้นที่ใต้อาคารของคุณ”

พ่อเฒ่าเฮ่อรับไข่หมักหนึ่งฟองที่หญิงสาวหยิบยื่นให้ด้วยความงงงวย “เธอหมายถึงฟางจั๋วหราน ศาสตราจารย์นายแพทย์แผนกศัลยกรรมใช่ไหม? เธอเป็นอะไรกับเขาล่ะ? ก่อนหน้านี้เขามาที่นี่แล้วไล่ถามทุกคน ว่าพอมีใครยินดีปล่อยเช่าพื้นที่ใต้ถุนอาคารบ้าง ตอนนั้นฉันแค่พูดเล่น ๆ ว่าถ้าเขาเล่นหมากรุกชนะ ฉันจะปล่อยพื้นที่ด้านหน้าให้เช่า ใครจะคิดว่าไอ้หนุ่มนั่นกลับรุกฆาตหมากของฉันซะไม่เหลือซาก ฉัน… ฉันเลยทำได้แค่ยอมรับความพ่ายแพ้”

หลินม่ายคิดไม่ถึงเช่นกันว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นธุระทำอะไรมากมายเพื่อเธอถึงขนาดนี้ ต่อให้ใจแข็งแค่ในก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าหัวใจกำลังสั่นคลอน

โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากใครอย่างเธอ แน่นอนว่าเธอยิ่งหวงแหนทุกสัมผัสอันอบอุ่นที่ได้รับจากโลกใบนี้เอามาก ๆ

เธอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นคนที่ศาสตราจารย์ฟางฝากฝังให้ช่วยดูแลคุณปู่กับคุณย่าของเขาค่ะ”

“อ้อๆๆ” พ่อเฒ่าเฮ่อพึมพำ “ฉันว่าอยู่แล้วเชียว ต่อให้ศาสตราจารย์ฟางจะสายตาสั้นแค่ไหน แต่เขาคงไม่มีวันชอบคนอย่างเธอแน่… ฮ่าๆๆ”

เธอแสดงสีหน้ากระดากอายอย่างไม่ปิดบัง ถึงอย่างนั้นก็ยังคงฝืนยิ้มต่อไป

หลินม่ายอยากพูดความในใจออกไปเหลือเกิน ‘พ่อเฒ่าเฮ่อคะ หยุดพูดจาขวานผ่าซากเสียทีได้ไหม?’

พ่อเฒ่าเฮ่อหันไปโบกมือให้กับเพื่อนชายชราคนอื่น ๆ “ทุกคนแยกย้ายกันก่อนเถอะ ฉันจะคุยเรื่องค่าเช่ากับแม่หนูคนนี้”

ตอนแรกชายชราทั้งหลายอยากอยู่ต่อเพื่อรอฟังว่าหลินม่ายจะเจรจาต่อรองค่าเช่ากับเขาอย่างไร แต่พ่อเฒ่าเฮ่อออกปากขับไล่พวกเขาออกไปแบบนี้ ทุกคนจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันพร้อมกับไข่ต้มที่ได้จากหลินม่าย ตั้งใจว่าจะเอาไปมอบให้หลานชายของตัวเอง

ภายในประตูที่เปิดค้างไว้ จึงเหลือแค่หลินม่ายกับพ่อเฒ่าเฮ่อสองคน

พ่อเฒ่าเฮ่อเชิญให้หลินม่ายนั่งลง แล้วถามชื่อและอายุตามมารยาท

ถึงแม้ความจริงหลินม่ายจะยังอายุไม่ครบสิบแปดปี แต่เธอก็ตอบพ่อเฒ่าเฮ่อโดยใช้ข้อมูลตามอายุในสมุดทะเบียนบ้าน

ด้วยวัยของเธอ พ่อเฒ่าเฮ่อจึงตัดสินว่าเธอยังเด็กเกินไป เขาเสนอแนะว่า “อย่างที่เธอเห็น ที่นี่เป็นอาคารสองชั้น ถ้าเธออยากเช่า ก็คงต้องเช่าทั้งหลัง ซึ่งค่าเช่าก็ไม่ได้ถูกเลย ฉันคิดว่าเรื่องนี้เธอคงตัดสินใจเองไม่ได้ ลองไปเรียกพ่อแม่ของตัวเองมา แล้วฉันค่อยเจรจาตกลงกับพวกเขาอีกทีหนึ่งก็ได้”

หลินม่ายเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบ้านหลังนี้เป็นอาคารสองชั้น ตอนแรกเธอยังนึกกังวลว่าถ้าเธอตัดสินใจเช่าพื้นที่ใต้ถุนอาคารกับพื้นที่ว่างด้านหน้า เจ้าของบ้านจะยังอาศัยอยู่บนชั้นสองหรือเปล่า

ซึ่งใจจริงแล้วเธอไม่อยากแบ่งปันพื้นที่โดยอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับเจ้าของบ้านด้วยซ้ำ

เงยหน้าขึ้นอาจมองไม่เห็น แต่ก้มหน้าลงอาจมองเห็นเสมอ(1) ต่อให้เจ้าของบ้านทำตัวไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ เธอที่เป็นแค่ผู้เช่าก็พูดอะไรมากไม่ได้

เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในภพชาติก่อน เธอเคยเช่าอยู่ร่วมกับเจ้าของบ้าน ไม่ว่าค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า เธอเป็นคนหาเงินมาจ่ายเองทั้งหมด

แต่เจ้าของบ้านกลับทำตัวเหมือนกินฟรีอยู่ฟรี แถมยังเข้าบ้านออกจากบ้านเป็นว่าเล่น พอเห็นว่ากิจการของเธอเป็นไปด้วยดีก็หาเรื่องขึ้นค่าเช่าทุกเดือน

เธอไม่อยากตกอยู่ในสภาพที่ต้องทำงานสายตัวแทบขาด แล้วเอาเงินที่ได้จากการทำงานหนักมาจ่ายค่าเช่าให้กับพวกเขา นั่นไม่ต่างจากการหารายได้เข้ากระเป๋าพวกเขาฟรี ๆ โดยที่เจ้าของบ้านไม่ยอมทำอะไรเลย

ทันทีที่ได้ยินพ่อเฒ่าเฮ่อเสนอว่าเขายินดีให้เธอเช่าบ้านได้ทั้งหลัง หลินม่ายรู้สึกดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่

เธอเผยรอยยิ้มกว้าง พูดกับพ่อเฒ่าเฮ่อว่า “ฉันแยกทางกับครอบครัวมานานแล้วค่ะ ตั้งใจเช่าบ้านด้วยเงินที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง การตัดสินใจขึ้นอยู่กับฉันแค่คนเดียว ไม่จำเป็นต้องเรียกพ่อแม่มาเจรจาหรอกค่ะ”

เรื่องอะไรเธอจะเรียกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่ทำตัวเหมือนหมาป่าตาขาวพวกนั้นกัน?

ขืนเรียกพวกเขามาจริง ๆ พวกเขาก็จะรู้ว่าเธอมีเงิน แล้วเพียรพยายามหาทางฉกฉวยไปเป็นของตัวเองจนได้ ถ้าเธอทำแบบนั้นจะไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองลำบากหรอกหรือ!

ร่องรอยของความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของพ่อเฒ่าเฮ่อแวบหนึ่ง “งั้นก็ได้ ฉันคิดค่าเช่าบ้านหลังนี้อยู่ที่สี่สิบหยวนต่อเดือน”

ถ้าเธอเช่าที่นี่ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาสามปี ต่อให้ค่าเช่าจะเพิ่มขึ้นปีละสิบหยวนก็ใม่ถือว่าแพงอะไร

เพราะเทียบกับทำเลที่ตั้งแล้วถือว่าคุ้มราคา

แต่ปัญหาก็คือ ปัจจุบันแทบไม่มีใครกล้าเช่าพื้นที่สำหรับค้าขายบนถนนเส้นนี้ อาจเพราะกลัวถูกมองว่าเป็นคนมีฐานะ กลัวอุปทานการตั้งร้านไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ หรือไม่ก็เป็นเพราะกลัวว่าราคาค่าเช่าจะสูงเกินเอื้อม

หลินม่ายพูดยิ้ม ๆ “ฉันยังไม่ได้ดูบ้านให้ละเอียดเลยค่ะ ขอดูก่อนแล้วค่อยพูดคุยเรื่องนี้กันดีไหมคะ”

พ่อเฒ่าเฮ่อลุกขึ้น พาเธอเยี่ยมชมตัวบ้านด้วยความยินดี

แผนผังของตัวบ้านค่อนข้างเรียบง่าย

ด้านหลังอาคารมีบันไดไม้ทอดขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลังบันไดมีห้องครัวขนาดใหญ่ แต่ในครัวกลับว่างเปล่าไม่มีเครื่องครัวเลยสักชิ้น มีแค่เตาถ่านที่ทำจากถังน้ำมันสองสามถังเท่านั้น

พ่อเฒ่าเฮ่อโน้มน้าว “ฉันได้ยินศาสตราจารย์ฟางบอกว่าเธออยากเช่าบ้านเพื่อเปิดร้านขายอาหาร ก่อนยุคปฏิรูปประเทศ บ้านของฉันเคยถูกคนอื่นเช่าเพื่อเปิดร้านขนม ห้องครัวกว้างขวางแบบนี้ คงสะดวกต่อการทำอาหารของเธอไม่น้อยเชียวล่ะ!”

หลินม่ายไม่ตอบกลับอะไร ลองเปิดก๊อกน้ำในห้องครัวดู

ถึงแม้ห้องครัวนี้จะว่างเว้นจากการใช้งานมาเป็นเวลานาน แต่ก๊อกน้ำกลับยังไม่ขึ้นสนิม น้ำประปาไหลราบรื่นเป็นปกติ

พ่อเฒ่าเฮ่อพูดด้วยความภาคภูมิใจ “บ้านของฉันสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสาธารณรัฐแล้ว คุณภาพสิ่งของพวกนี้ แน่นอนว่าไม่ธรรมดา”

หลินม่ายได้แต่ยิ้มตอบ ไม่ตอบกลับอะไรเหมือนเดิม เธอเดินไปเปิดไฟในห้องครัว แต่กดสวิตช์อยู่สองสามรอบก็ยังไม่ติด

เธอเดินไปเปิดสวิตช์ไฟตรงประตูด้านหน้า ก็พบว่าเปิดไม่ติดเช่นเดียวกัน

พ่อเฒ่าเฮ่ออับอายเล็กน้อย “ไว้ฉันค่อยเรียกช่างมาซ่อมให้เธอทีหลังก็แล้วกัน”

หลังจากนั้นเขาก็เดินนำหลินม่าย ก้าวขึ้นบันไดไม้ที่ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเพื่อขึ้นไปบนชั้นสอง

ชั้นสองแบ่งเขตห้องออกเป็นสองฝั่ง ทางฝั่งหนึ่งแบ่งออกเป็นห้องนอนใหญ่หนึ่งห้อง ห้องชุดหนึ่งห้องตามลำดับ ห้องชุดที่ว่าตั้งอยู่หน้าบันได ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดย่อม

แต่ละห้องว่างเปล่าไม่มีเฟอร์นิเจอร์เลยสักชิ้น

หลินม่ายคิดในใจว่าถ้าเธอสามารถตกลงเช่าบ้านหลังนี้ได้สำเร็จ เธอตั้งใจว่าจะยกห้องนอนใหญ่ให้โจวฉายอวิ๋น

ส่วนเธอกับโต้วโต้วจะนอนอยู่ในห้องชุดด้วยกัน

ห้องชุดที่ว่าไม่คับแคบเท่าไร สามารถวางเตียงใหญ่ในห้องได้หนึ่งเตียง และเตียงเล็กได้อีกสองเตียง

เมื่อเป็นแบบนี้ เธอจะได้แยกกันนอนคนละเตียงกับโต้วโต้วเสียที โดยที่โต้วโต้วยังรู้สึกปลอดภัย

…เพราะต่อให้สองแม่ลูกจะแยกกันนอนคนละเตียงก็จริง แต่อย่างน้อยพวกเธอก็ยังอยู่ในห้องเดียวกัน

หลังจากการเยี่ยมชมบ้านสิ้นสุดลง พ่อเฒ่าเฮ่อสังเกตว่าหลินม่ายนิ่งเงียบไป คงเป็นเพราะราคาค่าเช่าสูงเกินไปเป็นแน่

ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามพูดจาหว่านล้อม “ฉันไม่ได้ทึกทักตั้งราคาเอาตามอำเภอใจหรอกนะ ก่อนยุคปฏิรูปประเทศ เฉพาะใต้ถุนของบ้านหลังนี้เคยถูกปล่อยเช่าในราคาห้าหยวนต่อเดือนเชียว เธอลองไปถามคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉันได้ ถ้าไม่มั่นใจว่าฉันพูดความจริงหรือเปล่า ฉันปล่อยเช่าบ้านทั้งหลังในราคาแค่สี่สิบหยวนต่อเดือน ถือว่าเป็นราคาผักกาดขาว(2)แล้วล่ะ”

หลินม่ายตอบกลับด้วยท่าทางสบาย ๆ “คุณบอกว่านั่นเป็นราคาตั้งแต่สมัยก่อนปฏิรูปประเทศนี่คะ ตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว แน่นอนว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกัน”

พ่อเฒ่าเฮ่อตกตะลึงไปชั่วขณะ “ถ้าอย่างนั้นฉันลดราคาให้เธอห้าหยวนก็ได้ เหลือสามสิบห้า คงไม่แพงเกินไป”

หลินม่ายชูสองนิ้วเพื่อต่อรอง “ยี่สิบห้า”

สีหน้าของพ่อเฒ่าเฮ่อทรุดลงทันที ก่อนจะออกปากขับไล่เธอออกไป “ลืมไปซะเถอะ ฉันไม่ปล่อยเช่าแล้ว เธอออกไปได้แล้ว!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

เป็นสำนวนเปรียบเปรย มีความหมายว่าทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะได้พบเจอหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง

ราคาผักกาดขาว ใช้เปรียบเทียบถึงสินค้าที่มีราคาถูกมาก หรือมีความคุ้มค่าในการซื้อ

สารจากผู้แปล

จะได้บ้านเช่าอีกหลังแล้วสิเนี่ยม่ายจื่อ รอดูฝีมือการเจรจาเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 90 มองไปรอบ ๆ

ก่อนหน้านี้หลินม่ายเคยฟ้องร้องครอบครัวของอู๋จินกุ้ยในข้อหาทำร้ายร่างกาย

ผลลัพธ์ลงเอยที่ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยต้องติดคุกและยังต้องจ่ายค่าทำขวัญเธออีก 50 หยวน ครอบครัวของอู๋จินฮวารู้เรื่องนี้กันหมด

อู๋จินฮวาและลูกชายหวังว่าตำรวจจะช่วยให้หลินม่ายต้องติดคุกและจ่ายเงินค่าทำขวัญให้ครอบครัวนางบ้าง

เมื่อได้รับแจ้งจากอู๋จินฮวา เจ้าหน้าที่สันติบาลก็ออกไปสอบสวนชาวบ้านที่รู้เห็นในเหตุการณ์ทันที

ชาวบ้านหลายคนต่างพากันให้การว่าอู๋จินฮวาเองที่เป็นฝ่ายปล่อยข่าวลือก่อนจนหลินม่ายต้องลงไม้ลงมือ

แม้ว่าหลินม่ายจะผิดก็จริง แต่อู๋จินฮวาต่างหากที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

ถึงอู๋จินฮวาจะถูกทำร้าย แต่หลินม่ายก็ไม่ได้ใช้อาวุธกับเธอ เพียงแต่ตบเธอด้วยมือเพียงไม่กี่ครั้ง

ผลสรุปก็คือเรื่องทั้งหมดเกิดจากความผิดของอู๋จินฮวาที่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน ความผิดของหลินม่ายจึงเป็นอันถูกปัดตกไป

เจ้าหน้าที่สันติบาลแจ้งต่อครอบครัวของอู๋จินฮวาถึงผลการสอบสวนและคำตัดสินว่าคดีนี้ไม่สามารถยื่นฟ้องได้

เนื่องจากทั้งสองต่างเป็นฝ่ายผิดด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่จำเป็นต้องมีฝ่ายใดจ่ายค่าเสียหาย แล้วคดีก็จบลงเพียงเท่านั้น

อู๋จินฮวารู้สึกไม่พอใจ นางบอกกับพวกเขาว่า คนแก่อย่างนางถูกเด็กสาวทุบตีทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่ปิดคดีไปง่าย ๆ แบบนี้

เจ้าหน้าที่สันติบาลที่รับผิดชอบคดีนี้จึงแนะนำว่านางสามารถให้หมอเป็นคนประเมินอาการบาดเจ็บได้

หากหลักฐานในการฟ้องคดีมีการรับรองว่านางบาดเจ็บอย่างที่ว่าจริง พวกเขาจะเข้าเมืองไปจับกุมหลินม่ายและนำตัวเธอไปเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

พวกเขาจะไม่เสียเวลามาดำเนินการในคดีที่ทั้งสองต่างเป็นฝ่ายผิดทั้งคู่และไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ แถมยังต้องตามไปเรียกตัวอีกฝ่ายถึงในเมือง

แต่เมื่อเจ้าหน้าที่สันติบาลบอกกับอู๋จินฮวาและลูกชายเพิ่มว่าถ้าผลการตรวจร่างกายออกมาแล้วไม่เป็นไปตามมาตรฐานของการพิจารณาคดี ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บอย่างที่กล่าวอ้าง ครอบครัวของพวกนางจะต้องเป็นคนจ่ายเงินสำหรับการตรวจร่างกายและการทำเอกสารต่าง ๆ ทั้งหมดเอง ซึ่งพวกเขาก็ตัดสินใจล่าถอยแต่โดยดี

อาการบาดเจ็บของอู๋จินฮวาไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ตัวนางเองรู้ดีที่สุด

นอกจากถูกตบสองสามครั้ง หลินมายก็แค่บีบเธอด้วยมือ รอยแผลเล็กน้อยเหล่านั้นจะร้ายแรงพอสำหรับใช้ในการยื่นพิจารณาคดีได้อย่างไร สุดท้ายก็ทำได้เพียงยอมแพ้ไปอย่างแค้นเคือง

….

หลินม่ายแวะเวียนไปส่งซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วให้กับชายที่ดักจี้เธอในตอนเช้ามืดคนนั้นติดต่อกันอยู่หนึ่งสัปดาห์แล้วก็ไม่ได้ไปที่บ้านเขาอีก

ไม่ใช่เพราะเธอเสียดายเงินค่าอาหาร แต่หญิงสาวคิดว่าเขาน่าจะดีขึ้นแล้ว

ถึงพวกพี่น้องจะไม่ได้ไปเจอเขา เขาก็คงออกมาหาของกินเองได้

แต่ถ้าเขาตายอยู่ในบ้านหลังนั้น ก็น่าจะเริ่มส่งกลิ่นออกมา ยิ่งไม่ต้องเอาหาหารไปให้อยู่ดี

เธอเต็มใจเอาของกินไปให้เขาเพราะรู้สึกไปเองว่าเขาน่าจะไม่ใช่คนเลวร้ายไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ยอมปล่อยให้เธอได้กลับออกมา

หญิงสาวทำสิ่งเหล่าเพื่อขอบคุณที่เขาไม่ได้ฆ่าเธอ

ถ้าได้พบกันอีกครั้ง เขากับเธอจะได้ไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน

นั่นหมายถึงว่า ถ้าเขายังไม่ตายไปเสียก่อนน่ะนะ

แต่ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าเธอคิดแบบนั้น และยังตั้งตารอให้เธอเอาอาหารมาส่งให้อยู่ทุกวัน

หลายวันผ่านไปโดยที่ไม่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ไม่ต้องไปคาดหวังเลยว่าจะมีกับซาลาเปาและไข่ต้มมาวางหน้าประตู

ชายหนุ่มเริ่มอยู่ไม่สุขเกิดความคิดฟุ้งซ่านในหัว

ผู้หญิงตัวเล็กบอบบางแบบนั้น จะเกิดอุบัติเหตุอะไรระหว่างเดินทางคนเดียวตอนเช้ามืดหรือเปล่า

ยัยคนนี้นี่จริง ๆ เลย ทำไมชอบไปไหนมาไหนมืด ๆ คนเดียวนักนะ

เขาที่ไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกจึงตัดสินใจออกไปตามหาเธอ

ทันทีที่ชายหนุ่มเปิดประตูออก เขาก็พบเหลียนเฉียวที่มาพร้อมกับผลไม้และกล่องอาหารกลางวัน หล่อนเอ่ยถามขึ้นทันที “นายท่านจะออกไปข้างนอกเหรอคะ”

แม้ว่าเหลียนเฉียวจะเป็นเด็กสาว แต่หล่อนก็เป็นผู้ช่วยที่เก่งกาจและภักดีที่สุดของชายหนุ่ม

ทั้งสองเติบโตมาด้วยกันในฐานะคนสนิทในวัยเด็ก กลายมาเป็นระดับหัวหน้าด้วยกัน เคียงบ่าเคียงไหล่กันในการต่อสู้ทั้งเรื่องธุรกิจและการชิงอำนาจ แม้แต่ตอนที่โดนฝ่ายศัตรูไล่ล่า

คนที่เขาไว้ใจได้มากที่สุดก็คือหล่อน

เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์จอมวางแผน แต่แผนเหล่านั้นไม่เคยตบตาหล่อนได้

ทันทีที่เขาหายตัวไป เหลียนเฉียวก็รีบออกตามหาเขาทุกที่ที่คิดว่าชายหนุ่มจะไปซ่อนตัว และก็ตามเจออย่างรวดเร็ว

ที่ผ่านมาเป็นหล่อนที่คอยดูแลเขา เตรียมอาหารให้ครบทั้งสามมื้อและคอยทำแผลให้เขา

ชายหนุ่มฮัมเพลงขึ้นมาเบา ๆ

เหลียนเฉียวถามขึ้นว่า “จะออกไปไหนคะ”

“มีเรื่องต้องจัดการน่ะ”

หญิงสาวดันชายหนุ่มกลับเข้าไปในบ้าน “แต่คุณยังไม่หายดี เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะ ฉันเอาซุปไก่มาด้วย กินก่อนที่มันจะเย็นเถอะค่ะ”

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง “ลืมตัวไปหรือไง เธอมีสิทธิ์เข้ามายุ่งเรื่องของฉันได้งั้นเหรอ”

เหลียนเฉียวนิ่งอึ้งไปแล้วรีบอธิบายว่า “ฉันแค่เป็นห่วงคุณ”

“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวจะกลับมา” เขาตอบแค่นั้นแล้วดันหล่อนให้หลบแล้วเดินออกจากบ้านไป

ตอนนั้นเขาเจอยัยพริกขี้หนูระหว่างทางไปตลาดมืด เขาเลยเริ่มตามหาเธอจากที่นั่นก่อน

หลินม่ายออกไปขายของในตอนเช้า แวะพักกลับมาเติมของแล้วจะไม่กลับมาอีกจนกระทั่ง 11 โมง

โจวฉายอวิ๋นเตรียมอาหารกลางวันเรียบร้อย รอให้หลินม่ายกลับมาก็จะได้เริ่มกินมื้อกลางวันด้วยกัน

คนเป็นพี่วางชามข้าวให้เธอ “วันนี้ขายไม่ดีเหรอ”

“อืม” หลินม่ายนั่งลงที่โต๊ะแล้วจับตะเกียบขึ้นมากินข้าว

ตั้งแต่เธอเริ่มขายอาหารด้วยการปั่นสามล้อไปตามถนน พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็เริ่มลอกเลียนแบบ พวกเขาขายอาหารเช้าเหมือนกัน และส่วนใหญ่ก็ขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วเหมือนกันอีก

แม้ว่าหลินม่ายจะมั่นใจมากเรื่องทักษะการทำอาหารของตัวเอง ซาลาเปาและไข่ต้มของเธอโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ

แต่ถึงอย่างนั้น การหาลูกค้าประจำด้วยการขายแบบปั่นไปตามถนนก็เป็นเรื่องยาก ลูกค้าส่วนใหญ่จะสุ่มซื้ออาหารจากร้านที่พวกเขาบังเอิญไปเจอมากกว่า

เพราะอย่างนี้ข้อได้เปรียบเรื่องรสชาติก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้มากเท่าเดิมยอดขายจึงไม่ได้ดีเท่าก่อนหน้านี้

ไม่ได้ขายดีเท่าเมื่อก่อนมาเป็นเวลาสักพักนึงแล้ว

โจวฉายอวิ๋นกินอาหารไปสองคำอย่างรู้สึกไม่ดีแล้วเสนอขึ้นว่า “เราไม่ต้องกินของดี ๆ แบบนี้ทุกวันก็ได้นะ”

ตั้งแต่เธอเริ่มมาทำงานที่นี่ หลินม่ายมีทั้งปลาและเนื้อสัตว์ให้เธอกินราวกับมีงานเลี้ยงทุกวัน

หลินม่ายปฏิเสธ “ถ้าพี่กินของดี ๆ ร่างกายก็จะแข็งแรง คนแข็งแรงก็จะมีแรงไปหาเงิน กินของดี ๆ แบบนี้ไปนั่นแหละไม่ต้องอดหรอก ไม่ต้องกังวลเรื่องงาน ถึงมันจะไม่ได้ดีเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังขายได้ประมาณ 20 หยวนต่อวัน พี่สบายใจได้”

ในโลกนี้หญิงสาวคิดไว้ว่าจะใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง และไม่คิดที่จะต้องคอยประหยัดเงินใช้จ่ายอีกต่อไป

หลังจากกินเสร็จ หลินม่ายก็ออกไปขายซาลาเปากับไข่ต้มต่อ

เมื่อเธอถีบสามล้อออกจากหมู่บ้านในด้านหน้า ชายหนุ่มก็เข้ามาที่หมู่บ้านจากด้านหลัง

เขาเดินไปรอบ ๆ หมู่บ้านโดยทำทีเป็นคนสัญจรผ่าน และต้องออกไปอย่างหงุดหงิด ยัยนั่นไม่ได้อยู่ที่นี่แฮะ

ฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมาอย่างหนัก ตก ๆ หยุด ๆ แล้วก็ตกลงมาอีกครั้ง

เมื่อก่อนหลินม่ายไม่ออกไปขายของเวลาที่ฝนตก

แต่สำหรับตอนนี้ ต่อให้ฝนตกก็ต้องออกไปขาย เพราะมีคนมาเพิ่มอีกหนึ่งคนที่ต้องกินต้องใช้และต้องจ่ายเงินเดือน

ถ้าไม่ออกไปทำงานก็เท่ากับว่าทั้งวันจะขาดรายได้ไปเลย

หลินม่ายตื่นแต่เช้าตรู่ สวมเสื้อกันฝน ห่อถังไม้ที่ใช้ใส่ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วด้วยผ้าใบกันฝนสองสามผืนก่อนออกเดินทาง

โจวฉายอวิ๋นมองออกไปข้างนอกแล้วอาสาขึ้นมา “ให้ฉันไปแทนดีกว่า เธอจะได้อยู่สอนหนังสือให้โต้วโต้วอยู่ที่บ้าน”

โต้วโต้วไม่อยากอยู่ห่างจากแม่ในวันฝนตก จึงคว้าเสื้อของเธอเอาไว้แล้วร้องว่า “แม่อยู่บ้านเถอะนะ”

แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธแล้วบอกกับคนเป็นพี่ว่า “พี่ไม่ถนัดเรื่องงานขายนี่ ถ้าออกไปก็จะขายได้ไม่เยอะ เพราะงั้นพี่เตรียมของอยู่ที่บ้านนี่แหละดีแล้ว”

จากนั้นก็ลูบศีรษะทุยของโต้วโต้วแล้วกำชับให้ลูกน้อยอยู่บ้านเชื่อฟังโจวฉายอวิ๋น

วันนี้ทั้งลมทั้งฝนค่อนข้างรุนแรง เหล่าเทศกิจไม่ได้ออกมาทำหน้าที่ หญิงสาวจึงปักหลักอยู่ที่ท่าเรือเพื่อขายอาหาร

ฟางจั๋วหรานถือร่มสีดำขนาดใหญ่เดินออกมา เมื่อเห็นเธอยืนขายของเพียงลำพังท่ามกลางสายฝนจากระยะไกล ก็รู้สึกเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากขนาดนี้

ฝนยังคงโปรยปรายลงมาต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์

และแน่นอนว่าเช้านี้หลินม่ายก็ยังคงออกไปขายอาหารตามปกติ

ฟางจั๋วหรานเดินไปหาเธอ สั่งซาลาเปาหมูสับและไข่ต้มดองอย่างละ 2 เขาเล่าให้เธอฟังว่ามีร้านค้าใกล้กับมหาวิทยาลัยว่างอยู่เลยมาถามว่าเธอต้องการจะเช่าหรือเปล่า

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไอ้อาการเลิกลั่กอยู่ไม่สุขนี่คือเริ่มชอบเขาแล้วสินะคะพ่อหนุ่มปริศนา

เรือมาพร้อมกันสองลำเลยแฮะ จะเลือกขึ้นเรือลำไหนดีคะเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 89 จัดการสั่งสอนอู๋จินฮวา

หลังมื้อเย็น คุณป้าหัวเพื่อนบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านก็มาหาหลินม่ายที่บ้าน “ม่ายจื่อ ป้าได้ยินมาว่าเธออยากขายรถเข็นคันเก่าเหรอ?”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่ค่ะ”

ป้าหัวเริ่มเข้าประเด็นทันที “จะขายเท่าไรล่ะ?”

หลินม่ายเชิญคุณป้าให้นั่งก่อนแล้วรินน้ำชาต้อนรับ “ฉันซื้อรถคันนี้มาราคาห้าสิบห้าหยวน ถ้าป้าอยากจะซื้อต่อ ฉันจะไม่ขึ้นราคา เอาราคาเท่าทุนไปได้เลยค่ะ”

พวกเราเป็นคนกันเอง เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น หญิงสาวจึงไม่ได้อยากได้กำไรจากป้าหัว

แต่คุณป้าหัวกลับพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เธอใช้รถคันนี้มาก็ซักพักแล้ว ยังจะขายในราคาห้าสิบห้าหยวนอยู่ มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”

หญิงสาวยังใจเย็นแล้วตอบไปด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงจะเป็นรถที่ถูกใช้มาช่วงนึงแล้วก็จริง แต่มันก็แค่ไม่กี่เดือนเองนะคะ ฉันเห็นว่าป้าอยากได้รถจริง ๆ แล้วเราก็เป็นคนกันเอง ฉันจะลดให้สองหยวน ขายให้ป้าห้าสิบสามหยวนก็พอ”

“ลดเศษสามหยวนหน่อยเถอะน่า เหลือห้าสิบได้ไหม” ป้าหัวต่อรอง

“ถ้าราคานี้ก็ขายไม่ได้หรอกค่ะ” หลินม่ายไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ แล้วก็เตรียมซาลาเปากับไข่ต้มเพื่อจะออกไปขายของ

เมื่อกลับมาจากขายของหญิงสาวกลับพบว่ารถเข็นคันนั้นหายไปแล้ว เธอจึงเข้าไปถามโจวฉายอวิ๋น “ป้าหัวยังรอจะซื้อรถเข็นอยู่หรือเปล่า”

“เปล่า” โจวฉายอวิ๋นหยิบเงินห้าสิบสามหยวนออกมาแล้วยื่นให้หลินม่าย “พอเธอออกไปป้าหัวก็ยังมาคะยั้นคะยอจะขอซื้อรถในราคาห้าสิบหยวน ฉันก็ตอบไปว่าฉันตัดสินใจแทนเธอไม่ได้หรอก บอกให้ป้ารอเธอกลับมาดีกว่า แต่สุดท้ายไป ๆ มา ๆ ก็ยอมจ่ายเงินซื้อนี่แหละ”

วันนี้หลินม่ายกลับไปที่บ้านในชนบทเพื่อไปซื้อแป้งและไข่ โชคดีที่อากาศกำลังดี

ในช่วงเช้าก่อนสิบโมงหลินม่ายออกไปขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วที่ทำเตรียมไว้จนหมด แล้วเริ่มออกเดินทางด้วยรถแทรกเตอร์

เธอเดินทางมาถึงบ้านคุณปู่ฟางตอนบ่ายสาม

คุณปู่ฟางซื้อไข่และแป้งเตรียมให้แล้ว รอเพียงเธอมาขนมันขึ้นรถเท่านั้น

ส่วนคุณย่าฟางอยู่ที่หน้าเตากำลังทำอาหารอะไรบางอย่างอยู่ในหม้อ

หลินม่ายไม่เกรงใจที่จะขอชามแล้วกินอาหารด้วย

หญิงสาวสังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่ทั้งสองดูสีหน้าไม่ค่อยดีจึงเริ่มเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า

ผู้เฒ่าทั้งสองอยู่ในอาการอ้ำอึ้ง มองหน้ากันไปมา

ในที่สุดคุณย่าฟางก็บอกกับคุณปู่ฟางว่า “ฉันว่าเราควรบอกเรื่องนี้กับม่ายจื่อไปดีกว่า”

หลินม่ายคีบผักกาดดองลงไปในชามของตัวเองแล้วทอดสายตามองผู้ใหญ่ทั้งสอง “เกิดอะไรขึ้นคะ”

คุณปู่ฟางเริ่มเล่าว่า ตั้งแต่หลินม่ายซื้อรถแทรกเตอร์ไป ชาวบ้านก็ยกย่องในความสามารถของเธอ

แต่ก็มีอู๋จินฮวาที่ปล่อยข่าวลือเสียหายเกี่ยวกับหลินม่ายว่าเธอเป็นคนมีความสามารถในการหาเงินจากการทำมาค้าขายก็จริง แต่เงินส่วนใหญ่นั้นได้มาจากการใช้ร่างกายหากิน

คุณปู่ฟางคุณย่าฟางได้ยินแบบนั้นก็โมโหแล้วมีปากเสียงกับหล่อนไปไม่น้อย

แต่หล่อนยังแย้งว่าพวกท่านถูกมารยาของหลินม่ายทำให้หลงเข้าข้างคนผิด เชื่อใจจนรู้ไม่เท่าทันความสกปรกของหญิงสาว

คุณปู่ฟางพูดออกมาอย่างจริงจัง “ม่ายจื่อ เรื่องแบบนี้ปล่อยเอาไว้ไม่ได้ คนแบบนี้ต้องหาวิธีสั่งสอนให้รู้สำนึกซะบ้าง ไม่งั้นก็จะได้ใจ ปล่อยข่าวลือมั่ว ๆ ไม่รู้จักเกรงกลัวกันอยู่แบบนี้ หล่อนเอาแต่พูดพล่อย ๆ ไม่เป็นความจริง จนคนอื่น ๆ เข้าใจผิดกันหมด ชื่อเสียงเธอจะเสียหายนะถ้าอยากจะแต่งงานในอนาคต”

ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาในโลกใหม่ หลินม่ายก็ไม่มีความคิดที่จะแต่งงานอีก หญิงสาวเพียงแค่อยากจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิต

แต่การที่เธอไม่ได้อยากแต่งงานก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทนต่อการเป็นขี้ปากคนอื่นในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง

แถมผู้ใหญ่ทั้งสองยังคอยปกป้องเธอเสมอ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เธอจะไม่ต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองบ้าง

หลังจากที่เติมท้องจนเต็ม วางชามและตะเกียบลง หญิงสาวก็ออกไปหาอู๋จินฮวาเพื่อคิดบัญชีกับนาง

อู๋จินฮวาออกไปทำงานที่ไร่ของตัวเองหลังอาหารกลางวัน

หลินม่ายมองหานางไปตลอดทางจากบ้าน กระทั่งเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ในไร่

ในตอนนั้นอู๋จินฮวากำลังง่วนอยู่กับการจัดการวัชพืชที่ขึ้นอยู่ในไร่งา หลินม่ายจึงเดินย่ำไปบนไร่งาของนางโดยไม่ได้สนใจว่ามันจะเสียหายหรือไม่

ใบหน้าของอู๋จินฮวาเปลี่ยนเป็นสีคล้ำด้วยความโกรธแล้วตะโกนใส่หญิงสาว “นี่ ! ยัยหนู หลบไปให้พ้นจากไร่งาของฉันนะ ไม่เห็นหรือไงว่าจะเหยียบมันอยู่แล้ว”

หลินม่ายทำเป็นหูทวนลมแล้วยังก้าวเหยียบไปที่ต้นงาของนาง

อู๋จินฮวาโกรธมากจนรีบวิ่งตรงเข้ามาเพื่อจะตบเธอ “ยัยบ้า อยากตายหรือไงหา”

หลินม่ายที่เตรียมใจจะมามีเรื่องอยู่แล้วก็ตั้งรับได้ในทันที เมื่ออู๋จินฮวาตรงเข้ามาหญิงสาวก็ใช้ความได้เปรียบที่มีแรงมากกว่าผลักร่างของอีกฝ่ายกระเด็นออกไป

ร่างกายของอู๋จินฮวากระแทกลงกับพื้น นางส่งเสียงแหลมน่ารำคาญออกมา

หลินม่ายคร่อมทับลงบนตัวสาวใหญ่แล้วฟาดฝ่ามือเข้าที่ปากของอีกฝ่าย “ปากนี้ใช้ไหมที่ใช้ใส่ร้ายฉัน มันต้องโดนตบสักหน่อย จะได้ไม่เอาแต่พูดพล่อย ๆ อีก”

อู๋จินฮวาโดนฝ่ามือจากหลินม่ายฟาดไปหลายยกจนลูกชายและลูกสะใภ้ของนางรีบวิ่งเข้ามากันหญิงสาวออกไป

หลินม่ายมักจะซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากชาวบ้านในราคาที่ไม่เคยกดขี่พวกเขา

และครั้งล่าสุดเธอซื้อผักกาดดองจำนวนมากในราคา 3 เฟินต่อชั่ง ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รายได้เพิ่มมา

เพราะในชนบทแบบนี้ ทุกบ้านจะดองผักกินเอง ทำให้ขายได้ยาก

ในสายตาของชาวบ้าน หลินม่ายเป็นเหมือนเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง ใคร ๆ ก็ไม่อยากจะมีปัญหากับเธอ

เมื่อเห็นว่าเธอกำลังมีเรื่อง ชาวบ้านจำนวนมากจึงรีบเข้ามาช่วย พวกเขามาหยุดลูกชายและลูกสะใภ้ของอู๋จินฮวาเอาไว้

“คนสามคนจะมารุมผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้คนเดียวยังไงเล่า”

ลูกชายและลูกสะใภ้ของอู๋จินฮวาที่ถูกชาวบ้านกักตัวไว้ทำได้เพียงยืนดูแม่ของตัวเองถูกหลินม่ายสั่งสอน ดวงตาของพวกเขาแดงก่ำไปด้วยความโกรธ

เขาโวยวายขึ้นว่า “เป็นบ้าอะไรกันหมด นังนี่มาทำตบแม่ฉันก่อน ทำไมมาหาว่าฉันรุมมันหา!”

เมื่อหลินม่ายได้ยินแบบนั้น จึงถอดรองเท้าออกมาข้างหนึ่งแล้วใช้มันตบเข้าที่ตัวอีกฝ่ายสองสามครั้ง “ได้ ! งั้นฉันจะขอตบก่อนแล้วค่อยยอมให้เธอพูดพล่อย ๆ เกี่ยวกับฉัน ยอมให้เธอเรียกฉันว่าอีตัว แล้วฉันจะไม่แค้นอะไรเลย!”

ในตอนนั้นอู๋จินฮวาที่ตั้งตัวได้ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วออกแรงวิ่งตรงมาที่หลินม่ายพร้อมกับร้องตะโกน “แก! ฉันจะตบแก!”

แต่น่าเสียดายที่หลินม่ายไม่อยากสู้ด้วยแล้ว เธอจึงเบี่ยงไหล่หลบอีกฝ่ายไปด้านข้างเล็กน้อย

แต่แรงวิ่งของอู๋จินฮวาบวกกับน้ำหนักของนางทำให้สองเท้านั้นไม่สามารถหยุดการเคลื่อนไหวของร่างกายหรือเปลี่ยนทิศทางได้ทัน

ร่างนั้นจึงลื่นไถลไปตามทุ่งงาของตัวเอง พร้อมเสียงกรี๊ดด้วยความตกใจ

ไม่ต้องพูดถึงต้นงาที่เจ้าของปลูกมันขึ้นมากับมือถูกบดขยี้เสียจนราพณาสูรเป็นทาง ร่างของสาวใหญ่เองก็กลิ้งหลุน ๆ เป็นลูกขนุน คลุกโคลนเนื้อตัวมอมแมมเหมือนหมาตกน้ำ ชาวบ้านที่ยืนดูอยู่ต่างพากันหัวเราะกับภาพนั้น

ชาวบ้านที่ดูอยู่หันไปตอบลูกชายป้าอู๋ “ใครกันแน่ที่บ้า แม่แกเป็นคนปล่อยข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ ให้เสี่ยวหลินก่อน ถ้าเสี่ยวหลินไม่เป็นคนลงมือแล้วจะให้ใครทำล่ะ?”

“ใช่ ๆ เสี่ยวหลินยังสาวยังแส้ อนาคตก็ต้องอยากแต่งงาน แม่แกยังไปพูดเรื่องบ้าบอพวกนั้นไม่หยุด ต่อให้ไม่มีคนไปถามก็ยังไล่ตามโพนทะนาเรื่องนี้ถึงที่”

“คนปากหาเรื่องแบบนี้จะทำให้มีสีที่ปากก็ไม่แปลก”

หลินม่ายเอ่ยอย่างฮึกเหิมกับชาวบ้านที่มาช่วยว่า “ขอบคุณทุกคนที่ไม่เห็นผิดเป็นถูกไปตามคนพวกนี้ วันหลังถ้าฉันต้องซื้อผลผลิตจากพวกคุณจะให้ราคาที่ดีที่สุดแน่นอน”

หลังจากขอบคุณพวกเขาแล้วหญิงสาวก็กลับไปที่บ้านคุณปู่ฟาง จัดการขนไข่และแป้งขึ้นรถแทรกเตอร์จากไป

อู๋จินฮวาที่ทั้งเสียหน้าและเจ็บตัวรู้สึกยอมไม่ได้กับเรื่องที่เกิดขึ้น นางและครอบครัวตรงไปที่ที่ทำการกองทหารเพื่อให้ผู้นำหมู่บ้านออกมาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้

หลินม่ายเป็นคนสนิทของคุณปู่ฟางและภรรยา แถมยังเป็นคนจ่ายเงินซื้อรถแทรกเตอร์ที่มีปัญหากันของเหล่าสมาชิกอีก

นอกจากอู๋จินฮวาจะเจ็บตัวเพราะรนหาที่แล้ว บรรดาเจ้าหน้าที่ยังบอกว่าความจริงแล้วเป็นนางเองที่ไม่ควรไปหาเรื่องหลินม่ายก่อน

อู๋จินฮวาเถียงขึ้นอย่างโมโห “เรื่องข่าวลือนั่นฉันผิดก็จริง แต่ยัยนั่นมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายร่างกายฉัน”

หัวหน้ากองทหารจึงตอบกลับไปเพียงว่า “ตอนนี้ทะเบียนบ้านของหลินม่ายถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว ไม่ได้อยู่ในความดูแลของผม คุณจะให้ผมทำยังไง”

อู๋จินฮวาและลูกชายเลยเปลี่ยนไปที่สถานีตำรวจแทน เพื่อหาตำรวจสักคนมาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

จัดการยัยป้านี่ให้มันจมดินแบบลุกไม่ขึ้นไปเลยค่ะ ถอนรากถอนโคนให้สิ้นซากจะได้ไม่มาขัดโชคลาภอีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 88 เพื่อนร่วมงานสาวของฟางจั๋วหราน

ที่พักสำหรับพนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้มีขนาดกว้างใหญ่ แถมลูกค้ายังมีกำลังซื้อมาก การที่หลินม่ายเข้ามาขายของบริเวณนี้ก็ทำให้ซาลาเปากับไข่ต้มหมดไปอย่างละครึ่ง

อีกทั้งยังไม่ค่อยมีใครเข้ามาขายของแถว ๆ นี้ หญิงสาวเลยวางแผนว่าจะมาที่นี่เพื่อขายของอีกบ่อย ๆ

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายออกไปขายของที่ท่าเรือจนถึงเจ็ดโมงเช้า แล้วปั่นสามล้อต่อไปยังที่พักพนักงานโรงพยาบาลเพื่อขายอาหารเช้า

คนแถวนี้ที่กำลังจะไปเรียนหรือทำงานจะได้มาแวะซื้ออาหารเช้าจากเธอระหว่างทาง

ขณะที่กำลังขายของอยู่นั้นเธอก็พบฟางจั๋วหรานอีกครั้ง

หญิงสาวส่งยิ้มให้เขาทันทีที่สบตากัน

ชายหนุ่มเข้ามายืนข้างเธอด้วยรอยยิ้มไม่ต่างกันแล้วเริ่มสั่งอาหาร “เอาซาลาเปาผักกาดดองสองลูกกับไข่ต้มหนึ่งฟอง”

แต่หลินม่ายส่งซาลาเปาหมูสับต้นหอมสองลูกกับไข่ต้มสองฟองให้เขาแทน “นาน ๆ ครั้งกินซาลาเปาผักกาดดองก็ดี แต่กินทุกวันจะขาดสารอาหารเอาได้”

ฟางจั๋วหรานยิ้มรับคำแนะนำนั้นอย่างเชื่อฟังแล้วรับอาหารจากมือแม่ค้าสาว

หลินม่ายยื่นเงิน 80 หยวนให้กับเขา “นี่เงินค่ารถสามล้อค่ะ”

เมื่อวานเธอไม่ได้ให้เงินจำนวนนี้กับเขา ฟางจั๋วหรานจึงคิดว่าเธอจะลืมและแอบหวังว่าเธอจะลืมไปตลอด แต่ไม่คาดว่าเธอจะเตรียมเงินมาให้เขาในวันนี้

เขารู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก

ทั้งสองพูดคุยกันสักพักอาจารย์หนุ่มก็ขอตัวไปทำงานส่วนหลินม่ายก็ตั้งใจขายอาหารเช้าต่อ

ไม่มีใครทันได้สังเกตว่าฉีเยี่ยนแอบมองทั้งสองอยู่ไม่ไกลด้วยแววตาหึงหวง

ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าไม่อาย อาจารย์ฟางแค่มองเธอเป็นเหมือนน้องสาวแต่กลับคอยยั่วยวนเขาไม่หยุด ทำให้อาจารย์สาวอดไม่ได้ที่จะเข้ามาสั่งสอนเสียหน่อย

ฉีเยี่ยนเดินเข้าไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง เปิดบทสนทนากับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงและแววตาขุ่นเคือง “ซาลาเปากับไข่ต้มนี่ถูกสุขอนามัยหรือเปล่า กินได้แน่เหรอ”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองและจดจำอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว “คุณไม่ใช่เพื่อนร่วมงานของอาจารย์ฟางหรอกเหรอคะ ดูคุณไม่พอใจตอนที่ฉันคุยกับอาจารย์ฟางเมื่อวานนี้นะคะ ฉันก็อุตส่าห์เอาเก็บเอาไปคิดตั้งนาน ว่าเคยไปรบกวนความสงบของวิญญาณบรรพบุรุษคุณหรือเปล่า แต่ก็ไม่ เราไม่ได้รู้จักอะไรกันด้วยซ้ำ คุณจะมาจงเกลียดจงชังฉันเหมือนเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อฆ่าแม่คุณไปทำไม เหตุผลก็คงจะมีแค่คุณชอบอาจารย์ฟาง แล้วก็มาตามอิจฉาที่ฉันสนิทกับเขามาก เพราะงั้นอย่าเอาเรื่องความสะอาดของอาหารมาเป็นข้ออ้างกันเลยดีกว่า คุณจงใจจะหาเรื่องฉันอยู่แล้วนี่ คุณเป็นถึงอาจารย์เลยเชียวนะ แต่ก็ไม่ได้เห็นว่าจะดีเด่กว่าแม่ค้าข้างทางอย่างฉันเท่าไรเลย”

หลังจากที่หลินม่ายพูดจบ ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังซื้ออาหารอยู่ก็พากันมองไปที่ฉีเยี่ยนกันเป็นตาเดียว

ใบหน้าของฉีเยี่ยนเปลี่ยนสีด้วยแรงอารมณ์ เป็นภาพที่น่าขบขันนัก “ปัญหาอยู่ที่ความสะอาดของอาหารที่เธอขาย แต่เอาเรื่องนี้มาเถียงงั้นเหรอ”

หลินม่ายกล่าวต่อด้วยอาการสงบนิ่ง “เมื่อวานฉันก็มาขายอาหารเช้าที่นี่ มีใครกินเข้าไปแล้วปวดท้องบ้างไหมล่ะคะ เห็น ๆ กันอยู่ว่าตั้งใจจะมาใส่ร้าย แถมยังพูดจาหยาบคายใส่กันอีก ฉันว่าคุณควรทำตัวให้ดูน่านับถือกว่านี้หน่อยนะ”

ฉีเยี่ยนไม่คิดว่าหลินม่ายจะพูดออกมาตรง ๆ แบบนั้น

หล่อนไม่สามารถหาเรื่องมาเถียงต่อได้ ไม่รู้ว่าจะสู้กับแม่ค้าคนนี้อย่างไร จนเริ่มรู้สึกอาย

แต่ไม่รู้จะหาทางลงให้ตัวเองอย่างไรดี เลยพูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้เป็นพวกไร้การศึกษาแบบเธอหรอกนะ”

พูดจบก็เชิดหน้าขึ้นสูงแสดงอาการหยิ่งผยองออกมา

หลินม่ายโต้กลับไปด้วยท่าทางนิ่งสงบ “ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินคนที่มีคำพูดคำจาแบบนี้เป็นครั้งแรกนี่แหละค่ะ”

ได้ยินแบบนั้นความอดทนของฉีเยี่ยนก็หมดลง

หล่อนโกรธมากจนหน้าแดงจัด

จากนั้นก็เดินออกมา แต่ไม่ได้ตรงไปยังที่ทำงาน กลับแวะไปหา รปภ. ของบ้านพักแล้วถามว่า “ที่นี่ไม่มีใครดูแลเลยหรือไง”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ” หัวหน้าหน่วย รปภ. ถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ก็มีคนเฝ้าอยู่ที่ประตู แล้วก็ช่วยดูแลความเรียบร้อยอยู่แล้วนะครับ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”

“แล้วให้แม่ค้าคนนั้นเข้ามาขายของได้ยังไง”

ฉีเยี่ยนพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมถึงกล้าให้ใครก็ไม่รู้เอาอาหารเข้ามาขาย ถ้าไม่สะอาดแล้วคนกินท้องเสียจะทำยังไง”

หัวหน้า รปภ. ตกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น “ผมกินซาลาเปากับไข่ต้มที่แม่ค้าคนนั้นขายไปเมื่อวาน วันนี้กินอีกรอบก็ไม่เห็นมีอาการอะไรนะครับ ผมว่าอาหารก็สะอาดดีนะ”

“ถึงจะสะอาด แต่คนขายก็ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน อยู่ ๆ ให้เข้ามาไม่กลัวอันตรายหรือไง ถ้ามีของหายใครจะรับผิดชอบ?”

หัวหน้า รปภ. ได้ยินแบบนั้นก็เข้าใจได้ว่าลูกบ้านคนนี้ต้องการให้แม่ค้าคนนั้นออกไป

เขาไม่อยากมีปัญหากับลูกบ้านที่นี่เพียงเพราะแม่ค้าที่เข้ามาขายอาหารก็เลยต้องไปบอกให้หลินม่ายออกไป “ที่นี่ห้ามขายของ ออกไปเถอะ”

หลินม่ายหันมามอง รปภ. และเหลือบไปเห็นว่าฉีเยี่ยนยืนอยู่ที่ประตูห้องทำงานของเขา หล่อนแอบยื่นหน้ามามองแล้วหลบกลับไป หญิงสาวเข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที

ทุกคนมีที่ที่เหมาะสมกับเรา

ถ้าตรงนี้ขายไม่ได้ ก็แค่ไปขายที่อื่น

ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยมาขายอาหารที่นี่มาก่อน แต่ก็ยังขายดิบขายดีอยู่ทุกวัน

หญิงสาวกล่าวขอโทษลูกค้าที่กำลังรอซื้ออาหารอยู่ “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ แต่ฉันขายต่อไม่ได้แล้วค่ะ”

มือเล็กยกฝาถังบรรจุซาลาเปาและไข่ต้มมาปิด เพื่อจะออกจากบริเวณนี้

บรรดาลูกค้าที่ยืนมองอยู่จะปล่อยให้เธอไปได้อย่าง ถ้าแม่ค้าสาวคนนี้ไปแล้ว จะไปหาซื้ออาหารเช้าแสนสะดวกอย่างนี้ได้ที่ไหนอีก

ปัญญาชนเหล่านี้ให้ความสำคัญเรื่องความสะดวกสบายเป็นที่สุด

ลูกค้าหลายคนจับรถของเธอเอาไว้เพื่อห้าม “อย่าเพิ่งรีบไป”

มีลูกค้าคนหนึ่งหันไปถามหัวหน้า รปภ. ว่า “ที่บอกว่าห้ามขายของตรงนี้ ใครเป็นคนสั่งให้คุณมาดูแลเรื่องนี้”

หัวหน้า รปภ. ตอบอย่างตะกุกตะกักขึ้นว่า “เอ่อ…มีลูกบ้านแจ้งว่าไม่อยากให้มีคนแปลกหน้ามาขายของตรงนี้เพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยน่ะครับ”

หลินม่ายจึงแก้ไขความเข้าใจผิดของเขา “ฉันไม่ใช่คนแปลกหน้านะ ฉันเป็นคนรู้จักของอาจารย์ฟางจั๋วหราน”

“เห็นไหม แบบนี้ก็ไม่ใช่คนขายของแปลกหน้าแล้วนะ” ลูกค้าอีกคนพูดขึ้น

“หรือต่อให้เป็นคนขายแปลกหน้าจริง ๆ คุณก็ไม่ควรจะมาไล่เขาออกไปเพียงเพราะลูกบ้านคนเดียวไม่เห็นด้วยกับการขายของที่นี่นะ ต้องถามความเห็นของพวกเราด้วยสิ เราก็เป็นลูกบ้านของที่นี่เหมือนกัน”

หัวหน้า รปภ. ต้องเงียบไปเมื่อเริ่มถูกคาดคั้น

หลินม่ายจงใจใส่ไฟเพิ่ม “ว่าแต่ คนที่ไม่อยากให้ขายคือใครเหรอคะ”

หัวหน้า รปภ. เงียบไป

หลินม่ายชี้ไปทางที่เห็นว่าฉีเยี่ยนแอบยืนอยู่ “เป็นหล่อนเหรอคะ?”

เขาหันมองตามไปทางฉีเยี่ยนแล้วไม่ได้ตอบอะไร เป็นการยอมรับอย่างยอมจำนน

หลินม่ายกระซิบ “หล่อนรู้อยู่แล้วว่าฉันเป็นคนรู้จักของอาจารย์ฟาง แต่ถึงกับต้องไปแจ้งว่าฉันเป็นคนแปลกหน้าเชียวเหรอ”

คนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยกันตอนนี้ก็เห็นว่าเป็นฉีเยี่ยน ไม่มีอะไรจะมาใส่ความหลินม่ายได้อีก

ตอนที่อีกฝ่ายมาหาเรื่องลูกค้าหลายคนก็เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

แม้ว่าเธอจะได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าจำนวนมาก แต่หญิงสาวก็ไม่อยากจะขายที่นี่อีกต่อไป

ถ้าเธอไม่มาขายอาหารที่นี่ ลูกค้าที่อยากซื้ออาหารจากเธอก็จะไม่พอใจที่ฉีเยี่ยนเป็นต้นเหตุทำให้พวกเขาต้องลำบาก หญิงสาวอยากปล่อยให้หล่อนได้รู้รสชาติของการถูกกรรมตามสนองเสียบ้าง

แล้วเรื่องที่ฉีเยี่ยนไม่ยอมให้หลินม่ายมาขายของที่บ้านพักพนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้ก็ไปถึงหูของฟางจั๋วหรานอย่างรวดเร็ว

ฟางจั๋วหรานและฉีเยี่ยนเป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อมีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขากลับไม่แสดงความโกรธเคืองต่อหล่อน แต่เมินเฉยใส่หล่อนแทน

การกระทำนั้นทำให้ฉีเยี่ยนเศร้าใจมาก เพราะหล่อนแอบชอบเขาอยู่

นอกจากนี้หล่อนยังมีประเด็นกับลูกบ้านคนอื่น ๆ มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายจนเผลอเหม่อลอยขณะกำลังทำงานและเกือบจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างการรักษา เป็นผลให้หญิงสาวถูกส่งไปทำงานที่โรงพยาบาลสาขาแทน กลายเป็นเรื่องแย่หนักกว่าเดิม

ไม่กี่วันต่อมา ขณะที่กำลังกินอาหารกลางวัน โจวฉายอวิ๋นก็บอกกับหลินม่ายว่า ตอนนี้ไข่ที่บ้านเหลือไม่เยอะแล้ว น่าจะเพียงพอสำหรับขายได้อีกหนึ่งวัน

หลินม่ายเอ่ยขึ้นพลางตักไข่และซุปเต้าหู้ลงในชาม “เดี๋ยวหลังมื้อเย็นฉันจะไปยืมโทรศัพท์ของหมู่บ้านโทรไปหาที่ทำการกองทหารเมืองซื่อเหม่ย ให้พวกเขาช่วยฝากข้อความถึงคุณปู่ฟาง ว่าให้คุณปู่ช่วยเตรียมไข่ให้ซัก 3,000 ฟอง ส่วนวันมะรืนฉันจะทำธุระก่อนช่วงเช้า แล้วตอนสิบโมงจะขับแทรกเตอร์กลับบ้านไปขนไข่กลับมา”

เธอตักไข่และซุปเต้าหู้ขึ้นมาหนึ่งคำแล้วถามต่อว่า “นอกจากไข่แล้ว ยังมีแป้งเหลืออยู่เยอะหรือเปล่า อยากให้ฉันเอาแป้งกลับมาด้วยไหม”

โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า “ถ้าเธออยากเอามา ก็เอามาสัก 300 ชั่งก่อน”

หลินม่ายตอบตกลง

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ว้าย เถียงก็แพ้แล้ว หาเรื่องไล่เขาไปก็ยังแพ้อีก เธอกับหลินม่ายมันคนละชั้นกันจ้ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 87 ชอบเธอแบบน้องสาว

เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็ไม่อยากจะรนหาที่

เธอรีบหักเลี้ยวรถสามล้อกลับไปอีกทางแล้วตะโกนเรียกลูกค้าไปตามถนนว่า “ขายซาลาเปา ไข่ต้ม หมูสับต้นหอมลูกละ 1.5 เหมา หมูสับผักกาดดองลูกละ 1 เหมา ไข่ต้มดองซีอิ๊วฟองละ 1 เหมา”

ไม่นานนักผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็เริ่มโบกมือเรียกเพื่อซื้อซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว

หลินม่ายเติมซาลาเปาจากที่บ้านมาเพียง 100 ลูกเท่านั้น ทำให้อาหารทุกเมนูถูกขายจนหมดในเวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง แม้แต่ไข่ที่ดองไว้ก็ไม่เหลือ

หญิงสาวเริ่มถูกใจการปั่นรถขายไปตามท้องถนนแบบนี้ นอกจากจะขายหมดไวแล้วยังหนีเทศกิจได้ง่ายกว่าอีกด้วย

เธอวางแผนจะไปขายที่ท่าเรือทุกวันถึง 7 โมงครึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเล่นซ่อนแอบกับเทศกิจทุก ๆ วันอีก

เมื่อกลับมาถึงบ้าน โจวฉายอวิ๋นก็นึ่งซาลาเปาไว้รออีกร้อยลูก

หญิงสาวบอกกับหลินม่ายว่า “ไส้หมูสับขายไปหมดแล้ว ตอนกลับให้แวะที่ตลาดมืด ซื้อเนื้อขาหมูมาเพิ่มอีกหน่อย”

หลินม่ายพยักหน้ารับแล้วฝากให้เธอช่วยทำไข่ต้มดองซีอิ๊วเตรียมไว้อีก 100 ฟอง สำหรับนำไปขายในช่วงบ่าย

คราวนี้ซาลาเปานับร้อยลูกขายหมดเร็วมาก เวลาเพิ่งจะสิบโมงเช้าเท่านั้น

เช้านี้พวกเธอขายซาลาเปาได้ 400 ลูก และไข่ต้ม 200 ฟอง ทำให้มีรายได้เข้ามามากกว่า 30 หยวนเป็นอย่างต่ำ

เมื่อหลินม่ายปั่นรถสามล้อไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อมาเพิ่มอีก หญิงสาวก็กลับนึกถึงชายที่เธอเจอเมื่อตอนเช้ามืด

เขาพูดถึงพี่น้อง แต่ภายในบ้านกลับไม่ร่องรอยของคนอื่น พี่น้องของเขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่น

ถ้าพวกนั้นไม่รู้ จะมีใครเอาอาหารไปให้เขาหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอดตายอยู่ที่นั่นหรอกนะ

ยิ่งบาดเจ็บอยู่ มีแผลทั่วตัวขนาดนั้น ไม่น่าจะออกมาซื้ออะไรกินเองไหว

พอคิดได้แบบนั้นหลินม่ายก็หยิบคูปองอาหารไม่กี่อันที่มีออกมา ซื้อซาลาเปาเนื้อหลายลูกที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ของรัฐ แล้วปั่นสามล้อตรงไปที่บ้านหลังนั้น

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ห่างจากชุมชน แทบจะไม่มีใครผ่านไปมา

หญิงสาวรวบรวมความกล้าก่อนจะก้าวลงจากรถสามล้อแล้วเคาะประตูบ้าน

แต่ทุกอย่างเงียบสนิท

ไม่แน่ใจว่าเขาออกไปแล้ว อาการกำลังแย่ลง หรือว่าตั้งใจไม่ตอบเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัย

เธอขี้เกียจเกินกว่าจะมานั่งวิเคราะห์สาเหตุ จึงวางซาลาเปาที่ซื้อมาไว้ที่ข้างประตูแล้วตะโกนบอกคนด้านในว่า “ฉันเอาซาลาเปาวางไว้ที่ประตูนะ ถ้าคุณหิวก็มาเอาไปกินเลย”

ถึงเขาอาจจะอาการแย่จริง ๆ เธอก็ไม่ได้อยากจะพังประตูเขาไปช่วยเขา

หลินม่ายคิดว่าเธอคงช่วยเขาได้เพียงเท่านี้

คล้อยหลังจากหญิงสาวไปสักพัก ประตูบ้านที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออกช้า ๆ ร่างสูงของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นจากด้านในบานประตู

เขาเหลือบมองซาลาเปาบนพื้น ก้มลงหยิบห่อกระดาษหนังสือพิมพ์นั้นขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วปิดประตูลง

ชายหนุ่มเดินกลับไปนั่งลงที่โซฟา บนโต๊ะตรงข้ามกันมีไก่ย่างสีเหลืองทองที่ถูกกินไปแล้วมากกว่าครึ่งวางอยู่

แต่ในตอนนี้เขาเปลี่ยนจากไก่ย่างชิ้นนั้นมาเป็นซาลาเปาที่เพิ่งได้รับมาจากหญิงสาวแทน

หลินม่ายไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อขาหมูสำหรับทำซาลาเปา สันในหมูครึ่งชั่ง ตับหมูครึ่งชั่ง เต้าหู้สองสามชิ้นแล้วก็กลับ

มีเงินมากขึ้นก็ซื้อของกินดี ๆ ได้

มื้อเที่ยงวันนี้จึงไม่ได้มีเพียงซุปตับหมูใส่เต้าหู้แต่ยังมีหมูผัดขึ้นฉ่ายบนโต๊ะอาหารด้วย ทั้งสามร่วมโต๊ะกินอาหารด้วยกันอย่างเอร็ดอร่อย

หลังกินเสร็จหลินม่ายก็ออกไปขายของต่อ โดยบอกให้โจวฉายอวิ๋นนอนพักผ่อนสักงีบก่อนได้

ในช่วงบ่ายหญิงสาวขายซาลาเปาได้อีกหนึ่งร้อยลูก และไข่ต้มหนึ่งร้อยฟองก่อนที่จะเลิกงาน จบการขายของในวันนี้

เธอกลับบ้านไปนอนหลับพักผ่อน เพื่อที่จะตื่นแต่เช้ามาทำงานในวันถัดไป

ในวันรุ่งขึ้น หลินม่ายยังคงออกจากบ้านตอนหกโมงเช้า แต่แทนที่จะตรงไปท่าเรือเธอกลับอ้อมไปทางบ้านของผู้ชายคนนั้น

เมื่อเห็นว่าซาลาเปาที่เคยวางไว้ให้ที่หน้าประตูหายไปแล้ว เธอก็ไม่แน่ใจว่ามีสุนัขแอบมาขโมยไปหรือคนข้างในมาเอาไปกินแล้วกันแน่

คราวนี้เธอไม่ได้ส่งเสียง เพียงแค่เคาะประตูบ้านสองสามครั้ง วางซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ไว้ที่เดิมแล้วจากไป

ชายหนุ่มยังคงรอให้เธอจากไปก่อนค่อยเปิดประตู หยิบซาลาเปาและไข่ต้มบนพื้นขึ้นมา แล้วกินมันหลังจากหับประตูปิด

เขาค้นพบว่าซาลาเปาของวันนี้อร่อยกว่าของเมื่อวานมาก ๆ และไข่ต้มดองซีอิ๊วก็ส่งกลิ่นหอมฉุยจนสร้างความพอใจให้คนกิน

วันนี้เหล่าเทศกิจเข้ามาจู่โจมแบบกระทันหันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า พวกเขาขี่จักรยานตรงเข้ามาไล่พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของอยู่

ช่วงที่ผ่านมาพวกเทศกิจไม่ค่อยเข้มงวดนัก พวกเขาจะมาถึงอย่างเช้าที่สุดคือเจ็ดโมงครึ่ง

แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า พอเทศกิจมา พวกพ่อค้าแม่ค้าทั้งหมดก็กระจายตัว

หลินม่ายรีบหนีไปได้เร็วที่สุดเพราะมีรถสามล้อ และป้าที่กำลังเข็นรถเข็นหนีก็เกือบจะถูกจับได้

จนกระทั่งถึงเวลาที่ฟางจั๋วหรานจะมาซื้ออาหารแล้วเหล่าเทศกิจก็ยังคงเดินไปเดินมารอบ ๆ ท่าเรือไม่ยอมไปไหน

เธอคงจะไปจอดรอเจอเขาที่ท่าเรือไม่ได้แล้ว

หญิงสาวจึงเปลี่ยนไปจอดรถสามล้อดักรอเขาตรงทางเดินแทนและได้พบฟางจั๋วหรานกำลังเดินมาทางนี้อย่างที่ตั้งใจไว้

ชายหนุ่มพูดคุยและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงานหลายคนที่เดินมาด้วยกัน

หลินม่ายรู้สึกอายเล็กน้อย ไม่กล้าทักทายเขาเพราะกลัวว่าจะทำให้เขาต้องเสียหน้า

ฟางจั๋วหรานก็เห็นเธอเช่นกัน เขาตรงเข้ามาทักทายเธอแบบไม่ถือตัว “ทำไมวันนี้ไม่ไปขายที่ท่าเรือแต่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

เมื่อเห็นว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย เธอจึงไม่กล้าบอกตามตรงว่ามารอขายซาลาเปาให้เขา เพราะกลัวว่าจะถูกเข้าใจผิดได้

“ฉันหลบเทศกิจมา ก็เลยมาจอดอยู่ตรงนี้” หญิงสาวตอบด้วยรอยยิ้ม

“ขอซาลาเปาไส้ผักกาดดองสองลูกกับไข่ต้มหนึ่งฟอง” ฟางจั๋วหรานยิ้มตอบแล้วเริ่มสั่งอาหาร

จากนั้นก็เริ่มแนะนำเมนูของร้านให้กับเพื่อน ๆ หลายคนที่เดินมาด้วยกัน “ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วของเสี่ยวหลินอร่อยมากเลยนะ อยากลองกันไหม”

เพื่อน ๆ ของเขาสั่งอาหารและจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย

มีเพียงหญิงสาวที่ทำงานอยู่ชั้นเดียวกันกับเขาเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วย พร้อมกับพูดจาค่อนแคะเธอขึ้นมา “ฉันเกลียดซาลาเปานึ่งกับไข่ดองที่สุดเลย”

“ของโปรดผมเลยนะ” ฟางจั๋วหรานแย้งขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“ฉันก็ชอบกินเหมือนกัน” เพื่อนร่วมงานหลายคนเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย

ทำเอาคนเริ่มประเด็นอย่างเพื่อนผู้หญิงคนนั้นหน้าเสียเล็กน้อย

ฟางจั๋วหรานชี้ไปทางด้านหลังแล้วหันมาพูดกับหลินม่ายอย่างอ่อนโยน “เดินต่อไปทางนั้นประมาณ 100 เมตร จะเป็นบ้านพักของพนักงานโรงพยาบาลผู่จี้ ถ้าปั่นไปขายซาลาเปาตรงนั้นต้องมีลูกค้ามาซื้อเยอะแน่”

พนักงานของโรงพยาบาลผู่จี้ เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้สูง ซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วของหลินม่ายก็รสชาติดีมาก ถ้าขายได้ต้องเป็นแหล่งทำเงินที่ดีแน่นอน

หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วปั่นสามล้อไปตามทางที่เขาบอกเพื่อไปที่บริเวณหน้าที่พักของพนักงานโรงพยาบาล

หลังจากที่หลินม่ายจากไปแล้ว หญิงสาวเพื่อนร่วมงานของฟางจั๋วหลานก็เริ่มถามเขา “ทำไมคุณถึงได้ไปรู้จักกับพวกแม่ค้าข้างทางได้ล่ะ”

“พูดแบบนี้หมายความยังไง” แม้ว่าชายหนุ่มจะถามคำถามไปอย่างนิ่ง ๆ แต่ก็เห็นชัดว่าเขาไม่ชอบใจนัก

“คุณเองก็เป็นคนมีการศึกษา แค่เรื่องง่าย ๆ ที่ว่าไม่มีอาชีพไหนสูงส่งกว่าหรือต่ำต้อยกว่ากัน ก็ยังไม่เข้าใจงั้นเหรอ แม่ค้าข้างทางแล้วไม่ดียังไง มีนักศึกษาของเราหลายคนที่มาจากครอบครัวด้อยโอกาส พ่อแม่ของพวกเขาก็เป็นคนใช้แรงงาน คุณดูถูกนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ที่เลี้ยงดูพวกเขาจนมีความสามารถขนาดนี้ด้วยหรือเปล่า”

เพื่อนร่วมงานสาวที่ทั้งหน้าตาและการศึกษาดีอย่างฉีเยี่ยนเอ่ยตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันแค่ถามเล่น ๆ น่า ไม่คิดว่าคุณจะจริงจังขึ้นมา”

จากนั้นก็รีบเปลี่ยนประเด็นอย่างชาญฉลาด “คุณปกป้องผู้หญิงคนนั้นขนาดนี้นี่ บอกมาตามตรงเลยนะ แอบชอบหล่อนอยู่หรือเปล่า”

เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ที่ตอนแรกกำลังสนใจประเด็นที่ว่าฉีเยี่ยนพูดจาดูถูกคนอื่นก็หันเหไปที่ประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายไปแทน

ฟางจั๋วหรานตอบคำถามนั้นด้วยท่าทีสุภาพ “เธอเป็นน้องสาวฝั่งย่าของผม เป็นคนที่ขยันทำงานแล้วก็เข้มแข็งมาก ผมชอบเธอมากแต่มันก็แค่ในแบบพี่ชายน้องสาว อย่าเข้าใจผิดไป”

ฉีเยี่ยนลอบถอนหายใจกับตัวเอง โชคดีไปที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว

หลินม่ายที่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนั่นก็ได้แต่ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก

เธอประทับใจในตัวฟางจั๋วหราน เพราะเขามักจะคอยช่วยเหลือเธออย่างดีเสมอ

คงไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนั้น

เขาและเธอค่อนข้างจะต่างกันมาก คนหนึ่งเป็นปัญญาชน ชนชั้นสูง อีกคนเป็นแค่แม่ค้าข้างทางที่ต้องคอยหลบเทศกิจ แค่ได้เป็นเพื่อนกันก็ดีมากแล้ว

มันคงจะเกินตัวไปถ้าจะคิดมากกว่านั้นกับเขา

ตอนแรกหญิงสาววางแผนที่จะเอาเงินค่ารถสามล้อให้เขาในวันนี้ แต่เพราะมีเพื่อนของเขาอยู่ด้วยเธอเลยยังไม่กล้าให้

ถ้าอย่างนั้น…พรุ่งนี้ค่อยให้ก็ได้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่าบอกนะว่าเธอก็ชอบพี่หมออยู่เหมือนกันน่ะฉีเยี่ยน

ถึงบอกไปว่าน้องสาว แต่ในใจคงไม่คิดว่าม่ายจื่อเป็นแค่น้องสาวสินะคะพี่หมอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 86 พันแผล

ชายหนุ่มทำความสะอาดบาดแผลที่อยู่บนลำตัวด้านหน้า ใส่ยาให้ตัวเองเรียบร้อย หลังจากนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นมาพิงท่อนบนลงกับตัวของหลินม่าย ทำให้เธอไม่อาจลุกหนีไปไหนได้

หลินม่ายชะงักไปแล้วเอ่ยถามด้วยความหวาดระแวง “คุณจะทำอะไรน่ะ?”

คนเจ็บขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น “ทำแผลที่หลังให้ที”

หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็เสริมขึ้นอีกว่า “ก็ฉันทำเองไม่ได้”

ก็ต้องเป็นอย่างนั้นแน่อยู่แล้ว ถ้าทำเองได้ก็คงไม่ไปพาตัวเธอมาถึงที่นี่

หลินม่ายมองไปที่ชายหนุ่มอย่างเงียบ ๆ แค่ทำแผลจำเป็นต้องใกล้กันขนาดนี้เลยหรือ?

เธอค่อย ๆ บรรจงทำแผลให้เขาไปทีละขั้นตอน ตั้งแต่ล้างแผลที่น่ากลัวพวกนั้นด้วยแอลกอฮอล์จุ่มก้านสำลี

การลงน้ำหนักอย่างเบามือนั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังรู้สึกเพลินจนทำให้สามารถหลับตาลงได้อย่างสบายใจ

การล้างแผลผ่านพ้นไป มือเรียวของหญิงสาวค่อย ๆ ใช้สำลีทายาอวิ๋นหนานไป๋ลงบนแผล

“ทำแผลแค่นี้มันได้จริง ๆ ใช่ไหม ต้องไปหาหมอหรือเปล่า” หลินม่ายถามด้วยความกังวล

แต่กลับได้เสียงหัวเราะพร้อมคำตอบกวนประสาทกลับมาแทน “บอกว่าไม่ได้หลงเสน่ห์ แต่ทำไมถึงได้ดูห่วงใยกันขนาดนี้ล่ะ”

ทำเอาหลินม่ายนึกอยากกัดลิ้นตัวเองที่ถามอะไรแบบนั้นไป

หญิงสาวหยิบผ้าพันแผลขึ้นมาแล้วเริ่มใช้มันพันที่ลำตัวของเขา ค่อย ๆ เลื่อนมือจากซ้ายไปขวาสลับไปมาจนมันปิดแผลทั้งด้านหน้าและหลังไปพร้อม ๆ กัน ใช้เวลาครู่หนึ่งก็เรียบร้อยดี

เธอเผลอปรบมือขึ้นหนึ่งครั้งอย่างยินดีเมื่อทำแผลเสร็จ “เรียบร้อย!”

ชายหนุ่มมองไปบนลำตัวของตนเองที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผลหนาแน่นราวกับดักแด้ ที่ปลายของมันผูกเป็นโบว์รวมกันไว้บริเวณกลางลำตัว เส้นเลือดที่ขมับของเขาปูดขึ้นมาทันทีด้วยแรงอารมณ์

ชายหนุ่มใช้เวลาสักพักในการหยุดความอยากเข้าไปขยี้หลินม่ายของตัวเอง ก่อนจะโบกมือไล่หญิงสาวกลับไป “กลับไปได้แล้ว เธอรู้นี่ว่าต้องออกไปทางไหน”

หญิงสาวรีบพยักหน้ารัว “ได้เลย ฉันจะไม่บอกใครเรื่องนี้”

ชายหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างเหนื่อยหน่าย

ระหว่างที่กำลังหมุนตัวกลับออกไปที่ประตู หญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเขาต่อ “นี่คุณเชื่อใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ”

แต่ได้รับคำตอบเป็นการยิ้มเยาะมาแทน “ฉันไม่ได้เชื่อใจเธอ ฉันเชื่อใจพี่น้องฉันต่างหาก เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

“ขะ…เข้าใจแล้ว”

ถ้าปริปากบอกคนอื่น พรรคพวกของเขาจะตามมาฆ่าเธอ!

หลินม่ายรีบเปิดประตูแล้ววิ่งหนีออกมาโดยไม่ลืมที่จะหยิบเนื้อที่ซื้อไว้มาด้วย

หญิงสาวกลับมาถึงบ้านช้ากว่าเวลาปกติถึงหนึ่งชั่วโมง

โจวฉายอวิ๋นร้อนใจจนออกมารอหลินม่ายที่หน้าบ้าน

หลังจากที่ได้เห็นร่างของคนเป็นน้องตรงเข้ามาก็โล่งอกไปได้มากขึ้น

คนอายุมากกว่ารีบตรงเข้ามาช่วยถือเนื้อที่ซื้อมาเข้าไปในบ้านและเอ่ยถามขึ้น “ทำไมออกไปซื้อเนื้อนานจัง”

หลินม่ายที่ไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นกังวลจึงไม่ได้บอกความจริงออกไป “เจ้าของร้านมาสายก็เลยต้องยืนรอนานเลย”

โจวฉายอวิ๋นไม่ได้สงสัยอะไรต่อ

แม่ครัวทั้งสองช่วยกันหั่นเนื้อหมูสำหรับทำไส้ซาลาเปาโดยที่หลินม่ายทำหน้าที่ปรุงส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน หลังจากได้ไส้แล้วก็นำมาช่วยกันห่อลงในแป้งซาลาเปาแล้วเอาเข้าไปนึ่งจนสุก

นอกจากจะได้คนช่วยทำงานแล้วเธอยังได้คู่หูที่รู้ใจกันดีมาในเวลาเดียวกัน

แม้ว่าวันนี้ทุกอย่างจะล่าช้าไปหมดเพราะเหตุไม่คาดฝัน แต่เมื่อออกไปขายอาหารตอนหกโมงเช้าทั้งสองก็ขายซาลาเปาได้ถึง 200 ลูก กับไข่ต้มดองซีอิ๊วอีก 100 ฟอง

ในสองร้อยลูกเป็นไส้หมูสับผสมต้นหอมซอยกับไส้หมูสับผสมผักกาดดองอย่างละร้อยลูก

หลินม่ายเรียงอาหารทั้งสามชนิดลงในถังไม้ขนาดใหญ่ที่มีฝาปิดสำหรับใส่อาหารโดยเฉพาะ ยกทั้งหมดขึ้นมาตั้งบนรถเข็นด้วยความช่วยเหลือจากโจวฉายอวิ๋นก่อนออกเดินทางไปขายของ

ส่วนโจวฉายอวิ๋นก็เตรียมทำซาลาเปาอยู่ที่บ้านต่อ

ที่ท่าเรือวันนี้ไม่ได้มีคนออกมาขายของกินมากนัก

แม้ว่าจะมีร้านขายซาลาเปาสองเจ้า แต่เรื่องรสชาติก็ยังถือว่าห่างไกลจากซาลาเปาของหลินม่ายอีกไกล ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ขึ้นมากจากเรือข้ามฟากจึงเลือกซื้ออาหารจากหลินม่าย

หญิงสาวเน้นแนะนำสินค้าใหม่ที่เป็นซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดอง

แม้ว่าซาลาเปาไส้ใหม่นี้จะใช้หมูเหมือนกัน แต่ก็มีสัดส่วนของเนื้อสัตว์ที่น้อยกว่าทำให้มีราคาย่อมเยา 1 ลูกเพียง 1 เหมาเท่านั้น

ใคร ๆ ก็ชอบของอร่อยในราคาประหยัด ซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดองได้รับความนิยมมาก มีลูกค้าเข้ามารุมล้อมเพื่อรอซื้อ

ทุกคนต่างยื่นเงินให้แม่ค้าสาว เพราะกลัวว่าจะซื้อไม่ทัน

เรือข้ามฟากเข้าเทียบท่าเพียงสองครั้ง หลินม่ายก็ขายซาลาเปาไส้หมูสับผสมผักกาดดองไปได้มากกว่าครึ่ง และเมนูอื่น ๆ ก็ขายดีกว่าปกติไม่ต่างกัน

ยอดขายดีจนแม่ค้าอย่างเธอรู้สึกเบิกบาน

หลังจากที่ลูกค้าเริ่มลดลงหลินม่ายก็พบว่าฟางจั๋วหรานมายืนรอเธออยู่ ด้านหลังของเขามีรถสามล้อสภาพดีมากจอดไว้

เธอเห็นแบบนั้นจึงหยิบซาลาเปาไส้หมูสับผสมต้นหอมชิ้นใหญ่ ๆ สามชิ้นออกมาพร้อมกับไข่ต้มดองซีอิ๊วสองฟองในถังแล้วนำไปส่งให้ชายหนุ่ม

“นี่คุณปั่นสามล้อไปทำงานงั้นเหรอ” หลินม่ายเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

ฟางจั๋วหรานรับไปเพียงไข่ต้มดองซีอิ๊วหนึ่งฟอง “มีไส้หมูสับผสมผักกาดดองไม่ใช่เหรอ ขอเปลี่ยนเป็นอันนั้นดีกว่า”

หลินม่ายรีบเปลี่ยนให้ตามคำขอ

ฟางจั๋วหรานรับอาหารเมนูใหม่มากัดไปหนึ่งคำอย่างช้า ๆ “อื้ม อร่อยจัง!”

แล้วก็เริ่มตอบคำถามที่เธอถามค้างไว้เมื่อครู่ “ผมไม่ได้ปั่นสามล้อไปทำงาน แต่ซื้อมาให้คุณต่างหาก ใช้สามล้อขายของสบายกว่ารถเข็นแบบนี้เยอะ”

ที่สำคัญก็คือการปั่นสามล้อจะช่วยให้สามารถหนีจากเทศกิจได้เร็วขึ้นเวลาถูกไล่จับ

ทุกครั้งที่เขาเห็นเธอต้องเข็นรถเข็นหนี ชายหนุ่มรู้สึกว่ามันลำบากมาก

“ฉันก็คิดว่าจะซื้อรถสามล้อมานานแล้ว แต่ไม่ค่อยเห็นว่ามีขายในตลาดมืดเลย”

หญิงสาวเดินสำรวจรถไปรอบคัน “คันนี้ราคาเท่าไร พรุ่งนี้จะเอาเงินมาจ่ายให้”

ฟางจั๋วหรานปลอกไข่ต้มไปพร้อมกับบอกเธอว่า “ผมซื้อมาให้คุณ”

หลินม่ายรีบปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “ไม่เอา ฉันไม่ได้อยากของแพงขนาดนี้ฟรี ๆ หรอกนะ”

รถสามล้อคันเดียวเรียกว่าของแพงได้งั้นเหรอ?

ฟางจั๋วหรานไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องคิดเงินกับเธอ “งั้นพรุ่งนี้จ่ายผมมา 80 หยวน”

หลินม่ายจ้องหน้าเขาด้วยความฉงน “รถดี ๆ แบบนี้มาขาย 80 หยวน คิดว่าฉันไม่รู้หรือไง”

รถแบบนี้มักจะขายได้ราคาอย่างน้อย ๆ ก็ 120 หยวน ในตลาดมืด

ฟางจั๋วหรานอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “รถคันนี้เป็นรถของโรงอาหารมหาวิทยาลัย เขาไม่ได้ใช้ก็เลยซื้อมาได้ราคานี้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามที่นั่นดูก็ได้”

หลังจากคิดอยู่ซักพักเขาก็เริ่มเล่าต่อ “โรงพยาบาลผู่จี้เป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่มีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องขายรถสามล้อเอากำไรอะไรหรอก ถ้าอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอยากจะซื้อรถสามล้อที่ไม่มีคนใช้ เขาก็ไม่คิดราคาแพงอะไร แค่เก็บเงินพอเป็นพิธีไปเท่านั้นแหละ”

ความจริงแล้วเขาให้คนรู้จักช่วยหารถสามล้อคันนี้มาให้ ราคาจริง ๆ ที่จ่ายไปก็มากกว่าร้อยหยวน แต่ไม่ได้บอกความจริงกับเธอ

คำอธิบายของเขามีน้ำหนักแต่ก็ยังมีบางอย่างที่เธอยังติดใจอยู่ ซึ่งหลินม่ายจะพยายามหาโอกาสเค้นความจริงจากเขาในครั้งหน้า

ตอนนี้มีรถสามล้อเพิ่มมาอีกคัน หลินม่ายวางแผนจะเอาอุปกรณ์และซาลาเปาทั้งหมดใส่รถสามล้อแล้วเอารถเข็นคนเก่ากลับไปเก็บที่บ้าน ซึ่งต้องรบกวนให้ฟางจั๋วหรานช่วยเฝ้าร้านใหม่ให้เธอก่อน

ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู พบว่าตอนนี้ยังเช้าอยู่จึงพยักหน้ารับคำขอนั้นอย่างเต็มใจ

หลินม่ายรีบเข็นรถกลับไปที่บ้าน โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็เกิดความสงสัยว่าทำไมถึงเอารถเข็นกลับมาก่อน แต่หญิงสาวยังไม่มีเวลาตอบคำถามเหล่านั้น

เธอต้องรีบกลับไปเปลี่ยนมือกับฟางจั๋วหรานเพื่อให้เขากลับไปทำงาน

เวลาของอาจารย์หนุ่มจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ชื่อดังเป็นเงินเป็นทอง ไม่ควรมาเสียไปกับการเฝ้าร้านแผงลอยของเธอ

หญิงสาวมองเห็นฟางจั๋วหรานกำลังช่วยเธอขายของกินจากระยะไกล ลูกค้ามากมายกำลังต่อคิวซื้ออาหารจากเขา และเกือบทั้งหมดเป็นสาว ๆ

ในเวลาเพียง 20 นาทีผู้ช่วยกิตติมศักดิ์สุดหล่อช่วยเธอขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วไปเป็นจำนวนมาก

ฟางจั๋วหรานจ่ายเงินค่าอาหารเช้าของเขาให้เธอแล้วขอตัวกลับ

ตอนนี้เหลือซาลาเปาเพียง 10-20 ลูก หลินม่ายจึงกลับไปที่บ้านเพื่อเติมของและตอบคำถามที่ค้างโจวฉายอวิ๋นเอาไว้เมื่อครู่

เธอเล่าให้คนเป็นพี่ฟังว่าฟางจั๋วหราน หลานชายคนโตของคุณปู่ฟางเป็นคนช่วยหารถสามล้อมาให้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงนำรถเข็นคันเก่ากลับมาเก็บ

โจวฉายอวิ๋นบรรจงเรียงซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งใหม่ ๆ ลงไปในถังไม้แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้ามีสามล้อแล้วแบบนี้ รถเข็นที่ไม่ได้ใช้แล้วก็น่าจะเอาไปขายนะ”

หลินม่ายก็คิดแบบเดียวกัน จะจอดรถเข็นนี่ไว้เฉย ๆ ก็คงเปลืองพื้นที่ เธอจะไปลองถามคนในหมู่บ้านว่ามีใครอยากซื้อมันไปไหมเพื่อจะได้ขายมันให้กับคนที่อยากได้

หลินม่ายเติมอาหารลงไปในถังทั้งสองจนเต็ม แล้วถีบสามล้อกลับออกมา

แต่ยังไม่ทันถึงท่าเรือดีก็พบว่ามีเทศกิจหลายคนเดินไปมารอบ ๆ บริเวณนั้น พ่อค้าแม่ค้าที่เคยขายของอยู่ตอนแรกก็หนีหายกันไปหมดแล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกันนะ เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าคะ อยู่ๆ จี้ตัวม่ายจื่อไปทำแผลให้ตัวเองเฉย

พี่หมอสายเปย์มากค่ะ ทั้งหล่อ รวย นิสัยดี เชียร์ให้ได้เป็นพระเอกนะคะ

ไหหม่า(海馬)

และน่ากลัว

ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ถึงต้น 1980 เป็นช่วงที่กฎหมายอ่อนแอมาก บ้านเมืองวุ่นวายไม่มีความปลอดภัย จนกระทั่งได้มีการปราบปรามอาชญากรรมอย่างรุนแรงและปรับเปลี่ยนกฎหมายเป็นเวลาสามปี ปลายทศวรรษ 1980 ทุกอย่างถึงได้เริ่มสงบเรียบร้อยมากขึ้น

แต่เพื่อหาเลี้ยงชีพ หญิงสาวไม่ได้มีทางเลือกมากนักนอกจากต่อสู้กับความกลัวแล้วออกไปจ่ายตลาด

เพื่อให้รู้สึกปลอดภัย หลินม่ายเตรียมซื้อกริชไว้เล่มหนึ่งจากตลาดมืดติดไว้เผื่อใช้ป้องกันตัว

ซึ่งอันที่จริงกริชนั่นทำหน้าที่เพียงช่วยสร้างความอุ่นใจเท่านั้น ถ้าหากเธอต้องเผชิญหน้ากับคนร้ายเข้าจริง ๆ อาวุธเล็กน้อยนั่นก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรได้มาก

ทุกอย่างเงียบงันทั้งระหว่างทางขาไปและขากลับจากตลาด บรรยากาศรอบกายเงียบสนิท อยู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่อยู่ด้านหลัง

หลินม่ายพยายามระวังที่สุด และเตรียมตัวที่จะหันหลังกลับ แต่ก็ไม่ทันการณ์เพราะถูกโลหะเย็นเฉียบจ่ออยู่ที่คอเข้าให้แล้ว

เสียงกระซิบของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา “ถ้าไม่อยากตาย อย่าขัดขืน ทำตามที่ฉันสั่ง”

“อย่าทำอะไรฉันเลย จะเอาอะไรก็บอกมา”

หญิงสาวแสร้งทำเป็นกลัว และในขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมมือไปล้วงหยิบกริชในกระเป๋าถือ เสียงของผู้ชายคนนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นเยียบ “นี่เธอคิดจะเล่นตุกติกอะไรกับฉันงั้นเหรอ”

หลินม่ายเปลี่ยนความคิดที่จะต่อสู้อีกฝ่ายด้วยอาวุธที่เธอมีในทันที

ผู้ชายคนนี้ฉลาดเกินไป คงเป็นการดีกว่าถ้าจะค่อย ๆ รับมืออย่างใจเย็น

“พาฉันไปที่บ้านเธอ” ชายคนนั้นออกคำสั่ง

หญิงสาวเงียบไปซักพักแล้วเริ่มถามออกไป “แน่ใจเหรอว่าจะไปบ้านของฉัน”

ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นไปบ้านฉันแทน”

หลินม่ายยอมเสี่ยงไปที่บ้านของเขาดีกว่าจะพาโจรคนนี้กลับไปที่บ้านของเธอ

เธออาจจะต้องเสี่ยงมากกว่าเดิมถ้ายอมไปกับเขา แต่ถ้าหากพาเขาไปที่บ้านทั้งโจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วจะพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย

คนร้ายประเภทที่หยิบมีดขึ้นมาจ่อคอใครก็ได้แบบนี้อาจจะฆ่าคนเพื่อปิดปากเรื่องที่อยู่ของมันได้อย่างไม่ยากเลย

แม้ว่าชายคนนี้จะกำลังใช้มีดจี้คอเธออยู่ แต่เขากลับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงที่ตัวเธอซึ่งนั้นทำให้เธอเดินไปข้างหน้าได้ยากลำบาก

ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานหญิงสาวก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาที่เธอแบบนั้น

มีกลิ่นเลือดจาง ๆ ลอยอยู่ในอากาศ แสดงว่าชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บอยู่

หลินม่ายพยายามหาโอกาสที่จะหลบหนีด้วยการกระแทกข้อศอกเข้าที่ท้องของเขา

แต่ราวกับว่าคนร้ายสามารถอ่านใจเธอได้ เขาผลักเธออย่างแรงพร้อมขึ้นเสียงใส่ “อย่ารนหาที่ตายดีกว่าน่า!”

หลินม่ายไม่กล้าตุกติกอีกเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเอง

หลังจากเดินมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เขาก็พาเธอมาถึงบ้านพักหลังหนึ่ง

ชายคนนั้นหยิบพวงกุญแจออกมาจากตัวแล้วอาศัยแสงจันทร์ช่วงเช้ามืดในการเลือกหาดอกที่ถูกต้อง

เสียบลูกกุญแจเข้าไปในแม่กุญแจ จัดการเปิดประตูออกแล้วผลักหลินม่ายเข้าไปด้วยมือเพียงข้างเดียว

หลินม่ายกระเด็นไปทรุดตัวลงที่หน้าโต๊ะเครื่องเซ่นในห้องนั่งเล่น และได้สบตากับภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่โต๊ะนั่น

แม้เธอจะไม่ใช่เด็กสาวขี้กลัวไร้เดียงสา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความรู้สึกขนลุกเกิดขึ้นมาวูบหนึ่ง

โจรนั่นยิ้มอย่างไร้สำนึกอยู่ที่ด้านหลังของเธอ “ทำความเคารพแม่ฉันทันทีที่เข้ามาแบบนี้ อยากจะลองเป็นลูกสะใภ้ท่านดูไหมล่ะ”

หลินม่ายไม่ได้โต้ตอบ ไม่ใช่แค่เพราะกลัวว่าจะถูกทำร้ายด้วยความโกรธแต่ยังเป็นเพราะกลิ่นเหม็นอับบางอย่างที่คลุ้งอยู่ในอากาศด้วย

เจ้าของบ้านปิดประตูแล้วพยักพเยิดไปทางซ้ายของเขา “ไปที่ห้องนั้นแล้วเอากล่องพยาบาลมาทำแผล”

หญิงสาววางเนื้อในมือลงแล้วมองหาเชือกสำหรับเปิดไฟท่ามกลางแสงสลัวของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามาจากทางหน้าต่าง

ทันทีที่เธอดึงเชือกเพื่อเปิดไฟ ก็ถูกแรงกระชากจากเจ้าโจรนั่นอย่างแรง

หลินม่ายส่งสายตาแห่งความสงสัยไปให้เขา

เขาจ้องเธอกลับด้วยดวงตาวาวโรจน์กลับมาภายใต้แสงจันทร์ “เธออยากให้ชาวบ้านเห็นกันหมดหรือไง”

หลินม่ายแสดงอาการตื่นตระหนกออกไปในตอนนั้น “ก็แล้วฉันจะหากล่องยาแบบมืด ๆ ได้ยังไง”

“นั่นมันก็เป็นเรื่องของเธอ ห้ามเปิดไฟ!” สิ้นคำสั่งนั้นเจ้าของบ้านก็ทรุดตัวลงที่โซฟาอย่างอ่อนแรง

หญิงสาวจึงหยิบเทียนจากแท่นบูชาออกมาแทน ไม่เปิดไฟตามคำสั่งแต่จุดเทียนสองเล่มให้กับเขา

ในตอนนั้นเองที่เธอได้โอกาสเห็นหน้าโจรอย่างชัดเจน เครื่องหน้าของเขาราวกับรูปสลัก แม้ว่าใบหน้าและริมฝีปากนั้นอาจซีดเผือดเพราะเสียเลือดไปบ้างแต่ก็ยังมองออกว่าเป็นผู้ชายที่หน้าตาดีมาก

ชายบนโซฟาหรี่ตามองหญิงสาวแล้วแค่นหัวเราะออกมา “เธอคือยัยพริกขี้หนูนี่เอง ไม่น่าทำไมถึงได้วางแผนตุกติกตลอดทาง แถมเกือบจะฆ่าฉันแล้ว”

หลินม่ายเริ่มรู้สึกคุ้นตากับผู้ชายคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ยังจำไม่ได้ว่าเคยเจอเขาที่ไหน

เธอรีบเถียงกลับเพื่อแก้ต่างคำพูดนั้นของเขา “คุณต่างหากที่จะฆ่าฉัน แล้วฉันก็ไม่ใช่พริกขี้หนูด้วย”

ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นอีกครั้งก่อนจะเอ่ยออกมา “ก็ดูจากที่เธอหาเรื่องพนักงานตอนซื้อแจ็กเก็ตที่ห้างเจียงเฉิงจะไม่ให้เรียกยัยพริกขี้หนูได้ยังไง”

ประโยคนั้นทำให้เธอนึกออกในที่สุด ว่าเคยเจอเขาที่ห้างเจียงเฉิงมาก่อน

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทางคุกคามเท่าในตอนแรก เธอจึงเริ่มผ่อนคลายลงแล้วสาวเท้าเข้าไปในห้องพร้อมกับเทียนหนึ่งเล่ม

ผู้ชายคนนั้นดูอย่างกับพวกอันธพาล

หลินม่ายคิดว่าห้องของอันธพาลน่าจะต้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความบ้าคลั่งโหดร้าย แต่ไม่คาดว่าห้องนั้นจะเป็นเพียงห้องธรรมดาที่ไม่ได้ต่างจากห้องของเด็กผู้ชายทั่วไปมากเท่าไร และยังมีการตกแต่ง ข้าวของต่าง ๆ ที่แฝงความเป็นเด็กหนุ่มอ่อนวัยเอาไว้

ภายในห้องมีเครื่องดนตรีหลายชนิด ฮาโมนิก้า กีตาร์ และซอเอ้อร์หู

ตามฝาผนังยังเต็มไปด้วยโปสเตอร์ภาพของดาราฮ่องกงและไต้หวันแปะอยู่ ทำให้รู้สึกว่าเจ้าของห้องนี้เป็นคนที่สนุกสนานกับการใช้ชีวิตแค่ไหน ซึ่งนั่นดูจะขัดกับผู้ชายที่นอนเจ็บอยู่บนโซฟาข้างนอกนั่นไปโข

หลินม่ายที่ตกอยู่ในความสับสนถูกเรียกให้กลับมาด้วยเสียงตะโกนอย่างเหลืออดจากห้องนั่งเล่น “มัวทำอะไรอยู่เล่า บอกให้เอากล่องยามา!”

หลินม่ายที่เมื่อครู่รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาเล็กน้อยที่ชายหน้าตาหล่อเหลาคนนี้อาจจะเลือกเดินทางผิด แต่พอได้ยินน้ำเสียงที่บังคับให้เธอไปเป็นคนรับใช้ให้แบบนั้นก็รีบหยุดความสงสารนั้นไปทันที

คนอันธพาลแบบนี้มันก็สมควรโดนแทงแล้ว

หลินม่ายหากล่องยาจนเจอก็รีบเอาออกมา เธอพบว่าท่อนบนของอีกฝ่ายเปลือยเปล่า เขาถอดเสื้อออกเพื่อรอให้เธอไปทำแผลให้

ร่างกายของชายหนุ่มเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลทั้งใหญ่และเล็กมากมายที่ทำเอาเธอรู้สึกชาวาบ

มีแผลสดที่ดูน่ากลัวยาวจากไหล่ถึงเอว ลึกไปถึงกระดูก เลือดยังคงไหลซึมออกมาตามจังหวะการหายใจของคนเจ็บ

แผลนั่นทำเอาเธอก้าวขาแทบไม่ออกไปชั่วขณะ

ชายบนโซฟาหลับตารอเธอซักพัก เมื่อไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของหลินม่ายเขาจึงลืมตาขึ้นอีกครั้งแล้วมองตรงมาที่เธอ

ก่อนจะเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทำไม หลงเสน่ห์จนพูดไม่ออกเลยหรือไง บ้าผู้ชายเหมือนกันนี่”

หลินม่ายรีบโพล่งออกไปด้วยความโมโห “คุณเห็นตรงไหนที่ฉันแสดงออกว่าสนใจคุณงั้นเหรอ จะหลงตัวเองก็ให้มีขอบเขตซะบ้างเถอะ”

แม้เขาจะหน้าตาหล่อเหลา แต่จะไปสู้ฟางจั๋วหรานได้อย่างไร

ถ้าจะต้องเลือกซักคน สำหรับเธอแล้วอย่างไรก็ต้องเป็นฟางจั๋วหราน ใครจะไปเลือกโจรที่เดินออกมาจี้คนอื่นในยามวิกาลแบบหมอนี่

ชายหนุ่มยิ้มร้ายและเอ่ยต่อ “ฉันว่าใช่ก็ใช่สิ”

อยู่ดี ๆ เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมา ชายหนุ่มค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง หยิบกล่องพยาบาลจากหลินม่ายมาเปิดออก ใช้แอลกอฮอล์และสำลีก้านมาทำความสะอาดบาดแผลที่อยู่บนลำตัวด้านหน้า

รอยแผลด้านหน้าไม่ได้เล็กน้อยเลย มีรอยมีดหลายจุดที่ยังคงมีเลือดไหลออกมา

กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งไปทั่วห้อง

พอนึกถึงความเจ็บปวดเมื่อบาดแผลสดสัมผัสกับแอลกอฮอล์ หลินม่ายก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ็บหรือเปล่า”

“เจ็บสิ” ถึงแม้ว่าเขาจะตอบแบบนั้นแต่สีหน้ากลับไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา

เขาสบตาเธอแล้วพูดขึ้นมาอย่างทีเล่นทีจริง “แต่ถ้าอยากให้หายเจ็บก็คงได้ต้องพึ่งจูบของเธอ”

หญิงสาวได้ฟังก็กลอกตาแล้วปิดปากเงียบทันที เธอไม่อยากจะเสียเวลามาสนใจถามอะไรเขาอีกแม้เพียงครึ่งคำ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เฮือก ใจหายเลยม่ายจื่อเอ๊ย ดีที่ไอ้โจรนี่มันไม่ได้ทำอะไรเธอ เป็นคนอื่นเธอไม่รอดแน่

นั่นแน่ มีใจให้พี่หมอแล้วล่ะสิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 84 อันตรายจากโจรล้วงกระเป๋า

ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเถาแดงก่ำ หล่อนจ้องมองคุณย่าฟางด้วยสายตาแค้นเคือง ก่อนจะอ้าปากเตรียมเปิดประเด็นสนทนากับหลินม่าย

แต่หลินม่ายเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ทำไมมองคุณย่าฟางแบบนั้น ที่ท่านพูดก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันยังเป็นพี่สะใภ้ของเธออยู่หรือไง?”

เมื่อถูกยิงคำถามติดต่อกันถึงสามเรื่อง อู๋เสี่ยวเถาก็พูดไม่ออก จึงเปลี่ยนมาเป็นการทำตัวน่าสงสาร ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแล้วร้องขอความเห็นใจขึ้นมา “ฉันเปล่าทำแบบนั้นนะคะ”

ท่าทางแบบนั้นทำเอาหลินม่ายต้องกลอกตาใส่ด้วยความรู้สึกรังเกียจจนคลื่นไส้ “ใครเชื่อก็บ้าแล้ว”

“ม่ายจื่อ เรามาคุยกันแบบดี ๆ ซักหน่อยไม่ได้เหรอ” อู๋เสี่ยวเถาเริ่มเข้าประเด็นอีกครั้ง แต่ก็ปิดความไม่พอใจของตัวเองเอาไว้ไม่มิด

“แล้วเราสองคนมีความสัมพันธ์แบบที่ต้องคุยกันดี ๆ หรือไง?” หลินม่ายถามกลับ

อู๋เสี่ยวเถาเริ่มใช้น้ำตาเข้าช่วย “ฉันรู้ว่าพ่อแม่แล้วก็พี่ชายของฉันทำให้เธอต้องเจ็บปวด แต่ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องเลย เธอจะทำแบบนี้กับฉันจริง ๆ งั้นเหรอ?”

“แล้วต้องให้ฉันทำยังไงกับเธอเหรอ?” หลินม่ายเอ่ยถามขึ้นอย่างประชดประชัน

“เรา…เรายังเป็นเพื่อนกันได้นะ” นักแสดงเจ้าบทบาทเริ่มปาดน้ำตาที่ไหลรินบนใบหน้า

“เพื่อน?” แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือการเย้ยหยันจากคนที่มองหล่อนออกตั้งแต่เริ่มอ้าปากพูด “เธอเลยตรงรี่ไปที่บ้านพ่อแม่ฉัน รวมหัวกับแม่แล้วก็พี่สาวฉันให้สองคนนั้นตามไปรังควานฉันถึงที่บ้านในเมืองน่ะเหรอ? การแสดงความเป็นเพื่อนของเธอคือการจ้องจะหักหลังคนคนนั้นงั้นสิ?”

ถ้าจะมีใครซักคนที่เข้าไปยุยงซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาวคนโตของนางให้เข้าไปก่อเรื่องถึงในเมืองได้ คนคนนั้นที่อยู่เบื้องหลังก็คงจะเป็นอู๋เสี่ยวเถา

อู๋เสี่ยวเถานิ่งไปครู่หนึ่งเพราะไม่คิดว่าหลินม่ายจะสงสัยว่าเป็นหล่อน

“ฉันเปล่านะ” หล่อนรีบปฏิเสธ

“แม่กับพี่สาวฉันบอกทุกอย่างหมดแล้วว่าเป็นเธอ ยังจะมาโกหกอีกทำไม?” หลินม่ายแกล้งหยั่งเชิงอีกฝ่ายด้วยการโกหกออกไปบ้าง

อู๋เสี่ยวเถาหลงกลอย่างง่ายดายและเริ่มแสดงท่าทางโกรธแค้นออกมา

ไม่คิดเลยว่าสองแม่ลูกนั่นจะกล้าหักหลังเธอ

ตั้งแต่ที่รู้ว่าหลินม่ายร่ำรวยขึ้นมากจนถึงขั้นจ่ายเงินซื้อรถแทรกเตอร์ได้ อู๋เสี่ยวเถาก็นอนคิดทั้งคืนว่าน่าจะหาประโยชน์อะไรจากพี่สะใภ้ได้บ้าง

นั่นเป็นสาเหตุที่หล่อนมาหาหลินม่ายในวันนี้ เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน

แต่ไม่คาดคิดว่าจะถูกหลินเพ่ยและแม่ของหล่อนหักหลัง แผนการที่คิดเอาไว้พังไม่เป็นท่า หล่อนจึงทำได้เพียงล่าถอยไปด้วยความสิ้นหวัง

หลังจากตระเตรียมสัมภาระทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์พาโต้วโต้วไปที่บ้านของโจวฉายอวิ๋น

ครอบครัวโจวรอต้อนรับแขกคนสำคัญของพวกเขาอย่างอบอุ่น

พ่อโจวสั่งให้ลูกชายเตรียมเป็ดไก่ และงานฉลองย่อม ๆ เอาไว้สำหรับสองแม่ลูก

แต่กลับถูกหลินม่ายห้ามเอาไว้

ครอบครัวโจวเองก็ใช่ว่าจะร่ำรวยสุขสบาย เธอไม่ต้องการให้พวกเขาใช้เงินมากมายรวมถึงต้องเสียเป็ดไก่ที่อาจจะเอาไปขายได้เพื่อมารับรองเธอ

และเธอเองก็ไม่ได้มีเวลามากนัก เพราะงั้นหญิงสาวจึงรับไว้เพียงน้ำใจจากพวกเขาเท่านั้น

ครอบครัวโจวพากันออกมาส่งพวกเธอก่อนจะเดินทางกลับ

พ่อโจวย้ำกับลูกสาวของเขามากว่าให้ตั้งใจทำงาน ถ้าเขารู้ว่าหล่อนทำตัวไม่เอาไหนหรือไม่ซื่อสัตย์เขาจะเป็นคนจัดการหล่อนเอง

การเดินทางด้วยรถแทรกเตอร์ทำให้สามารถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางได้อย่างช้า ๆ เท่านั้น แม้ว่าจะออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงเช้า แต่กว่าจะไปถึงหมู่บ้านซานหยางก็เลยเที่ยงเข้าไปแล้ว

ยังดีที่ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องรถติด ไม่อย่างนั้นกว่าจะเดินทางมาถึงก็คงจะเป็นเวลาบ่ายสามบ่ายสี่โมงได้

เมื่อรถแทรกเตอร์จอดเทียบที่หน้าบ้าน ทั้งสามก็พากันลงจากรถ

โจวฉายอวิ๋นมองไปที่บ้านขนาดย่อมซึ่งสร้างขึ้นจากอิฐด้วยความตื่นเต้น “นี่คือบ้านของเธอที่นี่เหรอ”

หลินม่ายพยักหน้าแทนคำตอบ หญิงสาวเดินเปิดประตูนำเข้าไปในบ้าน พาคนอายุมากกว่าไปยังห้องที่เคยเป็นของแม่เถียหนิว “ต่อไปนี้ นี่เป็นห้องของพี่นะ”

หลังจากจัดแจงที่อยู่ที่นอนและแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้โจวฉายอวิ๋นแล้ว หลินม่ายก็ไปที่ตลาดมืดเพื่อเตรียมซื้อของสำหรับงานเลี้ยงเล็ก ๆ ในการต้อนรับฉายอวิ๋น

วันนี้เป็นวันแรกที่เธอได้กลับมาที่บ้านเลยยังไม่ทันได้กินอาหารจนอิ่มเท่าไรนัก

การเข้าเมืองครั้งแรกของโจวฉายอวิ๋นช่างน่าตื่นเต้น ทุกอย่างดูน่าสนใจไปหมด หล่อนจึงขอตามหลินม่ายไปดูตลาดมืดด้วย

ตลาดมืดในเมืองเป็นสถานที่แสนพลุกพล่านวุ่นวาย และช่วงนี้มีข่าวว่าโจรล้วงกระเป๋ากำลังอาละวาดอยู่

แต่พวกเธอจะไปซื้อเพียงพวกอาหารเท่านั้นและไม่ได้ถือเงินจำนวนมาก จึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไร

หลินม่ายตัดสินใจจะพาโจวฉายอวิ๋นไปด้วย

โต้วโต้วเริ่มร้องตามแม่และอาหวงก็เดินตามมาด้วยเหมือนกัน

กลายเป็นว่า คนสามคนกับสุนัขหนึ่งตัวได้ออกไปเดินเลือกซื้อของในตลาดมืดด้วยกันหมด

หลินม่ายต้องการซื้อปลาและเนื้อสัตว์ แต่โจวฉายอวิ๋นไม่อยากให้เธอต้องเสียเงินมากเกินไป

หลินม่ายต้องการให้ฉายอวิ๋นสบายใจจึงยิ้มกล่าวว่า “ต่อให้พี่ไม่ได้มาด้วย ปกติฉันก็ทำอาหารจานเนื้อวันละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากขนาดนั้นน่า”

สุดท้ายพวกเธอก็ได้วัตถุดิบชั้นดีมาหลายอย่างสำหรับมื้ออาหาร อย่างหมูสามชั้น ซี่โครงหมู และปลาตะเพียน ตามความตั้งใจของหลินม่าย

พอกลับมาถึงบ้าน สองสาวก็เตรียมมื้อกลางวันแสนอร่อยด้วยกัน

เวลาเกือบจะบ่ายสอง ทั้งสามคนเริ่มหิวจนท้องร้อง กระเพาะต้องการอาหารไปเติมเต็ม พวกเธอรีบจับตะเกียบของตัวเองแล้วเริ่มจัดการกับอาหารทันที

โต้วโต้วกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษ เด็กน้อยถือซี่โครงหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดจนมุมปากมันเยิ้มไปด้วยซอส

โจวฉายอวิ๋นเห็นดังนั้นจึงล้วงมือไปในกระเป๋าเสื้อหมายจะหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา แต่กลับมีอาการชะงักค้าง

“มีอะไรหรือเปล่า” หลินม่ายถามด้วยความสงสัย

โจวฉายอวิ๋นเปิดกระเป๋าของเธอออกมาให้หลินม่ายดู

กระเป๋าของเธอว่างเปล่า ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในนั้น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยการกรีดด้วยมีดฝากไว้เป็นผลงานชิ้นเอกจากหัวขโมย

“ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าถูกกรีดไปตอนไหน” น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความรู้สึกกลัว

แต่สิ่งที่หลินม่ายห่วงในตอนนี้ก็คือ “เงินโดนเอาไปด้วยหรือเปล่า”

โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่ ฉันเก็บเงินไว้ในห้อง”

ในตอนแรกหลินม่ายเล่าให้เธอฟังแล้วว่าตลาดมืดในเมืองค่อนข้างจะวุ่นวายและต้องระวังตัวให้ดี แต่หล่อนยังไม่ค่อยเชื่อจนกระทั่งได้เจอกับตัว

ในชนบทเองก็มีตลาดมืด และแม้ว่าจะคับคั่งด้วยผู้คน มีปัญหาเรื่องขโมยบ้าง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับที่นี่

หลังมื้อกลางวันจบลง หลินม่ายนำใบรับรองการย้ายบ้านที่ได้มาจากคุณปู่ฟางไปที่สถานตำรวจท้องถิ่นของหมู่บ้านซานหยางเพื่อขอทำทะเบียนบ้านเล่มใหม่

หญิงสาวกลับมาถึงบ้านพร้อมทะเบียนบ้านเล่มใหม่ เรียกความสนใจจากโจวฉายอวิ๋นและโต้วโต้วได้เป็นอย่างดี

“แบบนี้เธอกับโต้วโต้วก็กลายเป็นคนเมืองแล้วสิ” โจวฉายอวิ๋นเอ่ยแซวอย่างอิจฉา

“ไม่ขนาดนั้น ! ก็ยังเป็นทะเบียนบ้านสำหรับชนบทอยู่ดี แค่เปลี่ยนจากเกษตรกรในเมืองซื่อเหม่ย มาเป็นเกษตรกรในหมู่บ้านซานหยางเท่านั้นเอง”

ในยุคนี้การทำเรื่องย้ายทะเบียนบ้านจากในเมืองไปยังชนบทไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะขอย้ายจากชนบทเข้าเมืองเป็นเรื่องยากกว่ามาก

ยังไม่ทันห้าโมงเย็นอาหารเย็นก็ถูกเตรียมพร้อม

โจวฉายอวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “คนในเมืองนี้กินข้าวเย็นกันเร็วมากเลยเหรอ”

หลินม่ายส่ายศีรษะก่อนจะเอ่ยต่อ “เปล่าหรอก คนอื่น ๆ มักจะกินมื้อเย็นกันตอนหกโมงเย็น แต่บ้านเราต้องกินข้าวเช้าแต่เช้า เพราะต้องตื่นตี 3 ตี 4 มาทำซาลาเปา เลยต้องขยับมื้อเย็นมาให้เร็วขึ้น”

เธอสบตากับโจวฉายอวิ๋นแล้วถามต่อ ”พี่ทำซาลาเปาเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นฉันจะสอนให้เอง”

ถ้าไม่ได้เป็นคนโง่เกินไปนักก็จะสามารถเรียนรู้วิธีการทำซาลาเปาให้อร่อยได้ในเวลาเพียงไม่กี่วัน

คนอายุมากกว่าส่งยิ้มกลับมา “พูดไปก็จะหาว่าคุย อย่าว่าแต่นึ่งซาลาเปาเลย ฉันถนัดทำเมนูเส้นทุกชนิด มันอยู่ในสายเลือดคนเหอหนาน”

หลินม่ายมีท่าทางสงสัยขึ้นมา “หืม ทำไมฉันไม่เคยได้ยินพี่พูดติดสำเนียงเหอหนานเลยล่ะ”

“บ้านฉันย้ายมาจากมณฑลหูตั้งแต่รุ่นปู่ ถ้านับดูก็เป็นรุ่นที่สามไปแล้ว จะไม่ติดสำเนียงเหอหนานก็ไม่แปลก”

หลังอาหารเย็น โจวฉายอวิ๋นก็รีบเก็บล้างจาน แล้วลงมือทำบะหมี่กับหลินม่าย

ท่าทางของคนเป็นพี่ดูขะมักเขม้นและช่ำชองราวกับขุนศึกที่เจนสนามรบ

บะหมี่ถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อยก็ถูกพักเอาไว้ในครัว

เนื่องจากทั้งสองใช้แป้งเก่าในการทำและอยู่ในช่วงที่สภาพอากาศที่ไม่ได้ร้อนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาในการเตรียมบะหมี่อย่างน้อย ๆ 6 ชั่วโมง ส่วนซาลาเปาจะเริ่มทำกันในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า

เมื่องานของวันนี้เสร็จสิ้น ทั้งสามก็ไปอาบน้ำแล้วเข้านอน

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาตีสามครึ่ง หลินม่ายและโจวฉายอวิ๋นลุกจากที่นอนอย่างไม่อิดออด

หลังจากจัดการล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยโจวฉายอวิ๋นก็ไปปรุงบะหมี่ที่เตรียมไว้เมื่อคืน หลินม่ายเริ่มจุดเตา นำไข่ไก่ที่ทำความสะอาดไว้เมื่อคืนนี้ลงไปแช่ในน้ำเกลือ ก่อนจะออกไปซื้อเนื้อที่ตลาดมืด

คนเป็นพี่นึกถึงเหตุการณ์ที่เจอที่ตลาดมืดเมื่อวานนี้ก็กลัวว่าจะเป็นอันตรายถ้าปล่อยให้หลินม่ายไปที่ตลาดคนเดียวจึงอาสาจะไปเป็นเพื่อน

แต่หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ “ฉันชินแล้ว พี่ไม่ต้องไปด้วยหรอก สบายมากหายห่วง พี่อยู่บ้านเตรียมเอาผักกาดเขียวดองออกมาล้างแล้วหั่นเตรียมไว้อย่างสบายใจได้เลย เดี๋ยวฉันจะกลับมาพร้อมกับเนื้ออย่างดีสำหรับทำไส้ซาลาเปานะ”

โจวฉายอวิ๋นส่งเธอออกจากบ้านด้วยความเป็นห่วงและไม่ลืมที่จะบอกให้หลินม่ายระวังตัวด้วย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ว้ายยย โป๊ะแล้วเสี่ยวเถา ไม่ได้อะไรจากม่ายจื่อหรอก

การโดนกรีดกระเป๋านี่น่ากลัวมากเลย ดีที่ไม่ได้เอาเงินไปเยอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 83 ความกังวลใจของพ่อโจว

ผู้คนต่างพากันเยาะเย้ยให้กับความโง่เง่าของอู๋จินกุ้ยและลูกชายคนโตที่ได้ขับไล่เทพแห่งความมั่งคั่งอย่างหลินม่ายออกจากบ้านไป

พวกเขาบอกหลินม่ายว่าเธอกลับมาช้าเกินไป เพราะโจวฉายอวิ๋นถูกสามีไล่ออกจากบ้านไปเมื่อเดือนก่อน

เธอจะต้องเดินทางไปที่บ้านพ่อแม่ของโจวฉายอวิ๋นต่อเพื่อพบหล่อน

หลินม่ายถามเส้นทางการไปบ้านครอบครัวโจวเรียบร้อยก็ขับรถแทรกเตอร์ออกเดินทางไปที่นั่น

ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มไปด้วยสายฝนของฤดูใบไม้ผลิ วันนี้มีฝนตกปรอย ๆ เสื้อกันฝนจึงถูกนำออกมาใช้งาน

โจวฉายอวิ๋นที่อยู่ระหว่างการเก็บผักจากแปลงผักกลับบ้านหันมามองผู้มาเยือนด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง หลินม่ายที่อยู่ในชุดเสื้อกันฝนทำให้เจ้าบ้านจำเธอไม่ได้อยู่สักพัก

หญิงสาวขับรถแทรกเตอร์วนไปด้านหน้าของอีกฝ่าย ลดหมวกของเสื้อกันฝนที่สวมอยู่ลงแล้วยื่นหน้าออกไปให้มองให้เห็นได้ชัด ๆ แกล้งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวัง “ไม่นะ พี่ฉายอวิ๋น ถึงพี่จำฉันไม่ได้ แต่ฉันไม่เคยลืมพี่เลยนะ”

ในตอนนั้นเองสีหน้าของโจวฉายอวิ๋นก็เกิดความประหลาดใจปะทุขึ้นมา บ่งบอกว่าหล่อนจำได้แล้วว่าเป็นหลินม่าย “ม่ายจื่อ เธอมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันก็ต้องตามหาพี่น่ะสิ”

หลินม่ายมองซ้ายมองขวาให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้

จากนั้นจึงหยิบเอาธนบัติสิบหยวนสามใบออกมาจากตัวส่งให้คนอายุมากกว่า “ฉันให้พี่เก็บไว้ใช้ส่วนตัว อย่าไปบอกใครนะ”

โจวฉายอวิ๋นเห็นแบบนั้นก็รีบส่งมันคืนเจ้าของในทันที “เอาเงินมาให้ฉันทำไม ไม่ต้องหรอก !”

“ตอนฉันโดนไล่ออกจากบ้านอู๋ พี่ก็เป็นคนช่วยฉันเอาไว้ ฉันจะโกรธนะถ้าพี่ไม่ยอมรับน้ำใจจากฉัน”

แต่โจวฉายอวิ๋นกลับโบกมือไปมาและตอบปฏิเสธ “อย่าคิดเป็นบุญคุณอะไรกันเลย เงินนี่ก็ไม่ต้องหรอกน่า”

ขณะที่หญิงสาวทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงของการสนทนาก็มีเด็กชายอายุประมาณ 7-8 ขวบวิ่งเข้ามา

เด็กน้อยพูดกับโจวฉายอวิ๋นด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า “ อา! แม่กำลังรอให้อากลับไปช่วยให้อาหารหมู แต่ทำไมยังมายืนคุยกับคนอื่นอยู่ที่นี่อีกล่ะ”

หลังจากเด็กน้อยเดินจากไป โจวฉายอวิ๋นก็ส่งยิ้มเจื่อนให้หลินม่ายอย่างเชื่องช้า “นั่นลูกของพี่ชายฉันเอง เขายังไม่รู้เรื่องอะไร แถมยังไม่รู้จักวิธีที่จะพูดกับผู้ใหญ่ให้ดีอีก”

หลินม่ายเคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ทำไมเธอถึงจะไม่รู้ว่าพี่ชายและหลานของโจวฉายอวิ๋นมองหล่อนยังไง ไม่ต่างอะไรกับที่ตนเคยพบเจอจากครอบครัวของอดีตแม่สามี

ถ้าครอบครัวปฏิบัติต่อหล่อนอย่างดี มีหรือเด็กคนนั้นจะกล้าใช้คำพูดไม่มีกาลเทศะกับคนเป็นอาได้ขนาดนั้น

เด็กน้อยที่เปรียบเหมือนผ้าขาวไม่มีทางจะมีกิริยาวาจาแบบนั้นได้เอง ถ้าไม่ได้จำมาจากพวกผู้ใหญ่แล้วทำตาม

หลินม่ายต้องการคนมาช่วยทำงานอยู่แล้ว และเห็นว่าครอบครัวของโจวฉายอวิ๋นไม่ได้ปฏิบัติกับคนเป็นพี่อย่างดีนัก จึงได้เอ่ยชวนให้อีกฝ่ายไปทำงานด้วยกัน

เธอไม่ได้เอาเหตุผลเรื่องครอบครัวของหล่อนมาโน้มน้าวใจ เพราะกลัวว่าจะกระทบต่อจิตใจของโจวฉายอวิ๋น “ในเมื่อพี่ไม่ยอมรับเงินจากฉัน ก็เปลี่ยนเป็นมาทำงานด้วยกันดีไหมคะ ไม่ต้องจ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้าน รายได้ 30 หยวนต่อเดือน ถ้ายอดขายดีก็จะมีส่วนแบ่งเพิ่มให้อีกนะ”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่ได้เพียงหนึ่งเดือนหลังจากที่ถูกสามีไล่ออกมา แต่เพราะว่าหล่อนเป็นคนที่มีบุตรยาก จึงทำให้การแต่งงานใหม่ดูจะเป็นไปไม่ได้

นอกจากนี้หมู่บ้านแห่งนี้ยังเริ่มมีคนเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น ในขณะที่ที่ดินมีไม่เพียงพอ หลังจากการทำสัญญาครัวเรือนเข้าสู่นารวมแล้ว ครอบครัวโจวก็มีที่ดินทำกินน้อยลงไปอีก

ครอบครัวโจวที่ลำบากเพราะเรื่องที่ดินทำกินอันน้อยนิดก็แย่พออยู่แล้ว เมื่อลูกสาวที่เคยแต่งงานออกไปแล้วย้ายกลับเข้ามา จึงยิ่งทำให้โจวฉายอวิ๋นถูกพี่ชายและพี่สะใภ้ดูถูกเอาอีก

แม้พ่อกับแม่จะรู้สึกเสียใจกับหล่อน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ซ้ำยังบอกให้หล่อนกลับไปที่บ้านสามี เพราะกลัวจะเป็นการขายหน้าวงศ์ตระกูล ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเท่าไรสำหรับโจวฉายอวิ๋น

แม้จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจในทุก ๆ วัน แต่โจวฉายอวิ๋นก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากอดทน เพราะหล่อนก็ไม่รู้ว่านอกจากที่นี่แล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้อีก

ในตอนนี้ที่หลินม่ายเข้ามาเสนอทางออกไปจากชีวิตแบบนี้ให้ แถมยังมีงานให้ทำอีก ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่โจวฉายอวิ๋นจะปฏิเสธข้อเสนอนี้

“เยี่ยมไปเลย ฉันจะกลับไปบอกพ่อแม่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ แล้วก็เก็บของไปกับเธอเดี๋ยวนี้” หญิงสาวกล่าวตอบด้วยความยินดี

โจวฉายอวิ๋นกลับไปที่บ้านซักพัก ไม่นานเธอก็พาพ่อและพี่ชายกลับมาด้วย

คนอายุมากกว่าแค่นยิ้มเชิงขออภัย “พ่อกับพี่ชายของฉันอยากให้ชวนเธอไปที่บ้านของเราหน่อย”

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์เข้าไปจอดที่หน้าประตูบ้านโจว ก่อนจะเข้าไปข้างในพร้อมโจวฉายอวิ๋นและครอบครัว

เพราะวันนี้มีฝนตก สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดจึงรวมกันอยู่ภายในบ้าน

แม่และพี่สะใภ้ของโจวฉายอวิ๋นดูกระตือรือร้นเมื่อได้พบกับหลินม่าย พวกเขาเชิญให้เธอนั่งลงและรับแขกด้วยน้ำหวานจากน้ำตาลทรายแดง

หลินม่ายยิ้มรับและกล่าวขอบคุณพวกเขาอย่างสุภาพ

หลังจากที่ทุกคนนั่งประจำที่กันครบแล้ว พ่อโจวก็เปิดประเด็นขึ้นว่า “ฉายอวิ๋นเล่าให้ฟังว่าเธอต้องการพาหล่อนเข้าเมืองเพื่อไปทำงานด้วยจริงเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้ารับ “หรือว่า คุณไม่เห็นด้วยเหรอคะ”

พ่อโจวยิ้มตอบ “ทำไมจะไม่เห็นด้วยล่ะ…ติดแต่ว่าพวกเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเธอเท่าไร”

พอเริ่มเข้าเรื่อง สีหน้าของคนเป็นพ่อก็แสดงความกังวลออกมา “อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ ฉันแค่กลัวว่าฉายอวิ๋นจะถูกหลอกพาตัวไปขาย อะไรแบบนั้น”

“อย่าหาว่าฉันอคติ หรือคิดมากไปเลย สองสามปีที่ผ่านมาสังคมเริ่มอยู่ยากขึ้นทุกวัน มีคนไม่ดีเต็มไปหมด เมื่อสองเดือนก่อน มีผู้ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านออกไปทำงานแล้วก็ติดต่อไม่ได้อีกเลย หลังจากนั้นก็โดนเจอว่ากลายเป็นศพอยู่แถวชานเมือง จนตอนนี้ก็ยังจับคนร้ายไม่ได้เลย”

แม้โจวฉายอวิ๋นจะถูกคนที่บ้านปฏิเสธตอนที่กลับมาขออยู่ด้วย ซ้ำยังรู้สึกอับอายกับการกลับมาของหล่อน และคิดว่าหล่อนมาเป็นภาระของพวกเขา

แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้อยากให้ลูกสาวไปเจอกับเรื่องร้าย ๆ อีก

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมา “ฉันเข้าใจความกังวลของพวกคุณค่ะ ฉันเป็นคนสนิทของคุณปู่ฟางจากเมืองซื่อเหม่ย จะให้ท่านเป็นคนรับประกันความปลอดภัยของพี่ฉายอวิ๋นให้ก็ได้ คุณคิดว่าไงคะ”

คุณปู่ฟางเป็นคนที่มีชื่อเสียงในพื้นที่นี้ พอบอกว่าท่านจะเป็นคนรับรองให้ พ่อแม่โจวก็วางใจมากขึ้นเรื่องความปลอดภัยของลูกสาว

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์พาโจวฉายอวิ๋น กลับไปที่เมืองซื่อเหม่ยพร้อมพ่อและพี่ชายของเธอ

คุณปู่ฟางไม่เพียงแต่ออกปากรับรองด้วยตัวเอง แต่ยังมีเจ้าหน้าที่จากกองทหารมาช่วยรับรองด้วยอีกคน ทำให้พ่อและพี่ชายของโจวฉายอวิ๋นโล่งใจ

เมื่อรู้ว่าหลินม่ายจะยังไม่พาโจวฉายอวิ๋นกลับไปในเมืองด้วยกันจนกว่าฝนจะหยุดตก พ่อโจวจึงเอ่ยชวนหญิงสาวให้ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านเป็นการขอบคุณ

แต่หลินม่ายต้องบอกปฏิเสธ “พรุ่งนี้ฉันมีธุระต้องทำต่อน่ะค่ะ แต่ว่าฉันจะกลับไปรับพี่ฉายอวิ๋นที่บ้านคุณลุงทันทีที่ฝนหยุดแล้วจะไปกินอาหารด้วยในวันนั้นแทนนะคะ”

ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาสี่วัน กว่าที่ท้องฟ้าจะกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง

ในช่วงสี่วันที่ผ่านมา หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์ไปซื้อไข่หลายพันฟองในราคาฟองละสามเฟินและยังได้แป้งมาอีกหลายร้อยชั่ง

นอกจากนี้ยังมีน้ำมันสำหรับปรุงอาหารและข้าวสาร

หญิงสาวเลือกซื้อผักกาดเขียวดองมา 10 ไห

จ่ายเงินค่ามัดจำสำหรับซื้อผักดองทั้งหมด

เธอซื้อผักกาดเขียวดองเพื่อใช้ทำซาลาเปาไส้ซึงฉ่าย เพราะมันช่วยปรับรสชาติของซาลาเปาให้อร่อยขึ้นมาก

ฝนหยุดตกในวันที่ห้า ดอกไม้บานสะพรั่งอวดสีสันสดใส ต้นหญ้าเขียวขจี อากาศก็เย็นสดชื่นเหมือนอยู่บนยอดเขา

แม้แต่พวกนกก็พากันส่งเสียงร้องขับขาน ต้อนรับวันแสนสดใสที่ทุกคนต่างเฝ้ารอ

หลังมื้อเช้าหลินม่ายจะพาโต้วโต้วไปรับโจวฉายอวิ๋นมาจากบ้านพ่อแม่แล้วกลับเข้าเมือง

คุณปู่คุณย่าฟางช่วยกันจัดวางไข่ แป้ง น้ำมันปรุงอาหาร ข้าวสาร และเพ่าฉ่ายลงบนรถแทรกเตอร์

เมื่อเพื่อนบ้านเห็นเข้าก็อาสาเข้ามาช่วย

ในตอนนั้น อู๋เสี่ยวเถาที่ถือตะกร้าใบเล็กไว้ในมือก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

หล่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนพบกับหลินม่าย

“หนูจ๊ะ กำลังมองหาใครอยู่หรือเปล่า” คุณย่าฟางที่ไม่รู้จุดประสงค์ของหล่อน จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความใจดี

อู๋เสี่ยวเถามองไปทางหลินม่ายแล้วกล่าวตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ “ฉัน…มีเรื่องอยากจะคุยกับพี่สะใภ้หน่อยค่ะ”

“พี่สะใภ้ ?” คุณย่าฟางสบสายตากับหล่อนแล้วหันไปทางหลินม่าย ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ เลยถามต่อด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เธอเป็นน้องสาวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนงั้นเหรอ”

อู๋เสี่ยวเถาพยักหน้าแทนคำตอบ

สีหน้าของคุณย่าฟางเปลี่ยนไปทันทีที่รู้คำตอบ “ม่ายจื่อไปเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ชายของเธอ ถึงได้มาเรียกว่าพี่สะใภ้ ฉันขอเตือนเธอไว้ก่อนเลยนะ อยากจะไปกินขี้ที่ไหนก็ไป แต่อย่ามาส่งเสียงน่ารำคาญที่นี่!”

เพื่อนบ้านสองสามคนที่กำลังฟังอยู่ถึงกับหัวเราะออกมา

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฉายอวิ๋นมีงานทำแล้วก็ดีนะคะ จะได้หลุดพ้นจากครอบครัวนรกเสียที

เสี่ยวเถามาทำอะไรอีกล่ะ หล่อนเป็นคนเอาเรื่องที่อยู่ม่ายจื่อไปบอกบ้านนั้นยังจะกล้าเสนอหน้ามาอีกเหรอ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 82 ลงทุนกับรถแทรกเตอร์

คุณย่าฟางต้องเอ่ยเรียกอยู่ถึงสองครั้งกว่าที่หลินม่ายจะหลุดจากภวังค์ของความคิค

“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่กำลังคิดว่าจะซื้อรถแทรกเตอร์ของสมาชิกดีไหมน่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มขึ้นจาง ๆ พร้อมกับส่ายหน้า

ผู้อาวุโสทั้งสองประหลาดใจกับคำตอบที่ได้ยิน “ทำไมถึงได้อยากซื้อรถแทรกเตอร์นั่นล่ะ”

หญิงสาวค่อย ๆ เติมผักลงในชามพร้อมเอ่ยตอบ “ฉันขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊วที่ต้องใช้แป้งเยอะมากในแต่ละวัน ถ้าต้องเดินทางไป-กลับ ทุกอาทิตย์มันน่าจะคุ้มค่ากว่าการซื้อวัตถุดิบจากตลาดมืดในเมือง แต่ต้องคำนวณดูอีกว่าระหว่างจ่ายค่ารถแทรกเตอร์มากกว่าหนึ่งพันหยวนกับการซื้อของในตลาดมืดรวม ๆ กันอันไหนจะคุ้มกว่าน่ะค่ะ”

หลังจากคีบขาหมูแบบที่มีเนื้อติดหนังเข้าปาก คุณปู่ฟางก็เอ่ยถามต่อ

“แล้วจะต้องเสียเวลาคิดคำนวณขนาดนั้นเลยเหรอ? ลองคิดดูแค่ว่าปกติต้องเช่ารถแทรกเตอร์ปีละครั้ง เงินพันหยวนเช่ารถได้ยี่สิบสามสิบครั้งก็หมดแล้ว ถ้าซื้อมาเป็นของตนเอง แต่ละปีมีช่วงเทศกาลตั้งหลายครั้ง อย่างวันแรงงาน วันชาติ เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ วันขึ้นปีใหม่ วันตรุษจีน ช่วงเทศกาลพวกนี้เธอก็จะได้ใช้รถแทรกเตอร์ไปขนสินค้าพวกพืชผักผลไม้จากนอกเมืองเข้าไปขายให้คนในเมือง แบบนี้ไม่ถึงปีก็จ่ายค่ารถแทรกเตอร์ได้ครบอยู่แล้ว ยังไงก็คุ้มค่า ไม่เห็นต้องคิดคำนวณอะไรมากมาย”

ได้ยินแบบนั้นหลินม่ายก็ยิ้มออกทันที “ถ้างั้น ฉันจะกลับไปซื้อรถแทรกเตอร์ คุณปู่ช่วยต่อราคาดี ๆ กับผู้นำหมู่บ้านให้หน่อยสิคะ?”

คุณปู่ฟางเป็นคนที่ยึดมั่นในความยุติธรรมมาก ชายชราไม่ใช่คนที่จะยอมใช้อำนาจของตัวเองเพื่อช่วยลดราคาค่ารถแทรกเตอร์ให้หลินม่ายซึ่งเป็นคนสนิท เพราะนั่นจะเป็นการเอาเปรียบชาวบ้านคนอื่น ๆ

“1,200 หยวนนี่ถูกที่สุดแล้ว ลดกว่านี้ไม่ได้หรอก”

ได้ฟังแบบนั้นหลินม่ายก็แอบชะงักไป เธอกับคุณปู่ฟางนับเป็นคนกันเอง ชายชรารับบทผู้ใหญ่ที่คอยดูแลเธอมาตลอด ไม่คิดว่าจะได้เห็นท่านมารับบทพ่อค้ากับเธอด้วย

“โต้วโต้วบอกย่าว่าแม่กับพี่สาวของเธอตามไปรังควานถึงในเมือง เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?” เป็นคุณย่าฟางที่เอ่ยถามขึ้นบ้างด้วยท่าทางเคร่งขรึม

ในระหว่างที่หลินม่ายกำลังตกอยู่ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่ทันได้สนใจในสิ่งที่โต้วโต้วและผู้อาวุโสทั้งสองคุยกัน

ไม่คาดคิดว่าโต้วโต้วจะเล่าเรื่องที่แม่และหลินเพ่ยตามไปสร้างเรื่องถึงที่บ้านให้คุณปู่คุณย่าฟางฟัง

มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรสำหรับเธอ หลินม่ายจึงจัดการเล่าเรื่องราวทั้งหมดกับท่านทั้งสอง

“ไร้ยางอายอะไรแบบนี้นะ ทั้งแม่ทั้งพี่สาวเลย” สีหน้าของคุณย่าฟางขึ้นสีด้วยความโกรธหลังได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ต่อให้จะทำตัวหน้าไม่อายแค่ไหนก็ช่าง ยังไงพวกเขาก็จะไม่ได้สิ่งที่ต้องการหรอกค่ะ”

“แต่ฉันสงสัยมากกว่าว่าพวกเขารู้ที่อยู่ของฉันได้ยังไง” หลินม่ายขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น

คนที่รู้ที่อยู่ของเธอตอนนี้ก็มีไม่มาก…

“มันก็น่าสงสัยอยู่นะ” คุณย่าฟางคีบขาหมูตุ๋นชิ้นใหญ่ลงไปในชามของโต้วโต้วแล้วเอ่ยขึ้นบ้าง

“แม่เถียหนิวเล่าให้ทุกคนฟังว่าเธอซื้อบ้านใหม่ในเมือง เป็นใครที่เข้าไปถาม ถ้ามีปัญญาพอก็คงจะรู้ที่อยู่ของเธอจากหล่อนนั่นแหละ”

หญิงชราลดเสียงให้เบาลงแล้วกล่าวต่อ “ย่าได้ยินชาวบ้านพูดกันว่าอู๋จินฮวาเป็นอาห่าง ๆ ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

“ถ้าหล่อนไปส่งของที่บ้านของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่แม่กับพี่สาวของเธอจะรู้ที่อยู่”

หลินม่ายพยักหน้าตามอย่างโล่งใจ

ธนาคารในยุคสมัยนี้ไม่สามารถทำธุรกรรมในการฝาก-ถอนเงิน ข้ามเขตได้ หลังกินอาหารกลางวันเสร็จ หลินม่ายจึงต้องนั่งรถไฟกลับเข้าไปในเมืองเพื่อถอนเงินแล้วรีบกลับมาที่เมืองซื่อเหม่ย

หญิงสาวใช้เวลาหลังอาหารเย็นหยิบเอานาฬิกาข้อมือหรับคุณย่าฟาง และเสื้อไหมพรมสำหรับผู้ใหญ่ทั้งคู่ออกมามอบให้พวกท่าน

คุณย่าฟางรับเสื้อไหมพรมไว้ด้วยความยินดี แต่กลับปฏิเสธนาฬิกาข้อมือเรือนนั้นอย่างเด็ดขาด

ด้วยเหตุผลที่ว่าตัวเองอายุมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องสวมนาฬิกาเรือนใหม่ นางบอกให้หลินม่ายเอานาฬิกาเรือนใหม่นี้ไปใช้แล้วยกเรือนเก่าของเธอให้นางแทน

เมื่อไม่สามารถขัดหญิงชราได้ เธอจึงทำได้แค่ยอมรับตามนั้น

คุณปู่ฟางที่นึกบางอย่างขึ้นได้ก็รีบหันมาพูดกับหลินม่ายว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนจากศาลมาที่นี่”

“เรื่องคดีเรียบร้อยแล้วเหรอคะ”

ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง หลินม่ายแจ้งกับตัวแทนของเธอว่าหากคดีมีคำพิพากษามาแล้ว ให้เขาส่งคำตัดสินมาที่บ้านคุณปู่ฟาง เพราะที่นี่อยู่ใกล้กว่าส่งไปในเมือง

“ใช่แล้ว” คุณปู่ฟางพยักหน้า “อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับพ่อแม่ของเขาต้องติดคุก 1 ปี ส่วนค่าทำขวัญร้อยหยวนที่เธอเรียกร้องไป ศาลให้ชดใช้มาแค่ห้าสิบหยวน”

หลินม่ายไม่ได้สนใจเรื่องเงินค่าทำขวัญ เพราะสิ่งที่เธอต้องการคือส่งคนทั้งสามนั่นเข้าคุกมากกว่า

แต่ก็เป็นเรื่องดีที่สามารถเรียกร้องค่าทำขวัญมาได้ เพราะเหยาชุ่ยฮวารักเงินยิ่งกว่าชีวิต ถ้าต้องจ่ายค่าทำขวัญให้เธอ 50 หยวน คงทำให้นางเจ็บใจได้มากทีเดียว

เหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางถูกตัดสินจำคุกหกเดือนอยู่แล้วในคดีทำร้ายร่างกายหลินเพ่ย รวมกับอีกหนึ่งปีจากคดีนี้พวกเขาต้องอยู่ในคุกเป็นเวลาปีครึ่ง

กว่าจะได้รับการปล่อยตัวก็น่าจะเป็นช่วงเดือนเจ็ดหรือเดือนแปดปีหน้า

คดีโกงการแต่งงานและการใช้ความรุนแรงในครอบครัวทำให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนต้องใช้ชีวิตถึงสองปีในคุก

เหยาชุ่ยฮวากับสามีคงไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ไปสักพัก เพราะทั้งสามคนจะมีอาหารให้กินฟรีในเรือนจำ น่าจะประหยัดไปได้เยอะทีเดียวเลย

คุณย่าฟางหยิบเอาเอกสารคำตัดสินพร้อมกับเงิน 50 หยวนที่ได้รับมาส่งให้หลินม่าย

เป็นระยะเวลานานพอสมควรที่ทั้งสามไม่ได้พบกัน ทำให้มีเรื่องราวมากมายมาถามไถ่อย่างไม่รู้จบ

หญิงสาวเล่าว่าเธอต้องทำเอกสารรับรองการเดินทางสำหรับการกลับมาที่นี่

คุณปู่ฟางจึงอาสาเอาเอกสารของเธอไปยื่นที่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อทำใบรับรองให้

หลังอาหารเช้าในวันรุ่งขึ้นหลินม่ายก็ออกจากบ้านตามคุณปู่ฟางไปร่วมกับกลุ่มสมาชิก เพื่อไปซื้อรถแทรกเตอร์

ชาวบ้านหลายคนต่างพากันอิจฉาที่เห็นว่าเธอสามารถซื้อรถแทรกเตอร์ได้ จนทำให้หลินม่ายได้รับคำถามจากพวกเขาว่าเธอไปทำงานอะไรอยู่ในเมืองถึงได้หาเงินได้มากมายขนาดนี้

ซึ่งหลินม่ายตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าอาชีพของเธอคือแม่ค้าขายของว่างริมถนน

มีหลายคนเข้ามาแนะนำตัวและต้องการทำงานกับเธอ

แต่ก็ถูกหญิงสาวปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม

แม้ว่าหลินม่ายจะต้องการคนมาช่วยงานอยู่จริง ๆ แต่หญิงสาวไม่คิดว่าการให้คนที่ยังไม่รู้นิสัยใจคอมาร่วมงานจะเป็นเรื่องที่ควรทำ

เมื่อมีรถแทรกเตอร์แล้วก็ต้องขับมันให้เป็น

หลินม่ายมีประสบการณ์ในการขับรถจากชาติก่อน เธอจึงใช้เวลาไม่นานในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการขับแทรกเตอร์และสามารถควบคุมมันได้ในเวลาเพียงครึ่งวัน

เธอขับรถแทรกเตอร์มุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านสกุลอู๋หลังจากที่กินมื้อกลางวันเรียบร้อย

หญิงสาวหวนนึกถึงไมตรีที่เคยได้รับจากโจวฉายอวิ๋น ในตอนนี้เธอมีกำลังพอที่ตอบแทนน้ำใจของอีกฝ่ายแล้ว เธอจึงต้องการจะไปพบหล่อน

ทันทีที่หลินม่ายปรากฏตัวที่หมู่บ้านสกุลอู๋พร้อมรถแทรกเตอร์ หญิงสาวก็กลายเป็นที่สนใจ ผู้คนต่างเข้ามารายล้อมเธอ

ทุกคนต่างมีสีหน้าแห่งความชื่นชม และเอ่ยแซวว่าเธอดูจะเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่การขับรถแทรกเตอร์ก็ด้วย

แม้ว่ารถแทรกเตอร์จะขับได้ง่ายกว่ารถยนต์มาก แต่แทบจะไม่มีหญิงสาวคนไหนในหมู่บ้านที่ขับมันได้

หลินม่ายตอบนิ่ง ๆ ราวกับเป็นเรื่องปกติว่า “มันเป็นเพราะสถานการณ์บังคับ ในเมื่อซื้อมันมาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องฝึกขับให้เป็น”

ทุกคนต่างตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้ช่างน่าทึ่ง นานแค่ไหนที่แล้วที่เธอออกจากบ้านตระกูลอู๋ไป แล้วดูสิ เธอยังซื้อแทรกเตอร์นี่ได้ด้วยเงินของตัวเองอีกต่างหาก

พวกเขาเองก็อยากจะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเรียนรู้การขับแทรกเตอร์บ้างเหมือนกัน แต่คงไม่มีความสามารถเท่าหลินม่าย….

อู๋เสี่ยวเถามองดูหลินม่ายได้รับความสนใจและคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ ด้วยความรู้สึกขุ่นเคืองในใจ

ถ้าในตอนนั้นพ่อแม่และพี่ใหญ่ของหล่อนทำดีกับพี่สะใภ้ไว้ให้มาก ไม่เพียงแค่พวกเขาจะไม่ต้องติดคุกเท่านั้น แต่จะยังพึ่งพาความสามารถของเธอให้ทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอย่างสุขสบายได้เสียอีก

หลินม่ายขอให้ชาวบ้านช่วยตามหาโจวฉายอวิ๋น

“ทำไมถึงได้ถามหาหล่อนล่ะ” ชาวบ้านถามด้วยความสงสัย

หลินม่ายไม่กล้าเล่าให้คนอื่นฟังว่าตนเองได้รับเงินจากโจวฉายอวิ๋น เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอถูกสามีทุบตี

หญิงสาวจึงตอบออกไปว่า “เมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลอู๋ ฉันมักจะต้องอดข้าวเพราะพวกเขาไม่ยอมแบ่งให้กิน พี่ฉายอวิ๋นเคยแอบเอามันหวานให้ฉันกิน ก็เลยอยากจะขอบคุณหล่อน”

แม้ว่าในตอนนี้ตระกูลอู๋จะจบสิ้นแล้ว แต่หลินม่ายก็ยังไม่ลดละความเกลียดชังที่มีต่อครอบครัวนี้

เธอไม่เคยพลาดที่จะสาดโคลนใส่พวกเขาเมื่อมีโอกาส

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นี่แหละน้า เวลามั่งมีหรือมีชื่อเสียงขึ้นมา ทุกคนก็หันมารุมล้อม

บ้านตระกูลอู๋เมิงคิดผิดแล้วที่ทำกับม่ายจื่อแบบนี้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 81 คืนถิ่นในวันฝนโปรย

ในตอนแรกฟางจั๋วหลานอยากจะให้หลินม่ายมาทำงานในศูนย์อาหารที่โรงพยาบาลของเขา แต่ก็เป็นอันต้องพับเก็บแผนการไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด

ทุก ๆ คนล้วนแต่มีเป้าหมายในชีวิตเป็นของตนเอง แม้ตัวเขาจะต้องเจ็บปวดที่ได้เพียงเฝ้าดูแต่ก็ต้องยอมรับว่าตนเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเธอได้

หลินม่ายกลับมาที่บ้าน ลงมือนับเงินที่ได้จากการขายซาลาเปาและไข่ต้มดองซีอิ๊วของเมื่อเช้านี้

ถึงจะต้องคอยเล่นไล่จับกับเหล่าเทศกิจ แต่เธอก็ยังสามารถขายซาลาเปาได้ 200 ลูกกับไข่ต้มดองซีอิ๊ว 100 ฟอง ได้เงินมากกว่า 10 หยวน ในทุก ๆ เช้า

พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งคนที่ขยันทำงาน ตอนนี้เธอมีเงินเก็บอยู่มากกว่า 2,000 หยวนแล้ว

หลินม่ายวางแผนจะเปิดร้านขายของกินเล่นริมทางในช่วงเดือนหน้า

เพราะฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยในตอนนี้ เธออาจจะต้องระวังตัวให้มากขึ้นเวลาเอารถเข็นออกไปขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว

พอเห็นที่ว่างตรงถนนเส้นไหนที่เหมาะจะเปิดร้านขายของกินเล่น หลินม่ายก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปติดต่อเพื่อจะเช่าที่ตรงนั้น

เนื่องจากเมืองนี้เป็นเมืองที่มีแม่น้ำแยงซีไหลผ่าน ทำให้ที่นี่มีฝนตกเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีฝนตกต่อกันยาวนานหลายวัน

ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งในวันนี้ พยากรณ์อากาศจากวิทยุของเพื่อนบ้านคาดว่าฝนจะตกแบบนี้ไปอย่างน้อยสามวัน

ฝนตกแบบนี้ก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ คนกระตือรือร้นอย่างเธอคงต้องเฉาตายถ้าต้องอยู่เฉย ๆ ในบ้านจนเห็ดขึ้นตัวตั้งสามวัน

ตั้งแต่มาถึงที่นี่ในช่วงหลังตรุษจีน หลินม่ายก็ไม่ได้มีโอกาสกลับไปหาคุณปู่กับคุณย่าฟางเลย

หญิงสาวถักเสื้อไหมพรมสำหรับลูกน้อยและคุณปู่คุณย่าฟางเอาไว้นานแล้ว

จึงคิดขึ้นได้ว่าระหว่างที่ไม่สามารถออกไปตั้งแผงขายของได้ในช่วงฝนตก จะเดินทางกลับไปที่บ้านเพื่อเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วถือโอกาสเอาเสื้อไหมพรมไปให้พวกท่านด้วย

ฤดูใบไม้ผลิในเมืองเจียงเฉิงนั้นแสนสั้น เพียงชั่วพริบตาฤดูร้อนก็จะหมุนเวียนมาถึง

ถ้าไม่รีบเอาเสื้อไหมพรมไปให้พวกท่านในช่วงฤดูใบไม้ผลิแบบนี้ เสื้อผ้าที่อุตส่าห์ถักเตรียมไว้ก็คงไม่มีโอกาสได้ถูกหยิบขึ้นมาสวมอีกจนกว่าจะถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง

แถมยังมีเรื่องเอกสารทะเบียนบ้านของเธอและลูกที่ยังไม่ได้แจ้งย้าย นี่คงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดการเรื่องเอกสารเหล่านี้ให้เรียบร้อย

ในวันแรก หลินม่ายเลือกซื้อของขวัญติดไม้ติดมือไปฝากผู้ใหญ่ทั้งสอง และไปติดต่อผู้ใหญ่บ้านเรื่องเอกสารทะเบียนบ้าน

เช้าวันถัดมาเธอพาโต้วโต้วออกเดินทางไปด้วยกัน และฝากอาหวงให้อยู่ในความดูแลของเพื่อนบ้านเป็นเวลาสองวัน

โต้วโต้วชอบคุณปู่และคุณย่าฟางมาก เด็กน้อยตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้เดินทางกลับไปเยี่ยมพวกท่านที่บ้านเกิด

อีกสาเหตุหนึ่งที่โต้วโต้วชอบไปเจอผู้ใหญ่ทั้งสองก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า การอยู่กับแม่ในวันที่ฝนตกทำให้หล่อนต้องถูกแม่เคี่ยวกรำอย่างหนักในการฝึกอ่านเขียน จนรู้สึกปวดหัวไปหมด

เมื่อไปถึงที่บ้านของปู่ย่า เด็กน้อยก็จะรอดพ้นจากการเรียนหนังสือ และได้เล่นกับคุณปู่คุณย่าฟางอย่างสนุกสนาน

คุณย่าฟางดีใจอย่างมากเมื่อสองแม่ลูกเดินทางไปถึงที่บ้าน

เมื่อเห็นว่าสองมือของเธอเต็มไปด้วยของฝาก หญิงชราก็บ่นอุบว่าหลินม่ายไม่จำเป็นจะต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อของเหล่านี้มาเลย

แม้ว่าฝนด้านนอกจะยังตกหนัก แต่หญิงสาวก็ยังต้องออกไปที่ตลาดสหกรณ์ หาซื้อปลาและเนื้อหมูกลับมาเพื่อเตรียมอาหารอร่อย ๆ สำหรับมื้อเที่ยง

หลินม่ายรีบวางข้าวของที่เอามาด้วยลงแล้วออกจากบ้านไปยังตลาดสหกรณ์พร้อมกับร่มสำหรับกันฝน

เลยสิบโมงเช้ามาแล้ว ที่เคาน์เตอร์เนื้อสัตว์ของตลาดสหกรณ์ยังมีเนื้อหมูสามชั้นวางขายอยู่

หญิงสาวเลือกซื้อหมูสามชั้นอย่างดีหนึ่งชั่ง ขาหมูชิ้นใหญ่ 1 ชิ้น ปลาตะเพียนสองสามตัว เนื้อไก่มังสวิรัติครึ่งชั่งแล้วก็กลับไปที่บ้าน

ตอนที่หลินม่ายกลับมาถึงบ้านเธอยังไม่ได้เจอกับคุณปู่ฟาง และจนตอนนี้ที่หญิงสาวกลับมาจากการจ่ายตลาด ก็ยังคงไร้เงาของชายชรา

เธอมองออกไปด้านนอกที่มีฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสายจากในตัวบ้าน แล้วเอ่ยถามคุณย่าฟาง “คุณย่าคะ แล้วคุณปู่ล่ะ ออกไปบ้านใครเหรอ?”

หญิงชรานั่งลงที่ห้องโถงแล้วเริ่มหั่นผักเตรียมสำหรับทำอาหาร “เมื่อสองสามวันก่อน คนที่มีแรงทำงานทั้งหมดถูกเรียกตัวไปช่วยงานในนารวมกันหมด ถ้าปู่เขาแค่อยากไปหาพวกเขาก็คงจะพยายามมากไปหน่อยแล้ว”

หลินม่ายเริ่มช่วยคุณย่าฟางหั่นผักบ้างหลังจากที่นั่งลงในตำแหน่งตรงข้ามของอีกฝ่ายบนเก้าอี้หัวกลม

เธอถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ “แล้วถ้างั้น…คุณปู่ไปไหนล่ะคะ”

“ก็ออกไปดูนารวมกับเขากันนั่นแหละ”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งสับสนมากขึ้นอีก “ทำไมคุณปู่ต้องออกไปกับเขาด้วยคะ”

คุณย่าฟางอธิบายว่า “พอบ้านแต่ละหลังทำสัญญาเข้าร่วมนารวมแล้ว พวกข้าวของอะไรก็ต้องแบ่งกัน แจกจ่ายกันใช้ทั้งหมด

ไอ้พวกอุปกรณ์เรื่องมืออะไร ๆ ก็แบ่งกันง่าย แต่อย่างพวกวัวหรือรถแทรกเตอร์นี่สิแบ่งกันยาก บางคนต้องแบ่งเงินไว้ซื้อทั้งวัวทั้งรถแทรกเตอร์อย่างละครึ่ง

วัวราคาแค่ 50 หยวนใคร ๆ ก็ซื้อได้

หลายบ้านก็เลยมาแย่งกันซื้อวัวไม่มีใครยอมใคร จนเจ้าหน้าที่เขาต้องมาขอให้ปู่ไปช่วยไกล่เกลี่ยให้

รถแทรกเตอร์ก็ราคาเกิน 1,000 หยวนโน่นแหละ ใครจะไปมีเงินจ่าย ก็ต้องหารกัน พวกเขาเลยจะถอดมันเป็นชิ้น ๆ เพื่อแบ่งกัน ปู่เขาก็เลยต้องไปห้าม

เมื่อเช้าพอกินข้าวเสร็จปู่ก็ออกไปกับพวกสมาชิกเพื่อสะสางเรื่องน่าปวดหัวทั้งหมด”

“เรื่องทำสัญญาของบ้านกับนารวมนี่ เพิ่งจะเริ่มคุยกันเมื่อปีสองปีมานี้เอง ตอนนี้เอามาทำกันจริง ๆ แล้ว ไม่รู้จะเร่งรีบอะไรกันขนาดนี้” หญิงชราว่าพลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้

หลินม่ายเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

หลังจากที่ช่วยคุณย่าฟางเตรียมผักและล้างจานเรียบร้อย หลินม่ายก็ลงมือทำหมูตงปอกับขาหมูตุ๋นที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานทั้งคู่จนเสร็จ

อาหารทั้งหมดพร้อมสำหรับมื้อกลางวัน แต่คุณปู่ฟางก็ยังไม่กลับมา

คุณย่าฟางยืนอยู่ที่ประตูบ้าน ทอดสายตาไปที่หมอกจาง ๆ ท่ามกลางกลุ่มฝนที่ตกอยู่ด้านนอกพลางเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ “ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีกนะ”

หลินม่ายจึงหยิบร่มคู่ใจขึ้นมาแล้วอาสาออกไปดูให้ “เดี๋ยวหนูจะไปดูให้เองค่ะ”

เธอออกเดินไปตามทาง ฝ่าสายฝนที่โปรยปรายลงมาแบบไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไปถึงบริเวณที่ทำการกองทหารซึ่งมีเสียงจอแจดังออกมา บ่งบอกว่ามีผู้คนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น

หญิงสาวเข้าไปยืนร่วมกับฝูงชนอย่างเงียบ ๆ เพื่อสังเกตการณ์ว่าทุกคนกำลังโต้เถียงเรื่องอะไรกันอยู่ที่นี่

เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านกำลังแนะนำว่าใครที่ต้องการซื้อรถแทรกเตอร์จะสามารถผ่อนจ่ายได้

แต่เป็นเพราะกว่าจะผ่อนค่ารถแทรกเตอร์ได้หมดก็ต้องกินเวลายาวนานมาก ชาวบ้านที่ฟังอยู่จึงไม่เห็นด้วย

การจ่ายเงิน 100 หยวน ติดต่อกันเป็นเวลา 12 ปีเป็นเรื่องง่ายพอ ๆ กับการซื้อวัว ชาวบ้านบางคนสามารถจ่ายเงินจำนวนนี้ได้

แต่ติดที่ว่าควรจะขายมันให้กับใคร

ยังต้องคิดถึงประเด็นที่ว่าราคาของสินค้าแต่ละอย่างไม่ค่อยคงที่เหมือนเมื่อก่อน แต่กลับแพงขึ้นเรื่อย ๆ มาตั้งแต่ช่วงปีใหม่ สินค้าในตลาดมืดเองก็ราคาพุ่งขึ้นเหมือนติดจรวด

กระทะอลูมิเนียมที่ราคาเพียง 3 หยวนในปีที่แล้วกลับต้องใช้เงินถึง 4 หยวนเพื่อซื้อหามันมาในปีนี้

ถ้าปล่อยให้มีคนผ่อนค่ารถแทรกเตอร์นานถึง 12 ปี กว่าจะถึงวันนั้นเงิน 100 หยวนพอเอามาหารแบ่งกันแล้วจะเหลือมูลค่าสักกี่มากน้อย

ชาวบ้านส่วนมากจึงคัดค้านเรื่องการผ่อนรถแทรกเตอร์นี้

นั่นหมายความว่าถ้าต้องการจะซื้อสินค้า ก็ควรที่จะต้องจ่ายเงินแบบเป็นก้อนเดียว

ผู้นำชุมชนเริ่มอธิบายขึ้นมาว่า “ถ้ามีใครซักคนที่จ่ายเงินซื้อรถนี่ด้วยเงินก้อนเดียวได้ มันจะไม่ยุ่งยากเลยซักนิด แต่ผมคิดวิธีนี้ขึ้นมาเพราะว่าไม่มีใครจ่ายไหวไงล่ะ”

“ถ้างั้นท่านก็ต้องแก้ปัญหาด้วย หาวิธีตัดสินมาเลยสิ ว่าจะขายรถแทรกเตอร์นี่ให้ใคร” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

“งั้นก็จับสลากเหมือนตอนขายวัว” หัวหน้าชุมชนเสนอ

แต่ชาวบ้านที่ต้องจับสลากก็ไม่เห็นด้วยอีก

เพราะการซื้อรถแทรกเตอร์แบบผ่อนจ่ายเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากเกินกว่าจะใช้การเสี่ยงดวงเป็นตัวตัดสิน

คุณปู่ฟางที่นั่งฟังอยู่เห็นว่าจนแล้วจนรอดปัญหาก็ยังไม่ได้ข้อสรุปเสียที ประจวบเหมาะกับที่หลินม่ายกำลังมาทางนี้ ท่านจึงลุกขึ้นแล้วโบกมือไปมา “ทุกคนแยกย้ายไปกินข้าวเที่ยงกันก่อนเถอะ เอาไว้เรากลับมาคุยเรื่องนี้กันต่อตอนบ่ายแล้วกัน”

สิ้นคำกล่าวนั้นผู้คนที่ชุมนุมกันอยู่ก็เริ่มสลายตัวไป

ปู่ฟางตรงเข้ามาหาหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เห็นรู้เลยว่าหนูจะกลับมา”

“ช่วงนี้ฝนตกหนักจนทำให้ออกไปขายของไม่ได้ หนูก็เลยพาโต้วโต้วกลับมาเยี่ยมคุณปู่คุณย่าน่ะค่ะ”

หลินม่ายเอ่ยตอบอย่างเรื่อย ๆ ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านพร้อมกับคุณปู่

ทันทีที่เห็นว่ามีหมูตงปอและขาหมูตุ๋น คุณปู่ฟางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

ท่านชอบสองเมนูนี้ที่หลินม่ายเป็นคนทำให้มากที่สุด เพราะสัมผัสที่นุ่มละลายชุ่มฉ่ำด้วยซอสเข้มข้น เหมาะกับคนแก่ที่เริ่มจะฟันไม่ค่อยดี เคี้ยวอาหารเหนียว ๆ ได้ลำบาก

บนโต๊ะอาหาร ผู้อาวุโสทั้งสองถามไถ่เรื่องราวต่าง ๆ ของหลินม่ายและเด็ก ๆ อยู่เรื่อย ๆ

แต่ส่วนมากคนที่ตอบคำถามเหล่านั้นกลับเป็นโต้วโต้ว ในขณะที่หลินม่ายเอาแต่ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ม่ายจื่อ เป็นอะไรไป เธอดูเครียด ๆ นะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เดาว่าม่ายจื่อกำลังคิดหาเงินมาผ่อนแทรกเตอร์แน่เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 80 ความใฝ่ฝันของหลินม่าย

หลินเพ่ยร้องห่มร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม “ม่ายจื่อ… ทำไมเธอถึงใส่ร้ายป้ายสีกันแบบนี้? ครอบครัวเราเคยขายเธอไปแต่งงานแล้วเอาเงินค่าสินสอดมาเป็นค่าเล่าเรียนของฉันเสียที่ไหนกัน? เธอชอบอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เธอยืนกรานว่าจะแต่งงานกับเขาเอง…”

“ฮ่าๆ! เธอคิดว่าที่นี่อยู่ไกลจากหมู่บ้านแถบชนบทแล้วจะพูดจาไร้สาระยังไงก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ความจริงสินะ?”

หลินม่ายปรายตามองหล่อนอย่างนึกดูถูก “อย่าลืมล่ะ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นคนหลอกให้ฉันยอมแต่งงานกับเขา ก็เพื่อที่เขาจะได้ช่วยเธอโกงเงินค่าสินสอดยังไงล่ะ จนป่านนี้แล้วเขายังถูกขังอยู่ที่เรือนจำเจาหยางในฮั่นโข่วเพราะข้อหาฉ้อโกงการแต่งงานอยู่เลย ใครก็ตามที่อยากรู้ว่าความจริงเป็นมายังไง ถ้าพวกคุณไปที่เรือนจำเจาหยางในฮั่นโข่ว แล้วสืบหาว่าทำไมอู๋เสี่ยวเจี๋ยนถึงโดนคุมขัง พวกคุณจะรู้เองว่าคำพูดของใครกันแน่ที่โกหก!”

ชาวบ้านได้ยินแบบนั้นแล้วต่างก็มองไปทางหลินเพ่ยด้วยสายตาดูถูก ทำให้หล่อนรู้สึกราวกับถูกลำแสงอำมหิตส่องตรงมาที่แผ่นหลังของตัวเองตลอดเวลา

ต่อให้หล่อนจะมีไหวพริบว่องไวขนาดไหน หรือเสแสร้งแสดงละครเก่งเพียงใด แต่ตอนนี้กิริยาท่าทางของหล่อนไม่สามารถเสแสร้งต่อไปได้อีก

บรรดาชาวบ้านเห็นท่าทางของหล่อนแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่พูดจริง และฝ่ายไหนกันแน่ที่โกหก

หลินม่ายถามซุนกุ้ยเซียงอย่างประชดประชัน “อะไรกัน คุณกลายเป็นใบ้ไปแล้วหรือ? ฉันถามว่าทำไมลูกสาวคนโตของคุณถึงถูกไล่ออกจากโรงเรียน แค่นี้ยังตอบคำถามของฉันไม่ได้เลย ในเมื่อคุณไม่ยอมตอบ ถ้าอย่างนั้นฉันจะตอบให้แล้วกัน ก็เพราะลูกสาวของคุณไปเรียนโดยสวมรอยใช้ชื่อกับผลการเรียนของฉันยังไงล่ะ ฉันส่งเรื่องร้องเรียนไปที่สำนักงานการศึกษาเพื่อเปิดโปงความจริงทั้งหมด หล่อนถึงถูกไล่ออกจากโรงเรียน”

ว่าแล้วเธอก็ขมวดคิ้ว “ฉันแค่รู้สึกแปลกใจ ลูกสาวของคุณแย่งชิงในสิ่งที่ควรจะเป็นของฉันไปแท้ ๆ แต่ทำไมถึงกลายเป็นฉันที่ไปทำลายชีวิตหล่อนเสียได้?”

ชาวบ้านต่างพากันโวยวาย หันไปพูดคุยกันว่า “พวกหล่อนต่างก็เป็นลูกในไส้ของหล่อนเหมือนกัน แต่ทำไมถึงปฏิบัติต่อพวกหล่อนแตกต่างกันราวหน้ามือกับหลังมือ เป็นแม่คนยังไงถึงได้ลำเอียงรักลูกไม่เท่ากันได้ขนาดนี้?”

ใครคนหนึ่งคาดเดา “น่ากลัวว่าลูกสาวคนโตของนางจะเป็นลูกในไส้ แต่ลูกสาวคนเล็กไม่ใช่น่ะสิ…”

ซุนกุ้ยเซียงได้ยินก็รีบหันไปแก้ต่าง “อย่าเดาอะไรส่งเดชนะ หล่อนก็เป็นลูกในไส้ของฉันเหมือนกัน!”

พูดจบก็ชี้นิ้วไปทางหลินม่าย “แค่เพราะตั้งแต่มันเกิดมา ก็มีแต่จะทำให้พ่อกับแม่อับจนลง!”

ชาวบ้านไม่ยอมรับข้อกล่าวหาของนาง “ต่อให้พวกคุณสองผัวเมียจะลำบากแค่ไหน ถึงยังไงหล่อนก็เป็นลูกแท้ ๆ ของพวกคุณไม่ใช่หรือ? คุณไม่ควรใจไม้ไส้ระกำกับหล่อนแบบนั้น!”

ชาวบ้านอีกคนหนึ่งพูดเสริมขึ้นมา “คุณอาจจะเกลียดที่ม่ายจื่อเกิดมาแล้วทำให้ครอบครัวตกระกำลำบาก แต่ทำไมคุณไม่ลองนึกย้อนดูบ้างว่าพวกคุณสองผัวเมียปฏิบัติกับหล่อนเลวร้ายอย่างไร? มิฉะนั้นหล่อนจะต่อต้านแม่แท้ ๆ ของตัวเองถึงขนาดนี้เลยหรือ? ที่หล่อนหนีออกมาแบบนี้ต้องมีเหตุผลแน่!”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

บางคนตำหนิซุนกุ้ยเซียง “ต่อให้ชาติก่อนเคยเป็นศัตรู ชาตินี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวดองเป็นแม่ลูก กลับไม่ให้ความรักกับหล่อน แต่ปฏิบัติต่อหล่อนอย่างโหดร้ายเพื่อแก้แค้น แล้วเมื่อไหร่กงเกวียนกำเกวียนถึงจะสิ้นสุดกัน?”

ซุนกุ้ยเซียงได้ยินคำพูดของชาวบ้านแล้วกลับพูดอะไรไม่ออก

ความจริงแล้วจดหมายร้องเรียนของหลินม่ายถูกส่งไปถึงสำนักงานการศึกษาประจำเขตตั้งแต่ปีก่อน แต่ด้วยช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับเทศกาลฉลองปีใหม่ ทำให้สำนักงานไม่มีเวลาจัดการเรื่องยิบย่อยเหล่านี้

จนกระทั่งหลังเทศกาลโคมไฟ สำนักงานการศึกษาประจำเขตถึงได้ส่งต่อจดหมายร้องเรียนของหลินม่ายไปยังสำนักงานการศึกษาประจำอำเภออวิ๋นไหล สั่งให้พวกเขาตรวจสอบความจริงอย่างละเอียด

การตรวจสอบความจริงให้กระจ่างไม่ใช่เรื่องยากเกินกำลัง ใช้เวลาไม่นานเรื่องทั้งหมดก็เปิดเผย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานเดินทางไปเยี่ยมโรงเรียนที่พี่สาวของหลินม่ายกำลังศึกษาอยู่ทันที

หลังจากหลินเพ่ยถูกไล่ออกจากโรงเรียน หล่อนก็เอาแต่ร้องไห้อย่างหนักอยู่ที่บ้าน

ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอันสดใส แต่หลินม่ายยังทำให้หล่อนไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ จนไม่มีปัญญาหาทางจับผู้ชายฐานะดีได้อีกต่อไป ความฝันของครอบครัวตระกูลหลินที่หวังจะพึ่งพาหล่อนก็พลอยพังทลายตามไปด้วย

เรื่องนี้กระตุ้นความเกลียดชังของหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาที่มีต่อหลินม่ายมากกว่าเดิมหลายร้อยพันเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น อู๋เสี่ยวเถา น้องสาวคนโตของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เกลียดชังหลินม่ายไม่แพ้กัน ที่เธอเป็นต้นเหตุทำให้พ่อ แม่ และพี่ชายของตัวเองต้องติดคุก

ชีวิตการแต่งงานของหล่อนที่เกือบจะเป็นไปได้สวยพังทลายไม่เหลือชิ้นดี ครอบครัวต้องมาตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน งานบ้านและงานเกษตรกรรมทั้งหมดตกมาอยู่ที่หล่อนเพียงคนเดียว

ช่วงเวลาที่หล่อนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หล่อนตัดสินใจเดินขึ้นเขา ตั้งใจตรงดิ่งไปที่บ้านตระกูลหลิน

หล่อนบอกเล่าเรื่องทั้งหมดกับหลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงผู้เป็นภรรยาของเขา ว่าตอนนี้หลินม่ายซื้อบ้านอยู่ในตัวเมือง แถมยังยุยังให้พวกเขาไปขอเงินค่าเลี้ยงดูจากหลินม่าย

หลังจากนั้นซุนกุ้ยเซียงจึงเดินทางเข้าเมืองพร้อมกับหลินเพ่ยเพื่อหวังแก้แค้น

ใครจะคิดว่านอกจากจะแก้แค้นไม่สำเร็จแล้ว ยังถูกหลินม่ายแฉความชั่วร้ายกลางสาธารณชนด้วยคำพูดแค่ไม่กี่ประโยค

สองแม่ลูกแก้แค้นหลินม่ายไม่ได้ แถมยังไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากเธอเลยแม้แต่อย่างเดียว ดังนั้นพวกหล่อนจึงจำใจแบกหน้ากลับไปท่ามกลางการประณามจากชาวบ้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเพ่ยมีโอกาสเข้ามาในเมือง ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองใหญ่ดึงดูดใจหล่อนแทบจะทันที จนหล่อนไม่อยากกลับไปเหยียบหมู่บ้านสกุลหวังที่อยู่ห่างไกลอีกต่อไป

เพียงแต่ในเมืองนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับหล่อน ต่อให้ไม่อยากกลับแค่ไหนก็ไม่อาจทำตามใจปรารถนาได้

ทันทีที่ก้าวขึ้นรถไฟ หล่อนก็มองย้อนกลับไปยังสถานีรถไฟซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนกันพลุกพล่านด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์

…..

แผงลอยของแม่ต้าเป่าขายไม่ดีอย่างที่วาดหวัง หล่อนขายเกี๊ยวได้ไม่ถึงวันละห้าชามด้วยซ้ำไป

เดือนแรกผ่านพ้นไปแล้ว จนปฏิทินสุริยคติเคลื่อนเข้าสู่เดือนมีนาคม

ทันทีที่เข้าสู่เดือนมีนาคม สภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงได้ก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างสมบูรณ์ ต้นหลิวเริ่มแตกใบ ดอกไม้หลากสีสันผลิบานประชันโฉมกันอย่างเต็มที่ แม้แต่ต้นอิงฮวายังผลิดอกสีชมพูจนเต็มต้น

ไม่ว่าจะท้องถนนหรือตามตรอกซอกซอยล้วนเต็มไปด้วยบรรยากาศอันสดใส ผู้คนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับฤดูกาลกันแล้ว

ขณะเดียวกัน สภาพอากาศแบบนี้ยิ่งทำให้อาหารที่ทิ้งไว้ค้างคืนเน่าเสียได้ง่าย

ไส้เกี๊ยวที่แม่ต้าเป่าห่อขายเป็นประจำเสียตั้งแต่เมื่อวาน แต่วันรุ่งขึ้นหล่อนก็ยังเอามันมาห่อแป้งและขายให้กับลูกค้า

ด้วยเหตุนี้ลูกค้าหลายคนที่อุดหนุนเกี๊ยวร้านหล่อนจึงท้องเสียไปตาม ๆ กัน ต่างเรียกร้องให้แม่ต้าเป่าแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

แต่แม่ต้าเป่ากลับปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าอาการท้องเสียของพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเกี๊ยวร้านหล่อนทั้งนั้น ทั้งยังขายเกี๊ยวที่ห่อด้วยไส้ที่เน่าแล้วเน่าอีกต่อไป

ลูกค้าที่ถูกแม่ต้าเป่าปฏิเสธความรับผิดชอบจึงไปร้องเรียนพฤติกรรมของหล่อนกับเทศกิจทันที

ถึงแม้พวกเขาจะกำหนดเป้าหมายอย่างเฉพาะเจาะจงไปที่แม่ต้าเป่าแค่คนเดียว แต่เจ้าหน้าที่เทศกิจกลับกำหนดเป้าหมายไปที่ผู้ค้ารายย่อยทั้งหมดที่ไม่มีใบอนุญาตการค้า

ทุกเช้าเวลาเจ็ดโมงตรง เจ้าหน้าที่เทศกิจจะมุ่งเน้นปราบปรามผู้ค้ารายย่อยบริเวณท่าเรือเป็นพิเศษ

ยุคสมัยนี้ไม่มีรถขายอาหารเหมือนยุคสมัยปัจจุบันในความทรงจำของหลินม่าย ถ้ามียานพาหนะแบบนั้น ตราบใดที่เจ้าหน้าที่เทศกิจมาก็แค่เก็บข้าวของแล้วขับรถหนี

ในยุคนี้พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยทั้งหลายต่างก็ใช้รถเข็นกันทั้งนั้น

เมื่อเจ้าหน้าที่เทศกิจมาถึง พวกเขาต้องกระวีกระวาดยกอุปกรณ์ทำมาหากินของตัวเองขึ้นบนรถเข็นให้เกลี้ยง แล้วลากรถเข็นวิ่งหนี

แต่กระบวนการที่ว่าค่อนข้างกินเวลาทีเดียว ทำให้เสี่ยงถูกจับได้ง่าย ๆ

ภายในระยะเวลาแค่สามวัน ผู้ค้าแผงลอยจำนวนมากถูกบีบบังคับให้ปิดแผงขายของอย่างถาวร

คนอื่น ๆ อาจจะเลิกค้าขายได้ เพราะพวกเขาต่างเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านหรือเมืองใกล้เคียง

ถึงแม้ไม่ได้เปิดแผงขายอาหาร อย่างน้อยกลับบ้านไปทำนาก็ยังพอมีพอกิน

หลังช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ หมู่บ้านในเมืองต่าง ๆ ได้รับการจัดระเบียบอย่างเป็นรูปธรรม มีการทำสัญญาว่าจ้างและจัดสรรที่ดินทำกินให้แต่ละครัวเรือน

ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านในตัวเมืองจึงหันมาพึ่งพาการทำนาหรือปลูกผักขาย แน่นอนว่ารายได้ดีไม่แพ้กัน

ตรงกันข้าม ถ้าหลินม่ายไม่เปิดแผงขายอาหาร อาศัยกินใช้เงินเก็บเพียงอย่างเดียว เธอจะอยู่รอดไปได้อีกนานแค่ไหนกัน?

ในเมื่อไม่สามารถขายเกี๊ยวแบบเดิมได้ จึงตัดสินใจเปลี่ยนมาขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว

อาหารทั้งสองอย่างนี้สามารถเตรียมไว้ให้พร้อมตั้งแต่ที่บ้าน แค่ขนขึ้นรถเข็นแล้วลากออกไปก็ขายได้แล้ว

ถ้าเจ้าหน้าที่เทศกิจออกลาดตระเวนเมื่อไหร่ เธอก็แค่ลากรถเข็นวิ่งหนีไป ไม่ต้องเสียเวลาปิดแผงหนีเหมือนสมัยขายเกี๊ยว

หลินม่ายขายเกี๊ยว ฟางจั๋วหรานก็ตามมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธอไม่ได้ขาด

พอเธอเปลี่ยนไปขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว เขาก็ตามมาอุดหนุนอาหารทั้งสองอย่างที่เธอทำเหมือนแฟนพันธุ์แท้

ถึงอย่างนั้นก็มีหลายครั้งที่เขายังไม่ทันควักเงินออกมาจ่ายค่าอาหารเช้า จู่ ๆ เทศกิจก็ออกปฏิบัติหน้าที่

หลินม่ายรีบร้อนลากรถเข็นวิ่งหนีไปเหมือนกับสายลมกระโชกแรง ทิ้งให้เขายืนเคว้งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเงินในมือ

ทุกครั้งที่เขาเห็นผู้หญิงร่างผอมบางอย่างหลินม่ายลากรถเข็นหนัก ๆ หลบหนีเทศกิจ เขาอดรู้สึกสงสารเห็นใจเธอไม่ได้

เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันกับเธอคนไหนทำงานหนักเท่าเธอมาก่อนเลย

เธอทำงานหนักก็จริง แต่ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา ราวกับเธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองลำบาก

เช้าวันนี้ ฟางจั๋วหรานยังตามไปอุดหนุนอาหารเข้าจากร้านของหลินม่ายเช่นทุกครั้ง

คราวนี้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นดี เขาซื้ออาหารที่ต้องการเสร็จสรรพแล้ว แต่เทศกิจยังไม่ออกมาปฏิบัติหน้าที่

เหตุผลหลักคือช่วงนี้ไม่มีผู้ค้าแผงลอยมาตั้งแผงขายอาหารที่ท่าเรืออย่างคับคั่งเหมือนเมื่อก่อน ทำให้เจ้าหน้าที่เทศกิจเริ่มผ่อนคลายมาตรการปราบปรามลงบ้าง

ฟางจั๋วหรานกัดซาลาเปาเข้าไปคำหนึ่งพลางพูดว่า “ผมว่าคุณควรเปลี่ยนอาชีพไปทำงานที่มีความมั่นคงกว่านี้ได้แล้ว มัวเล่นซ่อนแอบกับเทศกิจทุกวันแบบนี้ไม่ดีหรอก คุณจะเหนื่อยเกินไป”

“ฉันชินกับมันแล้วค่ะ” ระหว่างการสนทนา ลูกค้าสองสามรายก็มาซื้ออาหารเช้าจากเธอ

หลินม่ายขายอาหารเช้าให้พวกเขาพร้อมกับรับเงินทอนเงินไปด้วย “หางานที่มั่นคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะคะ ต่อให้หาเจอ แต่เงินเดือนที่ได้รับคงไม่มากมายอะไรนักหรอก ทำอาชีพค้าขายต่อไปยังมีรายรับมากกว่าเสียอีก”

ตอนนี้เธอเปลี่ยนมาขายซาลาเปากับไข่ต้มดองซีอิ๊ว ถึงแม้ต้องคอยลากรถเข็นหลบเลี่ยงเทศกิจทุกวัน แต่ข้อดีก็คือสามารถขายของได้ตั้งแต่หกโมงครึ่งไปจนถึงสิบโมงครึ่งเลยทีเดียว แถมยังขายต่อได้ในช่วงเวลาหลังอาหารมื้อกลางวันอีก เธอทำเงินได้มากกว่าขายเกี๊ยวด้วยซ้ำ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะให้เธอยอมแพ้กลางคันได้อย่างไร?!

เธอยังคิดว่าจะเก็บออมเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับเปิดร้านเป็นหลักแหล่งแทนการตั้งแผงลอย

เมื่อสองวันก่อน ในขณะที่เข็นรถหลบหนีพวกเทศกิจ เธอเข็นรถข้ามมายังถนนเซิ่งลี่ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือมาประมาณสองช่วงถนนเพื่อเปลี่ยนที่ขายของใหม่ชั่วคราว

เธอเหลือบไปเห็นร้านขายขนมเล็ก ๆ สองสามร้าน จึงอยากหาเช่าพื้นที่สำหรับเปิดร้านของตัวเองบ้าง

เธอไม่อยากเป็นแม่ค้าแผงลอยที่ไม่มีใบอนุญาตการค้าแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรอกนะ

ชีวิตก่อนอาจเคยรันทด แต่ชีวิตนี้เธอไม่มีวันกลับไปเป็นแบบนั้นอีกแน่

ชีวิตนี้เธอยังอยากทำอะไรอีกหลาย ๆ อย่างให้มากขึ้น เพื่อที่จะถีบตัวเองไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตในสักวัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ยัยแม่กับพี่สาวแทนที่จะชนะเขา โดนชาวบ้านรุมประณามกลับไปแทบไม่ทันเลย ว้ายยย

พี่หมอตามกินอาหารฝีมือม่ายจื่อทุกเมนูเลยนะคะ ชอบอาหารหรือชอบคนทำกันแน่คะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 79 หลินเพ่ยพาแม่มาหาถึงหน้าประตูบ้าน

หลินม่ายอยากลองทำธุรกิจขายข้าวผัดไข่ที่ท่าเรือในช่วงเที่ยงของวันหยุดสุดสัปดาห์มานานแล้ว

วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี อากาศปลอดโปร่ง เจ้าหน้าที่เทศกิจไม่ออกลาดตระเวน

วันก่อนเธอไปที่ตลาดมืดแล้วซื้อไข่มาเป็นจำนวนมาก ทั้งยังขอให้ลุงฉีช่วยมาส่งต้นหอมหนึ่งชั่งกับแครอทอีกสองสามชั่งในวันนี้

หลังจากเสร็จสิ้นการค้าขายในช่วงเช้า หลังจากกลับมาถึงบ้านก็จัดการหุงข้าวหม้อใหญ่ไว้สองหม้อ พอสุกแล้วก็พักทิ้งไว้ให้มันเย็น

ข้าวที่เพิ่งหุงสุกจากหม้อหมาด ๆ ไม่เหมาะนำมาทำข้าวผัดไข่ ถ้าปล่อยให้ข้าวเย็นแล้ว เมล็ดข้าวจะแยกตัวจากกันจนร่วนพอดี ข้าวผัดไข่ที่ทำจากเมล็ดข้าวในลักษณะนี้จะมีรสหอมหวานอร่อยและดูน่ารับประทานที่สุด

ถึงแม้คนในยุคสมัยนี้จะไม่มีความต้องการทางอาหารสูงมากนัก แต่หลินม่ายที่ขลุกอยู่กับอุตสาหกรรมการจัดเลี้ยงเป็นเวลาหลายสิบปีในช่วงชีวิตก่อนหน้า ย่อมใส่ใจด้านอาหารการกินมากกว่าคนอื่น ๆ

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีหม้อหุงข้าวไฟฟ้า เธอจึงต้องหุงข้าวด้วยหม้อเหล็กใบใหญ่

หลังจากตักข้าวออกมาจนหมดแล้ว ก้นหม้อจะเหลือชั้นข้าวที่ไหม้เกรียมติดกันเป็นแผ่นใหญ่

หลินม่ายใช้ไม้พายตัดข้าวก้นหม้อดังกล่าวออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปคลุกเคล้าเคลือบด้วยแป้งบาง ๆ ก่อนจะโยนลงทอดในน้ำมันเดือด ได้ขนมกินเล่นแสนอร่อยอีกอย่างหนึ่ง

หลินม่ายเตรียมของพร้อมขายข้าวผัดไข่ในช่วงเที่ยงวันแล้ว โต้วโต้วเริ่มหิว ยังดีที่มีข้าวก้นหม้อทอดกรอบกินประทังไปพลาง ๆ

ประมาณสิบเอ็ดโมง หลินม่ายก็ออกจากบ้านไปขายข้าวผัดไข่ที่ท่าเรือ

ในเมืองเจียงเฉิง วันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ร้านอาหารขนาดเล็กในตัวเมืองจะค่อนข้างแออัด การหาของกินหลังเหน็ดเหนื่อยจากการจับจ่ายซื้อของจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

ทันทีที่แผงลอยของหลินม่ายตั้งเสร็จเรียบร้อย ก็มีคนเดินเข้ามาถามไถ่เธอว่าขายอะไร

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าวผัดไข่ค่ะ”

ในอีกไม่กี่ทศวรรษ ข้าวผัดไข่จะถือเป็นหนึ่งในอาหารอันโอชะซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แต่ในช่วงทศวรรษ 1980 หลายคนคงไม่ค่อยรู้จักเมนูนี้เท่าไรนัก

ลูกค้าถามราคา พอได้ยินว่าเธอขายมันในราคาแค่ยี่สิบห้าเหมาต่อชามเท่านั้น ก็ลองอุดหนุนเธอชามหนึ่งทันที

น้ำมันที่เธอได้จากการเจียวมันหมูก่อนหน้านี้ถูกใช้ไปไม่มาก เหตุผลสำคัญก็เพราะหลินม่ายไม่ชอบกินน้ำมันหมู

ส่วนโต้วโต้วก็มีเกี๊ยวกับเนื้อแดดเดียวและกุนเชียงไว้กินไม่ได้ขาด ดังนั้นหล่อนจึงแทบไม่ขาดสารอาหารประเภทน้ำมันเลย เพราะอย่างนี้บ้านของเธอจึงไม่ค่อยได้บริโภคน้ำมันหมูสักเท่าไหร่

หลินม่ายจึงใช้น้ำมันหมูสำหรับทำข้าวผัดไข่อย่างไม่เสียดาย

เธอตักน้ำมันหมูที่มีลักษณะข้นเป็นก้อนเหมือนไขมันแกะช้อนหนึ่งลงไปในกระทะที่ตั้งไฟจนร้อน

น้ำมันหมูละลายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อโดนความร้อน กลิ่นของน้ำมันลอยคลุ้งไปในอากาศชวนให้น้ำลายสอ

สิ่งที่ผู้คนในยุคนี้ชื่นชอบมากที่สุดอย่างไรก็คงหนีไม่พ้นน้ำมันที่ได้จากสัตว์

หลินม่ายเติมไข่ที่ตีแล้วลงไปในน้ำมันหมู ทันใดนั้นกลิ่นหอมของไข่ที่ผสมเคล้ากับกลิ่นหอมของน้ำมันหมูก็ยิ่งทวีความดึงดูดจนนิ้วชี้ขยับ(1)

ยิ่งมีหลายคนเดินผ่านมา พวกเขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจรับกลิ่นหอมนั้นเข้าไปจนสุดปอด หวังซึมซับกลิ่นหอมให้ได้มากที่สุด

ทันทีที่ไข่ถูกตีลงในกระทะจนส่งกลิ่นหอม เธอก็ใส่ต้นหอมซอยสีเขียวและแครอทสีส้มหั่นเต๋าลงไป ตามด้วยหัวไชเท้าดองที่หั่นเต๋าแล้วเช่นเดียวกัน ชูกลิ่นให้หอมชวนรับประทานยิ่งขึ้น ดึงดูดให้เหล่าลูกค้ามารวมตัวกันอยู่หน้าแผงของเธอ

ข้าวผัดไข่ของหลินม่ายนอกจากจะมีกลิ่นหอมแล้วยังมีรสชาติดีอีกด้วย หลายคนพากันชื่นชมไม่หยุดปาก

คนหนึ่งซื้อ อีกคนหนึ่งก็ซื้อตาม ธุรกิจเป็นไปด้วยดีเกินคาด

หลังจากได้รับความยินยอมจากลูกค้าแล้ว หลินม่ายก็จัดการทำข้าวผัดไข่กระทะละสามชามต่อหนึ่งครั้ง

ใช้วิธีนี้ไม่เพียงแต่ประหยัดเวลา ลูกค้าจะได้ไม่ต้องรออาหารนานจนเกินไป

ข้าวผัดไข่ห้าสิบชามถูกขายจนหมดเกลี้ยงภายในเวลาแค่ชั่วโมงกว่า ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่พลาดโอกาสกินของอร่อย

เรียกได้ว่าหลินม่ายถึงขั้นหยิบจับทำอะไรไม่ถูก เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีแค่สองมือ แถมยังมีลูกที่ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้นจึงไม่สามารถเปิดแผงขายนานเกินไป ขายได้เท่าไรก็เท่านั้น

ถ้าเธอมีผู้ช่วยคงค้าขายได้คล่องตัวกว่านี้มาก แต่ปัญหาก็คือเธอไม่มีผู้ช่วยน่ะสิ

ถึงแม้วันนี้เธอจะขายข้าวผัดได้แค่ห้าสิบชาม แต่ก็ทำเงินได้ตั้งหกหยวนเลยทีเดียว ถือเป็นรายได้ที่น่าพึงพอใจมาก

หลังจากปิดแผงลอย พอกลับถึงบ้าน หลินม่ายก็เข้าครัวทำอาหารกลางวันสำหรับสองแม่ลูก

เมนูวันนี้เป็นซุปเต้าหู้ตุ๋นแบบง่าย ๆ ต้มรวมกับลูกชิ้น ผักชี และผักใบเขียวอีกจำนวนหนึ่ง เท่านี้อาหารมื้อกลางวันก็พร้อมเสิร์ฟ

ทันทีที่สองแม่ลูกนั่งลงบนโต๊ะเพื่อกินอาหารกลางวัน พวกเธอก็เห็นหงเซียง ลูกสะใภ้คนโตของป้ากู่รีบร้อนเดินเข้ามาพร้อมกับทำสีหน้าจริงจัง “ม่ายจื่อ ไม่ดีแล้ว มีคนกำลังตามหาเธออยู่!”

หลินม่ายหน้าเสีย “ใครตามหาฉันกัน?”

ไม่ว่าคนที่ตามหาเธอจะเป็นใครก็ตาม แต่ดูจากสีหน้าของหงเซียงแล้วคงหนีไม่พ้นศัตรูแน่

หงเซียงตอบกลับ “ผู้หญิงสองคน อ้างว่าตัวเองเป็นแม่กับพี่สาวของเธอ พวกหล่อนมาสืบถามที่อยู่ของเธอจากผู้คนในหมู่บ้านน่ะ ฉันคิดว่าถ้าพวกหล่อนเป็นแม่กับพี่สาวของเธอจริง ๆ พวกเขาจะไม่รู้ที่อยู่ของเธอเลยเชียวหรือ แปดในสิบจะต้องเป็นคนเลวแน่ ๆ เพราะอย่างนี้ฉันถึงได้มาเตือนเธอ”

หลินม่ายเกิดความสงสัย ทำไมจู่ ๆ หลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงถึงมาที่นี่ได้? แถมยังรู้อีกด้วยว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่?

ขณะนั้นเอง เสียงเย้ยหยันของแม่ต้าเป่าก็ดังขึ้นมาจากนอกลานบ้าน “ลูกสาวของคุณมุดหัวอยู่ในบ้านหลังนี้แหละค่ะ ถ้าพวกคุณเข้าไปแล้วอย่าลืมสั่งสอนบทเรียนให้หล่อนหลาบจำด้วย คนอะไร๊ หนีมาใช้ชีวิตสุขสบายอยู่ในเมือง ปล่อยให้พ่อแม่ของตัวเองต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ในชนบท ตบบ้องหูหล่อนให้รู้สำนึกหน่อยก็ดี!”

หลังจากนั้น สองแม่ลูกก็เดินตามแม่ต้าเป่าเข้ามา หลินเพ่ยกับแม่ของหล่อนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูบ้าน

แม่ต้าเป่าไม่เดินเข้าไป หล่อนเอนตัวพิงกรอบประตูพร้อมกับแทะเมล็ดแตงโมในมือไปด้วย ราวกับตั้งหน้ารอรับชมเหตุการณ์สนุก ๆ หลังจากนี้

ทันทีที่ซุนกุ้ยเซียงเดินเข้ามาภายในลานบ้านได้ เมื่อเห็นหลินม่ายก็พุ่งพรวดเข้าไปหาทันทีราวกับสุนัขบ้า “นังสารเลว แกนี่มันจิตใจเลวทรามต่ำช้าจริง ๆ กล้าดียังไงถึงทำให้พี่สาวของแกหมดอนาคตร่ำเรียนหนังสือ วันนี้ถ้าฉันฆ่าแกไม่ได้ก็อย่าเรียกว่าคนอีกเลย!”

หงเซียงรีบเข้าไปห้ามปราม “ฉันว่านะแม่ม่ายจื่อ ถ้าคุณมีปัญหาจะสะสางกับเธอก็ค่อยพูดค่อยจากันดี ๆ มาหาเรื่องทุบตีคนตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าแบบนี้ได้ยังไง?”

แม้ว่าหมู่บ้านซานหยางจะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง แต่ชาวบ้านที่นี่ก็ชอบสอดส่องเรื่องของคนอื่นไม่ต่างจากชาวบ้านที่อยู่ในแถบชนบท

เมื่อใดก็ตามที่เกิดเรื่องขึ้นกับบ้านใดบ้านหนึ่ง ทุกคนต่างพร้อมใจกันเข้ามามุงดูเหตุการณ์

บ้านของหลินม่ายมีเสียงเอะอะโวยวายดังลั่น อีกทั้งแม่ต้าเป่ายังยืนอยู่หน้าประตูบ้านของเธอและเอาแต่ราดน้ำมันเข้ากองเพลิง มันจึงดึงดูดชาวบ้านจำนวนมากให้มามุงดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

พอชาวบ้านได้ยินว่าซุนกุ้ยเซียงกำลังจะทุบตีใครสักคน พวกเขาต่างก็ก้าวออกไปข้างหน้าแล้วช่วยกันจับตัวนางไว้ ไม่ปล่อยให้นางกระทำการป่าเถื่อนตามใจชอบ

ซุนกุ้ยเซียงพยายามกระโดดและดิ้นรนหนีจากฝูงชนอย่างสุดความสามารถ “ฉันจะแฉให้ทุกคนรู้เดี๋ยวนี้ นังสารเลวนี่ทำลายอนาคตพี่สาวของมันอย่างไม่น่าให้อภัย ฉันมาที่นี่ก็เพื่อเอาเรื่องมัน!”

หลินเพ่ยเหลือบมองไปบนโต๊ะอาหารกลางบ้าน เห็นว่าในชามมีซุปเต้าหู้ตุ๋นกับลูกชิ้น ถือว่าเป็นอาหารชั้นดี

ปีปีหนึ่งครอบครัวของหล่อนไม่มีโอกาสได้กินเต้าหู้หรือเนื้อสัตว์บ่อยครั้งนัก มื้อที่ดีที่สุดมาจากการลงน้ำจับปลาแค่ไม่กี่ตัวมาปรุงอาหาร

แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับแตกต่างจากชีวิตความเป็นอยู๋ของหล่อนโดยสิ้นเชิง นังแพศยานี่กินลูกชิ้นกับเต้าหู้จริง ๆ ด้วย!

หล่อนบีบน้ำตาร้องไห้ออกมาทันที พูดจาคร่ำครวญขณะที่น้ำตาไหลรินลงเป็นสาย “ม่ายจื่อ เธอจะทำลายชีวิตฉันยังไงก็ตาม ฉันไม่โทษเธอหรอก แต่เธอจะละเลยพ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้ รู้ไหมว่าแต่ละวันบ้านเรากินอะไร ทุกมื้อมีแค่มันเทศกับผักต้มแค่พอประทังชีวิตไปวัน ๆ เธอ… เธอกลับหนีมาหลบอยู่ในเมืองแล้วกินของดี ๆ แบบนี้…”

ถึงแม้ชาวบ้านในหมู่บ้านซานหยางจะมีความประทับใจที่ดีต่อหลินม่าย แต่ในฐานะที่เธอเป็นลูก เธอกลับไม่สนใจว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองจะเป็นหรือตายอย่างไร สิ่งนี้ทำให้ชาวบ้านที่ยึดมั่นในคุณธรรมไม่ยอมรับการกระทำด้านนี้ของเธอเลย

สายตาของทุกคนที่มองไปทางหลินม่ายเริ่มฉายแววซับซ้อน

หลินม่ายเพิกเฉยต่อเสียงร้องไห้คร่ำครวญของหลินเพ่ย เธอเดินเข้าไปหาซุนกุ้ยเซียง ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ฉันทำลายชีวิตลูกสาวคนโตของคุณงั้นเหรอ? ช่วยบอกฉันต่อหน้าทุกคนในที่นี้ทีเถอะว่าฉันทำลายชีวิตหล่อนอย่างไร?”

ซุนกุ้ยเซียงแค่นเสียง “เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียน ไม่มีโรงเรียนไหนรับเข้าเรียนอีก นี่ยังน่าสมเพชไม่พออีกรึ?!”

ในใจของหลินม่ายแทบกระโดดชูกำปั้นด้วยความลิงโลด ในที่สุดจดหมายร้องเรียนที่เธอเขียนและส่งตรงถึงสำนักงานการศึกษาก็เห็นผลเสียที!

เธอถามต่อไปอย่างใจเย็น “ฉันไม่ได้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนเสียหน่อย จะเอาปัญญาที่ไหนไปทำให้ลูกสาวคนโตของคุณถูกไล่ออกจากโรงเรียนได้ มันต้องมีเหตุผลอื่นแน่ คุณบอกเหตุผลที่เฉพาะเจาะจงกว่านี้ให้เราฟังหน่อยไม่ได้หรือ?”

แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่สามารถพูดถึงเหตุผลที่แท้จริงได้

หลินเพ่ยเดินไปข้างหน้าด้วยท่าท่างอ่อนแรง ดึงแขนเธอเอาไว้ “ม่ายจื่อ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ ฉันไม่โทษเธอหรอก ฉันแค่อยากให้เธอช่วยส่งเงินมาเลี้ยงดูพ่อแม่บ้าง เรื่องง่าย ๆ เท่านี้เอง!”

“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน! ฉันขยะแขยงเธอเต็มทน!” หลินม่ายสะบัดมือออก ก่อนจะแค่นเสียงเยาะเย้ย “เธอไม่โทษฉันจริงเหรอ? ถ้าเธอไม่ถือโทษโกรธเคืองฉันจริง เธอคงไม่พาแม่ดั้นด้นมาหาฉันถึงที่นี่หรอก คนที่อยากได้เงินไม่ใช่พวกเขา แต่เป็นเธอต่างหาก! เธอนั่นแหละผีดูดเลือดประจำครอบครัว ถึงขั้นยกฉันให้ไปแต่งงานกับคนอื่นเพื่อแลกเอาสินสอดทองหมั้นที่ได้ไปส่งเสียตัวเองให้ได้เรียนหนังสือ ตอนนี้ยังคิดหาทางปอกลอกฉันโดยเอาชื่อพ่อแม่มาอ้างอีก ขืนได้เงินไปก็ไม่พ้นเอาไปกินใช้และแต่งตัวอย่างฟุ่มเฟือย!”

ถึงหลินม่ายจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยางมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ชาวบ้านรู้แค่ว่าเธอเป็นหญิงสาวที่หย่าร้างกับสามีและมีลูกติดเท่านั้น ไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเธออีก

เมื่อได้ยินว่าพี่สาวของเธอขายเธอไปแต่งงาน แล้วยึดเอาเงินสินสอดที่ได้ไปเรียนหนังสือ ทุกคนจึงมองเธอด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจมากขึ้น

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ปฏิสัมพันธ์ของเธอต่อครอบครัวตัวเองไม่สู้ดีนัก ที่แท้ครอบครัวของเธอก็มีนิสัยไร้มนุษยธรรมอย่างนี้นี่เอง!

………………………………………………………………………………………………………………

นิ้วชี้ขยับ เป็นสำนวนจีน ให้ความหมายประมาณว่าพอเห็นหรือได้กลิ่นอาหารรสเลิศ ก็เกิดอาการเปรี้ยวปากจนน้ำลายสอนั่นเอง

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อได้เมนูใหม่ขายดีอีกแล้ว

จับนังสามคนนี้เข้าคุกให้ไปกินข้าวแดงยาวๆ เถอะค่ะ น่ารำคาญจริง ตามมาหาเรื่องถึงที่บ้านเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 78 วีรบุรุษช่วยสาวงาม(1)

พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันพูดเยาะเย้ย “บ้านของหล่อนคงผลิตเงินเองกระมัง จ่ายเงินค่าเสียหายให้ป้ากู่ยังไม่พอ ต้องมาควักเงินค่าเสียหายให้ลูกค้าร้านเธออีก เป็นแม่แท้ ๆ ยังให้ท้ายลูกชายตัวเองถึงขนาดนี้ แล้วพวกเราจะกล้าเอาผิดจากการกระทำของลูกชายหล่อนหรือ?”

ไม่มีใครเห็นใจแม่ต้าเป่าต่อให้หล่อนเอาแต่นอนเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น แต่แล้วหล่อนกลับเพิกเฉยต่อเสียงเยาะเย้ยของทุกคน ผุดลุกขึ้นมาต่อสู้กับหลินม่ายอย่างไม่ยอมแพ้

หลินม่ายเสียเปรียบในแง่ของความแข็งแกร่งทางร่างกาย แม่ต้าเป่าอาศัยจังหวะช่วงที่เธอไม่ทันระวังตัว เดินอ้อมไปอยู่ด้านหลัง

ถ้าทั้งสองเผชิญหน้ากันอย่างจริงจัง ถือเป็นเรื่องยากที่หลินม่ายจะเอาชนะอีกฝ่ายที่มีรูปร่างอ้วนและมีเรี่ยวแรงเยอะกว่า

ขณะที่เธอหยิบไม้ขึ้นมาแล้วหันหน้าไปทางแม่ต้าเป่าอีกครั้ง แม่ต้าเป่ากลับคว้ามันเอาไว้ได้ พอยื้อแย่งไม้ไปจากมืออีกฝ่ายได้แล้วก็หวดไม้ตีเธอทันที

แต่ยังไม่ทันที่ปลายไม้จะหวดโดนหลินม่าย หล่อนกลับกระเด็นห่างออกไปกลางอากาศเป็นระยะไม่กี่เมตร ราวกับถูกใครสักคนเหวี่ยงออกไป

หลินม่ายหันมองไปทางฟางจั๋วหรานที่มาปรากฏตัวทันเวลาเหมือนเทพเจ้า ส่งยิ้มให้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย “เหมือนคุณมอบถ่านให้ฉันท่ามกลางหิมะ(2)เลยค่ะ ทุกครั้งที่ฉันกำลังประสบปัญหา คุณมักจะมาช่วยฉันตลอดเลย”

“ดีแล้วที่คุณไม่เป็นอะไร”

ขณะที่ฟางจั๋วหรานพูดแบบนั้น เขาก็ยกมือขึ้นจะจัดทรงผมของเธอที่ยุ่งเหยิงจากการทะเลาะเบาะแว้งกับแม่ต้าเป่าให้เรียบร้อย

แต่จู่ ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าการกระทำของตนไม่เหมาะสม จึงลดมือลงตามเดิม

หลินม่ายเป็นฝ่ายยกมือขึ้นสางเส้นผมของตัวเองต่างหวี พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าช้ากว่านี้อีกแค่ไม่กี่วินาทีคงเป็นแน่ค่ะ”

ฟางจั๋วหรานกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะถาม “โต้วโต้วไม่อยู่เหรอ?”

“หล่อนเป็นหวัดค่ะ ฉันเลยปล่อยให้หล่อนนอนพักอยู่ที่บ้าน ไม่อย่างนั้นลมหนาวคงทำให้อาการของหล่อนแย่ลง”

หลินม่ายจัดการตักเกี๊ยวใส่กล่องอาหารกลางวันแล้วยื่นให้ฟางจั๋วหราน

แม่ต้าเป่ารู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ก็รีบแหกปากตะโกนลั่นว่ามีผู้ชายทำร้ายร่างกายผู้หญิง

ผู้ค้ารายย่อยที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันไม่วายเหน็บแนม “ไม่พอใจก็ไปแจ้งความสิ เธอเก่งเรื่องนี้นักไม่ใช่เหรอ?”

เนื่องจากตำรวจตัดสินข้อพิพาทระหว่างแม่ต้าเป่ากับครอบครัวของป้ากู่อย่างสมเหตุสมผล ชาวบ้านจึงไม่หวาดกลัวกระบวนการยุติธรรมอีกต่อไป

ถึงอย่างไรกระบวนการยุติธรรมก็มีไว้ปราบปรามเฉพาะผู้ที่กระทำความผิด ไม่ได้มีไว้สำหรับปราบปรามคนทั่วไป

ต่อให้แม่ต้าเป่าต้องการแจ้งความเท็จ แต่ทางตำรวจไม่ยอมให้หล่อนสมปรารถนาแน่

แม่ต้าเป่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจลุกขึ้นด้วยความสิ้นหวัง

พอฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวหมดแล้วก็ขอตัวจากไป ไม่ลืมกำชับให้หลินม่ายระวังการเล่นตุกติกของแม่ต้าเป่า

หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อย่ากังวลเรื่องฉันเลยค่ะ ถ้าแม่ต้าเป่ายังกล้าทำร้ายร่างกายฉันอีก คราวนี้ฉันจะเป็นฝ่ายขึ้นโรงพักแจ้งความหล่อนเอง หล่อนมีเจตนาทำร้ายคนอื่น ยึดตามกระบวนการยุติธรรม หล่อนคงไม่ถูกตัดสินจำคุกสามถึงห้าปี แต่ถ้าหนึ่งปีครึ่งก็ไม่แน่”

พ่อค้าแม่ค้าหลายรายสนับสนุนให้หลินม่ายไปแจ้งความแม่ต้าเป่าเสีย “ถ้าเธอไปแจ้งความจริงละก็ พวกเรายินดีเป็นพยานให้เธอแน่นอน!”

ถึงแม่ต้าเป่าจะโกรธมากแค่ไหน หล่อนคงไม่กล้าสร้างปัญหาอีกเป็นครั้งที่สองแน่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกจับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

หลังจากขายเกี๊ยวจนหมดแล้ว หลินม่ายก็รีบเก็บข้าวของ ปิดแผงกลับบ้าน

โต้วโต้วเป็นหวัด หัวอกคนเป็นแม่อย่างเธอจะไม่เป็นห่วงลูกได้อย่างไร

เมื่อกลับถึงบ้าน เธอเห็นว่าโต้วโต้วยังไม่ตื่น หลินม่ายรีบเดินเข้าไปใกล้เตียงแล้วใช้ฝ่ามือวัดอุณหภูมิจากหน้าผากของเธอทันที

ถึงแม้จะยังมีไข้ต่ำเหมือนกับเมื่อวาน แต่เมื่อคืนเธอนอนกระสับกระส่ายตลอดเวลา คงต้องพาไปหาหมอ

หลินม่ายจัดแจงเตรียมอาหารเช้าสำหรับพวกเธอสองแม่ลูกก่อน หลังจากนั้นค่อยพาโต้วโต้วไปหาหมอ

เธอถามโต้วโต้วด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า จะได้จัดการทำให้

โต้วโต้วนิ่งคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะตอบว่าอยากกินบะหมี่ไข่ต้ม

อาหารที่หล่อนอยากกินไม่ยุ่งยากนัก ดังนั้นหลินม่ายจึงจัดการทำให้ในทันที ไม่ลืมต้มไข่สามฟองให้หล่อนด้วย

ไข่ต้มของหลินม่ายสุกนิ่มอยู่ในระดับที่กำลังพอดี โต้วโต้วจัดการกินทีละฟองอย่างเอร็ดอร่อย

หลังจากสองแม่ลูกกินอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุงฉีก็มาส่งผักให้พอดี

หลินม่ายรับผักมา แล้วจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อสั่งผักของวันพรุ่งนี้ ก่อนจะพาโต้วโต้วไปหาหมอที่โรงพยาบาลในตัวเมือง

กุมารแพทย์ที่พวกเธอเข้าพบเป็นแพทย์ฝึกหัดที่ทำงานมายังไม่ครบหนึ่งปี

แพทย์ฝึกหัดตรวจดูอาการของโต้วโต้วอย่างถี่ถ้วนด้วยเครื่องมือช่วยฟัง จากนั้นก็ได้ข้อสรุปว่า “หล่อนเป็นไข้หวัดธรรมดาน่ะครับ ผมจะฉีดยาลดไข้ให้ก่อน แล้วจัดยาให้กินตามเวลา อีกไม่นานก็คงหายเป็นปกติ”

หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ลูกสาวของฉันมักจะมีอาการไอและเป็นหวัดอยู่บ่อย ๆ มีสาเหตุอื่นที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ?”

แพทย์ฝึกหัดส่ายหน้า “ไม่น่ามีเหตุผลอื่นแทรกซ้อนครับ พอเด็กโตขึ้นจนมีอายุประมาณสามถึงสี่ขวบ ภูมิคุ้มกันที่ได้รับจากร่างกายของแม่ก็หมดลง ทำให้ภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในร่างกายของตัวเองเริ่มพัฒนาขึ้น ในระหว่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ร่างกายเด็กจะอ่อนแอกว่าปกติ แค่จัดหาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนให้ก็เพียงพอแล้วครับ”

หลินม่ายรู้สึกโล่งใจมากขึ้น

เธอตั้งใจว่าจะไม่ดื่มนมมอลต์ที่มีอยู่ในบ้านแม้แต่จิบเดียว เพื่อที่จะเก็บทั้งหมดไว้ให้โต้วโต้ว

และตั้งใจว่าหลังจากนี้จะทำเมนูไข่ให้เจ้าตัวเล็กกินทุกวัน

หลังจากเข้ารับการตรวจร่างกาย ได้รับการฉีดยา และได้รับยากินครบแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อเนื้อไก่

สมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ในภพชาติก่อนหน้า เธอเคยได้ยินผู้คนร่ำลือกันว่าซุปไก่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้

เธอจึงวางแผนซื้อเนื้อไก่มาเคี่ยวเป็นซุปเพื่อให้เจ้าตัวเล็กดื่ม

แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม โต้วโต้วไม่อยากกินซุปไก่ แต่อยากกินปลาแทน

หลินม่ายจัดแจงซื้อปลาตะเพียนขนาดตัวละครึ่งชั่งมาสองตัว พร้อมกับเต้าหู้ขาวชิ้นใหญ่ หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็เดินเคียงข้างกันกลับบ้าน

ทันทีที่เดินเข้าสู่เขตหมู่บ้าน พวกเธอก็เผอิญเจอกับเฉียนกั๋วเหลียงที่กำลังเดินกะโผลกกะเผลก ถือถุงตาข่ายใบใหญ่ที่ใส่กะละมัง แปรงสีฟัน ผ้าเช็ดตัว และเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไว้ในมือ

เฉียนกั๋วเหลียงเองก็เหลือบไปเห็นสองแม่ลูกเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าหนีด้วยกลัวความผิด

แต่ชาวบ้านคนหนึ่งที่มีผมหงอกเต็มศีรษะกลับหยุดเขาไว้ ถามว่า “กั๋วเหลียง นายออกจากโรงพยาบาลแล้วหรือ?”

เฉียนกั๋วเหลียงตอบรับในลำคอด้วยความกระดากอาย พยายามเดินหนีชาวบ้านคนนั้น

แต่ชาวบ้านคนเดิมยังไม่วายพูดคุยกับเขาต่อไป “แล้วขานายไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้เดินกะเผลกแบบนั้น?”

เฉียนกั๋วเหลียงตอบกลับโดยกดเสียงต่ำ “โดนน้ำร้อนลวกน่ะ”

ชาวบ้านพูดทิ้งท้ายด้วยประโยคที่แฝงด้วยนัยบางอย่าง “คราวหน้าก็ระวังดี ๆ ล่ะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวอีก”

เฉียนกั๋วเหลียงทำเสียงฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะพาตัวเองเดินหนีจากไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว หลินม่ายก็เริ่มตั้งหม้อเคี่ยวเต้าหู้ขาวหั่นชิ้นกับเนื้อปลาตะเพียนเพื่อทำซุปปลาตุ๋น

หลินม่ายยังเด็ดใบโหระพากับใบชาในปริมาณเล็กน้อยลงไปเคี่ยวในซุปปลาตุ๋นด้วย เพื่อให้น้ำซุปมีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น ทั้งยังปราศจากกลิ่นคาว

โต้วโต้วยอมซดซุปปลาไปสองชาม หลังจากนั้นก็เริ่มหนาว ๆ ร้อน ๆ เหงื่อออกโซม ไข้เริ่มลดลงบ้างแล้ว อุณหภูมิร่างกายกลับมาเป็นปกติ

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ไม่ได้พาหล่อนออกไปตั้งแผงขายของด้วยกันแต่เช้าตรู่อีก ปล่อยให้หล่อนนอนหลับอย่างเพียงพอจนกว่าจะตื่นขึ้นเอง อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันด้วยตัวเอง จากนั้นค่อยออกจากบ้าน

พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมทิ้งเงินไว้ให้หล่อนไปซื้ออาหารมื้อเช้าที่ตัวเองอยากกินที่ท่าเรืออีกด้วย

หลินม่ายต้องการปลูกฝังโต้วโต้วทีละน้อยให้หล่อนสามารถดูแลตัวเองได้

ฟางจั๋วหรานแวะไปอุดหนุนเกี๊ยวที่แผงของหลินม่ายเป็นประจำก่อนจะเดินทางไปทำงาน

เขาไม่เห็นหน้าค่าตาโต้วโต้วมาสองสามวันแล้ว จึงอดกังวลเกี่ยวกับหล่อนไม่ได้

วันนี้เขามาที่แผงลอยของหลินม่ายเพื่อกินเกี๊ยวตามปกติ แต่ก็ยังไม่เห็นโต้วโต้ว ในที่สุดก็ถามไถ่ออกมา “โต้วโต้วยังไม่หายดีอีกหรือ?”

ทันทีที่เขาพูดจบ ก็ได้ยินเสียงโต้วโต้วตะโกนเรียกเขาว่า “คุณอา!” ดังมาจากที่ไกล ๆ ก่อนจะพาสองขาสั้น ๆ วิ่งมาหาเขา ด้านหลังมีอาหวงวิ่งตามมาด้วยพร้อมกับส่ายหาง

ฟางจั๋วหรานอุ้มโต้วโต้วขึ้นมา ทาบใบหน้าของตัวเองเข้ากับแก้มสีชมพูนุ่มนิ่มของเด็กหญิงตัวน้อย พลางพยักหน้า “ไม่เป็นไข้แล้วนี่”

โต้วโต้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หนูดื่มซุปปลาที่แม่ทำให้ค่ะ อาการถึงได้ดีขึ้น ซุปปลาตุ๋นฝีมือแม่หนูอร่อยมาก ๆ อีกหน่อยถ้าคุณอาป่วย หนูจะให้แม่ตุ๋นซุปปลาให้คุณอากินนะคะ รับรองว่าคุณอาจะต้องหายป่วยทันทีเลย”

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองไปทางหลินม่าย ก่อนจะพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ แต่อาว่าแม่หนูคงไม่ทำให้อาหรอก…”

“ทำสิ ทำสิ!” เด็กหญิงตัวน้อยใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาไว้ “ถ้าแม่ไม่เต็มใจทำให้คุณอาละก็ คุณอาต้องหอมแก้มแม่หนูสักสองสามฟอด แม่ต้องใจอ่อนทำให้คุณอาแน่ ๆ ค่ะ หนูใช้วิธีนี้ตลอดเลย ถ้าแม่ไม่ยอมทำตามคำขอของหนู หนูจะกอดเธอแล้วหอมแก้มเธอหลาย ๆ ครั้ง หลังจากนั้นแม่ก็ยอมใจอ่อนทุกที”

ลูกค้าหลายรายที่มาอุดหนุนเกี๊ยวร้านหลินม่ายต่างก็หัวเราะด้วยความเอ็นดู เมื่อได้ยินคำพูดไร้เดียงสาของโต้วโต้ว

ฟางจั๋วหรานรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที

พอเขาเหลือบมองไปทางหลินม่ายอีกครั้ง ก็เห็นว่าใบหน้าของเธอแดงก่ำไม่ต่างกันเลย

………………………………………………………………………………………………………………

เป็นสำนวน มีความหมายเดียวกันกับวีรบุรุษขี่ม้าขาว ใช้ในสถานการณ์ที่หญิงสาวมีภัย หรือกำลังเดือดร้อน แล้วมีผู้ชายยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

มอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ เป็นสำนวนอุปมาถึงการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ในยามยาก

สารจากผู้แปล

โต้วโต้วคือหัวหน้าชิปเปอร์ ชิปแรงขนาดนี้เรือหม่าม้ากับคุณหมอต้องแล่นแรงแล้วนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 77 แม่ต้าเป่าแจ้งความ

หลินม่ายตักเกี๊ยวใส่กล่องอาหารกลางวันของฟางจั๋วหราน โดยไม่ลืมที่จะพูดว่า “ขอบคุณนะคะ”

ฟางจั๋วหรานตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน คุณเอาแต่พูดขอบคุณผมแปดในสิบครั้งเลยนะ”

หลินม่ายได้แต่ยิ้ม ไม่ตอบกลับอะไร

ฟางจั๋วหรานอาศัยช่วงที่หลินม่ายกำลังวุ่นวายอยู่กับการขายเกี๊ยว แอบถามเด็กหญิงตัวน้อยว่า “วันนี้ลมแรงมาก ทำไมหนูถึงไม่ใส่ผ้าพันคอที่ลุงซื้อให้ล่ะ?”

เด็กหญิงตัวน้อยตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย “แม่บอกว่าแม่จะคืนผ้าพันคอทั้งสองผืนให้คุณอาค่ะ เพราะแบบนี้แม่ถึงไม่ยอมใส่ให้หนู”

ฟางจั๋วหรานได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

ขณะที่เขากินเกี๊ยวจนหมด หลินม่ายเองก็เพิ่งว่างเว้นจากคลื่นลูกค้าที่เข้ามาอุดหนุนอย่างไม่ขาดสาย

เมื่อเห็นว่าเขาวางกล่องอาหารกลางวันลง เธอรีบหยิบผ้าพันคอทั้งสองผืนออกมาจากถุงผ้าใบหนึ่งบนรถเข็นแล้วส่งคืนให้เขา “ฉันคืนให้คุณค่ะ ฉันคงรับเอาไว้ไม่ได้”

ฟางจั๋วหรานถามกลับ “ทำไมถึงรับเอาไว้ไม่ได้? คุณไม่ชอบเหรอ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่าค่ะ… ฉันแค่คิดว่า… ไม่มีผลงานไม่ควรได้รับรางวัล”

ฟางจั๋วหรานยังคงคลี่ยิ้ม “ของขวัญชิ้นนี้ไม่ใช่รางวัลสำหรับตอบแทนผลงานอะไรทั้งนั้น ทำไมคุณถึงคิดไปในเชิงนั้นเสียได้? ผมแค่กลัวว่าโต้วโต้วที่ออกมาช่วยคุณขายของแต่เช้าจะโดนลมหนาวโกรกจนจับไข้ไปซะก่อน”

“…ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อให้เธอแค่คนเดียวสิคะ ไม่เห็นต้องซื้อเผื่อฉันเลย?”

“เพราะว่าคุณยังเด็ก ผมถึงได้ปฏิบัติต่อคุณอย่างเท่าเทียมกันกับเธอ” ฟางจั๋วหรานพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป

หลินม่ายยืนนิ่งปล่อยให้สายลมพัดเส้นผมปลิวไสว เธอเป็นแม่คนแล้วแท้ ๆ แต่ในสายตาของเขากลับยังมองว่าเธอเป็นเด็ก…

ในเมื่อคืนผ้าพันคอให้เขาไม่สำเร็จ จึงได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลย

เธอหยิบผ้าพันคอของโต้วโต้วขึ้นมาพันรอบคอให้กับอีกฝ่าย

โต้วโต้วมีความสุขมาก หล่อนเสนอให้หลินม่ายสวมใส่ผ้าพันคอเช่นเดียวกัน

หลินม่ายยังรู้สึกละอายใจอยู่บ้าง จึงปฏิเสธข้อเสนอของเด็กหญิงตัวน้อย อ้างว่าตัวเองยืนอยู่หน้าเตาร้อน ๆ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผ้าพันคอเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น

แต่โต้วโต้วไม่ยอมท่าเดียว คะยั้นคะยอให้เธอใส่ให้ได้ ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องสวมตามคำเรียกร้องของลูกสาว

ด้วยความที่เป็นผ้าพันคอกึ่งผ้าคลุมไหล่ ทำให้ปิดคลุมช่วงลำคอได้อย่างมิดชิด

หลังจากปิดแผงขายของและกลับบ้าน หลินม่ายกำลังจะถอดผ้าพันคอออกแต่ก็เกิดความลังเล จึงเดินเข้าไปในห้องเพื่อส่องกระจก

ฟางจั๋วหรานเลือกซื้อผ้าพันคอสีขาวออกนวลให้กับเธอ ซึ่งผ้าพันคอสีนี้สามารถสวมใส่ได้ทุกโอกาส แถมยังเข้ากันกับทุกชุด

น่าเสียดายที่ผิวของเธอคล้ำเกินไป อีกทั้งเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ก็มีราคาถูกแสนถูก ยิ่งมองยิ่งดูไม่เข้ากันเอาเสียเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านหลินม่ายเช่นทุกวัน เมื่อเห็นว่าสองแม่ลูกยอมสวมผ้าพันคอที่เขามอบให้แต่โดยดี จึงยิ้มออกเพราะความพึงพอใจ

วันนี้เขาว่างตลอดทั้งวัน แต่วันพรุ่งนี้และวันมะรืนจะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่อีกครั้ง ทำให้ช่วงสองวันดังกล่าวอาจไม่ได้มากินเกี๊ยวที่ร้านของพวกเธอ

ก่อนออกเดินทาง เขาแวะมาบอกกล่าวกับหญิงสาวและเด็กหญิงเสียก่อน เพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่ต้องรอคอย

อาการของแม่ต้าเป่าไม่รุนแรงมากนัก หลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลสองวันเต็มก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ไม่ได้ตรงดิ่งไปที่บ้านของหลินม่ายเพื่อแสดงละครแขวนคอแต่อย่างใด

เมื่อวานนี้สามีของหล่อนไม่เพียงล้มเหลวเพราะเกลี้ยกล่อมให้หลินม่ายมาขอโทษไม่สำเร็จ แต่ยังถ่ายทอดคำพูดของหลินม่ายและฟางจั๋วหรานให้หล่อนรับรู้อีกด้วย

แม่ต้าเป่ารู้ดีว่าต่อให้ตัวเองไปร้องโวยวายอยู่หน้าประตูบ้านของหลินม่าย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะได้เปรียบ ดังนั้นจึงเลือกที่จะยอมแพ้

หลังจากปิดแผง โต้วโต้วเดินกลับบ้านพร้อมกับหลินม่าย ขณะที่เดินอยู่นั้นก็พูดไปเรื่อยเปื่อย “วันพรุ่งนี้คุณอาจะแวะมากินเกี๊ยวที่ร้านเราก่อนออกเดินทาง เยี่ยมไปเลยค่ะ!”

พอเห็นว่าหลินม่ายไม่ตอบสนอง เด็กหญิงตัวน้อยก็กระตุกชายเสื้อด้านหน้าของผู้เป็นแม่ “แม่ยังอยากให้คุณอามากินเกี๊ยวที่ร้านอยู่หรือเปล่าคะ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่รู้สิ”

ถึงจะเป็นประโยคคำตอบสั้น ๆ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันเท่าไหร่นัก

ทันทีที่สองแม่ลูกกลับถึงบ้าน เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านได้มาเรียกหลินม่ายให้ไปติดต่อที่ที่ทำการเพื่อเซ็นรับธนาณัติ

หลินม่ายรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาทันที คาดเดาว่าธนาณัติใบนี้ก็คงเป็นเงินได้จากการส่งบทความลงหนังสือพิมพ์ครั้งล่าสุด เกี่ยวกับการแก้ไขความเข้าใจผิดที่มีต่อห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง

เธอจำได้ว่าเขียนเนื้อหาในบทความฉบับนี้มากกว่าหนึ่งพันคำ คาดเดาว่าคงได้รับค่าต้นฉบับมากกว่าสิบหยวน

แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงที่ทำการหมู่บ้าน หลินม่ายเห็นว่าด้านหน้าของที่ทำการเต็มไปด้วยชาวบ้านจำนวนมาก

ท่ามกลางฝูงชนมีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย กำลังสอบถามชาวบ้านคนนั้นทีคนนั้นที เครื่องแบบสีกากีของพวกเขาสร้างความประหม่าให้กับผู้คนพอสมควร

หลินม่ายสอบถามจากใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านนอก “คุณลุงคะ เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนอะไรอยู่หรือ?”

ชายชราหันกลับไปหาเธอพร้อมตอบคำถาม “แม่ต้าเป่าวิ่งโร่ขึ้นโรงพัก แจ้งความลูกชายกับลูกสาวของป้ากู่น่ะสิ บอกว่าตัวเองโดนพวกเขารุมทำร้าย ขอให้ตำรวจจัดการลงโทษพวกเขาขั้นเด็ดขาด ตำรวจถึงได้ลงพื้นที่เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง”

หลินม่ายอดประหลาดใจไม่ได้

ตัวเองเป็นคนร้าย แต่กลับฟ้องผิดคนอื่นก่อนเนี่ยนะ?

เห็น ๆ กันอยู่ว่าผู้ที่เป็นฝ่ายผิดคือแม่ต้าเป่า แต่หล่อนกลับแจ้งความลูก ๆ ของป้ากู่เสียอย่างนั้น

ชาวบ้านหลายคนเริ่มหันไปพูดคุยกระซิบกระซาบกัน ว่าถ้าตำรวจควบคุมตัวลูกชายกับลูกสาวของป้ากู่ไปลงโทษจริง ๆ ละก็ หน่วยงานนี้ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้กระทำความผิดยิ่งได้ใจมากขึ้น

โชคดีที่สถานการณ์ที่ชาวบ้านต่างเป็นกังวลไม่ได้เกิดขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นการสืบสวนสอบสวนในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายระบุตรงกันว่า ต่อให้ลูกชายและลูกสาวของป้ากู่ลงมือทำร้ายคนจริง ๆ แต่ความผิดของพวกเขาอยู่ในฐานที่สามารถผ่อนผันได้

เนื่องจากชาวบ้านเข้าไปยับยั้งสถานการณ์ได้ทันเวลา ทำให้ไม่เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้เสียหาย

ดังนั้นลูก ๆ ของป้ากู่จึงต้องทำการขอโทษผู้เสียหาย และต้องจ่ายค่าปรับเป็นจำนวนสามหยวนเท่านั้น

ตรงกันข้าม พ่อและแม่ของต้าเป่าซึ่งมีฐานะเป็นผู้ปกครองของต้าเป่า จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัวของป้ากู่ทั้งหมด รวมถึงค่าเสียประโยชน์จากการทำงาน อันเป็นผลมาจากความซุกซนของต้าเป่าที่ทำให้หล่อนได้รับบาดเจ็บ ซึ่งยอดรายจ่ายปัจจุบันรวมทั้งสิ้นสามร้อยหยวน ไม่นับรวมค่ารักษาพยาบาลหลังจากวันนี้

…หลายคนได้ยินมาจากปากลูก ๆ ของป้ากู่ว่าอาการบาดเจ็บของหล่อนดีขึ้นมากแล้ว แต่พวกเขาหมดค่ารักษาพยาบาลไปอย่างต่ำห้าร้อยหยวนทีเดียว

ผลการตัดสินคดีเป็นที่น่าพึงพอใจ

ครอบครัวของต้าเป่าต้องควักเงินหลายร้อยเหรียญเพื่อจ่ายให้กับพวกเขาในคราวเดียว ส่งผลให้เงินเก็บร่อยหรอ ความมั่งคั่งที่เคยมีหมดไป พ่อต้าเป่าโกรธมากจนอยากทุบตีต้าเป่าเพื่อลงโทษให้เขารู้ความผิดเสียบ้าง

แต่แม่ต้าเป่ากลับปกป้องลูกชายอย่างสุดชีวิต พ่อต้าเป่าจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากเป็นฝ่ายยอมแพ้ ส่วนต้าเป่าไม่ได้รับบทเรียนใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

เนื่องจากครอบครัวของหล่อนต้องสูญเงินจำนวนมากให้กับครอบครัวของป้ากู่ แม่ต้าเป่าจึงจำเป็นต้องออกมาตั้งแผงหารายได้ทั้ง ๆ ที่อาการป่วยของตัวเองยังไม่หายดี

วันแรกหลังจากแม่ต้าเป่ากลับมาเปิดร้านอีกครั้ง แผงลอยสองร้านที่เคยคั่นกลางระหว่างร้านของหลินม่ายกับร้านของแม่ต้าเป่ากลับว่างเปล่า

ป้ากู่ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ไม่สามารถตั้งแผงขายของได้แน่นอนอยู่แล้ว ส่วนเจ้าของแผงลอยอีกเจ้าหนึ่งไข้ขึ้นสูงในช่วงกลางดึกของคืนที่ผ่านมา ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะออกมาตั้งร้านเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ แผงลอยของหลินม่ายกับแผงลอยของแม่ต้าเป่าจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่ติดกัน

หลินม่ายไม่อยากทะเลาะวิวาทกับคนไร้เหตุผลให้เสียแรงเปล่า ถึงแม้ร้านของทั้งคู่จะตั้งอยู่ติดกัน แต่เธอก็พยายามอย่างยิ่งเพื่อที่จะรักษาระยะห่างต่อกันไว้ให้มากที่สุด

ช่วงหลัง ๆ มานี้ แผงขายเกี๊ยวประจำท่าเรือของหลินม่ายค่อนข้างมีชื่อเสียงเลื่องลือ ดังนั้นธุรกิจของเธอจึงทำมาค้าคล่องเป็นพิเศษ

ลูกค้าประจำที่ต้องการอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธอมักจะพกกล่องอาหารกลางวันติดมาเอง ที่แตกต่างคือวันนี้โต้วโต้วไม่ได้ตามเธอมาช่วยตะโกนเรียกลูกค้าเหมือนเคย

เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จโต้วโต้วก็เริ่มเป็นหวัด วันนี้หลินม่ายเลยไม่ได้พาหล่อนออกมาตั้งแผงขายของด้วย ปล่อยให้หล่อนนอนพักอยู่ที่บ้าน ตราบใดที่ไม่ถูกความเย็นจากลมหนาวเล่นงาน อาการป่วยของหล่อนคงดีขึ้น

มีอาหวงอยู่เป็นเพื่อนโต้วโต้วทั้งที หลินม่ายถึงได้ปล่อยให้หล่อนอยู่บ้านตามลำพังโดยไม่เป็นกังวล

ปกติเกี๊ยวของร้านแม่ต้าเป่าก็ด้อยกว่าเกี๊ยวของร้านหลินม่ายทั้งในด้านรสชาติและความคุ้มค่าอยู่แล้ว ยิ่งหล่อนหายหน้าหายตาจากการตั้งร้านไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งหลายวัน ทำให้เสียลูกค้าไปเยอะทีเดียว การค้าขายฝืดเคืองถึงขั้นกู่ไม่กลับ

แต่หล่อนกลับหาสาเหตุที่เกี๊ยวของตัวเองขายไม่ออกไม่ได้ เอาแต่สาปแช่งและโทษหลินม่ายว่าเธอฉวยโอกาสแย่งลูกค้าไปจากหล่อน

หลินม่ายสาละวนอยู่กับงานตรงหน้าจนไม่มีเวลาสนใจหล่อน

นานเข้าแม่ต้าเป่าก็ยิ่งสบถถ้อยคำรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ต้าเป่าเห็นแบบนั้นก็อยากช่วยแก้แค้นแทนแม่ หวังวิ่งเข้าไปเตะเตาของหลินม่ายให้ล้มระเนระนาด

หลินม่ายมีไหวพริบฉับไวกว่า ยังไม่ทันที่เด็กชายร่างอ้วนจะสร้างความวุ่นวายดั่งใจนึก เธอเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายแล้วโยนเขาออกไปทันที

เด็กเหลือขอได้ทีก็แหกปากร้องไห้เหมือนหมูถูกเชือด

แม่ต้าเป่าอยากหาจังหวะสั่งสอนบทเรียนให้กับหลินม่ายอยู่นาน แต่นึกวิธีไม่ออกเสียที

พอเห็นว่าลูกชายของตัวเองโดนหลินม่ายเหวี่ยงลงพื้น หล่อนก็รีบปรี่เข้าไปหาเรื่องอย่างรวดเร็วเหมือนกระสุนปืนใหญ่ “แกกล้าตีลูกฉันเหรอ? ฉันจะสั่งสอนแก!”

หลินม่ายคว้าไม้ยาว ๆ ขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะหวดลงไปที่แม่ต้าเป่าเต็มแรง ความเจ็บปวดเล่นงานจนหล่อนถึงกับลงไปนอนกองอยู่กับพื้น เอาแต่กรีดร้องราวกับถูกเชือด

น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้ค้ารายย่อยหรือลูกค้า ต่างก็ไม่มีใครนึกสงสารเห็นใจหล่อนทั้งนั้น หนำซ้ำยังตำหนิหล่อนที่โหวกเหวกโวยวายเสียงดังหนวกหู

หลินม่ายชี้ปลายไม้ไปทางหล่อนพลางพูดว่า “เป็นคนดี ๆ ไม่ชอบ ชอบทำตัวเป็นหมาบ้าไล่กัดคนอื่น ฉันไปตีลูกชายคุณตอนไหนกัน? แค่หิ้วเขาโยนออกไปให้พ้นทางก็เท่านั้น ทำไมฉันถึงต้องโยนเขาออกไปน่ะเหรอ? คุณไม่สำเหนียกในใจเลยหรือยังไง? ลูกชายคุณจ้องจะเตะเตาที่ใช้ตั้งหม้อน้ำซุปของฉัน ถ้าเตาล้มจนน้ำซุปร้อน ๆ หกราดตัวลูกค้าขึ้นมาจริงละก็ คุณมีปัญญาจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นไหม?”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เขาเสียสามหยวน แต่ตัวเองเสียให้เขาสามร้อยหยวน หนึ่งต่อร้อยเลยอะ กร้ากกกกก

เออ สมควรโดนทุบกลับแล้ว ไม่โดนทุบก็ไม่รู้สึก เพราะหนังหนาเกิน

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 76 แม่ต้าเป่าดื่มยาฆ่าแมลง

หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายปล่อยให้โต้วโต้วอยู่ที่บ้านกับอาหวง ส่วนเธอเดินทางไปที่โรงพยาบาลตามลำพังเพื่อเข้าเยี่ยมป้ากู่

โรงพยาบาลเต็มไปด้วยผู้ป่วย แน่นอนว่ามีเชื้อโรคจำนวนมากด้วยเช่นกัน ไม่เหมาะที่จะพาเด็กไปด้วย

เมื่อไปถึงห้องของป้ากู่ เธอเห็นอีกฝ่ายนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้โดยมีผ้าคาดบริเวณเอวเอาไว้แน่น

หลินม่ายถามไถ่อาการของนางจากลูกชายคนโตของป้ากู่ “อาการล่าสุดของคุณป้าเป็นอย่างไรบ้างคะ ต้องรักษาเอวกับสะโพกอีกนานไหม?”

ลูกชายของป้ากู่ตอบกลับด้วยความซาบซึ้ง “ตอนนี้อาการดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ ถ้าคุณไม่ร้องห้ามไม่ให้ทุกคนเข้ามาขยับตัวแม่ผม กระดูกสันหลังของแม่คงเคล็ดผิดรูปไปนานแล้ว ตอนนี้ท่านอาจเป็นอัมพาตครึ่งซีกไปแล้วก็ได้”

หลินม่ายยิ้มตอบอย่างสุภาพ “อย่าพูดเกินจริงถึงขั้นนั้นเลยค่ะ”

ลูกชายของป้ากู่พูดต่อด้วยท่าทางเคร่งขรึม “ผมเปล่าพูดเกินจริง คุณหมอบอกผมว่ากระดูกสันหลังของแม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากการล้ม ถ้าเผลอไปขยับตัวท่านพลาดแค่ครั้งเดียว ผลอาจร้ายแรงกว่าที่คิด”

หลินม่ายปลอบลูกชายของป้ากู่และให้กำลังใจเขาในการอยู่ดูแลอาการคนเจ็บ ก่อนจะขอตัวจากไป

คราวนี้พอเธอเดินผ่านบ้านของต้าเป่าอีกครั้ง ก็ได้ยินเสียงแม่ต้าเป่ากำลังตะคอกใครบางคนอยู่ที่บริเวณลานบ้าน

หลินม่ายอดคิดในใจไม่ได้ คนที่กำลังทะเลาะกับผู้หญิงไม่มีเหตุผลคนนี้เป็นใครกัน

หลังจากเงี่ยหูฟังสองสามประโยค ที่แท้แม่ต้าเป่าก็กำลังดุด่าสามีของตัวเอง

หล่อนด่าทอว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์ แม้แต่ตอนที่คนอื่นลงมือทุบตีภรรยาของตัวเองยังปกป้องอะไรไม่ได้

หล่อนด่าทอด้วยความโกรธ ถึงขั้นพาดพิงถึงบรรพบุรุษในตระกูลของเขาทั้งแปดชั่วอายุคนซ้ำแล้วซ้ำอีก

พ่อต้าเป่าถูกด่าทอหนักข้อเข้าก็ไม่อยากทนอยู่ในบ้านอีกต่อไป ได้แต่วิ่งหลบหนีออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด ขณะที่พยายามหลีกเลี่ยงเสือโคร่งในบ้านก็เกือบวิ่งชนเข้ากับหลินม่าย

แม่ต้าเป่าแบกร่างอ้วนวิ่งตามออกมา ปากก็พ่นคำด่าไม่ขาดช่วง ทันทีที่เห็นหลินม่าย ปากที่ไม่มีหูรูดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็พ่นคำสบถออกมาทันที “เป็นแค่หมากลับพยายามจะจับหนู(1) ยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่เข้าท่า นังคนสารเลว!”

หลินม่ายหน้าตึงทันที “คุณว่าใครเป็นหมา? พูดมาสิ คุณด่าใครว่าสารเลว!”

แม่ต้าเป่าชี้หน้าเธอก่อนจะร่ายประโยคยาวเหยียด “จะมีใครอีกล่ะ? ก็หล่อนไง! ลืมแล้วเหรอตัวเองทำอะไรลงไปตอนที่นังคนแซ่กู่นั่นล้มลงกับพื้น? เป็นเพราะหล่อนเอะอะโวยวายจะส่งตัวมันเข้าโรงพยาบาลยังไงล่ะ โรงพยาบาลน่ะเครื่องสูบเงินชั้นดี จะป่วยหนักป่วยเบาก็ขูดรีดค่ารักษาพยาบาลเอากับประชาชนตาดำ ๆ ทั้งนั้น ถ้าหล่อนไม่พยายามส่งตัวนังคนแซ่กู่นั่นเข้าโรงพยาบาล ลูกชายกับลูกสาวของมันจะวิ่งโร่มาหาฉันที่บ้าน แล้วเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลกับค่าเสียหายรึ?!”

พ่อต้าเป่าเหลือบมองภรรยาของตัวเองอย่างนึกรังเกียจ ขณะเดียวกันนั้นก็หันหน้าไปปลอบหลินม่าย “อย่าถือสาหล่อนเลย ปากคอหล่อนเราะรายอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร”

“หน็อย! ไอ้ผัวสารเลว แม้แต่แกก็เข้าข้างนังจิ้งจอกนี่ถึงขั้นด่าฉันงั้นเรอะ!”

เมื่อแม่ต้าเป่าได้ยินว่าสามีของตัวเองที่ไม่เคยมีปากมีเสียงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรดุด่าหล่อนเป็นครั้งแรกเพราะหลินม่าย ความโกรธของหล่อนยิ่งทวีคูณขึ้นจนแทบบ้า

พ่อต้าเป่ายกมือขึ้นชี้หน้าภรรยาของตัวเองด้วยภาวะอารมณ์ที่พบเห็นได้ยาก พูดว่า “ถ้าคุณยังกล้าด่าหล่อนว่านังจิ้งจอกอีก ผมจะตบหน้าคุณซะ! คุณกล่าวหาว่าหล่อนยุ่งวุ่นวายเรื่องของคนอื่นไม่เข้าท่าได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหลินห้ามไม่ให้ทุกคนเข้าไปแตะต้องป้ากู่ แล้วป้ากู่เกิดเจ็บหนักถึงขั้นเป็นอัมพาตขึ้นมา บ้านเราคงสูญเงินมากกว่านี้เสียอีก! นอกจากไม่คิดจะขอบคุณแล้วยังด่าทอเสี่ยวหลินอีก ไม่รู้ว่าคุณป่วยทางจิต สมองมีปัญหา หรือโง่เกินกว่าจะแยกแยะดีชั่วกันแน่!”

หลินม่ายแอบคิดในใจ ‘แน่ล่ะ หล่อนทั้งป่วยทางจิต สมองมีปัญหา และโง่เขลารวมอยู่ในตัวคนเดียว’

“คิดจะตบฉันงั้นเหรอ? ฉันนี่แหละจะฆ่าแกก่อน!” แม่ต้าเป่ารีบวิ่งพรวดเข้าไปหมายจะข่วนหน้าสามี

แต่คราวนี้สามีของหล่อนไม่ยอมนิ่งเฉยอีกต่อไป เขาผลักหล่อนให้ล้มลงไปกองกับพื้น ก่อนจะลงมือตบตีอย่างรุนแรง จนหล่อนร้องห่มร้องไห้

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์รู้สึกบันเทิงใจไม่น้อย นอกจากจะไม่ยื่นมือเข้าไปห้ามไม่ให้สองผัวเมียทะเลาะกัน ยังยกนิ้วโป้งให้กับพ่อต้าเป่า เป็นเชิงสนับสนุนว่าเขาควรทำแบบนี้กับหล่อนตั้งนานแล้ว

สภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงไม่ค่อยแน่นอนนัก เมื่อวานนี้ดวงอาทิตย์ยังแผดแสงจ้าจนร้อนระอุ แต่พอตกกลางคืนกลับมีลมหนาวพัดกระโชกแรง อุณหภูมิลดฮวบ เมื่อตื่นนอนอีกครั้งก็พบว่าเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างสมบูรณ์

เช้าตรู่วันนี้ หลินม่ายและลูกสาวสวมใส่เสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้ายตัวหนา หลังจากเตรียมข้าวของเสร็จสรรพก็ออกจากบ้านไปตั้งแผงลอยตามปกติ

พอมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน เธอพบเจอกับผู้ค้ารายย่อยสองสามคนจากในหมู่บ้านเดียวกัน จึงมีเพื่อนร่วมทางไปที่ท่าเรือ

ใครคนหนึ่งถามหลินม่ายว่าเธอรู้เรื่องที่แม่ต้าเป่าพยายามจะฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาฆ่าแมลงแล้วหรือยัง ตอนนี้หล่อนนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลหลังจากล้างท้อง

หลินม่ายถามกลับด้วยความประหลาดใจ “แค่เพราะถูกสามีตัวเองตบตี หล่อนน้อยใจถึงขั้นดื่มยาฆ่าแมลงเลยหรือ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก!” ตู้จวนพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “แม่ต้าเป่าก็เป็นคนแบบนี้แหละ เพื่อขู่ให้สามีตัวเองกลัว อะไรที่เสี่ยงชีวิตก็ยอมทำทั้งนั้น”

ชาวบ้านอีกคนถอนหายใจ พูดเสริม “พ่อต้าเป่าเองก็ขี้ขลาดกลัวเมียมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมียตัวเองสร้างปัญหาแบบนี้ เขาจะยังทนดูดายได้อีกหรือ?”

ชาวบ้านอีกคนหนึ่งกลับแสดงความคิดเห็นอย่างไม่นึกเห็นอกเห็นใจ “ใครสั่งใครสอนให้เขาเป็นคนขี้ขลาดแบบนั้นกันล่ะ? ถ้าเขาใจแข็งกว่านี้สักหน่อย ก็ควรเลิกให้ความสนใจพฤติกรรมของเมียตัวเองได้แล้ว ในเมื่อหล่อนชอบดื่มยาฆ่าแมลงนักก็ปล่อยให้หล่อนดื่มจนพอใจ ดูซิว่าครั้งต่อ ๆ ไปหล่อนยังจะกล้าใช้ลูกไม้เดิม ๆ นี้อยู่อีกไหม!”

หลินม่ายยิ้มพลางโคลงศีรษะ “การดื่มยาฆ่าแมลงไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ถ้าส่งตัวหล่อนไปล้างท้องที่โรงพยาบาลไม่ทัน อาจเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิต ทำไมคุณถึงอยากให้พ่อต้าเป่าลำบากใจล่ะคะ?”

ชาวบ้านคนเดิมยังคงเหยียดหยาม “คุณคิดว่าแม่ต้าเป่าอยากตายจริง ๆ เหรอ? ที่หล่อนยอมดื่มยาฆ่าแมลงก็เพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามีตัวเองเท่านั้นแหละ ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นยังกลัวว่าหล่อนจะตาย เขาก็ยอมอยู่ในโอวาทของหล่อนอย่างเชื่อฟังอยู่แล้ว เพราะแบบนี้ทุกครั้งที่หล่อนดื่มยาฆ่าแมลงก็เป็นยาที่เจือจางมาก ๆ กินยังไงก็ไม่ถึงตาย”

หลินม่ายตกตะลึง ผู้หญิงคนนี้คือสุดยอดนักสู้ชีวิตอย่างแท้จริง พอถึงจุดที่ตัวเองจนตรอกกลับหาวิธีพลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

แม่ต้าเป่าเข้าโรงพยาบาล ดังนั้นบริเวณท่าเรือจึงมีแค่ร้านของหลินม่ายที่ขายเกี๊ยว ธุรกิจของเธอเฟื่องฟูกว่าทุกวันเสียอีก

ขณะที่เธฮกำลังยุ่งอยู่กับการค้าขาย พ่อต้าเป่าก็เดินมาหาเธอถึงที่แผงลอยด้วยใบหน้าซีดเซียว

เมื่อเหลือบไปเห็นผู้ชายที่ยืนทำหน้าตาหดหู่อยู่ตรงหน้า หลินม่ายยังอุตส่าห์ถามไถ่ด้วยความห่วงใยในฐานะมนุษย์ด้วยกันว่า “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”

พ่อต้าเป่าไม่ตอบกลับ หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาถามเธอด้วยความลังเล “คุณ… คุณรู้เรื่องที่ภรรยาของผมพยายามฆ่าตัวตายด้วยการดื่มยาฆ่าแมลงแล้วหรือยัง?”

การแสดงออกของหลินม่ายแปรเปลี่ยนเป็นไม่แยแสในทันที “ภรรยาของคุณเอาแต่โยนสิ่งปฏิกูลใส่หัวฉันไม่เว้นวัน เรื่องอะไรฉันจะต้องสนใจความเป็นตายของหล่อนด้วย?”

พ่อต้าเป่าถึงกับสำลักน้ำลาย ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรวบรวมความกล้าแล้วพูดต่อ “ภะ… ภรรยาของผมได้รับการรักษาพยาบาลไม่ดีเท่าไหร่ ผม… ผมอยากให้คุณไปขอโทษหล่อนต่อหน้า แล้วช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับหล่อนด้วย ไม่อย่างนั้น เกรงว่าผลที่ตามมาหลังจากนี้คงไม่ดีนัก…”

หลินม่ายหันขวับมองไปทางผู้ชายไร้ประโยชน์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเหลือเชื่อ “หล่อนไม่มีค่ารักษาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? ฉันบีบปากหล่อนแล้วกรอกยาฆ่าแมลงลงไปหรือไง? นั่นมันเรื่องของพวกคุณสองคน จะดึงฉันเข้าไปข้องเกี่ยวเพื่ออะไร? ถ้าหล่อนอยากให้ฉันไปขอโทษ แสดงว่าสมองของหล่อนมีปัญหาจริง ๆ แล้วล่ะ อย่าลืมเข้ารับการบำบัดด้วยนะ!”

ใบหน้าของพ่อต้าเป่าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม คำพูดของเขาหลังจากนั้นตะกุกตะกักมากขึ้นเรื่อย ๆ

“ผม… ผมรู้ว่าการพยายามฆ่าตัวตายของหล่อนไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ตะ… แต่… หล่อนยืนกรานว่าคุณยุ่งเรื่องของคนอื่นไม่เข้าท่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูก ๆ ของป้ากู่มาเรียกร้องค่าเสียหายจากครอบครัวของเรา หล่อนยังบอกด้วยว่าคุณจะต้องไปขอโทษหล่อนให้ได้ ถ้าคุณไม่ยอม หล่อนออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่จะแขวนคอที่หน้าประตูบ้านทันที เพราะแบบนี้คุณถึงต้องเป็นฝ่ายยอมหล่อน”

หลินม่ายตอบกลับอย่างเย็นชา “ก็เรื่องของหล่อนสิ ถ้าหล่อนนึกอุตริจะมาแขวนคอที่หน้าประตูบ้านจริง ๆ ก็แล้วแต่ ตราบใดที่ไม่พาตัวเองมาแขวนคอหน้าประตูบ้านของฉัน ถ้าหล่อนกล้ามาแขวนคอที่หน้าประตูบ้านฉันละก็ ฉันจะขึ้นโรงพักแล้วแจ้งความหล่อนข้อหาบุกรุก ต่อให้ความผิดไม่ร้ายแรงมาก แต่ปล่อยให้หล่อนนอนคุกสักสองสามคืนก็น่าจะดี”

พ่อต้าเป่าตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

ฟางจั๋วหรานมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธอตามปกติ เผอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองเข้าพอดี จึงหันไปพูดกับหลินม่ายว่า “ถ้าผู้หญิงคนนั้นมาแขวนคอหน้าประตูบ้านของคุณจริง อย่าได้ปล่อยผ่านเด็ดขาด คุณสามารถยื่นเรื่องฟ้องศาลได้ เพราะพฤติกรรมของหล่อนอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าบ้านของคุณ ครอบครัวของหล่อนจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย”

จากนั้นเขาก็หันไปทางพ่อต้าเป่าแล้วพูดว่า “กลับไปบอกภรรยาของคุณซะ อย่าคิดเอาชีวิตของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือคุกคามคนอื่น ในเมื่อหล่อนอยากตายก็ปล่อยให้หล่อนตายไปซะ จะไม่มีใครต้องรับผิดชอบต่อการตายของหล่อนทั้งนั้น หลังจากหล่อนตาย แน่นอนว่าปัญหาที่หล่อนทิ้งไว้ย่อมตกอยู่กับคุณ”

พ่อต้าเป่าได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ในใจครุ่นคิดว่าสองคนนี้ช่างโหดเหี้ยมยิ่งกว่าใครที่เขาเคยพบเจอเสียอีก จากนั้นก็จำใจลากฝีเท้าอันหนักอึ้งเดินออกไป

……………………………………………………………………………………………………………….

สุนัขพยายามจับหนู หมายถึง คนที่เข้าไปยุ่งวุ่นวายเรื่องของคนอื่น เปรียบกับสุนัขที่อยากจะจับหนู ทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าที่ของแมวต่างหาก

สารจากผู้แปล

บ้าบอ ดื่มยาฆ่าตัวตายเองแล้วยังใช้การตายของตัวเองมาบีบคนอื่นอีก

พี่หมอถึงกับช่วยม่ายจื่อแบบไม่สนจรรยาบรรณวิชาชีพตัวเองเลยอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 75 ผ้าพันคอสองผืน

หลินม่ายเหลือบมองไปทางแม่ต้าเป่าซึ่งตอนนี้กำลังหันหลังให้กับทุกคน ดูเหมือนหล่อนกำลังจะหาทางหนีออกไปให้พ้นจากสถานการณ์ตรงหน้า

ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ต่อให้พวกเขาจะสั่งให้หล่อนเป็นคนไปเรียกหมอ แต่หล่อนไม่มีทางไปแน่ มิหนำซ้ำอาจหาเรื่องเอะอะโวยวายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตอีก

หลินม่ายไม่อยากรีรอให้เสียเวลาเปล่า พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันจะไปเรียกหมอเองค่ะ ฝากพวกคุณช่วยดูแผงขายของแทนฉันสักครู่”

ขณะนั้นเอง เสียงนุ่มทุ้มที่ฟังดูเหมือนเสียงของผู้ประกาศข่าวทางคลื่นวิทยุกลับดังขึ้น “ผมไปเอง!”

หลินม่ายหันมองกลับไปข้างหลัง เห็นว่าเป็นแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานที่รีบร้อนวิ่งจากไป ตอนนั้นเธอรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก

แต่แล้วพอสังเกตกิริยาท่าทางของตัวเองก็กลับมามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นแค่ปรากฏตัวขึ้น ไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเสียหน่อย!

โต้วโต้วตัวเล็ก จึงมองไม่เห็นฟางจั๋วหราน ถึงอย่างนั้นหล่อนก็ยังได้ยินเสียงของเขา

เด็กหญิงตัวน้อยสะกิดต้นขาของหลินม่าย “แม่คะ เมื่อกี้นี้เหมือนหนูได้ยินเสียงคุณอาเลย”

“ลูกได้ยินไม่ผิดหรอก คุณอาเพิ่งจะมาถึงที่นี่เมื่อกี้นี้เอง แต่เขากำลังวิ่งไปที่โรงพยาบาลเพื่อตามหมอจ้ะ”

“ว้า!” เด็กหญิงตัวน้อยทั้งรู้สึกผิดหวังและเศร้าใจ “เขาจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้ทักทายพวกเราเลย…”

หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อน “อีกเดี๋ยวคุณอาก็กลับมาแล้ว อย่าเสียใจไปเลย”

หลังจากนั้นไม่นาน ฟางจั๋วหรานก็กลับมาพร้อมกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉินหลายคน

ทันทีที่โต้วโต้วมองเห็นเขา ก็กระโดดโลดเต้นพร้อมกับตะโกนเรียกเขาด้วยความดีใจ “คุณอา คุณอามาแล้ว! หนูกับแม่คิดถึงคุณอาแทบแย่”

ใบหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ ลูกคิดถึงเขาแค่คนเดียว จะเหมารวมว่าแม่ก็คิดถึงเขาได้อย่างไร?

ขณะที่เธอกำลังจะอ้าปากแก้ต่าง เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินคนหนึ่งก็ดึงแขนเธอเข้ามาพร้อมกับตั้งคำถาม “คุณป้าคนนี้ล้มลงได้ยังไงหรือครับ?”

หลินม่ายกลับมาจดจ่ออยู่กับประเด็นสำคัญ “มีเด็กคนหนึ่งแกล้งยกเก้าอี้ของหล่อนออกไปค่ะ พอหล่อนหย่อนก้นลงนั่งบนอากาศว่างเปล่าก็เสียหลักล้มลงไป”

ขณะนั้นเดียวกันนั้น แม่ต้าเป่าลอบหันขวับมองไปทางเธอพลางใช้สายตาจ้องเขม็ง ราวกับจะกล่าวโทษที่เธอพูดความจริง

เจ้าหน้าที่หน่วยแพทย์ฉุกเฉินหันไปพูดกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ว่า “การล้มลงก้นกระแทกในท่านั่งแบบนี้อาจทำให้กระดูกสันหลังบาดเจ็บ ต้องปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วค่อยยกผู้ป่วยขึ้นนอนบนเปล”

หลินม่ายเห็นว่าเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเองอีกต่อไป จึงกลับไปที่แผงลอยเพื่อขายเกี๊ยวต่อ

เธอได้ยินน้ำเสียงคับข้องใจดังขึ้นจากด้านหลัง โต้วโต้วถามฟางจั๋วหรานว่า “ทำไมคุณอาไม่มากินเกี๊ยวที่ร้านแม่หนูหลายวันเลยล่ะคะ? คุณอาไม่ชอบเกี๊ยวฝีมือแม่หนูเหรอ?”

คำถามของเด็กหญิงตัวน้อยเป็นคำถามที่หลินม่ายเองก็ต้องการคำตอบเช่นเดียวกัน เพียงแต่เธอละอายใจเกินกว่าจะถามไถ่ด้วยตัวเอง จึงได้แต่เงี่ยหูรอฟังคำตอบจากเขา

“ไม่ใช่ว่าอาไม่ชอบกินเกี๊ยวฝีมือแม่ของหนู แต่อามีภารกิจต้องไปรักษาผู้ป่วยนอกสถานที่ เพราะอาไม่ได้อยู่ที่เจียงเฉิง ก็เลยไม่ได้แวะมาอุดหนุนยังไงล่ะ”

ฟางจั๋วหรานย่อตัวลง เอื้อมมือไปเปิดกระเป๋าเดินทางที่ตัวเองถืออยู่ ก่อนจะหยิบลูกอมนมตรากระต่ายขาวถุงใหญ่ออกมา “นี่ อาซื้อมาฝาก”

โต้วโต้วจ้องไปที่ลูกอมนมตรากระต่ายขาวถุงใหญ่พร้อมกับกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่ไม่กล้ายื่นมือไปรับ

เธอเหยียดนิ้วออกแล้วจิ้มไปที่บั้นท้ายของหลินม่าย จนหลินม่ายสะดุ้งตกใจแทบจะกระโดดถอยหนี

ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นฟางจั๋วหรานที่บังเอิญสัมผัสโดนจุดอ่อนไหวของตัวเอง จึงหันกลับมาทั้ง ๆ ที่ใบหน้าแดงก่ำ

พอเธอเห็นว่าคนที่จิ้มบั้นท้ายของตัวเองเป็นโต้วโต้วก็โล่งใจ เด็กหญิงตัวน้อยถามเธอว่า “แม่คะ หนูรับลูกอมกระต่ายขาวจากคุณอาได้ไหม?”

หลินม่ายยังไม่หายตกใจ ถึงอย่างนั้นก็ตอบกลับว่า “ได้สิ” แล้วหันกลับไปยุ่งอยู่กับการค้าขายอีกครั้ง

ฟางจั๋วหรานหยิบเอาผ้าพันคอผืนหนาสองผืนออกมาจากกระเป๋าเดินทาง ยัดพวกมันเข้าไปในเสื้อของโต้วโต้ว พร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบข้างหูเธอ “ไว้ปิดแผงกลับบ้านเมื่อไหร่ค่อยบอกเรื่องนี้กับแม่หนูนะ”

เขากลัวว่าถ้าหลินม่ายรู้เรื่องตั้งแต่ตอนนี้ คงปฏิเสธไม่รับท่าเดียวและพยายามคืนพวกมันให้เขาแน่ ๆ

ตรงกันข้าม ถ้าเด็กหญิงตัวน้อยเอาผ้าพันคอกลับไปที่บ้านแล้ว ถึงอย่างไรหลินม่ายก็ไม่มีทางส่งคืนให้เขาได้ในทันที ผ่านไปสักคืนหนึ่ง เธออาจเปลี่ยนใจและยอมรับผ้าพันคอพวกนี้ไว้ก็ได้

โต้วโต้วพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

หลินม่ายใช้กล่องอาหารกลางวันใบเดิมเป็นภาชนะใส่เกี๊ยวให้กับฟางจั๋วหราน จากนั้นจึงยื่นให้เขา “กินเกี๊ยวสักชามก่อนค่ะ เผื่อจะบรรเทาความเหนื่อยล้าได้บ้าง ฉันรู้ว่าคุณคงเหนื่อย ตาทั้งสองข้างแดงก่ำเชียว”

การผ่าตัดใหญ่ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปก่อนหน้านี้ใช้เวลาร่วมสิบชั่วโมง นอกจากร่างกายจะอ่อนแรง สภาวะจิตใจยังอ่อนล้า อีกทั้งวันนี้เขาต้องรีบเดินทางกลับมาเพื่อที่วันพรุ่งนี้จะได้กลับไปทำงานตามปกติ จะไม่ให้รู้สึกเหนื่อยอย่างออกนอกหน้าได้อย่างไร

ฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวหมดแล้วก็ขอตัวจากไป เขาต้องรีบกลับไปที่ห้องเพื่อนอนพักผ่อน

ถึงแม้การค้าขายในวันนี้จะล่าช้าไปหน่อยเพราะเหตุฉุกเฉินที่เกิดขึ้นกับป้ากู่ แต่เกี๊ยวในร้านของหลินม่ายก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยงในเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง

ผู้โดยสารยังคงทยอยเดินทางมาที่ท่าเรือ คลื่นมนุษย์มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หลินม่ายแอบคิดในใจว่า ถ้าเธอขายข้าวผัดไข่ที่ท่าเรือทุกช่วงเที่ยงของวันหยุดล่ะ จะมีใครสนใจซื้อหรือเปล่านะ?

ทันทีที่พวกเธอกลับถึงบ้าน โต้วโต้วก็หยิบผ้าพันคอสองผืนออกมาจากเสื้อของตัวเอง แล้วยื่นให้กับหลินม่าย

หลินม่ายนิ่งงันไปชั่วขณะ ถามว่า “คุณอาฟางให้มาใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ!” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้า

หลินม่ายลูบไปตามผ้าพันคอผืนหนาที่ถักทอจากวัสดุเนื้อดีทั้งสองผืน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ทำไมลูกถึงไม่ยอมบอกแม่ตั้งแต่ตอนนั้น?”

ถ้าเธอรู้ตั้งแต่ตอนนั้น คงหาทางคืนผ้าพันคอทั้งสองผืนนี้ให้กับฟางจั๋วหรานไปแล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขาไม่มีอะไรเกินเลยมากไปกว่าคนรู้จัก เธอไม่สมควรรับผ้าพันคอพวกนี้ไว้

โต้วโต้วทำหน้าบึ้ง “คุณอากำชับไว้ไม่ให้หนูบอกแม่ค่ะ เขาบอกว่าไว้กลับถึงบ้านแล้วค่อยบอกให้แม่รู้ทีหลัง”

พอเห็นว่าหลินม่ายเงียบไป โต้วโต้วก็ถามต่อ “พรุ่งนี้หนูขอสวมผ้าพันคอที่คุณอาซื้อให้ได้ไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานตั้งใจซื้อผ้าพันคอสีชมพูหนานุ่มให้เธอโดยเฉพาะ ซึ่งเธอก็ถูกใจเอามาก ๆ

หลินม่ายกลับส่ายหน้า “ไม่ได้ แม่จะเอาผ้าพันคอสองผืนนี้ไปคืนให้คุณอาฟาง”

โต้วโต้วรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอก็เดินออกไปที่ลานหน้าบ้านเพื่อเล่นกับอาหวง

หลินม่ายคำนวณยอดการซื้อขาย วันนี้เธอใช้วัตถุดิบมากขึ้น แต่ก็ได้รับรายได้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน วันนี้เธอขายเกี๊ยวได้เงินประมาณยี่สิบหยวน รวมกับหลายวันก่อนหน้า เธอทำเงินได้ทั้งหมดประมาณหนึ่งร้อยหยวนเลยทีเดียว

หลินม่ายวางแผนไว้ว่าจะแบ่งเงินจำนวนหนึ่งไปฝากเข้าธนาคารในวันพรุ่งนี้

เธอไม่อยากเก็บเงินสดไว้ที่บ้านมากเกินไป ต่อให้เก็บดีอย่างไรก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี

ป้ากู่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ตามหลักแล้วหากคนเราอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน หรือเปิดร้านค้าขายบนถนนสายเดียวกัน ก็ควรมีน้ำใจซื้อของไปเยี่ยมเยียนกันเสียหน่อย

หลินม่ายคว้าตะกร้าเปล่าขึ้นมา หันไปถามโต้วโต้วว่า “แม่ว่าจะออกไปหาซื้อของเข้าบ้านหน่อย ลูกจะไปด้วยกันไหม?”

โต้วโต้วชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของมาก หล่อนตอบรับอย่างไม่ลังเล ทิ้งอาหวงไว้ที่บ้าน กำชับให้มันช่วยเฝ้าบ้านให้ดี

โต้วโต้วคลุกคลีอยู่กับอาหวงทั้งวันทั้งคืนจนเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว รู้จักเชื่อฟังคำสั่ง มันเดินตามสองแม่ลูกไปที่หน้าประตูลานบ้านต้อย ๆ ก่อนจะนั่งลงอย่างว่าง่าย

หลินม่ายล็อกประตูจากด้านนอก ก่อนจะจูงมือโต้วโต้วไปซื้อเนื้อขาหน้ากับกระดูกหมูเพื่อใช้สำหรับทำเกี๊ยวในวันพรุ่งนี้ หลังจากนั้นก็ไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อน้ำตาลทรายแดงสองชั่ง อาหารประป๋องอีกสองกระป๋อง

ขากลับตอนที่เธอเดินผ่านหน้าบ้านของต้าเป่า ก็ได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทรุนแรงดังมาจากตัวบ้านของเขาในระยะไกล ชาวบ้านจำนวนมากต่างมารวมตัวกันอยู่ที่หน้าบ้านของเขาเพื่อรับชมความสนุกที่เกิดขึ้น

หลินม่ายหยุดเดินพลางสอดส่ายสายตามองเข้าไปด้วยความสงสัย เห็นว่าลูกชายและลูกสาวของป้ากู่กำลังโต้เถียงกับแม่ต้าเป่าเสียงดัง มีพ่อต้าเป่าคอยช่วยเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง

แม่ต้าเป่าไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของสามี แถมยังสะบัดมือผลักเขาออกไป แล้วตะโกนใส่ลูก ๆ ของป้ากู่อย่างไม่ยอมแพ้ “อะไรกัน? คิดจะยกพวกมาข่มเหงกันงั้นเหรอ?”

ลูกสาวคนโตของป้ากู่โกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนคราบตะกรันก้นหม้อ “กล้าดียังไงถึงได้กล่าวหาว่าพวกเรายกพวกมาข่มเหงคนอื่น? ลูกชายของคุณทำให้แม่ฉันล้มเจ็บจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ครอบครัวของคุณกลับไม่ยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียหายให้พวกเราเลยสักหยวน!”

หลินม่ายตกตะลึง

เธอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ป้ากู่ล้มก้นกระแทกพื้น พ่อค้าแม่ค้าหลายคนต่างวิ่งเข้าไปช่วยเหลือหล่อน แต่แม่ต้าเป่าที่เกี่ยวข้องที่สุดกลับไม่สนใจไยดี

พอมีคนมาเรียกร้องค่าเสียหายจากหล่อนถึงบ้าน หล่อนยังหาทางบ่ายเบี่ยงไม่ยอมจ่ายอีก ผู้หญิงคนนี้ชักจะไร้ศีลธรรมเกินไปแล้ว!

แม่ต้าเป่ายังคงทำหน้าเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก(1) “บ้านฉันไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ ใครเป็นคนทำร้ายแม่ของพวกเธอก็ไปไล่บี้เอากับคนนั้นสิ!”

ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์นึกโกรธเคือง พากันตำหนิแม่ต้าเป่าเป็นรายคน “คุณพูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง เห็น ๆ กันอยู่ว่าต้าเป่าของคุณทำให้ป้ากู่ต้องตกอยู่ในสภาพนั้น ถ้าพวกเขาไม่เรียกร้องค่าเสียหายจากคนที่เป็นพ่อแม่ แล้วจะให้พวกเขาไปเรียกค่าเสียหายเอาจากเด็กหรืออย่างไร? ลูกคุณมีเงินจ่ายหรือเปล่าล่ะ?”

แม่ต้าเป่าแบมือพลางยักไหล่ “งั้นก็ถือเสียว่าเป็นความโชคร้ายของหล่อนก็แล้วกัน!”

ลูกชายของป้ากู่อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป ส่งหมัดชกเข้าไปที่เบ้าหน้าของหล่อนทันที “ถ้าอย่างนั้นฉันจะเป็นฝ่ายต่อยหน้าแกบ้าง ถือว่าเป็นความโชคร้ายของแกเหมือนกัน!”

ลูกชายและลูกสาวของป้ากู่โกรธจัด ไม่ยอมเจรจาเกลี้ยกล่อมอีกต่อไป แถมยังรุมทุบตีแม่ต้าเป่าเพื่อระบายความแค้น

ในช่วงเวลาที่บ้านเมืองมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ชาวบ้านต่างกลัวว่าลูกชายและลูกสาวของป้ากู่จะถูกตำรวจจับกุมในข้อหาทำร้ายร่างกายแม่ต้าเป่า ดังนั้นพวกเขาจึงรีบกรูเข้าไปแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

……………………………………………………………………………………………………………….

หมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก เป็นสำนวนไว้ด่าทอคนหน้าด้านหน้าทนที่ไม่มีความยำเกรงหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อเริ่มหวั่นไหวกับคุณหมอแล้วล่ะสิ โต้วโต้วทำดีๆ

แม่ต้าเป่าสมควรโดนแล้วล่ะ ให้สังคมลงโทษบ้าง

ไหหม่า(海馬)

มเคย

พอเขาเห็นว่าโต้วโต้วได้รับของขวัญเป็นหมาป่าตัวน้อยก็รู้สึกอิจฉามาก อดทนรอจนกระทั่งฟางจั๋วหรานจากไปแล้ว จึงกล้าเดินเข้าไปใกล้หวังเล่นกับลูกสุนัขตัวนั้น

แต่โต้วโต้วไม่ชอบหน้าเขา เลยไม่อนุญาตให้เขาแตะต้องลูกสุนัขของตัวเอง

เมื่อเด็กชายร่างอ้วนไม่ได้ดั่งใจก็ยกกำปั้นขึ้นหวังจะทุบตีเธออีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่หมัดของเขาจะถูกเนื้อตัวของโต้วโต้ว โต้วโต้วกลับล้มลงไปกองอยู่กับพื้น ทำท่าทางเหมือนถูกอีกฝ่ายรังแก

หล่อนร้องเสียงดัง “นายยังกล้าตีฉันอีกเหรอ? เชื่อไหมว่าถ้าฉันเอาขนมอร่อย ๆ ให้เสี่ยวเฉียงกับคนอื่นกิน พวกเขาต้องตามไปทุบตีนายถึงบ้านแน่!”

ต้าเป่าเข็ดหลาบจากการถูกเสี่ยวเฉียงและคนอื่น ๆ ทุบตี ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่กล้ารังแกโต้วโต้วอีก วิ่งปร๋อกลับไปที่แผงลอยของตัวเอง

โต้วโต้วลุกขึ้นจากพื้นอย่างสงบ ปัดฝุ่นผงตามตัว ก่อนจะนั่งลงบนรถเข็นเพื่อเล่นกับหมาป่าตัวน้อยต่อไป

เด็กชายร่างอ้วนผู้มีพลังล้นเหลือไม่คิดช่วยแม่ของตัวเองทำมาหากินแต่อย่างใด กลับเล่นซนสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ๆ ไปทั่ว

เจ้าของแผงลอยทุกร้านต่างก็ไม่ชอบหน้าเขา แต่พวกเขาจะจัดการกับเด็กคนนี้อย่างไรดี?

เจ้าของแผงลอยที่ขายขนมงาทอด(1)เกือบถูกต้าเป่าก่อความวุ่นวายอย่างยากจะรับมือ ก่อนเรื่องราวจะบานปลาย เขาหยิบขนมงาทอดมายื่นให้ต้าเป่าโดยตรง “เอานี่ไปกินซะ แล้วอย่ามาวุ่นวายกับร้านฉันอีก”

เด็กชายร่างอ้วนได้รับสินบนเป็นขนมงาทอดแล้ว จึงไม่ไปสร้างปัญหาให้แผงลอยนั้นอีกเลย

เมื่อแผงลอยร้านอื่น ๆ เห็นแบบนั้น ทุกคนต่างก็ใช้วิธีเดียวกัน คือแบ่งขนมหรืออาหารที่ตัวเองขายให้ต้าเป่าเป็นข้อแลกเปลี่ยน

ต้าเป่าได้รับของกินมากมาย ในที่สุดก็ยอมอยู่นิ่ง ๆ

ทางด้านหลินม่ายกำลังรีบปิดแผงเพื่อให้ทันเวลาก่อนที่เจ้าหน้าที่เทศกิจจะออกลาดตระเวน

พอสองแม่ลูกกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายคลุกข้าวสุกกับซุปกระดูกหมูที่เหลือจากการขายเกี๊ยว แล้วให้โต้วโต้วยกไปวางไว้ให้หมาป่าตัวน้อยกิน

ถึงจะเป็นซุปกระดูกที่เหลือจากการค้าขาย แต่ภายในชามก็มีกระดูกหมูชิ้นใหญ่อยู่สองสามชิ้น หมาป่าตัวน้อยได้กลิ่นอาหารก็ดีใจมากจนหางของมันแทบจะหมุนเป็นใบพัด

โต้วโต้วนั่งยอง ๆ อยู่ข้างหมาป่าตัวน้อยคอยดูมันกินข้าว

หลินม่ายถามด้วยรอยยิ้ม “ลูกจะตั้งชื่อสมาชิกใหม่ของบ้านเราว่าอะไรดีล่ะ?”

โต้วโต้วคิดอยู่นาน ก่อนจะถามความคิดเห็นจากหลินม่าย “คุณอาชื่ออะไรเหรอคะ? หนูอยากให้เจ้าหมาน้อยมีชื่อเดียวกันกับคุณอา ทุกครั้งที่หนูเรียกมัน จะได้นึกถึงคุณอาเป็นคนแรกไงคะ”

ขณะเดียวกันนั้น ฟางจั๋วหรานจามหลายครั้งติดต่อกันอย่างไม่มีสาเหตุ เขาอดครุ่นคิดในใจไม่ได้ว่าโชคดีที่ตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องผ่าตัด ไม่อย่างนั้นผู้ป่วยคงตกอยู่ในอันตรายแน่

หลินม่ายคิดว่ากระบวนการทางความคิดของโต้วโต้วแปลกประหลาดน่าดู แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบอีกครั้ง สิ่งที่หล่อนพูดมาก็ไม่ผิดเสียทีเดียว

เด็กไร้เดียงสาย่อมไม่มีเจตนาร้ายแอบแฝง หล่อนก็แค่ชื่นชอบคุณอาของหล่อนเกินไปเท่านั้น

หลินม่ายกระแอมในลำคอ “ถึงความคิดของหนูจะเข้าที แต่คงไม่มีใครหรอกที่อยากให้สุนัขมีชื่อเดียวกันกับเขา ลูกเห็นไหมว่าเจ้าหมาน้อยตัวนี้มีขนสีเหลือง ถ้าอย่างนั้นก็เรียกมันว่าอาหวงเถอะ จะได้จำชื่อง่าย ๆ”

เด็กหญิงตัวน้อยคิดตามอย่างจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

หลายวันผ่านไปไวเหมือนกะพริบตา แต่ฟางจั๋วหรานกลับไม่ปรากฏตัวอีกเลยหลังจากวันนั้น

ตอนแรกหลินม่ายยังไม่รู้สึกว่าผิดสังเกต แต่ทุก ๆ วันโต้วโต้วที่ติดตามเธอไปตั้งแผงลอยด้วยมักจะตั้งคำถามเสมอว่า “ทำไมวันนี้คุณอาฟางถึงไม่มาคะ? เขาไม่ชอบเกี๊ยวที่แม่ทำเหรอ?”

ถูกลูกสาวถามบ่อย ๆ นานวันเข้า หลินม่ายก็อดคาดหวังไม่ได้ว่าฟางจั๋วหรานจะมาปรากฏตัวในสักวันหนึ่ง

พร้อมกันนั้นก็ครุ่นคิดในใจไปพลาง หรือว่าผู้ชายคนนั้นไม่อยากมากินเกี๊ยวที่ร้านของเธอฟรี ๆ กันนะ เขาถึงได้หายไปแบบนี้?

พอคิดอย่างนี้แล้ว หลินม่ายก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

เธอไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ แค่อยากตอบแทนน้ำใจของเขาก็เท่านั้น กลับกลายเป็นว่าเขาไม่กล้ามาที่นี่อีกเลย

เกี๊ยวที่ร้านของหลินม่ายใช้แป้งห่อที่มีลักษณะบางเฉียบ ให้ไส้เยอะมาก ที่สำคัญคือรสชาติอร่อยละมุนลิ้น ทำให้แม่ต้าเป่าที่ปกติทำอาหารปรุงสุกได้แค่ไม่กี่อย่างเทียบฝีมือไม่ติด

นอกจากนี้ ทักษะการขายของเธอยังเหนือกว่า พอมีโต้วโต้วคอยช่วยตะโกนเรียกลูกค้า นับวันก็ยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามากกว่าเดิม จนแม่ต้าเป่าอิจฉาตาร้อนและเอาแต่พูดจาเหน็บแนมอยู่ทุกวี่วัน

แต่ละวันแม่ต้าเป่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งเพราะความโกรธเคือง ราวกับเงินที่หลินม่ายได้รับไม่ใช่เงินจากลูกค้า แต่เป็นเงินของหล่อนเอง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้ค้าแผงลอยก็ริเริ่มจ่าย ‘ค่าคุ้มครอง’ เป็นอาหารเช้าที่พวกเขาขายให้กับต้าเป่า ได้กินอาหารหลายอย่างโดยที่ไม่ต้องเสียเงินจ่ายแบบนี้ ต้าเป่าก็ไม่รอให้ผู้เป็นแม่มาปลุกแต่เช้าอีกต่อไป ยินยอมตามหล่อนไปตั้งแผงลอยที่ท่าเรือแต่โดยดี

ถึงแม้จะมีพ่อค้าแม่ค้าหลายรายที่ให้ขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ กับต้าเป่า เพื่อแลกกับความสบายใจในการค้าขาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแผงลอยทุกร้านจะคุ้นชินกับพฤติกรรมของเขา

ยกตัวอย่างเช่นร้านของหลินม่าย ร้านของผู้ชายสองสามคน และร้านของป้ากู่จากหมู่บ้านรอบนอก

ทุกครั้งที่เด็กชายร่างอ้วนพยายามจะเข้ามาก่อกวน พวกเขาแค่มองตาขวางใส่ อีกฝ่ายก็หนีเตลิดออกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ต้าเป่าเป็นเด็กที่เจ้าคิดเจ้าแค้นไม่เบา แทนที่แผงลอยเหล่านั้นจะแบ่งขนมให้เขากิน กลับใช้สายตาข่มขู่ให้เขากลัว ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้แค้นเคืองมาก

เขาอาศัยจังหวะตอนที่พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาสอดส่องดูแล ไปสร้างความวุ่นวายให้กับแผงลอยเหล่านั้น ทำให้หลายคนถึงกับกุมขมับ

ผู้ค้าแผงลอยไม่พอใจมาก ตะโกนบอกแม่ต้าเป่า ขอให้หล่อนดูแลลูกชายของตัวเองไม่ให้เที่ยวไปรบกวนคนอื่น

แม่ต้าเป่าถามกลับว่า “เด็กคนไหนไม่ซนบ้างล่ะ?” ราวกับไม่สนใจว่าใครจะเป็นหรือตาย

พ่อค้าเจ้าของแผงลอยทั้งสองโกรธมากจนอยากลงไม้ลงมือกับต้าเป่าให้สิ้นเรื่อง

แม่ต้าเป่ากลับไม่กลัวน้ำเดือด ถึงขั้นขู่ว่าถ้าใครกล้าแตะต้องลูกชายของหล่อนแม้แต่ปลายเล็บ หล่อนจะเรียกตำรวจมาจับคนคนนั้นเสีย

ในช่วงชุลมุนแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่

คำขู่ของหล่อนได้ผล ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้เส้นผมของสองแม่ลูกคู่นี้เลยแม้แต่คนเดียว

ทั้งแม่และลูกชายได้กลายเป็นทรราชประจำท่าเรืออย่างสมบูรณ์

ถึงยอดขายเกี๊ยวของร้านแม่ต้าเป่าจะลดน้อยลงในแต่ละวัน แต่หล่อนก็ยังกระหยิ่มยิ้มย่องที่เห็นว่าลูกชายของตัวเองได้รับของกินมากมายในทุกเช้า

ทุกครั้งที่หลินม่ายเหลือบไปเห็นสีหน้าเย่อหยิ่งของหล่อน เธอมักจะรู้สึกขยะแขยงจนแทบสำรอกอาเจียนออกมา

ผู้หญิงคนนี้นอกจากจะโง่เขลาแล้วยังไร้จิตสำนึก เอาแต่ดื่มด่ำอยู่กับความล้มเหลวในการอบรมสั่งสอนลูกชาย เขาไปรังควานคนอื่นแต่กลับไม่คิดตักเตือนเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้รับ รอให้ลูกตัวเองเกิดปัญหาก่อนเถอะ ถึงเวลานั้นต่อให้ร้องไห้ฟูมฟายก็สายไปเสียแล้ว

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ทุกคนต่างออกจากบ้านไปตั้งแผงลอยกันตามปกติ

เนื่องจากวันนี้เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์ ทำให้ช่วงเวลาก่อนแปดโมงเช้ามีรอบเรือข้ามฟากน้อยกว่าวันอื่น ๆ การค้าขายในช่วงเวลาดังกล่าวจึงค่อนข้างซบเซา

ในเรื่องร้ายยังมีเรื่องดี เพราะวันนี้เจ้าหน้าที่เทศกิจหยุดงาน ทำให้พวกเขาสามารถตั้งแผงลอยขายของได้ถึงแม้จะเลยเวลาสิบโมงไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงไม่รีบร้อน

หลังแปดโมงเช้า มีผู้โดยสารจำนวนมากที่ขึ้นท่าจากอู่ชางมาที่ฮั่นโข่วเพื่อจับจ่ายซื้อของ รอให้ถึงตอนนั้นการค้าขายก็จะกลับมาคึกคักเหมือนเดิม

หลินม่ายรู้แบบนี้ เมื่อวานถึงได้ซื้อเนื้อหมูในปริมาณที่มากกว่าปกติถึงสองชั่ง

เช้าวันนี้ต้าเป่าสามารถกอบโกยของกินได้เป็นจำนวนมากจนกินไม่หมด อาหารเช้าที่พ่อค้าแผงลอยแบ่งให้จึงเหลือทิ้ง ท้ายที่สุดก็จำใจแบกหน้าท้องอ้วนกลมของตัวเองกลับไปที่แผงลอยของผู้เป็นแม่

พอเห็นภาพอุจาดตานั้นเข้า เจ้าของแผงลอยหลายรายต่างก็มองด้วยสายตาเหยียดหยามและรังเกียจ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา

หลินม่ายเพิ่งจะตักเกี๊ยวให้กับลูกค้าคนหนึ่งและยื่นชามให้กับเขา ขณะนั้นเองป้ากู่ที่ตั้งแผงลอยอยู่ด้านข้างกลับตวาดเสียงดังลั่น “ออกไป! ถ้ายังไม่ออกไปอีก ฉันตีแกแน่!”

ป้ากู่ตวาดไล่เด็กดื้อที่พยายามเข้ามาก่อกวนอย่างไร้เยื่อใย

เสียงตวาดของหล่อนทำให้ลูกค้าตกใจจนสะดุ้งโหยง เกือบทำชามเกี๊ยวหลุดมืออยู่แล้วเชียว

หลินม่ายคุ้นเคยกับเสียงนี้เป็นอย่างดี

ป้ากู่ก็ไม่ต่างจากเธอเท่าไหร่นัก ไม่อาจทำใจชอบเด็กเหลือขอคนนี้ลงได้

ต่อให้เด็กชายร่างอ้วนจะสร้างปัญหาให้กับหล่อนขนาดไหน ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันแบ่งบะหมี่แห้งให้กับเขา

เพราะแบบนี้ เด็กชายร่างอ้วนถึงได้ตามราวีหล่อนอยู่บ่อยครั้ง และป้ากู่ก็มักจะตวาดไล่เขาด้วยถ้อยคำเดิม ๆ แทบทุกวัน

ป้ากู่อายุมากแล้ว ช่วงจังหวะที่ไม่มีลูกค้ามาซื้อของก็จะหาเวลานั่งพักเพื่อให้ร่างกายไม่อ่อนล้าจนเกินไป ถ้าให้หล่อนยืนติดต่อกันสองสามชั่วโมง เห็นทีสังขารคงไม่ไหวเป็นแน่

เด็กชายร่างอ้วนนึกอยากกินบะหมี่แห้งจากร้านของหล่อน แต่หล่อนไม่เคยมีน้ำใจแบ่งปันให้เขาเลยสักครั้ง ไม่ให้กินยังพอว่า ป้ากู่ยังเอาแต่ขับไล่ไสส่งเขาเหมือนหมูหมา แล้วจะไม่ให้เขาเกลียดหล่อนได้อย่างไร

ขณะที่ป้ากู่กำลังจะหย่อนก้นลงนั่งพักอีกครั้ง เขาก็พุ่งตัวเข้ามาฉกเก้าอี้ของหล่อนจากด้านหลัง

เป็นผลให้ป้ากู่ทิ้งน้ำหนักลงกลางอากาศจนบั้นท้ายร่วงกระแทกพื้นอย่างแรง ความเจ็บร้าวแผ่ไปทั่วร่างจนแทบทนไม่ไหว

พ่อค้าแม่ค้าหลายคนที่เห็นเหตุการณ์รีบผละมือจากงานที่ทำอยู่เพื่อช่วยพยุงหล่อนให้ลุกขึ้น แต่หลินม่ายกลับตะโกนห้ามไว้ “ทุกคนคะ อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าไปช่วยคุณป้าเลย ล้มแรงขนาดนี้ ไม่แน่ว่ากระดูกป้ากู่อาจจะหักก็ได้ พวกเราไม่ใช่หมอ ดีไม่ดีอาจทำให้อาการของคุณป้าแย่ลง”

ทุกคนต่างยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก “งั้นเราควรทำยังไงดี?”

หลินม่ายถามกลับ “แถวนี้มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ ๆ ไหมคะ? ถ้ามี ใครก็ได้ช่วยวิ่งไปที่โรงพยาบาล แล้วขอให้พวกเขาแบกเปลหามมารับคนดีกว่า”

ยุคสมัยนี้ไม่มีหมายเลขศูนย์การแพทย์ฉุกเฉิน 120 พวกเขาทำได้แค่ไปที่โรงพยาบาลโดยตรงแล้วเรียกเจ้าหน้าที่ชำนาญการมาจัดการเท่านั้น

ชาวบ้านที่ตั้งแผงลอยเกิดความลังเล พูดขึ้นว่า “แถวนี้มีโรงพยาบาลประจำเมืองอยู่ใกล้ ๆ แต่ใครจะรับอาสาไปเรียกหมอล่ะ?”

เจ้าของแผงลอยต่างหันมองหน้ากัน

การมีน้ำใจถือเป็นเรื่องที่ดี แต่พวกเขายังต้องเปิดร้านหารายได้น่ะสิ

อีกอย่าง เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเสียหน่อย แม้แต่แม่ของเด็กเหลือขอคนนั้นยังเพิกเฉย แล้วเรื่องอะไรพวกเขาจะต้องออกหน้าแทนด้วยล่ะ!

………………………………………………………………………………………………………………

ขนมงาทอด เป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวทอด ด้านนอกเคลือบด้วยเมล็ดงา สอดไส้เมล็ดบัวกวน ถั่วดำกวน หรือถั่วแดงกวน รสสัมผัสกรุบกรอบเหนียวหนึบ

สารจากผู้แปล

รวมตัวกันขับไล่สองแม่ลูกต้าเป่าออกไปเถอะค่ะ นานวันเข้าทำตัวเป็นนักเลงขึ้นทุกวัน ก่อนจะมีคนบาดเจ็บเหมือนป้ากู่อีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 73 กล่องอาหารกลางวันเฉพาะกิจ

โต้วโต้วลูบพุงป่อง ๆ ของตัวเอง “หนูกินแล้วค่ะ อิ่มมาก ๆ เลยด้วย”

ว่าแล้วก็ใช้นิ้วก้อยชี้ไปที่หลินม่าย “แต่แม่หนูน่าจะยังไม่อิ่ม เมื่อเช้านี้เธอกินเกี๊ยวรองท้องไปไม่กี่ตัวเองค่ะ หนูอยากซื้อข้าวให้แม่ แต่หนูยังเด็กเกินไป คุณลุงช่วยเลี้ยงข้าวแม่หนูหน่อยได้ไหมคะ?”

สีหน้าหลินม่ายที่เพิ่งจะกลับมาเป็นปกติเริ่มซับสีแดงเรื่ออีกครั้ง เธอแกล้งทำเป็นโกรธขณะหันไปตำหนิโต้วโต้ว “อย่าพูดจาไร้สาระ!”

โต้วโต้วกะพริบตาปริบ สูดน้ำมูกครั้งหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “หนูไม่ได้พูดไร้สาระซะหน่อย”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะอีกครั้ง “เด็กไม่พูดโกหกหรอกคุณ อย่าตำหนิหล่อนจริงจังนักเลย”

เขาขมวดคิ้วแล้วถามต่อ “ว่าแต่คุณพาลูกสาวมาขายของด้วยทำไมหรือ? อากาศหนาวเย็นอย่างนี้เดี๋ยวหล่อนจะเจ็บป่วยไม่สบายเอาได้”

หลินม่ายตอบอย่างช่วยไม่ได้ “ตอนแรกฉันก็ปล่อยให้โต้วโต้วนอนอยู่ที่บ้านนั่นแหละค่ะ แต่คืนก่อนมีโจรบุกขึ้นบ้าน โต้วโต้วคงกลัวจนไม่กล้าอยู่บ้านคนเดียว ก็เลยวิ่งออกมาหาฉันที่นี่”

ฟางจั๋วหรานตักเกี๊ยวเข้าปากอีกคำหนึ่ง “คุณอยู่ที่บ้านกันแค่สองแม่ลูกไม่ปลอดภัยหรอก ควรหาสุนัขมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านสักตัว”

หลินม่ายตอบกลับในขณะที่สองมือยังคงสาละวนทำงาน “ไม่รู้ว่าใครสักคนในหมู่บ้านมีลูกสุนัขเพิ่งคลอดหรือเปล่า ไว้ฉันกลับไปแล้วจะลองถามพวกเขาดูค่ะ”

พอลูกค้าคนหนึ่งเห็นว่าเกี๊ยวในชามของหลินม่ายมีมากกว่าเกี๊ยวในชามของตัวเอง ก็ถามหลินม่ายด้วยความไม่พอใจ “ผมจ่ายเงินซื้อเกี๊ยวร้านคุณนะ แต่ทำไมถึงให้เขาเยอะกว่าล่ะ?”

หลินม่ายตอบกลับ “เพราะเขาเป็นคนรู้จักของฉันไงคะ แต่คุณไม่ใช่”

ลูกค้าได้รับคำตอบแบบนั้นก็เดินจากไปพร้อมชามเกี๊ยวของตัวเองด้วยความโกรธ

ฟางจั๋วหรานกินเกี๊ยวจนหมดชามแล้ว ก็จัดการวางชามใบนั้นลงในถังน้ำสะอาด หันไปแนะนำหลินม่ายว่า “คุณทำเกี๊ยวอร่อยมาก แต่ถ้าไส้เกี๊ยวทำจากเนื้อส่วนขาหลัง คงอร่อยยิ่งขึ้นไปอีก”

พูดจบเขาก็หันไปบอกลาโต้วโต้วแล้วเดินจากไป

หลินม่ายเหลือบมองตามแผ่นหลังของเขาไป คุณเป็นอาจารย์หมอ คุณมีเงินใช้จ่าย แม้แต่การแต่งตัวยังเนี้ยบไร้ที่ติ คุณมีสิทธิ์เลือกกินอาหารดี ๆ จะกินเนื้อสัตว์ทั้งทียังเลือกส่วนที่มีไขมันน้อยที่สุด

แต่คนธรรมดาทั่วไปที่ต้องใช้แรงงานต้องการไขมันเป็นหลัก เพราะแบบนี้เธอถึงเลือกเนื้อขาหน้าเป็นวัตถุดิบสำหรับทำไส้เกี๊ยว

ร้านของแม่ต้าเป่าเงียบเหงา ดังนั้นหล่อนจึงเอาแต่จ้องจับผิดหลินม่าย

พอเห็นว่าหญิงสาวมองตามแผ่นหลังของฟางจั๋วหรานอย่างไม่วางตา ปากที่เคยสงบเงียบก็พูดเหน็บแนมชาวบ้านอีกครั้ง “มองอะไร มีอะไรให้มองกัน จุ๊ ๆๆ อย่าได้คิดจะจับเขาเลย คนอย่างเธอไม่คู่ควรพอหรอก”

หลินม่ายหันไปมองหล่อนพร้อมขมวดคิ้ว “ถ้าคุณคิดว่าตัวเองคู่ควรพอ งั้นก็ลองจับเขาดูสิ!”

คำพูดของเธอทำให้บรรดาผู้ค้ารายย่อยหลายคนต่างหัวเราะออกมา แม่ต้าเป่าโกรธมากแต่ทำอะไรไม่ได้

จังหวะนั้นสายตาหลินม่ายเผอิญเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง พอเพ่งสายตามองก็พบว่าเป็นธนบัตรใบละห้าสิบเหมา สอดอยู่ระหว่างขวดเครื่องปรุงหน้าร้าน

เธอรู้ดีว่าธนบัตรใบนี้เป็นของฟางจั๋วหราน เขาคงแอบเสียบไว้โดยอาศัยจังหวะช่วงที่เธอไม่ทันสังเกต

ถึงวันนี้เธอจะห่อเกี๊ยวไว้ในปริมาณที่มากกว่าเมื่อวาน แต่กลับขายดีจนหมดเกลี้ยงทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงแปดโมงครึ่ง

พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ เห็นหลินม่ายปิดแผงและลากรถเข็นกลับบ้านไปพร้อมกับโต้วโต้ว ต่างก็รู้สึกอิจฉากันถ้วนหน้า เพราะตอนนี้พวกเขายังขายของไม่หมดด้วยซ้ำ…

หลังจากสองแม่ลูกเก็บร้านและเดินออกไปได้สักระยะหนึ่ง ก็บังเอิญสวนทางกับพ่อต้าเป่าอีกครั้ง

ขณะนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่งแล้ว เขาต้องออกไปช่วยภรรยาปิดแผงและขนของกลับบ้าน

ถ้าปล่อยให้ล่าช้าจนเจ้าหน้าที่เทศกิจมาขับไล่ ลำพังภรรยาของเขาคงเก็บข้าวของหนีไม่ทันแน่ เกิดหล่อนถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจจับตัวไป คนที่ลำบากใจที่สุดคงหนีไม่พ้นเขา

ไม่ใช่แค่เขาเพียงคนเดียว ญาติของพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็ออกจากบ้านมาช่วยคนของตัวเองปิดแผงเช่นเดียวกัน

นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่เทศกิจกลับมาปฏิบัติงานตามปกติหลังวันหยุดยาว พวกเขาก็ไม่สามารถปิดแผงด้วยตัวคนเดียวได้อีก ต้องออกมาช่วยเหลือกันเพื่อให้ทันเวลา

พ่อต้าเป่าพยักหน้าทักทายหลินม่าย “ขายหมดแล้วสินะ”

หลินม่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จากนี้ไปเราไม่ต้องคุยกันดีกว่า ฉันไม่อยากมีปัญหากับเมียคุณ”

พ่อต้าเป่ารู้สึกกระดากอายขึ้นมาทันที

เมื่อสองแม่ลูกเดินห่างออกมาไกลแล้ว ใครบางคนกลับร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าหน้าที่เทศกิจมาแล้ว!”

หลินม่ายหันขวับกลับไปมอง เห็นว่าผู้ค้าแผงลอยทั้งหลายต่างรีบร้อนเก็บข้าวของกันอย่างลนลานเพื่อหลบหนี

เธอจำได้ว่าชีวิตในชาติก่อนหน้าของตัวเองต้องทำงานหาเงินอย่างหนัก

ครั้งหนึ่งในระหว่างที่กำลังปิดแผงหนีเจ้าหน้าที่เทศกิจ น้ำซุปร้อน ๆ กลับหกกระเซ็นราดแขนข้างหนึ่งจนผิวหนังพุพองเพราะความร้อน ความเจ็บปวดแสบร้อนทำให้เธอแทบจะเป็นลม

แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่เห็นใจสงสารเธอเลยแม้แต่นิด แถมยังบอกด้วยว่าหลินม่ายสำออยไปเอง

แตกต่างจากหลินเพ่ย ต่อให้หล่อนเสแสร้งว่าเป็นไข้หวัด เขากลับทุกข์ร้อนทรมานจนแทบจะตายแทนได้

เวลานั้นหลินม่ายที่ยังรักเขาอย่างสุดหัวใจเคยถามเขาว่า ถ้าเธอตายไป เขาจะรู้สึกเสียใจบ้างหรือเปล่า

เธอยังจดจำคำพูดของผู้ชายขี้ขลาดคนนั้นได้เป็นอย่างดี ‘เธอก็แค่ผู้หญิงจนตรอกคนหนึ่ง ชีวิตไร้ค่าไร้ราคา ไม่ควรค่าให้ฉันรู้สึกสงสารหรือเสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว!’

หลินม่ายตายแล้วเกิดใหม่มาสองครั้งสองคราแล้ว เธอไม่หลงเหลือความผูกพันใด ๆ กับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอีกต่อไป นับประสาอะไรกับภาพความทรงจำอันเลวร้ายพวกนั้น

เธอเจ็บช้ำเพราะเขามามากเกินพอ หลังจากตกอยู่ในสภาวะจำยอมมาตลอดทั้งชีวิต ในที่สุดเธอก็สลัดหลุดจากเขาได้เสียที

หลังจากกลับมาถึงบ้าน หลินม่ายพับแขนเสื้อขึ้นเพื่อนวดแป้ง เตรียมไว้ทำซาลาเปาไส้กากหมูสำหรับมื้อเที่ยง

หลังจากเสร็จงาน หลินม่ายก็เดินออกจากบ้านไปถามไถ่ชาวบ้านคนอื่น ๆ ในละแวกนั้นว่าบ้านของใครมีลูกสุนัขเพิ่งคลอดบ้าง

ผลสรุปก็คือไม่มีบ้านไหนมีลูกสุนัขเลย

ถึงอย่างนั้นก็มีครอบครัวหนึ่งซึ่งเลี้ยงสุนัขตัวเมียที่กำลังตั้งท้อง พวกเขาสัญญาว่าถ้ามันคลอดเมื่อไหร่จะแบ่งลูกของมันให้ทันที

ทันทีที่กลับมา ลุงฉีก็ขนผักที่เธอสั่งไว้เมื่อวานมาส่งถึงหน้าบ้านพอดี

หลินม่ายสังเกตผักที่เขาเอามาส่ง ไม่ว่าจะเป็นต้นหอม กะหล่ำดอก หรือขึ้นฉ่ายล้วนสดใหม่คุณภาพดี ดังนั้นเธอจึงสั่งผักกับเขาล่วงหน้าให้เอามาส่งในวันถัดไปเหมือนเดิม

ลุงฉีรับเงินค่าผักล่วงหน้าครบแล้วก็เดินจากไปอย่างมีความสุข

ได้รับเงินทั้งทีจะไม่ให้ร่าเริงได้อย่างไร

ตอนเที่ยง หลินม่ายจัดการนึ่งซาลาเปาไส้กากหมูและทำซาลาเปาไส้ขึ้นฉ่ายเพิ่มด้วย ซึ่งโต้วโต้วก็ยังคงเจริญอาหารตามเคย

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลินม่ายงีบหลับ ก่อนจะตื่นมาถักเสื้อไหมพรมอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็ออกจากบ้านไปซื้อเนื้อหมูและกระดูกหมู

คราวนี้เธอเดินเลยไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อกล่องใส่อาหาร

กล่องใส่อาหารกลางวันที่ว่านี้ เธอตั้งใจซื้อไว้สำหรับฟางจั๋วหรานโดยเฉพาะ คิดเผื่อไว้ถ้าวันต่อ ๆ ไปเขามาซื้อเกี๊ยวที่ร้านเธออีกก็จะยกกล่องอาหารใบนี้ให้เขาใช้คนเดียว

วันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วหรานมาอุดหนุนเกี๊ยวร้านเธออีกตามเคย แต่วันนี้เขาไม่ได้มามือเปล่า ยังอุ้มกล่องกระดาษลังใบหนึ่งมาด้วย

เสียงเห่าเล็ก ๆ ดังเล็ดลอดออกมาจากกล่องใบนั้น

โต้วโต้วถามด้วยความตื่นเต้น “คุณอา มีหมาน้อยอยู่ในกล่องใช่ไหมคะ?”

“ใช่” ฟางจั๋วหรานลดตัวลงนั่งยอง ๆ วางกล่องกระดาษลังลงบนพื้น

เขาแง้มเปิดฝากล่องครึ่งหนึ่งให้เธอเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน “อาไปขอลูกหมาป่า(1)มาจากใครคนหนึ่ง หนูจะได้เลี้ยงมันไว้เฝ้าบ้าน ให้มันคอยปกป้องดูแลหนูกับแม่”

โต้วโต้วอุ้มหมาป่าน้อยออกมาจากกล่องลังอย่างมีความสุข แล้วเอาแต่เดินวนไปมาด้วยความตื่นเต้น

หลินม่ายหยิบกล่องอาหารกลางวันที่เตรียมไว้สำหรับฟางจั๋วหรานโดยเฉพาะออกมา ตักเกี๊ยวใส่กล่องจนเต็ม ก่อนจะยื่นให้เขา

“ที่จริงฉันจองลูกสุนัขไว้กับคนในหมู่บ้านแล้วค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นธุระหาลูกหมาป่าให้ก็ได้ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะ”

สายตาของฟางจั๋วหรานตกไปที่กล่องอาหารกลางวันสภาพใหม่เอี่ยมตรงหน้าครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับแล้วตักเกี๊ยวกิน “ถ้าจองลูกสุนัขจากคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่ามันจะคลอด แต่ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่รอไม่ได้นะคุณ อีกอย่าง หมาบ้านพวกนั้นเทียบกันกับหมาป่าไม่ได้หรอก หมาป่ามีความจงรักภักดีต่อเจ้าของและดุร้ายมากกว่า”

“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันแค่ละอายใจที่ต้องติดหนี้บุญคุณจากคุณอยู่บ่อยครั้ง”

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมหาลูกหมาป่าตัวนั้นมาให้โต้วโต้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณเลย เพราะฉะนั้นคุณจะติดหนี้บุญคุณผมได้ยังไง”

หลินม่ายได้แต่ยิ้ม

หลังจากกินเกี๊ยวเสร็จ ฟางจั๋วหรานตั้งใจว่าจะหาจังหวะสอดธนบัตรใบละห้าสิบเหมาทิ้งไว้ให้เธอเหมือนเมื่อวาน แต่ครั้งนี้เขาถูกหลินม่ายจับได้เสียก่อน

“ดูคุณสิ เมื่อวานนี้ฉันอุตส่าห์ทำเกี๊ยวให้คุณกินเป็นการขอบคุณ แต่คุณก็ยังหาทางทิ้งเงินไว้ให้ฉันจนได้ วันนี้คุณจะใช้ลูกไม้เดิม ๆ ไม่ได้แล้วนะคะ!”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม ตอบกลับว่า “ผมเป็นผู้ชาย จะมาขอเกี๊ยวร้านคุณกินฟรี ๆ ได้ยังไง คุณรับเงินจากผมไปเถอะ ไม่อย่างนั้นครั้งต่อไปผมคงไม่กล้ามาช่วยอุดหนุนอีก”

หลินม่ายยังคงแบ่งรับแบ่งสู้ “อย่างน้อยก็ขอให้ฉันได้เลี้ยงเกี๊ยวคุณสักครึ่งเดือน หลังจากนั้นค่อยคิดเงินก็แล้วกัน คุณช่วยชีวิตโต้วโต้วไว้ไม่ให้เธอถูกรังแก วันนี้ยังหาลูกสุนัขมาให้พวกเราอีก ขอให้เราได้ทำบางอย่างเป็นการตอบแทนเถอะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะ “ช่วยชีวิตโต้วโต้วงั้นเหรอ? ผมว่าคุณพูดเกินจริงไปหน่อย ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณว่า หลังจากนี้ผมจะมากินเกี๊ยวที่ร้านคุณเป็นเวลาครึ่งเดือน”

หลังจากบอกลาโต้วโต้วแล้ว เขาก็เดินจากไปเพื่อต่อรถประจำทาง

โต้วโต้ววิ่งตามหลังเขาไปพร้อมถามว่า “พรุ่งนี้คุณอาจะมากินเกี๊ยวที่ร้านอีกไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานหันกลับมาตอบเธอว่า “มาสิ!”

แม่ต้าเป่าขดริมฝีปากอย่างนึกรังเกียจ “จิ้งจอกตัวใหญ่สั่งสอนจิ้งจอกตัวเล็กให้เจริญรอยตามซะแล้ว”

……………………………………………………………………………………………………………….

ลูกหมาป่าในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงหมาป่าที่อยู่ในป่าจริง ๆ แต่เป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่อย่างสุนัขตำรวจ

สารจากผู้แปล

พี่หมอเร่งทำคะแนนเยอะนะคะตอนนี้ มาช่วยทุกอย่างเลยตั้งแต่ซื้อเกี๊ยวกับหาลูกหมามาให้เลี้ยง

อิจฉาละสินังแม่ต้าเป่า ไม่ได้รับความอ่อนโยนแบบนี้จากสามีที่บ้านล่ะสิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 72 หวังแย่งลูกค้า

พ่อต้าเป่าได้ยินเข้าก็หน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย

เขาเหลือบมองไปทางภรรยาที่ทั้งอ้วนทั้งตัวใหญ่ของตัวเองอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แล้วหันไปกระซิบกับหลินม่าย “ภรรยาของผมเขาก็เป็นแบบนี้แหละ คุณอย่าได้ถือสาหล่อนเลย”

หลินม่ายส่ายหน้า จงใจพูดเสียงดัง “ช่างเถอะค่ะ ฉันมาที่นี่เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋า ไม่ได้มาเล่นละครลิง ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับหล่อนมากนักหรอก หล่อนจะพูดอะไรก็ปล่อยให้หล่อนพูดไป”

ในที่สุด หลินม่ายก็ไม่ให้ความสนใจแม่ต้าเป่าอีกต่อไป

แม่ต้าเป่ายังด่าทอต่อไปอีกสองสามประโยค พอเห็นว่าหลินม่ายไม่โต้ตอบก็ได้ใจ ยอมปิดปากเงียบแล้วก้มหน้าก้มตาทำเกี๊ยวต่อ รอเวลาให้ผู้โดยสารจากเรือข้ามฟากลำแรกมาซื้อของของตัวเอง

พ่อต้าเป่าฉวยโอกาสหลบหน้าออกไป

เขาเดินจากไปได้ไม่นาน โต้วโต้วก็วิ่งสวนเขามาที่นี่ คว้าชายเสื้อของหลินม่ายเอาไว้ทันทีที่มาถึง

หลินม่ายประหลาดใจ “ลูกมาที่นี่ทำไม?”

เมื่อเห็นว่าโต้วโต้วติดกระดุมเสื้อผิด ก็ก้มลงไปจัดการติดกระดุมให้หล่อนเสียใหม่ แล้วหวีผมถักเปียให้หล่อนอย่างรวดเร็ว

โต้วโต้วมองผู้เป็นแม่อย่างน่าสงสาร “หนูไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว หนูกลัว ก็เลยวิ่งมาหาแม่ที่นี่ค่ะ”

เวลาประมาณหกโมงครึ่งในช่วงเดือนแรก ท้องฟ้าข้างนอกยังคงมืดสลัว บรรยากาศภายในบ้านคงมืดยิ่งกว่า เป็นเรื่องปกติที่โต้วโต้วจะรู้สึกกลัวเมื่อต้องอยู่ที่บ้านตามลำพัง

หลินม่ายถามหล่อนว่าตอนออกมาปิดประตูบ้านดีแล้วหรือยัง โต้วโต้วพยักหน้า “ปิดดีแล้วค่ะ”

หลินม่ายปล่อยให้หล่อนนั่งพัก รีบหันไปทำเกี๊ยวสองชามอย่างไม่รอช้า สำหรับโต้วโต้วชามหนึ่ง และของตัวเองอีกชามหนึ่ง

วันนี้เธออาจจะต้องเปิดร้านจนถึงแปดโมงครึ่ง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเก้าโมงแล้ว

กว่าจะถึงตอนนั้นเธอกับโต้วโต้วคงต้องอดทนหิวโหยเป็นเวลานาน

พอสองแม่ลูกเพิ่งจะกินอาหารมื้อเช้ากันเสร็จ ผู้โดยสารกลุ่มแรกก็ก้าวลงจากเรือข้ามฟากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เหตุการณ์ยังคงวุ่นวายเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด พ่อค้าแม่ค้าต่างตะโกนโหวกเหวกร้องเรียกลูกค้าแข่งกัน

โต้วโต้วรีบมายืนอยู่ข้างร้าน แล้วส่งเสียงเชื้อเชิญลูกค้าทันที

เสียงเล็ก ๆ น่ารักน่าเอ็นดูของหล่อนยังคงดึงดูดความสนใจของลูกค้าได้ตามเคย หลายคนที่ได้ลองซื้อเกี๊ยวของหลินม่ายและชอบใจในรสชาติต่างก็เข้ามาอุดหนุน

ยิ่งเมื่อวันนี้ที่ร้านของเธอมีซุปกระดูกหมูด้วย ลูกค้าที่อยากกินเกี๊ยวพร้อมกับซดน้ำซุปร้อน ๆ ก็เต็มใจอุดหนุนเกี๊ยวจากร้านของหลินม่ายมากขึ้น

แม่ต้าเป่าโกรธมากกว่าเมื่อวานเสียอีก

วันนี้หล่อนตั้งใจพาลูกชายอย่างต้าเป่ามาที่ร้านเป็นกรณีพิเศษ

หล่อนจ้างเขาด้วยนั่วหมี่จี(1)กับเสี่ยวหลงเปา(2) เพราะหวังว่าถ้าลากเขามาช่วยขายของด้วย เขาอาจช่วยเรียกลูกค้าเข้าร้านได้เหมือนกับหลินม่ายและลูกสาวของเธอ

แต่หลังจากที่ลูกชายของเธอกินดื่มจนอิ่มหนำสำราญ เขากลับวิ่งเล่นซุกซนไปทั่ว แถมยังลักขโมยคีมคีบอาหารจากพ่อค้าร้านหนึ่ง ขโมยเครื่องปรุงรสจากแม่ค้าอีกร้านหนึ่ง ทำให้พวกเขาวุ่นวายเป็นอย่างมาก

เจ้าของแผงลอยทั้งหลายพากันดุด่าที่เด็กคนนี้มาก่อกวนในขณะที่พวกเขากำลังค้าขาย ไม่มีใครชอบหน้าเขาเลยสักคน

บางคนถึงกับบอกแม่ต้าเป่าให้หัดสั่งสอนลูกชายตัวเองเสียบ้าง แต่แม่ต้าเป่าสวนกลับไปว่าเด็กวัยนี้ก็เล่นซนแบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ทำให้พ่อค้าแม่ขายเหล่านั้นโกรธจัด

แม่ต้าเป่าจีบปากจีบคอเรียกหาต้าเป่าอย่างอดไม่ได้ “แม่บอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ที่แม่พาแกมาก็เพราะให้แกช่วยแม่ขายของ ถ้าแกไม่ยอมช่วยแม่ มื้อเที่ยงแม่จะไม่ทำหมูตุ๋นให้แกกิน!”

ต้าเป่าหยุดเล่นซนทันที วิ่งกลับไปยืนอยู่หน้าแผงลอยของตัวเอง แล้วโก่งคอตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง

แต่ต้าเป่าก็มีสภาพไม่ต่างไปจากแม่ของเขา ตัวอ้วน หูกาง หน้าตาซื่อบื้อ เมื่อกี้นี้เขาก็เอาแต่วิ่งเล่นก่อกวนร้านของคนอื่นตลอดทั้งช่วงเช้า ทำให้เสื้อผ้าหน้าผมของเขาสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว

ไม่เหมือนกับโต้วโต้วที่สวมเสื้อผ้าตัวใหม่ ถักเปียอย่างเรียบร้อย น้ำเสียงหรือก็อ่อนหวานละมุนชวนฟัง ลูกค้าคนไหนบ้างจะไม่ชอบเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาน่ารักแบบหล่อน!

ต่อให้ต้าเป่าแหกปากตะโกนจนคอแทบแตก ก็มีลูกค้าแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สนใจอุดหนุนเกี๊ยวจากร้านของเขา ในเมื่อของก็ขายเหมือนกัน ทุกคนเห็นตรงกันว่าร้านของหลินม่ายยังน่าซื้อกว่า

คลื่นผู้โดยสารระลอกแรกผ่านพ้นไป คลื่นผู้โดยสารระลอกที่สองก็ยังคงให้ผลลัพธ์แบบเดิม

ต้าเป่ารู้สึกผิดหวังมาก จนไม่อยากร้องตะโกนให้เจ็บคออีกต่อไป

แม่ต้าเป่าเองก็อารมณ์ไม่ดีที่เกี๊ยวร้านตัวเองขายไม่ออก หันไปขู่ต้าเป่าว่าถ้าวันนี้เขาไม่ยอมเรียกลูกค้า มื้อเที่ยงก็อย่าหวังว่าจะได้กินหมูตุ๋น

ต้าเป่าไม่อยากตะโกนแล้ว แต่ยังอยากกินหมูตุ๋น จึงวิ่งไปหาโต้วโต้วเพื่อห้ามไม่ให้หล่อนตะโกนเรียกลูกค้า

โต้วโต้วไม่สนใจเขา ยังคงตั้งใจร้องเรียกลูกค้าต่อไป

ต้าเป่าตั้งท่าจะทุบกำปั้นใส่หล่อน “ถ้าเธอยังตะโกนอีก ฉันจะทุบเธอซะ!”

หลินม่ายอยากหันไปหยุดการกระทำของเขา แต่ในขณะนี้เธอยังยุ่งอยู่กับการขายเกี๊ยวให้ลูกค้าอีกหลายคน

ยังไม่ทันที่หมัดของเด็กชายร่างอ้วนจะทุบลงมาใส่หลังของโต้วโต้ว ก็ถูกใครบางคนเอื้อมมือมาคว้าคอของเขาไว้ แล้วเหวี่ยงออกไปด้านข้างอย่างทันเวลา

หลินม่ายที่ใจแทบหล่นลงไปอยู่ตรงตาตุ่ม พอเห็นว่าคนที่ยื่นมือมาช่วยในครั้งนี้คือฟางจั๋วหราน จึงหันไปขอบคุณเขาทันที

โต้วโต้วเงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นหน้าเขาก็ร้องเรียกด้วยความตื่นเต้นดีใจ “คุณอา!”

ฟางจั๋วหรานยิ้มตอบ แล้วโน้มตัวลงไปอุ้มหล่อนขึ้นมา

เด็กหญิงตัวน้อยโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันทีอย่างไม่เคอะเขิน โอบแขนไว้รอบคอเขาแน่นอย่างไม่คิดจะปล่อย

ท่าทางอันสนิทสนมนั้น ทำให้ดูเหมือนว่าเขาเป็นพ่อแท้ ๆ ของหล่อนที่พลัดพรากจากกันมานาน

ถึงต้าเป่าจะมีหน้าตาซื่อบื้อ แต่ไม่ได้โง่เขลาเหมือนหน้าตา ความจริงแล้วเขาเป็นเด็กเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง ได้ทีก็ล้มลงเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น แกล้งร้องไห้เหมือนหมูถูกเชือด “แม่ ผมโดนตี แม่ครับ ผมโดนตี”

ทุกครั้งที่ต้าเป่ากลั่นแกล้งหรือรังแกคนอื่น แม่ต้าเป่ามักจะทำตัวเหมือนหูหนวกตาบอดอยู่เสมอ

แต่เมื่อใดก็ตามที่ลูกชายของหล่อนโดนคนอื่นแกล้งบ้าง หล่อนจะโกรธจนตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้า

หล่อนผละออกจากแผงลอยของตัวเองทันที ปรี่เข้าไปหาฟางจั๋วหรานหวังเอาเรื่อง “คุณทำอะไรลงไป เป็นผู้ใหญ่แท้ ๆ แต่กล้ารังแกเด็กเหรอ?!”

โชคดีที่ผู้คนในยุคสมัยนี้ยึดถือว่ายุติธรรมเป็นที่ตั้ง ลูกค้าหลายคนสวนกลับแม่ต้าเป่าทันควัน “ใคร ๆ เขาก็ดูออกกันทั้งนั้นว่าลูกชายป้าแกล้งทำเป็นร้องไห้ ยังกล้าโทษว่าเป็นความผิดของคนอื่นอีกเหรอ ทำไมไม่รู้จักสั่งสอนลูกตัวเองบ้าง? เป็นแม่คนประสาอะไร!”

เมื่อกี้นี้พวกเขารำคาญมากที่ต้าเป่าเอาแต่เสียงดังและหาเรื่องรังแกคนอื่น ทางด้านพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ที่โดนต้าเป่าก่อกวนก็รุมตำหนิแม่ต้าเป่าเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะป้ากู่ที่ตั้งแผงขายบะหมี่แห้งอยู่ข้างร้านแม่ต้าเป่า หล่อนคือคนที่ถูกต้าเป่าก่อกวนหนักข้อกว่าคนอื่น ๆ จึงคับแค้นใจเป็นพิเศษ คำพูดจากปากหล่อนถึงได้รุนแรงกว่าใคร

หล่อนแค่นเสียงเยาะเย้ย “แม่ของเขาก็แบบนี้แหละค่ะ ลูกตัวเองไปรังแกหรือสร้างปัญหาให้คนอื่น หล่อนกลับเลือกที่จะทำเป็นตาบอดเสียหนึ่งข้าง แต่พอคนอื่นแตะต้องลูกตัวเองบ้าง กลับทำท่าขึงขังจะเอาเรื่องเสียให้ได้!”

สีหน้าฟางจั๋วหรานเย็นชาลงมากกว่าเดิม เขาหันไปขู่แม่ต้าเป่าว่า “ถ้าคุณป้ายังไม่หยุดสร้างความวุ่นวายอีก ผมจะพาตัวคุณไปที่สถานีตำรวจ แล้วแจ้งความคุณข้อหาใส่ร้าย!”

เขามีพยานแวดล้อมหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ จึงไม่กลัวที่จะแจ้งความแม่ต้าเป่า

ช่วงที่บ้านเมืองมีการบังคับใช้กฎหมายเข้มงวดแบบนี้ มีใครบ้างอยากขึ้นโรงพัก?

แม่ต้าเป่าจำใจกัดฟันข่มความโกรธ แล้วลากลูกชายร่างอ้วนของตัวเองกลับไปที่แผงของตัวเองเพื่อขายของต่อ

หลินม่ายรีบทำเกี๊ยวชามใหญ่แล้วยื่นให้ฟางจั๋วหราน “คุณคงยังไม่ได้กินข้าวมื้อเช้าใช่ไหมคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ โต้วโต้วคงโดนเด็กคนนั้นทำร้ายจนเจ็บตัวไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรตอบแทนคุณเลย เพราะฉะนั้นกินเกี๊ยวสักชามรองท้องก่อนเถอะค่ะ”

เธอฉุกคิดขึ้นได้ว่าเขาเป็นหมอ อาจกังวลเกี่ยวกับเรื่องสุขอนามัย จึงพูดเสริมอีกสองประโยค “ชามใบนี้โต้วโต้วล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนจะขายเกี๊ยวอีกค่ะ ไม่สกปรกแน่นอน”

ต่อให้ชามใบอื่นจะผ่านการล้างน้ำจนสะอาดแล้วก็ตาม ถึงอย่างนั้นในเรื่องของสุขอนามัยก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี

ถึงอย่างนั้นวันนี้ก็มีลูกค้าแค่ไม่กี่รายที่ใช้ชามกับตะเกียบจากร้านของหลินม่าย

พอรู้ว่าเธอจะแถมเกี๊ยวอีกสองตัวให้ พวกเขาก็ยินดีพกชามกับตะเกียบมาเองอย่างเต็มใจ

โต้วโต้วก็พลอยเหนื่อยน้อยกว่าเมื่อวาน เพราะเมื่อวานนี้เธอต้องล้างชามหลายใบ จนมือน้อย ๆ แดงเถือกเพราะแช่น้ำเย็นเป็นเวลานาน

ฟางจั๋วหรานรับชามเกี๊ยวจากมือเธอด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินโดยที่มีโต้วโต้วยืนอยู่ด้านข้าง

โต้วโต้วเหลือบมองชามเกี๊ยวในมือเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “ชามใบนี้ไม่ใช่ชามที่หนูเพิ่งกินไปเมื่อกี้นี่คะ เป็นชามของแม่หนูต่างหาก คุณอากินต่อจากแม่หนูเลย”

ใบหน้าหลินม่ายเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเพราะนั่นเป็นความจริง

ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินมาบ้างว่าการใช้จานชามต่อจากคนอื่นถือเป็นการจูบทางอ้อม แต่เธอคิดเข้าข้างตัวเองว่าคนอย่างฟางจั๋วหรานคงไม่รู้เรื่องพรรค์นี้

แต่ทันทีที่ได้ยินฟางจั๋วหรานหัวเราะเบา ๆ ดังมาจากด้านข้าง ก็สะดุ้งตกใจขึ้นมาทันที เขาเองก็รู้เรื่องการจูบทางอ้อมด้วยหรือนี่…

โต้วโต้วใช้นิ้วจิ้มต้นขาของฟางจั๋วหราน “เกี๊ยวฝีมือแม่หนูอร่อยไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้าพร้อมตอบกลับ “อร่อยมาก! หนูกินข้าวเช้าหรือยัง? ถ้ายังไม่ได้กินอะไรเดี๋ยวอาเลี้ยงเอง”

……………………………………………………………………………………………………………

นั่วหมี่จี ก็คือข้าวเหนียวไก่ห่อใบบัว เป็นอาหารเช้าดั้งเดิมของมณฑลกวางตุ้ง ข้างในเป็นเนื้อไก่ เห็ด และส่วนผสมอื่น ๆ ห่อด้วยข้าวเหนียว และห่อด้วยใบบัวอีกทีหนึ่ง

เสี่ยวหลงเปา หนึ่งในเมนูติ่มซำยอดฮิต หน้าตากึ่งซาลาเปากึ่งขนมจีบ แต่มีจุดเด่นคือมีน้ำซุปอยู่ข้างใน

สารจากผู้แปล

เออ โดนสักทีนังป้านี่ ให้ท้ายลูกตัวเองเยอะแล้ว จงโดนสังคมถล่มบ้าง

พี่หมอมาแล้ว ค่าตัวแพงนะคะกว่าจะออก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 71 เฉียนกั๋วเหลียงโดนน้ำร้อนลวก

หลังออกมาจากบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน หลินม่ายก็เดินไปขอบคุณพวกชาวบ้านคนอื่น ๆ ที่มาช่วยจับโจรเมื่อคืนนี้

แต่ละครอบครัวได้รับลูกอมรสบ๊วยหนึ่งกำมือใหญ่

พอแจกจ่ายขนมจนไปถึงบ้านของคุณป้าจาง คุณป้าจางกลับดึงแขนเธอไว้พร้อมกับกระซิบกระซาบ “เธอได้ยินข่าวหรือเปล่า? เมื่อคืนนี้เฉียนกั๋วเหลียงถูกน้ำร้อนลวก ตอนนี้เขานอนอยู่ในโรงพยาบาล ตามตัวมีผ้าพันแผลเต็มไปหมด”

หลินม่ายปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันที

เมื่อคืนนี้ โจรที่ปีนขึ้นบ้านเธอก็เดินสะดุดเตาจนถูกซุปกระดูกหมูเดือด ๆ ลวกเอาเหมือนกัน

พอมาวันนี้ก็ได้ยินข่าวว่าเฉียนกั๋วเหลียงถูกน้ำร้อนลวก เรื่องนี้ดูประจวบเหมาะเกินไป

เธอส่ายหน้า “ฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ เช้าวันนี้ก็มัวแต่วิ่งเรื่องโอนย้ายบ้าน”

ถึงอย่างนั้นเธอก็ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “แล้วเขาเป็นอะไรมากไหมคะ?”

“ฉันได้ยินมาว่าสาหัสอยู่นะ ขาขวาของเขาพุพองไปทั้งแถบ”

หลินม่ายได้ยินแบบนั้นก็อดดีใจไม่ได้ “จะส่งผลต่อการเดินเหินของเขามากแค่ไหนกัน?”

เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเฉียนกั๋วเหลียงจะกลายเป็นคนพิการไปซะ หลังจากนี้ต่อให้อาการของเขาดีขึ้นจนออกจากโรงพยาบาลได้ แต่เขาจะสร้างภัยคุกคามให้เธอได้น้อยลง

คุณป้าจางส่ายหน้า “เรื่องนั้นฉันก็ไม่รู้”

ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค ก่อนที่หลินม่ายจะขอตัวเดินทางไปที่ตลาดสดของรัฐ เพื่อซื้อวัตถุดิบสำหรับห่อเกี๊ยวขายในวันพรุ่งนี้

ขณะที่เดินอยู่นั้น หลินม่ายเกิดความคิดดี ๆ ว่าเธอควรหาลูกสุนัขมาเลี้ยงสักตัว ไม่เพียงแค่มันสามารถช่วยเฝ้าบ้านในเวลากลางคืนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถติดตามปกป้องโต้วโต้วในตอนกลางวันได้อีกด้วย

การใช้ขนมจ้างเสี่ยวเฉียงและเด็กคนอื่น ๆ ให้คอยปกป้องโต้วโต้วใช้ไม่ได้ผลเสมอไป ถ้าพ่อกับแม่ของเสี่ยวเฉียงรู้เข้า สักวันอาจสอนลูกชายตัวเองว่าไม่ให้ทำตัวเป็นมือปืนรับจ้างของคนอื่น

ดังนั้นการเลี้ยงลูกสุนัขสักตัวไว้คอยติดตามโต้วโต้ว จึงน่าเชื่อมั่นกว่าจ้างเสี่ยวเฉียงให้คอยคุ้มครองเธอ

วันพรุ่งนี้ร้านของเธอจะต้มซุปกระดูกหมูไว้กินคู่เกี๊ยวด้วย ยอดขายคงถล่มทลายว่าวันนี้แน่

หลินม่ายไปถึงร้านขายเนื้อ เธอซื้อเนื้อขาหน้าในปริมาณที่มากกว่าเมื่อวานหนึ่งชั่ง ไม่ลืมที่จะซื้อกระดูกหมู จากนั้นก็เดินเลยไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อหอมแดง

การทำเกี๊ยว หอมแดงเป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้

ภายในตลาดมืดมีผู้ค้ารายย่อยที่ตั้งแผงขายผักหลายร้าน ทุกร้านมีหอมแดงขายทั้งนั้น

หลินม่ายตัดสินใจซื้อผักจากแผงของคุณลุงคนหนึ่งที่มีท่าทางกระตือรือร้น เธอนั่งยอง ๆ ลงหน้าแผงของเขา เลือกซื้อหอมแดงหนึ่งชั่ง กับมันฝรั่งอีกสองสามลูก

คุณลุงใจดีมาก ชั่งน้ำหนักบนตาชั่งอย่างซื่อตรง ยังแถมหัวไชเท้าหัวใหญ่ให้หลินม่ายอีกหัวหนึ่ง แนะนำว่าต้มหัวไชเท้ากับซุปกระดูกหมูให้รสชาติหวานกลมกล่อมนักเชียว

หลินม่ายปฏิเสธอย่างเกรงใจ อธิบายว่าเธอต้มซุปกระดูกหมูไว้กินกับเกี๊ยว ไม่จำเป็นต้องต้มรวมกับหัวไชเท้า

ถึงอย่างนั้นชายชราก็ยังยืนยันว่าจะแถมให้ หลินม่ายจึงยินดีรับมันไว้

เธอลองถามชายชราดูว่าเขาสามารถเอาหอมแดงจำนวนหนึ่งชั่งไปส่งให้เธอที่บ้านทุกวันในเวลาประมาณสิบโมงเช้าได้หรือไม่ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมมาซื้อที่ตลาดมืดทุกวัน

คุณลุงลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วตอบว่า “ได้สิ แต่เธอต้องจ่ายเงินให้ลุงก่อน ถ้าไม่จ่ายเงินก่อน เกิดฉันเอาหอมแดงหนึ่งชั่งไปส่งแล้วเธอไม่รับขึ้นมา ฉันคงขายหอมแดงจำนวนนี้ให้ใครไม่ได้แล้ว”

หอมแดงจำนวนหนึ่งชั่งมีราคาไม่แพงมาก ต่อให้เธอจ่ายก่อนหรือหลังก็ไม่สำคัญ

สมมุติว่าคุณลุงรับเงินไปแล้ว แต่วันถัดมาไม่ยอมเอาหอมแดงมาส่งตามที่ตกลงกัน เธอก็แค่สิ้นสุดการค้าขายกับเขาเท่านั้นเอง เงินแค่ไม่กี่เหมา ต่อให้โดนโกงก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก

หลินม่ายจึงตกลงอย่างง่ายดาย

ทั้งยังถามคุณลุงด้วยว่าวันพรุ่งนี้เขาจะเอาผักอะไรมาขายบ้าง

ไหน ๆ เขาก็รับปากว่าจะมาส่งผักให้เธอถึงบ้านแล้ว จึงคิดว่าควรอุดหนุนผักอื่น ๆ จากเขาอีกสักสองสามอย่าง เพื่อที่เธอจะได้ประหยัดเวลาในการหาซื้อผักเอง

คุณลุงพูดพร้อมกับนับนิ้ว “พรุ่งนี้มีผักกาดหอม กะหล่ำดอก ผักกาดขาว แล้วก็ขึ้นฉ่าย”

พรุ่งนี้เธอตั้งใจไว้ว่าจะทำซาลาเปา ต้องใช้ขึ้นฉ่ายจำนวนหนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอกะหล่ำดอกกับขึ้นฉ่ายอีกอย่างละหนึ่งชั่งก็แล้วกันค่ะ”

ทั้งสองตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินม่ายจ่ายเงินให้เขา บอกที่อยู่ของตัวเอง แล้วเดินกลับบ้านไปพร้อมกับตะกร้าในมือ

ตอนนี้ยังเช้าอยู่ หลังกลับถึงบ้านแล้ว หลินม่ายก็หยิบไหมพรมขนแกะออกมาถักเสื้อกันหนาว

หลังผ่านพ้นเดือนแรกไป สภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงค่อย ๆ อุ่นขึ้น

ด้วยเหตุนี้เธอจึงตั้งใจว่าจะถักเสื้อกันหนาวให้กับโต้วโต้วก่อน ส่วนตัวเธอเองค่อยสวมเสื้อกันหนาวในช่วงที่อากาศเริ่มอุ่นขึ้นบ้าง

หลังจากถักเสื้อกันหนาวให้โต้วโต้วแล้ว ค่อยถักเสื้อไหมพรมให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง แล้วถักเสื้อของตัวเองเป็นลำดับสุดท้าย

โต้วโต้วเล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเหมือนลูกม้าตัวน้อย หล่อนกลับมาที่บ้านเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น

หลินม่ายอดถามด้วยความกังวลไม่ได้ว่าต้าเป่ายังหาเรื่องรังแกเธออยู่หรือเปล่า โต้วโต้วส่ายหน้า พลางเอื้อมมือไปคว้ามันฝรั่งทอดในจาน “ไม่แล้วค่ะ”

ได้ยินแบบนี้หลินม่ายก็โล่งใจ ตีมือหล่อนเบา ๆ เพื่อเตือนให้ไปล้างมือก่อนกินข้าว

หลังอาหารมื้อเย็น หลินม่ายหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ซื้อมาสำหรับตัวเองกับลูกสาว ไม่ลืมหยิบนาฬิกาปลุกเรือนเล็กที่เป็นรูปแม่ไก่จิกข้าวท่ามกลางลูกเจี๊ยบออกมาให้โต้วโต้วดู

โต้วโต้วสนใจมันมากถึงขั้นวางไม่ลง เอาแต่ถือนาฬิกาปลุกวิ่งไปมา

ก่อนเข้านอนตอนหัวค่ำ หลินม่ายเข้าครัวเพื่อจัดการต้มซุปกระดูกหมูทิ้งไว้

เธอหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ออกมาวางข้างเตียง ไม่ลืมกำชับให้โต้วโต้วสวมเสื้อผ้าตัวใหม่หลังจากตื่นขึ้นมาในเช้าวันพรุ่งนี้

เมื่อซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่มาแล้วก็ควรใส่เลย หลินม่ายไม่ยึดถือธรรมเนียมประเพณีเหมือนคนอื่น ๆ ในยุคนี้ ว่าจะสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ได้ก็ต่อเมื่อถึงช่วงเทศกาลหรือวันปีใหม่เท่านั้น

เช้าวันใหม่ หลินม่ายตื่นนอนแต่เช้ามืดอีกตามเคย

วันนี้เธอคาดเดาว่าต้องขายเกี๊ยวได้มากกว่าเมื่อวานอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องรีดแป้งทั้งหมดให้เสร็จตั้งแต่ตอนนี้ แล้วทำการห่อเกี๊ยวรอไว้เลย

ทำแบบนี้ก็เพื่อประหยัดเวลาในการขาย ถ้ารีบร้อนเกินไปอาจส่งผลกระทบหลายอย่าง ยิ่งปล่อยให้ลูกค้ารอนานก็ยิ่งเสียรายได้

หลังจากห่อเกี๊ยวเสร็จแล้ว เธอไม่ลืมโรยแป้งบนตัวเกี๊ยว เพื่อที่เวลาวางซ้อนกันแป้งจะได้ไม่เกาะติดกันเป็นแผง

พอทุกอย่างพร้อมสรรพ เวลาก็จวนถึงหกโมงเช้าแล้ว

หลินม่ายขนข้าวของขึ้นรถเข็นด้วยตัวเอง ก่อนจะกลับเข้าไปในห้อง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเก่าแล้วสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ซื้อมาเมื่อวานนี้

หลินม่ายไม่ลืมปลุกโต้วโต้ว บอกหล่อนว่าจะออกไปตั้งแผงขายของที่ท่าเรือก่อน ปล่อยให้หล่อนนอนต่ออยู่ที่บ้าน และจะกลับมาในเวลาประมาณเก้าโมง

เฉียนกั๋วเหลียงโดนน้ำร้อนลวกจนต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงปล่อยให้โต้วโต้วอยู่ที่บ้านตามลำพังก็คงไม่เกิดอันตรายใด ๆ

โต้วโต้วพึมพำตอบรับด้วยอาการงัวเงีย ก่อนจะพลิกตัวหันหลังแล้วหลับต่อ

หลินม่ายปิดประตูบ้าน เข็นรถเข็นออกไปเพื่อตั้งแผงขายของตามปกติ

วันนี้เธอยกเตาและหม้อสำหรับอุ่นซุปกระดูกหมูมาด้วย ทำให้รถเข็นของเธอมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อวาน ส่งผลให้การเข็นค่อนข้างทุลักทุเล

เมื่อวานนี้แม่ต้าเป่าเสียเปรียบจนไม่สามารถโต้เถียงหลินม่ายได้เลย พอเธอกลับถึงบ้านก็เอาแต่ด่าทอพ่อต้าเป่า

เพื่อไม่ให้หล่อนโกรธเคืองไปมากกว่านี้ วันนี้พ่อต้าเป่าจึงตื่นนอนแต่เช้า เพื่อออกจากบ้านมาช่วยแม่ต้าเป่าตั้งแผงขายของ

หลังจากช่วยแม่ต้าเป่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เขากำลังเดินกลับบ้านก็เจอกับหลินม่ายกลางทาง เห็นว่าเธอประสบปัญหาเพราะรถเข็นไม่สมดุล

เห็นแบบนั้นเขาก็รีบยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเธอทันที ทำให้หลินม่ายรักษาสมดุลในการเข็นรถได้ในที่สุด เธอไม่ลืมหันไปขอบคุณเขา

พ่อต้าเป่ายิ้ม ตอบกลับว่า “มาจากหมู่บ้านเดียวกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก”

เขาเห็นว่าเธอเป็นแค่เด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง การที่ผู้หญิงอายุเท่าเธอรู้จักทำมาหากินด้วยตัวคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย เขายังคงพูดต่อไปด้วยความสงสาร “คุณคงลำบากแย่!”

แม่ต้าเป่าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเข้า ก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที

หล่อนก้าวออกมายืนอยู่หน้าแผงของตัวเองแล้วตะเบ็งเสียงด่า “คุณนี่ก็ช่างกระไร! ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องไปทำงานบ้าน แต่ดันมาช่วยนังลูกหมานี่ ไอ้คนไร้ประโยชน์! ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเคยมีใจออกมาช่วยฉันตั้งร้าน พอออกจากบ้านทั้งทีกลับจ้องแต่นังนั่น เสียแรงจริง ๆ ที่ตัดสินใจแต่งงานกับคุณ ไอ้คนเจ้าชู้ ไอ้คนปลิ้นปล้อน ไอ้คนน่าขยะแขยง”

พ่อต้าเป่าชักมือออกจากรถเข็นทันทีด้วยความตกใจ

โชคดีที่รถเข็นไม่เสียหลัก หลินม่ายจึงสามารถรับช่วงเข็นต่อได้

ขณะที่ตั้งร้าน เธอแกล้งพูดเสียงดังขึ้นมา “ใครกันแน่ที่น่าขยะแขยง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะมองไม่เห็น!”

แม่ต้าเป่าโกรธจัด ถึงกับชี้หน้าด่าหลินม่ายข้ามหัวแผงลอยอีกสองร้าน “เธอไงล่ะ เธอนั่นแหละที่เป็นลูกหมาจอมล่อลวงคน ยังไม่รู้ตัวเองอีกเรอะ!”

หลินม่ายสวนกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “อย่ามาใส่ร้ายฉันนะ ถ้าคุณใส่ร้ายฉันอีกครั้ง คราวนี้ฉันจะล่อลวงสามีของคุณให้สมพรปาก!”

แม่ต้าเป่าขว้างไม้รีดแป้งห่อเกี๊ยวลงกับโต๊ะทันที “ฉันน่ะหรือใส่ร้ายเธอ? ถ้าเธอไม่ใช่ลูกหมาล่อลวงคนแล้วจะเป็นอะไรได้? เห็น ๆ กันอยู่ว่าวันนี้เธอจงใจใส่เสื้อตัวใหม่มาเพื่อยั่วยวนผัวฉัน!”

หลินม่ายตอบกลับ “แค่ฉันใส่เสื้อตัวใหม่ก็ถือเป็นการยั่วยวนสามีคุณแล้วเหรอ? หน้าอกของคุณก็ออกจะใหญ่เสียปานนั้น ทำไมถึงยั่วยวนสามีตัวเองไม่สำเร็จล่ะ?”

พ่อค้าแม่ขายแถวนั้นได้ยินต่างก็หัวเราะอย่างขำขัน

ผู้ค้ารายย่อยที่มาจากหมู่บ้านเดียวกันพูดขึ้นว่า “แม่ต้าเป่า ตราบใดที่สามีของคุณมั่นคงต่อคุณมากพอ ใครก็ล่อลวงเขาไม่ได้ทั้งนั้น หรือที่คุณกลัวเพราะว่าตัวเองมีดีไม่พอกันล่ะ”

ประโยคข้างต้นเรียกเสียงหัวเราะจากพ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ได้อีกครั้ง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ก็นิสัยตัวเองเป็นเสียแบบนี้ ผู้ชายที่ไหนจะอยากอยู่ด้วยล่ะ ถ้าถึงจุดหนึ่งที่เขาคิดว่าพอแล้วไม่ทนแล้วก็คงจะตีจากไปนั่นแหละ ถึงตอนนั้นอย่ามาฟูมฟายแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 70 มาโวยวายหน้าประตูบ้านฉันทำไม!

โต้วโต้วร้องไห้สะอึกสะอื้น บอกหลินม่ายว่าเมื่อเช้านี้แม่ต้าเป่าขายเกี๊ยวได้น้อย หล่อนปิดแผงกลับบ้านทั้ง ๆ ที่ยังเหลือไส้กับแป้งห่อเป็นจำนวนมาก จากนั้นหล่อนก็โกรธจัดจนเอาอารมณ์มาลงกับสามีและลูก

ต้าเป่าฟังแม่บ่นจนรู้สาเหตุ ทันทีที่เขาเห็นโต้วโต้ว เขาก็พุ่งเข้ามาทุบตีหล่อนทันที แก้แค้นที่แม่ของหล่อนทำให้แม่ของเขาโกรธ

หลินม่ายได้ยินก็โกรธมากจนปอดแทบระเบิด เธอหยุดเจียวน้ำมันหมูทันที จูงมือโต้วโต้วไปที่บ้านของแม่ต้าเป่าเพื่อหวังพูดคุยให้รู้เรื่อง

คราวนี้ทั้งพ่อและแม่ของต้าเป่าอยู่ที่บ้าน

พ่อต้าเป่ามีเหตุผลมากพอ ทันทีที่ได้ยินหลินม่ายเล่าว่าลูกชายของตัวเองไปรังแกคนอื่นอีกแล้ว ก็คว้าตัวเขามาแล้วลงมือทุบตีเป็นการลงโทษ

แม่ต้าเป่ารีบวิ่งออกมา ชี้หน้าสามีของตัวเองพร้อมพูดว่า “ถ้าวันนี้คุณกล้าแตะต้องลูกชายฉันแม้แต่ปลายเล็บ ฉันจะหย่ากับคุณซะ!”

ชายคนนั้นกลัวคำขู่ของหล่อนจนไม่กล้าขยับตัว ได้แต่มองไปที่หลินม่ายอย่างจนปัญญา

ภรรยาร่างอ้วนของเขาอารมณ์ร้ายและชอบวางอำนาจไม่ต่างจากนางปีศาจ นับตั้งแต่พวกเขาแต่งงานกัน เขาก็ตกเป็นเบี้ยล่างของหล่อนมาโดยตลอด

ตราบใดที่หล่อนไม่พอใจอะไรสักอย่าง หล่อนจะแหกปากร้องห่มร้องไห้ เอาแต่ขู่ว่าจะผูกคอตายต่อหน้าเขา

นั่นไม่ใช่แค่การแสดงเพื่อเรียกร้องความสนใจ หล่อนบ้าพอที่จะทำมันจริง ๆ

ก่อนหน้านี้ที่บ้านมีพ่อแม่ของเขาอาศัยอยู่ด้วย แต่หล่อนที่เป็นสะใภ้กลับเข้ากับแม่สามีไม่ได้ คว้ายาฆ่าแมลงมาดื่มหวังฆ่าตัวตายทันที

ถึงหล่อนจะได้รับการช่วยเหลือทันเวลา แต่ปู่กับย่าของต้าเป่าต่างก็รำคาญเกินกว่าจะอยู่ร่วมชายคากับหล่อน จึงย้ายออกไปอยู่ตามลำพังในพื้นที่ห่างไกล

ถึงพวกเขาจะแยกบ้านกันอยู่ แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้คบหาสมาคมกับพ่อแม่ของตัวเองอีกเลย เพราะกลัวว่าถ้าภรรยารู้เข้าจะโมโหเอะอะโวยวาย และหาเรื่องฆ่าตัวตายอีก

แน่นอนว่าคำพูดของแม่ต้าเป่าว่าถ้าเขากล้าแตะต้องต้าเป่าแม้แต่ปลายเล็บ หล่อนจะหย่ากับเขาทันที นั่นก็ไม่ได้เป็นแค่คำขู่ลอย ๆ เหมือนกัน

หลิยม่ายหันไปถามแม่ต้าเป่าด้วยสีหน้าเข้มขรึม “คุณจะชดใช้เรื่องนี้ยังไง? โต้วโต้วของฉันโดนลูกชายคุณรังแกเป็นครั้งที่สามแล้วนะ?”

แม่ต้าเป่าพูดพลางกลอกตามองบน “ก็แค่เด็กทะเลาะกันไม่ใช่หรือ? เธออย่าโวยวายไปหน่อยเลยน่า! ในเมื่อเป็นเรื่องของเด็กก็ให้เด็กมันจัดการกันเอง เธอเป็นผู้ใหญ่ จะสอดมือเข้ามาวุ่นวายทำไมกัน?”

หลินม่ายโต้กลับอย่างโกรธเคือง “ก็เพราะฉันเป็นผู้ใหญ่ ถึงได้พยายามตักเตือนลูกชายคุณด้วยเหตุผล แม้แต่ฉันเขายังไม่เชื่อฟัง ถ้าให้โต้วโต้วพูดกับเขาด้วยตัวเอง คุณคิดว่าเขาจะฟังเหรอ? หรือต้องให้หล่อนใช้กำลังสั่งสอนลูกชายคุณดีล่ะ? ลูกของคุณเป็นเด็กผู้ชาย ตัวโตกว่าโต้วโต้วตั้งไม่รู้เท่าไหร่ โต้วโต้วจะเอาชนะเขาได้ยังไง? พูดมาสิ จะให้เด็กสองคนนี้จัดการกันเองแบบไหน!”

แม่ต้าเป่ายักไหล่เหมือนไม่แยแส “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้”

หลินม่ายจำใจกลับบ้านด้วยความโกรธไปพร้อมกับโต้วโต้ว ทันใดนั้นก็หยิบเอาลูกอมรสบ๊วยที่ตั้งใจจะเอาไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านในตอนแรกออกมา แล้วยัดลงในกระเป๋าเสื้อทั้งสองข้างของโต้วโต้วจนเต็ม พูดกับเธอว่า “ลูกเอาลูกอมพวกนี้ไป ไปหาเด็กคนไหนก็ได้ที่ตัวใหญ่พอจะทุบตีต้าเป่า บอกพวกเขาว่าถ้าเอาชนะต้าเป่าได้ หนูจะแบ่งขนมให้พวกเขาเป็นรางวัล”

โต้วโต้วสูดน้ำมูกดังฟืดฟาด แล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที

หลินม่ายกลับบ้านไปเจียวน้ำมันหมูต่อ

ในขณะที่เธอกำลังหั่นมันหมู โต้วโต้วก็วิ่งกลับมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ทันทีที่วิ่งผ่านประตูบ้านเข้ามาก็ตะโกนว่า “แม่คะ แม่คะ หนูแจกลูกอมให้เสี่ยวเฉียงกับคนอื่น ๆ ไปแล้ว พวกเขาทุบตีต้าเป่าจนร้องไห้กระเจิงเลย!”

หลินม่ายยกนิ้วโป้งให้เธอ “ทำได้ดีมาก!”

เด็กหญิงตัวน้อยได้รับคำชมก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ก่อนจะหันหลังออกไปวิ่งเล่นอีกครั้ง

หลินม่ายหันมันหมูเป็นเต๋าเล็กเสร็จแล้ว จากนั้นก็ตั้งกระทะให้ร้อน แล้วใส่มันหมูลงไปเจียวทันที

ทันใดนั้น กลิ่นหอมจากการเจียวน้ำมันหมูก็หอมฟุ้งไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ดึงดูดให้โต้วโต้ววิ่งกลับมาที่บ้าน

คราวนี้เด็ก ๆ หลายคนก็ตามหล่อนมาด้วย

หลินม่ายแบ่งกากหมูที่ได้จากการเจียวน้ำมันไว้ครึ่งหนึ่ง ตั้งใจว่าจะเก็บไว้กินกับซาลาเปาในวันพรุ่งนี้

ส่วนกากหมูอีกครึ่งหนึ่ง หลินม่ายแบ่งให้โต้วโต้วกับเพื่อน ๆ ของหล่อนเอาไปกินกัน

หลินม่ายพูดกับเด็ก ๆ คนอื่นอย่างใจดี “โต้วโต้วอยู่คนเดียวไม่มีพี่น้อง ก่อนหน้านี้หล่อนโดนต้าเป่ารังแกอยู่บ่อย ๆ ครั้งต่อไปถ้าพวกหนูเห็นต้าเป่ารังแกโต้วโต้วอีกต้องช่วยหล่อนนะ ถ้าพวกหนูช่วยเหลือโต้วโต้วของน้า น้าจะทำของอร่อยให้พวกหนูกินอีก”

เมื่อเด็ก ๆ ได้กินกากหมูที่ทั้งกรอบอร่อยและหอมกรุ่น พวกเขาทั้งหมดก็พยักหน้ารับอย่างหนักแน่น

หลินม่ายชี้ไปทางเด็กชายอายุประมาณหกเจ็ดขวบสองสามคนที่ยืนเก้กังอยู่หน้าประตูลานบ้าน แล้วถามโต้วโต้วว่า “พวกเขาเป็นเพื่อนของลูกหรือเปล่า?”

โต้วโต้วหันหน้าไปมอง “นั่นคือเสี่ยวเฉียงกับเพื่อนของเขาค่ะ พวกเขานั่นแหละที่ทุบตีต้าเป่าจนร้องไห้”

หลินม่ายจึงกวักมือเรียกเสี่ยวเฉียง “เข้ามาสิ มากินกากหมูด้วยกัน”

บรรดาเด็กชายตัวน้อยจึงเดินเข้ามาในบ้าน

หลินม่ายขอให้โต้วโต้วแบ่งกากหมูจำนวนหนึ่งให้กับพวกเขาแต่ละคนเท่า ๆ กัน พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมบอกให้โต้วโต้วขอบคุณพวกเขาที่เต็มใจช่วยหล่อน

ทั้งยังสอนโต้วโต้วด้วยว่า ตราบใดที่พวกเขาทำดีต่อหล่อน ในอนาคตก็อย่าลืมเอาของอร่อย ๆ ไปแบ่งปันพวกขาด้วย

เด็กน้อยหลายคนขอบคุณเสียงดัง ก่อนจะเดินออกไปอย่างมีความสุขพร้อมกับกากหมูเต็มไม้เต็มมือ

ขณะที่สองแม่ลูกกำลังกินอาหารมื้อกลางวันกันอยู่นั้น แม่ต้าเป่าก็เดินมาหาเธอถึงหน้าประตูบ้านด้วยความโกรธ พร้อมกับจูงแขนต้าเป่าที่จมูกช้ำหน้าตาปูดบวมมาด้วย

หล่อนตะโกนถามหลินม่ายว่าทำไมถึงสั่งสอนให้โต้วโต้วรู้จักจ้างเสี่ยวเฉียงและคนอื่น ๆ ให้พวกเขามารุมทุบตีต้าเป่าจนหน้าปูดบวมเหมือนหัวหมูไหว้เจ้า

แม่ต้าเป่าคับแค้นใจและเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด “โต้วโต้วของเธอเอาลูกอมรสบ๊วยไปจ้างเสี่ยวเฉียงให้เขากับเพื่อนมาทุบตีลูกชายฉัน ตอนแรกฉันยังไม่คิดจะมาเอาเรื่องเธอ แต่โต้วโต้วยังแจกกากหมูจ้างเด็กพวกนั้นให้มาตีลูกชายฉันเป็นครั้งที่สอง นี่มันกลั่นแกล้งกันเกินไปแล้ว!”

หลินม่ายกลอกตา “คุณบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าเด็กทะเลาะกันก็ให้พวกเขาจัดการกันเอง แล้วมายืนโวยวายอยู่หน้าประตูบ้านฉันทำไมล่ะ?”

แม่ต้าเป่ากัดฟันเถียงอย่างไม่พอใจ “แต่เธอเป็นคนสั่งสอนให้โต้วโต้วทำแบบนั้น”

หลินม่ายยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ทีคุณยังไม่รู้จักสั่งสอนลูกชายตัวเองไม่ให้ไปรังแกเด็กคนอื่น ฉันจะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้เหรอ? ฉันก็แค่สอนให้โต้วโต้วรู้จักป้องกันตัวเท่านั้นเอง มันผิดตรงไหน?!”

แม่ต้าเป่าโกรธมากแต่ก็เถียงไม่ออก

พ่อต้าเป่าที่ตามมาทีหลังพยายามเกลี้ยกล่อมหล่อนด้วยเสียงแผ่วต่ำ “ไปเถอะ อย่าสร้างปัญหาเลย”

ลูกชายของเขาถูกเด็กคนอื่นทุบตี ความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย แต่เขารู้ตัวดีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะครอบครัวของตัวเองบกพร่องด้านการอบรมสั่งสอนลูก ต่อให้สร้างปัญหากับอีกฝ่ายไปก็ไม่มีประโยชน์

แม่ต้าเป่ากลับไม่ยอมฟังคำพูดของเขา หนำซ้ำยังหันไปด่าทอเขาว่าเป็นผู้ชายขี้ขลาดตาขาว ลูกของตัวเองโดนทุบตีแท้ ๆ กลับทำอะไรไม่ได้

หลินม่ายถามกลับ “แล้วคุณอยากให้สามีตัวเองทำยังไงล่ะถึงจะดูไม่เป็นคนขี้ขลาดตาขาว? หรือเขาควรทำร้ายร่างกายฉัน คุณถึงจะพอใจ? อย่าลืมล่ะ ตอนนี้บ้านเมืองยังอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศ ถ้าสามีคุณกล้าแตะต้องฉันแม้แต่ปลายเล็บ อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าแจ้งความให้ตำรวจมาจับเขาเข้าไปนอนคุกสักสองสามปี!”

แม่ต้าเป่าได้ยินคำพูดของเธอแล้วถึงกับนิ่งงันไป ถึงแม้ตอนนี้หล่อนจะยังโกรธอยู่ แต่ก็ไม่กล้าสั่งให้สามีตัวเองทำร้ายร่างกายหลินม่ายอีกต่อไป

หลินม่ายได้ทีก็พูดเยาะเย้ย “ผู้หญิงอย่างคุณมันก็ดีแค่ปากเก่งเท่านั้นแหละ จัดการคนในบ้านของตัวเองยังไม่ได้! ขนาดลูกทำผิดยังเอาแต่ให้ท้ายว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกต้องแล้ว ในเมื่อคุณไม่รู้จักสั่งสอนลูกของตัวเอง อีกหน่อยถ้าเขาโตขึ้น เขาก็ต้องถูกสังคมสั่งสอน ถึงเวลานั้นเมื่อไหร่คุณต้องเสียใจแน่! คุณคิดว่าถ้าเขาเติบโตจนเข้าสังคมได้ คนทั้งโลกจะใจดีกับเขาเหมือนพ่อแม่ของเขาหรือไง? คนพวกนั้นจะปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า และไม่เอาผิดเขาเหมือนพวกคุณงั้นหรือ?”

ชาวบ้านที่เข้ามามุงดูเหตุการณ์ก็ช่วยเกลี้ยกล่อมแม่ต้าเป่าอีกแรงหนึ่ง ถ้าเด็กคนนี้ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีตั้งแต่แรก เขาจะไปรังแกคนอื่นได้อย่างไร?

ชาวบ้านหลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแม่ต้าเป่าตามใจลูกชายมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก่อนหน้านี้ต้าเป่าเองก็กลั่นแกล้งรังแกเด็กคนอื่นในหมู่บ้านไปทั่ว พวกเขาจึงฉวยโอกาสนี้ระบายความคับข้องใจของตัวเองบ้าง

แม่ต้าเป่าตกอยู่ในสภาวะเสียเปรียบ แถมยังตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านอย่างน่าอับอาย จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกลับไปด้วยความโกรธเคือง

ก่อนจากไป พ่อต้าเป่ายังอุตส่าห์หันหน้ามาค้อมศีรษะให้กับหลินม่ายเป็นเชิงขอโทษ

แต่หลินม่ายไม่สนใจเขา เธอไม่อยากชายตามองผู้ชายที่ไร้ประโยชน์แบบเขาด้วยซ้ำ

หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เดินไปที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้านพร้อมกับของขวัญ

เธออยากขอบคุณจากใจจริงที่เขาเป็นธุระช่วยคลี่คลายสถานการณ์โจรขึ้นบ้านเมื่อคืนนี้

หัวหน้าหมู่บ้านมีนิสัยชอบดื่มเป็นประจำอยู่แล้ว พอเห็นว่าหลินม่ายซื้อไวน์คุณภาพดีที่มีราคาต่อขวดมากกว่าสองหยวนมามอบให้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีปรีดา

จากนี้ไปไม่ว่าเธอจะประสบปัญหาใด ๆ ก็ตาม ถ้าอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถช่วยได้ เขาก็เต็มใจช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน

หลินม่ายรอให้เขาออกปากทำนองนี้อยู่พอดี เพราะในอนาคตถ้าเธอนึกอยากจะต่อเติมบ้าน เธอต้องพึ่งพาการอนุมัติจากเขาเป็นหลัก

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ว้ายยยย หน้าแตกกลับไปเลยเป็นไงล่ะแม่ต้าเป่า สู้กับใครไม่สู้มาสู้กับม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 69 ซื้อบ้านได้สักที

หลินม่ายไม่รู้ว่าการขายเกี๊ยววันแรกจะเป็นไปได้ดีหรือเปล่า

เพื่อป้องกันความเสียหาย หลินม่ายจึงเตรียมไส้เกี๊ยวไว้แค่สิบชั่ง ซึ่งไส้เกี๊ยวที่ว่าสามารถห่อเกี๊ยวได้ทั้งหมดแค่ประมาณหนึ่งร้อยชามเท่านั้น

ในเวลาแปดโมงเช้า เกี๊ยวในร้านของเธอก็ถูกขายไปจนหมดเกลี้ยง จึงเก็บข้าวของเตรียมปิดแผงกลับบ้าน

แม่ต้าเป่าแทบกระอักเลือดตายเพราะความโกรธ แผงขายอาหารของหล่อนในวันนี้พ่ายแพ้ให้กับแผงของหลินม่ายอย่างราบคาบ หล่อนอุตส่าห์เตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับทำเกี๊ยวหนึ่งร้อยชาม แต่กลับขายได้ไม่ถึงห้าสิบชามด้วยซ้ำ

คราวนี้หล่อนไม่ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์อีกต่อไป แต่ออกปากด่าชื่อของหลินม่ายโดยตรง

หล่อนกล่าวหาว่าเธอขี้โกง ใช้เด็กอายุไม่กี่ขวบหารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง

เมื่อตัวเองถูกชี้หน้าด่าถึงขนาดนี้ อีกทั้งตอนนี้ก็มีเวลาว่างพอที่จะต่อปากต่อคำกับหล่อนพอดี หลินม่ายคิดในใจว่าถ้าไม่ตอบโต้เสียบ้าง อีกฝ่ายคงหาทางกลั่นแกล้งรังแกตัวเองอยู่เรื่อยไป

ต่อให้อยากมีที่ยืนหยัดในสังคมมากแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรรังแกคนอื่น

ตราบใดที่เราไม่กล้าตอบโต้ ก็จะตกเป็นเป้าให้คนอื่นกลั่นแกล้งอยู่วันยังค่ำ

ธรรมชาติของมนุษย์ก็อย่างนี้ ข่มคนอ่อนแอ กลัวคนแข็งแกร่ง

หลินม่ายสวนกลับเสียงดังขณะกำลังปิดแผง “คุณพาลูกชายของคุณมาหารายได้แบบฉันบ้างก็ได้นี่ มีใครห้ามคุณไว้เหรอ? แค่ร้านของฉันขายดีกว่าก็หาเรื่องกันเสียแล้ว งั้นก็ไม่แปลกหรอกที่ไม่มีใครกล้าซื้อของของคุณ!”

แม่ต้าเป่าโกรธจนตัวสั่นไขมันกระเพื่อม

หลังจากนั้นสองแม่ลูกก็กลับบ้านไปเก็บของ หลินม่ายเข้าครัวทำเกี๊ยวทอดอย่างไม่รอช้า

ถึงก่อนหน้านี้เด็กหญิงตัวน้อยจะกินเกี๊ยวหนึ่งชามกับปาท่องโก๋ไปแล้ว แต่หลินม่ายทำเกี๊ยวให้หล่อนแค่สิบชิ้นเพื่อให้รองท้องประทังความหิว เกี๊ยวทอดที่กำลังทำอยู่ต่างหากคืออาหารมื้อเช้าที่แท้จริง

เมื่อกี้นี้หล่อนอุตส่าห์ช่วยก้ม ๆ เงย ๆ ล้างชามตั้งหลายใบ แถมยังช่วยตะโกนเรียกลูกค้า แน่นอนว่าใช้พลังไม่น้อยทีเดียว

ไม่นานกระเพาะของหล่อนจึงร้องเพราะความหิวอีกครั้ง ยิ่งเมื่อได้กลิ่นเกี๊ยวทอด ก็รู้สึกว่ามันหอมน่ากินเป็นพิเศษ หล่อนกินเยอะจนพุงน้อย ๆ ป่องออก

หลังจากกินเกี๊ยวทอดเสร็จแล้ว โต้วโต้วก็ออกจากบ้านไปวิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ เช่นเคย

ตอนนี้หลินม่ายมีเงินออมมากกว่าสองพันหยวน เพียงพอแล้วที่จะจ่ายค่าบ้าน

เธออยากซื้อบ้านหลังนี้เป็นของตัวเองโดยเร็วที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ติดปัญหาบางอย่าง

เธอจำเป็นต้องโทรหาเฉียนอ้ายกั๋ว เพื่อเรียกให้เขามาทำสัญญาซื้อขายบ้าน

แต่ยุคสมัยนี้ยังไม่มีโทรศัพท์สาธารณะ จึงทำได้แค่ขอยืมโทรศัพท์จากที่ทำการหมู่บ้าน แล้วโทรติดต่อหาเขาอีกทีหนึ่ง

ทันทีที่หลินม่ายมาถึงที่ทำการหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านก็กวักมือเรียกเธอเข้าไปพูดคุย “ที่ทำการไปรษณีย์ส่งใบธนาณัติมาให้เธอเมื่อสองวันก่อน ตอนนั้นเธอไม่อยู่ เจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านเลยเซ็นรับแทนเธอ มาลงชื่อแล้วรับใบธนาณัติไปเร็ว”

หลินม่ายนึกสงสัย ใครส่งใบธนาณัติมาให้เธอกัน?

พอเห็นใบธนาณัติแล้ว ก็รู้ทันทีว่าก่อนหน้านี้เธอได้เขียนจดหมายส่งเรื่องไปที่สำนักหนังสือพิมพ์ บทความดังกล่าวเป็นเรื่องรายงานพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพนักงานขายภายในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง หลังจากที่ตีพิมพ์ไป สำนักหนังสือพิมพ์จึงจ่ายเงินให้เธอหลายสิบหยวนเป็นค่าต้นฉบับ รวมถึงค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

ไม่คาดคิดเลยว่าค่าต้นฉบับที่มีจำนวนคำแค่ไม่ถึงหนึ่งพันคำในยุคสมัยนี้ จะมีมูลค่าสูงกว่าสิบหยวนเสียอีก

เธอตื่นขึ้นมาฝ่าลมหนาวในช่วงเช้ามืด ยืนหลังขดหลังแข็งขายเกี๊ยวเป็นเวลาสองสามชั่วโมง กลับทำเงินได้แค่สิบหยวนกับอีกไม่กี่เหมาเท่านั้นเอง

น่าเสียดายที่ชาตินี้เธอมีวุฒิการศึกษาสูงสุดแค่ชั้นมัธยมต้น ถึงแม้ว่าชาติก่อนเธอจะสั่งสมความรู้เอาไว้มากแค่ไหนก็ตาม แต่สภาพสังคมจำกัดให้เธอทำได้แค่ค้าขาย เธอเอาความรู้ในสมองไปสมัครงานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงเปลี่ยนแนวมาหารายได้จากการเขียนบทความขาย เหมือนกับอาชีพของตัวเองในชาติแรกไปนานแล้ว

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสองสามเดือนก่อน ผู้จัดการข่งถึงได้พาพนักงานขายคนนั้นมาขอโทษขอโพยเธอด้วยความกระวนกระวาย ที่แท้ก็เป็นเพราะบทความของเธอถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์นั่นเอง ถึงได้ทำให้เขาตื่นตระหนกแบบนั้น

มิน่าเล่าเขาถึงขอร้องให้เธอยกโทษโดยการเขียนบทความแก้ไขความผิดพลาดของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงอีกฉบับ เพราะหวังว่าบทความของเธอจะช่วยกู้ชื่อเสียงห้างสรรพสินค้าของพวกเขากลับคืนมาได้

แต่เรื่องมันผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้วจนเธอลืมไปเสียสนิท

เธอตัดสินใจว่าจะเขียนบทความชดเชยให้กับผู้จัดการข่งภายในวันนี้ เพื่อที่คนอื่นจะไม่ตำหนิเธอลับหลังว่าไม่รักษาคำพูด

การโทรศัพท์ติดต่อเฉียนอ้ายกั๋วต้องใช้เวลามากพอสมควร หลินม่ายอาศัยช่วงที่ต้องรอคอยเขียนบทความตามคำขอของผู้จัดการข่ง บทความนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฟื้นฟูชื่อเสียงของห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง เขียนเสร็จแล้วเธอก็นำไปส่งที่สำนักหนังสือพิมพ์ แล้วแวะไปที่ธนาคารเพื่อถอนเงินสำหรับจ่ายค่าบ้าน

พอเธอกลับมาถึง ก็เห็นว่าเฉียนอ้ายกั๋วรออยู่ที่หน้าประตูบ้านของเธอก่อนแล้ว

หลินม่ายส่งยิ้มให้พร้อมกับขอโทษ “ฉันไม่คิดว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เลยออกไปทำธุระส่วนตัวระหว่างรอ ขอโทษที่ปล่อยให้คุณต้องรอนะคะ”

เฉียนอ้ายกั๋วโบกมือ “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”

ตราบใดที่เขาจะได้รับเงินก้อนแน่ ๆ ต่อให้ต้องรอนานกว่านี้เขาก็ยินดี

นานหลายปีจนถึงปัจจุบัน แทบไม่มีใครสนใจมาดูบ้านหลังนี้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับติดต่อขอซื้อบ้าน

แม้แต่วันส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา เขาก็ไม่ค่อยมีความสุขมากนัก เพราะกลัวว่าหลังปีใหม่หลินม่ายจะหาเงินมาจ่ายค่าบ้านให้เขาไม่ได้จนต้องคืนบ้านให้กับเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาคงต้องมานั่งกังวลเรื่องการขายบ้านอีกครั้ง

ทันทีที่หลินม่ายติดต่อขอให้เขามาทำธุรกรรมสัญญาซื้อขาย เขาแทบทิ้งทุกอย่างที่ทำอยู่แล้วตรงดิ่งมาหาเธอโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันก็รู้สึกโล่งใจมาก

ทั้งสองเดินไปยังที่ทำการหมู่บ้านด้วยกัน จัดการทำเอกสารธุรกรรมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ของหมู่บ้านที่เป็นพยานให้ ก่อนที่หลินม่ายจะจ่ายเงินค่าบ้านทั้งหมดให้กับเขา

เฉียนอ้ายกั๋วลงนามในใบเสร็จรับเงิน ส่งมอบโฉนดที่ดิน ใบรับรองทรัพย์สิน และกุญแจบ้านอีกชุดหนึ่งที่เขาเก็บไว้ให้กับเธอทั้งหมด

หลังจากนั้นหลินม่ายก็เดินทางไปยังสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัย เพื่อจัดการโอนชื่อกรรมสิทธิ์ตามขั้นตอน

ยุคสมัยนี้ คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามบ้านเช่าเป็นหลัก ถึงชาวนาในพื้นที่ห่างไกลจะมีบ้านเรือนส่วนตัว แต่ไม่ค่อยมีการจัดทำเอกสารอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

ดังนั้นการจัดทำเอกสารด้านอสังหาริมทรัพย์จึงมีความเข้มงวดน้อยกว่าชีวิตในภพชาติก่อนหน้าของหลินม่าย ขอเพียงแค่มีเอกสารรับรองการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์และโฉนดที่ดิน ก็ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ได้แล้ว

ถึงเจ้าพนักงานของรัฐในสำนักงานจะว่างงานกันเกือบหมด แต่มีคนมาจัดการทำเรื่องโอนย้ายอสังหาริมทรัพย์ให้เธอแค่ไม่กี่คน

ด้วยกระบวนการที่รวดเร็ว หลินม่ายใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวก็ทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว

หลังจากจ่ายเงินซื้อบ้าน หลินม่ายยังเหลือเงินในมือมากกว่าหนึ่งพันหยวน เธอวางแผนว่าจะซื้อนาฬิกาปลุกขนาดเล็กไว้สักเรือนหนึ่ง และซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้คุณย่าฟาง

จนถึงตอนนี้ เธอก็ยังสวมนาฬิกาข้อมือเรือนเดิมที่คุณย่าฟางให้ยืมสมัยที่เธอเข้าเมืองมาค้าขายในช่วงแรก ๆ

เธอไม่คิดคืนนาฬิกาเรือนนี้ให้คุณย่าฟาง แต่ซื้อนาฬิกาข้อมือเรือนใหม่ให้นางเป็นการทดแทน

เธอเดินทางไปที่ตลาดมืดเพื่อซื้อคูปองอุตสาหกรรม แล้วตรงไปที่ร้านค้าเพื่อซื้อนาฬิกาปลุกกับนาฬิกาข้อมือ

ถึงแม้ในยุคนี้ภาคอุตสาหกรรมการผลิตจะยังล้าหลัง แต่นาฬิกาปลุกขนาดเล็กที่วางขายอยู่ตามร้านก็มีรูปแบบเก๋ไก๋น่าซื้อหา

โดยเฉพาะนาฬิกาปลุกรูปแม่ไก่ที่กำลังจิกข้าวอยู่ท่ามกลางลูกเจี๊ยบตัวน้อย ส่วนหัวของแม่ไก่จะขยับขึ้นลงทีละน้อย เหมือนกับกำลังจิกข้าวอยู่จริง ๆ

หลินม่ายคิดว่าโต้วโต้วต้องชอบนาฬิกาปลุกเรือนนี้แน่ ๆ ดังนั้นเธอจึงชี้ไปที่นาฬิกาเรือนนั้น เพื่อขอให้พนักงานขายช่วยหยิบมาให้ดูใกล้ ๆ

หลังจากตรวจสอบแล้วพบว่ากลไกของนาฬิกาไม่ขัดข้อง หลินม่ายก็จ่ายเงินซื้อทันที

ตอนแรกพนักงานขายเห็นว่าเธอแต่งตัวเฉิ่มเชย จึงคิดว่าเธอคงแค่อยากดูเฉย ๆ เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเธอจะตัดสินใจซื้ออย่างง่ายดาย

หลังจากเห็นว่าหลินม่ายควักเงินจ่ายเงินซื้อนาฬิกา ทัศนคติที่มีต่อเธอก็พลอยดีขึ้นตามไปด้วย นอกจากจะแนะนำสินค้าตัวอื่นด้วยความกระตือรือร้นแล้ว ยังหยิบนาฬิกามาให้เธอเลือกอีกหลายเรือน

หลินม่ายซื้อนาฬิกาข้อมือสตรีซึ่งผลิตจากโรงงานในเซี่ยงไฮ้ที่มีราคาแพงที่สุดในร้านหนึ่งเรือน

พอนึกขึ้นได้ว่าเสื้อผ้าของตัวเองกับลูกสาวมีแต่สภาพโทรม ๆ แถมยังไม่มีเสื้อกันหนาวสักตัวไว้ใส่กันลม เธอเลยซื้อเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้ายสองตัว และไหมพรมขนแกะอีกห้าชั่ง สำหรับถักเสื้อให้ตัวเองกับโต้วโต้ว

อันที่จริงพวกเธอสองแม่ลูกใช้ไหมพรมขนแกะแค่สองชั่งก็พอแล้ว

แต่หลินม่ายต้องการถักเสื้อไหมพรมให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางด้วย จึงตัดสินใจซื้อไหมพรมขนแกะทั้งหมดห้าชั่งในคราวเดียว

เธอซื้อไหมพรมขนแกะคุณภาพกลาง ๆ ให้ตัวเองกับลูกสาว แต่ในส่วนของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง เธอเลือกซื้อไหมพรมขนแกะที่มีคุณภาพระดับไฮเอนด์ทั้งหมด

เธอตั้งใจว่าจะถักเสื้อไหมพรมให้พวกเขาใส่ข้างใน แล้วคลุมด้วยเสื้อแจ็กเกตผ้าฝ้าย แบบนี้ก็จะสวมใส่ได้ทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาว ข้อดีคือสามารถสวมใส่ได้ถึงสองฤดูกาล แถมยังซักทำความสะอาดง่าย

นอกจากนี้ หลินม่ายยังซื้อไวน์แบบขวดกับแบบกระป๋องอีกอย่างละสอง เพื่อมอบให้กับหัวหน้าหมู่บ้าน

จากเหตุการณ์โจรขึ้นบ้านเมื่อคืนนี้ ชายชราหัวหน้าหมู่บ้านอุตส่าห์เป็นธุระมาจัดการความเรียบร้อยด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอควรให้อะไรบางอย่างเพื่อตอบแทนน้ำใจของเขา

นอกจากเขาแล้วยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่ตื่นนอนกลางดึกมาช่วยจับโจร เธออยากตอบแทนน้ำใจของเขาเช่นเดียวกัน จึงซื้อลูกอมรสบ๊วยสองสามชั่งติดมือมาแจกให้ชาวบ้านเหล่านั้นด้วย

การจับจ่ายซื้อของที่มูลค่ารวมกันมากกว่าหนึ่งร้อยหยวน ทำให้พนักงานขายที่ให้บริการกับหลินม่ายถึงกับตกตะลึง

คนรวยสมัยนี้สมถะขนาดนี้เลยหรือ? ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวธรรมดาค่อนไปทางเก่าโทรมด้วยซ้ำ แต่ตอนที่ซื้อของกลับใช้จ่ายเงินอย่างเมามันขัดกับบุคลิกของเธออย่างสิ้นเชิง

ฉันเองก็อยากสัมผัสกับการใช้จ่ายเงินแบบไม่ต้องคิดแบบนี้เหมือนกันนะ…

กว่าหลินม่ายจะกลับถึงบ้านก็เกือบเที่ยง

เธอเริ่มเข้าครัวทำอาหารกลางวัน พร้อมกับเจียวน้ำมันหมูจากมันหมูที่ซื้อมาเมื่อวานนี้

เธอล้างทำความสะอาดมันหมู ยกมาวางบนเขียง แล้วเริ่มหั่นเต๋าให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ขณะนั้นเองโต้วโต้วก็วิ่งร้องไห้กลับมาที่บ้าน ฟ้องผู้เป็นแม่ว่าเมื่อกี้นี้ต้าเป่ารังแกหล่อนอีกแล้ว

หลินม่ายถามกลับทันทีว่าทำไมต้าเป่าถึงยังกล้ามารังแกหล่อนอีก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

การมีเงินใช้แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังนี่ก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่งนะคะ ควบคู่กับการไม่เป็นหนี้

แม่ต้าเป่าไม่ยอมจบสินะ ต้องใช้ไม้แข็งใช่ไหมถึงจะยอมจบ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 68 ขายเกี๊ยววันแรก

หลินม่ายสวนกลับทันควัน “ในเวลาห่างกันไม่ถึงสองชั่วโมง ลูกชายของคุณรังแกโต้วโต้วของฉันถึงสองครั้ง ฉันอุตส่าห์เตือนเขาดี ๆ แล้ว แต่เขาไม่ฟัง พอเป็นแบบนี้ฉันถึงต้องบอกให้พ่อของเขารับทราบไงคะ! ขนาดลูกชายคุณถูกสามีของคุณทุบตี คุณยังรู้สึกแย่แบบนี้ แล้วการที่โต้วโต้วของฉันถูกลูกชายคุณตีจนหลังฟกช้ำดำเขียวจะไม่ให้ฉันรู้สึกแย่ได้ยังไง? ฉันไม่เรียกร้องค่ารักษาพยาบาลจากครอบครัวคุณให้ขายขี้หน้าชาวบ้านก็ดีเท่าไหร่แล้ว คุณกลับโทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของฉัน หรือเป็นเพราะคุณอ้วนเกินไปกันแน่ หน้าของคุณถึงได้หนากว่าคนอื่น?”

ชาวบ้านได้ยินแบบนั้นต่างก็หัวเราะออกมาทันที

ในสายตาของคนในหมู่บ้าน ทุกคนเห็นว่าหลินม่ายมีจิตใจดี ทุกครั้งที่เจอกันก็มักจะส่งยิ้มทักทายอยู่เสมอ

แม่ต้าเป่าก็พลอยคิดไปว่าเธอคงไม่มีพิษมีภัยอะไร จึงนึกว่าตัวเองจะจิกกัดได้ตามใจชอบ ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสวนกลับอย่างฉะฉาน จนหล่อนสรรหาคำพูดมาแก้ตัวไม่ได้

เมื่อไปถึงท่าเรือ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเปิดร้าน

ก่อนหน้านี้ หลินม่ายถือเป็นคนแรกที่ริเริ่มตั้งแผงขายของที่ท่าเรือ ดังนั้นเธอจึงได้ทำเลที่ตั้งร้านในตำแหน่งที่ดีที่สุด

แต่เพราะเธอไม่ได้มาตั้งแผงขายอาหารที่ท่าเรือมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นที่ที่เคยเป็นของเธอจึงถูกคนอื่นฉวยโอกาสครอบครองแทน ซึ่งคนคนนั้นก็คือแม่ต้าเป่า

แม่ต้าเป่าชายตามองหลินม่ายราวกับต้องการเยาะเย้ย พอเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในการเลือกที่ตั้งร้าน กลิ่นปากที่ติดค้างอยู่ภายในใจก็จางหายไป

ความจริงแล้วการจับจองพื้นที่ขายของก็มีกฎเกณฑ์อยู่บ้าง เช่น ตราบใดที่คนคนหนึ่งตั้งร้านทุกวัน ตามหลักแล้วก็จะไม่มีใครมายึดพื้นที่ของเขา

แต่ถ้าคนคนนั้นไม่ยอมมาตั้งแผงขายของเป็นเวลานาน ถ้ามีใครสักคนเข้ามายึดพื้นที่ค้าขายแทนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

หลินม่ายลองคิดดูแล้ว ต่อให้เธอเสียเวลาโต้แย้งกับแม่ต้าเป่าเรื่องนี้ อีกฝ่ายก็คงไม่คิดจะหลีกให้อยู่ดี ดังนั้นเธอจึงเงียบเสีย

หลินม่ายกับโต้วโต้วช่วยกันจัดร้าน โดยตั้งแผงขายของอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านของแม่ต้าเป่า หลังจากจัดวางเตาถ่านทั้งสองเตาเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มทำการรีดแป้งสำหรับห่อเกี๊ยวลงบนโต๊ะทันที

ด้วยความชำนาญ ภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เธอก็รีดแผ่นแป้งสำหรับห่อเกี๊ยวได้เป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นจึงทำการห่อเกี๊ยวอย่างรวดเร็ว

ในขณะที่เธอกำลังง่วนอยู่กับงานตรงหน้า พ่อค้าแม่ค้าคนอื่น ๆ ก็กำลังวุ่นวายกับงานของตัวเอง จึงไม่มีใครสนใจใคร

เร็ว ๆ นี้เรือข้ามฟากลำแรกจวนจะเข้ามาเทียบท่าแล้ว ทุกคนต่างก็ต้องการค้าขายให้กับผู้โดยสารกลุ่มนี้กันทั้งนั้น

ตอนนี้ยังเป็นเวลาไม่ถึงหกโมงครึ่ง ตามถนนจึงยังไม่มีผู้คนเดินผ่านพลุกพล่าน ผู้โดยสารกลุ่มแรกที่ลงจากเรือเลยถือเป็นลูกค้ารายแรกที่จะได้ประเดิมอุดหนุนร้านค้าแผงลอยของพวกเขา

ถ้าอยากให้ร้านของตัวเองขายดีก็ต้องตระเตรียมทุกอย่างให้พร้อม จะมัวชักช้าเสียเวลาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นการปล่อยให้ลูกค้าหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย ลูกค้าเหล่านี้ไม่มีเวลารอคอย สาเหตุที่พวกเขาขึ้นเรือข้ามฟากลำแรกก็เพราะมีธุระเร่งรีบ ตราบใดที่ร้านค้าไม่มีความพร้อม พวกเขาก็พร้อมจะจากไปซื้อของจากร้านอื่นทุกเมื่อ

พ่อค้าแม่ขายที่ขายอาหารประเภทของทอดเริ่มทอดของไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว บรรยากาศโดยรอบจึงอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของน้ำมันร้อน ๆ

ร้านอื่นที่ขายโจ๊กก็ปรุงสำเร็จมาจากที่บ้าน พอยกมาตั้งแผงขายก็เหลือแค่อุ่นให้ร้อน กลิ่นหอมของข้าวจึงลอยกรุ่นไปทั่วบริเวณไม่แพ้กัน

ส่วนร้านที่ขายบะหมี่แห้ง ถึงแม้คนขายไม่จำเป็นต้องปรุงอาหารสำเร็จมาจากที่บ้าน แต่เขาก็เตรียมตักเครื่องปรุงรสลงในชามเปล่าหลายใบรอไว้ ทันทีลูกค้ามาถึง เขาก็แค่ลวกเส้นบะหมี่ แล้วเติมน้ำซุปลงในชามที่มีเครื่องปรุง เท่านี้ก็จะช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก

ตอนที่หลินม่ายและลูกสาวออกจากบ้านมา พวกเธอยังไม่ทันได้กินอะไรรองท้องเลย

หลินม่ายที่ได้กลิ่นหอมของอาหารหลายหลายประเภทซึ่งอบอวลอยู่ในอากาศยังพออดทนต่อความหิวได้ แต่โต้วโต้วที่ยังเด็กไม่อาจทนได้แบบเธอ ยิ่งได้กลิ่นก็ยิ่งรู้สึกน้ำลายสอ เอาแต่มองไปทางตู้จวน ลูกสะใภ้ของคุณป้าจางที่เปิดร้านขายปาท่องโก๋

พอเห็นแบบนั้น หลินม่ายจึงควักเงินห้าเฟินให้กับโต้วโต้ว แล้วให้หล่อนเดินไปซื้อปาท่องโก๋จากร้านของตู้จวนด้วยตัวเอง

ตู้จวนนึกเอ็นดูเกินกว่าจะรับเงินจากโต้วโต้ว จึงยื่นปาท่องโก๋ที่เพิ่งทอดร้อน ๆ ให้หล่อน แล้วหันไปพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “ปาท่องโก๋แค่ไม่กี่ชิ้น ฉันไม่ขาดทุนหรอกจ้ะ ไม่ต้องจ่ายเงินให้ฉันหรอก”

หลินม่ายตอบกลับในขณะที่ตัวเองกำลังยุ่งอยู่กับงานตรงหน้า “ฉันเปล่ากลัวว่าพี่จะขาดทุนหรอก ที่ฉันจ่ายเงินก็เพราะไม่อยากเอาเปรียบใคร”

เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนั้น ตู้จวนก็ไม่เกรงใจอีก ยอมรับเงินที่โต้วโต้วยื่นให้แต่โดยดี

พอโต้วโต้วได้ปาท่องโก๋มาแล้ว หล่อนกลับไม่ได้กินทันที แต่ยื่นให้ผู้เป็นแม่กินก่อน

หลินม่ายสั่นศีรษะ “ลูกเก็บไว้กินเถอะ แม่ยังไม่หิว”

ถึงอย่างนั้นโต้วโต้วก็ยังยืนกรานให้เธอกัดสักคำหนึ่ง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็จะไม่ยอมกิน

หลินม่ายไม่มีทางอื่นนอกจากยอมกัดปาท่องโก๋ในมือของโต้วโต้วกินไปคำหนึ่ง รสชาติของมันสดใหม่และหอมหวานจริง ๆ

ตู้จวนเห็นแล้วก็อดชื่นชมไม่ได้ “โต้วโต้วของเธอนี่ช่างรู้ความจริง ๆ เชียว!”

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “เพราะอย่างนี้ไงล่ะ หล่อนถึงได้เป็นแก้วตาดวงใจตัวน้อยของฉัน”

ยิ่งโต้วโต้วได้รับคำชมจากผู้ใหญ่ รอยยิ้มก็ยิ่งเบ่งบานมากขึ้น

ก่อนที่เรือข้ามฟากลำแรกจะเข้ามาจอดเทียบท่า หลินม่ายอาศัยช่วงที่ยังว่างทำเกี๊ยวสองสามตัวให้โต้วโต้ว หวังว่าถ้าเธอได้กินอาหารในขณะที่ยังร้อนจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นบ้าง

หลังหกโมงครึ่ง เรือข้ามฟากลำแรกก็แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ท่าเรือที่เคยเงียบเหงาและหนาวเย็น ในที่สุดก็มีเสียงคึกคักดังมาจากบรรดาผู้โดยสารกลุ่มแรก

พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยต่างพากันตะโกนเรียกลูกค้าทันที

หลินม่ายไม่คาดคิดเลยว่าการแข่งขันทางธุรกิจจะดุเดือดขนาดนี้ เธอจำได้ว่าชีวิตของตัวเองในภพชาติก่อนไม่เห็นต้องตะเบ็งเสียงเรียกลูกค้าแข่งกับใครเลย

โต้วโต้วกินปาท่องโก๋กับเกี๊ยวจนหมด หลังจากนั้นก็เอาชามไปล้างในถังน้ำที่เตรียมมาด้วย

พอเห็นว่าพ่อค้าคนอื่น ๆ เริ่มส่งเสียงตะโกนเรียกลูกค้า หล่อนก็รีบมายืนอยู่ข้างแผงลอยของตัวเอง ทดลองตะโกนเรียกลูกค้าบ้างว่า “ร้านนี้มีเกี๊ยวขายค่ะ! เกี๊ยวอร่อย ๆ ทุกคนสนใจซื้อกันไหมคะ?”

ลูกค้าบางคนได้ยินเสียงเชื้อเชิญลูกค้าอันนุ่มนิ่มน่าเอ็นดูของหล่อน ก็เดินเข้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “ร้านหนูขายเกี๊ยวเหรอ?”

“ใช่ค่ะ!” เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้าอย่างแรง พูดต่อเสียงดัง “เกี๊ยวฝีมือแม่หนูอร่อยมากเลยนะคะ!”

ลูกค้าได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของหล่อนก็สนใจอยากกินเกี๊ยว ไม่นานก็เร่เข้ามายืนล้อมหน้าร้าน

ที่จริงพวกเขาอาจไม่ได้อยากกินเกี๊ยวเป็นพิเศษ แต่เพราะเห็นแก่ความน่ารักน่าเอ็นดูของหล่อน จึงนึกอยากช่วยอุดหนุนกิจการของครอบครัวหล่อนสักหน่อย

เดิมทีในบรรดาแผงลอยขายอาหารหลายสิบร้าน ส่วนใหญ่นิยมขายอาหารเช้าเป็นหลัก มีแค่ร้านของแม่ต้าเป่าแค่ร้านเดียวที่ขายเกี๊ยว

เหตุผลที่หล่อนตัดสินใจตั้งแผงขายเกี๊ยว ก็เพราะหล่อนไม่ต้องการมีคู่แข่ง ซึ่งธุรกิจดังกล่าวก็ทำมาค้าคล่องมาโดยตลอด ใครจะคิดว่าจู่ ๆ หลินม่ายก็ตัดสินใจเปลี่ยนมาขายเกี๊ยวเหมือนกัน

ทันทีที่โต้วโต้วตะโกนเรียกลูกค้า ลูกค้าหลายคนได้ยินก็พากันผละออกไปจากร้านของหล่อน ทำให้สีหน้าของหล่อนม่วงคล้ำราวกับตับหมู

ลูกค้าเหล่านั้นเริ่มถามไถ่หลินม่ายว่าเกี๊ยวร้านเธอขายอย่างไร

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ชามละสองเหมาห้าเฟินค่ะ ไม่ต้องจ่ายคูปองอาหาร ให้เกี๊ยวชามละสิบหกตัว แต่ถ้าคุณเอาชามกับตะเกียบมาเอง ฉันแถมให้อีกสองตัวเป็นสิบแปดตัว”

เนื่องจากยุคสมัยมียังไม่มีนวัตกรรมประเภทจานชามแบบใช้แล้วทิ้ง

เป็นไปไม่ได้ที่แผงลอยขายอาหารอย่างร้านของหลินม่ายจะมีเวลาล้างทำความสะอาดชามทุกใบและตะเกียบทุกคู่บนโต๊ะอาหาร ถังน้ำสะอาดที่เธอเตรียมมาด้วยก็มีไม่เพียงพอ ถ้าล้างซ้ำ ๆ แปบเดียวน้ำก็สกปรก

เพื่อลดปัญหาการแพร่กระจายของเชื้อโรค เธอจึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายโดยเสนอส่วนลดให้ลูกค้าเป็นการเพิ่มเกี๊ยวให้สองตัว สนับสนุนให้ลูกค้าที่มาอุดหนุนพกชามกับตะเกียบของตัวเองมาด้วย

ถึงแม้วันนี้จะยังไม่มีใครเตรียมชามกับตะเกียบของตัวเองมา แต่เธอเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ต้องมีแน่

อีกทั้งราคาเกี๊ยวที่เธอขายก็ไม่ได้ต่างจากร้านอื่น ๆ มากนัก

เมื่อลูกค้าหลายคนเห็นว่าเกี๊ยวของร้านหลินม่ายถูกห่อด้วยแป้งบางเฉียบ แถมยังมีไส้เยอะมาก พอเปรียบเทียบราคากับขนาดของเกี๊ยวแล้วพบว่าไม่แพงเลย ดังนั้นพวกเขาจึงต่อคิวซื้อเกี๊ยวจากเธอคนละหนึ่งชามอย่างเอร็ดอร่อย

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าบางคนที่ไม่สนใจ และเดินเลยไปที่แผงลอยของแม่ต้าเป่าเพื่อซื้อเกี๊ยว เหตุผลหลักนั่นก็เพราะพวกเขาไม่ชอบเกี๊ยวร้านหลินม่ายที่ไม่มีน้ำซุปให้

โต้วโต้วรู้งานดีมาก พอเห็นว่าลูกค้ากินเกี๊ยวร้านหล่อนจนหมดชามก็วิ่งไปรับชามเปล่าจากมือพวกเขา แล้วนำมาล้างที่ถังน้ำสะอาดทันที

ลูกค้าหลายคนนึกเอ็นดูในความน่ารักและขยันทำงานของหล่อน จึงพากันไปซื้อเกี๊ยวที่ร้านของหลินม่ายเพราะอยากอุดหนุนเด็กหญิงตัวน้อย

ถึงเกี๊ยวร้านหลินม่ายจะไม่มีน้ำซุปไว้ซดแกล้มในวันนี้ แต่เธอปรุงรสไส้เกี๊ยวได้อร่อยมาก แป้งที่ห่อตัวเกี๊ยวไว้ก็มีผิวสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ลูกค้าต่างชื่นชมฝีมือของเธอไม่หยุดปาก

ท่ามกลางคลื่นผู้โดยสารระลอกแรก เธอสามารถขายเกี๊ยวได้มากกว่าสิบชาม เบียดร้านของแม่ต้าเป่าจนตกขอบในคราวเดียว

แม่ต้าเป่าโกรธมากถึงขั้นชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์(1)

หลินม่ายเองก็รู้ว่าคำด่ากระทบกระเทียบของแม่ต้าเป่าชี้เป้ามาทางตัวเอง แต่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยชื่อเธอออกมาตรง ๆ เสียหน่อย ถ้าเธอร้อนตัวไถหน้าเข้าไปรับอาจกลายเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์มากพอ จึงทำเป็นไม่สนใจ

สิ่งที่สำคัญมากกว่าสำหรับเธอในตอนนี้คือการค้าขาย เลยไม่อยากต่อปากต่อคำกับแม่ต้าเป่าให้เสียเวลา

ในไม่ช้า เรือข้ามฟากลำที่สองก็แล่นเข้ามาจอดเทียบท่า ตามมาด้วยคลื่นผู้โดยสารระลอกที่สอง

เรือข้ามฟากลำนี้มีผู้โดยสารจำนวนมากกว่าครั้งก่อนหน้า อาจเป็นเพราะเวลาล่วงเข้าสู่เจ็ดโมงเช้าแล้ว

เสียงตะโกนเรียกลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายดังขึ้นอีกครั้ง

โต้วโต้วเริ่มตะโกนเชื้อเชิญลูกค้าอยู่หน้าแผงลอยของตัวเอง แน่นอนว่าเสียงเล็ก ๆ ของหล่อนสามารถดึงดูดลูกค้าจำนวนมากได้อีกเช่นเคย

หลังจากคลื่นลูกค้าจำนวนมหาศาลรอบนี้ผ่านพ้นไป หลินม่ายสามารถขายเกี๊ยวได้ทั้งสิ้นรวมสามสิบสองชาม

สีหน้าของแม่ต้าเป่าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม หล่อนเริ่มทุบหม้อและชามในร้านเสียงดังด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

หลินม่ายเห็นแบบนั้นก็นึกสมเพช คนขี้แพ้ก็แบบนี้แหละ พอทำอะไรไม่ได้ก็เอาแต่ฟาดงวงฟาดงา

………………………………………………………………………………………………………………

ชี้ต้นหม่อนแต่ด่าต้นเจดีย์ เป็นสำนวนที่มีความหมายเดียวกันกับตีวัวกระทบคราด พยายามเหน็บแนมหรือรังควานคนหนึ่งเพื่อให้กระทบถึงอีกคนที่ตัวเองโกรธ แต่ทำอะไรโดยตรงไม่ได้

สารจากผู้แปล

อย่ามาสู้กับม่ายจื่อนะ นอกจากปากแจ๋วแล้วฝีมือการขายก็ขั้นเซียนด้วย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 67 เหตุระทึกกลางดึก
ขณะเดียวกัน โต้วโต้วที่เล่นสนุกจนหนำใจแล้วก็กลับมาที่บ้าน เมื่อเห็นหลินม่ายกำลังขนย้ายถุงถ่านเข้ามาในบ้าน ก็รีบเข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ในทันที ถึงแม้ในแต่ละครั้งจะช่วยได้แค่ทีละนิด
พวกเธอย้ายถุงถ่านทั้งหมดไปเก็บไว้ใต้ชายคาบ้าน ทั้งแม่และลูกสาวเหงื่อไหลท่วมตัว
หลินม่ายเติมน้ำลงในหม้อใบใหญ่ทั้งสองใบ กำชับให้โต้วโต้วคอยนั่งเฝ้าอยู่หน้าเตาจนกว่าน้ำจะอุ่นร้อนขึ้น เพื่อที่สองแม่ลูกจะใช้น้ำต้มดังกล่าวไว้อาบน้ำ
ระหว่างนั้นก็กลับไปเตรียมผักดองต่อ
เธอตั้งใจว่าจะดองผักกาดขาวให้เป็นกิมจิ ส่วนหัวไชเท้ากับกะหล่ำปลีจะดองเป็นซึงฉ่าย(1)
หลังจากจัดการหมักผักดองเสร็จ โต้วโต้วก็ไปอาบน้ำ
สองแม่ลูกชำระล้างร่างกายอย่างสะอาดหมดจด หอมกรุ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
หลินม่ายซักเสื้อผ้า ระหว่างนั้นก็ขอให้โต้วโต้วช่วยแกะกระเทียม เพื่อที่จะใช้เป็นวัตถุดิบในการทำเกี๊ยวคืนนี้
พอได้ยินว่าจะได้กินเกี๊ยวเป็นอาหารมื้อเย็น โต้วโต้วก็มีแรงฮึดในการทำงานขึ้นมาทันที รีบไปลากม้านั่งตัวเล็ก ๆ มานั่งกลางลานบ้าน แล้วเริ่มแกะเปลือกกระเทียมอย่างขยันขันแข็ง
บรรดาเพื่อนตัวน้อยของเธอมาชวนให้ออกไปเล่นด้วยกัน แต่คราวนี้เธอปฏิเสธ แถมยังประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าเย็นวันนี้บ้านของเธอจะทำเกี๊ยวกินกัน ดังนั้นเธอจะต้องช่วยแม่แกะกระเทียมเสียก่อน
เด็กน้อยสองสามคนจึงจากไปด้วยความอิจฉา
กระเทียมในปริมาณมากกว่าหนึ่งชั่ง รวมกับเนื้อขาหลังหมูปริมาณครึ่งชั่ง ทำให้สองแม่ลูกสามารถห่อเกี๊ยวได้เกือบหนึ่งร้อยตัว แล้วแบ่งเกี๊ยวส่วนหนึ่งมาทำมื้อเย็นแสนอร่อยกินกัน
นอกจากนี้ หลินม่ายยังชงนมมอลต์ให้โต้วโต้วดื่มอีกด้วย
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่โต้วโต้วได้ดื่มนมมอลต์ ดังนั้นเธอจึงชื่นชอบมันมากถึงขั้นกระโดดโลดเต้น
หลินม่ายนำเกี๋ยวอีกหลายตัวที่เหลือไปน็อกน้ำเย็นแล้วเรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าเธอกะจะทำเกี๊ยวทอดขาย
ในเมื่อวันพรุ่งนี้ต้องตื่นขึ้นมาตั้งแผงขายเกี๊ยวตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเธอจึงต้องรีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ
หลินม่ายตั้งเตาเพื่อเคี่ยวซุปกระดูกหมู เมนูเกี๊ยวจะขาดซุปกระดูกไปไม่ได้ ถ้าขาดไปก็เหมือนขาดจิตวิญญาณ
ก่อนเข้านอน หลินม่ายร้อยเชือกใส่รูลูกกุญแจแล้วสวมให้กับโต้วโต้ว ให้เธอคล้องคอไว้ในระหว่างวันจะได้ไม่หล่นหาย อีกหน่อยถ้าเธออยากกลับบ้านเมื่อไหร่จะได้ไขเปิดประตูเข้าไปเองโดยไม่ต้องรอ
โต้วโต้วพลิกลูกกุญแจในมือเล่นไปมาอยู่พักหนึ่ง ไม่นานก็ผล็อยหลับไปบนเตียง
หลินม่ายหยิบผ้านวมขึ้นมาห่มคลุมตัวเธอ ก่อนจะเข้าไปในครัวอีกครั้งเพื่อคว้ามีดทำครัวมาวางไว้ในลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง
ก่อนหน้านี้ พวกเธอสองแม่ลูกมีครอบครัวสามคนของเถียหนิวอาศัยอยู่ร่วมชายคา
เถียหนิวเป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์และแข็งแรงพอสมควร ดังนั้นเมื่อมีเขาอยู่ด้วย หลินม่ายจึงไม่ต้องกังวลว่าคนร้ายจะปีนเข้าบ้านในยามวิกาลเมื่อไหร่
ต่างจากตอนนี้ที่ในบ้านมีแค่เธอสองแม่ลูกเท่านั้น ผู้หญิงกับเด็กอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ตามลำพัง ถึงยังไงก็ไม่ปลอดภัยนัก
หลินม่ายจึงวางมีดทำครัวลงบนโต๊ะข้างเตียงเตรียมไว้เผื่อได้ใช้ป้องกันตัว ถึงแม้ว่าเวลาเกิดเหตุจวนตัวมันจะไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้เธออุ่นใจมากขึ้น
หลังจากทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน พอหลินม่ายหัวถึงหมอนได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ดึกดื่นค่อนคืน เมืองที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบก็เหมือนหยุดนิ่ง ทั้งหมู่บ้านยิ่งเงียบสงัด
ท่ามกลางความเงียบงันในยามค่ำคืน จู่ ๆ เสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชก็ดังขึ้น
หลินม่ายลืมตาโพลงทันที เมื่อตั้งสติก็ได้ยินอย่างชัดเจนว่าเสียงโหยหวนนั้นดังมาจากทางห้องโถงในบ้าน
เธอรีบตะโกนขอความช่วยเหลือ “โจร มีโจรอยู่ในบ้านฉัน!”
ว่าแล้วก็หันไปหยิบมีดทำครัวบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา แล้วเดินไปจ่ออยู่หน้าประตูห้องที่ปิดอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าพรวดพราดออกไปซะทีเดียว
เธอกลัวว่าโจรที่อยู่ด้านนอกอาจโหดเหี้ยมเกินรับมือ ถ้ารีบร้อนออกไปอย่างไม่ทันระวังคงโดนมันฆ่าตาย
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่โจรงัดเข้ามาในห้อง เธอกล้าเอามีดฟันมันหัวแบะแน่! ดังนั้นสิ่งที่เธอทำอยู่ในตอนนี้คือรอจังหวะอยู่เงียบ ๆ
โต้วโต้วสะดุ้งตื่น พอได้ยินเสียงแม่ร้องตะโกนว่ามีโจรขึ้นบ้านก็ตกใจกลัว
ไม่นานหลังจากนั้น พอเพื่อนบ้านได้ยินเสียงเธอร้องขอความช่วยเหลือก็รีบวิ่งเข้ามากระแทกประตูลานบ้านของหลินม่ายทันที ขณะนั้นก็ตะโกนถามว่าเธอกับลูกสาวเป็นอะไรไหม
หลินม่ายตะโกนตอบเสียงดัง “เราสองคนยังปลอดภัยดีค่ะ!”
ทันทีที่พูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึกตักดังมาจากทางห้องโถง ดูเหมือนว่าโจรคนนั้นคงกำลังหาทางหลบหนี
ขณะเดียวกันนั้น ผู้คนด้านนอกก็ตะโกนขึ้นทันที “มีคนปีนกำแพงหลังบ้านแล้วกระโดดออกไป!”
“ต้องเป็นไอ้โจรชั่วนั่นแน่ ๆ!” ชาวบ้านบางคนตั้งท่าจะไล่ตามไป
ชายชราคนหนึ่งรีบห้ามปราม “อย่าไล่ตามมันเลย มืด ๆ แบบนี้ เราไม่รู้ว่าโจรคนนั้นพกมีดมาด้วยหรือเปล่า เดี๋ยวเราจะโดนดักทำร้ายเอาได้!”
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกลัวว่าจะมีโจรอีกคนหลบอยู่ในบ้านของหลินม่าย ชายชราจึงตะโกนเข้าไปในบ้านของหลินม่ายว่า “โจรที่อยู่ข้างใน ฟังให้ดี อย่าคิดทำร้ายร่างกายใครเด็ดขาด ถ้าแกกล้าทำร้ายคน ก็อย่าหวังว่าคืนนี้จะรอดออกไปได้! เร็วเข้า รีบปีนกำแพงด้านซ้ายมือออกไปซะ พวกเราจะไม่จับแก!”
เขายังตะโกนประโยคเดิมติดต่อกันหลายครั้ง แต่ทั้งในบ้านและลานบ้านกลับไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใด ๆ
ชาวบ้านคาดเดาไปในทางเดียวกันว่าในบ้านคงไม่มีโจรเหลืออยู่แล้ว ชายชราจึงร้องบอกให้หลินม่ายเปิดประตู
หลินม่ายรีบออกจากห้องนอน ไม่ลืมปิดล็อกประตูอย่างแน่นหนา
ถ้ายังมีโจรซ่อนตัวอยู่ในบ้าน อย่างน้อยโต้วโต้วจะต้องปลอดภัย
เธอค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟห้องโถง
ในห้องโถงไม่มีใครหลบอยู่ มีแค่เตากับหม้อที่ล้มระเนระนาด และซุปกระดูกหมูที่หกเลอะเทอะไปทั่ว
ด้วยเหตุนี้บรรยากาศภายในบ้านจึงตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของซุปกระดูกหมู
หลินม่ายวิ่งไปเปิดประตูบ้านก่อน เพื่อให้ชาวบ้านทั้งหมดเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์
ในที่สุดก็ได้รู้ว่าชายชราที่มีภาวะผู้นำสูงสุดในเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ ก็คือหัวหน้าหมู่บ้านซานหยาง
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายยังคงถือมีดทำครัวไว้แน่น หัวหน้าหมู่บ้านก็อดหัวเราะไม่ได้ “ตอนนี้เธอปลอดภัยแล้วล่ะ ยังต้องพกมีดทำครัวอีกหรือ?”
หลินม่ายรีบอธิบาย “ฉันเปล่าหยิบมีดทำครัวมาต้อนรับพวกคุณนะคะ ก่อนเข้านอนฉันวางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียง เผื่อจะได้ใช้มันเป็นเครื่องป้องกันตัว เมื่อกี้นี้ที่รู้ตัวว่าโจรขึ้นบ้าน ก็หยิบติดมือไว้ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ”
กลุ่มคนเดินเข้าไปในบ้านของหลินม่ายเพื่อตรวจสอบความเสียหายของที่เกิดเหตุ พวกเขาทั้งหมดเห็นพ้องตรงกันว่าโจรที่บุกเข้ามาในบ้านท่ามกลางความมืดคงเดินสะดุดถุงถ่านเข้า ทำให้เสียหลักล้มจนโดนหม้อต้มซุปที่ตั้งอยู่บนเตาลวกเอา ถึงได้กรีดร้องโหยหวนแบบนั้น
หัวหน้าหมู่บ้านพูดอย่างโล่งใจ “โชคยังดีที่โจรถูกน้ำร้อนลวกเสียก่อน ไม่อย่างนั้นแล้วผลที่ตามมาอาจเลวร้ายกว่านี้”
หลังจากนั้นทุกคนก็เข้ามาปลอบขวัญหลินม่าย แล้วแยกย้ายกันกลับไป
หลินม่ายปิดประตูลานบ้านตามเดิมแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้าน เห็นว่าโต้วโต้วเปิดประตูออกมารอเธอที่ห้องโถง จึงบอกเธอให้กลับเข้าไปในห้องแล้วห่มผ้าให้มิดชิด
ถึงเทศกาลโคมไฟจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว โดยเฉพาะในตอนกลางคืน อุณหภูมิยิ่งลดต่ำกว่าเดิมจนเหลือแค่ไม่กี่องศา แน่นอนว่าอากาศหนาวเย็นมาก
โต้วโต้วสวมแค่ชุดนอนชั้นเดียว หลินม่ายจึงกลัวว่าเธอจะนอนหนาว
ถ้าเจ้าตัวเล็กเกิดป่วยหรือเป็นหวัดขึ้นมา เธอคงไม่สามารถออกไปตั้งแผงลอยได้ และต้องอยู่บ้านเพื่อคอยดูแลอีกฝ่าย
โต้วโต้ววิ่งกลับไปที่ห้องอย่างเชื่อฟัง พร้อมกับมุดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่ม
หลินม่ายจัดการทำความสะอาดห้องโถง พอเสร็จแล้วก็กลับเข้าห้องเพื่อนอนต่อ
ในขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนอยู่ข้าง ๆ ครวญครางเล็ดลอดออกมา ราวกับรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
หลินม่ายดันตัวเองให้ลุกขึ้น ยื่นมือไปทาบหน้าผากของโต้วโต้วเพื่อวัดอุณหภูมิเบื้องต้น ปรากฏว่าเธอมีไข้ต่ำ ๆ
ที่บ้านไม่มียาลดไข้ หลินม่ายจึงต้องลุกจากเตียงแล้วเข้าครัวอีกครั้ง เพื่อต้มน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดงให้เธอ ก่อนจะปลุกโต้วโต้วให้ตื่นขึ้นมาจิบในขณะที่ยังร้อน ๆ
หลังจากดื่มน้ำขิงผสมน้ำตาลทรายแดงแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยก็มีเหงื่อออกท่วมตัว ไข้ลดลงบ้างแล้ว ในที่สุดก็หลับสบาย
ถึงแม้หลินม่ายจะตกใจตื่นเพราะเหตุระทึกขวัญในตอนเที่ยงคืน และต้องลุกมาดูแลโต้วโต้วที่ไข้ขึ้นกลางดึก แต่เธอก็ตื่นนอนก่อนตีห้าของวันรุ่งขึ้น
เธอเริ่มนวดแป้ง ผสมไส้ ปรุงรส หั่นหอมแดงเตรียมไว้… ใช้เวลาไม่นานทุกอย่างก็พร้อมสำหรับการตั้งแผงขาย
ก่อนออกไปข้างนอก เธออดคิดกังวลไม่ได้ว่าควรปล่อยให้โต้วโต้วอยู่บ้านตามลำพังดีไหม
เธอกลัวว่าถ้าตัวเองออกจากบ้านไปแล้ว เกิดโจรที่ซุ่มอยู่ฉวยโอกาสนี้ปีนขึ้นบ้านอีกครั้ง จะเกิดอันตรายขึ้นกับโต้วโต้วหรือเปล่า?
หลังจากคิดอยู่หลายตลบ ท้ายที่สุดเธอก็ตัดสินใจปลุกโต้วโต้วให้ตื่น พาไปล้างหน้าให้สดชื่น แล้วจับเธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนา แล้วพาเธอเดินออกจากบ้านไปด้วยกัน
ยังไม่ทันที่สองแม่ลูกจะเดินออกไปจนพ้นเขตหมู่บ้าน ก็ได้พบเจอกับชาวบ้านหลายคนระหว่างทาง ซึ่งพวกเขาก็กำลังจะออกไปตั้งแผงขายของที่ท่าเรือเหมือนกัน หลินม่ายจึงเป็นฝ่ายทักทายพวกเขาก่อน
ในบรรดาชาวบ้านเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือแม่ของต้าเป่า
หลินม่ายริเริ่มทักทายหล่อนก็จริง แต่อีกฝ่ายกลับแสดงสีหน้าเฉยเมยกลับ ทำเหมือนกับว่าหลินม่ายเคยไปติดค้างยืมเงินหล่อนไว้แล้วไม่ยอมคืนอย่างไรอย่างนั้น
พอเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่อยากผูกมิตรด้วย หลินม่ายก็ไม่คิดจะพูดคุยกับหล่อนอีก
ชาวบ้านหลายคนต่างหันหน้าซุบซิบกัน บ้างก็ถามหลินม่ายเกี่ยวกับเรื่องที่โจรปีนขึ้นบ้านของเธอเมื่อคืนนี้
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอย่างจริงจัง แม่ต้าเป่าก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้ามืดมน “ฉันว่านะแม่โต้วโต้ว ถึงเมื่อวานนี้ต้าเป่าของฉันจะรังแกโต้วโต้วของเธอสองรอบก็จริง แต่นั่นก็แค่เรื่องทะเลาะกันตามประสาเด็กเท่านั้นเอง เธอไม่เห็นต้องทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่จนต้าเป่าถูกพ่อของเขาทุบตีเลย!”
หลินม่ายชักสีหน้าทันทีเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ทั้งที่ลูกของหล่อนเป็นฝ่ายผิดแท้ ๆ ยังคิดมากล่าวหาเธอเสียอย่างนั้น
……………………………………………………..
ซึงฉ่าย หรือเกี่ยมฉ่าย คือผักดองรสชาติเค็มปนเปรี้ยว นำผักไปดองกับเกลือและน้ำต้มสุก ประเภทผักดองที่คนไทยนิยมกินกับข้าวซอย ต่างจากกิมจิที่มีรสชาติเผ็ดปนเปรี้ยว
สารจากผู้แปล
จะมากล่าวหากันแบบนี้ไม่ได้นะคะ
ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 66 เด็กดื้อที่มีแม่คอยให้ท้าย

เมื่อสองแม่ลูกเดินไปจนเจอต้าเป่า ก็เห็นว่าเขากำลังกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าอีกคนหนึ่ง

เด็กหญิงตัวน้อยถูกเขารังแกหนักข้อเข้าก็ร้องไห้เสียงดัง

หลินม่ายพูดเสียงขรึม “หยุดรังแกคนอื่นได้แล้ว!”

ถึงต้าเป่าจะยอมหยุดรังแกเด็กหญิงคนนั้น แต่เขากลับยังกลอกตาใส่เธออย่างท้าทาย ไม่เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ที่หวาดกลัวว่าจะถูกผู้ใหญ่ลงโทษ

หลินม่ายพยายามตักเตือนเขาด้วยเหตุผล ว่าจากนี้ไปอย่าได้รังแกโต้วโต้วอีก แต่ดูเหมือนเขาไม่ค่อยเชื่อฟังเท่าไหร่นัก

ในเมื่อคุยด้วยเหตุและผลกับเด็กคนนี้ไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถรับประกันว่าเขาจะยอมเข้าใจหรือเปล่า หลินม่ายจึงต้องใช้วิธีขู่ให้เขากลัว “ครั้งต่อไปถ้าเธอยังรังแกโต้วโต้วอีก ฉันจะฟ้องพ่อกับแม่ของเธอ ให้พวกเขาลงโทษเธอเสีย!”

เด็กชายจอมดื้อรั้นตอบกลับอย่างกวน ๆ “ไปฟ้องสิ คิดว่าผมกลัวหรือไง!”

เด็กคนอื่น ๆ ที่มองเห็นเหตุการณ์เดินเข้าไปกระซิบกับหลินม่าย “ต่อให้คุณน้าจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นไปฟ้องแม่ของเขา แต่แม่ของเขาไม่มีทางลงโทษเขาแน่ ๆ”

“เขาเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัว แม่ของเขาเลยตามใจเขามาก ๆ”

เด็กหลายคนยังคงพูดคุยกันต่อไปด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะตะโกนขึ้นมาว่า “พ่อต้าเป่ามาแล้ว!” จากนั้นก็วิ่งหนีกระเจิง

ต้าเป่าได้ยินก็ตกใจ ตั้งท่าเตรียมจะวิ่งหนีตามเพื่อน ๆ ไปบ้าง แต่หลินม่ายรีบคว้าแขนเขาไว้ก่อน พลางหันมองไปรอบ ๆ “คนไหนคือพ่อของเธอ?”

หลินม่ายอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยางมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เธอมักจะออกไปขายของตั้งแต่เช้ามืด กว่าจะกลับมาก็เป็นช่วงสายของแต่ละวัน ถึงเธอจะคุ้นหน้าคุ้นตาคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านก็จริง แต่ไม่รู้ว่าใครชื่ออะไรบ้าง

ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา ท่าทางใจดี เดินเข้ามาหาเธอทันทีหลังจากได้ยินเสียงตะโกนนั้น เขาถามหลินม่ายว่า “เกิดอะไรขึ้นกับลูกชายผมหรือเปล่าครับ?”

หลินม่ายถามกลับ “คุณเป็นพ่อของต้าเป่าหรือคะ?”

ชายวัยกลางคนพยักหน้า

หลินม่ายจึงบอกให้โต้วโต้วเล่าให้พ่อต้าเป่าฟังว่าวันนี้ลูกชายของเขารังแกเธอถึงสองครั้ง แต่ละครั้งห่างกันแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงเท่านั้นเอง

อีกทั้งยังบอกให้โต้วโต้วหันหลัง เพื่อแสดงรอยแผลฟกช้ำให้เขาดูเป็นการยืนยัน

พ่อต้าเป่าโกรธมาก ต้าเป่าอยากวิ่งหนีไปให้พ้น ๆ แต่แขนข้างหนึ่งของเขายังถูกหลินม่ายดึงรั้งไว้

พ่อของเขาจึงฟาดฝ่ามือตีลงบนก้นอ้วน ๆ ของเขาทันที “ฉันเคยสอนแกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าได้รังแกเด็กคนอื่น! ในเมื่อไม่เชื่อฟังก็ต้องถูกลงโทษ!”

พอต้าเป่าถูกทุบตีก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น

หลินม่ายไม่คิดจะห้ามเขา เด็กคนนี้ดื้อรั้นเกินไป ถูกลงโทษเสียบ้างก็สมควรแล้ว!

เสร็จธุระแล้วเธอก็พาโต้วโต้วกลับบ้าน

หลังจากเดินจากไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงตะโกนของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอ้คนไม่รักดี ไอ้ผู้ชายไร้ประโยชน์ กล้าดียังไงถึงตีลูกของเรา! ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณทำให้ลูกเจ็บแม้แต่นิดเดียว คุณได้มีเรื่องกับฉันแน่!”

หลินม่ายหันไปมองตามเสียงด้วยความสงสัย เห็นหญิงร่างอ้วนวัยกลางคนวิ่งเข้ามาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

หลังจากนั้นหล่อนก็ปรี่เข้าไปทุบตีพ่อต้าเป่าอย่างไม่รอช้า แล้วหันกลับมาโอ๋ลูกชาย

ต้าเป่าเห็นแบบนั้นก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้นเรื่อย ๆ เอาแต่ฟ้องผู้หญิงคนนั้นไม่หยุดปาก “แม่ครับ ผมเจ็บตรงนี้มากเลย ตรงนี้ก็เจ็บ!”

แม่ต้าเป่ากังวลใจมากจนไม่สนใจสามีตัวเองอีก สาละวนอยู่กับการตรวจสอบอาการบาดเจ็บของต้าเป่า ปากก็พูดปลอบประโลมเขาไปด้วย “โธ่ ต้าเป่า อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวมื้อเที่ยงแม่จะทำกับข้าวอร่อย ๆ ที่ลูกชอบให้กินนะ”

หลินม่ายเห็นแล้วถึงกับส่ายหน้า เด็กคนนี้ทำความผิดแต่กลับได้รับรางวัลปลอบใจ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ตลอดชีวิตนี้เขาคงไม่มีวันรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขามีนิสัยหยาบคายแบบนั้น

พอกลับถึงบ้าน สองแม่ลูกก็กินอาหารมื้อกลางวันด้วยกัน

ขณะที่ข้าวเพิ่งจะหุงสุก อาหารทะเลตากแห้งกับกุนเชียงที่หลินม่ายนำมาหุงรวมกับข้าวก็ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นโชยออกมา จนโต้วโต้วถึงกับอดใจไม่ไหว เดินวนเวียนไปมารอบหม้อข้าวใบนั้น

ช่วงวันปีใหม่ที่ผ่านมา เธอมีโอกาสได้กินอาหารแห้งพวกนี้แล้วครั้งสองครั้งที่บ้านของคุณย่าฟาง ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงโปรดปรานกลิ่นหอมของมันเป็นพิเศษ

หลังจากกินอาหารกลางวันกันเสร็จแล้ว หลินม่ายว่าจะไปตลาดมืดเพื่อซื้อวัตถุดิบหลายอย่างไว้เตรียมเปิดร้านขายอาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ จึงหันไปถามโต้วโต้วว่าจะไปด้วยกันหรือเปล่า

โต้วโต้วยังอยากเล่นกับเพื่อน ๆ หลินม่ายจึงเดินทางไปยังตลาดมืดเพียงลำพัง ครั้งนี้เธอต้องการซื้อส่วนผสมและเครื่องปรุงรสทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการทำเกี๊ยวให้ครบในคราวเดียว

หลังผ่านพ้นเทศกาลโคมไฟไปแล้ว ตลาดมืดก็กลับมาเงียบเหงาไม่คึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ ราคาสินค้าต่าง ๆ ลดฮวบ แป้งและข้าวสารไม่แพงอีกต่อไป คนขายตั้งราคาพวกมันให้แพงกว่าร้านค้าธัญพืชและน้ำมันของรัฐแค่ 20% เท่านั้น

แต่เพราะเส้นบะหมี่และข้าวในร้านค้าธัญพืชและน้ำมันของรัฐส่วนใหญ่เป็นของเก่า ต่างจากที่นี่ที่นำของสดใหม่มาขาย ราคาที่แพงกว่ากัน 20% นี้จึงยังพอรับได้

อย่างไรก็ตาม พอเปรียบเทียบราคาเส้นบะหมี่และข้าวสารของที่นี่กับเมืองซื่อเหม่ยแล้ว เมืองซื่อเหม่ยขายของพวกนี้ในราคาที่ถูกกว่าตลาดมืดเสียอีก แถมยังมีราคาใกล้เคียงกับร้านค้าของรัฐในเมืองใหญ่

หลินม่ายจึงวางแผนว่าจะซื้อวัตถุดิบประเภทข้าว แป้ง และน้ำมันซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในปริมาณมากมาจากชนบทแทน จนกว่าธุรกิจของเธอจะเติบโต คงสามารถลดต้นทุนไปได้มากโข

แต่พอมาลองคิดดูอีกที ร้านขายเกี๊ยวข้างทางของเธอยังเป็นแค่ร้านค้าขนาดย่อม ไม่เหมาะที่จะซื้อของจำพวกแป้งจากชนบทมาตุนไว้ในปริมาณมาก

เนื่องจากสภาพอากาศในเมืองเจียงเฉิงค่อนข้างชื้นพอสมควร ถ้าเธอขนเอาแป้งหลายพันชั่งมาตุนไว้ น่ากลัวว่าในขณะที่ใช้แป้งไปยังไม่ถึงครึ่ง แป้งส่วนที่เหลืออาจเปียกชื้นจนเสียของ ไม่สามารถนำมาทำเกี๊ยวได้

ตอนแรกคิดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่าย ไป ๆ มา ๆ อาจต้องจ่ายต้นทุนสูงกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว

หลังจากซื้อแป้งกับเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้ว หลินม่ายยังต้องการซื้อสาหร่ายและกุ้งแห้งที่เป็นวัตถุดิบจำเป็นสำหรับทำเกี๊ยวเพิ่ม

กุ้งแห้งยังพอหาซื้อได้อย่างไม่ยากเย็น ด้วยความที่อยู่ติดกับมณฑลพันทะเลสาบ(1) สัตว์น้ำจึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์

เด็กตามชนบทจะใช้เวลาว่างจับกุ้งตัวเล็ก ๆ ให้ได้ในปริมาณมาก แล้วเอาไปตากแดดจัดในหน้าร้อนจนกลายเป็นกุ้งแห้ง แล้วขายให้กับตัวแทนจำหน่ายของตลาดมืด ได้ค่าตอบแทนเป็นเงินอันน้อยนิด

ดังนั้นทุกร้านในตลาดมืดจึงมีกุ้งแห้งราคาถูกวางขายอยู่เต็มไปหมด

ขณะเดียวกัน ในยุคสมัยที่จีนเพิ่งจะเริ่มวางแผนเศรษฐกิจและสังคม การคมนาคมขนส่งจึงยังไม่ทั่วถึง ทำให้สาหร่ายที่มักขึ้นตามชายฝั่งหาซื้อได้ยากในเมืองเจียงเฉิง

หลินม่ายเดินวนไปทั่วตลาดมืดสองถึงสามรอบ แต่ก็ยังไม่เห็นร้านไหนมีสาหร่ายขาย ในที่สุดก็ยอมแพ้

ได้แป้งสำหรับห่อเกี๊ยวแล้ว แต่จะขาดเนื้อหมูไปไม่ได้

น่าเสียดายที่เกษตรกรเลี้ยงหมูพากันเชือดหมูขายในราคาสูงลิบเมื่อประมาณหลายปีก่อน ทำให้แทบมองไม่เห็นร้านไหนในตลาดมืดที่มีเนื้อหมูขายเลย

ดังนั้นหลินม่ายจึงซื้อคูปองเนื้อจำนวนหลายใบจากคนขายคูปอง แล้วเดินทางไปที่ตลาดสดของรัฐเพื่อหาซื้อเนื้อหมู

หลังจากเทศกาลปีใหม่ ถึงแม้ว่าอัตราการจับจ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคของชาวเมืองจะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ในตลาดสดของรัฐก็ยังคงมีมันหมูวางขายอยู่

ยุคนี้สิ่งที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าก็คือมันหมู

มันหมูพวกนี้สามารถนำไปเคี่ยวกลั่นเป็นน้ำมันหมูได้ อีกทั้งยังช่วยให้เมนูง่าย ๆ อย่างข้าวผัดน้ำมันมีกลิ่นหอมชวนรับประทานไม่น้อย

ต่อให้ผ่านไปเกือบครึ่งปี น้ำมันหมูก็ยังไม่เหม็นหืน

โอกาสอันดีแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ หลินม่ายซื้อมันหมูมาห้าชั่ง เนื้อขาหน้าสามชั่ง เนื้อขาหลังครึ่งชั่ง และกระดูกหมูขนาดใหญ่อีกหลายชิ้น

หลังออกมาจากตลาดสดของรัฐ หลินม่ายก็เดินอ้อมไปยังร้านเครื่องมือช่าง เพราะต้องการปั๊มกุญแจลานบ้านและกุญแจประตูบ้านให้โต้วโต้วเก็บติดตัวไว้

อีกหน่อยถ้าเธอไม่อยู่บ้าน เกิดโต้วโต้วเล่นจนเหนื่อยหรือกระหายน้ำขึ้นมา เธอจะได้ไขกุญแจเปิดประตูบ้านเข้าไปเอง เผื่อนอนพักผ่อนให้หายเหนื่อยหรือจิบน้ำดับร้อน

ถ้าจะทำเกี๊ยวขาย แน่นอนว่าเธอต้องต้มซุปกระดูกหมู เพื่อให้ซุปยังคงร้อนและสดใหม่ตลอดเวลาคงต้องใช้เตาถ่าน

ถ้าใช้เตาอั้งโล่เธอคงต้องคอยเติมฟืนอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ไฟมอด ซึ่งค่อนข้างลำบากทีเดียว แตกต่างจากเตาถ่านที่ไม่มีข้อเสียแบบนี้

เธอกลับไปที่บ้าน วางวัตถุดิบจำพวกของสดที่ซื้อมากองรวมไว้ก่อน แล้วลากรถเข็นไปที่สถานีหัวรถจักรเพื่อขอซื้อถ่านหุงต้มจำนวนหนึ่ง และเตาถ่านขนาดใหญ่อีกสองเตา

แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงหน้าประตู ก็เห็นเฉียนกั๋วเหลียงกำลังทำทีด้อม ๆ มอง ๆ อยู่รอบบ้าน

หลินม่ายไม่ได้ตะโกนเรียกให้อีกฝ่ายรู้ตัว จอดรถเข็นอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะคว้าท่อนไม้ขนาดเหมาะมือขึ้นมาจากพื้น

จากนั้นก็ย่องเบาเข้าไปด้านหลังของเฉียนกั๋วเหลียง พร้อมกันนั้นก็เงื้อท่อนไม้ขึ้นสูง แล้วทุบลงบนตัวเขาทันที

ขณะที่ใช้ท่อนไม้ฟาดอีกฝ่ายก็ร้องตะโกนไปด้วยว่า “หัวขโมย มาช่วยกันจับหัวขโมยเร็ว!”

เพื่อนบ้านที่อยู่แวดล้อมบ้านของเธอทั้งซ้ายและขวารีบวิ่งออกไปทันที พยายามจับตัวเฉียนกั๋วเหลียงกันอุตลุด แล้วขู่ว่าจะจับตัวเขาส่งสถานีตำรวจ

เฉียนกั๋วเหลียงตื่นตกใจ รีบตะโกนแก้ต่าง “ฉันไม่ใช่ขโมย ฉันเอง กั๋วเหลียง!”

หลินม่ายได้ยินประโยคนั้นแล้ว แต่แกล้งทำเป็นหูทวนลมและระดมฟาดท่อนไม้ใส่เขาไม่ยั้งจนไม้หัก

หลังจากนั้นก็ทำทีเป็นขอโทษ พูดว่า “ตายแล้ว ที่แท้ก็เป็นคุณนั่นเอง น้ำท่วมวิหารราชันมังกร(2)จริง ๆ เลย ทำไมคุณถึงได้ทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ วนไปเวียนมาอยู่หน้าบ้านฉันแบบนี้ล่ะ? ฉันพาลคิดว่าคุณเป็นโจรที่จ้องจะขึ้นบ้านฉันซะอีก ขอโทษด้วย ขอโทษด้วยนะคะ…”

ถ้าคนที่ลงมือทุบตีเขาเป็นคนอื่น เฉียนกั๋วเหลียงคงไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่าย ๆ แน่ หนำซ้ำยังจะถือโอกาสเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลและค่าเสียขวัญเป็นจำนวนมาก

แต่เพราะเขาอยากชนะใจหลินม่าย จึงทำอะไรไม่ได้นอกจากกัดฟันข่มความเจ็บปวด แล้วโบกไม้โบกมือ “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร”

ว่าแล้วก็เดินโยกกะโผลกกะเผลกกลับบ้านของตัวเองไป

หลินม่ายยังคงตะโกนไล่หลังเขา “ต่อไปก็อย่าได้มาด้อมมองหน้าบ้านฉันอีกล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเหมารวมว่าคุณเป็นหัวขโมย แล้วทุบตีคุณให้หนักกว่านี้”

ความหมายที่เธอต้องการสื่อชัดเจนมาก ถ้าเขายังกล้ามารังควานเธออีก เธอจะไม่ปรานีเขาอีกต่อไป

บรรดาเพื่อนบ้านต่างคิดในใจว่าผู้หญิงคนนี้ช่างตัวเล็กพริกขี้หนูจริง ๆ

………………………………………………………..

มณฑลพันทะเลสาบ คือฉายาของมณฑลหูเป่ย

น้ำท่วมวิหารราชันมังกร เป็นสำนวนจากเรื่องเล่า หมายถึงความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นระหว่างคนกันเอง

สารจากผู้แปล

ไม่ธรรมดาเลยนะคะ ตัวเล็กแต่แสบ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 65 โต้วโต้วโดนต้าเป่ารังแก

เวลาสิบโมงเช้า สองแม่ลูกก็มาถึงท่าเรือเยว่ฮั่น

หลินม่ายมองไปรอบ ๆ เห็นว่าทั้งสองฟากฝั่งของท่าเรือยังมีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงลอยขายขนมหลายสิบร้าน

บรรดาผู้ค้าแผงลอยพวกนี้มีทั้งคนจากหมู่บ้านซานหยางและจากหมู่บ้านอื่น ๆ รอบนอก

แต่ตอนนี้พวกเขากำลังทยอยเก็บร้านรวงของตัวเอง แสดงว่าพวกเขาคงขายของกันจนหมดเกลี้ยง

ภาพที่เห็นค่อนข้างแตกต่างจากภาพความทรงจำของหลินม่ายในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้

ช่วงหลายวันที่ผ่านมายังพอเข้าใจได้ว่าเจ้าหน้าที่เทศกิจติดวันหยุดยาว เลยไม่เคร่งครัดกับพวกผู้ค้าแผงลอยมากนัก

แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงปีใหม่ไปแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่เทศกิจจะไม่ออกมาลาดตระเวน

โดยเฉพาะบริเวณท่าเรือแห่งนี้ เธอจำได้ว่าชาติที่แล้วพวกเขาควบคุมแผงลอยต่าง ๆ อย่างเข้มงวดมากทีเดียว

ทุก ๆ เช้าในเวลาประมาณแปดโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่เทศกิจก็เริ่มลงพื้นที่เพื่อขับไล่พ่อค้าแม่ขายแถวนี้กันแล้ว

ถ้าพ่อค้าแม่ค้าดึงดันไม่ยอมปิดแผง เทศกิจก็จะยึดสิ่งของทำมาหากินของพวกเขาไปทันที

การที่พ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ยังสามารถตั้งแผงขายของได้จนถึงป่านนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนมาจัดการ

เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะยังอยู่ในช่วงฉลองเทศกาลโคมไฟหรือว่ามีเหตุผลอื่นกันแน่

ทันทีที่สองแม่ลูกเดินเข้ามาในหมู่บ้าน พวกเขาก็พบปะกับชาวบ้านหลายคนที่มาทักทาย ทุกคนต้อนรับเธออย่างอบอุ่น

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายพาโต้วโต้วกลับมาแล้ว เฉียนกั๋วเหลียงก็เดินอาด ๆ เข้าไปหาเธออย่างหน้าด้าน แถมยังถามด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย “ผู้ช่วยของเธอไปไหนเสียล่ะ ทำไมเขาถึงไม่มากับเธอด้วย?”

หลินม่ายรีบสวนกลับอย่างไร้ไมตรี “ไม่ใช่เรื่องของคุณ!”

คุณป้าจางหันไปดุอีกฝ่ายทันที “กั๋วเหลียง อย่ายุ่งวุ่นวายกับเสี่ยวหลินให้มากนัก!”

เฉียนกั๋วเหลียงกลอกตา “ฉันยังไม่ได้ทำร้ายเพื่อนบ้านของป้าด้วยซ้ำ ป้านั่นแหละที่สาระแนเรื่องของคนอื่นไม่เข้าท่า” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับแล้วก้าวยาว ๆ จากไปอย่างโกรธเคือง

คุณป้าจางเดินเข้าไปหากหลินม่ายแล้วกระซิบเตือน “ผู้ชายคนนั้นเป็นคนเลว เธอต้องระวังเขาไว้ให้ดี!”

หลินม่ายพยักหน้ารับ ก่อนจะถามไถ่หล่อนถึงสถานการณ์การตั้งแผงลอยขายของที่ท่าเรือ

ถึงแม้คุณป้าจางจะไม่ได้ตั้งแผงลอยขายของที่ท่าเรือ แต่ลูกสะใภ้ของหล่อนก็ตั้งแผงขายปาท่องโก๋อยู่ที่นั่น คงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการระวังเทศกิจอยู่บ้าง

คุณป้าจางเล่าว่าเจ้าหน้าที่เทศกิจจะเริ่มลงพื้นที่ขับไล่ผู้ค้าแผงลอยหลังจากวันที่หกเป็นต้นไป

ทุกคนสามารถขายของได้ถึงแปดโมงครึ่งของทุกวันเท่านั้น หลังจากนั้นต้องเก็บร้านหนีสถานเดียว เพราะถ้าถูกเทศกิจไล่ที่ขึ้นมา พวกข้าวของที่ใช้ในการทำมาหากินก็จะถูกยึดไปด้วย

ถ้าอยากไถ่ของของตัวเองคืน ก็ต้องไปที่สำนักงานเทศกิจแล้วจ่ายค่าปรับ

เนื่องจากวันนี้เป็นวันฉลองเทศกาลโคมไฟ เจ้าหน้าที่เทศกิจไม่มาทำงาน จึงไม่มีใครมาดูแลแผงขายของบริเวณท่าเรือ เพราะอย่างนี้พ่อค้าแม่ขายถึงมีเวลาตั้งแผงขายของได้นานขึ้นอีกหน่อย

หลินม่ายนึกขึ้นได้ว่าตรงท่าเรือมีร้านขายขนมผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด “ช่วงนี้การค้าขายเป็นยังไงบ้างคะ?”

“แย่กว่าแต่ก่อนเยอะ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังได้เงินตั้งสี่ห้าหยวนจากการตั้งแผงขายสองชั่วโมงตอนเช้าอยู่นะ อย่างน้อยก็ดีกว่าเป็นลูกจ้างในโรงงานเป็นไหน ๆ”

หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค คุณป้าจางก็ขอตัวไปช่วยลูกสะใภ้ปิดร้านและรับหล่อนกลับบ้าน

หลินม่ายก็พาลูกสาวตรงกลับบ้านของตัวเองเช่นเดียวกัน

พอไม่มีคนอยู่ครึ่งเดือน ฝุ่นผงบาง ๆ ในบ้านก็เริ่มจับตัวตามพื้น

หลินม่ายวางตะกร้าลง ก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้นแล้วเริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านทันที โต้วโต้วเห็นแบบนั้นก็เข้ามาหยิบจับช่วยเหลืออย่างรู้ความ

หลินม่ายไม่ได้ห้ามหล่อน ถึงหล่อนจะมีอายุแค่สามขวบ แต่ก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้บ้างเท่าที่สองมือน้อย ๆ ของหล่อนจะทำไหว

ครึ่งเดือนก่อนตอนที่โต้วโต้วกับนิวนิวอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยาง พวกหล่อนได้รู้จักกับเด็กน้อยหลายคนในหมู่บ้านที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

พอเด็ก ๆ เหล่านี้เดินผ่านหน้าบ้านของหลินม่าย แล้วเห็นว่าประตูลานบ้านของเธอถูกเปิดแง้มไว้ พวกเขาจึงหยุดยืนอยู่หน้าประตูแล้วตะโกนเข้าไปในตัวบ้าน “โต้วโต้ว เธอกลับมาแล้วเหรอ?”

โต้วโต้วตะโกนตอบรับจากในบ้าน

เด็ก ๆ ตะโกนเรียกเธออีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ออกมาเล่นด้วยกันสิ!”

โต้วโต้วตอบกลับเสียงดัง “ฉันอยากช่วยแม่ทำงานบ้านก่อน!”

หลินม่ายหันไปพูดกับเธอเบา ๆ “หนูออกไปเล่นกับเพื่อนเถอะ งานบ้านไม่ได้หนักอะไร แม่ทำคนเดียวได้”

โต้วโต้วได้รับอนุญาตจึงทิ้งผ้าขี้ริ้วผืนน้อยในมือลงพื้น ก่อนจะซอยเท้าเล็ก ๆ วิ่งออกจากบ้านไปอย่างมีความสุข

แต่ยังไม่ทันครบห้านาที หล่อนก็วิ่งกลับมาเสียแล้ว

หลินม่ายถามอย่างนึกแปลกใจ “ทำไมถึงกลับมาเร็วนักล่ะ?”

โต้วโต้วชูลูกโป่งในมือขึ้นพร้อมพูดว่า “ลูกโป่งของฮวาฮวากับคนอื่น ๆ ยังพองอยู่เลย แต่ลูกโป่งของหนูแฟบแล้ว หนูเลยมาขอให้แม่ช่วยเป่าลูกโป่งค่ะ”

หลินม่ายซื้อลูกโป่งใบนี้ของโต้วโต้วมาจากสหกรณ์ตั้งแต่ตอนที่เธอกลับมาจากอำเภออวิ๋นไหล

พอเล่นไปสักพัก ไม่นานลมด้านในก็คลายออก โต้วโต้วจึงเป่าลมเข้าไปใหม่

ด้วยความที่โต้วโต้วยังเด็กจึงมีแรงลมเป่าไม่มากนัก เมื่อเธอเห็นว่าลูกโป่งของเพื่อน ๆ ถูกเป่าลมเข้าไปจนมีขนาดใหญ่กว่า หล่อนเลยวิ่งกลับมาขอความช่วยเหลือจากหลินม่าย

หลินม่ายเป่าลูกโป่งให้หล่อนจนมีขนาดเท่ากับลูกวอลเลย์บอล จากนั้นก็คว้าเชือกมาผูกลูกโป่งตามเดิม แล้วยื่นให้โต้วโต้ว

โต้วโต้ววิ่งออกจากบ้านพร้อมกับลูกโป่งอีกครั้งอย่างร่าเริง

หลินม่ายยังคงยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดบ้านต่อไป

ถึงบ้านจะกว้างขวางใหญ่โตไปหน่อย แต่ยังดีที่มีเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้น ใช้เวลาไม่นานเธอก็ทำความสะอาดบ้านเสร็จ

หลินม่ายเดินเข้าห้องครัวแล้วจัดการต้มน้ำร้อน ตั้งใจจะใช้น้ำเดือดจัดล้างทำความสะอาดพวกหม้อและกระทะในบ้านเพื่อฆ่าเชื้อโรค

ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้จ้าของโต้วโต้วดังมาจากที่ไกล ๆ ก่อนจะใกล้เข้ามาเพราะหล่อนวิ่งเข้าไปในลานบ้าน

เธอรีบวิ่งออกไปดู เห็นว่าโต้วโต้ววิ่งกลับมาและร้องไห้โฮเหมือนกับลูกแมวตัวน้อย

“ลูกร้องไห้ทำไม?” หลินม่ายถามพร้อมกับเช็ดน้ำตาให้เธอไปด้วย

ฮวาฮวาที่วิ่งตามหลังโต้วโต้วเข้ามารีบเล่าให้ฟัง “ต้าเป่าทำลูกโป่งของหล่อนแตกค่ะ หล่อนก็เลยร้องไห้”

หลินม่ายถามกลับเบา ๆ “แล้วต้าเป่าทำลูกโป่งของลูกแตกเพราะอะไรหรือ?”

โต้วโต้วยกมือเล็ก ๆ ขึ้นปาดน้ำตา ตอบกลับทั้งที่เสียงยังสะอึกสะอื้น “ลูกโป่งของหนูใหญ่กว่าลูกโป่งของเขา เขาอยากแลกลูกโป่งอันเล็กของตัวเองกับลูกโป่งของหนูค่ะ แต่หนูไม่ให้ เขาเลยจิ้มลูกโป่งของหนูจนแตก”

หลินม่ายหันไปถามฮวาฮวา “หนูรู้จักบ้านของต้าเป่าหรือเปล่า? น้าวานหนูช่วยพาโต้วโต้วไปหาแม่ของต้าเป่าที บอกว่าต้าเป่าของเขาจิ้มลูกโป่งของโต้วโต้วแตก แล้วฝากให้แม่ของเขาช่วยลงโทษด้วย”

ฮวาฮวาพยักหน้ารับ แล้วจูงมือโต้วโต้วเดินออกจากบ้านไป ส่วนหลินม่ายก็หันกลับไปจัดการกับงานบ้านต่อ

ยังไม่ทันที่น้ำในหม้อจะเดือด โต้วโต้วก็กลับมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง บอกหลินม่ายว่าแม่ของต้าเป่าไม่อยู่บ้าน

หลินม่ายคิดว่าเด็กน้อยเล่นสนุกอยู่ด้วยกัน การทะเลาะเบาะแว้งอาจเกิดขึ้นได้ตามประสาเด็ก ในเมื่อไปที่บ้านแล้วไม่เจอแม่ของเขา ถ้าอย่างนั้นก็ลืมมันไปเสีย

เธอหยิบถั่วทอดใส่ลงในกระเป๋าของโต้วโต้ว บอกให้เธอเอาถั่วพวกนี้ไปแบ่งให้เพื่อน ๆ กินกัน

โต้วโต้วหยุดร้องไห้ ก่อนจะวิ่งออกไปด้วยอารมณ์ที่สดใสขึ้น

หลินม่ายล้างทำความสะอาดหม้อและกระทะในบ้านด้วยน้ำร้อนเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็หันไปจัดการกับของในตะกร้าที่เธอแบกมาด้วยจากบ้านของคุณปู่ฟาง

อาหารทะเลตากแห้ง เนื้อแดดเดียว กุนเชียง และอาหารแห้งทั้งหมดถูกแขวนไว้บนผนังห้องครัว ส่วนถั่วทอดและสิ่งของอื่น ๆ ถูกนำมาวางไว้บนตู้กลางห้องโถง เพื่อให้โต้วโต้วหยิบกินได้ง่าย ๆ

ผักที่คุณปู่ฟางเก็บมาให้เธอมีทั้งผักกาดขาว หัวไชเท้า กะหล่ำปลี กุยช่าย ตังโอ๋ ปวยเล้ง หอมแดง และผักสวนครัวอื่น ๆ อีกประปราย

พวกกุยช่าย ตังโอ๋ และผักโขมมีจำนวนไม่มากนัก แต่ผักกาดขาว หัวไชเท้า และกะหล่ำปลีกลับมีหลายหัวเหลือเกิน ไม่ว่าอย่างไรก็กินไม่ทันแน่ ๆ

เพื่อป้องกันไม่ให้ผักพวกนี้เน่าเสีย หลินม่ายหยิบหม้ออีกใบหนึ่งมาต้มน้ำให้เดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็นเพื่อเป็นส่วนประกอบในการดองผัก

กรรมวิธีการทำผักดอง จะต้องหมักผักในน้ำต้มสุกที่ปล่อยทิ้งไว้จนอยู่ในอุณหภูมิห้องแล้วเท่านั้น นั่นก็เพราะน้ำที่ผ่านความร้อนมาแล้วครั้งหนึ่งจะไม่มีแบคทีเรียตกค้าง ทำให้ผักดองไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยาให้เน่าเสีย

นอกเหนือจากการเตรียมน้ำต้มสุกสำหรับหมักผักดองแล้ว ยังต้องล้างผักทุกใบให้สะอาดก่อนจะนำไปดองอีกด้วย

หลินม่ายล้างผักกาดขาว หัวไชเท้า และกะหล่ำปลีอย่างพิถีพิถัน หลังจากนั้นก็พักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล้วเริ่มลงมือทำอาหารกลางวัน

อาหารแห้งทั้งหลายผ่านการแปรรูปมาแล้วในระดับหนึ่ง ทำให้การเตรียมวัตถุดิบไม่ยากเย็น

ระหว่างรอข้าวหุงสุก เธอก็เรียงอาหารทะเลตากแห้งสองสามชิ้นกับกุนเชียงหั่นบางไว้บนข้าว แล้วตั้งใจว่าจะผัดผักอีกสักสองจาน

ขณะที่หลินม่ายกำลังนั่งเด็ดผักอยู่ที่ลานบ้าน โต้วโต้วก็วิ่งร้องไห้กลับมาอีกครั้ง

หลินม่ายรีบถามไถ่ “หนูโดนเพื่อนรังแกอีกแล้วเหรอ?”

โต้วโต้วพยักหน้าทั้งน้ำตา

หลินม่ายดึงเธอมากอดไว้ข้างกาย ช่วยเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ “คราวนี้ใครรังแกหนูกัน?”

โต้วโต้วพูดไปร้องไห้ไป “ต้าเป่าคนเดิมค่ะ…”

“ทำไมเขาถึงรังแกลูกอีกแล้วล่ะ?”

“เพราะเมื่อกี้นี้หนูจะเอาเรื่องไปฟ้องแม่ของเขา พอเขารู้เข้า เขาก็ตีหนู แถมยังขู่ว่าถ้าหนูคิดจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องแม่ของเขาอีก เขาจะตีหนูอีกครั้ง…”

หลินม่ายเริ่มรู้สึกไม่พอใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เธอรีบเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน “ให้แม่ดูหน่อย เขาตีลูกตรงไหนบ้าง?”

โต้วโต้วชี้ไปข้างหลัง “เขาตีหลังหนูค่ะ”

หลินม่ายรีบถอดเสื้อผ้าของเธอออกแล้วจัดแจงให้เธอยืนหันหลัง พบว่าบนหลังของเธอมีรอยฟกช้ำอยู่จริง ๆ หลินม่ายเห็นลูกสาวเจ็บตัวก็โกรธมาก จูงแขนโต้วโต้วให้พาไปหาต้าเป่าทันที

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่ามารังแกน้องโต้วโต้วเชียว ม่ายจื่อซัดไม่เลี้ยงแน่ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเด็กก็เถอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 64 เยี่ยมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

หลังจากที่ทุกคนรู้ความจริง เพื่อนร่วมชั้นหลายคนของหลินเพ่ยก็พากันฮือฮา ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนเลยว่าหลินเพ่ยที่ดูอ่อนโยนและไร้เดียงสาคนนี้จะมีจิตใจที่เลวทรามอย่างน่ารังเกียจ

ถึงหล่อนจะโดนทุบตีอย่างรุนแรง แต่กลับไม่มีใครนึกสงสารหล่อนเลยสักคน

ทันทีที่คุณครูมาถึงห้องเรียนหลังจากได้ยินข่าว หลินเพ่ยก็ถูกเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางทำร้ายจนปางตาย

เสื้อผ้าที่หล่อนสวมใส่หลุดลุ่ย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่เคยเนียนละเอียดชวนมองกลับบวมเป่งจนดูเหมือนกับหัวหมูไหว้เจ้า ตาทั้งสองข้างบวมปูดแทบลืมไม่ได้

พอคุณครูเห็นว่านักเรียนของตัวเองถูกทำร้ายจนตกอยู่ในสภาพแบบนั้น ก็รีบเรียกเด็กนักเรียนชายที่พอมีพละกำลังแข็งแกร่งสองสามคนให้เข้าไปลากตัวเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางออกมา ก่อนจะพาตัวพวกเขาไปที่สถานีตำรวจทันที

คดีทำร้ายร่างกายยังไม่ทันสืบสวนจนเสร็จสิ้น พวกเขากลับบุกเข้าไปถึงในโรงเรียนแล้วลงมือทำร้ายร่างกายเด็กนักเรียนคนหนึ่งอีก ศาลจึงมีคำพิพากษาออกมาอย่างเด็ดขาดให้เหยาชุ่ยฮวาและสามีต้องจำคุกครึ่งปีโดยไม่รอลงอาญา

หลินม่ายไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลอู๋ พอถึงวันที่สิบสอง เธอก็พาโต้วโต้วเดินทางขึ้นศาลตามกำหนดการนัดหมาย

แต่เมื่อเธอไปถึงศาลแขวง เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นลูกความให้กับเธอกลับบอกว่าเหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางบุกไปที่โรงเรียนและทำร้ายร่างกายหลินเพ่ย จนทั้งคู่ถูกตัดสินจำคุก การพิจารณาคดีในครั้งนี้จึงต้องเลื่อนออกไปก่อน

หลินม่ายไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้นเสียได้ เธอถามว่า “หมายความว่าฉันต้องรอให้พวกเขาพ้นโทษก่อน ถึงจะขึ้นศาลได้หรือคะ?”

ผู้ดูแลคดีของเธอยิ้มพลางตอบกลับอย่างใจดี “ไม่ต้องหรอก เพียงแต่เราต้องประสานงานหลายขั้นตอนหน่อยในการคุมตัวนักโทษมาขึ้นศาล อาจต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามวัน เพราะแบบนี้การพิจารณาคดีถึงต้องเลื่อนออกไป”

ถึงอย่างไรเขาก็ทำหน้าที่ดูแลคดีให้เธออย่างสุดความสามารถ แค่มีเหตุจำเป็นให้ต้องเลื่อนเวลาออกไปเท่านั้น

สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้ขึ้นศาลเพื่อฟังผลการพิจารณาคดี เพราะจู่ ๆ อู๋จินกุ้ยและภรรยาของเขากระทำการฝ่าฝืนกฎหมายเสียอย่างนั้น

นับว่าน่าเสียดาย

จนกระทั่งถึงวันฉลองเทศกาลโคมไฟ(1) หลินม่ายตื่นมาทำขนมถังหยวน(2)ตั้งแต่เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านล้อมวงกินพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างอบอุ่น

หลังจากกินถังหยวนกันเสร็จแล้ว หลินม่ายก็เตรียมตัวพาลูกสาวกลับเข้าไปในเมือง

ถึงแม้ใจจริงแล้วคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไม่ค่อยอยากให้เธอกลับไป แต่พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถรั้งให้เธออยู่ต่อได้อีก เธอต้องเข้าเมืองเพื่อหารายได้

คุณย่าฟางขอให้คุณปู่ฟางไปเก็บผักจากในแปลงผักมา เพื่อมอบให้หลินม่ายเอาเข้าไปปรุงอาหารกินในเมืองด้วย

หลินม่ายรีบห้ามปรามไว้ “คุณปู่คะ อย่าลำบากเลยค่ะ ผักพวกนี้ยังพอซื้อหาจากในตลาดมืดได้”

คุณปู่ฟางแบกตะกร้าใบใหญ่ขึ้นหลัง หัวเราะหึหึแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าในเมืองมีทุกอย่างขาย แต่ถ้าเธอกลับไปแล้ว ที่บ้านก็เหลือแค่ฉันกับคุณย่าของเธอสองคน คนแก่สองคนจะกินอะไรเยอะแยะมากมายกันเชียว แทนที่จะเก็บไว้กินเอง สู้แบ่งให้เธอเอาไปกินในเมืองด้วยยังดีกว่า”

หลินม่ายจึงไม่ปฏิเสธความปรารถนาดีของเขาอีก

คุณย่าฟางหยิบเอาของจำพวกอาหารทะเลตากแห้ง เนื้อแดดเดียว และกุนเชียงซึ่งเป็นของทั้งหมดที่ฟางจั๋วหรานนำมาให้ บรรจุลงในกระเป๋าผ้ากระสอบทันที

นางใช้เหตุผลเดิมว่าพวกเขาทั้งสองแก่แล้ว ฟันไม่ค่อยแข็งแรง กินของพวกนี้ไม่ได้ แบ่งให้สองแม่ลูกเอาเข้าไปกินในเมืองด้วยอย่างน้อยก็ไม่เสียของ

นอกจากนี้ยังรวบรวมเมล็ดแตงทอด ถั่วทอด และถั่วลิสงทอดทั้งหมดในบ้านให้โต้วโต้วเอาติดตัวเข้าไปกินในเมืองด้วย

ขณะที่ทั้งสองกำลังเตรียมของวุ่นวายอยู่นั้น แม่เถียหนิวก็เดินเข้ามา

ทั้งหลินม่ายและสองสามีภรรยาชราต่างประหลาดใจที่นางมาเยี่ยมเยียนพวกเขาถึงที่

เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาในวันแรกของปีใหม่ พวกเขาจึงแปลกใจที่แม่เถียหนิวยังกล้าหน้าด้านหน้าทนมาสู้หน้าพวกเขาอีก

แม่เถียหนิวคลี่ยิ้ม ทักทายคุณย่าฟางตามมารยาท ก่อนจะหันไปหาหลินม่าย “ฉันคิดว่าม่ายจื่อคงจะกลับเข้าไปในเมืองในอีกสองวันข้างหน้าเสียอีก”

หลินม่ายตอบกลับเบา ๆ “ฉันกลับเข้าเมืองวันนี้ค่ะ”

แม่เถียหนิวได้ยินดังนั้นก็ถามเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง “คราวนี้เธอคิดจะขายอะไรล่ะ?”

หลินม่ายเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่างเหินมากขึ้น “ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลย”

อันที่จริงเธอคิดวางแผนไว้สักพักหนึ่งแล้วว่ากลับเข้าไปในเมืองคราวนี้เธอจะทำเกี๊ยวต้ม(3)ขาย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เธอเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตในภพชาติที่แล้ว แต่เธอแค่ไม่อยากบอกแม่เถียหนิวโดยตรง

แม่เถียหนิวหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามอย่างระมัดระวัง “เธอพาเถียหนิวของฉันไปด้วยสิ เธอก็รู้ว่าเขาขยันขันแข็งและตั้งใจทำงานขนาดไหน”

หลินม่ายปฏิเสธทันควันโดยแทบไม่ต้องคิด

แม่เถียหนิวถึงกับนิ่งงันไป แต่ยังเพียรพยายามโน้มน้าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ม่ายจื่อ เธออาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นแค่คนเดียว ถ้าไม่มีผู้ชายสักคนคอยหยิบจับช่วยเหลือ ฉันกลัวว่าคนอื่นจะรังแกเธอเอาได้…”

ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค นางก็ถูกคุณย่าฟางโพล่งขัดจังหวะอย่างไม่อดทนอีกต่อไป “หล่อนยังไม่ยอมแพ้อีกรึ ยังคิดจะยัดเยียดเถียหนิวให้กับม่ายจื่ออีกหรือไง?”

แม่เถียหนิวรีบแก้ตัว “ยอมแพ้ ยอมแพ้ ฉันยอมแพ้เรื่องนั้นแล้ว! ฉันก็แค่อยากให้เถียหนิวตามไปช่วยงานม่ายจื่อเผื่อจะมีรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาจุนเจือครอบครัว ให้เขาแกล้งทำเป็นพี่ชายของเธอก็ได้ จะได้ไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้ามาตอแย”

ถึงอย่างนั้นหลินม่ายก็ยังปฏิเสธ

แม่เถียหนิวจึงจำใจกลับไปด้วยความผิดหวัง

คุณปู่ฟางกลับมาพร้อมกับตะกร้าผักใบใหญ่ ก่อนจะถ่ายของใส่ลงในตะกร้าใบใหญ่อีกใบหนึ่งเพื่อที่หลินม่ายจะแบกเข้าเมืองไปอย่างสะดวกมากขึ้น

เขาจัดแจงวางเนื้อแดดเดียว กุนเชียง ปลาเค็ม และเมล็ดถั่วทอดต่าง ๆ รองไว้ก้นตะกร้า แล้วเรียงพืชผักใบเขียวทับลงไป

ถ้าทำแบบนี้ก็จะไม่มีใครมองเห็นว่าในตะกร้ามีพวกอาหารแห้งอื่น ๆ หลินม่ายจะได้ไม่ถูกดักปล้นระหว่างทาง

หลินม่ายแบกตะกร้าขึ้นหลัง ในมือถือถุงตาข่ายอีกใบหนึ่งที่ใช้ใส่เสื้อผ้าของสองแม่ลูก แล้วพาโต้วโต้วเดินออกจากบ้านไป

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเจาหยางที่ตั้งอยู่บนถนนปาจ้าน ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฮั่นโข่ว

สองแม่ลูกเดินทางมาถึงสถานีรถไฟฮั่นโข่วเร็วกว่ารถไฟรอบถัดไป ดังนั้นหลินม่ายจึงตัดสินใจแวะไปเยี่ยมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

เจตนาในการไปเยี่ยมเขาครั้งนี้ก็เพื่อบอกให้เขารู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาลงมือทุบตีหลินเพ่ย หวังยั่วยุให้เขาล้างแค้นแทนหลินเพ่ยเมื่อพ้นโทษออกมาแล้ว

ถึงแม้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเพิ่งถูกคุมขังแค่ไม่กี่วัน แต่ร่างกายของเขากลับซูบผอมและซีดเซียวเอามาก ๆ

ผู้คุมเดินมาแจ้งว่ามีคนมาเยี่ยมเขา คนคนนั้นเป็นผู้หญิงที่อายุยังไม่เยอะมาก แวบแรกเขาคิดว่าจะต้องเป็นหลินเพ่ยแน่ ๆ จึงมีความสุขมากจนน้ำตาแทบไหลริน

อย่างน้อยเขาก็ไม่เสียแรงที่รักใคร่และหลงใหลในตัวหล่อนถึงขั้นยอมแบกรับโทษทัณฑ์ทั้งหมดไว้แทน ในยามที่เขาลำบาก หล่อนก็ยังอุตส่าห์สละเวลามาเยี่ยมเยียนเขา

พอเขามาถึงห้องเยี่ยมญาติ ถึงรู้ว่าคนที่มาเยี่ยมเขาไม่ใช่หลินเพ่ยแต่เป็นหลินม่าย ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่น

ยิ่งเมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่ได้มาที่นี่มือเปล่า แต่ยังถือข้าวผัดน้ำมันห่อหนึ่งไว้ในมือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเพราะความหิวโหย

อาหารทุกมื้อของแต่ละวันภายในเรือนจำล้วนเป็นอาหารที่ฝืดคอและจืดชืด ไม่มีทั้งน้ำมันหรือเกลือผสม เนื้อสัตว์สักชิ้นหนึ่งก็ยังไม่มี

พอเห็นว่าเธอถือข้าวผัดน้ำมันมาล่อตรงหน้า จะไม่ให้เขานึกกระหายอยากได้อย่างไร?

แต่ต่อให้เขาจะหิวกระหายสักแค่ไหนก็พยายามอดทน เขาต้องทำท่าทางเย็นชาไว้เวลาอยู่ต่อหน้านังสารเลวหลินม่าย ถึงเธอจะอ้อนวอนให้เขากินข้าวผัดน้ำมันตรงหน้า เขาก็ไม่สนใจ

พอทรมานเธอจนสาแก่ใจแล้วเขาถึงค่อยกินมัน จะปล่อยให้เธอรีบร้อนได้ใจไปไม่ได้

นังสารเลวคนนี้ช่างน่าสมเพช คิดหรือว่าการที่ตัวเองมาเยี่ยมเขาในยามลำบากแล้วเอาอาหารอร่อย ๆ มาให้ จะทำให้เขาเปลี่ยนใจและหันมาตกหลุมรักเธอ

ทั้งชีวิตนี้ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีวันตกหลุมรักเธอเด็ดขาด เขาจะทำให้เธอมีสภาพเหมือนตายทั้งเป็น!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกัดฟันพูดกับหลินม่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่สนใจข้าวผัดน้ำมันอะไรนั่น เอาคืนไปซะ!”

หลินม่ายยิ้มเหยียดหยาม “นายคิดว่าฉันห่อข้าวผัดน้ำมันมาให้นายกินหรือไง? ช่างกล้าหลงตัวเองจริง ๆ! ฉันห่อข้าวมาให้ลูกสาวของฉันกินรองท้องต่างหาก”

หลินม่ายวางห่อข้าวผัดน้ำมันลงบนโต๊ะด้านข้างต่อหน้าต่อตาอู๋เสี่ยวเจี๋ยน โต้วโต้วเห็นแบบนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอร็ดอร่อยทันที

หลินม่ายยังคงแสยะยิ้ม มองไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนซึ่งกำลังทำหน้าตาโกรธจัด “ฉันมาเยี่ยมนายในครั้งนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่น เหตุผลหลักที่ฉันมาก็เพราะอยากเห็นน้ำหน้าที่น่าสังเวชของนาย จุดจบของนายนี่น่าเศร้าจริง ๆ”

ขณะที่พูดเธอก็หัวเราะเยาะไปด้วย “พ่อแม่ของนายบุกไปถึงที่โรงเรียนของหลินเพ่ย แถมยังตบตีแม่ยอดขมองอิ่มของนายซะอ่วม พวกเขานี่โหดเหี้ยมจริง ๆ เลย ทำร้ายหลินเพ่ยจนเกือบตายคามือ เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของนายถูกศาลตัดสินให้จำคุกแบบไม่รอลงอาญาครึ่งปี หลังจากนั้นก็จะถูกประหารชีวิต ในที่สุดสามพ่อแม่ลูกก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในคุกแล้ว เป็นยังไงล่ะ รู้สึกอบอุ่นดีไหม?”

ทันทีที่คำพูดเสียดสีอย่างเจ็บแสบของหลินม่ายสิ้นสุดลง เธอก็เดินจากไปพร้อมกับรอยยิ้มสะใจบนริมฝีปาก

ทิ้งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยืนโกรธจนตัวสั่นอยู่คนเดียวที่นั่น

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้คุมคอยสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ อย่างไม่ละสายตาแล้วละก็ เขาคงพุ่งตัวออกไปทุบตีหลินม่ายอย่างสุดแรงเพื่อระบายความคับแค้นที่เกิดขึ้น!

……………………………………………………………………………………………………………..

เทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลหยวนเซียว ตรงกับวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติ เป็นวันเฉลิมฉลองวันสุดท้ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ของจีน

ขนมทังหยวน ขนมที่นิยมกินในวันเทศกาลโคมไฟ ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นก้อนกลมใส่ไส้ ต้มจนสุกแล้วลอยในน้ำขิงปรุงรสหวาน ลักษณะคล้ายบัวลอยบ้านเรา

เกี๊ยวต้ม หรือสุ่ยเจี่ยว (水饺) เป็นเกี๊ยวที่ชาวจีนทางเหนือนิยมกินกัน ลักษณะแป้งที่ใช้ห่อเป็นแผ่นหนาและกลม อาจปั้นเป็นรูปทรงคล้ายเกี๊ยวซ่าหรือทรงยาวแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็ได้ มีกระบวนการต้มแบบสามจมสามลอย ความอร่อยจะมุ่งเน้นไปที่น้ำจิ้ม

สารจากผู้แปล

พอเถอะป้า เขาบอกชัดว่าไม่เอาลูกชายหล่อนขนาดนั้นแล้วก็อย่ามาตอแยอีกเลยนะขอล่ะ

หลงสาวจนติดคุกครอบครัวล่มจมแล้วยังหลงตัวเองอีกนะเสี่ยวเจี๋ยน ปล่อยเน่าคาคุกไปเถอะ ม่ายจื่อเป็นอิสระจากแกแล้วจ้า

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 63 อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกจับ

ไม่นานก็ล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ดของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ หลังกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปที่ศาลแขวง เพื่อฟ้องร้องตระกูลอู๋ที่ใช้ความรุนแรงกับเธอ

ยุคสมัยนี้มีคดีความน้อยมาก คดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวก็มีน้อยเช่นเดียวกัน

เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในศาลแขวงจึงนั่งว่างอย่างเงียบเหงาจนเห็ดแทบงอกออกมาตามร่างกาย พอมีคนเข้ามายื่นฟ้อง จึงใช้เวลาไม่นานในการอนุมัติบังคับคดี และกำหนดวันขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่สิบสองของเดือนเดียวกัน

หลินม่ายพึงพอใจกับการดำเนินงานที่รวดเร็วนี้

การฟ้องร้องต้องใช้เวลานานและมีขั้นตอนมากมาย ถึงแม้ว่าศาลจะกำหนดวันเริ่มพิจารณาคดีในวันที่สิบสองที่จะถึงนี้ก็จริง แต่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งเดือนกว่าจะปิดคดีได้

หลินม่ายยังคิดวางแผนจะพาโต้วโต้วเข้าเมืองอีกครั้งเพื่อทำกิจการค้าขายเล็ก ๆ หลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลโคมไฟไปแล้ว เธอจำเป็นต้องค้าขายเพื่อหาเงินไว้ใช้จ่ายประกอบการยื่นฟ้อง

ประเทศจีนเริ่มสนับสนุนอาชีพนักกฎหมายอย่างเป็นทางการในปี 1986 หมายความว่าในตอนนี้อาชีพทนายยังไม่แพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถไว้วางใจให้ศาลช่วยดำเนินการเกี่ยวกับคดีได้ ทางศาลจะจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการมาช่วยเหลือเธอด้านคดีความ แต่ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนิดหน่อย

สำหรับหลินม่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายในยุคนี้ถือว่าแตกต่างกับค่าใช้จ่ายที่ใช้จ้างทนายสู้คดีในยุคสมัยปัจจุบันมาก

ตามระเบียบการแล้ว หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมให้ศาลไปแล้วสามสิบหยวน เธอก็เดินทางกลับบ้านพร้อมกับโต้วโต้วได้

คุณปู่ฟางเคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานราชการอาวุโส ส่วนคุณย่าฟางก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรุงปักกิ่งที่เกษียณอายุราชการแล้วเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าทั้งสองมีความรู้เรื่องระบบงานราชการอยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีใครใกล้ตัวเคยยื่นฟ้องคดีมาก่อน จึงไม่ค่อยรู้ขั้นตอนการดำเนินงานเท่าไหร่นัก ต่างก็คิดว่าการตัดสินคดีจะเกิดขึ้นภายในวันนี้เลย

ทันทีที่หลินม่ายพาลูกสาวของเธอกลับมาถึงบ้าน สองสามีภรรยาอาวุโสก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามไถ่เธอถึงคำพิพากษาของศาล

หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “พวกเขาเพิ่งรับเรื่องฟ้องร้องวันนี้เองค่ะ ศาลนัดหมายให้ไปฟังการพิจารณาคดีในวันที่สิบสองเดือนนี้ ในส่วนของคดีคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะเป็นที่สิ้นสุด ผลการตัดสินไม่ประกาศเร็วขนาดนั้น”

ได้ยินแบบนี้ สองผู้ชราจึงตระหนักว่าการยื่นฟ้องคดีนั้นลำบากไม่น้อย

ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปจนถึงวันที่สิบ

สองแม่ลูกใช้เวลาอยู่ร่วมกับสองผู้เฒ่าตลอดช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา

หลังจากเทศกาลโคมไฟ หลินม่ายต้องเข้าไปในเมืองเพื่อค้าขายเช่นทุกครั้ง อาจไม่มีเวลาทำอาหารให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเหมือนที่ผ่านมา จึงพยายามใช้เวลาช่วงที่ยังว่างอยู่ทำอาหารอย่างสุดความสามารถ

อาหารทุกอย่างที่เธอทำเป็นเมนูที่เปื่อยนุ่มง่ายต่อการเคี้ยว เหมาะสำหรับเด็กและคนชรา

ช่วงบ่ายของวันที่สิบ หลินม่ายเข้าครัวเพื่อทำเค้กอย่างง่าย ๆ

บ้านของสองเฒ่าตระกูลฟางไม่มีเตาอบ ดังนั้นเธอจึงพลิกแพลงการทำเค้กจากการอบเป็นการนึ่งแทน ซึ่งใช้เวลานานและสิ้นเปลืองแรงงานกว่าวิธีปกติ

พอเค้กที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ ๆ ถูกยกออกจากเตา เจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจก็เข้ามาแจ้งหลินม่ายถึงผลการสอบสวนคดีฉ้อโกงการแต่งงาน

หลังจากที่พวกเขาลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านสกุลหวังและหมู่บ้านสกุลอู๋ ชาวบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนของทั้งสองหมู่บ้าน ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหลินม่ายคือเหยื่อชิ้นโตของคดีฉ้อโกงการแต่งงาน แม้แต่เติ้งซิ่วจือที่เป็นพี่สะใภ้ของเธอก็ให้ความเห็นไม่ต่างจากคนอื่น ๆ

นอกจากนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับเป็นฝ่ายยอมรับสารภาพผิดด้วยตัวเอง เขาให้การว่าคนที่วางแผนและจัดการเรื่องทั้งหมดในคดีฉ้อโกงการแต่งงานคือตัวเขาเองแค่คนเดียว ทางตำรวจจึงเข้าจับกุม แล้วพาตัวเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป

หลินม่ายตกตะลึง

เธอพอรู้อยู่บ้างว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนรักและเทิดทูนหลินเพ่ยถึงขนาดไหน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรักหล่อนมากถึงขั้นยอมรับโทษแทน และสารภาพว่าตัวเองต่างหากที่คือคนร้ายตัวจริง!

ในเมื่อเขาตัดสินใจแบบนั้นเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ น่าเสียดายที่หลินเพ่ยรอดพ้นความผิดไปได้อีกครั้ง

หลินม่ายถามด้วยความกังวล “เขาถูกตัดสินจำคุกกี่ปีหรือคะ?”

เนื่องจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมรับสารภาพผิดตั้งแต่แรก หลินม่ายคิดว่าเขาคงถูกศาลสั่งลดโทษและตัดสินให้จำคุกแค่ไม่กี่ปี แต่นั่นก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความรักที่เขามีต่อหลินเพ่ยนั้นลึกซึ้งแค่ไหน

ตำรวจที่มีรายงานผลสรุปของคดีถึงหน้าประตูบ้านนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง

“ถึงเขาจะทำผิดจริงที่หลอกให้คุณยอมแต่งงานด้วย แต่การกระทำของเขายังมีผลต่อการพิจารณาตัดสินโทษ ถ้าเขาไม่ยอมรับสารภาพ คงใช้เวลาในการไต่สวนข้อเท็จจริงกันนานกว่านี้ โทษก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากเขายอมรับสารภาพผิด ไม่ว่ายังไงเขาก็ถูกตัดสินจำคุกอยู่ดี แต่อาจไม่นานหลายปีหรอกครับ มากสุดประมาณหนึ่งปีเท่านั้น”

พอรู้ว่าเขาถูกตัดสินจำคุกแน่ ถึงแม้แค่ปีเดียว แต่หลินม่ายก็พอใจมาก

หลังจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ชีวิตของเขาก็จบเห่อยู่ดี สังคมในยุคสมัยนี้ค่อนข้างที่จะเลือกปฏิบัติต่อคนที่มีชนักติดหลังเป็นอดีตนักโทษอย่างรุนแรง

เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกตำรวจจับกุมตัวไป บ้านตระกูลอู๋ก็ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านอย่างสมบูรณ์ พอเห็นคนในบ้านตระกูลอู๋เดินผ่านมา ทุกคนก็พากันถอยออกห่าง เพราะกลัวว่าตัวเองจะพลอยดวงซวยตามไปด้วย

อู๋เสี่ยวเถาอายุสิบแปดปีเต็ม กำลังสวยสะพรั่งเต็มสาว คิ้วหนาตาโตได้รูป

แม่สื่อหลายคนทั้งจากในและนอกหมู่บ้านต่างแวะเวียนมาจีบเธอไม่ขาดสาย บรรดาลูกชายของอีกฝั่งหนึ่งล้วนเป็นทายาทของตระกูลที่พอมีฐานะในระดับหนึ่ง รูปร่างหน้าตาดีเหมาะสมกัน

ความจริงแล้วบ้านตระกูลอู๋มีลูกสาวหลายคน อีกทั้งอู๋จินกุ้ยก็ไม่ได้รักลูกชายมากไปกว่าลูกสาวอย่างคร่ำครึเหมือนครอบครัวอื่น ๆ

ดังนั้นพวกเขาจึงคัดเลือกครอบครัวของสามีในอนาคตให้กับลูกสาวคนโตอย่างระมัดระวัง ใครจะคิดว่าชีวิตแต่งงานที่ควรเป็นไปได้ด้วยดีของอู๋เสี่ยวเถากลับพังทลายไม่เหลือชิ้นดี!

ยังไม่ทันที่ครอบครัวของเธอจะเฟ้นหาลูกเขยที่เหมาะสมคู่ควรที่สุดให้กับลูกสาวคนโต อู๋เสี่ยวเถาก็มาถูกตำรวจจับตัวไปเสียก่อน บรรดาแม่สื่อทั้งหลายพากันถอนตัวในทันที ไม่ต้องการดองกับบ้านตระกูลอู๋อีกต่อไป

การแต่งงานของลูกสาวคนโตตระกูลอู๋จบสิ้นกันคราวนี้ อู๋เสี่ยวเถาโกรธแค้นมากจนนอนร้องไห้ทุกคืนอย่างน่าเวทนา

แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เหยาชุ่ยฮวาปวดหัวที่สุด

สิ่งที่ทำให้เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกมากกว่า คือการที่เจ้าหน้าที่จากศาลแขวงเดินทางมาที่หมู่บ้านของพวกเขา แล้วเริ่มสอบสวนว่าสองสามีภรรยาและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำร้ายร่างกายหลินม่ายจริงหรือไม่

นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่จากศาลแขวงเข้ามาสอบสวนพวกเขาถึงที่ เหยาชุ่ยฮวาและอู๋จินกุ้ยก็เริ่มสติแตก ด้วยกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะถูกตำรวจจับกุมตัวไปในสภาพที่ไม่ต่างจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

ความคับแค้นใจของเหยาชุ่ยฮวาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะนางจิ้งจอกอย่างหลินเพ่ยมาหว่านเสน่ห์ให้ลูกชายคนโตของพวกเขาหลงรักอย่างหัวปักหัวปำ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนคงไม่ต้องมารับสารภาพผิดในคดีฉ้อโกงการแต่งงานแทนหล่อน ตระกูลอู๋คงไม่ถูกหล่อนหลอกลวงเอาเงินค่าสินสอดไปจ่ายค่าเล่าเรียนและแต่งตัวสวยไปวัน ๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน หลินม่ายคงไม่ได้แต่งเข้าตระกูลอู๋ตั้งแต่แรก ถ้าพวกเขาไม่มีหลินม่ายให้ทุบตี ก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะติดคุกติดตะรางแบบนี้

ในเมื่อนางจิ้งจอกตัวนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องตกต่ำ งั้นก็อย่าหวังว่าหล่อนจะเชิดหน้าชูตามีชีวิตที่ดีต่อไปได้!

เช้าวันถัดมา หลังจากที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกจับกุมตัวไป เหยาชุ่ยฮวารีบลากสามีของตัวเองตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านสกุลหวังทันที เพื่อตามหาหลินเพ่ยมาชำระบัญชีให้ได้

โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งแรกของอำเภออวิ๋นไหลเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการในวันนี้ หลินเพ่ยจึงเดินทางเข้าเมืองด้วยรถโดยสารเข้าเมืองไปแล้วตั้งแต่ตอนบ่ายของเมื่อวาน

เหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางไปถึงหมู่บ้านสกุลหวังด้วยอารมณ์เดือดดาลราวพายุ หวังทำลายบ้านสกุลหลินให้แหลกเละ แต่พบว่าที่บ้านมีหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายของเขาอยู่ทั้งคู่

สองสามีภรรยาทำอะไรไม่ได้ จึงจำใจจากไปด้วยความโกรธเคือง แล้วเดินทางต่อไปที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งแรกของอำเภออวิ๋นไหล

ขณะนี้ เสียงกริ่งบอกสัญญาณเลิกชั้นดังไปทั่วทั้งโรงเรียน นักเรียนหลายคนวิ่งกรูออกจากห้องเรียน บ้างก็วิ่งไปที่สนามเด็กเล่น บ้างก็เล่นบาสเกตบอล บ้างก็อาศัยช่วงพักเพื่อเข้าห้องน้ำ

ไม่มีใครสังเกตเห็นสองสามีภรรยาวัยกลางคนสวมชุดชาวนาซอมซ่อเดินเข้ามาภายในโรงเรียนด้วยท่าทางโมโหร้าย ตรงขึ้นไปที่ชั้นสามของอาคารเรียนอย่างไม่รอช้า

พอพวกเขามาถึงชั้นสามของอาคารเรียน ก็ช่วยกันกวาดสายตามองไปทางกลุ่มนักเรียนที่เหลืออยู่ภายในห้องเรียนไม่กี่คนด้วยสีหน้ามืดมน ใช้เวลาไม่นานนักก็มองเห็นหลินเพ่ย

ดวงตาของพวกเขาสว่างวาบขึ้นทันใด รีบพุ่งตัวไปหาหลินเพ่ยแล้วลงมือเตะต่อยหล่อนทันที

ก่อนหน้านี้จินปอกำลังหาทางสลัดตัวเองให้หลุดจากหลินเพ่ย พอเขาเห็นแบบนั้นก็รีบถอยกรูดออกไปอยู่หลังห้อง

เขาอายุสิบเจ็ดปีแล้ว เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครที่ทั้งหน้าหนาและไร้ยางอายเท่าหลินเพ่ยมาก่อน

ความลับน่ารังเกียจของหล่อนถูกเปิดโปงแล้วแท้ ๆ ความจริงหล่อนควรละอายใจจนไม่กล้ามาสู้หน้าเขาด้วยซ้ำ ใครจะคิดว่านอกจากหลินเพ่ยจะไม่ละอายใจแล้ว ยังกล้าเข้าหาเขาเพื่อพยายามอธิบาย และทำเป็นบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร!

ผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้คิดว่าเขาโง่จนหลอกได้ง่าย ๆ หรืออย่างไรกัน!

เมื่อจินปอเห็นหลินเพ่ยถูกผู้ใหญ่สองคนทุบตี นอกจากเขาจะไม่นึกเห็นใจสงสารแล้ว ยังรู้สึกโล่งใจเอามาก ๆ

เขาอยากตบหน้าหลินเพ่ยสักทีสองที แต่ก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ จึงไม่กล้าทำแบบนั้น

แต่แล้วสวรรค์ก็ส่งตัวช่วยมาจัดการเรื่องนี้แทนเขาจนได้!

ทั้งสองยังคงลงไม้ลงมือกับหลินเพ่ยอย่างไม่ยั้งแรง พร้อมกันนั้นก็ด่าทอหล่อนไม่หยุดปาก

ไม่ว่าจะเป็นของเน่าเสียสารพัดอย่าง สิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น หรือคำหยาบนับไม่ถ้วนเท่าที่จะสรรหามาได้ถูกพ่นออกมาอย่างดุเดือด เสียงนั้นดึงดูดนักเรียนคนอื่น ๆ ให้เข้ามามุงดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก

ซึ่งต้นเสียงดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเหยาชุ่ยฮวาและอู๋จินกุ้ย

จากการทำร้ายหลินเพ่ยอย่างทารุณและถ้อยคำที่พวกเขาสบถออกมา บรรดานักเรียนจับใจความอยู่พักหนึ่งก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ที่แท้หลินเพ่ยก็สวมรอยเป็นน้องสาวที่ชื่อหลินม่าย แล้วเข้ามาเรียนที่นี่แทนน้องสาวของตัวเอง เพื่อที่หล่อนจะมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนและได้แต่งตัวสวย ๆ ได้กินอาหารดี ๆ หล่อนถึงกับขายน้องสาวของตัวเองให้ไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วยึดเงินค่าสินสอดมาเป็นของตัวเอง แต่น้องสาวของหล่อนไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ถึงกับขึ้นโรงพักแจ้งความหล่อนในข้อหาฉ้อโกงการแต่งงาน

หลินเพ่ยไม่อยากติดคุก ก็เลยหว่านล้อมให้ลูกชายคนโตของคุณลุงคุณป้าสองคนนี้รับโทษแทนตัวเอง

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาพลอยติดร่างแหได้รับโทษทางกฎหมายไปด้วย ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะโกรธมากจนต้องระบายความแค้นด้วยการทุบตีหล่อนแบบนี้

หลินเพ่ยแค่คนเดียวทำให้ครอบครัวของพวกเขาต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พวกเขาคงเหลืออดจนทนนิ่งเฉยไม่ได้แล้วสินะ ถึงได้ตามมาเอาเรื่องหล่อนถึงที่โรงเรียน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นางงามล่มบ้านล่มเมืองจริงๆ นังเพ่ยเพ่ย ถึงคราวตัวเองล่มจมก็คราวนี้แหละ อย่าได้ไปหว่านเสน่ห์ใครจนทำให้ตระกูลเขาล่มจมอีกเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 62 หลินสงลงไม้ลงมือกับหลินเพ่ย

หลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายของเขากลับมาจากในเมืองประมาณช่วงบ่ายในวันชูอู่(1)

เขาตั้งใจพาหลินสงเข้าไปในเมืองก็เพราะหวังให้ลูกชายของตนมีโอกาสได้เห็นโลกกว้าง แต่ไม่ได้บอกเจตนาที่แท้จริงกับอีกฝ่าย

หลังจากเดินทางเข้าเมือง และได้พบเห็นความเจริญของตัวเมืองอย่างเต็มตา หลินสงก็เกิดความกระตือรือร้นที่จะถีบตัวเองให้มีชีวิตที่ดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ พอเขากลับมาเล่าให้เติ้งซิ่วจือผู้เป็นภรรยาฟังว่าในเมืองนั้นเจริญรุ่งเรืองอย่างไรบ้าง หล่อนก็นึกอิจฉาจนน้ำลายไหล

เติ้งซิ่วจือเองก็ใฝ่ฝันอยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี แต่รู้ดีว่านั่นคงเป็นแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ

ทันทีที่หลินเจี้ยนกั๋วกลับมา เขาก็ถูกซุนกุ้ยเซียงลากเข้าไปในห้อง ก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา แล้วหันมาถามด้วยน้ำเสียงกดต่ำ แสดงสีหน้าเคร่งขรึม “เป็นอย่างไร? จะกลับเมืองเอกมณฑลได้ไหม?”

หลินเจี้ยนกั๋วควานหายาเส้นคุณภาพต่ำขึ้นจุดสูบ คิ้วขมวดเข้าหากัน “เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของคนถือเป็นเรื่องใหญ่ ฉันจะสืบข่าวคราวอย่างโจ่งครึ่มไม่ได้ ก็เลยสอบถามจากปากคนแถวนั้นสองสามคน พวกเขาพูดตรงกันว่าคดียังไม่หมดอายุความ”

ซุนกุ้ยเซียงพูดอย่างไม่พอใจ “นี่ก็ผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปีแล้ว ทำไมถึงยังไม่หมดอายุความอีก?”

หลินเจี้ยนกั๋วถอนหายใจ “เป็นไปตามที่กฎหมายบ้านเมืองบัญญัติไว้ ตราบใดที่พวกเขาไม่สามารถคลี่คลายคดีฆาตกรรมได้ ก็ถือว่าคดีนั้นยังไม่หมดอายุความ”

ซุนกุ้ยเซียงถามต่อด้วยความผิดหวัง “หมายความว่าพวกเรายังกลับเข้าไปอยู่ในเมืองไม่ได้อย่างนั้นเหรอ?”

นางใช้ชีวิตอย่างลำบากยากแค้นในชนบทมานานเกินพอแล้ว อยากกลับไปอยู่ในเมืองเสียที

หลินเจี้ยนกั๋วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งพลางพ่นควันยาเส้นที่สูบอยู่ออกมา ก่อนจะโยนก้นทิ้งไปเพื่อไม่ให้ความร้อนไหม้ปลายนิ้ว “เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลังเถอะ เราคงต้องรอจนกว่าคดีจะปิดลงเสียก่อน ที่จริงแล้วต่อให้คดีฆาตกรรมยังไม่หมดอายุความก็จริง แต่เวลาผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปี ตำรวจไม่มีฝีมือพอที่จะคลี่คลายคดีนี้ได้ด้วยซ้ำ ในเมื่อปิดคดีไม่ได้ก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรกับเราซะหน่อย!”

ซุนกุ้ยเซียงคิดตาม ถึงนางจะไม่สามารถกลับไปอยู่ในเมืองได้ แต่ต่อให้วิตกกังวลต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงลืมความคิดนั้นไป แล้วเรียกหาหลินสงเพื่อขอให้เขายึดเอาเงินขวัญถุงที่หลินม่ายมอบให้กับหลานชายทั้งสองคนมาจากเติ้งซิ่วจือ

ในขณะที่ซุนกุ้ยเซียงกับสามีของนางปิดประตูหารือกันอยู่นั้น เติ้งซิ่วจือก็เรียกสามีของตัวเองเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุยอย่างลับ ๆ

หล่อนเล่าให้หลินสงฟังถึงทุกเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องที่หลินม่ายกลับมาที่บ้านในวันชูซื่อ

เมื่อเล่ามาถึงเหตุการณ์ที่ซุนกุ้ยเซียงต้องการเงินห้าเฟินซึ่งหลินม่ายอุตส่าห์มอบให้เด็กชายสองพี่น้อง น้ำเสียงของเติ้งซิ่วจือก็แปรเปลี่ยนเป็นอัดอั้นและไม่พอใจ

“พี่ต้องตัดสินเรื่องนี้แทนฉัน ลูกของเราโตขึ้นทุกวัน แม่ของพี่เคยให้ลูกเรากินอะไรดี ๆ บ้าง? เคยซื้ออะไรให้ฉันบ้างไหม? ทุกครั้งที่ครอบครัวเรามีของกินดี ๆ มีเสื้อผ้าสวย ๆ แม่ของพี่ก็ยกให้น้องสาวคนโตของพี่ไปซะหมด ไม่เคยมีใครในบ้านได้กินใช้ของดี ๆ แม้แต่อย่างเดียว! ที่ผ่านมาฉันได้แต่ยอมแบบไม่มีปากเสียงมา เรื่องอะไรฉันจะยอมให้นางเอาเงินไม่กี่เฟินที่จะเป็นค่าข้าวปลาของลูกฉันไปอีก?! เงินส่วนหนึ่งถูกนางยึดเอาไปแล้วด้วยซ้ำ นางถึงขั้นทุบตีต้าโก่วกับเอ้อโก่วเพื่อชิงเงินเชียวนะ! ทำไมแม่ของพี่ถึงอยากได้เงินสองเฟินนั้นจนตัวสั่นน่ะเหรอ? ก็เพราะจะเอาไปตัดเสื้อตัวใหม่ให้น้องสาวของพี่ไงล่ะ! หลินสง อย่าหาว่าฉันไม่เตือนก็แล้วกัน ถ้าพี่กล้าเอาเงินขวัญถุงที่เหลืออยู่ของลูกไปปรนเปรอแม่ของพี่แล้วละก็ ชีวิตคู่ของเราคงจบกันแต่เพียงเท่านี้!”

ถึงแม้การแต่งงานของหลินสงและเติ้งซิ่วจือจะถูกจัดแจงโดยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย แต่ทั้งสองก็ตกหลุมรักกันจริง ๆ หลังจากที่พวกเขาร่วมหอกัน สองสามีภรรยารักใคร่ปรองดอง หลินสงเชื่อฟังเติ้งซิ่วจือตลอดมา

ยิ่งเมื่อได้ยินจากปากภรรยาว่าเด็กสองคนนั้นถูกทุบตีเพื่อชิงเงิน ก็เห็นด้วยว่าซุนกุ้ยเซียงทำเกินกว่าเหตุ

ดังนั้นเมื่อซุนกุ้ยเซียงเรียกเขาให้ไปยึดเอาเงินขวัญถุงทั้งหมดมาจากภรรยาและลูกสองคนของเขา อารมณ์ของหลินสงก็เดือดดาลในทันที

เขาขึ้นเสียงใส่ผู้เป็นแม่ “แม่จะลำเอียงรักน้องสาวแค่ไหนผมไม่เคยว่า แต่เรื่องที่แม่คิดจะยึดเงินปีใหม่ไปจากลูกผมนี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่? วันข้างหน้าแม่คิดจะเกาะหล่อนกินไปตลอดชีวิตเลยหรือไง? ถึงได้ปรนเปรอข้าวของเครื่องใช้ดี ๆ ให้หล่อนไปซะทุกอย่าง! ต่อให้แม่ต้องการแบบนั้นก็เถอะ แต่แม่จะทุบตีลูก ๆ ของผมไม่ได้ พวกเขาผิดอะไร?”

ซุนกุ้ยเซียงพยายามงัดเหตุผลอื่นมาโต้เถียง “แล้วฉันเลี้ยงดูแกกับเมียแกไม่ดีตรงไหน? ครอบครัวของเราจะพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ หรือพวกแกสี่คนจะมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับเพ่ยเพ่ยทั้งนั้น เพ่ยเพ่ยทำให้พวกเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้แน่ ตราบใดที่หล่อนได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ ถ้าไม่ให้หล่อนแต่งตัวสวย ๆ แล้วใครจะหันมามองหล่อนกันล่ะ?”

คดีฆาตกรรมที่ว่าคอยตามหลอกหลอนสองเฒ่าตระกูลหลินอยู่ทุกวันคืน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ตั้งความหวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปตั้งรกรากอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงได้อีกครั้งในรอบสิบเจ็ดปี แต่ต้องแลกด้วยความเสี่ยงมหาศาล

ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้คือพึ่งพาหลินเพ่ยให้หล่อนได้แต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวย เพื่อที่จะได้ย้ายสำมะโนครัวจากบนภูเขาอันห่างไกลนี้ไปอยู่ในตัวอำเภอ

ถึงแม้ตัวอำเภอจะมีความเจริญไม่เท่าเมืองเจียงเฉิง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องทำไร่ทำนาหลังขดหลังแข็ง

ซุนกุ้ยเซียงเชื่อมั่นเสมอว่าหลินเพ่ยคือความหวังเดียวของครอบครัว ที่จะทำให้ตนเองได้ออกไปจากหมู่บ้านห่างไกลบนภูเขาลูกนี้เสียที เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้นางทำดีกับหล่อนอย่างสุดหัวใจได้อย่างไร!

เติ้งซิ่วจือเดินออกมาจากห้อง ยืนพิงกรอบประตูพลางพูดประชดประชันขึ้นมา “คุณแม่อาจจะเชื่อมั่นในตัวของลูกสาวคนโต แต่เราไม่เชื่อ! เท่าที่ฉันเห็น ก่อนหน้านี้ม่ายจื่อทำงานงานรับใช้พวกท่านราวกับเป็นวัวและม้า แต่หลังจากเธอแต่งงานไป พอกลับมาเยี่ยมบ้านอีกครั้งยังมีน้ำใจให้เงินขวัญถุงหลานชายของตัวเองคนละหนึ่งเฟิน ต่างจากลูกสาวคนโตของท่านที่สักแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อ แถมยังไม่เคยทำประโยชน์อะไรให้กับที่บ้าน นับประสาอะไรกับการช่วยชุบชีวิตครอบครัวเรา คนอย่างฉันหรือจะมองไม่ออก มีแต่คนงี่เง่าเท่านั้นแหละที่เชื่อมั่นในตัวหล่อน”

ซุนกุ้ยเซียงโดนลูกสะใภ้เหน็บแนมว่าเป็นคนงี่เง่าก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า ลามไปถึงลำคอจนแดงก่ำ

หลินเพ่ยรู้ว่าผู้เป็นแม่มีปากเสียงกับพี่ชายและพี่สะใภ้เพราะเรื่องของตัวเอง จึงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยไม่ปริปาก

ในฐานะที่ตัวเองอยู่ในห่วงโซ่สูงสุดของเรื่องทั้งหมด หลินเพ่ยรู้ดีว่าไม่ควรพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยว ปล่อยให้คนอื่นถกเถียงกันถึงผลประโยชน์อะไรนั่นต่อไป

ต่อให้พวกเขาจะเอะอะโวยวายกันคอแทบแตก สุดท้ายแล้วหล่อนก็ยังคงเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดอยู่วันยังค่ำ หลังจากนี้เธอก็แค่ทำสีหน้าไร้เดียงสา ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่น้อย จนกระแสตีกลับไปยังคนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับหล่อน

แต่พอได้ยินว่าซุนกุ้ยเซียงมีแนวโน้มว่าจะพ่ายแพ้ ก็ไม่สามารถหักห้ามใจไว้ได้อีก

หลินเพ่ยจึงต้องออกไปต่อสู้ด้วยตัวเอง

ยังไม่ทันที่หล่อนจะพูดอะไร ดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำใสที่คลอเบ้า เหมือนถูกใครสักคนทำให้เกิดความคับข้องใจอย่างสุดจะกลั้น

จากนั้นก็ร้องเรียกเติ้งซิ่วจือด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “พี่สะใภ้!” ต่อด้วยฉากเสแสร้งบีบน้ำตา “ในอนาคตถ้าฉันได้ดีเมื่อไหร่ ฉันจะให้เงินขวัญถุงกับต้าโก่วและเอ้อโก่วให้มากกว่านี้ ฉันสัญญาว่าจะพาครอบครัวของเราออกไปจากที่นี่ให้ได้!”

เติ้งซิ่วจือกลอกตาอย่างนึกดูถูกแล้วตอกหน้ากลับ “เธอคิดเหรอว่าฉันจะหลงเชื่อคำสัญญาไร้สาระพวกนั้น? แม้แต่ตอนนี้เธอยังแย่งเอาอาหารดี ๆ ไปจากลูกชายสองคนของฉันเลย แล้วอีกหน่อยเธอจะทำดีกับพวกเขาได้ยังไง!”

แม้แต่หลินม่ายที่เป็นน้องสาวแท้ ๆ หลินเพ่ยยังหลอกให้เธอไปแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน จากสิ่งที่หลินม่ายเคยบอกไว้ ทำให้เติ้งซิ่วจือยิ่งมองเห็นความเห็นแก่ตัวและความเลือดเย็นของหลินเพ่ยได้ชัดเจนขึ้น

เพื่ออนาคตของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้ยอมทำลายได้แม้กระทั่งทั้งชีวิตของน้องสาว ฉะนั้นอย่าได้คาดหวังเด็ดขาดว่าคนที่มีจิตใจเลวทรามแบบนี้จะทำดีต่อคนอื่น หรือฉุดดึงใครให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้

หลินเพ่ยเห็นว่าเติ้งซิ่วจือไม่มีทางลดทิฐิของตัวเองลงง่าย ๆ ก็รู้ตัวว่าคงหลอกใช้อีกฝ่ายไม่ได้อีกต่อไป

ในเมื่อคนคนนี้หมดประโยชน์ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาทางกำจัดทิ้งไปซะ!

หล่อนยึดถือคตินี้มาโดยตลอด ผู้ที่เชื่อฟังจะเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่ต่อต้านจะต้องพินาศ

หลินเพ่ยเหลือบไปเห็นซุนกุ้ยเซียงที่โกรธแค้นเสียจนเจ็บจุกไปทั่วทั้งหน้าอก จึงรีบปราดเข้าไปช่วยพยุงให้นางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างกตัญญู

หล่อนขมวดคิ้วพลางหันไปพูดกับหลินสง “พี่ใหญ่… ฉันไม่โกรธหรอกนะที่พี่สะใภ้จ้องแต่จะต่อว่าฉัน ในฐานะที่ฉันเป็นเด็ก ไม่ว่ายังไงก็ควรเคารพพี่สะใภ้ แต่พี่สะใภ้ไม่ควรทำให้แม่ของเราโกรธถึงขนาดนี้ วันปีใหม่ทั้งที จะปล่อยให้แม่ได้อยู่อย่างสงบสุขสักวันสองวันไม่ได้เลยเชียวหรือ? ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อครอบครัวเรามาโดยตลอด เราไม่สมควรอกตัญญูต่อท่าน” ว่าแล้วก็ร้องไห้กระซิก ๆ

เติ้งซิ่วจือปรายตามองหลินเพ่ยด้วยสายตารังเกียจระคนโกรธเคือง “เธอกำลังกล่าวหาว่าฉันอกตัญญูอย่างนั้นเหรอ?”

หลินเพ่ยกัดริมฝีปากแน่นไม่ยอมตอบกลับ ก่อนจะหันมองไปทางหลินสงอย่างเชื่องช้า

แววตาคู่นั้นบ่งบอกชัดว่าหล่อนต้องการขอความช่วยเหลือจากเขา ‘ทั้งแม่และน้องสาวของพี่ถูกภรรยาของพี่รังแก พี่ควรทำอะไรสักอย่างได้แล้ว!’

พอเห็นว่าหลินเพ่ยเอาแต่เงียบ เติ้งซิ่วจือก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา พูดต่อไปว่า “ในเมื่อเธอมีจิตใจกตัญญูถึงขนาดนี้ แถมยังเห็นชีวิตและความตายของแม่ตัวเองเป็นใหญ่ แล้วทำไมเธอถึงไม่เคยหยิบจับงานบ้านอะไรช่วยนางเลยล่ะ!”

หลินเพ่ยเม้มริมฝีปากแน่นสนิท

ภายในใจเต็มไปด้วยคำดูถูกเหยียดหยาม ‘แกต่างหากที่ควรเป็นเครื่องรองมือรองเท้าให้แม่ฉัน แกต่างหากที่ควรทำงานรับใช้แม่ของฉันไปจนตาย จะให้ฉันทำงานบ้านงั้นเหรอ? รอให้ถึงชาติหน้าก่อนเถอะ!’

หลังจากเติ้งซิ่วจือต่อปากต่อคำกับหลินเพ่ยจนหมดคำพูด หล่อนก็หันหน้าไปหาหลินสงแล้วต่อว่าเขาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “ยืนนิ่งเป็นคนบื้อใบ้อยู่ได้! ไม่ได้ยินเหรอว่าน้องสาวของพี่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนอกตัญญู? ทั้งยังส่งสายตายุยงให้พี่จัดการกับฉันอีก เอาสิ ทุบตีฉันตามที่หล่อนต้องการเลย!”

หลินเพ่ยประเมินนิสัยเชื่อฟังภรรยาของหลินสงที่มีต่อเติ้งซิ่วจือต่ำเกินไป

หล่อนอุตส่าห์ส่งสายตากระตุ้นให้หลินสงจัดการกับเติ้งซิ่วจือ ทว่าจนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่ตอบสนอง

แต่เมื่อเติ้งซิ่วจือเปิดโปงเจตนาที่แท้จริงของหล่อน หลินสงกลับหันมาลงไม้ลงมือจนหล่อนเป็นฝ่ายลงไปกองอยู่กับพื้นแทน “ฉันจะจัดการกับเธอเอง ตัวปัญหาอย่างเธอมันสมควรโดนตีตาย!”

หลินสงซึ่งอยู่ในอารมณ์โมโหไม่รู้เลยว่าน้ำหนักมือของตัวเองรุนแรงแค่ไหน

ซุนกุ้ยเซียงและสามีของนางกลัวว่าหลินสงจะขาดสติทำร้ายหลินเพ่ยจนเสียโฉม จึงรีบเข้าไปแยกตัวเขาออกมา

แค่ไม่กี่นาที เหตุการณ์ในบ้านกลับพลิกผันไปจากเดิม ชาวบ้านหลายคนได้ยินเสียงก็กรูกันเข้ามาดู

……………………………………………………………………………………………………………..

(1)วันที่ 5 ของปีใหม่

สารจากผู้แปล

ทุบสั่งสอนน้องสาวเจ้าปัญหานี่ให้หนัก ๆ เลยค่ะ โตมาเป็นผู้หญิงที่มีความคิดน่ากลัวมาก เห็นว่าใครหมดประโยชน์ต่อตัวเองก็พร้อมกำจัดทิ้งหมดโดยไม่สนถึงความสัมพันธ์ก่อนเก่าอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 61 กินไก่ย่างอย่างเพลิดเพลิน

หลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่พักหนึ่ง หลินเพ่ยก็ปาดน้ำตาทิ้ง ลุกยืนขึ้นจากพื้นพร้อมพูดด้วยท่าทางขึงขัง “ในเมื่อนังสารเลวนั่นจ้องจะทำลายชีวิตฉัน อย่างนั้นฉันก็จะทำลายชีวิตของมันเหมือนกัน!”

ว่าแล้วก็หันมองไปทางอู่เสี่ยวเจี๋ยน “นายย้ายชื่อนังสารเลวนั่นเข้าทะเบียนบ้านของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอ? ก็เอาเรื่องทะเบียนบ้านนั่นแหละบีบบังคับให้มันทำงานส่งเงินให้เรา มันต้องขายวิญญาณชดใช้ไปจนตาย!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเผยอริมฝีปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา

ก่อนจะถึงวันขึ้นปีใหม่ หลังจากขับไล่หลินม่ายออกไปจากบ้าน เขาก็ส่งสมุดทะเบียนบ้านคืนให้กับตระกูลหลินไปแล้ว

ด้วยกลัวว่าหลินเพ่ยจะโทษเขาว่าสร้างเรื่องโดยไม่บอกกล่าว จึงไม่กล้าบอกความจริงกับหล่อนโดยตรง

เขาบอกเพียงว่าพวกเขายังเด็กเกินไปที่จะจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เรื่องนี้แม้แต่คนที่เขาขอความช่วยเหลือในตอนแรกก็ไม่มีอำนาจมากพอ

เป็นเพราะเขาไม่สามารถจดทะเบียนสมรสกับหลินม่ายได้ ทำให้เขาจำใจย้ายชื่อหล่อนมาไว้ในทะเบียนบ้านของครอบครัวเขาเป็นการชั่วคราวเพื่อให้สะดวกต่อการควบคุมนังแพศยาน้อยนั่น

แต่ตอนนี้ คนรักของเขาต้องการให้เขาใช้ทะเบียนบ้านเป็นเครื่องมือควบคุมชีวิตของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเขาทำไม่ได้เลยสักนิด…

โชคดีที่หลินเพ่ยไม่ทันสังเกตเห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่ผิดแปลกออกไปของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน อาจเป็นเพราะยังคงหมกมุ่นอยู่กับแผนชุบตัวที่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

หลินเพ่ยยังคงร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด เอาแต่กล่าวโทษอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ไม่ยอมมาเล่าเรื่องที่นังแพศยาคนนั้นขึ้นโรงพักแล้วแฉเรื่องการแต่งงานจอมปลอมกับเขาตั้งแต่เมื่อวาน หนำซ้ำข้อกล่าวหาที่ว่ายังเกี่ยวโยงถึงพ่อแม่ของหล่อนโดยตรง

เมื่อวานนี้ก่อนที่หลินม่ายจะมาถึง ถ้าเขารีบบอกข่าวให้เร็วกว่านี้สักนิด หล่อนคงหาทางเกลี้ยกล่อมนังแพศยานั่นได้!

ตราบใดที่จัดการกับหลินม่ายจนอยู่หมัด นังนั่นคงไม่วิ่งโร่ไปหาจินปอแล้วเปิดโปงความลับดำมืดของหล่อนแน่!

เขามาแจ้งข่าวให้กับเธอในวันนี้ นอกจากจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ยังทำให้จินปอแอบได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาอีกด้วย

ต่อให้หล่อนจะมีไหวพริบสูงขนาดไหน หรือใช้วาทศิลป์หลอกลวงคนเก่งอย่างไร แต่หล่อนก็ไร้ความสามารถเมื่ออยู่ต่อหน้าจินปอ

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยเห็นหลินเพ่ยทำท่าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มาก่อน แน่นอนว่าเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด

เมื่อวานนี้เป็นเพราะครอบครัวของเขาหวาดกลัวในเรื่องที่หลินม่ายต้องการฟ้องร้องพวกเขาข้อหาใช้ความรุนแรงกับเธอ พวกเขาจึงเอาแต่ปรึกษากันว่าจะรับมือกับเธออย่างไรบ้าง จนเขาไม่มีเวลาวิ่งแจ้นไปหาหลินเพ่ย

หลังจากนอนหลับและตื่นขึ้นสู่เช้าวันใหม่ พอความเครียดผ่อนคลายลงบ้าง ก็รีบวิ่งไปบอกข่าวกับหล่อนอย่างไม่รอช้า แต่ไม่คาดคิดว่าจะสายเกินไป

พอได้ยินเสียงตัดพ้อคร่ำครวญจากปากของเทพธิดาอันเป็นที่รักของเขา อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจ อยากกัดลิ้นตัวเองให้ตาย ๆ ไปเสีย

อดถามด้วยเสียงสั่นเทาไม่ได้ว่า “เธอรักจินปอเหรอ? เขาสำคัญกับเธอมากขนาดนั้นเลยหรือไง? กลัวว่าจะสูญเสียเขาไปใช่ไหม?”

คำถามที่พ่นออกมาอย่างต่อเนื่องจากเขาถึงสามคำถามทำให้หลินเพ่ยถึงกับสะดุ้งโหยง ไล่สายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความประหลาดใจ ใครจะไปคิดว่าเจ้าสุนัขหน้าโง่ตัวนี้จะกล้าแสดงความหึงหวง! นายไม่สมควรหึงหวงฉันด้วยซ้ำ!

ถึงอย่างนั้นหล่อนกลับไม่ชักสีหน้าและต่อว่าเขาอีก แต่พุ่งตัวเข้าไปคว้าอกเสื้อของเขาไว้ แสร้งบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงว่า

“ฉันเปล่ารักเขานะ คนที่ฉันรักมากที่สุดก็คือนายต่างหาก มาตัดสินกันแบบนี้ ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน!”

ถึงปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วผู้ชายคนนั้นสำคัญกับหล่อนมาก

พ่อของเขาเป็นถึงผู้อำนวยการใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารของรัฐที่ควบคุมโดยเทศมณฑล ต่อให้หล่อนเรียนไม่จบจนไม่ได้รับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมปลาย เขายังไปคุยให้พ่อของตัวเองรับหล่อนเข้าทำงานที่โรงงานของเขาได้

เพราะอย่างนี้หล่อนเลยกลัวว่าจะเสียเขาไป เสียเขาไปก็เท่ากับอนาคตอันสวยหรูพังทลายตามไปด้วย

“เสี่ยวเจี๋ยน ในเมื่อนายรักฉันมาก นายคงไม่อยากให้ฉันในอนาคตต้องตกระกำลำบากหรอกใช่ไหม? เพื่อเห็นแก่อนาคตอันสดใสของฉัน นายยอมให้ฉันคบหากับผู้ชายดี ๆ คนอื่นไม่ได้เลยเชียวเหรอ?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเอาแต่จ้องมองใบหน้าหล่อนเป็นเวลานาน ก่อนจะหลับตาลงด้วยใจที่แสนเจ็บปวด

เขาไม่ได้อยากเกิดเป็นลูกชายของพ่อแม่ที่เป็นแค่คนจนไร้อำนาจ ไม่ได้อยากเกิดเป็นคนที่ไม่สามารถจัดสรรชีวิตที่ดีพร้อมให้กับคนรักของตัวเองเสียหน่อย

ถ้าครอบครัวของเขามีความสามารถมากกว่าที่เป็นอยู่ เขาจะทนดูหลินเพ่ยคบหากับผู้ชายคนอื่นเพื่ออนาคตที่ดีกว่าได้อย่างไร?

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำให้หล่อนมีชีวิตที่ดีได้ นับประสาอะไรกับการห้ามไม่ให้หล่อนไขว่คว้าหาหนทางชีวิตที่ดีกว่าในแบบของตัวเอง เขาไม่มีคุณสมบัติมากพอ!

เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงแม้มันยากที่จะยอมรับ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับมันอยู่ดี

ถ้าเรารักใครสักคนหนึ่ง เราคงอยากให้เขามีชีวิตที่ดีไม่ใช่หรอกหรือ?

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจำใจพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเศร้าหมอง

หลินเพ่ยเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกโล่งใจมาก โผเข้าไปจูบเขาอย่างยาวนานในทันที

พอเห็นว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเริ่มฟุ้งซ่านเพราะรสจูบของหล่อน หลินเพ่ยก็จงใจผละออกจากเขาในขณะที่อารมณ์ของอีกฝ่ายยังคงคุกรุ่น “นายดีกับฉันเหลือเกิน นายต้องแบกรับเรื่องฉ้อโกงการแต่งงานแทนฉันนะ ฉันจะยอมให้พ่อกับแม่ถูกลากไปเกี่ยวข้องไม่ได้เด็ดขาด พวกเขาคือผู้บริสุทธิ์ ถ้าคดีถูกตัดสินออกมาว่าพ่อแม่ของฉันมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ฉันคงหนีไม่พ้นต้องยอมรับสารภาพ นายคงไม่อยากให้ฉันติดคุกหรอกใช่ไหม?”

ความจริงแล้วผู้ที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังการฉ้อโกงการแต่งงานในครั้งนี้ มีเพียงคนเดียวก็คือหลินเพ่ย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนแค่รับคำสั่งจากหล่อน

ถ้าพวกเขาพยายามหาคนมารับโทษทางกฎหมาย หลินเพ่ยจะกลายเป็นคนร้ายตัวจริง ดังนั้นหล่อนจึงยอมทำทุกอย่างเพื่อให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมรับความผิดทั้งหมดแทนตัวเอง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาที่บ้านของหลินเพ่ยทั้ง ๆ ที่ข้าวยังไม่ตกถึงท้องเลยสักเม็ด ความหิวโหยทำให้เขารู้สึกวิงเวียน เดินออกจากบ้านของหล่อนไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง

ตลอดทางกลับบ้าน สิ่งเดียวที่เขาคิดอย่างแน่วแน่ คือเขาจะต้องลบล้างความผิดทั้งหมดของหลินเพ่ยให้ได้ จะปล่อยให้หล่อนถูกจับเข้าคุกไม่ได้เด็ดขาด!

ส่วนหลินม่ายเดินทางออกมาจนพ้นเขตอำเภออวิ๋นไหลแล้ว ระหว่างทางก็เหลือบไปเห็นร้านขายไก่ย่างที่ดำเนินกิจการโดยรัฐเข้าพอดี

ถึงแม้ร้านค้าของรัฐจะขึ้นชื่อว่าทัศนคติด้านงานบริการค่อนข้างแย่ แต่ก็ดีกว่าร้านค้าทั่วไปที่ใช้ไก่ป่วยตายมาย่างขาย จึงมั่นใจได้ว่าเนื้อไก่พวกนี้มีแหล่งที่มาปลอดภัยแน่ เธอจึงตัดสินใจซื้อไก่ตัวหนึ่งที่ย่างสุกจนเป็นสีทองมันวาว

เช่นเดียวกับขามา เธอไหว้วานขอให้ใครสักคนช่วยพาเธอซ้อนท้ายเข้าไปในเมืองด้วยตลอดทาง จนในที่สุดเธอก็มาถึงเมืองซื่อเหม่ยในเวลาประมาณบ่ายสองโมง

หลินม่ายแวะร้านสหกรณ์เพื่อซื้อลูกโป่งขนาดใหญ่ใบหนึ่ง จากนั้นจึงตรงไปที่บ้านของคุณปู่คุณย่าตระกูลฟาง

เมื่อมองจากระยะไกล เธอเห็นว่าโต้วโต้วกำลังยืนอยู่หน้าประตูบ้านพลางจับมือคุณย่าฟางไว้แน่น เอาแต่ชะเง้อมองไปข้างหน้า

ทันใดนั้นคนชราทั้งสองและหลานสาวตัวน้อยก็มองเห็นหลินม่าย

คุณย่าฟางพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสีหน้ายินดี “ย่าบอกแล้วว่าแม่ของหนูจะต้องกลับมาภายในวันนี้แน่ แต่หนูก็ไม่เชื่อ เห็นไหมว่าหล่อนกลับมาแล้ว!”

โต้วโต้วปล่อยมือจากคุณย่าฟางทันที กางแขนออกเหมือนนกน้อยสยายปีกพร้อมกับวิ่งตรงไปหาหลินม่าย ขณะนั้นก็ตะโกนเรียกผู้เป็นแม่ด้วยความดีใจ

จนกระทั่งเด็กหญิงวิ่งไปหยุดยืนอยู่ต่อหน้าหลินม่าย เธอถึงได้มองเห็นคราบน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย รีบถามไถ่ว่า “ลูกร้องไห้ทำไม? ก่อนออกเดินทางเมื่อวาน แม่บอกหนูแล้วไม่ใช่เหรอว่าแม่จะกลับมาในวันนี้?”

โต้วโต้วพึมพำด้วยความเขินอาย “ก็หนูคิดถึงแม่นี่คะ”

หลินม่ายส่งลูกโป่งให้ลูกสาวถือไว้ ไม่ลืมกำชับให้หล่อนจับเชือกไว้ให้แน่น อธิบายว่าถ้าปล่อยให้เชือกหลุดมือลูกโป่งก็จะลอยหนีไป

โต้วโต้วเคยเห็นเด็กคนอื่นถือลูกโป่งมาบ้าง แต่ตัวเองไม่เคยเล่นลูกโป่งมาก่อนเลย ทันใดนั้นใบหน้าของหล่อนก็แดงปลั่งด้วยความตื่นเต้น ไม่ร้องไห้งอแงอีกต่อไป

ขณะนั้นเองคุณย่าฟางก็เดินเข้ามา หันไปถามหลินม่ายด้วยเสียงกระซิบ “เป็นยังไงบ้าง?”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันยังไม่รู้ผลสรุปหรอกค่ะ แต่ถ้าตำรวจตามไปสืบสวนเรื่องราวจริง ๆ คำพูดของคนบ้านใกล้เรือนเคียงคงเป็นประโยชน์ต่อฉันไม่น้อย”

ได้ยินแบบนั้นคุณย่าฟางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “แบบนั้นก็ดีไป”

เมื่อคืนนี้นางพูดคุยกับคุณปู่ฟาง ว่าถ้าหลินม่ายติดร่างแหถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้บงการในคดีฉ้อโกงการแต่งงานจริง ต่อให้ต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี พวกเขาก็ยินดีทำเพื่อช่วยคืนความบริสุทธิ์ให้กับเธอ!

พอถึงเวลาอาหารเย็น หลินม่ายนำไก่ย่างที่เธอซื้อมาไปอุ่นร้อน ก่อนจะยกมาวางลงบนโต๊ะ

ทันทีที่ไก่ย่างถูกนำมาเสิร์ฟ โต้วโต้วเป็นคนแรกที่เอื้อมมือไปคว้าน่องไก่

ผู้ใหญ่หลายคนรู้ว่าเธอทำแบบนั้นก็เพราะกลัวถูกคนอื่นแย่ง แต่ไม่มีใครคิดตักเตือนเธอจริงจัง

เด็กคนไหนบ้างเห็นไก่ย่างแล้วตาไม่ลุกวาว เด็กคนไหนบ้างไม่ชอบแทะน่องไก่!

ทุกคนต่างส่งเสียงสนับสนุนเด็กหญิงตัวน้อยอย่างพร้อมเพรียง บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา

เด็กหญิงตัวน้อยจดจ่ออยู่กับการดึงน่องไก่อย่างเอาจริงเอาจัง ออกแรงจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง ในที่สุดก็สามารถฉีกน่องไก่ให้หลุดออกมาได้

แต่เธอกลับไม่กินมันในทันที หันมองไปที่คุณปู่ฟาง ก่อนจะหันไปมองคุณย่าฟางราวกับกำลังชั่งใจ

สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจยกน่องไก่ในมือให้กับคุณย่าฟาง แล้วหันไปปลอบโยนคุณปู่ฟางด้วยเสียงอ่อนหวานน่ารัก “คุณปู่อย่าน้อยใจไปนะคะ เดี๋ยวหนูจะฉีกน่องไก่อีกข้างหนึ่งให้คุณปู่เอง”

“โอ้โฮ! โต้วโต้วของปู่ช่างเป็นเด็กกตัญญูจริง ๆ ปู่ชื่นใจจัง!” รอยยิ้มเบ่งบานอย่างมีความสุขราวดอกเบญจมาศบานสะพรั่งประดับอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยับย่นของคุณปู่ฟาง

เขาหันไปอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยจากเก้าอี้ด้านข้างมากอดไว้ในอ้อมแขน “ปู่ไม่กินน่องไก่ โต้วโต้วเก็บเอาไว้กินเองเถอะ”

คุณย่าฟางเองก็หยิบน่องไก่วางลงในชามใบน้อยของโต้วโต้วเช่นเดียวกัน “ย่าก็ไม่กินเหมือนกัน หนูเก็บไว้กินเถอะ”

โต้วโต้วยังคงยืนกรานจะยกน่องไก่ให้กับพวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “แม่บอกว่าคุณปู่กับคุณย่าเป็นคนแก่ที่ใจดีที่สุดในโลก ดังนั้นเราสองแม่ลูกต้องกตัญญูต่อพวกท่าน คุณย่ากินน่องไก่เถอะค่ะ…”

หลินม่ายจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง

ในที่สุดน่องไก่น่องหนึ่งจึงตกเป็นของหญิงชรา ส่วนอีกน่องหนึ่งตกเป็นของชายชรา เด็กหญิงตัวน้อยได้อกไก่ไปครองแทน

ถึงแม้อกไก่จะไม่อร่อยเท่ากับน่องไก่ แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเนื้อล้วนไร้กระดูก จึงกินง่ายเหมาะสำหรับเด็กมากกว่า

ส่วนอื่น ๆ เช่นปีกไก่ คอไก่ และโครงไก่จึงตกเป็นของหลินม่าย ที่เดิมทีก็ชื่นชอบการแทะกระดูกอยู่แล้ว

รสชาติไก่ย่างจากร้านค้าของรัฐอาจไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่นับว่ามีคุณภาพที่ดีพอประมาณ

ผิวด้านนอกไหม้เกรียมแต่ด้านในยังอ่อนนิ่ม เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำกำลังดี ไม่ว่าใครได้ลิ้มลองก็ต้องติดใจกันทั้งนั้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หลงรักหัวปักหัวปำจนตาบอดไปแล้วไอ้หนุ่ม สมน้ำหน้า เขาใช้ให้ไปทำเรื่องชั่ว ๆ อะไรก็ไปทำโดยไม่ห่วงบ้านตัวเองเลย ส่วนนังเพ่ยเพ่ยตัวดีนี่สับรางให้ดีๆ นะคะ สับรางไม่ดีระวังจะศพไม่สวยนะคะ

ส่วนครอบครัวม่ายจื่อก็อบอุ่นเหลือเกิน การได้ล้อมวงกินไก่ที่เพิ่งย่างร้อนๆ หอมๆ นี่มันมีความสุขนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 60 นายช่วยยอมรับผิดได้ไหม?

ภายในห้อง หลินเพ่ยกำลังตกอยู่ในอาการกระสับกระส่ายราวเสือติดจั่น

หล่อนกัดฟันแน่นและพูดกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่า “ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อวานนังสารเลวนั่นเข้ามาสร้างเรื่อง”

“คงจะรอให้ตำรวจมาตรวจสอบ ชาวบ้านที่เห็นฉากเมื่อวานก็จะพากันพูดว่ามันเกลียดฉันกับแม่มาก ฉันจะโกหกที่บ้านเรื่องค่าสินสอดยังไงดี เราพอจะมีวิธีฉุดกระชากมันลงมาบ้างไหม?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพูดแบบไปตายเอาดาบหน้า “มีวิธีเดียวคือต้องไปเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเธอ ให้พวกเขายอมรับว่าการฉ้อโกงการแต่งงานเป็นความคิดของพวกเขา”

หลินเพ่ยตกตะลึง ถ้าพ่อแม่ของหล่อนรับสารภาพ พวกเขาก็จะต้องเข้าไปอยู่ในคุกตามมาตรการอย่างเข้มงวด แล้วใครจะเลี้ยงและส่งหล่อนเรียนหนังสือ?

นับประสาอะไรกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน? เขาอยู่ภายใต้ความดูแลของแม่ และไม่มีอำนาจอะไร

ส่วนพี่กับพี่สะใภ้น่ะเหรอ?

ตอนนี้เติ้งซิ่วจือคงจะเกลียดหล่อนมาก จะมาหาข้าวหาปลาส่งหล่อนเรียนหนังสือหรือ?

พี่ชายคอยรับฟังพี่สะใภ้เสมอมา หากพี่สะใภ้ไม่ยอมเลี้ยงดูหล่อนและส่งให้หล่อนเรียนต่อ พี่ชายก็จะไม่มีวันสนใจชีวิตหรือความตายของหล่อนอย่างแน่นอน

“ไม่ได้!” หลินเพ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ก่อนจะลงไปนั่งยอง ๆ ต่อหน้าอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เงยหน้าขึ้นและถามด้วยความสงสาร “เสี่ยวเจี๋ยน นายรักฉันจริง ๆ หรือเปล่า นายรักฉันมากไหม?”

อู๋เสี่ยวเจี้ยนที่เห็นหยดน้ำตาของหล่อนเอ่อล้นออกมา หัวใจของเขาก็หนักอึ้งในทันใด

เขาจ้องมองหน้าหล่อนด้วยความเสน่หา “ยังต้องถามคำถามนี้อยู่อีกเหรอ? ความจริงจังใจฉันมีต่อเธอฟ้าดินก็เป็นพยานได้ เพื่อเธอแล้ว ฉันทำผิดต่อพ่อแม่ก็ยังได้”

หลินเพ่ยพยักหน้า “ฉันรู้ว่านายจริงใจกับฉันที่สุดในโลก”

หล่อนจับมือเขา อ้อนวอนด้วยความเสียงแผ่วเบา “ถ้าอย่างงั้นนายช่วยยอมรับผิดได้ไหม?”

“นายไปบอกตำรวจว่านายยังรักฉัน และทนเห็นฉันขาดเรียนเพราะไม่มีเงินไม่ได้ นายเลยใช้คำพูดหลอกลวงม่ายจื่อให้แต่งงานกับนาย”

“นายใช้ข้ออ้างที่ครอบครัวของฉันเรียกค่าสินสอดราคาสูงเป็นข้อแก้ต่าง เรียกเงินจากพ่อแม่มาส่งฉันเรียน พ่อแม่ของฉันจะได้ไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง”

หล่อนมองดูอู๋เสี่ยวเจี้ยนด้วยความคาดหวัง “แทนที่จะเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ฉันให้สารภาพ นายไปสารภาพผิดคนเดียวน่าจะดีกว่า อีกอย่างมันยังช่วยลดค่าใช้จ่ายได้”

“นอกจากนี้พ่อแม่ฉันไม่เคยฉ้อโกงเรื่องงานแต่งถูกต้องไหม? นายรักฉัน นายจะเสียสละเพื่อฉันใช่ไหม?”

จินปอที่ยืนอยู่นอกหน้าต่างรู้สึกหนาวเยือกในใจ กลายเป็นว่านางฟ้าตัวน้อยไร้เดียงสาเป็นเพียงผู้หญิงสารเลวจอมวางแผน!

เขาจะไม่ไปถามหลินเพ่ยว่าทำไมหล่อนถึงได้โหดเหี้ยมแบบนี้ เพราะต่อให้เขาไปถามหล่อน หล่อนก็คงพูดโกหกอยู่ดี

และตอนนี้เขาก็ไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรให้หลินเพ่ยอีกแล้ว

ขณะที่เขากำลังจะหันหลังเดินจากไป จู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนตามหลังเขาว่า “เธอเป็นใคร มาด้อมๆ มองๆ อะไรอยู่ที่หน้าบ้านฉัน?”

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเติ้งซิ่วจือ

หล่อนไปเก็บผักมาจากแปลงผัก และบังเอิญเห็นจินปอแอบฟังอยู่ที่หน้าต่าง

หลินเพ่ยกับอู๋เสี่ยวเจี้ยนที่อยู่ในห้องต่างพากันตกใจ พวกเขารีบเดินมาที่หน้าต่างและมองลอดออกมา และเห็นจินปอกับเติ้งซิ่วจือที่ยืนอยู่ไม่ไกล

การแสดงออกของหลินเพ่ยนิ่งชะงัก และหันไปพูดกับเติ้งซิ่วจือว่า “พี่สะใภ้ นั่นเพื่อนร่วมชั้นฉันเองค่ะ”

ดวงตาของเติ้งซิ่วจือไม่หลงเหลือความหวาดระแวงอีกต่อไป และมองจินปอหัวจรดเท้า

เมื่อเห็นว่าเขาแต่งตัวดีใส่นาฬิกาข้อมือ หล่อนจึงรับรู้ได้ว่าเขาเป็นลูกที่มาจากครอบครัวมั่งคั่ง

ก่อนจะส่งยิ้มให้เขาด้วยความสบายใจ “เพื่อนร่วมชั้นของเพ่ยเพ่ยนี่เอง มายืนด้อมๆ มองๆ อะไรข้างนอกนี่ล่ะ? เข้ามานั่งข้างในก่อนสิจ๊ะ!”

ก่อนจะกระซิบถามเบา ๆ “พ่อเธอเป็นผู้อำนวยการโรงงานผลิตอาหารใช่ไหมจ๊ะ? เพ่ยเพ่ยพูดถึงคุณให้ที่บ้านฟังบ่อยมาก”

จินปอรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

น้องสาวของหลินเพ่ยไมได้โกหกเขา หลินเพ่ยบอกครอบครัวจริงหล่อน ๆ ด้วยสินะว่าพวกเขาเข้ากันได้ดี

ไม่เช่นนั้นพี่สะใภ้ของหลินเพ่ยคงจะเดาไม่ออกว่าเขาเป็นใคร นับประสาอะไรกับรู้ว่าพ่อของเขาเป็นผู้จัดการโรงงานอาหารของอำเภอและมองเขาด้วยสายตาที่กระตือรือร้นแบบนั้น

ปรากฏว่าความรักในรั้วโรงเรียนที่เขาคิดว่าใสบริสุทธิ์กลับเป็นเพียงแผนการในสายตาของนังแพศยานั่นเท่านั้น

ใบหน้าของจินปอดูเย็นชาขึ้นมา “ไม่เป็นไรครับ ผมจะกลับบ้านแล้ว” เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังและจากไป

หลินเพ่ยจ้องเขม็งไปที่เติ้งซิ่วจือ นังนี่จะตายหรือไงถ้าไม่ได้พูด? เลิกพูดไร้สาระกับจินปอสักที!

ที่โรงเรียนเธอชื่อว่าหลินม่าย แต่นังโง่นี้กลับเรียกเธอว่าเพ่ยเพ่ยต่อหน้าจินปอ

จินปอคงจะสงสัยเรื่องชื่อ เขาถึงได้จากไปแบบนั้น

หลินเพ่ยรีบวิ่งออกไปขัดขวางจินปอด้วยท่าทางที่น่าสงสาร “นายคงเห็นฐานะบ้านฉันยากจนเกินกว่าจะยอมรับได้ เพราะงั้นถึงรีบออกไปทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงใช่ไหม?”

จินปอเยาะเย้ย “ทำไมเธอถึงไม่ถามฉันล่ะว่าทำไมฉันถึงมาหาเธอถึงที่นี่?”

หลินเพ่ยไม่เคยคิดที่จะถามคำถามนี้

อะไรคือเหตุผลที่จินปอรีบวิ่งแจ้นมาที่นี่ น่าจะเป็นเพราะ “เหมือนถั่วแดงที่ถูกจารึกไว้ในลูกเต๋า ความคิดถึงที่จารึกไว้ในเลือดและกระดูกของฉัน*(1)” กระมัง

เขาคงอดคิดถึงหล่อนตลอดช่วงปิดเทอมฤดูหนาวไม่ได้ นั่นคือเหตุผลที่เขารีบมาที่นี่ เพื่อมาหาหล่อนไม่ใช่เหรอ?

หลินเพ่ยอาจไม่ได้มั่นใจในตนเองด้านอื่นนัก แต่หล่อนมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเมื่อต้องหว่านเสน่ห์ใส่ชายหนุ่ม

ดูอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นตัวอย่าง เขายอมมอบต้นทุนให้หล่อนได้เรียนรู้ต่อ ส่วนนังสารเลวหลินม่ายก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากกว่านี้ และแม้แต่พ่อแม่ของเขาเองก็ตกหลุมพราง

หล่อนยังคงทำตามความรู้สึกของจินปอและถามว่าเขา “ทำไมจู่ ๆ ถึงมาหาฉันเหรอ?”

หล่อนรู้ว่าจินปอมีความประทับใจที่ดีต่อหล่อน อันเนื่องมาจากความใสซื่อบริสุทธิ์และอ่อนโยน ดังนั้นหล่อนจึงทำตัวใสซื่อและอ่อนโยนต่อหน้าเขาทุกครั้ง

ทว่าจินปอกลับพูดชัดถ้อยชัดคำ “เพราะน้องสาวของเธอมาบอกฉันว่าเธอปลอมตัวเป็นน้องเพื่อไปโรงเรียนแทน แลกเปลี่ยนความสุขของส่วนตัวกับค่าสินสอดน้องเพื่อให้ตัวเองได้เรียนต่อ ฉันถึงได้มาค้นหาความจริง แต่นึกไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นความจริง!”

สมองของหลินเพ่ยพลันสั่นสะท้านราวกับถูกเครื่องบินรบทิ้งระเบิดลงมา

หลังจากตั้งสติได้ หล่อนก็วิ่งไล่ตามจินปอที่เดินจากไปไกล ร้องตะโกนขณะวิ่งไล่ “จินปอ อย่าเพิ่งไป ฟังฉันก่อน มันไม่ใช่แบบนั้น”

จินปอโบกมือโดยไม่แม้แต่จะหันมามอง “เธอไม่ต้องมาเอ่ยวาจาหลอกลวงฉันอีก ฉันได้ยินเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่อยู่นอกห้องเธอแล้ว”

หลินม่ายหยุดวิ่งด้วยความฉุนเฉียว เขา…ได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว…

เติ้งจิ่วซือมองดูหลินเพ่ยที่วิ่งหายไปอย่างดูถูกเหยียดหยาม ก่อนจะครุ่นคิดกับตนเอง โชคดีที่หล่อนไม่เชื่อคำเชิญชวนของแม่สามีและเอาเงินสองหยวนไปตัดชุดใหม่ให้หลินเพ่ย

ลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารกำลังตัดขาดกับหลินเพ่ย แล้วหลินเพ่ยจะพาหล่อนกับสามีไปทำงานที่โรงงานผลิตอาหารได้อย่างไร!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนค่อย ๆ เดินทอดน่องไปข้างหน้าหลินเพ่ย มองดูใบหน้าซีดเซียวของหล่อน เมื่อเห็นว่าหล่อนเป็นทุกข์อย่างมาก เขาจึงพูดว่า “เพ่ยเพ่ย ข้างนอกลมแรง เข้าข้างในกันเถอะ”

หลินเพ่ยอยากจะตบเขาและกระหน่ำแทงซ้ำเพื่อระบายความเกลียดชังของหล่อน

ถ้าวันนี้ไอ้สุนัขขี้ประจบไม่มาที่นี่ จินปอจะได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันในวันนี้ได้อย่างไร!

หากอีกฝ่ายไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา ภาพลักษณ์ของหล่อนก็จะไม่สูญสลายหายไปต่อหน้าอีกฝ่าย

แม้จะเกลียดอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ทำลายภาพลักษณ์อันแสนดีของตน แต่หลินเพ่ยก็พยายามระงับอย่างสุดความสามารถ

หล่อนอยู่บนเส้นทางแห่งความบริสุทธิ์และความสง่างามเสมอมา และจะไม่มีวันแสดงท่าทางดุร้าย

ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบเสียงคำรามของสิงโตเหอตง(2)

แม้หลินเพ่ยจะร้องไห้ แต่ใบหน้ากลับยังดูงดงาม “มันเป็นความผิดของนายทั้งหมด แม้แต่กับนังสารเลวนั่นก็ยังรับมือไม่ได้ ฉันเจ็บปวดมาก ฮือๆๆ!”

หล่อนร้องไห้สะอื้น ฟุบลงกับพื้นขดตัวเป็นก้อนกลมเล็กๆ

ถึงหลินเพ่ยจะเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่หล่อนมีวิธีการทำให้หนุ่มน้อยสงสารตนเสมอ

แม้ว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะทุกข์ใจมาก แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนหล่อนอย่างไร

เพียงแค่ยืนท่ามกลางลมหนาว เป็นเกราะกำบังเมื่อลมหนาวพัดผ่าน

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1) “เหมือนถั่วแดงที่จารึกไว้ในลูกเต๋า ความคิดถึงที่จารึกในเลือดและกระดูกของฉัน” เป็นกวีของราชวงศ์ถังที่แสดงถึงความรักและความคิดถึงคนรัก

(2) เป็นคำเปรียบเปรยถึงผู้หญิงที่ดุร้ายและขี้หึง

สารจากผู้แปล

แหล่งสูบเงินรู้ทันและตีจากไปแล้วน่ะสิถึงเสียใจ คนอย่างหล่อนมีหรือจะเสียใจกับใครจริงๆ นังเพ่ยเพ่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 59 ตามหาจินปอ

หลินม่ายตื่นนอนตอนหกโมงเช้า

เธอตื่นขึ้นมาทั้งที่ยังสับสนเล็กน้อย โดยคิดว่าตนอยู่ที่บ้านคุณย่าฟาง แต่เมื่อตั้งสติได้สองสามวินาทีจึงรู้ว่าตนอยู่ที่โรงแรม

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกกังวลเกี่ยวกับโต้วโต้ว

เด็กน้อยไม่ได้เจอแม่ทั้งวันทั้งคืน กินอิ่มนอนหลับสบายหรือเปล่า?

ดังนั้นทำธุระวันนี้ให้เสร็จแล้วรีบกลับไปดีกว่า

หลินม่ายนั่งรถยนต์ไปที่อำเภออวิ๋นไหล โดยไม่ได้สนใจจะกินอาหารเช้า

เมื่อมาถึงอำเภออวิ๋นไหล และสอบถามมาตลอดทาง เธอก็มาเคาะประตูหน้าบ้านของจินปอ

คนที่เปิดประตูเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดี ซึ่งน่าจะเป็นแม่ของจินปอ

หญิงวัยกลางคนมองดูหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูถูกเล็กน้อย “เธอเป็นใคร?”

หลินม่ายตอบนางด้วยภาษาจีนกลาง “พี่สาวของฉันชื่อหลินม่ายค่ะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับจินปอ หล่อนขอให้ฉันแวะมาบอกอะไรจินปอแทนหน่อยน่ะค่ะ”

ถึงแม้ว่าภาษาจีนกลางจะได้รับความนิยมมานาน แต่ในยุคสมัยนี้มีนักเรียนในชนบทน้อยนักที่จะพูดภาษาจีนกลางได้ดี เพราะว่าคุณครูส่วนใหญ่มักจะสอนเป็นภาษาจีนท้องถิ่น

เมื่อใดที่มีคนพูดภาษาจีนกลาง ผู้คนส่วนใหญ่จะมองว่าคนเหล่านั้นรู้หนังสือ หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นนักเรียนที่ขยันหมั่นเพียร

แม่จินปอฟังสำเนียงจีนกลางของหลินม่ายที่คล้ายคลึงกับเสียงประกาศ ไม่เพียงแต่จะเลิกรังเกียจ แต่ยังไม่คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวจากชนบทอีกด้วย สีหน้าของนางจึงอ่อนลงมาก

นางร้องตะโกนเข้าไปด้านใน “ปอปอ น้องสาวเพื่อนร่วมชั้นที่ชื่อหลินม่ายมาหา”

หนุ่มหล่อที่มีหุ่นตามมาตรฐานเดินออกมาพร้อมกับซาลาเปาครึ่งลูกในมือ

เขายิ้มให้หลินม่ายอย่างเป็นมิตร “เธอกับพี่สาวดูไม่เหมือนกันเลยนะ”

หลินม่ายยิ้ม เธอกับหลินเพ่ยถึงกับเคยคุยกันว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่พี่น้องที่สนิทกันก็เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่เหมือนกัน

จินปอออกมาจากบ้าน และพาหลินม่ายไปยังลานของชุมชนที่อยู่ใต้ต้นหลิวซึ่งไร้ใบ “ทำไมพี่สาวเธอไม่มาด้วยตัวเองล่ะ ให้เธอมาแทนทำไม?”

หลินม่ายจ้องไปที่เขาและพูดชัดถ้อยชัดคำ “พี่สาวไม่ได้ขอให้ฉันมาหรอก ฉันมาตามหานายเอง”

จินปอตกตะลึงและพูดด้วยท่าทางงุนงง “ฉัน ฉันกับเธอไม่รู้จักกันนี่”

หลินม่ายยิ้ม “นายไม่จำเป็นต้องรู้จักฉันหรอก แค่ฟังฉันก็พอ”

“ต่อจากนี้ไปไม่ว่านายจะได้ยินอะไร ไม่ต้องแสดงความรู้สึก ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น”

“รอให้ฉันพูดจบก่อน แล้วฉันจะแสดงให้นายเห็นว่าสิ่งที่ฉันพูดเป็นจริง”

การแสดงออกของจินปอดูเอาจริงเอาจริง และพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

หลินม่ายพูดว่า “พี่สาวของฉันบอกว่าเธอรู้สึกดีกับนาย”

ใบหน้าของจินปอเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอนนี้เขาให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะฟังอย่างเดียวโดยไม่พูดอะไร และรีบพูดอธิบายว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรเลย ฉันไปพูดกับพี่สาวของเธอก็ได้นี่”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แต่สิ่งที่พี่สาวฉันบอกพ่อกับแม่เป็นอีกแบบหนึ่ง นั่นหมายความว่าในหมู่พวกนายมีคนโกหก!”

จิบปอรีบพูด “ฉันไม่ได้โกหก”

“ถ้าอย่างนั้นพี่สาวฉันก็โกหก” หลินม่ายถาม “นายดูออกไหมว่าฉันแต่งงานแล้ว”

จินปองุนงง “เธอ พี่สาวของเธอยังไม่ได้แต่งงาน เธอจะแต่งงานได้ยังไง?”

“ฉันแต่งงานแล้วจริง ๆ” หลินม่ายถามอีกครั้ง “นายรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย?”

จินปอกระตุกมุมปาก เขาจะไปรู้ได้อย่างไร!

เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “เธอไปเจอกับคนรักที่ต้องแต่งงานเลยเหรอ?”

หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ช่างเป็นนักเรียนที่มีความคิดโรแมนติกอะไรขนาดนี้ ฉันต้องแต่งงานเร็วเพราะว่าพี่สาวฉันอยากจะเอาเงินค่าสินสอดไปค่าจ่ายเรียนต่อมัธยมปลายต่างหาก”

จินปอตกตะลึง

ตั้งแต่เด็กจนโต สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีกว่าคนทั่วไปมาก จนนึกไม่ถึงว่าจะต้องมีผู้คนที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้

เขาพูดตะกุกตะกัก “ถะ ถึง ถึงพี่สาวเธอจะหวงแหนในการเรียนต่อ ตะ แต่เธอก็ไม่ควรเสียสละตัวเองแบบนี้…”

ทันทีที่หลินม่ายได้ยินเช่นนั้น เธอก็รับรู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้มีทัศนคติที่ดี อย่างน้อยเขาจะไม่ปกป้องหลินเพ่ยเหมือนกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

เธอหัวเราะเยาะสองสามครั้ง “ใช้คำว่าหวงแหนด้วยสินะ! นายคิดว่าพี่สาวฉันเข้าเรียนได้ด้วยความพยายามของหล่อนเองเหรอ?”

จินปอมีท่าทางประหลาดใจ “ไม่ใช่หรอกเหรอ?”

“ไม่ใช่ เธอไปเรียนมัธยมปลายต่อในนามของฉัน” หลินม่ายพูด “นายไปที่หมู่บ้านสกุลหวังที่ที่บ้านฉันอาศัยอยู่ก็ได้นะ แล้วนายจะได้รู้ว่าชื่อจริงของพี่สาวฉันคือหลินเพ่ยหรือหลินม่ายกันแน่ แล้วก็เรื่องที่หล่อนเอาสินสอดฉันไปเรียนต่อมัธยมปลายหรือเปล่า”

“สำหรับเรื่องที่เธอเป็นเด็กทุนหรือเด็กกาก นายไปหาความจริงได้ที่โรงเรียนมัธยมต้นเสี่ยวเหอ”

ในยุคสมัยนี้ การปลอมตัวไปโรงเรียนเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก และส่วนใหญ่ใช้วิธีเปลี่ยนตัวบุคคลแทนชื่อเดิมเพื่อไปโรงเรียน

เนื่องจากยุคนี้ไม่มีบัตรประจำตัวประชาชนหรืออินเทอร์เน็ต โรงเรียนจึงตรวจสอบเฉพาะนักเรียนที่รับเข้าเรียนตามข้อมูลในหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียน

เฉพาะชื่อและชื่อโรงเรียนเท่านั้นที่จะมีอยู่ในจดหมายตอบรับ

ตราบใดที่มีการเปลี่ยนชื่อ ข้อมูลส่วนบุคคลโดยทั่วไปจะต้องตรงกับข้อมูลในหนังสือแจ้งการรับเข้าเรียน เพราะฉะนั้นจึงสามารถแทนที่กันได้อย่างง่ายดาย

มีเพียงผู้แอบแฝงที่มีภูมิหลังลึกซึ้งเท่านั้นที่จะกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่ถูกแทนที่ พวกเขาสามารถแทนที่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนชื่อ และจะไม่มีปัญหาตามมาในอนาคต

ครอบครัวสกุลหลินไม่มีภูมิหลังและค่อนข้างยากจน หลินเพ่ยต้องการจะแทนที่หลินม่ายโดยไม่เสียเงินสักหยวนเดียว ดังนั้นหล่อนจึงเลือกที่จะเปลี่ยนชื่อกับหลินม่ายโดยตรง

เพราะเหตุนี้หลินม่ายจึงได้มีหลักฐานที่หนาแน่นสำหรับการพิสูจน์ความจริง

จินปอไม่เชื่อคำพูดของหลินม่าย

เนื่องจากหลินเพ่ยที่เขารู้จักนั้นบริสุทธิ์ อ่อนแอ สุภาพถ่อมตน และไม่ว่าเขาจะมองยังไง หล่อนก็ดูไม่เหมือนคนเห็นแก่ตัว เลือดเย็นชอบพูดโกหก

ทว่าผลการเรียนที่ย่ำแย่ของหล่อนทำให้เขายากจะเชื่อว่าหล่อนสามารถสอบเข้ามาในโรงเรียนมัธยมตอนปลายที่พวกเขาเรียนอยู่ได้ เพราะนี่คือโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของเมืองอวิ๋นไหล

ไม่ใช่ว่าจินปอไม่ได้ถามหลินเพ่ยเกี่ยวกับเรื่องนี้

แต่คำตอบของหล่อนคือหล่อนไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ดังนั้นคะแนนสอบของหล่อนจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ และหล่อนก็ขอให้เขาทำแบบทดสอบให้ด้วยความละอาย

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้หล่อนกำลังโกหกใช่ไหม?

เพื่อค้นหาความจริงและไม่ต้องการถูกหลอกอีกต่อไป จินปอรีบกลับเข้าไปทักทายพ่อแม่หลังจากที่หลินม่ายกลับไป เขาไปขับรถยนต์ส่วนตัวไปที่โรงเรียนมัธยมเสี่ยวเหอ โดยอ้างว่าเขาต้องการจะไปอวยพรคุณครูกับเพื่อนร่วมชั้น

ในเมืองเสี่ยวเหอมีโรงเรียนมัธยมต้นเพียงแห่งเดียว และโรงเรียนมัธยมต้นแห่งนี้มีเพียงระดับชั้นมัธยมตอนต้นเท่านั้น ทันทีที่เขามาถึงตัวเมืองเสี่ยวเหอ เขาก็พบเข้ากับโรงเรียนมัธยมต้นเสี่ยวเหอ

แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาเปิดเทอม แต่มันก็ไม่ยากเรียนที่จะขอที่อยู่ของอดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ย

เขารู้สึกถึงจิตใจที่ว่างเปล่าเมื่อออกมาจากบ้านอดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ย

แม้ว่าเขาจะเตรียมใจมาพร้อมแล้ว แต่เมื่ออดีตครูประจำชั้นของหลินเพ่ยบอกกับเขาเป็นการส่วนตัวว่าหลินเพ่ยโง่เขลา ซ้ำชั้นอยู่หลายครั้ง และเขายิ่งรู้สึกยอมรับไม่ได้เมื่อได้ยินว่าหล่อนเรียนจบชั้นมัธยมต้นพร้อมกับหลินม่าย น้องสาวที่อายุน้อยกว่าสามปี

หลินเพ่ยเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกที่เขาแอบชอบในช่วงวัยรุ่น แต่กับกลายเป็นว่าหล่อนเป็นเพียงคนโง่พยายามเข้ามาเรียนแทนน้องสาว

เขาไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขายังข้ามไปหมู่บ้านสกุลหวังที่ตั้งอยู่บนภูเขา โดยสอบถามชาวบ้านว่าหลินเพ่ยได้เอาเงินสินสอดของน้องสาวไปเปลี่ยนเป็นเงินค่าเรียนต่อหรือไม่

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินจากชาวบ้านที่ทำให้เขารู้สึกว่าหลินเพ่ยไม่ใช่คนประเภทที่เลวร้ายและไร้มนุษยธรรม

ทว่าชาวบ้านที่เขาสอบถามกลับบอกว่าหลินเพ่ยไม่เพียงเอาเงินสินสอดของน้องสาวไปเรียนต่อเท่านั้น แต่เธอยังเห็นแก่ตัวมาก ใส่ใจเฉพาะความเป็นอยู่ที่ดีของตนเองโดยไม่นึกถึงความเป็นความตายของครอบครัว

จินปอรู้สึกถึงลมหายใจที่หนักอึ้ง เขาอยากจะถามหลินเพ่ยต่อหน้าว่าทำไมเธอถึงได้ใจร้ายนัก หลอกลวงแม้แต่น้องสาวของตนเอง

เขาเดินเข้าไปใต้หน้าต่างห้องนอนของหลินเพ่ยภายใต้คำแนะนำของชาวบ้าน และได้ยินเสียงของหล่อนกับชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยกันอยู่ เขาอดไม่ได้ที่จะยิ่งนิ่งและแอบเงี่ยหูฟังว่าพวกเขากำลังพูดอะไรกัน

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เริ่มแผนกระชากหน้ากากพี่สาวตัวร้ายแล้วค่ะ ป้องกันไม่ให้ผู้ชายดี ๆ กลายเป็นเหยื่อนังเพ่ยเพ่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 58 ขอเงินอั่งเปาหน่อย

ประการที่สองที่หลินม่ายกำลังนึกถึงก็คือวันนี้เธอไปแสดงตัวที่หมู่บ้านสกุลหวังให้ชาวบ้านเห็นแล้วว่าเธอเกลียดหลินเพ่ยกับซุนกุ้ยเซียงมากแค่ไหน อีกทั้งยังทำให้เติ้งซิ่วจือรู้สึกขุ่นเคืองซุนกุ้ยเซียงกับลูกสาว

เมื่อใดที่สำนักสันติบาลมาตรวจสอบ แล้วทางชาวบ้านให้การว่าเธอมีความขัดแย้งกับบ้านสกุลหลิน รวมถึงเติ้งซิ่วจือที่ขุ่นเคืองแม่ย่ากับน้องสาวสามี ในฐานะที่พวกเขาจะต้องมีส่วนในการรับผิดชอบคดีฉ้อโกงงานแต่งงานถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เธอก็ไม่ต้องกลัวว่าทางซุนกุ้ยเซียง ลูกสาวและบ้านสกุลอู๋จะปรักปรำเธอได้อีก

เธอจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงงานแต่งงาน และไม่ต้องได้รับโทษทางกฎหมาย

ระหว่างการสอบสวนอย่างเข้มงวด มันคงน่าสังเวชน่าดูถ้าพวกเขามีส่วนร่วมและถูกพิพากษาให้จำคุก

เธอมีความรู้สึกแปลก ๆ วันนี้เธออยู่ในหมู่บ้านสกุลหวังเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ทำไมเธอถึงไม่เห็นหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายเขาเลย ช่วงเทศกาลปีใหม่นี้พวกเขาหายไปไหนกัน?

ครอบครัวของพวกเขาเป็นคนต่างถิ่น และไม่มีญาติให้ไปหา

เมื่อนึกไม่ออกว่าหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายไปไหน หลินม่ายจึงไม่อยากคิดมาก กลับนึกถึงทัศนคติของซุนกุ้ยเซียงที่มีต่อหลินเพ่ย

แม้ว่าหลินเพ่ยจะมีไหวพริบปฏิภาณ สามารถพูดเกลี้ยกล่อมคนทั้งครอบครัวได้ แต่ซุนกุ้ยเซียงไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่โลภในสิ่งที่หลินเพ่ยวาดฝันเอาไว้ให้ ถึงจะยังวางใจได้ไม่เต็มที่ แต่ก็ไม่น่าจะปกป้องหลินเพ่ยมากเหมือนในวันนี้

นางปกป้องหลินเพ่ยมาก และความเป็นไปได้น่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือนางมองเห็นและเกือบสัมผัสภาพเพ้อฝันแผ่นใหญ่ที่หลินเพ่ยวาดไว้ให้ได้แล้ว

สิ่งนี้ทำให้หลินม่ายนึกถึงชีวิตในชาติที่แล้ว ตอนที่หลินเพ่ยเรียนอยู่ในชั้นมัธยมตอนปลาย เธอเข้ากันได้ดีกับเพื่อนร่วมชั้นชายคนหนึ่งที่พ่อเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารประจำมณฑล

เพื่อนร่วมชั้นชายคนนั้นหลงใหลในบุคลิกที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนของหล่อน และไม่ว่าครอบครัวจะคัดค้านยังไง เขาก็จะแต่งงานกับหล่อน

เธอจำได้ว่าหลังจากหลินเพ่ยเรียนจบจากชั้นมัธยมตอนปลายไม่นาน ชายผู้มีจิตใจเรียบง่ายและไร้เดียงสาก็เกลี้ยกล่อมให้พ่อแม่มาสู่ขอหลินเพ่ยที่บ้านสกุลหลิน

ในตอนนั้นหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาเสนอเงื่อนไขที่ละโมบมาก โดยกล่าวว่าถ้าเขาต้องการแต่งงานกับหลินเพ่ยย่อมไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่พวกเขาจะต้องให้ลูกชายและลูกสะใภ้เข้าไปทำงานในโรงงานผลิตอาหาร

ส่วนเรื่องพ่อแม่ของฝ่ายชายจะให้หลินเพ่ยทำงานเป็นพนักงานประจำในโรงงานผลิตอาหารหรือไม่นั้นพวกเขาไม่ได้สนใจ

ถึงแม้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาจะปฏิบัติต่อหลินเพ่ยดีกว่าเธอพันเท่า แต่เมื่อเทียบกับหลินสง ในสายตาของหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยา หลินเพ่ยเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการผลักดันหลินสงให้มีชีวิตดีขึ้นเท่านั้น

ที่ซุนกุ้ยเซียงดีต่อหลินเพ่ยมาก เป็นเพราะนางมองเห็นโอกาสของหลินเพ่ยกับเด็กชายคนนั้น

หลินม่ายจำเรื่องนี้ได้อย่างแม่นยำ

ผู้ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรนะ? ดูเหมือนจะถูกเรียกว่าจินปอ

พรุ่งนี้เธอจะเดินทางไปที่อำเภออวิ๋นไหลที่หลินเพ่ยกำลังศึกษาอยู่ และบอกความจริงเกี่ยวกับการสลับเปลี่ยนตัวของหลินเพ่ยแก่จินปอ บอกว่าเธอถูกหลอกให้แต่งงานเพื่อเอาเงินสินสอดมาเป็นค่าศึกษาเล่าเรียนต่อ

จะต้องช่วยจินปอโดยการทำลายสายสัมพันธ์ของพวกเขา ก่อนที่เขาจะรักหลินเพ่ยมากจนถลำลึกลงไป

เธอจำได้ว่าในชาติที่แล้วหลินเพ่ยใช้จินปอเป็นบันไดปีนขึ้นไปเจอผู้ชายที่ดีกว่า จากนั้นจึงเตะเขาทิ้ง

การเตะเขาทิ้งอย่างเดียวคงไม่เป็นไร แต่หล่อนกลับใช้ให้เขายักยอกเงินหลวงก่อนจะทิ้งไป พ่อของเขายอมเป็นผู้รับผิดแทนเพื่อไม่ให้เขาไม่ต้องติดคุก

พ่อต้องมาติดคุก หนำซ้ำยังถูกภรรยาทอดทิ้ง จินปอทนไม่ไหวจึงกลายเป็นบ้าในที่สุด

หลินเพ่ยนึกถึงแต่ตัวเอง หล่อนไม่เคยมอบความจริงใจให้ใครเลย ใครก็ตามที่ตกหลุมรักหล่อนจะต้องพบกับความพินาศ

ตราบใดที่จินปอเลิกสนใจหลินเพ่ย ภาพความฝันที่หลินเพ่ยขายให้แก่ซุนกุ้ยเซียงก็จะไม่มีอยู่จริงอีกต่อไป

เมื่อซุนกุ้ยเซียงไม่เห็นประโยชน์ หลินเพ่ยจะยังมีชีวิตที่ดีอยู่อีกหรือ?

ถึงตอนนั้นแม่กับลูกสาวจะต้องต่อสู้จนเกิดความโกลาหลแน่ และบ้านสกุลหลินจะต้องครึกครื้น

หลินม่ายครุ่นคิด ขณะที่ความเหน็ดเหนื่อยโถมเข้าใส่ราวคลื่นยักษ์ ทำให้เธอผล็อยหลับไปในที่สุด

……

ชาวบ้านที่ขัดขวางซุนกุ้ยเซียงเอาไว้ปล่อยซุนกุ้ยเซียงออกมาหลังจากคิดว่าหลินม่ายวิ่งหนีไปไกลจนไม่สามารถตามไปจับทัน

ทุกคนพูดปลอบนางเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับไป

ซุนกุ้ยเซียงไม่คิดยอมแพ้ ยังคงบ้าคลั่งไล่ตามหลินม่ายต่อไป ขณะที่ลมหนาวพัดผ่านต้นไม้กลางภูเขา นางจะเห็นแม้แต่เส้นผมของหลินม่ายได้อย่างไร?

ซุนกุ้ยเซียงกลับมาที่บ้านด้วยความขุ่นเคือง และเห็นเติ้งซิ่วจือเตรียมน้ำตาลทรายแดงให้กับลูกทั้งสองคน และยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นหลานทั้งสองคนยกถ้วยน้ำตาลในมือขึ้นมากิน

ครอบครัวของพวกเขาไม่ควรแบ่งแยกกัน และบางอย่างควรให้แม่ย่าเป็นคนจัดแจงให้ ลูกสะใภ้กล้าดีอย่างไรมาตัดสินใจเปิดถุงน้ำตาลทรายแดงให้หลานทั้งสองคนดื่ม!

แต่ก่อนเติ้งซิ่งจือไม่กล้าทำแบบนั้น แต่วันนี้หล่อนกล้าทำมัน นั่นเป็นเพราะหล่อนถูกนังสารเลวหลินม่ายยั่วยุ

ซุนกุ้ยเซียงพยายามระงับความทุกข์ระทมในใจ และพูดถาม “ซิ่วจือ เงินอั่งเปาที่หลินม่ายให้หลานทั้งสองล่ะ?”

เติ่งซิ่วจือนั่งยอง ๆ อยู่ในสนาม ล้างมันเทศอย่างสุดกำลัง

เทศกาลปีใหม่ยังไม่จบ มีใครในหมู่บ้านไม่ได้กินข้าวขาวบ้าง มีแต่ครอบครัวของหล่อนที่ได้กินมันเทศนึ่ง!

การกินมันเทศไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่พอจะกินอีก แม่ย่ากลับไม่ยอมให้ปอกเปลือก

ครอบครัวของเติ้งซิ่วจืออาศัยอยู่ในภูเขาลึก มีป่ารกร้างยิ่งกว่าบ้านสกุลหวัง

ตอนที่แม่สื่อไปสู่ขอหล่อนแต่งงานที่บ้าน พ่อแม่หล่อนคิดว่าบ้านสกุลหลินอาศัยอยู่บนภูเขาลูกใหญ่ ใกล้กับปากทางลงภูเขา สถานที่ตั้งดีเยี่ยมและน่าจะมั่งคั่งมากกว่าหมู่บ้านของพวกหล่อน

บ้านสกุลหลินมาจากในเมือง จะต้องไม่ทุบตีลูกสะใภ้เป็นแน่ ดังนั้นหล่อนจึงแต่งงานกับหลินสง

หล่อนคาดหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีตั้งแต่นั้นมา แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่านอกจากหลินม่ายแล้ว จะไม่มีใครในบ้านสกุลหลินทำสวนเป็น และชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ได้ดีเหมือนกับบ้านพ่อแม่ของหล่อน

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความดีของหลินสงที่มีต่อลูกทั้งสอง หล่อนคงหดหู่ใจตายไปนานแล้ว

เมื่อได้ยินแม่สามีพูดเรื่องเงินอั่งเปา หล่อนจึงตอบโต้อย่างขุ่นเคืองว่า “ฉันเก็บไปแล้ว ทำไมคะ?”

แม่ย่าขโมยเงินทุกเฟินที่หลินม่ายเอาให้สองพี่น้องโก่วไปซื้อลูกแก้ว เติ้งซิ่วจือจะหยิบเงินอั่งเปาสองหยวนของลูก ๆ ให้นางอีกได้อย่างไร มันไม่ใช่สิ่งที่แม่สามีจะมาเอาไปได้!

เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงของเติ้งซิ่วจือฟังดูไม่สู้ดีนัก ซุนกุ้ยเซียงก็หงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

นางไม่สามารถก่นด่าหรือทุบตีลูกสะใภ้เหมือนกับนังสารเลวหลินม่ายได้

หากสามีกับนางแก่ตัวลง พวกเขาจะต้องพึ่งพากำลังสนับสนุนของลูกสะใภ้กับลูกชาย เพราะฉะนั้นนางจะไม่ทำตัวแข็งกระด้างกับลูกสะใภ้

ลูกชายเชื่อฟังลูกสะใภ้มาก และมีความสัมพันธ์อันดีงามกับลูกสะใภ้ รอจนพวกเขาแก่ตัวไป นางจะทำอย่างไรถ้าลูกสะใภ้สั่งไม่ให้ลูกชายมอบเงินค่าเลี้ยงดูยามชราให้พวกเขา?

ซุนกุ้ยเซียงอดทนและพูดว่า “ซิ่วจือ เพื่อความปลอดภัย เอาเงินอั่งเปามาให้แม่เก็บเถอะ”

ใบหน้าของเติ้งซิ่วจืออึมครึ้มในทันที “ฉันยังไม่ตายและก็ไม่ใช่คนโง่ ทำไมฉันจะเก็บเงินอั่งเปาลูกไว้ไม่ได้ ทำไมฉันจะต้องให้แม่เก็บเพื่อรักษาความปลอดภัยด้วย!”

ซุนกุ้ยเซียงตกตะลึงจนแทบจะยืนไม่ไหว

ลูกสะใภ้ผู้นี้เก็บเอาคำพูดยั่วยุของหลินม่ายมาใส่ใจอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่พูดด้วยทัศนคติเช่นนี้

ซุนกุยเซียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ซิ่วจือ เราจะมองระยะสั้นไม่ได้ ต้องมองระยะยาว”

“แม่รู้ว่าความคับข้องใจเรื่องต้าโก่วกับเอ้อโก่วทำให้ลูกไม่มีความสุข”

“แต่หลังจากที่เพ่ยเพ่ยได้ดี บ้านเราก็มีทางสว่าง”

“ลูกอย่าไปฟังคำยั่วยุของนังสารเลวหลินม่ายที่พยายามตีจากพวกเราเลย”

เติ้งซิ่วจือเยาะเย้ย “หลินเพ่ยเรียนได้คะแนนแย่แบบนั้นจะได้ดีได้ยังไงคะ?”

ซุนกุ้ยเซียงพยายามอดทนอย่างหนัก “แม่จะบอกความจริงอะไรให้ เพ่ยเพ่ยกำลังคบอยู่กับเพื่อนร่วมชั้นที่มีพ่อเป็นผู้จัดการโรงงานผลิตอาหาร”

“ในอนาคต ถ้าเพ่ยเพ่ยได้แต่งงานกับเพื่อนร่วมชั้นชายคนนั้น หล่อนจะขอพ่อปู่ให้พาสามีลูกและลูกเข้าไปทำงานในโรงงานผลิตอาหาร”

“ต่อจากนี้ไปครอบครัวของลูกจะได้เป็นคนในเมือง ดีกว่าเป็นคนโง่เขลาอยู่ในชนบทใช่ไหมล่ะ?”

“เพราะงั้นลูกเอาเงินอั่งเปาสองหยวนมาให้แม่ซะ แม่จะเก็บไว้เป็นค่าตัดเย็บเสื้อผ้าในฤดูใบไม้ผลิให้เพ่ยเพ่ย ”

“พระพุทธรูปต้องมีทองหุ้ม คนก็ต้องมีเสื้อห่อ เพ่ยเพ่ยต้องใส่ชุดสวย ๆ ผู้ชายจากบ้านฐานะดีถึงจะสังเกตเห็นหล่อน”

ก่อนจะมองดูลูกสะใภ้อย่างกระตือรือร้น

หัวใจของเติ้งซิ่วจือเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อได้ยินว่าหล่อนและสามีมีโอกาสจะได้ทำงานในโรงงานผลิตอาหาร

ทว่าสิ่งต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน อีกฝ่ายแค่อยากจะหลอกเอาเงินอั่งเปาจากหลานทั้งสองเท่านั้น เพราะฉะนั้นหล่อนจะไม่มีทางให้!

หลินเพ่ยกล่าวว่าหล่อนกำลังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหาร

แต่ถ้าพวกเขาไม่ได้แต่งงานกันในสามปีให้หลัง เงินอั่งเปาของลูกทั้งสองก็จะต้องถูกหลอกไปโดยเสียเปล่าไม่ใช่หรือ?

หล่อนจึงพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าลูกชายผู้จัดการโรงงานผลิตอาหารไม่มาหมั้นหมายกับน้องสามีในวันพรุ่งนี้ ฉันก็จะไม่มีวันเอาเงินสองหยวนไปเป็นค่าตัดชุดใหม่ให้หล่อนเด็ดขาด ทีลูกฉันยังต้องอยู่ในสภาพโกโรโกโสเลย!”

ซุนกุ้นเซียงยอมแพ้หลังจากพยายามโน้มน้าวใจลูกสะใภ้อย่างสุดกำลัง

ครุ่นคิดกับตนเองว่ารอจนกว่าชายผู้นั้นกับลูกชายจะกลับมาจากในเมือง จากนั้นจึงค่อยเอาเงินสองหยวนจากลูกสะใภ้

ซุนกุ้ยเซียงรู้สึกประหม่ามากเมื่อนึกถึงชายผู้นั้นกับลูกชายของเธอ

แม้ว่าจะผ่านมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว แต่นางก็ยังหวาดกลัวอยู่ดี กลัวว่านางกับสามีจะติดคุก…

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ดีมากที่ไม่ให้ พี่สะใภ้ตาสว่างแล้วสินะ

ครอบครัวนี้มีคดีอะไรติดตัวหรือเปล่าเนี่ย ทำไมถึงได้ดูหวาดกลัวเวลาจะเข้าเมืองนัก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 57 ใช่ลูกแท้ ๆ หรือไม่

เมื่อซุนกุ้ยเซียงที่หยิ่งยโสและวางอำนาจได้ยินดังกล่าว นางก็ยังคงด่าทอหลินม่ายอย่างต่อเนื่อง ทว่าเสียงด่าทอที่ฟังดูก้าวร้าวกลับเจือแววหวาดกลัว กลับกลอกไปมาราวกับปิดบังความผิด

หลินเพ่ยปลดปล่อยความคับข้องใจให้เป็นไปตามคำพูดของซุนกุ้ยเซียง และหันไปพูดกับหลินม่ายอย่างไร้เดียงสา “ดูสิ พี่ไม่ได้อยากไปแทนที่เธอในโรงเรียนสักหน่อย แต่มันเป็นความตั้งใจของพ่อกับแม่”

หล่อนไม่ได้หวั่นเกรงที่จะยอมรับต่อหน้าชาวบ้านว่าตนไปโรงเรียนแทนหลินม่าย

ในยุคสมัยนี้ อย่าว่าแต่พี่น้องไปโรงเรียนในนามของกันและกันเลย ต่อให้พวกเขาให้คนนอกเข้ามาแทนก็ไม่มีใครสนใจนัก

ดังนั้นสถานการณ์แบบนี้จึงเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ และคงจะดีถ้าไม่มีใครรายงาน

ผู้คนจะรายงานก็ต่อเมื่อมีใครบางคนล้ำเส้นกันเกินไป

หลินม่ายเขยิบเข้าไปใกล้หล่อนมากขึ้น “ก็ได้ แต่ถึงพ่อแม่จะให้เธอไปเรียนในชื่อฉัน แต่เธอจำเป็นจะต้องแต่งตัวดูดีแบบนี้ด้วยเหรอ?”

วันนี้หลินเพ่ยสวมใส่เสื้อแจ็คเก็ตที่ทำมาจากผ้าใยสังเคราะห์ ซึ่งเป็นสินสอดที่บ้านสกุลอู๋มอบให้หลินม่าย

ผ้าใยสังเคราะห์นับว่าเป็นผ้าคุณภาพสูงสำหรับชาวบ้านบนภูเขา

หลินม่ายกระชากเสื้อแจ็คเก็ตใยสังเคราะห์ที่ปักลายดอกไม้สวยงามอยู่บนกระเป๋า “เธอเอาเศษผ้าที่บ้านสกุลอู๋ยกให้ฉันไปขายที่ตลาดมืดมานี่ เอาเงินนั้นไปค้ำจุนครอบครัวไม่ดีกว่าหรือไง?”

“แต่เธอกลับให้ที่บ้านเอาเงินไปจ้างช่างตัดเย็บผ้าทำเสื้อผ้าให้ แล้วยังมีหน้าไม่ยอมรับว่าตัวเองเห็นแก่ตัว ไม่นึกถึงครอบครัวบ้างหรือไง!”

เห็นแก่ตัวจนไม่สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใครในครอบครัว!

สาปแช่งคนอื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง!

หลินเพ่ยพูดแก้ต่างทั้งน้ำตาคลอ “ตอนนี้ฉันเป็นนักเรียนมัธยมปลายแล้ว ฉันควรจะได้แต่งตัวดี ๆ สิ ไม่งั้นเพื่อนร่วมชั้นจะดูถูกเอา…”

หลินม่ายเยาะเย้ย “ศักดิ์ศรีมันสำคัญนักหรือไง? สำคัญมากกว่าความทุกข์ยากของคนในครอบครัวงั้นเหรอ! เธอไม่เคยมองดูชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเลยสินะ!”

เติ้งซิ่วจือพยายามตั้งใจฟังคำพูดของหลินม่ายที่พูดกับหลินเพ่ย

ยิ่งฟังมากเท่าไร หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าน้องสามีมีเหตุผลมากเท่านั้น และยิ่งรู้สึกเกลียดหลินเพ่ยมากขึ้น

เมื่อซุนกุ้ยเซียงเห็นว่าหลินม่ายยังจับไม่ได้ว่านางใช่แม่ผู้ให้กำเนิดหรือไม่ จึงหันไปโต้เถียงกับหลินม่ายด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนเดิม

“ฉันกับพ่อแกอยากให้พี่เขาได้แต่งตัวดี ๆ แกอย่าเอาแต่อิจฉานักเลย อิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ฉันกับพ่อก็แค่อยากให้พี่เขาได้แต่งตัวสวย ๆ แล้วแกจะทำไม!”

ถึงพี่สาวคนโตจะเรียนไม่เก่ง แต่หล่อนก็เข้ากับเพื่อนร่วมชั้นเพศชายได้ดี

ย้อนกลับไปตอนมัธยมต้น อู๋เสี่ยวเจี้ยนหลงใหลในตัวหล่อนมากจนขโมยข้าวสารไข่ไก่จากที่บ้านมาทำอาหารให้หล่อนบ่อยครั้ง

อู๋เสี่ยวเจี้ยนยังมอบเงินทุกเฟินที่มีติดตัวให้กับหล่อน

ตอนนี้ลูกสาวคนโตอยู่มัธยมปลายแล้ว อีกทั้งยังน่าหลงใหลยิ่งกว่าเดิม และหล่อนเข้ากันได้ดีกับลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่โรงงานผลิตอาหารประจำมณฑล

แม้ลูกสาวคนโตจะเรียนไม่เก่ง แต่ถ้าในอนาคตหล่อนได้แต่งงานกับลูกชายคนเล็กของเถ้าแก่โรงงานผลิตอาหาร หล่อนก็จะสามารถเข้าไปเป็นคนงานในโรงงานผลิตอาหารได้

หล่อนสามารถเกลี้ยกล่อมผู้คน เกลี้ยกล่อมพ่อและแม่สามีให้พาพี่ชายและพี่สะใภ้เข้าไปทำงานในโรงงานได้ แบบนี้มันไม่ง่ายกว่าเหรอ?

เนื่องจากมองเห็นผลประโยชน์ดังกล่าว ซุนกุ้ยเซียงที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวจึงยอมลงทุนให้กับหลินเพ่ย

หลินม่ายไม่โกรธเลยหลังจากได้ยินคำพูดของซุนกุ้ยเซียง เธอหันไปพูดกับเติ้งซิ่วจือ “ฉันเป็นลูกสาวที่ถูกจับแต่งงานออกจากบ้านไปแล้ว ผลประโยชน์ของบ้านสกุลหลินไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉันทั้งนั้น”

พี่คงได้ยินแล้วว่าแม่ลำเอียงให้หล่อนขนาดนั้น ขนาดที่ว่าครอบครัวยากจนจนต้องขโมยเงินของต้าโก่วกับเอ้อโก่ว แต่พ่อแม่ก็ยังอยากให้หล่อนแต่งตัวสวย ๆ

“พ่อแม่ฉันชอบหล่อนมาก อีกหน่อยพี่กับพี่ใหญ่ก็ต้องมีความผิดคล้ายกันกับฉัน ผลประโยชน์ของครอบครัวไม่มีทางตกมาถึงพี่หรอก แต่จะถูกหล่อนดูดไปจนหมด จนน่าเวทนาเลยล่ะ!”

เมื่อพูดจบ เธอก็ยื่นน้ำตาลทรายแดงสองถุงให้เติ้งซิ่วจือ “ในเมื่อแม่ใจร้าย ลูกสาวก็อกตัญญู เดิมทีฉันซื้อน้ำตาลทรายแดงสองถุงนี้มาให้แม่ แต่ในเมื่อหล่อนใจร้ายกับฉัน ฉันก็จะยกให้พี่สะใภ้แล้วกัน”

เติ้งซิ่วจือลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรับมา

หลินม่ายหยิบธนบัตรหลายสิบใบออกมาจากกระเป๋า ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงห้าเหมาหรือสองเหมาที่ไม่ได้มีมูลค่าสูงนัก แต่ก็มีหลายสิบใบ

ทุกคนต่างจับจ้องด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง มันคือเงินจำนวนมากในสายตาของชาวบ้าน

โดยเฉพาะซุนกุ้ยเซียงที่พยายามจะพุ่งตัวออกไปคว้า

หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบขึ้นมาจากกองธนบัตรทั้งหมดและยื่นให้ต้าโก่วกับเอ้อโก่ว “นี่เงินอั๋งเปาจากคุณน้านะจ๊ะ”

เติ้งซิ่วจือถามด้วยความประหลาดใจ “ม่ายจื่อ ไปเงินพวกนี้มาจากไหน?”

หลินม่ายพูดเบา ๆ ว่า “ไปทำธุรกิจในเมืองมาน่ะ” จากนั้นเธอก็จากไป

ซุนกุ้ยเซียงร้องตะโกนอย่างหมดหนทาง “จะไปไหนก็ไปแต่เอาเงินมานี่ ฉันเลี้ยงแกมาโตป่านนี้ ได้เงินมาแล้วจะอกตัญญูแบบนี้ได้ยังไง?”

หลินม่ายหยุดก้าวเท้า “แต่ฉันไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลหลินแล้ว และก็ไม่ได้อกตัญญูคุณด้วย”

ซุนกุ้ยเซียงตะโกนโวยวายใส่ชาวบ้านที่มาดึงรั้งนางไว้ “พวกแกปล่อย ปล่อยสิยะ ฉันจะไปตามล่านังม่ายจื่อ!”

ทว่าชาวบ้านต่างฉุดรั้งนางเอาไว้แน่นกว่าเดิม “แม่ม่ายจื่อ ลูกสาวคุณแต่งงานออกไปบ้านคนอื่นแล้ว ไม่ว่าหล่อนจะหาเงินมาได้มากเท่าไหร่ มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับบ้านสกุลหลิน…”

ซุนกุ้ยเซียงดิ้นและตะคอก “ฉันไม่สน ฉันจะเอาเงินจากหล่อน ฉันจะเลี้ยงมันเสียข้าวสุกไม่ได้!”

หลินม่ายเดินเร็วมาก จนแทบจะวิ่งลงจากภูเขา

เธอกลัวว่าคนบ้านสกุลหลินจะตามมาทันและมาเอาเงินจากเธอไป

หากเธอถูกปล้นเงินไป พวกชาวบ้านจะทำได้เพียงถอนหายใจ และช่วยอะไรเธอไม่ได้อยู่ดี เพราะคนที่ปล้นเงินเธอไปคือญาติของเธอเอง

ถึงแม้ว่าบนร่างกายของเธอจะมีเงินเพียงไม่กี่สิบหยวน และไม่ได้มีมูลค่าอะไรกับเธอมากนัก แต่นี่ก็เป็นเงินที่เธอหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของเธอ จะปล่อยให้พวกสัตว์เดรัจฉานเอาไปไม่ได้!

เธอออกจากหมู่บ้านสกุลหวังประมาณสี่โมงเย็น แม้ว่าเธอจะขอให้ใครสักคนปั่นจักรยานพาเธอไปบ้านสกุลฟาง แต่อย่างน้อยเธอก็น่าจะถึงที่นั่นประมาณสองทุ่ม

ยุคสมัยนี้ต่อให้เป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ แต่ก็ไร้ซึ่งความปลอดภัย หลินม่ายไม่กล้าเดินเพียงลำพังในตอนกลางคืน

เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเดินต่ออีกสามชั่วโมงไปที่เมืองเสี่ยวเหอ และพักในโรงแรมที่นั่น

โรงแรมในเมืองเสี่ยวเหอไม่ได้ไร้ชีวิตชีวาเหมือนกับในเมืองซื่อเหม่ย เมื่อหลินม่ายจ่ายเงิน พนักงานต้อนรับจะต้อนรับอย่างดี

ร้านขายขนมกินเล่นของทางรัฐปิดแล้ว ถึงแม้ว่าทางโรงแรมจะมีอาหารขาย แต่ราคาก็แพงมาก

แต่หลินม่ายไม่ได้สนใจ เธอซื้อบะหมี่เนื้อฉีกในราคาหนึ่งหยวนมากิน

โรงแรมในชนบทไม่มีฝักบัว มีเพียงอ่างล้างเท้าและอ่างอาบน้ำ

แม้ว่าอ่างล้างเท้าและอ่างอาบน้ำจะดูไม่สกปรก แต่หลินม่ายไม่กล้าใช้เพราะไม่รู้ว่ามันผ่านการใช้งานมาแล้วกี่คน

เธอเพียงต้องการน้ำมาล้างหน้า บ้วนปากและงีบหลับ

เมื่ออยู่ข้างนอก เรื่องสุขอนามัยต้องมาเป็นอย่างแรก พยายามสกปรกให้น้อยที่สุด

หลินม่ายไม่รู้สึกง่วงสักนิดแม้ว่าวันนี้เธอจะต้องเดินทางตลอดทั้งวัน ในหัวของเธอมีเรื่องให้คิดมากมาย

เธอรวมรวมเรื่องราว และค่อย ๆ คิดทีละเรื่อง

ประการแรกคือเธอเป็นลูกแท้ ๆ ของหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาหรือไม่

เมื่อพิจารณาจากทัศนคติที่พวกเขามีต่อเธอ และสายตาตื่นตระหนกของซุนกุ้ยเซียงในวันนี้ เธอก็น่าจะไม่ใช่ลูก ๆ ของพวกเขา

หลินเพ่ยกับหลินสงค่อนข้างคล้ายกัน แต่เธอไม่เหมือนพวกเขาเลยสักนิด

ในชาติที่แล้วเธอเคยถามคำถามนี้กับซุนกุ้ยเซียง และซุนกุ้ยเซียงตอบกลับมาว่าเธอเหมือนยาย

แต่เธอไม่เคยเห็นยายมาก่อน จะรู้ว่าเหมือนหรือไม่เหมือนได้อย่างไร!

แม้จะมีข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด แต่ชาติที่แล้วเธอก็ไปตามหาความจริงจากในโรงพยาบาล หลังจากตรวจสอบไปตรวจสอบมา เธอก็พบว่าตนเองคือลูกที่เกิดจากคู่สามีภรรยาซุนกุ้ยเซียง

หรือว่าเธอจะพลาดอะไรบางอย่างไป?

เอาไว้มีเวลาจะต้องไปตรวจสอบที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อดูว่ามีข้อมูลใหม่ ๆ หรือไม่

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มาเสี้ยมแล้วก็จากไป ปล่อยให้คนบ้านนั้นมันตีกันเอง แผนเริดมากค่ะ

น่าจะมีการปลอมแปลงข้อมูลในสูติบัตรหรือเปล่านะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 56 ฉันพูดผิดตรงไหน!

ซุนกุ้ยเซียงตากมันเทศไว้ที่ลานบ้านเพื่อไม่ให้มันเน่าเสีย

ครอบครัวของพวกเขาใช้มันเทศพวกนี้บรรเทาความหิวโหยในฤดูใบไม้ผลิ เพราะฉะนั้นจะปล่อยให้มันเทศเน่าเสียไม่ได้

เมื่อได้ยินเสียงเอ้อโก่วร้องตะโกนว่าเขามีเงินห้าเฟิน นางก็ลุกขึ้นยืนและยึดเงินห้าเฟินเอาไว้

ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบหลานชายทั้งสองคน นางกับสามีเป็นประเภทเห็นผู้ชายดีกว่าผู้หญิงอย่างสุดขั้ว จะไม่ชอบหลานชายได้อย่างไร

ทว่านางไม่อาจทนต่อความยากจนข้นแค้นของครอบครัวได้ เงินจำนวนห้าเฟินนำไปซื้อเกลือได้ตั้งหนึ่งชั่ง นางจะปล่อยให้เด็กสองขวบเอาไปซื้อลูกแก้วได้อย่างไร

เอ้อโก่วที่ถูกปล้นเงินถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น

เติ้งซิ่วจือโกรธจัดจนสีหน้ากลายเป็นดำทะมึน “แม่! มาขโมยเงินหลานได้ยังไงคะ?!”

“บ้านเรามีเงินจะไม่พอใช้อยู่แล้ว เธอเองก็รู้ดีนี่”

ซุนกุ้ยเซียงโต้กลับด้วยความขุ่นเคือง และรีบเดินออกไปข้างนอก

หลานชายพูดว่านังสารเลวนั่นกลับมาแล้ว ทำให้นางนึกอยากจะออกไปดู

ขณะเดียวกันต้าโก่วก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับเงินห้าเฟินในกำมือ ร้องตะโกนอย่างต่อเนื่องว่าคุณน้าเป็นคนให้เงินเขาไปซื้อลูกแก้ว

ซุนกุ้ยเซียงรีบแย่งเงินในมือของเขามาและพูดหลอกล่อ “ย่าจะเอาเงินไปซื้อขนมให้กินนะ”

ต้าโก๋วร้องไห้ออกมาเสียงดังทันที

เติ้งซิ่วจือโกรธมากว่าเดิม “ต่อให้ไม่มีเงินแม่ก็ไม่ควรไปขโมยเงินหลาน ถ้าไม่ได้เงินจำนวนนี้มาบ้านเราจะตายกันหรือไงคะ?”

หลินม่ายที่เดินตามหลังเข้ามาส่งยิ้มให้เติ้งซิ่วจือ “วันปีใหม่ทั้งทีพี่สะใภ้ก็พูดถึงเรื่องคอขาดบาดตายเลยเหรอ อัปมงคลซะไม่มี!”

เติ้งซิ่วจือจ้องเขม็งไปที่ซุนกุ้ยเซียง “ก็แม่ไปขโมยเงินที่เธอให้ต้าโก่วกับเอ้อโก่ว แล้วมาบอกว่าบ้านเราไม่มีเงินพอใช้ ฉันถึงได้พูดแบบนั้น”

หลินม่ายยิ้มเยาะ “เงินในมือของต้าโก่วกับเอ้อโก่วรวมกันแล้วยังได้นิดเดียว เศษเงินแค่นี้จะเปลี่ยนสถานะทางครอบครัวได้เหรอคะ?”

“ถ้าอยากจะเปลี่ยนสถานะของครอบครัวจริง ๆ ก็ไม่ควรเอาเงินค่าสินสอดฉันไปส่งหลินเพ่ยเรียนต่อ”

คำพูดดังกล่าวผุดขึ้นมาในก้นบึ้งหัวใจของเติ้งซิ่วจือ จนรู้สึกเกลียดซุนกุ้ยเซียงมากขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกว่านางลำเอียงเกินไป อีกทั้งสมองยังป่วยหนัก ไม่คิดขอโทษหลานชาย แต่กลับยอมประเคนทุกอย่างในมือให้หลินเพ่ย

ยังคิดหวังว่าหลินเพ่ยจะมอบเงินค่าเลี้ยงดูยามแก่เฒ่าอีกเหรอ?

ซุนกุ้ยเซียงยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นหลินม่ายเดินเข้ามา คว้าไม้กวาดขึ้นไล่ฟาดเธอ “กล้ายั่วโมโหฉันเหรอนังตัวดี ฉันจะตีแกให้ตายซะ!”

หลินม่ายหันหลังและวิ่งหนีออกจากบ้าน

จากนั้นก็เป็นเหตุการณ์แม่ตีลูกสาวซ่อน ชาวบ้านที่มองดูความสนุกต่างรีบแยกพวกเธอออกจากกัน

หลินม่ายพูดกับซุนกุ้ยเซียงท่ามกลางชาวบ้านหลายคน “ฉันยั่วโมโหที่ไหน? ฉันพูดความจริงทั้งนั้น! อย่าไปเชื่อภาพเพ้อฝันที่หลินเพ่ยวาดให้นักเลย คิดว่าพี่จะมีอนาคตที่สดใสหลังจากเรียนจบมอปลายหรือไง ถึงหล่อนจะให้สัญญา แต่หล่อนจะให้ท่านสักกี่ครึ่งเฟินเชียว? ตอนนี้หล่อนยังต้องพึ่งพาท่านอยู่ ถึงได้ไม่เคยทำตัวอกตัญญูใส่หน้า และเกลี้ยกล่อมพวกท่านด้วยคำพูดหวาน ๆ แต่เมื่อเริ่มมีอนาคตขึ้น พวกท่านจะมีค่าอะไรสำหรับหล่อนอีก?”

หลินม่ายพูดเรียบเฉย แต่แล้วเสียงหวานแสนจะออดอ้อนก็ดังขึ้นอย่างข้างหลัง “ม่ายจื่อ เธอ เธอพูดแบบนั้นกับฉันได้ยังไง?”

หลินม่ายหันกลับไปเห็นหลินเพ่ยที่มีสีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก หล่อนมีผิวขาวเนียนละเอียดสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยความผิดหวัง มีน้ำตาคลอเบ้า ภาพลักษณ์เช่นนี้ช่างน่าดูน่าสงสารยิ่งนัก

ทว่าปัญหาคือหลินม่ายที่เกิดใหม่ไม่ใช่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่มีวันคล้อยตามหล่อน เธอยกมือขึ้นตบอีกฝ่ายทันที

ฝ่ามือของหลินม่ายที่ผ่านการทำงานมาตลอดทั้งปีนั้นแข็งแกร่งมาก หลังจากตบไปหนึ่งฉาด แก้มอันบอบบางและเนียนใสของหลินเพ่ยก็กลายเป็นสีแดงบวมช้ำประจักษ์ต่อทุกสายตา

หล่อนลืมที่จะร้องไห้ไปชั่วขณะ เนื่องจากทุกอย่างเกิดเร็วอย่างกะทันหัน ทำให้หล่อนตกอยู่ในสภาพมึนงง

ไม่เพียงแค่หล่อน ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็มึนงงเช่นกัน

หลินม่ายที่เชื่อฟังคำพูดของหล่อนมาโดยตลอด…ตบหน้าหล่อน! นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริงแน่

หลินม่ายพูดขึ้นตามตรง “ฉันพูดผิดตรงไหน? เธอวาดภาพเพ้อฝันใหญ่โตให้ครอบครัวไม่ใช่หรือไง? เคยจ่ายอะไรเล็กน้อยให้ครอบครัวบ้าง? แสร้งทำเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรม ในครอบครัวนี้ไม่มีใครได้รับความเป็นธรรมไปมากกว่าเธอแล้ว!”

ในที่สุดหลินเพ่ยก็หายจากอาการช็อก กลับมามีสติอีกครั้ง ขณะที่ซุนกุ้ยเซียงผละตัวออกจากการรัดกุมของชาวบ้าน เร่งรุดจะไปตีหลินม่ายอย่างโหดเหี้ยม “แม่! แม่คะ! อย่าตีน้อง ไม่ต้องไปดุน้อง หนูจะคุยกับน้องเอง”

ซุนกุ้ยเซียงไม่สามารถรักษาสีหน้าเอาไว้ได้ และพูดตะคอก “แกจะไปคุยอะไรกับมันอีก ฆ่ามันซะก็จบเรื่อง!”

โชคดีที่ชาวบ้านต่างพากันฉุดรั้งนางเอาไว้และพูดเกลี้ยกล่อม “คุณย่าต้าโก่ว ลูกสาวคุณก็แต่งงานออกเรือนไปแล้ว หล่อนกลับมาบ้านก็ถือว่าเป็นแขก เจ้าบ้านจะไปไล่ตีแขกได้ยังไง คุณปล่อยให้ลูกสาวคุยกันดี ๆ กับม่ายจื่อไปเถอะ”

แม้ซุนกุ้ยเซียงอยากจะทุบตีหลินม่ายสุดใจ แต่ชาวบ้านกลับยึดนางไว้แน่นจนไม่สามารถหลุดพ้นได้

นางทำได้เพียงสาปแช่งหลินม่าย พ่นคำหยาบทุกชนิดออกมา จนผู้คนต่างพากันขมวดคิ้ว

ในชนบทไม่มีพ่อแม่คนไหนไม่ทุบตีลูก แต่ผู้หญิงน้อยคนนักที่จะชี้นิ้วใส่ลูกสาวตนเองและก่นด่าว่าเป็นโสเภณี ชั้นต่ำ เร่ขายตัว

ใครที่ไหนด่าทอลูกสาวตนเองแบบนี้กัน นี่มันด่าทอคนเป็นศัตรูกันชัด ๆ!

หลินเพ่ยเริ่มแสดงละครท่ามกลางเสียงด่าทอของผู้เป็นแม่

เธอเริ่มทำตัวเป็นหญิงชาเขียว(1)เรียกร้องความสนใจเหมือนกับจื่อเวยในละครเรื่ององค์หญิงกำมะลอ บีบน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

สายตาของหล่อนดูเศร้าสร้อย กำมือทุบหน้าอก และเค้นเสียงออกมาว่า “ม่ายจื่อ พี่รู้ว่าเธอโกรธที่พี่เอาสินสอดเธอมาเรียนต่อมัธยมปลาย แต่พี่คงเรียนหนังสือต่อไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน!”

หลินม่ายจ้องมองหล่อนอย่างเย็นชา “ผลการเรียนเธอทุเรศมาก แล้วฉันที่อยากเรียนต่อมัธยมปลายล่ะทำไมถึงไปเรียนต่อไม่ได้?!”

ถ้าฉันได้เรียนต่อมัธยมปลาย ผลการเรียนฉันจะต้องดีมากแน่ ๆ อีกอย่างการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย!

ไม่เหมือนเธอที่อ่านหนังสือกินแรงไปวัน ๆ เกรงว่าเธอจะไม่ได้รับใบประกาศนียบัตรระดับมัธยมปลายด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับสอบเข้ามหาลัย

ถ้าเธอนึกถึงครอบครัวจริง ๆ เธอก็ไม่ควรเข้าเรียนมัธยมปลายตั้งแต่แรก ปล่อยให้ฉันไปเรียนแทน!

“เธอจงใจหลอกลวงฉันแล้วเรียนต่อมัธยมปลายแทน เธอบอกว่าเธอไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แต่เธอกำลังวาดฝันจอมปลอมให้ครอบครัวอยู่!”

ชาวบ้านต่างพากันพยักหน้าหลังจากได้ยินเรื่องดังกล่าว และรู้สึกว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดสมเหตุสมผล

แม้ว่าหลินเจี้ยนกั๋วและภรรยาจะเต็มใจลงทุนเพื่อลูกสาว แต่พวกเขาก็ควรลงทุนให้หลินม่ายที่มีความพรสวรรค์ในการเรียนรู้มากกว่าหลินเพ่ยที่โง่เขลาราวกับเอาวัวมาหัดอ่านหนังสือ

ซุนกุ้ยเซียงที่ถูกชาวบ้านลากออกไปโกรธจัด และทำได้เพียงเต้นเร่าๆ ตะโกนใส่หลินม่าย “แกมันนางแพศยา รู้จักแต่เอาตัวรอดคนเดียว หัดมีคุณธรรมซะบ้าง คิดจะให้เราเอาเงินลงทุนให้แกงั้นเหรอ ฝันไปซะเถอะ!”

หลินม่ายพูดเยาะเย้ย “ไม่ใช่ว่าฉันไม่มีคุณธรรม แต่ฉันกับพวกคุณไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน เพราะงั้นพวกคุณถึงได้ไม่อยากลงทุนอะไรกับฉันไง”

ดวงตาของซุนกุ้ยเซียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก “แก แกพูดบ้าอะไร! ทำไมเราจะไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน? ที่ฉันกับพ่อแกไม่ชอบแก ก็เพราะว่าแกเกิดมาเอาเปรียบพ่อแม่ เอาแต่ความฉิบหายมาสู่ครอบครัวเรา!”

แม้นางจะพูดต่อหน้าชาวบ้านเสมอว่าทำไมตนถึงไม่ชอบหลินม่าย แต่หลินม่ายกลับมองเห็นความตื่นตระหนกในสายตาของนาง

ในเมื่อมีเหตุผลที่จะไม่ชอบเธอ แต่ทำไมจะต้องตื่นตระหนกด้วย?

เป็นไปได้ไหมว่านางบังเอิญหลุดปากบอกความจริงบางอย่างออกไป หรือว่าเธอจะไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของพ่อแม่บ้านนี้?

ถ้าไม่ใช่ ทำไมพวกเขาถึงรับเธอมาเลี้ยง? พวกเขาทั้งสองไม่มีแม้แต่ความเมตตา และทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง

หลินม่ายจงใจเลิกคิ้ว และพูดต่อ “ความจริงคืออะไร คุณรู้ ฉันรู้ สามีของคุณก็รู้!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

เป็นคำแสลงในอินเตอร์เน็ต หมายถึงผู้หญิงที่แสร้งทำเป็นใสซื่อไร้เดียงสาแต่จริงๆ ทำตัวไร้ยางอาย

สารจากผู้แปล

นางแก่หน้าไม่อาย แย่งเงินเด็กหน้าด้าน ๆ

ก็ว่าอยู่ว่าพ่อแม่คู่นี้น่าจะไม่ใช่ครอบครัวจริงๆ ของม่ายจื่อ ดูทำแต่ละอย่างกับม่ายจื่อสิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 55 กลับไปที่บ้านแม่

ภายในสถานีตำรวจ แม้ว่าหลินม่ายจะมีเหตุผลและหลักฐาน แต่เหยาชุ่ยฮวาก็ยังยืนกรานว่าหลินม่ายมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการฉ้อโกงการแต่งงาน

เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้วางตนต่อต้าน โดยกล่าวว่าเขาจะตรวจสอบข้อเท็จจริง หากหลินม่ายมีส่วนรู้เห็นในการฉ้อโกงงานแต่งงาน เธอจะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย

ไม่ว่าตระกูลอู๋จะสูญเสียเงินไปเท่าไร แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะพยายามช่วยเหลือตระกูลอู๋อย่างเต็มที่

ส่วนกรณีเหยาชุ่ยฮวาเรียกร้องเงินชดเชยสองพันหยวน เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สนับสนุน

เหยาชุ่ยฮวาปิดปากด้วยความผิดหวัง นางพยายามยับยั้งความหวาดกลัวในใจและอยากกระโดดลงไปกัดหลินม่ายราวกับสุนัขบ้า ไม่ใช่เพราะว่านางต้องการให้อีกฝ่ายจ่ายเงินค่าชดเชยให้กับครอบครัวนางหรอกเหรอ?

ด้วยเงินจำนวนสองพันหยวนแล้ว ครอบครัวนางจะเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในหมู่บ้าน

ทว่าตอนนี้ความฝันอันแสนหวานกลับสูญเปล่า และหัวใจของนางก็ด้านชา

หลินม่ายพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ “รอจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนความจริงเสร็จ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของฉัน ถึงตอนนั้นฉันจะฟ้องเหยาชุ่ยฮวา สามีและลูกชายของหล่อน ข้อหาทำร้ายร่างกายฉันตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านตระกูลอู๋”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดตอบ “ตอนนี้คุณสามารถฟ้องร้องครอบครัวอู๋ได้นะครับ ถึงจะอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่ครอบครัวอู๋จะมาใช้ความรุนแรงกับคุณได้”

“ทั้งสองกรณีไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะฉะนั้นจำไว้นะครับ ต่อให้เป็นผู้โกหกก็สมควรได้รับสิทธิทางมนุษยชน ไม่ใช่ใครจะมาทุบตีหรือด่าทอได้ง่าย ๆ”

หลินม่ายหันไปแสยะยิ้มให้เหยาชุ่ยฮวาอย่างร้ายกาจ “ถ้าวันนี้คุณกับลูกชายไม่เข้ามาสร้างปัญหา ฉันก็ไม่คิดจะฟ้องพวกคุณหรอก”

“แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่รู้ว่าหลังจากฉันฟ้องแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวคุณบ้าง”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจและเดินจากไป

เหยาชุ่ยฮวารู้สึกมึนงงเมื่อถูกกล่าวโทษกระทันหัน

นางมาจัดการนังสารเลวนี้ไม่ใช่หรือ แต่ทำไมนังนั่นถึงได้จัดการครอบครัวนางเสียเอง?

ถ้านังนั่นฟ้องร้องจนชนะคดี ครอบครัวของนางจะต้องติดคุกหรือไม่ แล้วลูกชายกับลูกสาวนางล่ะ?

เมื่อหลินม่ายกลับไปถึงบ้าน ฟางจั๋วเยวี่ยผู้ไม่คิดอะไรมากก็จากไปแล้ว และดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เก็บปัญหาของเธอมาใส่ใจ

แต่เมื่อสองผู้เฒ่าฟางเห็นเห็นเธอ พวกเขาก็รีบเข้าไปถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจัดการอย่างไรบ้าง หลินม่ายจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง

สองผู้เฒ่ารู้สึกโล่งใจและสนับสนุนให้เธอฟ้องร้องพวกสัตว์เดรัจฉานจากบ้านตระกูลอู๋ ส่งพวกเขาเข้าคุก ให้คุกสอนพวกเขาถึงวิธีการปฏิบัติตน

หลินม่ายพยักหน้า “ศาลจะเปิดอีกทีตอนวันที่เจ็ดค่ะ เอาไว้วันที่เจ็ดฉันจะไปยื่นฟ้องที่ศาล”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดขึ้นว่า “คุณปู่คุณย่าคะ ฉันจะกลับไปบ้านแม่สักพักนะคะ”

คุณย่าฟางถามด้วยความประหลาดใจ “เธอทะเลาะกับแม่อยู่ไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงจะกลับไปล่ะ? ไม่กลัวว่าพ่อแม่เธอจะร่วมมือกันจัดการเธอหรือไง?”

“ฉันกลัวว่าพวกเขาจะคิดว่าผิดเป็นถูกน่ะค่ะ เหมือนอย่างบ้านตระกูลอู๋ พวกเขายืนกรานว่าฉันมีส่วนรู้เห็นในคดีฉ้อโกงงานแต่งงาน มันจะส่งผลต่อการรวบรวมหลักฐานของตำรวจ เพราะงั้นฉันจะต้องกลับไปจัดการด้วยตัวเอง”

คุณย่าฟางพยักหน้า “แต่อย่าพาโต้วโต้วไปด้วยเลย ฉันกลัวว่าพวกแม่เธอจะไม่อยากเห็นหลาน”

หลินม่ายไม่ได้คิดจะพาโต้วโต้วกลับไปด้วย

เธอนั่งยอง ๆ และบอกโต้วโต้วว่าวันนี้เธอจะต้องออกไปทำธุระ ให้ลูกอยู่บ้านกับคุณปู่คุณย่าไปก่อน

แม้ว่าโต้วโต้วจะตัวติดกับเธอตลอด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของพวกผู้ใหญ่ หล่อนก็เข้าใจว่าเรื่องนี้สำคัญ

หล่อนจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง พูดเสียงออดอ้อน “แม่ออกไปทำธุระข้างนอกเลยค่ะ หนูจะอยู่รอที่บ้านคุณย่า”

หลินม่ายลูบศีรษะเล็ก ๆ ของหล่อนด้วยความเอ็นดู

คุณย่าฟางหยิบซาลาเปาวุ้นเส้นและไข่เค็มเป็ดที่หลินม่ายอุ่นไว้ในหม้อออกมาจากห้องครัว และยื่นให้เธอบนท้องถนน

จนกระทั่งตอนนี้เธอยังไม่ได้กินข้าวเช้า

หลินม่ายหยิบซาลาเปาวุ้นเส้นอุ่น ๆ สองลูกกับไข่เค็มเป็ดหนึ่งฟองขึ้นวางไว้บนโต๊ะอาหาร และห่อซาลาเปาที่เหลืออีกสามลูกกับไข่เค็มเป็ดอีกหนึ่งฟองใส่ไว้ในผ้าเพื่อนำไปเป็นอาหารกลางวัน

เธอรู้ดีว่าถึงแม้เธอจะกลับไปอวยพรปีใหม่ให้พวกซุนกุ้ยเซียง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็จะไม่แบ่งอาหารให้เธออยู่ดี และเกรงว่าพวกนั้นจะบีบคอเธอจนตายทันทีที่เห็นเธอ ดังนั้นเธอจึงห่ออาหารกลางวันไปกิน

หลินม่ายถือซาลาเปาไว้ในมือข้างหนึ่ง และกินมันจนหมดก่อนที่จะเดินไปถึงร้านค้าสหกรณ์

เธอใช้ตั๋วขนมที่คุณย่าฟางให้ก่อนจะออกมา ซื้อน้ำตาลทรายแดงสองกระปุกด้วยเงินหนึ่งหยวน ก่อนจะพบเข้ากับพี่สะใภ้ร่างท้วมที่เดินทางเข้าเมืองมาพร้อมกับรถจักรยาน อีกฝ่ายจึงขับรถไปส่งเธอถึงสี่ชั่วโมง

สี่ชั่วโมงบนรถจะพาเธอไปถึงตีนเขาที่เป็นสถานที่ตั้งหมู่บ้านสกุลหวัง เธอจะต้องข้ามภูเขาไปอีกครึ่งชั่วโมงเพื่อที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง

เมืองซื่อเหม่ยอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านสกุลหวังมากกว่าหมู่บ้านสกุลอู๋ หากเดินด้วยลำแข้งสองขาอย่างเชื่องช้า เพียงแค่ครึ่งทางก็แทบหมดแรงแล้ว

วันนี้พี่สะใภ้ร่างท้วมมีประจำเดือน เดิมทีหล่อนคิดว่าการขับรถรับส่งเป็นเวลาสี่ชั่วโมงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่หลังจากนั้นเพียงสองชั่วโมงหล่อนก็ไม่สามารถขับรถรับส่งต่อได้อีก จึงต้องการจะคืนเงินให้หลินม่ายห้าเหมา ทว่าหลินม่ายกลับปฏิเสธ

แม้ว่าหล่อนจะขับรถไปได้เพียงสองชั่วโมง แต่การขับรถก็ยังเร็วกว่าการเดินด้วยขามาก และถือว่าเดินทางมาแล้วสองในห้า

เธอจึงต้องควักเงินอีกหนึ่งหยวนออกมาจ้างหญิงสาวที่จะขับรถพาเธอไปอีกสองชั่วโมง

หลังจากเดินดูหลายหมู่บ้าน เธอก็พบกับครอบครัวที่มีรถ ทว่านายหญิงของบ้านไม่สามารถขับรถได้ มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่สามารถขับรถได้

หลินม่ายเห็นว่าเจ้าของบ้านผู้ชายซื่อตรงและสุจริต เธอจึงขอให้เขาไปส่ง

สุดท้ายพละกำลังของผู้ชายก็มีมากกว่าอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะต้องกลับมาบนเส้นทางขรุขระบนภูเขา แต่เพียงระยะเวลาแค่สองชั่วโมงเขากลับมาส่งเธอได้ไกลกว่าพี่สะใภ้

หลินม่ายจ่ายเงิน พูดขอบคุณก่อนจะจากไป

เธอยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว เธอจึงหยิบอาหารที่ห่อไว้ขึ้นมากินระหว่างเดินทาง

หลังจากเดินทางมานานกว่าหนึ่งชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้านสกุลหวังตอนบ่ายสามโมงตรง

ชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลหวังแปลกใจที่เห็นเธอ

หลายคนมารวมตัวกันและถามเธอว่า “ม่ายจื่อ ทำไมวันที่สองถึงไม่กลับมาบ้านแม่พร้อมกับสามีล่ะ แล้ววันนี้ถึงกลับมาคนเดียว?”

หลินม่ายงุนงง

สถานการณ์แบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เธอย้ายออกจากบ้านสกุลหลินแล้ว และดูเหมือนว่าพวกชาวบ้านจะไม่รู้

เป็นไปได้ไหมว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนปิดบังบ้านสกุลหลิน? เขาปิดบังไว้ได้อย่างไร?

สมุดทะเบียนบ้านของบ้านสกุลหลินอยู่ในมือเขา นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เอามาคืน บ้านสกุลหลินจะต้องถามหามันจากเขา และความน่าจะแตกตั้งแต่ตอนนั้น

นอกจากนี้ไม่มีชาวบ้านคนไหนถามไถ่เธอเกี่ยวกับข่าวการถูกไล่ออกของหลินเพ่ย เป็นไปได้ไหมว่าจดหมายร้องเรียนที่เธอเขียนถึงกระทรวงศึกษาธิการจะยังไม่ได้ดำเนินการ?

หลังจากที่คุยกับชาวบ้านพอเป็นพิธี หลินม่ายก็เดินเข้าไปในรั้วบ้านของซุนกุ้ยเซียงพร้อมกับเครื่องหมายคำถามเต็มหัว

ต้าโก่วกับเอ้อโก่วหน้ามุ่ยขณะมองดูเด็กที่ตัวโตกว่าสองสามคนเล่นดีดลูกแก้ว

ต้าโก่วต้องการสัมผัสลูกแก้วสีใส ทว่าเขากลับถูกเจ้าของลูกแก้วผลักลงไปที่พื้น และพูดด้วยถ้อยคำรุนแรง “อย่ามาจับนะ!”

เด็กบนภูเขาค่อนข้างน่าสงสาร ลูกแก้วเป็นสมบัติล้ำค่าในสายตาของพวกเขา และพวกเขาจะไม่ยอมให้เด็กคนอื่นแตะต้องมัน เพราะกลัวว่าเด็กคนอื่นจะแอบขโมยเอาไป

ต้าโก่วลุกขึ้นจากพื้นด้วยความเสียใจ

หลินม่ายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ต้าโก่วมานี่มา น้าจะเอาเงินให้หลานไปซื้อลูกแก้วเอง อย่าไปอิจฉาคนอื่นเลย”

เมื่อต้าโก่วได้ยินเช่นนั้น เขาก็ดีใจมากและรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ เอ้อโก่วก็ตามมาด้วยเช่นกัน

หลินม่ายหยิบเงินห้าเฟินออกมาจากกระเป๋าและพูดกับต้าโก่วว่า “ไหนลองเรียกว่าคุณน้าสิจ๊ะ ถ้าไม่เรียกว่าคุณน้า น้าจะไม่ให้เงินนะ”

ต้าโก่วจ้องไปที่เงินจำนวนห้าเฟินด้วยดวงตาเป็นประกาย แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกไป เอ้อโก่วกลับโพล่งออกมาก่อน “คุณน้า คุณน้าฮะ ผมก็อยากได้เงินเหมือนกัน!”

หลินม่ายยิ้มและส่งเงินห้าเฟินให้เขา

เอ้อโก่ววิ่งไปที่ลานกว้างพร้อมกับเงินห้าเฟินอย่างมีความสุข “แม่ฮะ แม่ฮะ คุณน้ากลับมาแล้ว น้าให้เงินห้าเฟินผมไปซื้อลูกแก้วด้วย!”

ต้าโก่วกระวนกระวาย กระโดดโลดเต้นและรีบพูดออกว่า “คุณน้า คุณน้า ผมก็อยากได้เงิน!”

หลินม่ายมอบเงินห้าเฟินให้แก่เขา และเขาก็รับเงินกลับบ้านไปพร้อมป่าวประกาศข่าวดี

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

คิดจะมารีดไถเงินเขา กลับกลายเป็นจับไก่ไม่ได้แล้วยังเสียข้าวสาร

เดินทางลำบากมากเลยนะเนี่ย กว่าจะไปถึงก็หมดวันพอดี

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 54 อู๋เสี่ยวเจี้ยนหนีหาย

เจ้าหน้าที่ตำรวจจะปฏิบัติหน้าที่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แม้จะเป็นในช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ตาม

หลินม่ายเดินตรงเข้ามาในสถานีตำรวจด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้น

เหยาชุ่ยฮวาลังเลเล็กน้อย แต่ก็ร้องตะโกนเสริมความมั่นใจขณะเดินเข้ามา “ฉันใช้เงินไปสู่ขอลูกสะใภ้ แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตำรวจอย่างพวกคุณจะไม่มีเหตุผล ไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้!”

หลังจากเดินเข้ามาได้สองก้าว นางก็พบว่าลูกชายของตนไม่ได้เดินตามเข้ามา เมื่อหันกลับไปและเห็นอู๋เสี่ยวเจี้ยนยืนอยู่ที่หน้าประตูและไม่กล้าเข้ามา นางจึงตะโกนด่า “มัวยืนอ้อยอิ่งตรงนั้นอยู่ทำไมเล่า รีบเดินเข้ามา!”

เป็นความจริงที่ว่าเขากับหลินเพ่ยรวมหัวกันขุดหลุมพราง โดยใช้พ่อแม่ตระกูลหลินให้มาเป่าหูหลินม่ายและหลอกให้เธอแต่งงาน

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงกังวลว่าหลินม่ายจะฟ้องร้องในข้อหาฉ้อโกงการแต่งงาน เขาที่ก่อความผิดเอาไว้จึงไม่กล้าเดินเข้าไป

ยิ่งแม่เรียกหาเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่กล้าเดินเข้าไปมากเท่านั้น และหันหลังวิ่งหนีไป

เพื่อนบ้านที่ตามมารับชมความสนุกสนานพลันโห่ร้อง

ดูเหมือนว่าสิ่งที่หลินม่ายพูดจะเป็นความจริง เธอถูกอู๋เสี่ยวเจี้ยนกับพี่สาวฉ้อโกงการแต่งงาน ไม่อย่างนั้นอู๋เสี่ยวเจี้ยนคงจะไม่วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกผิด

เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกมากเมื่อเห็นลูกชายวิ่งหนีไป นางเดินวนไปมาอยู่ที่ทางเข้าประตูเป็นเวลานาน แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานอำนาจเงินสองพันหยวนในมือหลินม่ายได้ นางจึงเดินเข้าไป

การสร้างบ้านขนาดเล็กสองชั้นในเขตชนบทใช้เงินเพียงแค่สองสามร้อยหยวนเท่านั้น หากเป็นเงินสองพันหยวนจะขนาดไหน แค่คิดถึงเงินจำนวนมหาศาลพวกนั้นก็ทนไม่ไหวแล้ว!

ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร นางจะลากนังสารเลวนั่นกลับไปด้วยให้ได้ และบังคับให้มอบเงินสองพันหยวนให้นาง ไม่อย่างนั้นก็จะตีให้ตาย!

ผู้คนในยุคสมัยนี้หวาดกลัวตำรวจ แม้เหยาชุ่ยฮวาจะแข็งแกร่งกำยำ แต่ก็ต้องตัวสั่นเทาเมื่อเข้าไปในสถานีตำรวจ

นางรีบเดินเข้าไปอย่างองอาจเมื่อเห็นหลินม่ายนั่งให้การอยู่ด้านหน้าตำรวจ ก่อนเดินเข้าไปยืนด้านข้างและเงี่ยหูฟัง

ตำรวจเตือนหลินม่ายให้หยุด และหันไปถามเหยาชุ่ยฮวา “คุณครับ มีอะไรหรือเปล่า?”

เหยาชุ่ยฮวาชี้ไปที่หลินม่าย “หล่อนเป็นลูกสะใภ้ของฉันเองค่ะ”

ตำรวจพยักหน้า “คุณเป็นหนึ่งในเหยื่อคดีฉ้อโกงงานแต่งงานของคุณผู้หญิงคนนี้เหรอครับ? เชิญนั่งลงก่อนสิครับ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ผายมือเชิญนางนั่งลง

เหยาชุ่ยฮวาโล่งใจเมื่อเห็นตำรวจแสดงความเป็นมิตร และนั่งลงข้างหลินม่าย

หลินม่ายพูดเกือบจะจบแล้ว ดังนั้นเหยาชุ่ยฮวาจึงได้ยินเธอพูดแค่ว่า “ก่อนถึงวันปีใหม่ ครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี้ยนไล่ฉันจากบ้านท่ามกลางหิมะค่ะ อย่าพูดถึงการแต่งงานโดยพฤตินัยเลยค่ะ เพราะถ้าเป็นการแต่งงานโดยพฤตินัยมันก็จบลงแล้ว”

เหยาชุ่ยฮวารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความฉุนเฉียว “แค่ทะเลาะเบาะแว้ง ไล่แกออกจากบ้านก็ถือการแต่งงานเป็นโมฆะแล้วเหรอ? ฝันไปเถอะย่ะ!”

“ฉันจะบอกอะไรให้นะ แกถูกสู่ขอมาเป็นลูกสะใภ้ด้วยสินสอดทองหมั้นราคาสูง ต่อให้แกมีชีวิตอยู่ก็ต้องเป็นคนของเรา และต่อให้ตายไปก็ต้องเป็นผีเฝ้าบ้านเราอยู่ดี!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีจิตใจเมตตาร้องตะโกน “คุณครับ โปรดระมัดระวังคำพูดและการกระทำด้วย ที่นี่คือสถานีตำรวจ ไม่ใช่ที่ที่คุณจะมาเอะอะโวยวายได้!”

เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่าตนยังอยู่ในสถานีตำรวจ

ก่อนจะเปลี่ยนบุคลิกท่าทางให้ดูน่าสงสาร และพูดกับตำรวจว่า “คุณตำรวจคะ หล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่ครอบครัวเราจ่ายค่าตัวให้แพงมาก คุณตำรวจจะต้องบอกให้หล่อนกลับมาที่บ้านเรานะคะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ยังอายุไม่มากนัก น่าจะประมาณยี่สิบกว่า ๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูน่าเกรงขามมากเมื่อเอาจริงเอาจัง

“ลูกสะใภ้ที่จ่ายค่าตัวให้แพง? คุณซื้อตัวลูกสะใภ้มาเหรอครับ?”

เหยาชุ่ยฮวาตกใจมากจนรีบโบกมือ “พูดผิดค่ะ ลิ้นพันกันค่ะลิ้นพัน ฉันหมายถึงหล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่บ้านเราสู่ขอมาด้วยสินสอดทองหมั้นราคาแพง…”

นางยังคงพูดต่อไม่รู้จบและไม่เข้าประเด็น ตำรวจหนุ่มจึงทำท่าทางให้นางหยุดพูด

“ถึงผมจะเห็นใจกับสถานการณ์ของคุณ แต่ว่าการแต่งงานเป็นโมฆะแล้วครับ คุณเสี่ยวหลินไม่จำเป็นต้องกลับไปที่บ้าน”

เหยาชุ่ยฮวาลืมควาหวาดกลัวไปชั่วขณะ และตะคอกถาม “ทำไม!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดอธิบายอย่างอดทน “ก็มันเกี่ยวกับกฎหมายการแต่งงานของคู่สมรสไงครับ ผมพูดเรื่องเหลวไหลอยู่หรือไง?”

จากนั้นเขาก็มอบเกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายการแต่งงานทางพฤตินัยให้แก่เหยาชุ่ยฮวา

เสียงของเขาดังก้องจนเพื่อนบ้านที่อยู่รอบประตูสถานีตำรวจได้ยินแจ่มแจ้ง

“การแต่งงานโดยพฤตินัยหมายถึงการที่ผู้หญิงและผู้ชายอยู่กินร่วมกันอย่างต่อเนื่องฉันท์สามีภรรยา”

“และการอยู่ร่วมกันแบบนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมายการแต่งงาน กล่าวคือทั้งสองฝ่ายจะต้องบรรลุนิติภาวะแล้ว และทั้งสองฝ่ายจะต้องเต็มใจที่จะแต่งงานกัน”

“ทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่มีคู่สมรส ไม่ใช่ญาติทางสายตรงหรือญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันในสามชั่วอายุคน จะต้องไม่ทนทุกข์ทรมานจากโรคที่แพทย์เชื่อว่าไม่ควรแต่งงาน”

“การแต่งงานของลูกชายคุณกับคุณเสี่ยวหลินไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ และฝ่ายหญิงมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีตามที่เกณฑ์ข้อบังคับที่ทางรัฐได้กำหนดเอาไว้”

“การที่หล่อนกับลูกชายของคุณไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแต่งงานโดยพฤตินัยไม่มีอยู่จริง นั่นหมายความว่าทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานกัน”

เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงในทันใดเมื่อรู้ว่าหลินม่ายไม่ใช่ลูกสะใภ้ของครอบครัวนางอีกต่อไป ก่อนจะเรียกร้องต่อ

นางชี้นิ้วไปที่หลินม่ายด้วยสีหน้ามึนตึง “ครอบครัวของเราพลิกพันมาระยะหนึ่งแล้ว ยังต้องมาสู่ขอลูกสะใภ้ที่ไม่ได้เรื่องอีก เธอจะต้องชดใช้ให้พวกเรา เอาเงินสองพันหยวนมาซะ ต่อให้คุณเอาปืนมายิงฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยหล่อนไป!”

ในยุคนี้นับประสาอะไรกับคนบ้านนอก แม้แต่คนในเมืองส่วนน้อยนักที่จะเข้าใจกฎหมาย

เหยาชุ่ยฮวาเพียงต้องการให้ตนได้รับผลประโยชน์สูงสุดเท่านั้น ดังนั้นนางจึงยืนกรานต่อ และไม่รู้ตัวว่าเผลอสร้างความหายนะให้กับตนเองแล้ว

เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มหันหน้าไปถามว่า “คุณเสี่ยวหลินเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่สุดในเหตุการณ์นี้ และคุณกำลังเรียกร้องค่าชดเชยจากเหยื่อ สมเหตุสมผลดีนะครับ!”

“ถ้าเรียกร้องค่าชดเชยไม่สำเร็จ คุณจะไม่ปล่อยเธอไป!”

“ในเมื่อคุณกล้าทำแบบนี้ นั่นหมายความว่าคุณกล้าที่จะละเมิดกฎหมาย ตอนนี้เรากำลังดำเนินการตามมาตรการอย่างเข้มงวด คุณรอเข้าคุกได้เลยครับ”

เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงและเริ่มพูดตะกุกตะกัก “ฉัน.. ครอบครัวฉันก็ตกเป็นเหยื่อเหมือนกันค่ะ แล้วใครจะรับผิดชอบความเสียหายของเราละคะ?”

หลินม่ายหรี่ตามองนาง “ใครที่โกงสินสอดบ้านคุณไป คุณก็ไปหาคนนั้นแหละค่ะ!”

เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า “คุณเสี่ยวหลินพูดถูก”

เหยาชุ่ยฮวากลอกตาและพูดยืนกราน “หลินม่ายมีส่วนร่วมกับพ่อแม่และพี่สาวของเธอฉ้อโกงสินสอดมูลค่าหลายหยวนจากบ้านฉันค่ะ คุณตำรวจ คุณต้องช่วยฉันตัดสินนะคะ”

เมื่อพูดจบ นางก็เริ่มการแสดงโดยบีบน้ำตาร้องไห้

หลินม่ายพูดจาดูถูก “ฉันมีส่วนร่วมเหรอ? แล้วฉันได้ประโยชน์อะไรบ้างล่ะ?”

เหยาชุ่ยฮวาโต้กลับ “มีใครไม่รู้บ้างว่าเธอกับพี่สาวรักกันปานจะกลืนกิน เธอเต็มใจช่วยพี่สาวฉ้อโกงเพื่อที่พี่สาวเธอจะได้เรียนต่อ!”

หลินม่ายกางมือออก “มันไม่ได้พิสูจน์ว่าฉันเต็มใจช่วยพี่ฉ้อโกงหรอก แล้วอีกอย่างนั่นก็หมายความว่าฉันถูกพี่หลอกเหมือนกัน”

“ไม่อย่างนั้นในวันแต่งงานฉันคงไม่ออกมาเปิดเผยความจริงว่าลูกชายคุณกับพี่สาวฉันหลอกให้ฉันแต่งงานเข้าบ้านคุณหรอก”

“ตอนนั้นลูกชายคุณยอมรับแล้ว แถมคุณยังด่าเขาต่อหน้าทุกคนอีก ชาวบ้านในหมู่บ้านก็เป็นพยานได้”

เพื่อนบ้านที่ยืนออกันอยู่ที่ประตูสถานีตำรวจเริ่มพูดคุยกัน “ได้ยินมาว่าก่อนหน้าที่ม่ายจื่อจะถูกไล่ออกจากบ้าน หล่อนป่วยออด ๆ แอด ๆ บ่อย แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากพาหล่อนกลับบ้าน คงคิดจะเอาเงินหล่อนล่ะสิ”

“ใช่ ๆ เห็นว่าจะเอาสองพันหยวนเชียวนะ ฉันได้ยินเสียงซุบซิบมาว่าม่ายจื่อทำเงินได้มหาศาล คงจะมาเอาเงินสิท่า”

ตั้งแต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับผู้เป็นแม่ปรากฏตัวในเมือง ป้าอู๋ก็ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนขณะรับชมความสนุก แต่หลังจากได้ยินบทสนทนาของชาวบ้าน นางก็รีบผละตัวออกมาทันที

นางต้องการจะแทงข้างหลังหลินม่าย แต่กลับไม่คิดว่าจะเผลอเปิดโปงตนเอง

ถ้าป้าอู๋ไม่ผละตัวออกมาก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น ทว่าป้าอู๋กลับผละตัวออกมาเงียบ ๆ ถึงอย่างนั้นชาวบ้านสองสามก็สังเกตเห็นนางอยู่ดี

ชาวบ้านคนหนึ่งรู้ว่านางเป็นญาติห่าง ๆ ของอู๋จินกุ้ย จึงรีบลดระดับเสียงและพูดเดาว่า “นั่นมันอู๋จินฮวาญาติฝั่งสามีของม่ายจื่อไม่ใช่เหรอ? หล่อนกับม่ายจื่อถือว่าเป็นญาติกันนี่!”

อู๋จินฮวาคือชื่อจริงของป้าอู๋

ชาวบ้านพากันพยักหน้าทีละคน “น่าจะใช่นะ ครอบครัวของพวกหล่อนไปขโมยกิจการของม่ายจื่อ แต่กลับขาดทุนย่อยยับ อู๋จินฮวาแค้นมากเลยไปยืมมือแม่สามีของม่ายจื่อให้มาจัดการหล่อนแทน!”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

โดนม่ายจื่อฟ้องขนาดนี้แล้วจะกลับลำกันทันไหม บอกแล้วว่าอย่ามาไฝว้กับม่ายจื่อ

นังป้าดอกไม้ทองนักเสี้ยมนี่คงถึงกาลอวสานก็คราวนี้แหละ (ไม่ได้จะหยาบนะคะ นางชื่อจินฮวา ซึ่งมันก็แปลว่าดอกไม้ทองจริงๆ)

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 53 เธอคือลูกสะใภ้บ้านฉัน!

ขณะเดียวกันฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้ามา ด้วยความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร เขาจึงก้มมองอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับแม่ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม

ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จะสาดโคลนใส่หัวคุณปู่คุณย่าผมหรือไง เดี๋ยวผมไปเอาเทปมาบันทึกเสียงพวกคุณก่อน จะได้ฟ้องพวกคุณในข้อหาใส่ร้าย และจับพวกคุณเข้าคุกเข้าตารางสักสองสามปี! อย่าได้คิดว่าการพูดโกหกมีโทษเบานักสิ!”

เหยาชุ่ยฮวากับลูกชายต่างตกตะลึง

พวกเขาคิดว่าตนเป็นคนจนและไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย ไม่ว่าพวกเขาจะออกมาสร้างปัญหาอย่างไร ผู้เฒ่าทั้งสองจากตระกูลฟางก็จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพวกเขาอยู่ดี

นอกจากนี้หลินม่ายยังเป็นคนนอกสำหรับครอบครัวของสองเฒ่า พวกเขาคงไม่สละชื่อเสียงเพื่อมาปกป้องเธอ

เมื่อใดก็ตามที่นังสารเลวนั่นไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของสองเฒ่าจากตระกูลฟาง พวกเขาก็จะทุบตีหล่อนให้เชื่อฟังได้ไม่ใช่หรือ?

พวกเขามีแผนการจะพาเธอกลับบ้านและขังเธอเอาไว้ในห้องจนกว่าเธอจะตั้งครรภ์ลูกของอู๋เสี่ยวเจี้ยน จากนั้นจึงจะสั่งให้เธอออกไปหาเงิน

พวกเขาจะจับลูกของเธอเป็นตัวประกัน เมื่อใดที่เธอไม่เชื่อฟังพวกเขา! พวกเขาก็จะทำร้ายลูกของเธอ!

แต่กลับคาดไม่ถึงว่าสองเฒ่าจากตระกูลฟางจะดูออกว่าพวกเขากำลังโจมตีหลินม่าย นอกจากจะไม่หวาดกลัวผลกระทบที่มีต่อชื่อเสียงแล้ว ยังคอยปกป้องเธออีก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้ากำลังจะส่งพวกเขาเข้าคุก

เหยาชุ่ยฮวารีบเปลี่ยนสีหน้า และแสร้งทำตัวน่าสงสาร “ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นนะคะ แค่อยากจะมาพาลูกสะใภ้กลับบ้าน”

ฟางจั๋วเยวี่ยพูดตอบอย่างเย่อหยิ่ง “เราไม่ให้พวกคุณพาหล่อนกลับไป พวกคุณกลับไปซะ!”

เหยาชุ่ยฮวาไม่ต้องการจากไป นั่งลงที่หน้าประตูบ้านตระกูลฟาง “ถ้าวันนี้ลูกสะใภ้ไม่กลับไปกับเรา ฉันก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนทั้งนั้น!”

นางรีบงัดความสามารถในการแสดงออกมา และใช้อีกน้ำเสียงข่มขู่หลินม่าย

วันนี้อากาศดีมาก แสงอาทิตย์สาดส่อง เพื่อนบ้านหลายคนออกมานั่งรับไอแดดอยู่ที่หน้าประตูบ้านและพูดคุยกัน

ความสนใจของทุกคนพุ่งเป้าไปที่การเคลื่อนไหวหน้าประตูบ้านตระกูลฟาง และหยุดพูดคุยชั่วขณะ จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลินม่ายพยักหน้าให้เหยาชุ่ยฮวา น้ำเสียงของเธอเรียบนิ่งมาก “ก็ได้ งั้นคุณก็นั่งตรงนี้ต่อไป อย่าไปไหนล่ะ ถ้าลุกขึ้นเมื่อไหร่ฉันจะถือว่าคุณเป็นเดรัจฉาน”

จากนั้นเธอหันไปพูดกับสองเฒ่าตระกูลฟาง “คุณปู่คุณย่าคะ ฉันไปสถานีตำรวจก่อน แล้วจะรีบกลับมานะคะ”

คุณปู่ฟางรีบก้าวไปข้างหน้า “ปู่จะไปด้วย”

หากมีเขาไปด้วย ไม่ว่าหลินม่ายจะไปร้องเรียนเรื่องอะไรที่สถานีตำรวจ ทางสถานีจะต้องช่วยเธอจัดการอย่างรวดเร็วเป็นแน่

ทว่าหลินม่ายกลับส่ายหน้าพลางยิ้มให้ “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวได้”

คุณปู่ฟางรู้ว่าเธอต้องการปกป้องพวกเขาสองเฒ่า และไม่ต้องการให้พวกเขาถูกโยงเข้ามามีส่วนร่วม

แม้ว่าสองแม่ลูกอู๋เสี่ยวเจี้ยนจะไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย แต่เพื่อเห็นแก่ความสบายใจของหลินม่าย เขาจึงไม่ได้ตามเธอไปด้วย

หลินม่ายเดินไปข้างหน้า ขณะที่อู๋เสี่ยวเจี้ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินตามไป

คุณปู่กลัวว่าหลินม่ายจะเสียเปรียบ และกำลังจะสั่งให้ฟางจั๋วเยวี่ยตามไปปกป้องเธอ แต่กับได้ยินหลินม่ายตะโกนเสียงดังลั่น

“เพื่อนบ้านทุกคนคะ คนที่นั่งอยู่หน้าบ้านคุณปู่คุณย่าฟางคือเหยาชุ่ยฮวาจากบ้านตระกูลอู๋ และตอนนี้คนที่อยู่ด้านหลังฉันคือลูกชายของหล่อนอู๋เสี่ยวเจี้ยนค่ะ”

“คนหนึ่งอ้างตนว่าเป็นแม่สามีของฉัน ส่วนอีกคนอ้างตนว่าเป็นสามีฉัน อยากจะพาฉันกลับไปที่บ้าน”

“ฉันที่อยู่ตรงหน้าทุกคนอยากจะชี้แจงว่าตัวฉันกับอู๋เสี่ยวเจี้ยนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และก็ไม่ได้เป็นสามีภรรยากันจริง ๆ เพราะฉะนั้นเขาไม่ใช่สามีของฉัน และหล่อนก็ไม่ใช่แม่สามีฉันเหมือนกัน”

เมื่อเหยาชุ่ยฮวาผู้ซึ่งทำตัวแพ้แล้วพาลนั่งอยู่ด้านประตูบ้านตระกูลฟางได้ยินเช่นนั้น นางก็รีบลุกขึ้นมาจากพื้น พุ่งเข้าหาหลินม่ายราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ร้องตะคอกอย่างโกรธเคือง

“ที่ฉันไม่ได้พูดถึงทะเบียนสมรสเพราะเธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์ ยังไม่ได้ลองใช้ชีวิตอยู่กินกันฉันสามีภรรยา ตอนนี้เธอกลับบ้านไปใช้ชีวิตเป็นคู่สามีภรรยาซะ ทั่วทั้งหมู่บ้านเขาก็รู้กันหมดว่าเธอแต่งงานเข้าบ้านเรา หรือว่าเธอจะปฏิเสธล่ะ? อย่าได้แม้แต่จะคิดเชียว!”

หลินม่ายหยุดเดิน ขมวดคิ้วและมองดูสีหน้าของนางที่เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว “ฉันก็แค่สงสัยว่าพวกคุณไล่ฉันออกจากบ้านไม่ใช่เหรอ พวกคุณเกลียดฉันมากนี่ แล้วจะมาตามฉันกลับไปบ้านทำไม?”

เหยาชุ่ยฮวาไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าพวกเขาต้องการเงินที่เธอหามา และใช้เธอเป็นเครื่องมือหาเงินให้ครอบครัว

เพียงแต่บอกว่าเธอเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขาที่ได้รับสินสอดทองหมั้นราคาสูง และต้องการให้เธอกลับไปสืบทายาท

เหยาชุ่ยฮวาหันไปร้องไห้กับเพื่อนบ้าน น้ำมูกน้ำตาไหลอาบย้อย “ไหนจะค่าสินสอดสิบหยวน ผ้าฝ้ายทั้งห้าผืนซื้อจากสหกรณ์การตลาดของทางรัฐอย่างดี ทำไมเราจะต้องขับไล่ลูกสะใภ้ค่าตัวแพงคนนี้ด้วย?”

เพื่อนบ้านผู้สูงอายุหลายคนต่างมองดูเหยาชุ่ยฮวาด้วยความเห็นอกเห็นใจ พวกเขาสูญเสียทรัพย์สินไปจำนวนมาก ไม่มีทางที่จะขับไล่ลูกสะใภ้เด็ดขาด

ทว่าหลินม่ายกลับหนักแน่นพอ “ผ้าฝ้ายที่คุณซื้อมาเป็นสินสอดไม่ได้มีประโยชน์อะไร…”

เธอถูกเหยาชุ่ยฮวาขัดจังหวะก่อนจะพูดจบ “ผ้าฝ้ายจะมีประโยชน์อะไรกับเธอหรือไม่ นั่นก็เป็นเรื่องของบ้านเธอ ครอบครัวเรารับรู้แต่ว่าเธอแต่งงานเข้ามาโดยมีผ้าฝ้ายเป็นสินสอด!”

เพื่อนบ้านหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย

หลินม่ายยังคงสงบนิ่ง “ที่คุณพูดมันก็ถูก แต่มันไม่ได้เป็นไปตามหลักกฎหมาย”

เหยาชุ่ยฮวารู้สึกมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างมีความคิดเห็นแบบเดียวกันกับนาง “ครอบครัวเราใช้เงินกับผ้าฝ้ายมาเป็นสินสอดสู่ขอเธอมาเป็นลูกสะใภ้ ทำไมจะไม่เป็นไปตามหลักกฎหมาย?”

หลินม่ายยิ้มเยาะ “ถ้าเป็นไปตามที่คุณพูด มันคือธุรกิจซื้อขายลูกสะใภ้ ผู้ขายกับผู้ซื้อก็ควรจะถูกจับเข้าคุกไม่ใช่เหรอ?”

เหยาชุ่ยฮวากลอกตาและพูดตอบ “เธอเป็นลูกสะใภ้ที่เราซื้อมาจากพวกค้ามนุษย์หรือไง?”

“ก็ไม่ใช่นี่ พ่อแม่เธอเป็นคนตอบรับค่าสินสอดทั้งหมดและให้เธอแต่งงานกับเสี่ยวเจี้ยน แล้วคำว่าธุรกิจซื้อขายลูกสะใภ้ควรจะออกมาจากปากเธอเหรอ?”

เพื่อนบ้านพยักหน้า

หลินม่ายเลิกคิ้วและถาม “พวกคุณตกลงกับพ่อแม่ฉัน แล้วฉันตกลงหรือยังล่ะ? ถ้าฉันไม่ได้พยักหน้าหรือตอบตกลง การแต่งงานครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นโมฆะ!”

เหยาชุ่ยฮวาเบิกตากว้างด้วยความโกรธจัด “ครอบครัวเธอกล้าดียังไงมาขุดหลุมขโมยเงินจากครอบครัวฉัน!”

เพื่อนบ้านเริ่มกระซิบกระซาบโดยบอกว่าครอบครัวของหลินม่ายโหดเหี้ยม และให้ลูกสาวฉ้อโกงค่าสินสอด

หลินม่ายส่ายหัวและยิ้ม “ฉันไม่ได้มีส่วนฉ้อโกงสินสอดกับทรัพย์สินของครอบครัวคุณสักหน่อย อย่าเหมารวมกันสิ”

“ฉันก็เป็นเหยื่อเหมือนกับครอบครัวคุณ คุณถูกโกงเงิน ส่วนฉันถูกหลอกให้แต่งงานเข้าครอบครัวคุณ”

“ในเมื่อนายเองก็เป็นเหยื่อ ทำไมนายไม่ไปโรงพักกับฉันล่ะ บอกให้ตำรวจเข้าไปจับกุมพ่อแม่พี่สาวที่ไร้ยางอายของฉัน เอาไหมล่ะ?”

อู๋เสี่ยวเจี้ยนรู้สึกกังวลเมื่อได้ยินว่าหลินเพ่ยมีส่วนเกี่ยวข้อง “แล้วมันเกี่ยวกับพี่สาวเธอตรงไหน?”

หลินม่ายมองดูเขาด้วยสายตาเย้ยหยัน “ทำไมจะไม่เกี่ยวล่ะ ก็หล่อนเป็นผู้รับผลประโยชน์ทั้งหมด!”

เมื่อพูดจบ เธอก็แสยะยิ้ม “เกือบลืมไปเลยว่าพี่สาวฉันสนิทกับนาย นายกับพี่เลยรวมหัวหลอกกันเอาทรัพย์สินทองหมั้นและผ้าฝ้ายของครอบครัวตัวเองไปให้พี่ แต่ยังไงซะนายก็คงจะปกป้องหล่อนอยู่ดี!”

ก่อนหน้านี้เพื่อนบ้านในเมืองซื่อเหม่ยไม่ได้ตระหนักถึงละครน้ำเน่า พวกเขาจึงตกตะลึงทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

หลินม่ายหันไปถามเหยาชุ่ยฮวาอีกครั้ง “ลูกชายคนโตของคุณมีส่วนร่วมในการฉ้อโกงเงินสินสอดและผ้าฝ้ายด้วย คุณจะไปแจ้งความกับฉันไหมล่ะ แต่ฉันคิดว่าคุณคงไม่ทำ”

เธอยิ้มเยาะ “ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไร เพราะฉันจะไปแจ้งตำรวจเอง”

“และเพื่อเห็นแก่ความทุกข์ทรมานของครอบครัวคุณ ฉันจะเปิดทางให้พวกเขาแล้วกัน ให้พี่สาวฉันเข้าไปเป็นลูกสะใภ้บ้านคุณซะสิ”

“เดิมทีพี่สาวฉันกับลูกชายคุณก็รักกันมากนี่ ให้หล่อนย้ายเข้าบ้านคุณซะ พี่สาวกับลูกชายคุณที่รักกันอยู่จะได้แต่งงานกันสักที คงจะดีไม่น้อย!”

เมื่อพูดจบ เธอก็เดินไปสถานีตำรวจ

เพื่อนบ้านหลายคนตามหลังไปด้วยเพื่อรอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นอีก

ละครน้ำเน่าในชีวิตจริงน่าติดตามเสียยิ่งกว่าละครในโทรทัศน์ อย่าให้พลาดแม้แต่ก้าวเดียว

เหยาชุ่ยฮวาและลูกชายชำเลืองมอง กัดฟันกรอด และเดินตามไป

พวกเขาต้องตามไปพลิกแพลงสถานการณ์เพราะกลัวว่าตำรวจจะฟังความข้างเดียวจากหลินม่าย จนทำให้พวกเขาเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไม่ต้องไปต่อล้อต่อเถียงให้เปลืองน้ำลายหรอก แจ้งความตำรวจส่งคนพวกนี้เข้าไปกินข้าวแดงในคุกให้เข็ดเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 52 อย่ากลัวว่าพวกเขาจะกล่าวหา!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถึงกับพูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก “แม่ ผมกับม่ายจื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จะหย่ากันได้ยังไง”

อู๋เสี่ยวเถาน้องสาวคนโตถึงกับกลอกตา “พี่เรียนจบชั้นมัธยมต้นมาไม่ใช่เหรอ ไม่รู้จักการแต่งงานโดยพฤตินัยหรือไง?”

“ถึงจะไม่มีทะเบียนสมรส แต่ม่ายจื่อกับพี่ก็แต่งงานกันแล้ว มีชาวบ้านคนไหนไม่รู้บ้าง?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้สึกว่าสมเหตุสมผลทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าพิธีแต่งงานกับนังสารเลวนั่นจริง และเรียกได้ว่าเป็นการแต่งงานโดยพฤตินัย การพาตัวเธอกลับมาถลุงเงินมันจะผิดแปลกอะไร?

เป็นเรื่องปกติที่สามีจะหยิบยืมเงินของภรรยา

จิตใจของเขาเบิกบานมีความสุขเมื่อคิดว่าจะได้รับเงินสองพันหยวนจากหลินม่าย

ต่อจากนี้ไปเพ่ยเพ่ยจะไม่ต้องถูกเพื่อนร่วมชั้นดูถูกว่ายากจนอีก เขาจะใช้เงินทั้งหมดแต่งตัวหล่อนให้สวยสง่าที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะควบคุมนังสารเลวนั่นอย่างเข้มงวด เธอจะกลายเป็นเครื่องทำเงินให้เขากับหลินเพ่ย

มุมปากเขาพลันแสยะยิ้ม เห็นด้วยกับเหยาชุ่ยฮวา “ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปรับตัวนังสารเลวนั่นที่บ้านพ่อเฒ่าฟาง”

แม้ว่าความมั่งคั่งของหลินม่ายจะสะดุดเข้าตาคนกลุ่มนี้ ทว่าอู๋จินกุ้ยก็ยังยึดตามหลักเหตุผล

“พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไป อีกสองสามวันค่อยไป”

เหยาชุ่ยฮวาไม่เข้าใจ “ทำไม?”

“เราต้องไว้หน้าพ่อเฒ่าฟางหน่อย ถ้าเสี่ยวเจี๋ยนเดินทางไปรับแล้วนังสารเลวนั่นไม่ยอมกลับมากับเสี่ยวเจี๋ยนล่ะ?”

“ถ้าเกิดมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านพ่อเฒ่าฟาง ทุกคนคงจะไม่สบายใจไปตลอดทั้งปี และตระกูลฟางจะเกลียดชังเอาได้ นอกจากนี้พวกเรารับผลที่จะตามมาได้หรือ?”

ทุกคนต่างพูดไม่ออก

เหยาชุ่ยฮวาที่โกรธเคืองโพล่งขึ้นมาว่า “งั้นวันชูซื่อ(1)ค่อยไป”

ในที่สุดอาหารที่เหลือค้างจากวันส่งท้ายปีเก่าของตระกูลฟางก็หมดลงจากการกลายเป็นอาหารค่ำในวันปีใหม่และเป็นอาหารเช้าในวันที่สองของเทศกาลปีใหม่

ในตอนเที่ยง ฟางเสียนจิ้งลูกสาวเพียงคนเดียวของคู่รักสองเฒ่าก็กลับมามาที่บ้านพ่อแม่ พวกเขาจึงเสิร์ฟอาหารสดใหม่ให้แก่หล่อน

อาหารที่เหลือค้างนั้นไม่สามารถนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารได้ นอกจากนี้ลูกสาวที่แต่งงานออกไปแล้วกลับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านพ่อแม่จะถือว่าเป็นแขกคนหนึ่งที่ไม่อาจละเลยได้

กล่าวกันว่าลูกสาวคือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ หลินม่ายคิดว่าฟางเสียนจิ้งจะแตกต่างจากพี่ชายคนอื่น แต่กับคาดไม่ถึงว่าหล่อนและสามีจะเมินเฉยต่อสองเฒ่า

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขานั่งพักอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นพิธีก่อนจะรีบจากไป

ลูก ๆ ของฟางเสียนจิ้งไม่แม้แต่จะมาอวยพรวันปีใหม่ให้คู่สามีภรรยาฟาง ยิ่งทำให้คู่สามีภรรยาฟางเศร้าหมอง

วันที่สามของเทศกาลปีใหม่ไม่ได้มีความสำคัญนัก ญาติพี่น้องสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้

ในวันนี้ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ข้าราชการจะเดินทางมาบ้านตระกูลฟางเท่านั้น แต่ข้าราชการระดับสูงระหว่างประเทศและผู้บริหารเมืองและต่างจังหวัดยังเดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ให้แก่คุณปู่ฟาง

มีรถประจำทางสิบถึงยี่สิบคันจอดอยู่ที่หน้าประตู เรียงรายกันเป็นแถวยาวจนดูสะดุดตา

เพื่อนบ้านทั้งหลายไม่กล้าเข้ามาใกล้ ทำได้เพียงมองดูจากระยะไกล

แม้ว่าหลินม่ายจะไม่สามารถอยู่ด้วยได้ แต่เธอก็ได้ยินคำพูดสองสามคำจากแขกขณะรินน้ำชา

ตามที่เธอคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ คุณปู่ฟางไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นข้าราชการระดับสูงที่เกษียณออกมาแล้ว

เจ้าหน้าที่ข้าราชการทั้งหลายทยอยกลับไป เมื่อคนจากไปน้ำชาก็เย็นชืด(2) ถึงอย่างนั้นคุณปู่ฟางก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในเมืองหลวงยังมีสหายและผู้ใต้บังคับบัญชาอีกหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา คนเหล่านี้อยู่ในตำแหน่งระดับสูง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจึงให้ความสำคัญกับคุณปู่ฟางมาก

แขกจำนวนมากเดินทางเข้ามาเยี่ยมเยียนในวันที่สาม และเขาไม่ได้รีบกลับไปจนกระทั่งห้าโมงเย็น ส่งผลให้หลินม่ายเหนื่อยมากเพราะเธอต้องเตรียมอาหารทั้งวัน

เสิร์ฟอาหารและเตรียมโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่มีเวลาทำอาหารดี ๆ ให้ตนเอง กระทั่งแขกกลับกันไปหมด เธอจึงทำบะหมี่สองถ้วยแบบเดียวกันให้กับโต้วโต้ว

วันรุ่งขึ้น หลินม่ายตื่นนอนขึ้นมาในเวลาแปดโมง

เธอไม่ได้พักผ่อนเป็นเวลานานแบบนี้มานานแล้ว ได้นอนเต็มอิ่มมาก

คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางเพิ่งตื่นนอนเมื่อไม่นานมานี้ คุณย่าฟางกำลังจะเข้าไปเตรียมอาหารในห้องครัว แต่หลินม่ายกลับห้ามเอาไว้

เธอจะไม่ยอมให้คุณย่าฟางทำอาหาร

ทุกวันนี้กินแต่เนื้อกินแต่ปลา ผู้เฒ่าทั้งสองควรจะกินอาหารเบา ๆ บ้าง

อาหารเช้าของหลินม่ายจึงเป็นข้าวต้มไข่เค็มที่ทำมาจากไข่เป็ดกับซาลาเปาไส้ผักกาดดองแบบเรียบง่าย

ฟางจั๋วเยวี่ยชอบนอนดึก ดังนั้นทุกเช้าคุณย่าฟางจะเป็นคนมาปลุกเขา และเช้านี้ก็เช่นกัน

ทันทีที่ตื่นนอน เขาจะกินอาหารก่อนที่จะล้างหน้าและแปรงฟัน

หลินม่ายเหลือบมองใบหน้าที่รกรุงรังผมเผ้ากระเซอะกระเซิงและขี้ตาที่ติดอยู่บนหัวตาของเขาแล้วก็ตั้งใจไม่หันไปมองเขาอีก เพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อความอยากอาหาร

ไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาจะเป็นเหมือนเขาหรือเปล่า ตรงที่ดูเรียบร้อยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน แต่ในบ้านกลับทำตัวซกมก

…แต่ศัลยแพทย์ไม่ควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าหมอไม่รู้จักใส่ใจเรื่องสุขอนามัย ระหว่างทำการผ่าตัดอาจจะนำเชื้อโรคไปสู่บาดแผลของคนไข้ได้ไมใช่หรือ?

หลินม่ายคิดฟุ้งซ่าน ขณะได้ยินฟางจั๋วเยวี่ยบอกสองเฒ่าว่าเขาจะกลับเข้าเมืองหลังกินอาหารเช้าเสร็จ

แม้จะเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าจะต้องกลับไปทำงาน แต่คนหนุ่มสาวมักจะชอบพบปะสังสรรค์กับคนหนุ่มสาวด้วยกัน คุณปู่คุณย่าฟางจึงไม่ได้ฉุดรั้งอะไรมากนัก

ขณะเดียวกันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น คุณย่าฟางจึงลุกขึ้นยืนและตะโกนถาม “ใคร?”

ไร้เสียงตอบรับจากหน้าประตู

ทุกคนต่างงุนงงว่าใครมาหา และทำไมถึงไม่ยอมขานรับ!

คุณย่าฟางเปิดประตูและมองดูคนแปลกหน้าทั้งสอง นางมองตั้งแต่หัวจรดเท้าและถามว่า “พวกคุณเป็นใคร?”

หลินม่ายรู้จักคนพวกนี้ดี คนหนึ่งคือเหยาชุ่ยฮวา ส่วนอีกคนคืออู๋เสี่ยวเจี๋ยน

ใบหน้าของเธอเรียบนิ่ง วางตะเกียบในมือลงและเดินไปถาม “พวกคุณมาที่นี่ทำไม?”

คุณย่าฟางถามเธอ “เธอรู้จักพวกเขาด้วยเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “เขาคืออู๋เสี่ยวเจี๋ยน ส่วนอีกคนคือเหยาชุ่ยฮวาแม่ของเขาค่ะ ”

เธอไม่เคยเรียกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่าอดีตสามี และไม่เคยเรียกเหยาชุ่ยฮวาว่าแม่สามี

เธอกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยจดทะเบียนสมรสกัน และไม่ใช่การแต่งงานโดยนิตินัย แม่ลูกคู่นี้เป็นแค่อดีตสามีกับอดีตแม่สามีเท่านั้น!

คุณย่าฟางกับหลินม่ายเข้ากันได้ดีราวกับย่าหลานที่แท้จริง ต่อให้เธอไม่ได้บอกคุณย่าเกี่ยวกับอดีตของเธอ แต่อีกฝ่ายก็สามารถรับรู้เข้าใจได้

ชื่อของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกับเหยาชุ่ยฮวาแม่ของเขาเปรียบเสมือนสายฟ้าฟาด ใบหน้าของนางถมึงทึงในทันที “พวกเราไม่ต้อนรับพวกคุณ!” จากนั้นก็ปิดประตู

ทว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเอามือขวางประตูเอาไว้ ทำให้คุณย่าฟางไม่อาจปิดประตูได้ ก่อนจะยิ้มและพูดว่า “คุณย่าฟาง ผมมารับหลินม่ายกลับบ้าน หล่อนเป็นสะใภ้บ้านผมน่ะครับ”

คุณปู่ฟางโพล่งออกมาอย่างขุ่นเคือง “พวกคุณเป็นคนขับไล่หล่อนออกมาจากบ้านเอง ใครเป็นลูกสะใภ้พวกคุณไม่ทราบ?”

ใบหน้าของเหยาชุ่ยฮวาบูดบึ้ง “พ่อเฒ่าฟาง พูดกับฉันแบบนี้หมายความว่ายังไง! ม่ายจื่อเป็นสะใภ้ของบ้านเรา ชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นพยานได้”

สามีภรรยาก็แค่ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่กี่คำ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนขับไล่เธอออกจากบ้านโดยไม่ตระหนักถึงความจริงจัง มันไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคู่รักหนุ่มสาว เธอจะไม่ใช่ลูกสะใภ้บ้านเราตามที่คุณกล่าวหาได้อย่างไร?

“คุณคิดจะใช้บารมีและอำนาจกดขี่ข่มแหงคนธรรมดาที่ไม่มีทางสู้งั้นเหรอ?”

หลินม่ายกลัวว่าคู่สามีภรรยาเฒ่าจะโดนโยงเข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของเธอ

แม้เหยาชุ่ยฮวาจะหาเรื่องชวนทะเลาะแบบไร้เหตุผล แต่ในโลกนี้ก็มีคนมากมายที่ไม่รู้ความจริง หรือรู้ความจริงแต่จงใจใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น

คนประเภทนี้อาจจะไม่ได้มีความแค้นฝั่งลึกกับคุณ แต่มีจิตใจสกปรก

ถึงแม้ว่าคนประเภทนี้จะมีอยู่น้อย แต่ก็สามารถสร้างผลเสียให้อีกฝ่ายอย่างมาก

หลินม่ายไม่อยากให้คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางต้องมาเสียหายเพราะเธอ

เธอจึงหันไปพูดกับเหยาชุ่ยฮวาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หยุดกล่าวหาคุณปู่ฟางสักที ฉันจะไปกับคุณเดี๋ยวนี้!”

คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางพูดขึ้นพร้อมกัน “ม่ายจื่อ อย่าไปกับพวกเขา เราไม่กลัวว่าจะถูกกล่าวหาหรอก!”

……………………………………………………………………………………………………………………

*(1) วันชูซื่อ หมายถึง วันที่สี่ในช่วงเทศกาลตรุษจีน

*(2) คนจากไปน้ำชาก็เย็นชืด เป็นสำนวนเปรียบเทียบคุณปู่ฟางผู้เคยมียศบรรดาศักดิ์และอำนาจ แต่เมื่อเกษียณแล้วกลับไม่มีใครสนใจ

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อตอนนี้แบคใหญ่นะ สู้ไหวแน่เหรอวิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 51 ป้าอู๋ส่งข่าว

ฟางจั๋วหรานเป็นคนล้างจานหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ

พวกผู้ใหญ่เข้ามารวมตัวพูดคุยกันทีละคน ทว่าบรรยากาศกลับไม่ชื่นมื่นอย่างที่ควรจะเป็น

ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับลูกพี่ลูกน้องคนโต พวกเขาพูดคุยกันอย่างออกรส

ขณะที่หวังหรงกำลังคุยกับฟางซืออวี๋

ฟางถิงที่นั่งถัดจากหลินม่ายมองดูเธอด้วยสายตารังเกียจ และพูดจาดูถูก “แผนการไม่เลวเลยนะ เข้ามาประจบสอพลอคุณปู่คุณย่าแล้วคิดว่าจะยกระดับตัวเองได้ภายชั่วข้ามคืนหรือไง?”

หลินม่ายยิ้มเล็กน้อย “ฉันรู้สึกดีที่ได้อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่น่ะค่ะ ไม่คิดจะโผขึ้นจับกิ่งไม้สูงหรอก”

ฟางถิงที่เห็นเธอวางท่าไม่ละอายแก่ใจก็รู้สึกโกรธจัดราวกับประจำเดือนมาไม่ปกติ และพูดประชดประชัน “เธอก็แค่ฉวยโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ จากคุณปู่คุณย่า แค่เสื้อผ้าสองตัวพวกเราไม่เก็บเอามาต่อล้อต่อเถียงหรอกย่ะ”

“แต่อย่าคิดถึงทรัพย์สมบัติของคุณปู่คุณย่าเชียว ทั้งหมดเป็นของสกุลฟาง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกอย่างเธอ!”

หลินม่ายตอบโต้ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่มีความสามารถในด้านนั้น ฉันรู้จักแต่วิธีหาเงินด้วยตัวเอง ไม่เหมือนคุณที่ไม่รู้จักหาเงินด้วยตัวเอง เอาแต่จ้องจะฮุบสมบัติคนของแก่!”

ฟางถิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก

หลังจากพวกผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่สักพันหนึ่ง ฟางเว่ยตั๋งกับฟางเว่ยหมินก็กลับไป

ฟางจั๋วหรานต้องไปทำงานในวันพรุ่งนี้ และกลับไปตั้งแต่บ่ายสี่โมง แน่นอนว่าหวังหรงตามเขาไปด้วย

มีเพียงฟางจั๋วเยวี่ยเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี่

งานของเขาไม่ยุ่งมาก ต่อให้อยู่ต่ออีกสักสองวันก็ไม่เป็นไร

เมื่อมีเขาอยู่ด้วย ภายในบ้านก็ไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เขาแบกโต้วโต้วขึ้นมาบนไหล่และวิ่งไปรอบ ๆ โต้วโต้วกรีดร้องอย่างมีความสุข ขณะที่คุณปู่คุณย่าฟางวิ่งไล่ตามและก่นด่าเขา หวั่นเกรงว่าโต้วโต้วจะหล่นลงมาบนพื้น

เขาจึงพาโต้วโต้วไปสร้างตุ๊กตาหิมะที่ลานหลังบ้าน

ไม่ว่าหิมะจะตกหนักแค่ไหนในมณฑลหู แต่ก็เป็นแค่กองหิมะปกคลุมอยู่บนพื้นหนึ่งถึงสองนิ้วเท่านั้น ประกอบกับอุณหภูมิที่ค่อนข้างสูง จึงทำให้หิมะละลายออกไปกองอยู่ที่ด้านล่าง และมีหิมะอยู่พื้นไม่มากนัก

คนตัวโตกับคนตัวเล็กปั้นหิมะเล่นอยู่ที่ลานหลังบ้าน รวมถึงปั้นตุ๊กตาหิมะที่มีขนาดเท่าโต้วโต้ว

หลินม่ายไม่ปลาบปลื้มอย่างยิ่ง ทว่าโต้วโต้วกลับหัวเราะชอบใจ หล่อนกระโดดโลดเต้น ปรบมือเดินวนรอบตุ๊กตาหิมะ จนมือเล็ก ๆ กลายเป็นสีแดง

ทั้งสองคนเล่นกันสนุกสนาน และกลับเข้าไปในบ้าน

โต้วโต้วกุมหน้าอกขณะหายใจหอบ

คุณย่าฟางเห็นว่าโต้วโต้วเหนื่อยมาก ขนาดรองเท้าผ้าฝ้ายคู่จิ๋วบนเท้าของหล่อนยังเปียกโชก รีบไปหยิบไม้กวาดและหันไปตีฟางจั๋วเยวี่ย “เจ้าคนตัวโตนี่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ไปเล่นหิมะบนพื้นเปียก ๆ ได้ยังไง? ไม่กลัวว่าโต้วโต้วจะป่วยเอาหรือ”

ฟางจั๋วเยวี่ยอมยิ้มขณะแอบไปซ่อนตัว

หลังถอดรองเท้าผ้าฝ้ายของโต้วโต้วที่เปียกน้ำออกก็เอาไปผึ่งไว้ที่เตาถ่าน

จากนั้นคุณปู่ฟางจึงอุ้มหล่อนไปผิงไฟ

โต้วโต้วรู้สึกกังวลมากจนน้ำตาแทบไหลเมื่อเห็นฟางจั๋วเยวี่ยถูกตี หล่อนดิ้นไปมาอยู่ในอ้อมแขนของคุณปู่ฟาง และร้องตะโกน “คุณย่า อย่าตีคุณอา!”

คุณปู่ฟางและภรรยาจิตใจหดหู่เล็กน้อยในวันแรกของเทศกาลปีใหม่ ในขณะที่คุณป้าอู๋ก็ไม่ได้ดีมากนัก

ลูกชายทั้งสองคนของนางออกไปตั้งแผงขายเกาลัดในเมือง แต่กลับถูกกลุ่มนักเรียนบีบบังคับให้ปิดแผง อย่าว่าแต่ทำเงินได้เลย พวกเขาสูญเสียเงินมากกว่าอีก

พอนึกได้ว่านังสารเลวหลินม่ายทำเงินได้จำนวนมาก ความโกรธแค้นก็บังเกิดในหัวใจ

เดิมทีวันนี้นางไปอวยพรวันปีใหม่ที่บ้านตระกูลฟาง เพราะต้องการจะเยาะเย้ยนังสารเลวนั้น แต่ยัยแก่ฟางกลับออกหน้ารับแทน

ยิ่งป้าอู๋คิดเรื่องนี้มากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคืองมากเท่านั้น นางไม่อยากจะกล่ำกลืนความขุ่นเคืองนี้ไว้ หยิบสุราคุณภาพต่ำขึ้นมา และตรงดิ่งไปที่บ้านของอู๋จินกุ้ย

นางเป็นลูกพี่ลูกน้องใกล้ชิดลำดับที่ห้าของอู๋จินกุ้ย เมื่อแต่งงานใหม่อีกครั้ง ก็ไม่อยู่ร่วมกับอู๋จินกุ้ยตั้งแต่นั้นมา

ดังนั้นอู๋จินกุ้ยกับภรรยาจึงประหลาดใจมากเมื่อเห็นนางเข้ามาอวยพรวันปีใหม่พร้อมกับของขวัญอันไร้ค่า ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้อนรับนางอย่างอบอุ่น

เหยาชุ่ยฮวายิ้มเยาะและถามว่า “ลมอะไรหอบมาล่ะ ถึงได้แวะมาเยี่ยมกันได้?”

ลูกพี่ลูกน้องผู้ห่างไกลผู้นี้มักมองว่านางแต่งงานเพื่อไต่เต้าขึ้นมา ทำตัวเป็นดั่งบรรพบุรุษดูถูกครอบครัวของนาง อีกฝ่ายคงมีไม่มีความจริงใจให้นางจริง ๆ

ป้าอู๋เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอรู้ไหมว่าลูกสะใภ้ที่พวกเธอขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลสร้างเงินได้เป็นกอบเป็นกำ?”

สีหน้าของเหยาชุ่ยฮวาเรียบนิ่ง ถามขึ้นด้วยความสับสน “เธอหมายถึงนังสารเลวหลินม่ายน่ะเหรอ?”

ป้าอู๋กลอกตาด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม “ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะมีใครอีก? ทำอย่างกับเธอไล่ลูกสะใภ้หลายคนออกจากบ้านงั้นแหละ!”

เหยาชุ่ยฮวาสงสัย “แล้วรู้ได้ยังไงว่านังนั่นทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ?”

ป้าอู๋พูดประชดประชันว่า “ลูกสะใภ้ของเธออยู่กับคู่สามีภรรยาเฒ่าสกุลฟางที่เมืองซื่อเหม่ย พวกเธอไม่ได้ยินข่าวคราวกันเลยหรือไง?”

เหยาชุ่ยฮวาส่ายหน้าด้วยความงุนงง “ไม่มีธุระอะไรแล้วจะเข้าเมืองไปทำไม?”

ป้าอู๋ยิ้มเยาะ “ไม่ไปซื้อของไหว้ปีใหม่ที่ตัวเมืองบ้างหรือไง? ต่อให้บ้านพวกเธอไม่เข้าตัวเมือง แต่คนในหมู่บ้านจะไม่ไปในเมืองกันเลยหรือ?”

“พวกเขาไม่ได้บอกหรือไงว่าลูกสะใภ้ของพวกเธอเป็นยังไงบ้าง? ชาวบ้านพวกนี้ดีจริงเชียว!”

ใบหน้าของเหยาชุ่ยฮวาดูกระอักกระอ่วน

ป้าอู๋พูดปรักปรำครอบครัวของอู๋จินกุ้ยเกินไป ถึงแม้ว่าชาวบ้านละแวกนี้จะเดินทางเข้าไปยังตัวเมือง แต่พวกเขาก็จะกลับมาทันทีที่เสร็จธุระ ใครจะบากบั่นไปตามที่อยู่ของหลินม่าย?

ป้าอู๋อุทาน “พวกเธอคงอยากรู้ว่าฉันรู้ได้ไงว่าลูกสะใภ้พวกเธอทำได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ก็เพราะฉันอาศัยอยู่ในตัวเมืองน่ะสิ จะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?”

ครอบครัวอู๋จินกุ้ยมองหน้ากันด้วยความตกใจ

เหยาชุ่ยฮวาถามว่า “นังสารเลวนั่นหาเงินเป็นกอเป็นกำได้ยังไง?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเยาะเย้ย “นังนั่นจะไปทำอะไรได้? คงจะนอนกับคนอื่นไปทั่ว?”

หลินม่ายในสายตาของเขาไม่มีความสามารถพิเศษอะไรเลย นอกเหนือจากการปลูกผัก ล้างทำความสะอาดและทำอาหาร! สติปัญญาของเธอค่อนข้างต่ำ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่เข้ามาจุ้นจ้านเรื่องของเรากับสุดที่รักเพ่ยเพ่ยราวกับสุนัขหรอก

ป้าอู๋เหลือบมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม “ทุกคนเขาก็ใช้แรงงานหาเงินกันทั้งนั้นแหละ”

เมื่อเห็นว่าครอบครัวของอู๋จินกุ้ยไม่มีมันสมองมากพอสำหรับเรื่องนี้ ป้าอู๋จึงไม่อยากจะสนทนาด้วยอีกต่อไป

นางลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินจากไป “ฉันแค่เอาข่าวมาส่งให้พวกเธอ ส่วนพวกเธอจะไปตามหาม่ายจื่อเพื่อเรียกร้องเอาค่าชดเชยหรือไม่ นั่นก็เรื่องของพวกเธอแล้ว”

จุดประสงค์ในการเดินทางมาเยี่ยมเยียนครั้งนี้คือการปลุกปั่นให้ครอบครัวอู๋จินกุ้ยไปสร้างปัญหาให้หลินม่าย

นางรู้ดีว่าครอบครัวสกุลหลินได้รับค่าสินสอดทองหมั้นเป็นเงินจำนวนสิบหยวนและผ้าอีกหลายชิ้นจากครอบครัวอู๋จินกุ้ย

แม้ว่าหลินม่ายจะถูกครอบครัวสามีเนรเทศออกจากบ้าน แต่นั่นก็เป็นเพราะเธอมักจะล้มป่วยด้วยโรคเก่าอยู่เสมอ อีกทั้งยังถือมีดทำครัววิ่งไล่ตามพ่อแม่สามีไปทั่วหมู่บ้าน แม่สามีจึงต้องขับไล่เธอออกไป

ไม่อย่างนั้นลูกสะใภ้ที่ถูกตบแต่งด้วยสินสอดทองหมั้นราคาแพงจะถูกขับไล่ออกไปหรือ?

ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้ว่าอู๋จินกุ้ยกับภรรยากำลังคิดเรื่องนี้อยู่

ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่านังสารเลวนั่นทำเงินได้มากมายมหาศาล พวกเขาจะไม่รีบร้อนออกไปเรียกร้องค่าชดเชยเชียวเหรอ? จากนั้นนางก็แค่รอดูการแสดงดี ๆ

หากครอบครัวของนางยังทำเงินไม่ได้ นางก็จะไม่มีวันปล่อยให้นังสารเลวนั่นมีความสุข!

เหยาชุ่ยฮวาคว้าตัวเธอไว้และถมว่า “คุณป้าอย่าเพิ่งรีบไปสิคะ ม่ายจื่อหาเงินได้เท่าไหร่เหรอ?”

ประเด็นนี้จะต้องถามให้ชัดเจน จะได้เรียกค่าชดเชยไม่น้อยเกินไป

“อย่างต่ำก็น่าจะสองพัน” ป้าอู๋ดึงมืออีกฝ่ายออก และปล่อยให้ทั้งครอบครัวตกตะลึงต่อไป

ครอบครัวอู๋จินกุ้ยปิดประตูลงกลอน และเริ่มพูดคุยอย่างตื่นเต้น

อู๋จินกุ้ยไม่อยากจะเชื่อและคิดเสียดายในเวลาเดียวกัน “ไม่น่าเชื่อว่าม่ายจื่อจะมีความสามารถ หาเงินเป็นกอบเป็นกำได้ในเวลานิดเดียว ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกฉันคงจะไม่ไล่หล่อนออกจากบ้าน เงินทั้งหมดของหล่อนจะต้องเป็นของเรา”

เหยาชุ่ยฮวาโพล่งขึ้นมาด้วยความมั่นใจ “นังนั่นกับเสี่ยวเจี๋ยนยังไม่หย่ากัน มันยังเป็นลูกสะใภ้ของเราอยู่ และทุกหยวนทุกเหมาจะต้องเป็นของเรา!”

ว่าแล้วนางก็จ้องมองไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างดุร้าย “พรุ่งนี้เข้าไปในเมืองแล้วไปจับตัวนังสารเลวนั่นมา!”

……………………………………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 50 สถานการณ์บนโต๊ะอาหาร

ภายในห้องโถง หวังหรงกลอกตาและหันไปพูดกับจั๋วหรานว่า “เพราะมีคนนอกอยู่ คุณลุงกับคุณป้าเลยไม่อยากรอกินอาหารหรือเปล่าคะ?”

“เธอชื่อหลินม่ายสินะ ทำไมถึงมาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นในช่วงปีใหม่ล่ะ ไม่รู้จักเกรงใจกันบ้างเลย!”

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองเธอด้วยสาตาเย็นชา “คุณปู่กับคุณย่าเป็นคนชวนแม่ลูกคู่นั้นมาฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างหาก ไม่ใช่ว่าถือวิสาสะมาทั้งที่ไม่ได้รับเชิญ”

หวังหรงคาดเดาว่าเขากำลังหมายถึงหล่อนที่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ

ความขุ่นเคืองและความอับอายปรากฏขึ้นในแววตาของหล่อน หล่อนครุ่นคิด ลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันจะไปดูในครัวนะคะว่าพอจะมีอะไรให้ช่วยไหม”

หล่อนส่งยิ้มและพูดถามทันทีที่เดินไปถึงห้องครัว “เสี่ยวหลินใช่ไหม มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”

หลินม่ายเกิดมาสองชาติแล้ว ชาติที่แล้วอีกฝ่ายประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำอุตสาหกรรมด้านอาหารในเมืองเจียงเฉิง แล้วจะมองคนไม่ออกได้อย่างไร?

เธอสามารถมองเห็นรอยยิ้มจอมปลอมของหวังหรงได้ตั้งแต่แรกเห็น

จากการปะติปะต่อเรื่องราวทั้งหมดก็เห็นได้ชัดว่าหล่อนเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของฟางจั๋วหราน แต่ในครั้งแรกที่ทั้งสองพบกัน อีกฝ่ายดันแสร้งทำเป็นแฟนสาวของฟางจั๋วหราน เห็นได้ว่าอีกฝ่ายมีความสนใจในตัวจั๋วหรานมาก และปฏิบัติต่อเธอราวกับคู่แข่งทางหัวใจ ดังนั้นเธอจึงมองเห็นดาบคมในรอยยิ้มได้อย่างแจ่มแจ้ง

แต่ปัญหาก็คือกฎหมายข้อบังคับไม่อนุญาตให้ลูกพี่ลูกน้องแต่งงานกันไม่ใช่หรือ

หรืออาจจะเป็นลูกพี่ลูกน้องที่ห่างไกลกัน?

ถึงแม้ว่าหลินม่ายจะคิดมากอยู่ครู่หนึ่ง แต่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีก็ได้ผ่านพ้นไป

เธอยิ้มเยาะ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่อาหารสองสามจานเอง”

“ไม่เอาน่า หัดถ่อมตัวกับฉันบ้างสิ!” หวังหรงอุกอาจฉกเอามีดทำครัวมาจากมือเธอ และจงใจหันใบมีดแฉลบไปทางฝ่ามือของหลินม่าย

หลินม่ายรีบปล่อยมีดทำครัว ทำให้มีดหล่นลงไปบนพื้น กระแทกเข้ากับเท้าของหวังหรงจนเกิดเสียงดัง เห็นเป็นรอยตัดขนาดเล็กปรากฏขึ้นชัดเจนบนรองเท้าบูทหนัง

หวังหรงตกใจมากจนใบหน้าซีดเผือด กรีดร้องเสียงดังราวกับเสียงสัญญาณเตือนภัยกลางอากาศที่ทำให้ผู้ฟังสั่นสะท้าน

สองพี่น้องตระกูลฟางรีบวิ่งเข้ามาพร้อมกัน ฟางจั๋วหรานมองดูหญิงสาวสองคนด้วยสายตาจริงจัง คนหนึ่งผิวคล้ำ ส่วนอีกคนผิวขาว

ฟางจั๋วเยวี่ยเหล่มองและถามหวังหรงทันทีที่เข้ามาถึง “เกิดอะไรขึ้น? เผลอไปเหยียบหางแมวเข้าหรือไง?”

แม้ว่าเขากับหวังหรงจะเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เขากลับไม่ชอบหล่อนนัก

ไม่มีเหตุผลอื่น เพียงแต่น้องสาวผู้นี้ชอบแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา

หวังหรงหันไปพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยใบหน้าซีดเผือด “ฉันแค่อยากจะช่วยหลินม่ายหั่นผัก แต่พอฉันรับมีดจากมือหล่อน มีดก็หล่นมาใส่เท้าฉันได้ยังไงไม่รู้ค่ะพี่ โชคดีที่รองเท้าบูทหนา มีดถึงเจาะเข้าไปไม่ได้ ไม่อย่างงั้นเท้าฉันคงจะแย่แน่”

ฟางจั๋วหรานมองดูหลินม่าย ท่าทางของเธอดูเย็นชา

โต้วโต้วที่กำลังจุดไฟอยู่ด้านเตาถ่านร้องตะโกนเสียงดังลั่น “มีดหล่นใส่เท้าเพราะคุณน้าพยายามแย่งมีดจากแม่หนูต่างหาก แม่ไม่เกี่ยวอะไรด้วยเลย!”

ฟางจั๋วหรานถามหวังหรงขณะขมวดคิ้วเป็นปม “เธอไม่เคยทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก คิดอะไรถึงได้วิ่งเข้ามายุ่งวุ่นวายในนี้?”

เดิมทีหวังหรงต้องการโยนความผิดให้หลินม่าย แต่กลับคาดไม่ถึงว่าลูกสาวของอีกฝ่ายจะเปิดเผยความจริง หล่อนจึงลอบจ้องเขม็งไปที่โต้วโต้ว

โต้วโต้วร้องตะโกนอีกครั้ง “หนูพูดความจริง ทำไมคุณน้าต้องจ้องเขม็งมาที่หนูด้วย?”

ขณะเดียวกัน สองสามีภรรยาเฒ่าปรากฏกายขึ้นในห้องครัว

คุณย่างฟางโกรธเคือง “ใครกล้ารังแกแขกฉันก็ออกไปซะ วันปีใหม่ทั้งทีอย่าให้ฉันต้องมาขับไล่คนนักเลย!”

ใบหน้าของหวังหรงแดงก่ำด้วยความขุ่นเคือง

ครู่หนึ่งก่อนที่อาหารกลางวันจะเตรียมพร้อม ฟางเว่ยตั๋งลูกชายคนรองกับฟางเว่ยหมินลูกชายคนที่สามของคุณย่าฟางก็มาถึง

เมื่อทั้งสองครอบครัวมารวมกันแล้ว จึงมีสมาชิกทั้งหมดเก้าคน ห้องโถงที่ไร้สีสันกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

หลินม่ายชำเลืองมองทั้งสองครอบครัวจากในห้องครัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัว และไม่ได้แต่งตัวดีเท่าฟางเว่ยกั๋วกับภรรยา ทว่าเสื้อผ้าของพวกเขาก็ล้วนทำมาจากขนสัตว์และยังสวมใส่รองเท้าหนัง

สมัยนี้เครื่องแต่งกายสามารถบ่งบอกได้ถึงความมั่นคั่ง โดยเฉพาะต่างหูทองของลูกสะใภ้ทั้งสองคนที่เป็นประกายระยิบระยับ

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้มีตำแหน่งการงานในระดับสูงเหมือนกับฟางเว่ยกั๋ว แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ข้าราชการระดับเล็กถึงระดับกลาง

ฟางเว่ยตั๋งกับฟางเว่ยหมินมีลูกสาวครอบครัวละหนึ่งคน คนหนึ่งชื่อฟางถิง ส่วนอีกคนชื่อฟางซืออวี๋

ทั้งสองสาวมีบุคลิกร่าเริงแจ่มใสมาก ทันทีที่ลงมาจากรถ พวกหล่อนก็พูดคุยหัวเราะคิกคักกับหวังหรงที่เดินเข้าไปพูดทักทาย ราวกับเสียงระฆังก้องกังวานไปทั่วทั้งถนน

หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะเคยได้ยินชื่อฟางถิงจากที่ไหนสักแห่ง

เธอเงยหน้าชะโงกดูจากหน้าต่าง ทว่าหวังหรงบังอีกฝ่ายไว้ จึงทำให้หลินม่ายไม่เห็นหน้าหล่อน

เมื่อพิจารณาลูกชายและลูกสะใภ้ที่เดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ คุณย่าฟางจึงขอให้หลินม่ายทำซุปเห็ดหูหนูขาวพุทราจีนขึ้นมาเป็นพิเศษ

ลูกชายคนโตของคุณย่าฟางไม่ได้อยู่ดื่มสักอึก หลินม่ายจึงตักซุปเห็ดหูหนูขาวพุทราจีนเพียงแค่เก้าถ้วย และนำไปเสิร์ฟให้ลูกชายคนรองและลูกชายคนสุดท้องของคุณย่าฟาง

เธอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับถาดขนาดใหญ่ ขณะชำเลืองมองสาว ๆ

หลินม่ายจำฟางถิงได้ในทันที เธอเคยเจออีกฝ่ายเมื่อครั้งเดินทางเข้าไปขายเกาลัดในเมือง อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวชาวเมืองที่ขึ้นมาบนรถไฟและกล่าวหาว่าเธอสกปรกและตัวเหม็นไม่ใช่หรือ?

ฟางถิงก็จำเธอได้เช่นกัน ใบหน้าของหล่อนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและถามว่า “เธอมาอยู่ที่บ้านคุณปู่คุณย่าฉันได้ยังไง?”

หล่อนตระหนักขึ้นได้ทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือถาดขนาดใหญ่ที่บรรจุไปด้วยถ้วยซุปเห็นหูหนูขาวพุทราจีน “เธอเป็นพี่เลี้ยงของคุณปู่คุณย่างั้นเหรอ?”

หลินม่ายไม่เคยพูดถึงความขัดแย้งระหว่างเธอกับฟางถิงให้คุณปู่คุณย่าฟางฟัง เพราะการมีเรื่องกระทบกระทั่งกับผู้คนครั้งเมื่อออกไปข้างนอกเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงไม่เคยพูดถึง

เพราะฉะนั้นคุณปู่กับคุณย่าฟางจึงไม่เคยรู้ถึงความคับข้องใจระหว่างเธอทั้งสองคน เพียงคิดว่าฟางถิงเคยชินกับการเป็นใหญ่และไม่คิดอะไรจริงจังนัก ก่อนจะพูดแก้ไข “เสี่ยวหลินไม่ใช่พี่เลี้ยง เธอเป็นแขกของบ้านเรา”

ฟางถิงมองดูหลินม่ายด้วยความประหลาดใจ

หลินม่ายยิ้มขณะเสิร์ฟซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีน และกลับไปที่ห้องครัว

ฟางถิงหยิบถ้วยซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนขึ้นมาจิบเพียงแค่สองครั้ง และหยุดดื่ม

หล่อนวางถ้วยซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่น่าเกลียด พูดพึมพำจนทุกคนได้ยิน “ดื่มยากเป็นบ้า ต้มซุปเห็ดหูหนูขาวประสาอะไร?”

ในขณะเดียวกันคุณปู่ฟางก็กินซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนเข้าไปหลายอึก ขมวดคิ้วและพูดว่า “ก็อร่อยออก พอเข้าปากหลานแล้วมันกลายเป็นไม่อร่อยไปได้ยังไง? พวกแกทั้งหลายคงไม่เคยหิวโหยหรือทุกข์ทรมานกันสินะ ถึงได้ไม่รู้จักคุณค่าของอะไรเลย!”

ฟางถิงก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร

หวังหรงที่เห็นหล่อนวางตัวเป็นศัตรูตัวฉกาจกับหลินม่ายตั้งแต่ต้น จึงรีบปรี่เข้าไปตามไถ่เรื่องราวทั้งหมด

ฟางถิงรู้สึกละอายที่จะต้องบอกว่าในครั้งนั้นหล่อนต้องพ่ายแพ้ตอนอยู่บนรถไฟ จึงบอกแค่ว่าหล่อนไม่ชอบหลินม่ายเพราะอีกฝ่ายดูบ้านนอกและไม่เข้าตา

แม้จะไม่เล่าความจริงทั้งหมด แต่หล่อนก็รู้ว่าฟางถิงเกลียดหลินม่าย จึงคิดจะใช้อีกฝ่ายเป็นมือปืนจัดการกับหลินม่าย

หวังหรงกับฟางถิงสุมหัวเข้าด้วยกัน และกระซิบกระซาบ

สองสาวพูดคุยกันขณะเหลือบมองไปทางห้องครัวด้วยสายตาดูถูกเป็นครั้งคราว

ประจวบกับประตูห้องครัวที่หันไปทางห้องโถงพอดี ถึงแม้หลินม่ายจะทำอาหารอยู่ แต่ก็สังเกตเห็นว่าพวกหล่อนกำลังนินทาตน

โต้วโต้วนั่งดื่มซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีนอยู่บนม้านั่งขนาดเล็กในห้องครัวอย่างเชื่อฟัง ขณะจ้องมองไปทางฟางถิง

หล่อนรู้สึกว่าอีกฝ่ายดูคุ้นเคย แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน

แต่สำหรับเด็กน้อยแล้ว เมื่อนึกไม่ออกก็ไม่จำเป็นต้องคิดมาก หลังจากดื่มด่ำกับซุปเห็ดหูหนูขาวพุทธาจีน เรื่องราวของฟางถิงจึงจางหายไป

ทว่าฟางถิงกลับจำโต้วโต้วไม่ได้แม้แต่น้อย

ในตอนนั้นฟางถิงไม่ทันได้ซ่อนตัวจากหล่อน และไม่ได้มองพิจารณาหล่อนอย่างจริงจังนัก

นอกจากนี้โต้วโต้วในตอนนั้นแต่งตัวสกปรกมาก แต่ตอนนี้กลับดูสะอาดสะอ้าน จึงทำให้หล่อนแยกแยะไม่ออก

อาหารทุกจานถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะอาหาร

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าจำนวนคนมีเยอะเกินไป และเธอไม่สามารถนั่งร่วมโต๊ะได้ เธอจึงกลับไปที่ห้องครัว

ฟางจั๋วหรานรีบเดินเข้าไปในห้องครัวเมื่อเห็นเช่นนั้น และพูดว่า “เข้ามาในห้องครัวทำไมล่ะครับ? ออกไปกินกันเถอะ” หลังจากนั้นเขาก็อุ้มโต้วโต้วไปที่ห้องโถง

หลินม่ายจึงจำเป็นต้องตามไป

ฟางถิงที่รู้สึกไม่พอใจฟางจั๋วหรานโพล่งขึ้นมาว่า “พี่ใหญ่ แค่ครอบครัวเราก็จะไม่พอนั่งอยู่แล้ว พี่ยังจะพาคนนอกมาร่วมโต๊ะอีกเหรอ?”

คุณย่าฟางรีบพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “ม่ายจื่อเป็นแขกของปู่กับย่า หล่อนอุตส่าห์ทำอาหารให้พวกเราทุกคนกินกัน แล้วจะนั่งร่วมโต๊ะไม่ได้ยังไง?”

ฟางจั๋วหรานหันไปพูดกับฟางถิงเบา ๆ ว่า “ถ้านั่งไม่ได้ เธอก็ออกไปนั่งกินที่อื่นสิ ไม่จำเป็นจะต้องให้ทั้งครอบครัวมานั่งกินร่วมโต๊ะกันหรอก และอีกอย่างการละเลยแขกไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเราทำกัน”

ใบหน้าของฟางถิงซีดเผือดด้วยความโกรธ

จากนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็ย้ายโต๊ะขนาดเล็กที่ใช้สำหรับหั่นผักในห้องครัวมาที่ห้องโถง จัดแจงโต๊ะจนเสร็จสรรพ โต๊ะหนึ่งสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนอีกโต๊ะสำหรับลูกหลาน จากนั้นทุกคนจึงนั่งลง

ฟางถิงคีบหอยเป๋าฮื้อให้หลินม่ายหนึ่งคู่ และพูดด้วยถ้อยคำดูถูก “ลองกินนี่สิ คงไม่เคยกินมาก่อนสินะ ไม่ต้องเกรงใจหรอก กินเยอะ ๆ เพราะโอกาสดี ๆ แบบนี้คงหายาก”

ฟางจั๋วหรานจ้องเขม็งไปที่เธอด้วยสายตาเย็นชา “มีอาหารเยอะขนาดนี้แล้วเธอจะหุบปากได้หรือยัง ถ้าไม่มีฉัน เธอก็ไม่วันได้กินหอยเป๋าฮื้อเหมือนกัน!”

อาหารทะเลตากแห้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาได้ยากภายในเมืองซึ่งห่างไกลจากท้องทะเล มีจัดจำหน่ายอยู่ในเฉพาะภัตตาคารระดับสูงที่มีเพียงชาวต่างชาติและผู้นำใหญ่โตเท่านั้นที่จะได้รับเชิญ

ฟางจั๋วหรานได้รับของพวกนี้มาจากการช่วยดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้กับข้าราชการระดับสูงและญาติพี่น้องที่พำนักอยู่แถวชายฝั่ง

หวังหรงพบว่าฟางจั๋วหรานคอยปกป้องหลินม่ายอยู่ทุกทางจนหล่อนเริ่มไม่สบอารมณ์ และเกลียดชังหลินม่ายมากกว่าเดิม

ฟางถิงไม่พอใจมาก “ฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายสักหน่อย ก็แค่หวังดีกับหล่อน ชีวิตของหล่อนไม่ง่ายเลยนี่ ไหนจะต้องหย่าและฉุดกระชากลากลูกมาอยู่ด้วย ฉันเลยบอกให้หล่อนกินเยอะ ๆ ไง”

หลินม่ายรู้เหตุผลที่ฟางถิงพยายามสร้างความอับอายให้แก่เธอ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายโกรธเคืองที่ถูกด่าทอบนรถไฟในครั้งนั้นหรือ?

คุณปู่คุณย่าฟางรู้สึกแย่มากพอแล้วที่ต้องแยกจากกับลูกชายคนโตและภรรยาในวันปีใหม่

หลินม่ายไม่ต้องการพรากความสุขไปจากพวกเขาอีก เธอจึงไม่ได้ชี้เป้าไปหาฟางถิงว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงมุ่งร้ายต่อเธอ

ฟางจั๋วหรานเผยรอยยิ้มไร้ความปราณีขณะคีบหอยเป๋าฮื้อขึ้นมากัด “ชีวิตไม่ง่ายแต่ก็ไม่ได้น่าสมเพช มีใครในโลกที่ไม่พยายามใช้ชีวิตกันบ้าง? จิตใต้สามัญสำนึกที่อยู่ในระดับต่ำตมต่างหากที่น่าสมเพช พูดจาดูถูกผู้อื่นเพื่อแสวงหาความสุขส่วนตัว บ่งบอกให้เห็นว่าชีวิตที่น่าเวทนามันเป็นยังไง!”

ฟางถิงถามด้วยดวงตาลุกเป็นไฟ “พี่พูดถึงใคร?”

ทว่าฟางจั๋วหรานกลับไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ “พูดถึงเธอไง ไม่ได้ยินเหรอ? หรือว่าเธอเป็นคนเข้าใจยาก? สอบผ่านมหาวิทยาลัยมาได้ยังไง?”

ฟางถิงโกรธจัดจนกระแทกตะเกียบลงกับโต๊ะ แล้วลุกจากไปอย่างขุ่นเคือง

หวังหรงเห็นว่าบนโต๊ะของคุณย่าฟางมีแต่หัวข้อบทสนทนาเกี่ยวกับการกิน ดื่ม และพูดคุยสัพเพเหระ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบนอีกโต๊ะ เธอจึงร้องตะโกนเสียงดัง “ถิงถิง ทำไมลุกจากโต๊ะไปล่ะ?”

ฟางจั๋วเยวี่ยแสยะยิ้ม และพูดแบบกำปั้นทุบดินว่า “เธอนี่เองเป็นคนใส่ไฟ”

“ฉัน…” ความคิดที่รอบคอบของหวังหรงถูกแทงเข้าอย่างตรงจุด จนไม่สามารถปั้นหน้าต่อไปได้ ก่อนจะหันไปมองฟางจั๋วหรานด้วยความอับอาย

ฟางจั๋วหรานเพิกเฉยต่อสายตาวิงวอนร้องของความช่วยเหลือของหล่อน

หยางรั่วหลาน แม่ของฟางถิงร้องถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เกิดอะไรขึ้น?”

ฟางจั๋วหรานจึงเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ ผมแค่พูดกับน้องสองสามคำ น้องไม่พอใจก็เลยลุกจากโต๊ะไป”

พี่ชายสองคนและน้องชายอีกหนึ่งคนของฟางถิงควรจะยืนหยัดเพื่อฟางถิง แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าฟางจั๋วหรานออกตัวรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด มันจึงไม่ง่ายที่พวกเขาจะพูดอะไรออกไป

นอกจากนี้ฟางถิงยังเป็นคนจุดประเด็นขึ้นมา หากพูดอะไรออกมา ฟางถิงก็กลายเป็นคนผิดอยู่ดี

ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฟางถิงกลับมาที่โต๊ะอาหาร ทว่าฟางถิงยังคงโกรธอยู่ พวกเขาจึงเมินเฉยต่อหล่อนและกลับมาเพลิดเพลินกับอาหารต่อ

ว่ากันตามตรง ผู้หญิงผิวคล้ำที่ชื่อหลินม่ายคนนั้นทำอาหารเก่งมาก ทำอาหารออกมาอร่อยทุกจานทีเดียว

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ปากคอพี่หมอก็คมกริบเหมือนกันนะเนี่ย ฟังแล้วเจ็บแสบใช่ย่อยเลย

โลกกลมจริง ๆ ม่ายจื่อเอ๊ย คนที่เคยมีเรื่องด้วยดันมาเกี่ยวกับครอบครัวปู่ย่าคู่นี้หมด

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 49 บทสนทนาในห้องปิดตาย

เมื่อทั้งสองอยู่ใกล้กัน ฟางจั๋วหรานก็ได้กลิ่นหอมจาง ๆ จากหลินม่ายอีกครั้ง

ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นบทความบนนิตยสารว่าผู้ชายจะใจเต้นแรงยามได้กลิ่นหอมของผู้หญิงคนที่ใช่

ทว่าเขากลับพบหญิงสาวผิวคล้ำคนนี้เพียงไม่กี่ครั้ง และได้พูดคุยเล็กน้อยเท่านั้น จะใจ้เต้นแรงเพราะเธอได้อย่างไร!

บทความประเภทที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักวิทยาศาสตร์แบบนี้ช่างชวนให้เข้าใจผิด แม้แต่เขาที่เป็นถึงรองศาสตราจารย์ภาควิชาศัลยกรรมก็สับสน

ฟางจั๋วหรานหัวเราะเยาะตนเองในใจ

เมื่ออาหารทะเลตากแห้งถูกแช่และทำความสะอาดเสร็จแล้ว หลินม่ายก็กลับไปที่ห้องโถง เพื่อพูดคุยกับคนอื่นขณะผิงไฟ

เธอรอคอยให้แขกมาถึงเสียก่อนจึงจะเริ่มผัดอาหาร เพื่อที่แขกจะได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศ

ขณะเดียวกันมีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังลอดเข้ามาจากด้านนอก คุณย่าฟางตื่นเต้นมาก รีบลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู “คงจะเป็นครอบครัวของเจ้าใหญ่!”

ใครบางคนพูดทักทายคนที่อยู่ด้านนอกอย่างอบอุ่น “เว่ยกั๋ว พาสะใภ้กับลูกชายมาอวยพรปีใหม่พ่อแม่ด้วยเหรอ?”

น้ำเสียงที่ฟังดูใจเย็นดังลอดออกมาพร้อมกับการตอบรับเสียงสูงเพียงไม่กี่คำ

คุณย่าฟางเปิดประตูออกมา และสั่งให้ครอบครัวของลูกชายคนโตรีบเข้ามาในบ้าน “ทำไมถึงมาช้านักล่ะ?”

ฟางเว่ยกั๋วพูดเบา ๆ “หิมะตกถนนลื่น เลยค่อย ๆ ขับมาน่ะครับ”

หลินม่ายเดิมตามคุณปู่ฟางและหลานชายไปทักทายแขกที่หน้าประตู ขณะเหลือบเห็นรถเก๋งทะเบียนเซี่ยงไฮ้ที่จอดอยู่หน้าประตู

สมัยนี้คนไม่ค่อยใช้รถยนต์ส่วนตัว จะใช้เพียงแต่รถบัสเท่านั้น

ลูกชายคนโตของคุณปู่ฟางสามารถเดินทางมาด้วยรถบัส ไม่ว่าเขาจะเป็นข้าราชการระดับสูงหรือหัวหน้าองค์กรขนาดใหญ่ก็ตาม

ไม่แปลกใจที่ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกจะแต่งตัวไม่ธรรมดา แต่ละคนสวมเสื้อคลุมขนสัตว์แบบสั้นคู่รองเท้าหนังที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบทุกระเบียบนิ้ว

ฟางจั๋วหรานเดินไปข้างหน้าและเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “พ่อ”

เขาหยิบกระเป๋าใบใหญ่และใบเล็กออกจากมือของฟางเว่ยกั๋ว แต่กลับเมินเฉยต่อหวังเหวินฟางผู้เป็นแม่เลี้ยงที่ยืนอยู่ด้านข้างฟางเว่ยกั๋ว แม้แต่หลินม่ายที่เป็นคนนอกยังรู้สึกอึดอัด

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยิบของจากมือหวังเหวินฟาง

ในขณะนั้นเอง หวังหรงที่แต่งกายนำสมัยแบบจัดเต็มก็กระโดดเข้ามาตรงหน้าฟางจั๋วหรานอย่างขี้เล่น พูดออดอ้อน “พี่คะ ตกใจใช่มั้ยล่ะที่เห็นฉัน ประหลาดใจไหมคะ?”

ทว่าการแสดงของหล่อนกลับหยุดชะงักเมื่อเห็นหลินม่ายเดินตามฟางจั๋วหรานออกมา

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเฉยเมย “ไม่รู้ว่าอาทิตย์หนึ่งฉันต้องเจอเธออีกกี่ครั้ง จะมีอะไรให้น่าประหลาดใจอีก”

หวังหรงหน้าเสียไปเล็กน้อย

หวังเหวินฟางผู้เฉียวฉลาดและงดงามได้ส่งของในมือให้หลินม่ายรับช่วงต่อ

ก่อนจะหันไปยิ้มกับคุณปู่และคุณย่า “คุณพ่อคุณแม่น่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาตั้งนานแล้วนะคะ ใช่ว่าไม่มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับพี่เลี้ยงสักหน่อย”

หลินม่ายเหลือบมองผู้เฒ่าทั้งสองด้วยความประหลาดใจ คาดไม่ถึงว่าพวกเขามีเงินเบี้ยเลี้ยง!

เบี้ยเลี้ยงของพี่เลี้ยงไม่คุ้มค่าพอสำหรับคนบางระดับ

ก่อนหน้านี้เห็นคุณย่าฟางบอกว่าคุณปู่ฟางเคยอยู่ในเมืองหลวงมานานกว่าสิบปี เดาว่าเขาคงจะเป็นข้าราชการระดับสูงที่เกษียณแล้ว

ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากเกษียณแล้ว เขาจะมาใช้ชีวิตสันโดษในชนบท

คุณย่าฟางรู้สึกไม่สบายใจ “เธอพูดไร้สาระอะไร? ฉันกับตาเฒ่ายังเดินได้อยู่ จะมีพี่เลี้ยงไปทำไม! อีกอย่างหล่อนก็เป็นแขกบ้านเรา ชื่อหลินม่าย”

หวังเหวินฟางยิ้มแหย แต่ไม่ได้พูดขอโทษหลินม่าย

ฟางจั๋วเยวี่ย น้องชายต่างมารดาของฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาหาหลินม่ายที่ด้านข้าง จ้องมองเธออย่างละเอียดถี่ถ้วน และพูดว่า “แม่สาวงามผิวเข้ม”

หลินม่ายไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ขี้เล่น เธอจึงวางของลงบนโต๊ะอาหารและเดินเข้าไปในห้องครัว เพื่อชงชาให้กับครอบครัวลูกคนโตของคุณย่าฟาง

เมื่อนำชาออกมา เธอพบเพียงแต่ฟางจั๋วเยวี่ยกับหวังหรงที่อยู่ในห้องโถง ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ หายไปไหน

หลินม่ายรู้สึกสงสัยในใจเมื่อได้ยินเสียงของคุณย่าฟางที่จงใจลดระดับเสียงลงดังลอดออกมาจากห้องนอน จากนั้นเธอจึงรู้ว่าฟางเว่ยกั๋วมีเรื่องจะพูดกับคุณปู่ฟางและภรรยาเป็นการส่วนตัว

หลินม่ายหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความสงสัย โดยวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะอาหาร และพาโต้วโต้วไปเตรียมอาหารกลางวันที่ห้องครัว

ภายในห้องนอนของคุณย่าฟาง ฟางเว่ยกั๋วทำอะไรไม่ถูก พูดไม่ออก เพียงแต่จ้องมองไปที่พ่อผู้แก่เฒ่าด้วยสายตาผิดหวัง

“พ่อ! ทำไมถึงดื้อด้านแบบนี้ มีพ่อแม่คนไหนบ้างที่ไม่ยอมช่วยลูกตัวเองให้ได้เลื่อนตำแหน่ง เอาแต่พูดถึงหลักการอยู่ได้!”

ตอนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก็ไม่เคยฉุดดึงพี่น้องคนไหนขึ้นไป พอเกษียณแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทำไมถึงได้หัวโบราณแบบนี้?

พ่อดูสหายร่วมรบเก่าอย่างคุณอาหวงสิ ตำแหน่งเขาไม่ได้ดีเด่เท่าของพ่อด้วยซ้ำ ลูกชายที่เขาเลี้ยงดูมาก็ไม่เก่งเท่าเราสามพี่น้อง

“แต่คนพรรค์นั้นกลับกล้าฉุดดึงลูกชายตัวเองขึ้นไป ในขณะที่เราสามคนพี่น้องรวมกันยังไม่ได้ดีเท่าลูกชายของเขาเลย เห็นแบบนี้แล้วพ่อดีใจนักใช่ไหม?”

คุณปู่ฟางเบิกตากว้างด้วยความโกรธ ก่นด่าด้วยเสียงต่ำ “แกมองดูแต่พวกที่คิดคดโกง ทำไมไม่พูดถึงวีรบุรุษที่เสียสละตนเพื่อประเทศชาติบ้างล่ะ? ชีวิตของผู้คนที่ถูกพรากไป ได้อะไรกลับคืนมาไหม?”

อย่าคิดแต่เรื่องเลื่อนตำแหน่งและร่ำรวยไปวัน ๆ หัดอุทิศตนเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองบ้าง!

พ่อไม่เคยใช้อำนาจช่วยเหลือพวกแกมาก่อน และก็จะไม่มีวันใช้เครือข่ายมาปูทางให้พวกแกด้วย พวกแกควรไต่เต้าด้วยความสามารถของพวกแกเอง!

และไม่ว่าจะไต่เต้าไปจนสูงแค่ไหน พ่อก็หวังว่าพวกแกจะไม่หลงลืมว่าพวกแกกำลังต่อสู้เพื่อประเทศชาติอยู่ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว!

ใบหน้าของฟางเว่ยกั๋วหม่นหมองลง ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระต่อตอนบ่าย คงจะอยู่กินข้าวกับพ่อแม่ไม่ได้”

หลังจากวันปีใหม่แล้ว รัฐสภาที่เขาทำงานอยู่จะเลื่อนตำแหน่งให้กับคนที่มีฝีมือ

เขาต้องการให้ชายชราออกไปพูดทักทายผู้บัญชาการระดับสูง เพื่อที่เขาจะได้ไต่เต้าขึ้นไป แต่ชายชรากลับปฏิเสธอยู่เสมอ จนทำให้เขาทุกข์ใจ!

หวังเหวินฟางเดินตามสามีออกจากห้องอย่างเชื่อฟัง

คุณปู่ฟางมองดูลูกชายและลูกสะใภ้ที่เดินจากไป ใบหน้าบูดบึ้งด้วยความขุ่นเคือง

ถึงคุณนายฟางจะรู้สึกลังเล แต่ก็ไม่ได้ฉุดรั้งเอาไว้

ระหว่างลูกชายกับสามี หล่อนมักจะเข้าข้างสามีเสมอ

หล่อนไม่เข้าใจว่าทั้งที่ลูกชายก็มีชีวิตที่ดีแล้ว ทำไมถึงยังไม่พอใจอีก

จะต้องไปเปรียบที่กับคนนู้นคนนี้อยู่เสมอ

ทำไมถึงไม่เปรียบเทียบกับคนธรรมดาบ้าง คนทั่วไปไม่เคยได้ใช้ชีวิตดี ๆ แบบพวกเขาด้วยซ้ำ!

ฟางจั๋วเยวี่ยเหยียดขาทั้งสองขาออกทั้งที่ไม่รู้จะไปที่ไหน ก่อนจะถามพี่ชายใหญ่ฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับความเป็นมาของหลินม่าย ทว่าการเพิกเฉยของพี่ใหญ่กลับทำให้เขาผิดหวัง

เขากำลังเรียกให้พ่อแม่มาผิงไฟเมื่อเห็นทั้งสองเดินออกมา แต่กับได้ยินแม่พูดว่า “พ่อมีธุระต้องไปทำต่อ เรากลับกันเถอะลูก”

ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหวังเหวินฟางด้วยสายตาเย็นชา

ถ้าพวกเขามีธุระอะไรก็ไปทำสิ จะมาเรียกหาจั๋วเยวี่ยทำไม?

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้มีธุระอะไรเสียหน่อย เพียงแค่ไม่เป็นดั่งใจหวัง จึงไม่อยากกินข้าวกับสองเฒ่า การกระทำชัดเจนขนาดนี้ แต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็น!

ฟางจั๋วเยวี่ยขมวดคิ้ว “พ่อแม่มีธุระอะไรก็กลับไปก่อนสิ ผมจะอยู่กินข้าวก่อนแล้วค่อยกลับ”

“กว่าจะมาหาคุณปู่คุณย่าที่ต่างจังหวัดได้ไม่ง่ายสักนิด ถ้ากลัวว่าฟ้าจะถล่มนักก็ไม่ควรมาแต่แรก”

ฟางเว่ยกั๋วจ้องเขม็งไปที่ลูกชายคนเล็ก เปิดประตูและเข้าไปในรถยนต์พร้อมกับหวังเหวินฟาง

เพื่อนบ้านสองสามคนที่ผ่านมาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่กินข้าวก่อนไปเหรอจ๊ะ?”

ฟางเว่ยกั๋วอยู่ในท่าทีสงบ “พอดีมีธุระต้องทำน่ะครับ ต้องรีบไปก่อน”

หลินม่ายแปลกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินบทสนทนาที่ดังเข้ามาในห้องครัว วันปีใหม่ทั้งทียังต้องทำงานอีกหรือ?

นอกจากนี้คุณปู่กับคุณย่าฟางยังไม่ได้ออกไปส่งพวกเขา จึงคาดเดาได้ว่าพวกเขารีบออกไปเพราะมีปากเสียงกัน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นแต่ละคนที่มาเยี่ยมสองเฒ่าแล้วหัวจะปวดค่ะ พ่อแม่ก็คิดจะกอบโกย น้องต่างแม่ก็มาหมาหยอกไก่ใส่ม่ายจื่อ ส่วนยัยหรงหรงก็มาตอแยพี่หมอไม่หยุด

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 48 ขับไล่แม่เถียหนิว

แม้ว่าเถียหนิวจะขยันขันแข็งและทำงานหนัก ซื่อตรงและซื่อสัตย์ แต่เขาก็แก่กว่าหลินม่ายมากและไม่มีความสามารถอะไรนัก คุณย่าฟางจึงไม่ค่อยชอบเถียหนิว

เดิมทีนางคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อกำลังเอ่ยปากก็กลับคิดอีกที ถ้าเกิดหลินม่ายชอบเขาล่ะ?

หลินม่ายเจ็บช้ำจากครอบครัวของอดีตสามีมาพอสมควร เธออาจต้องการเพียงผู้ชายที่ซื่อสัตย์

นางจึงยิ้มและพูดว่า “ฉันจะเป็นตัดสินใจเรื่องนี้ได้ยังไงกันล่ะ? ฉันจะไปเรียกม่ายจื่อเข้ามา แล้วเธอค่อยถามเอาเองแล้วกัน”

เมื่อพูดจบ นางก็ทำท่าจะไปเรียกหลินม่าย แต่กลับถูกแม่เถียหนิวห้ามปราม “คุณป้าคะ อย่าเพิ่งค่ะ…”

คุณย่าฟางมองดูหล่อนด้วยความสงสัย “ทำไมล่ะ?”

ใบหน้าของแม่เถียหนิวแสดงให้เห็นถึงความลำบากใจ “ฉันไปถามม่ายจื่อมาแล้วค่ะ หล่อน…หล่อนปฏิเสธ…”

คุณย่าฟางประหลาดใจในตอนแรก และโกรธเคืองในเวลาต่อมา “เธอไม่เห็นด้วย เพราะงั้นเธอเลยมาหาฉันเหรอ?”

แม่เถียหนิวก้มศีรษะลงและถอนหายใจ “ฉันคิดว่าคุณป้ากับคุณลุงช่วยหล่อนมามาก ถ้าได้พวกท่านช่วยจับคู่ให้ ม่ายจื่อจะต้องยอมแต่งงานกับเถียหนิว…”

คุณย่าฟางไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป “เธอคิดว่าคนแก่เฒ่าอย่างเราเป็นคนใจร้ายที่ใช้ความเมตตาบีบบังคับให้คนแต่งงานกันงั้นเรอะ!”

แม่เถียหนิวพูดสวนชวนให้อึดอัด “คุณป้า ทำไมพูดแบบนั้นล่ะคะ การทำให้ลูกชายของฉันกับม่ายจื่อได้เกี่ยวดองกันมันคือการทำความดีนะคะ ท่านจะกลายเป็นคนใจร้ายได้ยังไง?”

“มีคำกล่าวไว้ว่ารื้อถอนสิบวัด ยังไม่เท่ากับทำลายงานแต่ง…”

แม่เถียหนิวพูดต่อจนทำให้คุณย่าฟางโกรธจัด

นางเดินไปที่ประตู เปิดประตูและชี้นิ้วออกไปด้านนอก “ออกไปซะ เอาของขวัญของเธอออกไปด้วย!”

ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงต่างตกตะลึง

แม่เถียหนิวเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ พยายามฉีกยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก “คุณป้าคะ ขอให้สมปรารถนานะคะ” และกำลังจะเดินจากไป

คุณย่าฟางพูดสั่งฟางจั๋วหรานด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “เอาของขวัญบนโต๊ะคืนให้หล่อนด้วย!”

ฟางจั๋วหรานหยิบของขวัญบนโต๊ะขึ้นมาและยัดใส่มือแม่เถียหนิว ก่อนจะเชิญหล่อนออกจากบ้านอย่างสุภาพ

เพื่อนบ้านหลายคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แม่เฒ่าฟาง เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

อย่าได้ดูถูกแม่เฒ่าฟางผู้ซึ่งทรงพลังและมีอำนาจเชียว ถึงอย่างนั้นนางกับสามีก็ไม่เคยใช้อำนาจกลั่นแกล้งคนอื่น นอกจากนี้ยังคอยช่วยเหลือเสมอมา

ทว่านางกลับขับไล่คนออกไปตั้งแต่วันปีใหม่ นั่นหมายความว่านางจะต้องมีเหตุผลบางอย่าง

คุณย่าฟางไม่อยากปกปิด เพราะยิ่งปกปิดก็ยิ่งมีคนคาดเดา จึงบอกเพื่อนบ้านไปถึงสาเหตุและเหตุผล

เธอจึงพูดขึ้นว่า “ทุกคนลองตัดสินกันดูแล้วกันว่าแม่เถียหนิวซื่อสัตย์จริงใจหรือไม่ หล่อนจะให้เราสองเฒ่าจับคู่หลินม่ายกับลูกชายของหล่อน!”

นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าโมโหที่สุด ทว่าสิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือการที่หล่อนโต้เถียงว่าถ้าสองเฒ่าไม่ยอมช่วยเธอจับคู่ จะหมายความว่าพวกเขาไม่ยอมกระทำความดี

อีกทั้งยังบอกให้รื้อถอนวัดสิบแห่งดีกว่ามานั่งทำลายการแต่งงานเพียงครั้งเดียว

“ฉันอยากจะถามทุกคนถึงคำพูดของแม่เถียหนิว ถ้าลูกชายของใครบางคนมาแอบชอบลูกสาวของพวกคุณ แล้วพวกคุณไม่ยอมช่วยจับคู่ให้พวกเขา นั่นหมายความว่าพวกคุณไม่ยอมสั่งสมทำความดีหรือยอมทำลายงานแต่งเหรอ?”

เพื่อนบ้านค่อย ๆ พูดขึ้นทีละคน “ก็แค่คำพูดไร้สาระไม่ใช่เหรอ?”

จากนั้นทุกคนจึงพยายามเกลี้ยกล่อมคุณย่าฟางไม่ให้ไปถือสาคำพูดไร้สาระของคนโง่เขลา ก่อนจะจากไป

ขณะเดียวกันคุณปู่ฟางก็กลับมาพร้อมกับโต้วโต้วที่มีสีหน้าบูดบึ้ง

คุณย่าฟางระงับความโกรธบนใบหน้า พูดเร่งคนตัวใหญ่และคนตัวเล็กให้ไปออกไปยืนด้านนอกประตู สั่งให้พวกเขาปัดป่ายเอาหิมะบนร่างกายออก อีกทั้งยังบอกให้กระทืบเท้าอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้พวกเขาเข้ามาในบ้าน

นางกลอกตาเมื่อเห็นรอยยิ้มของคุณปู่ฟาง “รับเงินไปสิ พอใจแล้วหรือยัง?”

คุณปู่ฟางพูด “มีเงินใช้ไม่ขัดสน นี่สินะความสุขที่ได้รับเงิน!”

“ฉันดีใจมากที่ตรุษจีนปีนี้พี่น้องไม่ได้ใส่เสื้อผ้าดี ๆ เหมือนกับฉันสักคน!”

คุณย่าฟางกลอกตาใส่เขาอีกครั้ง “ยิ่งแก่ก็ยิ่งเหมือนเด็ก!”

คุณปู่ฟางยังคงงุนงง เขาแค่รู้สึกยินดีปรีดากับตนเองเท่านั้น

พี่น้องพวกนั้นเคยหัวเราะเยาะคู่สามีภรรยาเฒ่าลับหลัง ว่าอายุปูนนี้กลับถูกสาววัยรุ่นเอาเปรียบจากการหย่าร้าง ช่วยเหลือเธอนู้นนี่นั่น

หลินม่ายเอาเปรียบจากพวกเขาหรือไม่?

เธอไม่ได้เอาเปรียบพวกเขา อีกทั้งยังกตัญญูต่อพวกเขาราวกับพวกเขาเป็นปู่ย่าแท้ ๆ ของเธอ

โต้วโต้วที่ออกไปข้างนอกกับคุณปู่ฟางล่ำซำเป็นอย่างมาก ภายในกระเป๋าเสื้อผ้าและกางเกงเต็มไปด้วยขนม อาทิ ถั่วลิสง เมล็ดแตงโม มันหวานอบแห้ง

หล่อนหยิบขนมห่อเล็ก ๆ ออกมาทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ชวนคุณย่าฟาง หลินม่ายและฟางจั๋วหรานมากินด้วยกัน

ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ทำให้เพื่อนบ้านที่มาอวยพรวันปีใหม่มีความสุขเช่นกัน

เวลาเดินเร็วจนจวนจะถึงเก้าโมงเช้าภายในชั่วพริบตา เมื่อเพื่อนบ้านในละแวกนั้นอวยพรวันปีใหม่กันเสร็จแล้ว จึงกลับไปรอต้อนรับแขกที่บ้านของตนเอง

โต้วโต้วยังคงจำสัญญาของฟางจั๋วหรานได้ดี หล่อนเดินขึ้นไปหาเขาและพูดถามอย่างระมัดระวัง “คุณอาพาหนูไปแลกเหรียญที่สหกรณ์การตลาดตอนนี้ได้ไหมคะ”

“ได้สิ ไปกันเถอะ” ฟางจั๋วหรานอุ้มหล่อนขึ้นมาและเดินไปที่ประตู

หลินม่ายเห็นว่าร่างของโต้วโต้วแข็งทื่อ คาดว่ายังต่อต้านฟางจั๋วหรานอยู่เล็กน้อย

ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โต้วโต้วกับฟางจั๋วหรานก็กลับมาพร้อมกับของจำนวนมาก

โต้วโต้วไม่เพียงจะหยุดต่อต้านฟางจั๋วหราน แต่ยังกอดแขนขอจับมือเขาเอาไว้แน่น และปล่อยมือเมื่อเห็นหลินม่าย

เธอมีความสุขมาก “แม่คะ คุณอาซื้อลูกอมบ๊วยให้หนูด้วย แล้วก็ให้เงินหนูเยอะเลย”

หลังจากพูดจบ หล่อนก็ยัดลูกอมบ๊วยเข้าไปในอ้อมแขนของหลินม่าย หยิบเอาเหรียญสองเฟินกับห้าเฟินจำนานมากมายออกมาจากกระเป๋า

โต้วโต้วหยิบเหรียญทั้งหมดออกมาและเดินไปหยอดกระปุกออมสินไม้ไผ่ด้วยขาสั้น ๆ หัวเราะชอบใจทุกครั้งที่หยอดเหรียญลงไป

หลังจากหยอดเหรียญจนครบแล้ว โต้วโต้วก็เดินเข้าไปที่ด้านข้างของฟางจั๋วหราน โอบอุ้มกระปุกออมสินไม้ไผ่เอาไว้และเอนตัวลงในอ้อมแขนของเขา

วันแรกของช่วงเทศกาลปีใหม่มักจะเป็นวันที่ลูกชายและลูกสะใภ้เดินทางมาอวยพรให้กับผู้เฒ่า

ถึงอย่างนั้นคุณย่าฟางก็ออกไปดูหลายรอบแล้ว แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายหิ้วของขวัญและพาลูกเล็กเด็กแดงไปเยี่ยมญาติท่ามกลางพายุหิมะ แต่ก็ยังไร้วี่แววของลูกชายและลูกสะใภ้

นางนั่งหน้าเตาถ่านด้วยความผิดหวัง พูดกับสามีว่า “ชั่วชีวิตนี้ฉันเห็นพายุมาแค่ไม่กี่ครั้ง พายุลมโหมกระหน่ำแบบนี้ พวกเว่ยกั๋วคงมาไม่ได้ใช่ไหม?”

คุณปู่ฟางพูดตอบ “พวกเราไม่ได้อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือสักหน่อย ต่อให้หิมะจะตกยังไงการจราจรก็ไม่ติดขัดอยู่ดี พวกเว่ยกั๋วคงจะกำลังเดินทางมา”

“ไม่ต้องคิดมากหรอก เตรียมตัวให้พร้อม ลูกชายกับลูกสะใภ้จะต้องมาแน่ แค่อย่าลืมทำอาหารอุ่น ๆ ไว้รอพวกเขาล่ะ”

คุณย่าฟางรีบลุกขึ้นไปหยิบปลิงทะเล สาหร่ายทะเล กุนเชียง และซี่โครงหมูตุ๋นที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาให้ออกมา

หลินม่ายเดินเข้ามารับ และปล่อยให้คุณย่าฟางนั่งพิงไฟ ขณะที่เธอเป็นคนเตรียมการ

คุณย่าฟางพูดอย่างลังเล “ที่นี่มีอาหารทะเลตากแห้งอยู่ไม่น้อย เธอช่วยทำให้ทีได้ไหม?”

หลินม่ายยิ้ม “ได้ค่ะ”

ในชีวิตที่แล้ว เธอไม่เคยสัมผัสกับอาหารทะเลตากแห้งมาก่อน!

ฟางจั๋วหรานสงสัยเล็กน้อยว่าคนต่างจังหวัดจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นอาหารทะเลตากแห้งมาก่อน จะสามารถทำมันได้อย่างไร?

เขาเปิดประตูห้องครัวและมองดูด้วยความวิตกกังวล

จากนั้นจึงพบว่าเธอมีความชำนาญในการแช่อาหารทะเลตากแห้งแต่ละชนิดลงไปในน้ำอุ่น เติมเหล้าขาวในประมาณที่เหมาะสมลงไปในปลาจวดขนาดเล็ก เห็นได้ชัดว่าเธอมีความรู้

เขาเดินเข้ามาถามด้วยความประหลาดใจ “คุณรู้วิธีจัดการกับอาหารทะเลพวกนี้ด้วยเหรอครับ?”

หลินม่ายที่หันกลับมาโดยสัญชาตญาณเกือบจูบเข้ากับ… หัวไหล่ของฟางจั๋วหราน… ผู้กำลังดูเธอทำความสะอาดหอยเชลล์จากทางด้านหลัง

โชคดีที่เป็นหัวไหล่ ถ้าเป็นใบหน้าคงอายไม่ใช่น้อย

เธออธิบาย “แค่เคยเห็นพวกจับกังในโรงแรมเขาทำกันน่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานโล่งใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

รักคุณย่าฟางค่ะ ไป ไปเลยแม่เถียหนิว อยู่ๆ จะมาจับคู่ให้ลูกตัวเองแบบนี้ก็ชวดรับปีใหม่ไปนะ

เห็นครอบครัวลูกชายคุณย่ากลับมาแล้วหวั่นใจจริง กลัวว่ายัยน้องสาวคิดไม่ซื่อกับพี่หมอฟางคนนั้นจะตามติดกลับมาด้วยนี่แหละ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 47 อวยพรวันปีใหม่กับเพื่อนบ้าน

หลินม่ายกับคุณย่าฟางเตรียมอาหารสำหรับวันแรกของวันปีใหม่

มีมื้ออาหารค่ำของคืนวันส่งท้ายปีเก่าหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่จาน ทว่าของเหลือจากคืนวันส่งท้ายปีเก่าไม่สามารถเอากลับมากินต่อได้ ทำได้เพียงเก็บแช่เย็นโดยวางเอาไว้ในเพิงหญ้าที่สวนหลังบ้าน ใช้ฝาครอบขนาดใหญ่ครอบเอาไว้ด้านบน

หลังจากเตรียมมื้ออาหารในวันปีใหม่เสร็จ คุณปู่ฟางกับหลานก็ไปเก็บกระบอกไม่ไผ่กลับมาพอดี

คุณย่าฟางบอกให้ทุกคนไปที่โต๊ะอาหารและกินอาหารขณะที่ยังร้อนอยู่ สั่งให้ทุกคนกินอาหารให้หมด ไม่เช่นนั้นจะเหลือเศษอาหาร

เมื่อพิจารณาจากฟันที่ไม่แข็งแรงของสองเฒ่า หลินม่ายจึงทำอาหารทั้งหมดออกมาให้นุ่มละมุนและชุ่มช่ำ และคุณปู่ฟางก็กินจนอิ่ม

เขายกตะเกียบขึ้นและชี้ไปที่ฟางจั๋วหราน “ถ้าแกจะหาภรรยานะ แกจะต้องหาคนที่ทำอาหารเก่ง จะได้กินของอร่อยไปทุกวัน”

ฟางจั๋วหรานยิ้มและไม่พูดอะไร

ในวันตรุษจีน หลินม่ายทำอาหารเพียงแค่ห้าอย่างและน้ำซุปอีกหนึ่งอย่างเพราะเกรงว่าจะเหลือทิ้ง รวมทั้งหมดเป็นหกอย่าง มีความหมายว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะราบรื่น

ทุกคนกินอาหารทั้งหกจานจนเกลี้ยง ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะออกไปล้างจาน

เมื่อออกมา เขาเห็นคุณปู่ฟางใช้กระบอกไม้ไผ่มาทำกระปุกออมสินให้โต้วโต้ว ขณะที่หลินม่ายนั่งดูอยู่กับลูกสาว

คุณปู่ฟางมีอายุมากแล้ว การใช้มีดตัดกระบอกไม้ไผ่จึงไม่ง่ายนัก

ฟางจั๋วหรานเดินไปนั่งยอง ๆ คว้ามีดและกระบอกไม่ไผ่จากมือคุณปู่ฟาง “ผมทำให้ครับ”

นี่เป็นครั้งแรกที่หลินม่ายได้เห็นกระปุกออมสินจากกระบอกไม้ไผ่

ขั้นตอนการทำนั้นง่ายมาก เพียงตัดไม้ไผ่ทั้งสองข้างโดยเลือกจากข้อต่อส่วนกลางและส่วนท้าย เจาะรูเล็ก ๆ บริเวณด้านบนของข้อต่อไม้ไผ่ เท่านี้กระปุกออมสินไม้ไผ่ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

หลินม่ายมองดูด้วยความขบขัน “นี่หรือคะกระปุกออมสิน มันคือปี่เซี๊ยะชัด ๆ ใส่เงินเข้าไปได้แต่เอาเงินออกมาไม่ได้”

เนื่องจากกระปุกออมสินทำมาจากข้อต่อของไม้ไผ่ ถ้าคิดจะถอนเงินก็ต้องทำลายกระปุกออมสินทิ้งเท่านั้น และนี่คือสิ่งที่หลินม่ายพูดถึง

โต้วโต้วไม่รู้ว่าปี่เซี๊ยะคืออะไร และแทบรอไม่ไหวที่จะเอาธนบัตรทั้งสามใบยัดใส่ลงไปในช่องเล็ก ๆ ที่ถูกเปิดออก

หลินม่ายจับมือเล็ก ๆ ของเธอและพูดว่า “ถ้าใส่เงินเข้าไปแล้วจะเอาออกมาไม่ได้นะ เมื่อไหร่ที่กระปุกออมสินเต็มแล้วจะต้องใช้มีดผ่าเอาเงินออกมา หนูยังจะอยากใส่เงินลงไปอยู่มั้ย?”

โต้วโต้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ใส่ค่ะ!” หล่อนต้องการจะใส่ธนบัตรทั้งสามลงไปในกระปุกออมสิน

ฟางจั๋วหรานหยิบธนบัตรทั้งสามใบออกมาจากมือของหล่อน “กระปุกออมสินอันนี้ใช้สำหรับเก็บเหรียญและธนบัตรก็จริง แต่ผมกลัวว่าแมลงจะมาแทะธนบัตรเข้า”

โต้วโต้วมองดูแบงก์ธนบัตรแล้วขมวดคิ้ว “แต่หนูไม่มีเหรียญ…”

“งั้นเราไปแลกธนบัตรสามหยวนเป็นเหรียญกับคนอื่นกัน”

ฟางจั๋วหรานนำธนบัตรทั้งสามใบใส่เข้าไปในกระเป๋า “รอสักแปดโมง อาจะพาหนูไปแลกเหรียญที่ร้านสหกรณ์ดีไหมครับ?”

โต้วโต้วพยักหน้าอย่างลังเล

ในวันแรกของเทศกาลปีใหม่ ไม่เพียงแต่คนในครอบครัวจะส่งคำอวยพรให้กันเท่านั้น ทว่าเพื่อนบ้านที่ผ่านไปมายังพูดอวยพรวันปีใหม่ให้คนในบ้านอื่น และกล่าวคำที่เป็นสิริมงคลสองคำ

คุณย่าฟางคอยต้อนรับเพื่อนบ้านที่เดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ที่บ้าน ขณะที่คุณปู่ฟางกับโต้วโต้วออกไปข้างนอกด้วยชุดตัวใหม่ที่หลินม่ายซื้อให้

เมื่อเพื่อนบ้านเดินทางมาอวยพรวันปีใหม่ที่บ้าน พวกเขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นหลินม่าย แต่กับไม่มีใครพูดอะไร

หลินม่ายไม่ได้สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนบ้าน รินน้ำชาและน้ำให้พวกเขาอย่างพอประมาณ เอาขนมมาให้เด็ก ๆ ที่เดินทางมาอวยพรวันปีใหม่พร้อมกับพวกผู้ใหญ่

ชาวบ้านหลายคนต่างพากันชื่นชมเสื้อกันหนาวขนสัตว์ของคุณย่าฟาง ยิ้มและพูดถาม “หลานชายซื้อมาให้เหรอคะ?”

คุณย่าฟางเหลือบมองฟางจั๋วหรานที่คอยต้อนรับแขกด้วยความไม่ชอบใจ “จะเป็นเขาไปได้ยังไง ชายตัวโตคนนั้นน่ะเหรอจะมาซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ งาม ๆ ให้ฉัน ม่ายจื่อซื้อให้ฉันต่างหาก”

หลังจากกล่าวชมเชยเพียงไม่กี่คำด้วยสีหน้าแปลกใจ ทุกคนก็บอกลาและจากไป

หลินม่ายช่วยคุณย่าส่งแขกกลับไป และทันทีที่หันหลังกลับเข้าไปในบ้าน เสียงซุบซิบอย่างออกรสก็ดังในหมู่เพื่อนบ้าน

“ยัยผู้หญิงที่ชื่อม่ายจื่อไม่ธรรมดา หล่อนมีอุบายคิดจะหาวิธีเอาอกเอาใจเฒ่าฟางกับภรรยาสิท่า ปีใหม่ทั้งทีก็ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือคิดจะฮุบสมบัติของสองเฒ่าแน่นอน”

“ใคร ๆ ก็พูดกันว่าเฒ่าฟางไม่ถูกกับลูกชายและลูกสาว คนอื่นถึงได้มาใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ไง”

หลังจากต้อนรับเพื่อนบ้านไปบางส่วน เสียงดังด้านนอกประตูก็ทำให้เจ้าบ้านและหลินม่ายเอือมระอา “ผู้เฒ่าฟาง แม่เฒ่าฟาง ฉันมาอวยพรวันปีใหม่จ้ะ!”

จากนั้นประตูเล็กก็ถูกผลักออก คุณป้าอู๋ก็เดินเข้ามาพร้อมกับหลานอีกหลายคนคอยประกบซ้ายขวาเป็นพรวนและส่งเสียงจอแจ

หล่อนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อเดินเข้ามาแล้วเห็นหลินม่าย ก่อนจะพูดจาแล้งน้ำใจออกมา “โอ้! หลินม่าย เธอรีบซอยขาวิ่งมาเร็วเชียวนะ มาอวยพรวันปีใหม่แม่เฒ่าฟางแต่เช้าตรู่เลยหรือ ได้ซองไปตั้งเท่าไหร่ล่ะ?”

คุณย่าฟางส่งยิ้มให้หล่อนอย่างไม่ลังเล “ม่ายจื่อไม่ได้มาอวยพรฉันแต่เช้าตรู่หรอก แต่ว่าตาเฒ่ากับฉันเป็นคนชวนหล่อนมาฉลองปีใหม่ที่บ้านต่างหาก”

นางชำเลืองมองหลาน ๆ ของคุณป้าอู๋ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย “ม่ายจื่อไม่ใช่คนประเภทเอาเปรียบคนอื่น หล่อนไม่ยอมรับซองแดง อีกทั้งเมื่อสองสามวันก่อนยังซื้อเสื้อขนเป็ดให้คนเฒ่าอย่างเราทั้งสอง ซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ในวันปีใหม่ด้วยนะ”

ว่าแล้วก็ดึงเสื้อคลุมขนสัตว์ที่อยู่บนกาย “นี่คือเสื้อผ้าตัวใหม่ที่ม่ายจื่อซื้อให้ฉัน ทำมาจากขนสัตว์ เธอคงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเสื้อกันหนาวขนเป็ดที่ฉันเคยใส่เมื่อปีก่อนสินะ”

ใบหน้าของคุณป้าอู๋ไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปเมื่อได้ยินคำถากถางเช่นนี้ หล่อนไม่แม้แต่จะดื่มชา และรีบเดินออกไปพร้อมกับหลานทั้งหลายด้วยความสิ้นหวัง

คุณย่าฟางสูดลมหายใจลึก นางไม่ถูกกับคุณป้าอู๋มานานแล้ว เพราะว่าอีกฝ่ายชอบเอาเปรียบทุกที่ที่ไปเยือน

เพื่อนบ้านที่แวะเวียนมาอวยพรวันปีใหม่ หากบ้านไหนมีลูกหลาน เจ้าบ้านจะแจกจ่ายขนมให้กับพวกเขา

เพื่อนบ้านที่พาลูกหลานไปอวยพรวันปีใหม่ มักจะพาลูกไปคนเดียว ในขณะที่หล่อนพาเด็กไปทั้งขบวน เพราะกลัวว่าจะเสียผลประโยชน์

หลังจากนั้นไม่นาน แม่ของเถียหนิวก็มาอวยพรวันปีใหม่ที่บ้านของคุณย่าฟาง พร้อมกับของขวัญในมือ

แม่ของเถียหนิวรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหลินม่าย และไม่คิดว่าหลินม่ายจะมาฉลองวันปีใหม่ที่บ้านของคุณย่าฟาง

คุณย่าฟางก็ประหลาดใจเช่นกัน ครอบครัวของเถียหนิวไม่ได้อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงไม่นับว่าหล่อนเป็นเพื่อนบ้านในละแวกนี้ ไม่จำเป็นต้องให้หล่อนมาอวยพรปีใหม่ด้วยซ้ำ เพราะปีที่แล้วหล่อนก็ไม่ได้มา ทว่าปีนี้แม่เถียหนิวกลับมาอวยพรวันปีใหม่ด้วยตนเอง

แม้จะมาอวยพร แต่คนที่ควรมาก็คือเถียหนิว แม่ของเถียหนิวควรอยู่ต้อนรับแขกที่จะมาอวยพรวันปีใหม่ที่บ้าน

คุณย่าฟางพูดทักทายด้วยรอยยิ้ม “แม่เถียหนิว ลมอะไรหอบมาที่นี่? ให้ลูกชายมาอวยพรวันปีใหม่แทนก็ได้นี่”

แม่เถียหนิวส่งยิ้มให้หลินม่าย วางสุราสองขวดกับน้ำตาลทรายแดงสองกระปุกลงบนโต๊ะอาหาร

“ฉันแค่อยากจะใช้โอกาสนี้มาอวยพรวันปีใหม่และขอบคุณคุณป้ากับคุณลุงน่ะค่ะ ถ้าไม่มีพวกท่านทั้งสอง เมื่อสองสามปีก่อนแม่ลูกสองคนนี้คงไม่สามารถสร้างรายได้กับม่ายจื่อได้”

คุณย่าฟางโบกมือด้วยความปีติยินดี “เรามันคนกันเอง แค่ยุ่งยากเล็กน้อย ไม่ต้องถึงกับให้ของขวัญกันหรอก!”

แม่เถียหนิวลูบมือและพูดว่า “ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากฉันนะคะคุณป้า ได้โปรดรับมันไว้เถอะค่ะ”

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกับฟางจั๋วหรานไปต้อนรับแขกคนอื่น หล่อนจึงลดระดับเสียงลง “คุณป้าคะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยเป็นการส่วนตัวค่ะ”

คุณย่าฟางรีบกล่าวทักทายเพื่อนบ้านที่มาอวยพรวันปีใหม่หลังจากเห็นท่าทางจริงจังของหล่อน จากนั้นจึงพาหล่อนเข้าไปในห้อง

เมื่อทั้งสองนั่งลงที่ขอบเตียง คุณย่าฟางจึงถามแกมเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

ครุ่นคิดในใจว่าครอบครัวของพวกเขากำลังประสบปัญหาหรือไม่ ดังนั้นจึงมาอวยพรวันปีใหม่ถึงหน้าประตู

แม่เถียหนิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ฉัน ฉันมาที่นี่เพื่อขอให้ท่านเป็นแม่สื่อให้ลูกชายน่ะค่ะ”

คุณย่าฟางตกตะลึง “ลูกเธอไปชอบใครเข้าล่ะ?”

แม่เถียหนิวบุ้ยปากไปทางประตู “หลินม่ายค่ะ ฉัน…ฉันอยากจะสู่ขอหลินม่ายให้ลูกชาย คุณป้าคะ ท่าน…ท่านเห็นด้วยไหมคะ?”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หยุดเลย ยังไม่เลิกจับคู่ม่ายจื่อให้ลูกชายตัวเองอีกเหรอป้า ป้าอย่ามาล่มเรือคุณหมอกับม่ายจื่อนะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 46 สุขสันต์วันส่งท้ายปีเก่า

หลังจากจุดประทัดแล้ว ผู้คนก็กลับเข้าไปในบ้าน

คุณปู่ฟางยังคงทำตัวเหมือนเป็นเด็ก ช่วยคุณย่าฟางกับหลินม่ายนำอาหารออกมาจัดเรียงที่โต๊ะ และร้องตะโกน “จะกินอาหารค่ำส่งท้ายปีแล้วนะครับ!”

โต้วโต้วปรบมือเล็ก ๆ ตามหลังและร้องตะโกนอย่างมีความสุข “จะกินอาหารค่ำส่งท้ายปีแล้วนะคะ!”

บรรยากาศอันแสนอบอุ่นทำให้ดวงตาของทุกคนยิ้มหยีเป็นสระอิ

หลังจากที่อาหารทุกจานถูกวางไว้บนโต๊ะ หลินม่ายก็เห็นโต้วโต้วยืนเขย่งปลายเท้าอยู่ที่โต๊ะอาหาร พยายามมองดูทุกสิ่งอย่าง เธอจึงอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาบนเก้าอี้

โต้วโต้วทำท่าทางปรบมือเมื่อเห็นอาหารอันโอชะ ชี้นิ้วไปที่เนื้อไก่ก้อนตุ๋นซอสแดง และร้องตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “แม่คะ คีบอันนั้นให้หนูหน่อย!”

“ดูลูกสิ รีบร้อนอะไรขนาดนี้!” หลินม่ายยิ้มและคีบชิ้นไก่ที่ติดกระดูกให้หล่อน

โต้วโต้วไม่ใช่คนจู้จี้และตะกละตะกลาม หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้และกินอย่างเอร็ดอร่อย

ขณะที่คุณย่าฟางเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “ทำไมถึงให้ลูกกินกระดูกล่ะ?”

ก่อนจะคีบน่องไก่ทั้งสองข้างใส่ลงไปในถ้วยใบเล็กของโต้วโต้ว เจ้าตัวน้อยหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุข ดีอกดีใจขณะพูดคุยกับคุณย่าฟาง

ทักษะการทำอาหารของหลินม่ายยอดเยี่ยมมาก คุณปู่คุณย่าฟางต่างพูดชมไม่หยุด

แม้แต่ฟางจั๋วหรานที่มักจะกินอาหารตามโภชนาการก็กินอิ่มไปถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ยากนักที่จะได้เห็นพุงกลม ๆ ของเขา

มื้ออาหารค่ำในวันส่งท้ายปีเก่ากินเวลาไปถึงสองชั่วโมงเต็ม และทุกคนต่างมีความสุขกันถ้วนหน้า

คุณปู่ฟางวางตะเกียบลง และพูดว่าเขาไม่ได้มีช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ในคืนวันส่งท้ายปีเก่ามานานหลายปีแล้ว

หลังจากงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนวันส่งท้ายปีเก่าจบลง หลินม่ายก็กำลังจะไปล้างจาน แต่กลับถูกฟางจั๋วหรานขัดขวางและเป็นคนทำความสะอาดถ้วยจานชามแทน

จากนั้นจึงต้มน้ำและผลัดให้ทุกคนสลับกันอาบน้ำ

ในที่สุดโต้วโต้วก็ได้สวมเสื้อผ้าตัวใหม่ที่หลินม่ายซื้อให้ ตัวบนเป็นเสื้อคลุมผ้าลูกฟูกสีส้มอมแดง ส่วนตัวล่างเป็นกางเกงขายาวสีน้ำเงิน อีกทั้งยังมีถุงเท้าใหม่และรองเท้าผ้าฝ้ายคู่ใหม่

เจ้าตัวเล็กกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข ถามไถ่คุณปู่คุณย่าฟางว่าหล่อนดูดีหรือไม่ ทุกคนหัวเราะและตอบว่าหล่อนดูดี

หลินม่ายมองดูบ้านที่เต็มไปด้วยความสุข และเดินไปที่สวนหลังบ้านขณะที่รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนริมฝีปาก

ฟางจั๋วหรานตามเธอมาซักผ้าด้วยกัน

แม้อากาศจะเปลี่ยนแปลงไป ท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงดาวและพระจันทร์ มีเพียงตะเกียงเท่านั้นที่ให้แสงสว่างกับพวกเขา

หลินม่ายรู้สึกแปลกพิกลที่ต้องซักผ้ากับชายร่างใหญ่ แต่ถึงกระนั้นเธอก็อายเกินกว่าจะพูดออกไป

กว่าจะซักผ้าเสร็จ มือของทั้งสองก็เกือบจะถูกแช่แข็ง พวกเขาตากเสื้อผ้าไว้ใต้ชายคา เดินเข้าไปในบ้าน อังมือผิงไฟ เฝ้ารอข้ามปีพร้อมกับคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ

ทุกคนนั่งฟังวิทยุและพูดคุยกันออกรส ขณะที่ผู้ใหญ่ผลัดกันให้โต้วโต้วนอนพิงแขน

แต่เมื่อถึงตาของฟางจั๋วหราน หล่อนก็มองมาที่เขาและพยายามบ่ายเบี่ยง กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของคุณย่าฟางและพักพิงอีกครั้ง

หล่อนยังไม่กล้าเข้าใกล้เขา

เปลวไฟอันอบอุ่นในเตาถ่านทำให้ทุกคนรู้สึกสบาย โต้วโต้วผล็อยหลับไปเป็นคนแรก ขณะที่หลินม่ายเริ่มลืมตาไม่ขึ้น เธออดนอนมาเป็นเวลาสองวันแล้ว

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างใจดี “พวกหลานเข้าไปนอนเถอะ ย่ากับคุณปู่จะเฝ้าข้ามปีเอง”

นางบอกให้ฟางจั๋วหรานไปนอนด้วย เนื่องจากเขาทำงานหนักและต้องการพักผ่อน

หลินม่ายยิ้มแหย เป็นเชิงขอโทษ และเข้าไปนอนพร้อมกับโต้วโต้วที่อยู่ในอ้อมแขน

ฟางจั๋วหรานมองดูคู่แม่ลูกเดินเข้าไปในห้อง และปิดประตูลง

เขาใช้ที่คีบเขี่ยถ่านในเตาถ่าน และพูดกระซิบกับคุณปู่คุณย่า “หลังจากนี้ถ้าผมไม่ต้องเข้ากะช่วงปีใหม่อีก หรือถ้ามีวันหยุด ผมจะกลับมาหาคุณปู่คุณย่าที่ต่างจังหวัดนะครับ”

“คุณปู่คุณย่าจะเรียกให้หลินม่ายมาอยู่เป็นเพื่อนก็ได้นะครับ แต่…วันปีใหม่แบบนี้ไปเรียกให้แม่ลูกคู่นั้นมากินอาหารค่ำส่งท้ายปีเก่าด้วยมันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แม่ลูกเขาต้องกลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเหมือนกัน…”

คุณย่าฟางเหลือบมองเขา “ย่ากับปู่ของแกดูไม่รู้ความขนาดนั้นเชียวหรือ? คิดว่าเพราะเหงาที่ถูกทอดทิ้งจนต้องเรียกลูกชาวบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนในวันปีใหม่หรือไง?”

“พวกเราเรียกให้ม่ายจื่อกับโต้วโต้วมาฉลองวันปีใหม่ด้วยกันเพราะพวกหล่อนไม่มีที่ไปต่างหาก”

“ฉลองวันปีใหม่กับพวกเราดีกว่านั่งแข็งตายกันอยู่สองคนแม่ลูก คนเยอะก็ครึกครื้นดี”

ฟางจั๋วหรานดูประหลาดใจ

เขาคิดมาตลอดว่าคุณปู่กับคุณย่าชอบหลินม่ายกับลูกสาว จึงเรียกพวกเขามาฉลองปีใหม่ที่บ้าน แต่กับไม่คาดหวังว่าสาเหตุจะเป็นเพราะพวกเขาไม่มีที่ไป

เขาเริ่มพูดคุยเรื่องซุบซิน “ทำไมสองแม่ลูกไม่มีที่ไปล่ะครับ? พวกเขาไม่มีญาติพี่น้องเหรอ?”

“เฮอะ! ญาติน่ะมีอยู่หรอก แต่ไม่มียังจะดีกว่า”

คุณปู่ฟางถอนหายใจและบอกฟางจั๋วหรานว่าหลินม่ายถูกครอบครัววางแผนหลอกลวง ถูกครอบครัวสามีทำร้ายอย่างทารุณ ทำทุกอย่างจนเธอต้องออกมา… นี่คือเรื่องทั้งหมดที่เขาเล่าให้ฟางจั๋วหรานฟัง

จากนั้นฟางจั๋วหรานจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลินม่าย

เขาเกิดความรู้สึกนับถือหลินม่ายภายในใจ ผู้หญิงตัวเล็กต้องฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย อีกทั้งยังรักและหวงแหนโต้วโต้ว

ถึงอย่างนั้นก็ยังเต็มไปด้วยพลังกายพลังใจ และดิ้นรนใช้ชีวิตต่อไป

ในวันแรกของช่วงวันปีใหม่ สองแม่ลูกถูกเสียงประทัดจากทั่วสารทิศปลุกจนตื่น เสียงประทัดแต่ละนัดราวกับเสียงหม้อข้าวต้มเดือด

หลินม่ายไม่เพียงแต่จะแต่งตัวให้โต้วโต้วด้วยชุดใหม่เท่านั้น แต่ยังผูกหางม้าทั้งสองข้างด้วยริบบิ้นสีแดง ทำให้โต้วโต้วมีความสุขมาก

หลินม่ายก็สวมเสื้อผ้าตัวใหม่เช่นกัน

หลังจากที่สองแม่ลูกแต่งตัวเสร็จ พวกเธอก็ออกไปอวยพรให้สองผู้เฒ่า

สองเฒ่ามอบเงินอั่งเปาให้โต้วโต้ว ทว่าหลินม่ายรีบห้ามพวกเขา “ไม่ต้องให้อั่งเปาหรอกค่ะ ให้ไปเด็กก็ไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์อะไร”

“ไม่มีประโยชน์ยังไง!” คุณย่าฟางรีบยัดซองสีแดงใส่กระเป๋าของโต้วโต้ว “อย่างน้อยก็เอาไปซื้อขนมกินได้”

โต้วโต้วโพล่งออกไปตรง ๆ “คุณย่า หนูไม่อยากได้หรอกค่ะ”

คุณปู่ฟางแสร้งทำสีหน้าจริงจัง “ต้องเอาซองอั่งเปาไปนะ ไม่งั้นปู่กับย่าจะโกรธแล้ว”

โต้วโต้วไม่กล้าหลบเลี่ยง รีบแหงนหน้ามองหลินม่าย

หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “คุณปู่คุณย่าให้ก็รับไว้สิจ๊ะ”

โต้วโต้วรับซองอั่งเปาสีแดงมาจากคุณปู่คุณย่าฟาง แล้วจึงรีบเปิดซองแต่ละซองดู แต่ละซองบรรจุเงินหนึ่งหยวนเอาไว้

แม้จะเป็นเพียงแค่หยวนเดียว แต่ก็เยอะมากแล้วในยุคนี้

ในตอนเช้า ฟางจั๋วหรานกลับมาพร้อมกับน้ำหนึ่งกระบอก ก่อนจะมองดูหลินม่ายที่อยู่ในชุดใหม่

แม้เสื้อผ้าจะมีราคาถูกและดูไม่ทันสมัย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเสื้อผ้ารอยปะที่เธอมักจะสวมใส่ มันกลับดูแตกต่างออกไป

ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง เพียงแค่ได้สวมใส่ชุดใหม่ หญิงสาวผู้นี้ก็ดูสวยสะพรั่งขึ้นเยอะ

หลังจากเทน้ำลงถังแล้ว ฟางจั๋วหรานจึงเดินเข้าไปด้วยรอยยิ้ม หยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา และยื่นแบงก์สองหยวนให้โต้วโต้ว ก่อนจะเอ่ยวาจาสุภาพอ่อนน้อม “สุขสันต์วันปีใหม่”

ในสายตาของเด็กน้อย เงินสองหยวนเป็นเงินก้อนโต ทว่าโต้วโต้วกลับหวาดกลัวมากจนเกาะหลินม่ายไว้แน่น

หลินม่ายยิ้มและพูดกับฟางจั๋วหรานว่า “คุณไม่มีเงินย่อยเหรอคะ ดูสิเด็กกลัวหมดแล้ว”

ฟางจั๋วหรานเปิดกระเป๋าและพูดราวกับผู้บริสุทธิ์ “ธนบัตรนี้เล็กที่สุดในกระเป๋าแล้วครับ”

ท้ายที่สุดคุณย่าฟางต้องเป็นผู้เปลี่ยนธนบัตรสองหยวนให้กลายเป็นธนบัตรหนึ่งหยวนสองใบ ฟางจั๋วหรานจึงมอบธนบัตรหนึ่งหยวนเป็นของขวัญวันปีใหม่ให้โต้วโต้ว

โต้วโต้วเอาเงินสามหยวนให้หลินม่าย

ทว่าหลินม่ายปฏิเสธ “นี่คือเงินที่คุณปู่คุณย่ามอบให้ลูก ลูกเก็บไว้เองเถอะจ้ะ ไม่ต้องเอามาให้แม่หรอก”

โต้วโต้วพูดย้อน “หนูไม่มีที่ใส่แล้วค่ะ~”

คุณปู่ฟางหันกลับมาและเดินไปหยิบมีดพร้าที่หลังบ้าน “ปู่จะไปตัดกระบอกไม้ไผ่เอามาทำเป็นกระปุกออมสินให้ หลานจะได้ที่มีเก็บเงิน”

ขาสั้น ๆ ของโต้วโต้ววิ่งตามหลัง และร้องตะโกนว่า “หนูจะไปด้วย”

เมื่อวานตอนเช้าบรรยากาศรอบข้างได้เปลี่ยนไป ทั้งลมแรงและมีหิมะตก ท้องฟ้ากับพื้นดินกลายเป็นสีขาวโพลน

ถนนด้านนอกลื่นมาก ฟางจั๋วหรานกลัวว่าชายชรากับเด็กน้อยจะออกไปเจอลมแรงและหิมะ ดังนั้นเขาจึงติดตามไปด้วย

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อากาศหนาวแค่ไหนทุกคนก็อบอุ่นที่อยู่กันพร้อมหน้า รู้สึกใจฟูเลยค่ะ

คุณหมอมีเงินสินะ ไม่ค่อยได้ใช้แบงค์เล็ก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 45 กลิ่นหอมของฤดูหนาว

ดวงตาของโต้วโต้วกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสื่อว่าหล่อนมีความสุข หล่อนแกะเปลือกลูกอมออกอีกเม็ดและยื่นให้คุณปู่ฟาง

คุณปู่ฟางรับมาและหยิบใส่ปาก

โต้วโต้วถาม “คุณปู่ หวานมั้ยคะ?”

คุณปู่ฟางพยักหน้า พูดพร้อมกับรอยยิ้มฉีกกว้าง “หวานจ๊ะ ลูกอมที่โต้วโต้วให้ปู่จะไม่หวานได้ยังไง”

โต้วโต้วมีความสุขมาก ผละออกจากอ้อมกอดของคุณย่า และแกะเปลือกลูกอมชิ้นใหม่ให้หลินม่ายได้ลิ้มลองรสชาติ

โต้วโต้วหยิบลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวขึ้นมาอีกเม็ดหนึ่ง จ้องไปที่ฟางจั๋วหรานครู่หนึ่ง แกะเปลือกลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวและเตรียมจะป้อนให้กับเขาต่อหน้าทุกคน

ฟางจั๋วหรานยังคงรอคอยให้โต้วโต้วป้อนลูกอมให้ ทว่าอีกฝ่ายกลับลูบคางอย่างไม่สบายใจ

หลินม่ายนั่งลงและถามโต้วโต้วด้วยความมึนงง “ทำไมไม่ป้อนลูกอมให้คุณอาล่ะ? คุณอาอุตส่าห์พาหนูกลับมาบ้านนะ”

โต้วโต้วหยิบลูกอมรสนมตรากระต่ายอีกเม็ดในกระเป๋าขึ้นมาอย่างเนียมอาย และยัดใส่มือของหลินม่าย พูดกระซิบ “แม่คะ ช่วยหนูป้อนให้คุณอาหน่อย”

จากนั้นเด็กหญิงก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังคุณปู่ฟางด้วยความเขินอาย ยื่นศีรษะออกมามองฟางจั๋วหราน

ผู้เฒ่าทั้งสองหัวเราะขบขัน “โต้วโต้วกลัวจั๋วหรานน่ะ”

คุณปู่ฟางดึงโต้วโต้วออกมาจากทางด้านหลัง จับเจ้าตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน และชี้นิ้วไปทางฟางจั๋วหราน “คุณอาเป็นคนดี หลานไม่ต้องกลัวไป”

เมื่อนึกถึงวิธีการที่ฟางจั๋วหรานไล่ตามโจร โต้วโต้วก็ยังคงปฏิเสธที่จะเข้าใกล้เขา

หลินม่ายลุกขึ้นยืน ยิ้มและส่งลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวของโต้วโต้วให้ฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานรับมันมาด้วยรอยยิ้ม ลอกเปลือกที่ห่อหุ้มลูกอมออก และหยิบลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวใส่เข้าปาก ก่อนจะหันไปลูบหัวเล็ก ๆ ของโต้วโต้ว “ขอบใจสำหรับลูกอมนะ หวานมากเลย”

โต้วโต้วส่งยิ้มให้เขาอย่างเนียมอาย

หลินม่ายหยิบเสื้อคลุมขนสัตว์ กางกงขนสัตว์ ถึงเท้าและรองเท้าผ้าฝ้ายออกมาให้คู่สามีภรรยาเฒ่าลองใส่

แม้ผู้เฒ่าทั้งสองจะบอกว่าเปลืองเงิน แต่ร่างกายของพวกเขากลับซื่อตรง เมื่อพวกเขาได้ลองสวมใส่ พวกเขาดีใจมากที่ใส่มันได้พอดี

ดวงตาของฟางจั๋วหรานกวาดมองหลินม่าย ลูกสาวและทั้งสองเฒ่าตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

หลินม่ายกับลูกสาวแต่งตัวโทรมมาก ทว่าเธอกลับไม่ลังเลที่จะเงินซื้อของให้กับคุณปู่คุณย่าของเขา

คุณย่าฟางสัมผัสเสื้อคลุมขนสัตว์บนร่างกายของตน และพูดกับหลินม่ายว่า “พวกเราก็แก่เฒ่ากันแล้ว จะใส่เสื้อผ้าดี ๆ แบบนี้ไปทำไม ไหนจะเสื้อนวมขนเป็ดเอย เสื้อคลุมขนสัตว์เอย เอาไว้ฉันจะซื้อให้เธอกับโต้วโต้วบ้าง”

หลังจากนั้นฟางจั๋วหรานจึงรู้ว่าคู่สามีภรรยาเฒ่าไม่ได้สวมใส่เสื้อคลุมผ้าเรยอน แต่เป็นเสื้อนวมขนเป็ด เขาจึงอดไม่ได้ที่จะชำเลืองตามองหลินม่าย

หลินม่ายวางของขวัญทั้งหมดที่เธอซื้อให้คู่สามีภรรยาเฒ่าไว้บนโต๊ะอาหาร ยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉันซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้ตัวเองกับโต้วโต้วเหมือนกันค่ะ”

โต้วโต้วรีบพูด “แม่คะ หนูก็อยากใสเสื้อตัวใหม่เหมือนกัน”

หลินม่ายลูบหัวเธอ “หลังจากกินข้าวคืนส่งท้ายปีเก่าและอาบน้ำเสร็จแล้ว ลูกค่อยเปลี่ยนชุดใหม่ได้จ๊ะ”

คุณปู่กับคุณย่าฟางรีบถอดชุดตัวใหม่ออก “ตอนนี้คุณปู่กับคุณย่าแค่ลองชุด ค่อยใส่ตอนกลางคืนอีกที”

โต้วโต้วเงียบลง

ฟางจั๋วหรานหยิบของขวัญเขาที่ซื้อออกมาจากกระเป๋าเป้เดนิม และส่งให้ผู้เฒ่าทั้งสอง มีเสื้อผ้าและอาหารมากมายจนผู้เฒ่าทั้งสองรู้สึกสุขใจ

คุณย่าฟางรับของขวัญที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาให้ และพูดอย่างขุ่นเคืองขณะกอดครีมทาผิวทั้งสองกล่องเอาไว้ในอ้อมแขน “ครั้งที่แล้วหลานให้ม่ายจื่อเอาครีมทามือน้ำมันหอยสองกล่องกับไป่เชวี่ยหลิง*(1)สองกล่องมาให้ยังใช้ไม่หมดเลย นี่หลานซื้อมาอีกแล้วหรือ ย่าไม่ใช่สาววัยแรกแย้มสักหน่อย ทำไมต้องมานั่งบำรุงหน้าเยอะนัก”

ฟางจั๋วหรานตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้ง เหลือบมองหลินม่าย และพูดกับคุณย่าฟางว่า “ถ้าคุณย่าไม่ใช้ก็ให้คุณปู่ใช้ก็ได้ครับ”

คุณย่าฟางกลอกตาและพูดว่า “ตาเฒ่านั้นใช้อะไรเป็นซะทีไหน!”

ก่อนจะยัดกล่องครีมใส่อ้อมแขนของหลินม่าย “เธอเอาไปใช้สิ”

“เอ่อ…” หลินม่ายทำตัวไม่ถูก

นี่คือการตอบแทนบุญคุณของฟางจั๋วหรานที่มีให้แก่คุณย่าฟาง มันคงไม่ดีหากเธอรับครีมมา

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเอื้ออารี “ในเมื่อคุณย่าให้คุณ คุณก็รับไปเถอะครับ”

จากนั้นหลินม่ายก็ยัดครีมทาผิวใส่ลงไปในกระเป๋า

คุณปู่ฟางยิ้มแย้มขณะถือกล่องพลาสติกที่บรรจุเนื้อวัวดิบกับผ้าขี้ริ้ววัวดิบหลายชิ้น “นี่ดีมากเลยนะ เหมาะสำหรับอาหารค่ำในวันส่งท้ายปีเก่า”

หลินม่ายรีบถอดผ้าพันคอและส่งคืนให้ฟางจั๋วหราน พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อาสาที่จะเตรียมอาหารในคืนวันส่งท้ายปีเก่า

คุณย่าฟางไม่ได้เกรงใจเธอมากนัก และปฏิบัติต่อเธอราวกับหลานสาวคนหนึ่ง

วัตถุดิบในครัวมีเยอะมาก ความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุดิบทำให้การทำอาหารอันแสนอร่อยไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

เมื่อสักครู่นี้คุณปู่ฟางบอกว่าเขาอยากจะกินเนื้อวัวกับผ้าขี้ริ้ววัวเป็นอาหารค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่า ดังนั้นเนื้อวัวตุ๋นกับผ้าขี้ริ้วตุ๋นจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

ขณะที่หลินม่ายกำลังเตรียมน้ำเกลือ คุณย่าฟางก็เดินเข้ามาพร้อมกับผ้าขนหนู

หลินม่ายถาม “คุณย่าจะล้างหน้าเหรอคะ เดี๋ยวฉันตักน้ำให้” หลังจากพูดจบ เธอก็หยิบกะละมังขึ้นมาและตักน้ำใส่

คุณย่าฟางส่ายหัว “ไม่ได้อยากล้างหน้าหรอก แต่จะเอาไปเช็ดหน้าจั๋วหรานน่ะ โต้วโต้วข่วนหน้าเขาจนเป็นรอย จะปิดไว้ก็ไม่ได้ พรุ่งนี้แขกเห็นคงถามกันน่าดู”

คุณย่าฟางหยิบกะละมังน้ำเย็นที่หลินม่ายเตรียมไว้ให้ จุ่มผ้าขนหนูลงไปในกะละมังและหยิบขึ้นมา

เสียงไพเราะราวกับหยกกระทบกันของฟางจั๋วหรานดังลอดออกมาจากห้องโถง “โต้วโต้ว หลานบอกว่าจะเช็ดหน้าให้อาไม่ใช่เหรอ”

โต้วโต้วประหม่าจนไม่กล้าพูดอะไรออกไป

ครี่งชั่วโมงต่อมา โต้วโต้วรีบวิ่งมาลากหลินม่ายให้ไปที่ห้องโถง “แม่คะ ช่วยหนูเช็ดหน้าคุณอาหน่อย หนูกลัวคุณอา…”

หลินม่ายผู้ถูกดึงไปด้านหน้าฟางจั๋วหรานจึงต้องคอยเช็ดหน้าให้ฟางจั๋วหรานแทนเจ้าตัวเล็ก

เธอไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากแก้ปัญหาที่ลูกสาวก่อเอาไว้

เดิมทีมันเป็นการเช็ดหน้าทั่วไป และหลินม่ายไม่ได้รู้อะไร

ทว่าความใกล้ชิดที่มากเกินไปทำให้ทั้งสองเริ่มหายใจติดขัด เธอรู้สึกอายเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าร้อนฉ่าขึ้น

ฟางจั๋วหรานมองดูใบหน้าของเธอ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าสัดส่วนใบหน้าของเธองดงามมาก ถ้าไม่ติดว่าคล้ำไปหน่อย เธอคงจะกลายเป็นหญิงสาวแสนสวยที่ได้รับความรักจากทุกคน สวยงามดั่งดอกไม้ที่บานสะพรั่ง

ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมที่เคยสัมผัสบนรถบัส มันทั้งรู้สึกสดชื่นและชวนน่าหลงใหล

เขามองดูสาวงามผิวคล้ำที่อยู่ตรงหน้าด้วยความลุ่มหลง

หลินม่ายที่เคอะเขินเล็กน้อยรู้สึกเขินมากขึ้นเมื่อถูกอีกฝ่ายจ้องมองอย่างไม่ลดละ

เมื่อเช็ดหน้าให้ฟางจั๋วหรานเสร็จ เธอก็รีบตรงดิ่งไปที่ห้องครัวทันที

หลังจากเตรียมน้ำเกลือและปรุงอาหารบนเตาแล้ว หลินม่ายก็กำลังจะทำความสะอาดผ้าขี้ริ้ววัวและวัตถุดิบต่าง ๆ

ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามาและแย่งวัตถุดิบออกมาจากมือเธอ “น้ำในฤดูหนาวเย็นเฉียบออกขนาดนี้ ผมล้างให้เองครับ”

หลินม่ายไม่ได้ขัดขวางเขา และไปเตรียมอาหารจากอื่นต่อ

ฟางจั๋วหรานกลับมาหลังจากล้างวัตถุดิบเสร็จ เขาวางวัตถุดิบที่ล้างสะอาดแล้วลงหลังจากเห็นว่าเธอเริ่มทำอาหาร การนั่งอยู่หน้าเตาถ่านและจุดไฟเป็นไปอย่างธรรมชาติ

หลินม่ายส่งยิ้มให้เขา และหันไปปรุงอาหารต่อ

ฟางจั๋วหรานมองดูเธอ ภายใต้แสงไฟสลัวจากตะเกียงน้ำมันทำให้เธอดูสวยงามแม้ในยามจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร

เนื่องจากอาหารที่ตุ๋นเครื่องพะโล้อย่างหมูตงพอ*(2) หมูนึ่งข้าวคั่ว และเคาหยก*(3) ต้องใช้เวลาในการทำนาน หลินม่ายจึงยุ่งอยู่ในครัวเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะเตรียมอาหารค่ำในคืนวันส่งท้ายปีเก่าเสร็จ

สำหรับอาหารค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าที่ผ่านมา มีเพียงคุณปู่ฟางเท่านั้นที่จุดประทัดอยู่ที่หน้าประตู ส่วนคุณย่าฟางจะเตรียมอาหารค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าอยู่ในครัว

แต่ปีนี้มีฟางจั๋วหรานอยู่ด้วย หน้าที่ในการจุดประทัดจึงตกมาเป็นของเขา ในขณะที่คนอื่น ๆ มีหน้าที่นั่งดู

เพื่อนชาวบ้านที่ออกมาจุดประทัดในวันส่งท้ายปีเก่า พูดทักทายคุณปู่และคุณย่าฟางว่า “ปีใหม่ปีนี้หลานชายคนโตกลับมาหาด้วยสินะครับ”

คุณปู่และคุณย่าฟางต่างตอบรับอย่างภาคภูมิใจ

……………………………………………………………………………………………………………………….

*(1) ไป่เชวี่ยหลิง คือ ชื่อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยเรื่องการชะลอวัย

*(2) หมูตงพอ คือ เนื้อหมูตุ๋นราดน้ำแดง

*(3) เคาหยก คือ อาหารกวางตุ้งชนิดหนึ่ง ใช้หมูสามชั้นมาตุ๋นกับผัดกาดดองเค็ม

สารจากผู้แปล

โต้วโต้ว หนูกลัวคุณอาตรงไหนคะ คุณอาออกจะหล่อ

เรือแรงมากเลยค่ะ ลูกเรือคุณหมอยังอยู่บนเรือไหมคะ ไม่ใช่ว่าตกน้ำไปแล้วนะคะ ๕๕๕

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 44 กลับบ้านด้วยกัน

ถึงแม้บนรถบัสจะอัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่คนขับก็ยังไม่ออกรถเพราะยังไม่ถึงเวลา

ด้วยความอับอายจากการกระทำของโต้วโต้ว หลินม่ายจึงชี้นิ้วไปที่ใบหน้าหล่อเหลาของฟางจั๋วหราน และพูดขอโทษ “เมื่อกี้นี้โต้วโต้วข่วนหน้าคุณจนเป็นรอยเลยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานสัมผัสใบหน้าบริเวณที่ถูกข่วน “ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้เป็นแผลอะไร แค่ใช้ผ้าเย็นเช็ดเดี๋ยวก็หาย”

โต้วโต้วโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ “รอให้ถึงบ้านคุณย่าก่อน แม่จะเช็ดให้ค่ะ”

หลินม่ายกระแอมไอด้วยความเขิน และตีโต้วโต้วเบา ๆ “เพราะลูกนั่นแหละไปข่วนหน้าคุณอาเข้า ถ้าอยากจะเช็ดหน้าให้คุณอาก็ทำเองสิ ทำไมแม่จะต้องเป็นเช็ดหน้าให้คุณอาด้วย?”

โต้วโต้วเอียงคอและครุ่นคิด “งั้นถ้าถึงบ้านคุณย่าแล้ว หนูจะเช็ดหน้าให้คุณอาเองค่ะ”

ฟางจั๋วหรานยิ้มและบีบแก้มเล็ก ๆ ของอีกฝ่าย ก่อนจะถามหลินม่ายว่า “ทำไมคุณไปอยู่แถวท่าเรือเยว่ฮั่นได้ล่ะครับ?”

“ฉันย้ายไปขายของใกล้ท่าเรือเยว่ฮั่นน่ะค่ะ ครั้งที่แล้วต้องขอบคุณมากนะคะ”

ฟางจั๋วหรานโบกมือ “เรื่องเล็กน้อยครับ ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณเอาคืนให้ฉัน จะเป็นเรื่องเล็กน้อยได้ยังไงล่ะคะ”

ฟางจั๋วหรานงุนงง “ผมเอาคืนให้คุณยังไงครับ?”

“คุณสั่งให้พวกนักเรียนออกหน้าและบีบให้ครอบครัวที่มีเจตนาร้ายต่อธุรกิจของฉันกลับไปไม่ใช่เหรอคะ?”

ฟางจั๋วหรานส่ายศีรษะ “ผมไม่ได้สั่งให้พวกนักเรียนทำแบบนั้นหรอกครับ มันเป็นความคิดของพวกเขาเอง”

“แต่ก็ต้องขอบคุณคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ พวกนักเรียนคงจะไม่ออกมาช่วยฉัน”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม “คุณย้ายมาที่ท่าเรือเยว่ฮั่นหลายวันแล้ว แต่ผมกลับไม่เจอคุณเลย”

หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “ท่าเรือเยว่ฮั่นอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้มาก ถ้าไม่เจอกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่ไหมคะ?”

ฟางจั๋วหรานส่ายหัวและพูดว่า “แต่ประเด็นคือผมย้ายไปที่ท่าเรือเยว่ฮั่นแล้ว และไม่เห็นอะไรผิดแปลกเลยครับ”

หลินม่ายประหลาดใจ “จริงเหรอคะ ทำไมถึงย้ายล่ะคะ?”

“มหาวิทยาลัยกำลังจะขยายพื้นที่ หอพักบุคลากรเลยถูกย้ายตามไปด้วย ทางมหาวิทยาลัยได้รับการจัดสรรที่ดินแถวท่าเรือเยว่ฮั่นให้มาสร้างหอพักตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว เมื่อไหร่ที่ก่อสร้างเสร็จ พวกเราจะต้องย้ายไปที่นั่นครับ”

“แบบนี้นี่เอง ยินดีด้วยนะคะที่ได้ย้ายบ้านใหม่”

หลังจากนั้นไม่นาน คนขับรถก็เดินมาพร้อมกับหม้อชาขนาดใหญ่

เมื่อคืนนี้หลินม่ายกับลูกสาวเข้านอนดึก และตื่นแต่เช้าตรู่ ตัวรถที่สั่นสะเทือนขณะเคลื่อนไหวทำให้แม่กับลูกสาวผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว

ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างแม่และลูกสาวลงจากรถระหว่างทาง ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะเข้าไปนั่งแทนที่

เมื่อคิดว่ารถยังต้องเคลื่อนตัวไปอีกระยะหนึ่ง เขาจึงหยิบหนังสือทางการแพทย์ออกมาจากกระเป๋าและก้มหน้าอ่าน

รถบัสระยะทางไกลหักพวงมาลัยไปทางซ้าย ทำให้หลินม่ายที่นั่งหลับอยู่ริมหน้าต่างเอนกายมาผิงไหล่ของฟางจั๋วหราน

กลิ่นหอมจากร่างกายของเธอฟุ้งกระจายจนเขาสัมผัสได้

เขาหันหน้าไปมองเธอ แม้ว่าผิวของเธอจะคล้ำ แต่กลับไม่ได้แห้งกร้านเหมือนครั้งที่เจอล่าสุด ถึงอย่างนั้นก็ยังดูหยาบกร้านจนทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว และยังคงนั่งอยู่ในท่าทางอึดอัดเพื่อให้หลินม่ายได้นอนหลับสบายขึ้น

หลังจากผ่านไปเกือบชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเมืองซื่อเหม่ย เจ้าหน้าที่ตะโกนเอะอะโวยวายเพื่อเรียกให้ผู้โดยสารลงจากรถ

หลินม่ายลืมตาขึ้น ขณะที่ฟางจั๋วหรานยื่นมือออกมาตรงหน้าเธอ “ผมอุ้มหล่อนให้เองครับ”

เธอยังมีของอีกหลายสิ่งที่ต้องถือ หากมัวแต่อุ้มลูกเอาไว้ เธอคงไม่สามารถลงจากรถได้

หลินม่ายไม่ถ่อมตัวอีกเช่นเคย เธอยื่นโต้วโต้วให้เขา ก่อนจะเดินลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าพะรุงพะรัง

แม้ว่าอากาศในรถบัสจะเหม็นมาก แต่กลับอบอุ่น

หลังจากลงจากรถ อากาศเย็นเยือกก็ปะทะเข้ากับร่าง จนหลินม่ายสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างกาย

เมื่อเห็นเช่นนั้น ฟางจั๋วหรานจึงถอดผ้าพันคอของตนและส่งให้หลินม่าย

หลินม่ายโบกมือปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันไม่หนาวค่ะ” หลังจากพูดจบ เธอก็จามออกมาครั้งใหญ่

ใบหน้าของเธอแดงก่ำ

โต้วโต้วพูดเกลี้ยกล่อมขณะเอนกายอยู่ในอ้อมแขนของชายตรงหน้า “แม่ฟังคำพูดคุณอาเถอะค่ะ ถ้าเป็นหวัดจะแย่เอา”

หลินม่ายวางกระเป๋าใบใหญ่ลง รับผ้าพันคอมาพันรอบคอ

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายต้องแบกของพะรุงพะรัง เขาจึงหยิบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นมาและเดินนำไป

เขาตัวสูงและขายาว ขณะที่หลินม่ายมัวพันผ้าพันคอ เขาได้เดินนำไปไกลหลายสิบเมตร

อุณหภูมิบนร่างกายของชายตรงหน้ายังติดอยู่กับผ้าพันคอ ซึ่งทำให้หลินม่ายรู้สึกแปลก ๆ ในใจ

หลังจากพันผ้าเสร็จ เธอก้มลงไปที่หยิบกระเป๋าที่เท้า ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาจากทางด้านหลัง คว้ากระเป๋าและวิ่งหนีไป

หลินม่ายร้องตะโกนตามสัญชาตญาณ “โจรปล้น! มีคนขโมยกระเป๋า!”

ฟางจั๋วหรานที่เดินนำอยู่ข้างหน้า วางโต้วโต้วกับกระเป๋าใบใหญ่ในมือลงโดยไม่แม้แต่จะคิด และวิ่งตามโจรไป

แม้ว่าโจรจะวิ่งอย่างว่องไว ทว่าระยะห่างกับฟางจั๋วหรานกลับสั้นลงเรื่อย ๆ

โจรรีบโยนกระเป๋าใส่ฟางจั๋วหรานเพื่อไม่ให้เขาวิ่งตามทัน ก่อนจะซอยเท้าหลบหนีไป

ฟางจั๋วหรานหยิบกระเป๋าและหยุดไล่ตาม

เขาเดินเข้าไปหาหลินม่ายและยื่นกระเป๋าให้เธอ

หลินม่ายพูดขอบคุณหลายครั้งติดต่อกัน

โต้วโต้วรู้สึกหวาดกลัวเขาเล็กน้อย ตอนที่เขาวิ่งไล่ตามโจรช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน

ฟางจั๋วหรานอุ้มโต้วโต้วและถือกระเป๋าขึ้นมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะเดินคนเดียว เขากลับเดินเคียงข้างหลินม่าย

ผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งหลายมองดูพวกเขาด้วยความสงสัย

ใครบางคนชี้มาทางเขาและพูดว่า “ผู้ชายคนนั้นหล่อจริงเชียว ทำไมถึงหาแม่สาวผิวคล้ำมาเป็นภรรยากันนะ คงจะมาจากชนบทสิท่า!”

สายตานั้นมองดูราวกับฟางจั๋วหรานวางดอกไม้ลงบนกองมูลวัวอย่างหลินม่าย

คำพูดดังกล่าวทำให้หลินม่ายถึงกับหน้าแดงลามไปยังใบหู

เมืองซื่อเหม่ยในวันส่งท้ายปีเก่าเงียบกว่าปกติเป็นพิเศษ ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว ทุกคนกำลังมีความสุขกับการเตรียมอาหารค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าที่บ้านของตนเอง

มีเด็กน้อยไม่มากนักที่วิ่งเล่นบนท้องถนน ส่วนใหญ่วนเวียนอยู่ในครัวเพื่อมองหาโอกาสขโมยอาหาร

คุณย่าฟางออกมาข้างนอกนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อมองดูว่าหลินม่ายกับลูกสาวกลับมาหรือยัง ถึงแม้ว่าทุกครั้งที่นางออกมาดูจะทำให้ตัวเองผิดหวัง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าการออกมาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเห็นเพียงหลินม่ายกับลูกสาวเท่านั้น แต่ยังได้เจอกับฟางจั๋วหราน นางจึงรีบร้องตะโกนเข้าไปในบ้าน “ตาเฒ่า ม่ายจื่อ โต้วโต้วกับจั๋วหรานกลับมาแล้ว รีบออกมาช่วยถือของเร็วเข้า!”

นางร้องตะโกนขณะวิ่งเหยาะ ๆ เข้าไปรับโต้วโต้วจากอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน ก่อนจะหันไปบ่นกับหลินม่าย “ดูเธอสิ ซื้อของอะไรกลับมาตั้งเยอะแยะ! ไม่ฟังที่ย่าพูดบ้างเลย!”

หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “ถ้าไม่ใช้เงินตอนปีใหม่ แล้วเมื่อไหร่จะได้ใช้ล่ะคะ?”

คุณปู่ฟางวิ่งออกมาด้วยความสุขใจ และรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นฟางจั๋วหราน “แกบอกว่าวันส่งท้ายปีเก่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาได้? ตอนที่ย่าพูดถึงแก ปู่ก็นึกว่าเผลอจำผิด”

ฟางจั๋วหรานพูดว่า “ฝ่ายบริหารจัดกะใหม่น่ะครับ พอดีกับที่ผมไม่ต้องเข้ากะในวันส่งท้ายปีเก่า ผมเลยมาฉลองปีใหม่กับคุณปู่คุณย่า คุณปู่คุณย่าไม่ดีใจเหรอครับ?”

คุณปู่ฟางตีเขาอย่างแรง “ดูเจ้าเด็กนี่พูดเข้า แกก็รู้ว่าย่าแกดีใจมากแค่ไหน!”

ทุกคนหัวเราะและเดินเข้าไปในบ้าน โต้วโต้วหยิบลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวออกมาจากกระเป๋า แกะเปลือกลูกอม ส่งให้คุณย่าฟางและพูดเสียงหวาน “คุณย่ากินลูกอมสิคะ”

คุณย่าฟางหันหน้าไปอีกข้างหนึ่ง และพูดตอบว่า “โต้วโต้วเด็กดี โต้วโต้วกินเลยจ๊ะ”

โต้วโต้วยังคงออดอ้อนขณะอยู่ในอ้อมแขนของเธอ “โต้วโต้วยังมีอีกค่ะ ให้คุณย่ากินอันนี้”

หลินม่ายพูดเกลี้ยกล่อม “คุณย่ากินที่โต้วโต้วป้อนให้ก็ได้ค่ะ ฉันซื้อมาลูกอมรสนมมาตั้งหนึ่งชั่ง”

คุณย่าฟางอ้าปากรับลูกอมรสนมตรากระต่ายขาว ใบหน้าของนางผุดรอยยิ้มหวานราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง “หวาน หวานจังเลย!”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

โมเมนต์พ่อแม่ลูกสุด ๆ ขอให้มีโมเมนต์แบบนี้เยอะ ๆ นะคะ 

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 43 กลิ่นหอม

หลังจากปิดประตูและหน้าต่างบ้านแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปที่ร้านอาหารของทางรัฐเพื่อกินเกี๊ยวสำหรับมื้อกลางวัน

เมื่อกินเกี๊ยวหมด แม่และลูกสาวก็พากันตรงดิ่งไปที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ตั้งใจจะเสื้อผ้าและของขวัญปีใหม่ให้คุณปู่กับคุณย่าฟาง รวมถึงตัวเธอและลูกสาว

ภายในห้างสรรพสินค้ามีฝูงชนแออัด หลินม่ายกลัวว่าโต้วโต้วจะหลงทางกับเธอ จึงกำชับบอกให้โต้วโต้วจับเสื้อเธอเอาไว้

มีผู้คนจำนวนมากที่เดินทางมาซื้อยาสูบ สุรา และกับข้าว ในขณะที่หลินม่ายกับโต้วโต้วซื้อเสื้อผ้าเป็นอย่างแรก

ห้างสรรพสินค้ามีขนาดไม่ใหญ่และคุณภาพไม่สูงนัก เสื้อผ้ามีราคาถูกกว่าห้างดังเล็กน้อย ทว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไป

ทุกวันนี้หลินม่ายทำงานหนักมากเสียจนหลงลืมการเลือกซื้อเสื้อผ้าดี ๆ ให้ตนเอง เธอเพียงสวมใส่เสื้อลายตารางสีแดงดำและกางเกงขายาวสีดำ

โต้วโต้วเป็นคนเลือกเสื้อผ้าด้วยตนเอง เจ้าตัวเล็กมีความสุขมากที่ได้วิ่งเต้นไปเลือกเสื้อผ้าที่ตนเองชอบ

หลินม่ายไม่เพียงแต่จะซื้อเสื้อตัวใหม่ กางเกงตัวใหม่ รองเท้าคู่ใหม่ และถุงเท้าคู่ใหม่ให้เจ้าตัวเล็ก แต่ยังซื้อริบบิ้นสีแดงผูกผมให้หล่อนด้วย

เธอซื้อเสื้อและกางเกงขายาวที่ทำมาจากขนสัตว์ให้กับคุณปู่และคุณย่าฟาง จากนั้นแม่และลูกสาวจึงไปซื้อกับข้าวกันต่อ

ทุกครั้งที่ซื้อกับข้าวจะต้องไปต่อคิวเสมอ เธอซื้อสุราชั้นดีสองขวด อาหารกระป๋องสองกระป๋อง นมผงสองกระปุก ลำไยสองชั่ง เม็ดบัวสองชั่ง เห็ดหูหนูขาวสองชั่ง และลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวหนึ่งชั่ง…หลินม่ายใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงในการซื้อของทั้งหมดนี้

ในที่สุดเธอก็ซื้อของครบ แม่กับลูกสาวถูกฝูงชนเบียดจนแทบจะเปลี่ยนรูปทรง

หลินม่ายแบ่งลูกอมรสนมตรากระต่ายขาวที่เธอซื้อมาหนึ่งชั่งให้โต้วโต้วกินเล็กน้อย

ทว่าโต้วโต้วเก็บลูกอมไว้ในกระเป๋า โดยบอกว่าจะเอากลับไปกินกับคุณปู่คุณย่าฟาง

หลินม่ายยกย่องที่หล่อนเป็นคนมีเหตุมีผลยิ่งนัก และพาหล่อนไปที่ป้ายรถเมล์เพื่อขึ้นรถบัสสำหรับเดินทางไกล

ผู้คนมากมายมักจะเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงปีใหม่ ฝูงชนอัดแน่นอยู่บนรถบัสจนถึงสถานีรถไฟ ผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางไกลมีจำนวนมากจนแม่และลูกสาวไม่สามารถเบียดเสียดเข้าไปได้

หากหลินม่ายอยู่ตัวคนเดียวและต้องแบกกระเป๋าใบเล็กและใบใหญ่ขึ้นรถมาด้วยคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าพาโต้วโต้วมาด้วยคงไม่ดีแน่ เธอกลัวว่าผู้คนจำนวนมหาศาลจะพัดพาลูกให้หลงทางไป

หลินม่ายทำอะไรไม่ถูก ยังคงพยายามเบียดเสียดเข้าไปในฝูงชนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่เช่นนั้นวันนี้เธอคงกลับไปที่บ้านของคุณปู่คุณย่าฟางไม่ได้

รถบัสอีกคันที่ขนส่งผู้โดยสารเดินทางไกลกำลังวิ่งเข้าสู่สถานที หลินม่ายจึงหันไปพูดกับโต้วโต้ว “พร้อมไหมจ๊ะ ไม่ว่ายังไงครั้งนี้เราก็ต้องเบียดเข้าไปให้ได้!”

โต้วโต้วพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง ดวงตาคู่โตสีดำจับจ้องไปที่รถบัส

แต่ก่อนที่รถบัสจะวิ่งเข้ามา ผู้คนจำนวนมากกลับรีบวิ่งเข้าไปหา

ทุกคนจดจ่ออยู่กับการวิ่งจนเหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย โต้วโต้วถูกฝูงชนวิ่งชนขณะตะเกียกตะกายเข้ารถบัส และล้มลงกับพื้น

หลินม่ายฝ่าฝูงชนออกมาขณะที่เหงื่อไหลริน รีบวิ่งเข้าไปขวางทางคนข้างหลังโดยใช้ร่างกายเป็นกำบัง

หากไม่ขวางทางเอาไว้ก็จะไม่มีคนเห็น และโต้วโต้วจะถูกฝูงชนเหยียบเอาได้

ขณะเดียวกัน มือใหญ่คู่หนึ่งที่เผยให้เห็นกระดูกชัดเจนยื่นออกมาจากด้านข้าง คว้าโต้วโต้วขึ้นมาจากพื้น และกอดหล่อนเอาไว้ในอ้อมแขน

หลินม่ายมองตามมือใหญ่คู่นั้น และพบว่าเป็นฟางจั๋วหรานผู้ดูหล่อเหลา

ขณะที่กำลังจะพูดขอบคุณ เธอก็เห็นโต้วโต้วผู้ไม่สนใจสถานการณ์ เหยียดอุ้งมืออันกระจิริดข่วนเข้าที่ใบหน้าของฟางจั๋วหรานอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง เท้าเล็ก ๆ ทั้งสองข้างเตะเขาอย่างต่อเนื่อง พลางอ้าปากกรีดร้องเสียงดังลั่น “ปล่อยหนู ไอ้คนเลว ปล่อยหนู!”

เป็นสาเหตุให้คนทั้งหลายมองมาด้วยความสงสัย

ฟางจั๋วหรานใช้มือข้างหนึ่งรวบมือขนาดเล็กของเด็กน้อย และพูดว่า “อาไม่ใช่คนเลว”

หลินม่ายกับเขาพูดขึ้นพร้อมกัน และหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่คำพูดนั้นจบลง

หลินม่ายยิ้มและพูดอธิบาย “ฉันบอกโต้วโต้วน่ะค่ะ ว่าถ้ามีคนแปลกหน้ามากอดเธอ ให้เธอร้องตะโกนสุดเสียง ไม่อย่างงั้นคนอื่นจะไม่รู้ว่าเธอเจอคนไม่ดี”

ฟางจั๋วหรานสะกิดจมูกเล็ก ๆ ของโต้วโต้ว “เห็นอาเป็นคนแปลกหน้าเหรอ?”

โต้วโต้วก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

แม้ว่าพวกเขาจะพบกันหลายครั้ง แต่ช่วงเวลาที่พบกันนั้นสั้นมาก เธอจึงลืมเขาไปเสียสนิท

หลินม่ายพูดขอบคุณ “ขอบคุณนะคะ คุณมาได้ทันเวลาพอดี ไม่งั้นโต้วโต้วคงตกอยู่ในอันตราย”

ฟางจั๋วหรานยิ้ม “พวกคุณกำลังจะกลับบ้านในช่วงปีใหม่เหรอครับ?”

“เอ่อ…” หลินม่ายไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี “ถึงฉันจะกลับบ้าน แต่ก็เป็นบ้านคุณปู่คุณย่าของคุณน่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าเขาสะพายกระเป๋าเป้ผ้าเดนิม เธอจึงถามว่า “คุณจะไปไหนเหรอคะ?” 

ฟางจั๋วหรานยิ้มและพูดว่า “ไปที่เดียวกับคุณครับ ผมจะไปบ้านคุณปู่คุณย่าเหมือนกัน”

คราวนี้หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย ถ้าไม่ได้มาเพื่อพบปะพ่อแม่กับครอบครัวในช่วงปีใหม่ ใครจะอยากมาชนบทกัน?

เมื่อคิดดูแล้ว บางทีพ่อแม่ของเขาอาจจะกลับมาที่ต่างจังหวัดเพื่อเฉลิมฉลองตรุษจีนกับผู้เฒ่าทั้งสองก็ได้ นี่สิถึงจะเรียกว่าเป็นการรวมตัวของครัวครอบอย่างแท้จริง

การละทิ้งผู้เฒ่าสองคนให้เฉลิมฉลองตรุษจีนในชนบทเพียงลำพัง ไม่อาจนับว่าเป็นการพบปะครอบครัวได้

ฟางจั๋วหรานช่วยอุ้มโต้วโต้ว ทำให้หลินม่ายและลูกสาวได้ขึ้นรถบัสระยะทางไกลจากทางด้านหลังสถานีขนส่ง

บนรถบัสมีฝูงชนอยู่จำนวนมาก ผู้โดยสารอันแน่นกันจนเหมือนปลากระป๋อง

ฟางจั๋วหรานใช้มือข้างหนึ่งอุ้มโต้วโต้ว ขณะที่มือข้างหนึ่งเอื้อมจับห่วงที่อยู่เหนือศีรษะ เขาใช้ร่างกายปกป้องหลินม่ายเพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คน ทว่าทางด้านหลังของเขากลับอัดแน่นไปด้วยแรงเบียดจากฝูงจำนวนมหาศาล

จำนวนคนที่แออัดมากเกินไปทำให้ได้กลิ่นอันไม่พึ่งประสงค์ แต่ฟางจั๋วหรานกลับได้กลิ่นหอมจาง ๆ ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

เขาแอบสูดดมกลิ่นอย่างระมัดระวัง และพบว่ากลิ่นหอมดังกล่าวมาจากหลินม่าย~

นึกไม่ถึงว่าสาวผิวเข้มจะมีกลิ่นหอมแบบนี้~

มีชายหนุ่มและชายวัยกลางคนเจ็ดถึงแปดคนอยู่ถัดจากพวกเขา พวกเขาทั้งหลายอารมณ์ดี แสดงให้เห็นว่าปีนี้พวกเขาหาเงินในเมืองหลวงได้จำนวนมาก 

พวกเขาพูดคุยกันด้วยสำเนียงภาษาถิ่น เสียงดังมากจนทำให้ผู้คนรู้สึกหนวกหู

ฟางจั๋วหรานกับหลินม่ายต่างก้มหน้าเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร

แม้จะพูดอะไรออกไป เสียงก็พวกเขาก็จะถูกเสียงของผู้อื่นกลบอยู่ดี และไม่สามารถได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูดได้

โชคดีที่หลังจากผ่านไปสองป้ายรถเมล์ ชายพวกนั้นก็ลงจากรถ ทุกคนรู้สึกโล่งใจที่กลุ่มคนเสียงดังได้ลงจากรถไปเสียที

หลินม่ายเงยหน้าขึ้น และปะทะเข้ากับริมฝีปากของฟางจั๋วหราน

เขาไม่รู้ว่าตนเองเผลอก้มหน้าลงต่ำโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่

อาจเป็นเพราะเขาหลงใหลกลิ่นหอมบนร่างกายของเธอหรือเปล่า?

แม้ว่าเธอจะถูกฟางจั๋วหรานจูบโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มันก็เป็นเพียงรอยจูบบนเรือนผมของเธอเท่านั้น หลินม่ายไม่ได้รู้สึกเคอะเขิน ขณะที่ฟางจั๋วหรานหน้าแดงเล็กน้อย

พวกเขามาถึงจุดหมายปลายทางหลังจากผ่านไปชั่วโมงเศษ ๆ

เมื่อพวกเขาลงจากรถ ฝูงชนก็เริ่มอัดแน่นอีกครั้ง ฟางจั๋วหรานยังคงสบายดี ในขณะที่หลินม่ายถูกฝูงชนเบียดแน่นราวกับเธอเพิ่งออกมาจากสนามรบ

แม้ว่ารถบัสระยะทางไกลจะเป็นสถานีตั้งต้น แต่กับมีผู้คนมากมายที่ต้องการกลับบ้าน หลินม่ายกับเขาพากันไปซื้อตั๋ว น่าเสียดายที่เหลือตั๋วนั่งเพียงใบเดียวเท่านั้น

ทั้งสองจึงผลัดกันนั่ง

โต้วโต้วอยู่ในอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน มองดูนั่นมองดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย และพูดเจื้อยแจ้ว “คุณอาก็นั่งบนเก้าอี้สิคะ ให้แม่นั่งในอ้อมแขนคุณอา ส่วนหนูก็นั่งในอ้อมแขนแม่อีกที แบบนี้ทุกคนก็จะได้นั่งกันหมดไม่ใช่เหรอ?”

หล่อนกระพริบตากลมโตที่แวววาวสดใส จ้องมองผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสับสน สงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้

ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณโดยรอบหัวเราะและรู้สึกขบขันเมื่อได้ยินคำพูดของโต้วโต้ว

หลินม่ายไม่สามารถถ่อมตนได้อีกต่อไป เธอนั่งลงบนที่นั่ง อุ้มโต้วโต้วออกมาจากอ้อมแขนของฟางจั๋วหราน และจิ้มเข้าที่จมูกอันกระจิริด “เพ้อเจ้อ!”

โต้วโต้วตัวน้อยถึงกับงุนงง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พรหมลิขิตเปล่าคะเนี่ย มาเจอกันตอนที่กำลังลำบากพอดีเลย

น้องโต้วโต้วจะเป็นกัปตันเรือแม่กับคุณอาหมอฟางใช่ไหมคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 42 ความทรงจำในอดีตชาติ

หลินม่ายเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับลูกน้อยในอ้อมแขน “เรื่องอะไรจ๊ะ?”

“พรุ่งนี้หนูจะไปขายไก่ในเมืองกับแม่ด้วย หนูจะไม่ทำให้แม่ต้องลำบาก หนูจะช่วยแม่ขายของเอง”

หลินม่ายคิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวและตอบตกลง

พรุ่งนี้เธอจะขายไก่จำนวนหนึ่งถึงสองร้อยตัว ดังนั้นมันจะไม่ยุ่งยากเหมือนกับวันนี้ ถ้าพาลูกไปด้วยก็คงไม่เป็นอะไร

โต้วโต้วหลับตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผล็อยหลับสนิทไร้การตอบสนอง กระทั่งหลินม่ายถอดเสื้อผ้าให้ยังไม่รู้สึกตัว

หลังจากทำความสะอาดให้โต้วโต้วแล้ว หลินม่ายก็มาที่ห้องโถง

คุณย่าฟางยื่นซาลาเปาย่างให้เธอ “โต้วโต้วเก็บมันไว้ให้เธอโดยเฉพาะ รีบกินซะตอนที่มันยังร้อนอยู่”

หลินม่ายกินซาลาเปาย่างภายในสองคำใหญ่ พับแขนเสื้อขึ้นเพื่อที่จะแปรรูปเลือดแพะให้กลายเป็นเต้าหู้เลือด และนำไปขายที่ตัวเมืองในวันรุ่งขึ้น

คุณปู่ฟางและภรรยาบอกว่าพวกเขาทั้งสองได้ช่วยเธอแปรรูปเลือดแพะให้กลายเป็นเต้าหู้เลือดแล้ว และพวกเขากำลังรอมันจับตัวเป็นก้อนภายในสองชั่วโมง

หลินม่ายรู้สึกตื่นตันมากจนเงียบไปพักใหญ่ คุณปู่คุณย่าอันเป็นที่รักปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นหลานสาวแท้ ๆ ไม่มีผิด

เธอกับผู้เฒ่าทั้งสองพบกันโดยบังเอิญ ทว่าพวกเขากลับปฏิบัติต่อเธอดีกว่าหลานสาวแท้ๆ

หลินม่ายเอ่ยขอโทษ “ฉันสร้างเรื่องยุ่งยากให้คุณปู่คุณย่าตลอดเลย~”

“เธอพูดอะไรน่ะ มันไม่ใช่เรื่องยุ่งยากสักหน่อย และการทำเต้าหู้เลือดไม่ได้เหนื่อยอะไรนักหรอก!” คุณย่าฟางตีแขนเธอเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู “ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้เธอต้องเข้าเมืองไปขายของอีก”

“ไม่ได้ค่ะ ฉันต้องล้างปอดแพะก่อน จะได้เอาไปขายพรุ่งนี้”

แม้ว่าผู้คนในมณฑลหูจะไม่กินปอดแพะกันเนื่องจากไม่รู้วิธีการทำ แต่ชนกลุ่มน้อยที่ปรุงรสเป็นต่างชอบกินมันมาก

หลังจากที่หลินม่ายล้างเสร็จ เธอจะขายมันที่ทางเข้าจุดจำหน่ายเนื้อสัตว์ของชนกลุ่มน้อย เพื่อแลกเปลี่ยนให้เป็นเงินตรา

ตอนนี้ครอบครัวของเธอยากจนมาก จนทำให้เธอไม่อยากปล่อยเงินจำนวนน้อยให้หลุดลอยไป เมื่อใดก็ตามที่เธอมีฐานะมั่งคั่งขึ้น เธอจะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอีกต่อไป

ผู้เฒ่าทั้งสองต้องการช่วยหลินม่ายทำความสะอาดปอดแพะด้วยกัน ทว่าหลินม่ายยืนกรานปฏิเสธ

อุณหภูมิยามค่ำคืนต่ำกว่าศูนย์เพียงไม่กี่องศา และหนาวมากหากต้องล้างในน้ำที่เย็นยะเยือก เธอยังสาวและสามารถทนไหว ดังนั้นเธอจะปล่อยให้สองเฒ่าเผชิญกับความเหน็บหนาวได้อย่างไร

หลินม่ายก้มหน้าก้มตาทำงาน ในขณะที่ผู้เฒ่าทั้งสองไม่ยอมนอน พยายามพูดคุยเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเธอ

คุณย่าฟางเริ่มพูดยืดยาว “วันนี้หลังจากเธอออกไปแล้ว โต้วโต้วก็ยังปกติดีอยู่ในตอนเช้า แต่พอตกช่วงบ่ายก็เริ่มคิดถึงเธอแล้ว เซื่องซึมไปทั้งตัวจนไม่ยอมกินข้าว เด็กคนนี้ติดเธอจริง ๆ เลยนะ”

หลินม่ายงุนงง “ครั้งที่แล้วที่ฉันทิ้งลูกไว้ที่บ้านคุณปู่คุณย่า ไม่เห็นลูกเป็นแบบนี้เลยนี่คะ”

คุณย่าฟางพูด “ทำไมจะไม่เป็นล่ะ? พอเธอเดินทางออกจากบ้าน หลานก็เอาแต่คิดถึงเธอ จนไม่ยอมเล่นยอมกิน”

“แค่ครั้งนั้นฉันพาหลานขึ้นรถเทรกเตอร์ไปหาเธอตอนบ่าย ฉันเห็นหลานมีความสุขที่ได้เจอเธอ และรู้ว่าหล่อนคงไม่อยากแยกจากเธออีก เพราะงั้นฉันก็เลยไม่ได้บอกเธอ”

หลินม่ายอุทานเสียงเบาเมื่อนึกถึงประโยคที่เธอเคยอ่านเจอก่อนหน้านี้ ในสายตาของเด็ก พ่อแม่เป็นทุกอย่างสำหรับลูก

…แต่ว่าเธอไม่เคยรู้เลยว่าการมีพ่อแม่เป็นของตนเองนั้นเป็นอย่างไร

เธอไม่ได้ผูกพันกับพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในความทรงจำของเธอ เธอถูกพ่อแม่ทุบตีและด่าทอมาโดยตลดอ แต่กับไม่เป็นเช่นนี้กับพี่ชายและพี่สาว

ในชีวิตที่แล้ว เธอทำงานอย่างหนักเพื่อเอาใจพ่อแม่และทำให้พวกเขารักเธอมากขึ้น

ต่อมาเธอช่วยหลินสงผู้เป็นพี่ชายสร้างบ้าน เลี้ยงดูเด็ก ดูแลพ่อแม่ผู้สูงวัย แต่กลับไม่เคยเปลี่ยนทัศนคติของพ่อแม่ได้เลย

ในชาติที่แล้ว ชาวบ้านมักล้อเลียนและถามหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาว่าเธอคือลูกที่เก็บมาเลี้ยงใช่หรือไม่ ทั้งที่ครอบครัวมีลูกสามคน แต่ทำไมพวกเขาถึงปฏิบัติต่อเธอราวกับสัตว์เลี้ยง

โดยปกติหลินม่ายจะไม่ถือสามุกตลกเล็กๆ น้อยๆ แต่เพราะชาวบ้านพากันเล่นมุกนี้บ่อย ๆ เธอจึงเก็บมาคิด

ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะไปที่โรงพยาบาลที่ซุนกุ้ยเซียงผู้เป็นแม่ได้ให้กำเนิดเธอเพื่อแอบตรวจสอบอะไรบางอย่าง เพื่อหาคำตอบว่าเธอคือลูกสาวคนที่สามที่โดนสับเปลี่ยนตัวของหลินเจี้ยนกั๋วกับภรรยาหรือไม่

พ่อแม่ของเธอเกลียดชังเธอเพราะคิดว่าตนอุ้มท้องลูกชายมาก่อน แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นลูกสาว และคิดว่าการมาเกิดของเธอทำให้พวกเขาเสียโอกาสได้ลูกชายไป

นอกจากนี้ซุนกุ้ยเซียงยังได้รับบาดเจ็บขณะคลอดเธอ ส่งผลให้นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก พังทลายความฝันของคู่รักที่ต้องการมีลูกจนทำให้ความสุขของพวกเขาแตกสลาย และในท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ต้องการเห็นหน้าเธอ

หลินม่ายรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจ เธอไม่เคยมีความสุขในการมีพ่อแม่เป็นของตนเองด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นปล่อยให้โต้วโต้วได้มีความสุขเถอะ

ในวันส่งท้ายปีเก่า หลินม่ายตื่นขึ้นและปลุกโต้วโต้วก่อนที่ไก่จะขัน

คุณย่าฟางตื่นเร็วกว่าพวกเขาทั้งคู่ นางต้มบะหมี่ให้สองแม่ลูกกิน และสั่งให้พวกเขาเอาไข่ต้มร้อน ๆ สองฟองไปด้วย

ทันทีที่คนขับรถแทรกเตอร์มาถึง หลินม่ายกับลูกสาวก็รีบตามเขาเข้าไปขายไก่ในเมือง

หลินม่ายกลัวว่าโต้วโต้วจะหนาว เธอจึงห่อลูกสาวเอาไว้ในอ้อมแขนแน่น

เมื่อคืนนี้โต้วโต้วนอนดึก และตื่นแต่เช้า หล่อนจึงผล็อยหลับในอ้อมแขนอย่างรวดเร็ว

เมื่อมาถึงในตัวเมือง พวกเขารีบตรงดิ่งไปที่ตลาดมืด แต่กลับไม่เห็นผู้คนมากมายนัก

หลินม่ายไม่ได้ลงจากรถด้วยซ้ำ และขอให้คนขับรถแทรกเตอร์พาไปที่ตลาดสดของทางรัฐที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

วันนี้ตลาดสดของทางรัฐยังเปิดให้ขายของถึงครึ่งวัน มีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ และไม่ต้องกังวลว่าจะขายไก่ไม่ได้

ครั้งเมื่อเธอออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ไร้แสงไฟ ทำให้เธอไม่เห็นว่าคนขับรถแทรกเตอร์เอาไก่มากี่ตัว

ขณะที่ขนถ่ายสินค้า เธอพบว่าครั้งนี้เขาเอาไก่มามากกว่าสามร้อยตัว

คนรับรถแทรกเตอร์ส่งยิ้มให้เธออย่างเขินอาย “ฉันอยากจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ วันนี้ก็เลยเอาไก่มาเยอะน่ะ”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลินม่ายก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มาก

นอกจากนี้ต่างคนต่างก็ขายสินค้าของตนเอง เธอจึงไม่อยากพูดติอะไร

แผงลอยของทั้งสองคนเปรียบเสมือนเทพเจ้าคุ้มครองประตู พวกเขาวางของทั้งหมดไว้ที่หน้าปากประตูทางเข้าตลาดสดของทางรัฐ ขณะที่ผู้คนรีบเข้ามาถามว่าพวกเขาขายไก่อย่างไร

หลินม่ายยังคงขายไก่หนึ่งชั่งในราคาสองหยวน คนขับรถแทรกเตอร์ขายไก่ในราคาเดียวกันกับเธอ

เหล่าลูกค้าพากันบ่นว่าราคาแพง แต่ก็ยังต้องซื้อ

หลินม่ายมีไก่จำนวนน้อย และภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง ไก่ของเธอก็ถูกขายจนหมด แม้แต่เต้าหู้เลือดที่เธอนำมาก็ขายหมดเช่นกัน 

คนขับรถแทรกเตอร์ยังมีไก่เหลืออยู่อีกประมาณสองร้อยตัว

หลินม่ายพูดทักทายเขา ถือถังไม้ที่บรรจุปอดแพะ และพาโต้วโต้วขึ้นรถบัสไปยังจุดจำหน่ายเนื้อสัตว์ของชนกลุ่มน้อย เธอขายปอดแพะออกไปได้อย่างรวดเร็วในราคาห้าหยวน

ในชาติที่แล้วหลินม่ายเคยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ซินเจียง และมีโอกาสได้กินบะหมี่ท้องถิ่นที่ใส่ปอดแพะ มันทั้งเหนียว นุ่ม และมีรสชาติอร่อย

หากไม่ใช่เพราะกระบวนการทำบะหมี่ปอดแพะยุ่งยากและใช้เวลานาน หลินม่ายก็คงจะทำปอดแพะใส่บะหมี่และขายให้พวกเขา ซึ่งสามารถทำเงินได้มากขึ้น

หลังจากที่ขายปอดแพะจนหมดแล้ว แม่กับลูกสาวก็กลับไปที่หมู่บ้านซานหยาง เพื่อขอให้ชายจากหมู่บ้านเดียวกันที่ช่วยเธอทอดเกาลัดขายครั้งล่าสุด ช่วยขนไข่ไก่ไปที่ท่าเรือ

ในวันส่งท้ายปีเก่า ถึงแม้ว่าหน่วยงานต่าง ๆ จะอยู่ในช่วงพักร้อน แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายที่เดินทางจากอู่ชางมาซื้อของที่ฮั่วโข่ว ดังนั้นผู้คนจึงไหลเวียนเข้ามาเป็นจำนวนมาก

ตราบใดที่มีคนหลังไหลเข้ามา ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้

การมีโต้วโต้วอยู่ด้วยเป็นประโยชน์มาก เพราะมีคนบางส่วนที่ไม่ต้องการซื้อของ แต่พยายามจะขโมยไข่ไก่หนึ่งถึงสองฟอง และพวกเขาทั้งหมดก็ถูกโต้วโต้วจับได้

โชคดีที่พวกชอบฉกฉวยโอกาสไม่ได้ดั่งใจหวัง พวกเขาไม่คิดจะต่อสู้กับหลินม่ายเพียงเพราะไข่ไก่ฟองสองฟอง รีบวางไข่ไก่ลงด้วยใบหน้าที่อับอาย และวิ่งหนีไป การค้าขายของเธอจึงราบรื่นขึ้น

ไข่ไก่ของหลินม่ายถูกขายจนหมดเกลี้ยงในเวลาเที่ยงตรง เธอปิดแผงขายและกลับบ้านด้วยความสุขใจ

เพียงเวลาแค่ครึ่งวัน เธอทำเงินได้มากกว่าหนึ่งพันหกร้อยหยวน

ในชาติที่แล้ว เธอไม่เคยประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้ามาหาเงินในเมือง และเงินทุกเหมาก็หามาได้ทีละนิดอย่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

พ่อแม่ไม่รักก็ช่างเถอะม่ายจื่อ อย่าให้ค่ากับครอบครัวแบบนั้นเลย

หลินม่ายขายทุกอย่างที่แท้ทรู แม้แต่ของที่ไม่น่าจะขายได้ก็เอามาขาย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 41 ซื้อไก่กลางดึก

เพื่อลดความถี่ในการเข้าห้องน้ำ นอกจากจะดื่มน้ำเพียงเล็กน้อยขณะที่กินบะหมี่น้ำแล้ว หลินม่ายก็แทบไม่ได้จิบน้ำมาตลอดทั้งวัน ลำคอของเธอแห้งผากมานานราวกับคนที่สูบบุหรี่จัด

เธอรับน้ำอุ่นจากโต้วโต้วมาดื่ม

โต้วโต้วรีบเทน้ำให้เธอเพิ่มอีกสองแก้วเมื่อเห็นเช่นนั้น และเธอก็ดื่มมันหมดจนไม่รู้สึกกระหายน้ำอีกต่อไป

หลินม่ายรีบโบกมือปฏิเสธเมื่อเห็นโต้วโต้วจะไปเอาน้ำมาเพิ่ม “แม่ดื่มไม่ไหวแล้ว ท้องกำลังจะแตก”

โต้วโต้วยอมแพ้ และขอให้คุณปู่ฟางมาช่วยเธอย่างซาลาเปา

คุณปู่ฟางเปิดที่คีบเป็นตัววีขนาดเล็กและวางลงบนเตาถ่าน จากนั้นจึงคีบซาลาเปาไปย่างทีละชิ้น

คุณย่าฟางดึงเก้าอี้มาวางใกล้เตาถ่าน และเรียกหลินม่ายให้มาผิงไฟ

หลินม่ายเกือบจะแข็งตายหลังจากนั่งตากลมหนาวบนรถแทรกเตอร์เป็นเวลานาน แม้ว่าเธอจะดื่มน้ำอุ่นสองสามแก้ว แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความเหน็บหนาวได้ ก่อนจะรีบนั่งลงหน้าเตาถ่าน

ความอบอุ่นของเปลวไฟลามขึ้นมาจากมือไหลเวียนไปทั่วร่างกาย จนเธอรู้สึกว่าความเหน็บหนาวเบาบางลง

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายกลับมาพร้อมกับเลือดแพะและปอดแพะ คุณย่าฟางก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ไก่กับไข่ที่เอาไปขายในเมืองขายหมดเลยเหรอ?”

แม้เมื่อวานนี้หลินม่ายบอกว่าเธอจะขายทุกอย่างให้หมดภายในเวลาหนึ่งวัน เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องรอจนดึกดื่นและผล็อยหลับไป

แต่เมื่อทุกอย่างถูกขายจนหมดเกลี้ยง เธอกลับรู้สึกราวกับฝันไป

ใบหน้าของหลินม่ายเผยให้ถึงความตื่นเต้นเล็กน้อย “ขายหมดเลยค่ะ”

ทว่าสิ่งที่คุณปู่ฟางสนใจคือราคา “เธอขายมันในราคาเท่าไหร่? ขายหมดภายในหนึ่งวันเชียวหรือ!”

หลินม่ายไม่ได้รู้สึกระแวงสองเฒ่า และบอกราคาแก่พวกเขา

ขณะที่คุณปู่ฟางเดาะลิ้นสองครั้ง “ในเมืองหลวงคงจะมีคนรวยเยอะสินะ”

ในการรับรู้ของเขา การจะขายของหมดเร็วจะต้องตั้งราคาถูกเท่านั้น แต่กลับไม่คาดคิดว่าไก่กับแพะที่แสนแพงของหลินม่ายจะขายหมดเร็วเพียงนี้!

หลินม่ายคิดในใจ นั่นไม่ใช่เพราะว่าเมืองหลวงมีคนรวยอยู่เยอะ แต่เป็นเพราะมีฐานประชากรที่หนาแน่น จึงปรากฏให้เห็นคนรวยมากมาย

ประกอบกับข้อเท็จจริงที่ว่าเมืองหลวงมีตลาดมืดอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ส่งผลให้ผลผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ วัตถุดิบบางอย่างที่เป็นที่ต้องการจึงถูกนำมาขายในราคาสูงที่ตลาดมืด ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนซื้อมัน

คุณย่าฟางกลัวว่าหลินม่ายจะยุ่งอยู่กับขายของ จนลืมกินข้าวเมื่ออยู่นอกบ้าน

นางทำบะหมี่ไข่ดาวให้หลินม่ายโดยไม่ฟังเสียงห้ามปรามของอีกฝ่าย อีกทั้งยังโรยผักชีที่เธอชอบกินลงบนบะหมี่

หลินม่ายหยิบถ้วยบะหมี่ขึ้นมากิน และวางถ้วยลง หันไปบอกคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางว่าเธอกำลังจะออกไปรับไก่

คุณปู่คุณย่าฟางตกตะลึง “พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่านี่ เธอจะออกไปขายไก่ที่เมืองเอกเหรอ?”

หลินม่ายรู้ดีว่าพวกเขากลัวว่าเธอจะเดินทางไปขายไก่ในเมืองเอกวันพรุ่งนี้ และอาจจะกลับมาไม่ทันอาหารค่ำคืนส่งท้ายปีเก่า เธอจึงรีบพูดว่า “ฉันจะรับไก่มาแค่ร้อยสองร้อยตัวเท่านั้นค่ะ จะรีบขายให้หมดตั้งแต่เช้า เพราะงั้นกลับมากินอาหารค่ำคืนส่งท้ายปีเก่าทันแน่นอนค่ะ”

หลังจากครุ่นคิด เธอก็พูดต่อว่า “ฉันอยากจะหาเงินให้ได้มากๆ โดยใช้ประโยชน์จากสองวันนี้ค่ะ”

ใบหน้าของคู่สามีภรรยาเฒ่าดูผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินว่าเธอสามารถกลับมากินอาหารค่ำในคืนส่งท้ายปีเก่าได้

คุณปู่ฟางต้องการไปรับไก่กับหลินม่าย ทว่าหลินม่ายกลับปฏิเสธ

ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม ข้างนอกอากาศหนาวมาก และคุณปู่ฟางก็เป็นโรคหลอดลมอักเสบ เมื่อใดที่ลมหนาวพัดผ่าน โรคหลอดลมอักเสบจะกำเริบอีกครั้ง จนทำให้เขาต้องไออย่างทุกข์ทรมาน

เธอแบกกล่องเปล่าที่จะนำไปใส่ไก่ท่ามกลางลมหนาว เดินไปที่หมู่บ้านขนาดใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงภายใต้แสงจันทร์

ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่เจ็ดสิบถึงแปดสิบครัวเรือน ชาวบ้านจำนวนมากออกมาขายไก่กับไข่ให้เธอเมื่อวานนี้ ทว่าตอนนี้ดึกเกินกว่าจะขายได้ เธอจึงต้องไปรับไก่ที่หมู่บ้านด้วยตนเอง

สุนัขสองสามตัวในหมู่บ้านรีบเห่าเสียงดังทันทีที่เธอเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ปลุกเจ้าของสุนัขคนหนึ่งให้ตื่นขึ้นมา

เจ้าของสุนัขตะโกนถามท่ามกลางความมืด “ใคร?”

หลินม่ายวิตกกังวล ทั้งหมูบ้านมืดมิดจนมองไม่เห็นแสงสว่าง

ชาวบ้านนอนกันหมดแล้ว เธอจะทำอย่างไรกับไก่ดี?

เธอไม่สามารถเคาะประตูบ้านเพื่อขอรับไก่ และปลุกผู้คนจากความฝันได้

เมื่อได้ยินเสียงใครบางคนที่ตะโกนถาม เธอก็รีบพูดเสียงดังว่า “บ้านคุณปู่ฟางมารับไก่ค่ะ พี่ชายขายไก่มั้ยคะ?”

“ขาย! ทำไมจะไม่ขายล่ะ!” น้ำเสียงตื่นเต้นของชายหนุ่มดังเล็ดลอดออกมาจากตัวบ้าน ก่อนที่ตะเกียงน้ำมันจะถูกจุดขึ้น และเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ทำไมคุณถึงออกมารับไก่ซะกลางดึกเลยล่ะ?”

หลินม่ายพูดอธิบายด้วยความสำนึกผิด “เมื่อตอนกลางวันฉันไม่อยู่น่ะค่ะ เพิ่งกลับมาจากในเมือง ก็เลยได้มารับไก่เอาปานนี้ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะ”

“ไม่เป็นไร ไก่กับไข่ที่คุณมารับไปก่อนหน้านี้หมดแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ

“ไก่แทบจะขายไม่ได้เลยค่ะ ส่วนไข่ขายได้สองสามร้อยฟอง”

ทันทีที่ประตูปิดออก ชายรุ่นคุณอาก็เดินออกมาจากพร้อมกับตะเกียงน้ำมันในมือ ส่วนด้านหลังของชายผู้นี้คือคุณน้าที่ผมเผ้าพะรุงพะรัง ซึ่งน่าจะเป็นภรรยาของเขา

ทั้งคู่เดินออกมาและรีบตรงไปจับไก่ที่เล้าไก่

แม่ไก่หนึ่งชั่งราคาหนึ่งหยวนยี่สิบเหมา ขณะที่ไก่ตัวผู้หนึ่งชั่งราคาหนึ่งหยวน ซึ่งราคานี้หาได้ยากนัก ถึงแม้ว่าไก่พวกนี้จะถูกแช่เย็นจากอากาศหนาวกลางดึก แต่พวกเขาก็จะขายมันอยู่ดี

คุณน้าคอยถือตะเกียง ส่วนคุณอาคอยจับไก่

เขาจับไก่ตัวผู้และแม่ไก่แก่ที่ไม่สามารถออกไข่ได้อย่างละสามตัวในคราวเดียว ใช้เชือกฟางมัดรวมกัน ชั่งน้ำหนักและขายให้หลินม่าย

ไก่ตัวผู้และแม่ไก่ของเขามีน้ำหนักรวมกันหนึ่งชั่งครึ่ง หลินม่ายจึงรีบจ่ายเงินหกหยวนห้าสิบเหมาออกไป

คุณอารับเงินไปและมองดูจำนวนเงินภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมัน ก่อนจะถามด้วยความสงสัย “คุณคำนวณเงินผิดหรือเปล่าครับ? ไก่ของผมน่าจะแค่หกหยวนสามสิบเหมา แต่คุณจ่ายเกินมายี่สิบเหมา”

หลินม่ายตอบกลับอย่างใจกว้าง “แค่ยี่สิบเหมาเองค่ะ อีกอย่างตอนนี้ทั้งมืดทั้งหนาวแบบนี้ ฉันไม่อยากมาหาแลกธนบัตรให้ได้สามเหมาพอดีเพื่อประหยัดเงินแค่ยี่สิบเหมาหรอกค่ะ”

คุณอาจึงรับเงินกลับไปด้วยความยินดี

หลินม่ายมองดูค่ำคืนมืดมิดที่ไร้จุดสิ้นสุด พูดถามพลางขมวดคิ้ว “ฉันจะไปซื้อไก่เพิ่มอีกสักร้อยสองร้อยตัว แต่พวกชาวบ้านหลับกันหมดแล้ว ฉันควรจะทำยังไงดีคะ?”

คุณอาผู้กระตือรือร้นและว่องไวพูดตอบ “ผมจะไปปลุกทุกคนให้”

หลังจากพูดจบ เขาก็ตะโกนลั่นหมู่บ้าน ทันใดนั้นชาวบ้านจำนวนมากก็จับไก่ออกมาขายให้หลินม่าย

หลินม่ายได้รับไก่มากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตัวภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

เธอต้องการรวบรวมไก่ให้ได้สองร้อยตัว แต่ก็ดึกเกินไปแล้ว เธอไม่มีแรงพอที่จะวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว

หลินม่ายควักเงินสองหยวนเพื่อจ้างคุณอาให้ช่วยเธอแบกไก่กลับไปที่บ้านของคุณปู่ฟาง

ไก่มากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบตัวมีน้ำหนักถึงหนึ่งร้อยแปดสิบชั่ง เธอไม่สามารถแบกมันกลับไปได้

ผู้เฒ่าสองคนยังคงนอนไม่หลับ เฝ้ารอเธออยู่ภายใต้แสงตะเคียง

หลินม่ายมองดูโต้วโต้วที่ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของคุณย่าฟาง และพูดถามว่า “ทำไมไปพาหล่อนไปนอนล่ะคะ? อุ้มหล่อนไว้แบบนี้ไม่เมื่อยแย่เหรอ?”

แม้ว่าโต้วโต้วจะผอมแห้งแรงน้อย แต่หล่อนก็เป็นเด็กสามถึงสี่ขวบ ในขณะที่คุณย่าฟางแก่มากแล้ว การอุ้มหลานสาวเป็นครั้งคราวคงไม่เป็นอะไร หากแต่อุ้มเป็นเวลานานคงจะเมื่อยน่าดู

คุณย่าฟางยิ้มและพูดว่า “เธอคิดว่าฉันไม่ได้ส่งหลานเข้านอนหรือไง? หลานไม่อยากเข้านอนต่างหาก หลานบอกว่าหลานจะรอเธอกลับมาและมีอะไรจะพูดด้วย”

หลินม่ายดึงโต้วโต้วออกมาจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย “ลูกอยากจะพูดอะไรกับฉันเหรอคะ?”

โต้วโต้วตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงียเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย และพูดด้วยท่าทางสะลึมสะลือ “แม่คะ หนูเหลือซาลาเปาย่างให้แม่ด้วย ซาลาเปาย่างอร่อยมากเลยค่ะ”

หลินม่ายได้กลิ่นหอมของซาลาเปาย่างทันทีที่เธอเปิดประตู ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางเหลือไว้ให้เธอ แต่นึกไม่ถึงว่าโต้วโต้วจะเหลือไว้ให้เธอ มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ

เธอพูดเบา ๆ “จ๊ะ แม่จะส่งหนูเข้านอนแล้วค่อยไปกินซาลาเปาย่าง”

ดวงตาของโต้วโต้วเบิกกว้างเล็กน้อย “แม่คะ หนูมีเรื่องจะบอกแม่”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

คนในหมู่บ้านก็ดีนะเนี่ย มาปลุกรับไก่กลางดึกก็รีบไปหามาให้

โต้วโต้วมีอะไรจะบอกหม่าม้าคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 40 ไม่อยากมีหุ้นส่วน

เมื่อนำราคาของไข่ไก่สิบฟอง 1.5 หยวนมาเปรียบเทียบกัน ลูกค้าที่ซื้อไก่ตัวผู้ชั่งละสองหยวนก็รู้สึกว่ายังพอรับได้

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ไก่ตัวผู้ไม่กี่สิบตัวก็ถูกขายหมดเกลี้ยง เหลือไข่ไก่ที่ขายอย่างไรก็ขายไม่ออก และแพะอีกห้าตัวบนรถ

หลินม่ายจึงให้คนขับอุ้มแพะลงมาจากรถ

จังหวะนั้นก็มีลูกค้าเข้ามาถามเธอ “หนูขายแพะทั้งตัวเลยเหรอ?”

จะขายทั้งตัวได้อย่างไร? ไม่มีใครซื้อแพะทั้งตัวหรอก

ประการแรกคือคนในเมืองไม่อยากเชือดแพะเอง ประการที่สองไม่มีใครยอมจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อแพะทั้งตัวหรอก มันสิ้นเปลืองเกินไป

หลินม่ายตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ไม่ค่ะ จะเชือดแล้วแบ่งขายเลย”

ชายคนหนึ่งจ้องมองแพะตัวนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย “แล้วขายยังไง”

“ขาแพะชั่งละห้าหยวน เนื้อแพะชั่งละสี่หยวน ตับแพะชั่งละสามหยวน…”

แม้ว่าราคาจะสูงกว่าปกติ แต่ถ้าอยากซื้ออย่างไรก็ต้องซื้อให้ได้

ด้วยความช่วยเหลือของคนขับรถแทรกเตอร์ หลังจากเชือดแพะตัวแรกเสร็จ นอกจากเลือดและปอดแพะแล้ว เนื้อแพะต่างถูกยื้อแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยง แม้แต่ส่วนหัว และสำไส้ก็ยังถูกซื้อไปไม่มีเหลือ

ฆ่าหนึ่งตัวก็ขายหนึ่งตัว ผ่านไปหลายชั่วโมง แพะทั้งห้าตัวก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยง

แม้แต่ไข่ไก่ที่ขายไม่ออกมาตลอดเมื่อนำมาเปรียบเทียบราคากับเนื้อแพะแล้ว เธอก็ขายออกไปแล้วกว่าแปดร้อยฟอง

ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น  คงต้องหยุดขาย ขืนขายต่อมีหวังค่ำแน่ และคนชั่วพวกนั้นอาจจะเข้ามาทำร้ายพวกเธอ 

เธอสังเกตเห็นว่ามีชายฉกรรจ์อย่างน้อยเจ็ดแปดคนท่าทางมีพิรุธเดินวนเวียนอยู่รอบตัวเธอไม่ใกล้ไม่ไกล หากไม่ใช่ขโมย ก็ต้องเป็นนักล้วงกระเป๋า หรือไม่ก็โจรชั่ว

พวกหัวขโมยและนักล้วงกระเป๋าขโมยเงินจากเธอไม่ง่าย เพราะเธอเอาเงินยัดใส่ถุงผ้าขนาดเล็กที่แขวนอยู่ตรงหน้าอก

ถุงผ้าใบนี้เป็นถุงผ้าที่คุณย่าฟางตั้งใจทำตามความต้องการของเธอตลอดเมื่อคืน

เมื่อขายของเสร็จ เธอก็รีบยัดถุงผ้าใบนั้นลงในเสื้อบุนวม แล้วพูดกับคนขับรถแทรกเตอร์ว่า”คุณอา เก็บร้านค่ะ”

คนขับรถแทรกเตอร์ตื่นตกใจ “จะไม่ขายไข่ไก่พวกนี้แล้วเหรอ?”

“ไม่ใช่ไม่ขาย แต่ขายไม่ได้” หลินม่ายลากถังใส่ตับแพะทั้งห้าชิ้นขึ้นรถ

“ไข่ไก่ที่เหลือนำไปส่งให้กับสมาคมสตรีเถอะค่ะ พรุ่งนี้ผู้นำของสมาคมจะนำไข่ไก่เหล่านี้ไปแจกจ่ายให้กับผู้หญิงยากจนและปลอบประโลมพวกหล่อนในวันสตรีสากล เราจะช้าไม่ได้

หลินม่ายพูดโกหกหน้าตายจนคนขับรถแทรกเตอร์มองไม่ออกว่าเป็นเรื่องจริงหรือโกหก จากนั้นก็ยกไข่ไก่ที่ยังขายไม่หมดและเลือดแพะที่เธอใส่รวมกันขึ้นรถ แล้วขับออกไป

โจรพวกนั้นทุบหน้าอกด้วยความโกรธเกรี้ยวแต่ทำอะไรไม่ได้ แกะอ้วนตัวนี้กลับเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการ ทำให้พวกเขาไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม

หลินม่ายเห็นคนชั่วพวกนั้นไม่กล้าตามมาจึงวางใจ

คนขับรถจึงเอ่ยถาม “สมาคมสตรีไปทางไหน?”

หลินม่ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฉันเองก็ไม่รู้ว่าสมาคมสตรีนั้นไปทางไหน ที่ฉันพูดแบบนี้ก็เพราะต้องการขู่โจรพวกนั้นน่ะค่ะ”

เดิมทีเธออยากบอกว่าเธอจะไปนำไข่ไก่ไปส่งที่สถานีตำรวจด้วยซ้ำ แต่ก็กลัวว่าถ้าโกหกเกินจริงมากไปจะเป็นการหาเหาใส่ตัว ทำให้โจรชั่วพวกนั้นสงสัย

ดังนั้นจึงพุ่งเป้าไปยังสมาคมสตรีแทน ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกว่าน่าเชื่อถือบ้าง

คนขับรถอึ้งงันไป “มีโจรชั่วด้วยเหรอ ฉันมัวแต่สนใจว่าจะมีเทศกิจออกมาจับไหมเท่านั้น ว่าแต่ไข่ไก่ที่ขายไม่หมดพวกนี้จะทำยังไง?”

ไข่ไก่กว่าหนึ่งพันฟอง รับซื้อมาใบละห้าเฟิน ต้นทุนก็เกือบหกสิบหยวน เป็นเงินไม่น้อย เกิดเสียหายขึ้นมา เขาก็เสียดายแทนหลินม่าย

ไข่ไก่เหล่านี้หลินม่ายวางแผนไว้แล้ว พรุ่งนี้จะขายอีกครึ่งวัน ถ้ายังขายไม่หมด หลังปีใหม่ค่อยทำไข่ต้มพะโล้ขาย

ต้มไข่พะโล้ขาย ฟองละหนึ่งเหมายังพอขายออก แต่กำไรนั้นบางเบามาก แต่ก็ดีกว่าขาดทุนหรือทำเงินไม่ได้เลย

จึงพูดต่อว่า “ไปส่งที่พักในเมืองของฉันแล้วกันค่ะ พรุ่งนี้ค่อยขายต่อ”

คนขับรถเอ่ยด้วยความแปลกใจ “พรุ่งนี้เป็นวันที่สามสิบแล้วนะ จะมีคนออกมาซื้อของในวันปีใหม่อีกเหรอ?”

“พรุ่งนี้ฉันไม่กล้ามั่นใจหรอกค่ะว่าจะมีคนออกมาจบจ่ายซื้อของสำหรับวันปีใหม่ไหม แต่ฉันกล้ามั่นใจว่าพรุ่งนี้เทศกิจจะไม่มาขับไล่แผงขายของพวกนี้แน่นอน ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีคนมาซื้อของในตลาดมืด เราก็ขนของไปขายในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านก็จบเรื่อง”

สาเหตุที่หลินม่ายกล้ามั่นใจแบบนี้ นั่นเพราะตั้งแต่เธอเปิดแผงขายของอยู่ในเมืองมานานขนาดนี้ก็ยังไม่มีเทศกิจคนไหนมาขับไล่

แม้สาเหตุหลักจะมาจากแผงขายของขนาดเล็กที่เปิดอยู่ไม่กี่ร้าน แต่เมื่อเข้าสู่เดือนสิบสองพวกเทศกิจยังคงปล่อยให้พ่อค้าแม่ขายหาบเร่เหล่านี้ลอยนวลต่อไป

วันนี้คนขับรถเห็นกับตาว่ากิจการของหลินม่ายนั้นเฟื่องฟูมากแค่ไหน หาเงินได้ง่ายแค่ไหน

ได้ยินหลินม่ายบอกว่าพรุ่งนี้จะต้องมาขายอีก ก็ได้แต่ตะลึงงันอยู่ในใจ เพราะอยากตามเธอมาขายสินค้าเกษตรแบบนี้อีก

เขาเลยลองถามหยั่งเชิงออกไป “พรุ่งนี้ฉันต้องตามมาขายไก่กับเธอไหม?”

เขาไม่อยากขายไข่ไก่แล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ขายไม่ออก

แต่ขายไก่หนึ่งชั่งก็พอหาเงินได้อย่างน้อยแปดเหมา กำไรน่าตะลึงแบบนี้ ต่อให้เขาขายไก่แค่หนึ่งร้อยตัว ก็ยังหาเงินได้เกือบหนึ่งร้อยหยวน

หลินม่ายเอ่ย “ไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นส่วนกันหรอกค่ะ แต่จะขายด้วยก็ได้ เราต่างเปิดร้านของตัวเอง ต่างคนต่างหาเงิน จะได้ไม่ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ไม่มีการขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ก็ไม่ต้องอิจฉาตาร้อน แค่ต้องช่วยเหลือกันและกันก็พอ”

เธอชินกับการทำงานคนเดียว ไม่ชอบเป็นหุ้นส่วนร่วมกับใคร ชินกับการชวนคนอื่นมาเป็นพันธมิตรกันเท่านั้น

เป็นหุ้นส่วนหมายความว่าต้องเอาเงินที่ตัวเองหามาได้แบ่งให้คนอื่นบางส่วนด้วย ซึ่งเธอไม่ยอม

ทุกคนต่างหาเงินได้ด้วยความสามารถของตัวเอง มันยุติธรรมต่อทุกคนที่สุดแล้ว

แม้จะถูกหลินม่ายปฏิเสธ แต่คนขับรถก็ไม่ได้โกรธ เจ้าตัวยอมพาเขาไปค้าขายด้วยเขาก็พอใจมากแล้ว

“งั้นก็ตามนั้น คืนนี้ฉันกลับไปรีบซื้อไก่สักห้าร้อยตัว พรุ่งนี้จะไปขายกับเธอแล้วกัน”

หลินม่ายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “มากสุดแค่สองร้อยตัวก็พอค่ะ รับมากไปกลัวว่าจะขายไม่หมด ถึงอย่างไรพรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สามสิบแล้ว เปิดร้านได้แค่ครึ่งวัน”

คนขับรถถาม “แล้วเธอเตรียมจะรับซื้อเท่าไหร่?”

หลินม่ายเข้าใจทันที เขากำลังสงสัยว่าเธอตั้งใจขัดขวางเขาที่รับซื้อไก่ “ฉันคงจะรับซื้อไก่แค่สองร้อยกว่าตัวเท่านั้น”

เมื่อถึงหมู่บ้านซานหยางก็นำไข่ไก่กลับบ้าน แล้วทั้งสองคนขับรถตรงไปยังหมู่บ้าน

เมื่อผ่านร้านขายของกินขนาดเล็กโดยรัฐบาล หลินม่ายก็ให้คนขับจอดรถ

ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านของกินโดยรัฐบาล หลินม่ายซื้อบะหมี่สองชามและซาลาเปาอีกสองสามลูกเป็นมื้อค่ำสำหรับพวกเขา

หลินม่ายซดบะหมี่ชามนั้นลงท้องจนอิ่ม แต่เธอไม่ได้กินซาลาเปาสักลูก

คนขับรถอยากกินแทบขาดใจ

หลังจากกินบะหมี่เสร็จแล้ว เขาก็ยังเอ่ยถามหลินม่ายว่ากินซาลาเปาไหม

เมื่อเธอบอกว่าไม่กิน เขาก็ยัดซาลาเปาสองสามลูกนั้นใส่กระเป๋า เตรียมนำกลับไปให้พวกเด็ก ๆ กิน

หลินม่ายเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งนึกอยากเก็บไว้ให้คุณปู่คุณย่าฟางและโต้วโต้ว ก็เลยซื้อซาลาเปาเนื้อสองสามลูกไปให้หล่อนและสองเฒ่า

จนกระทั่งสามทุ่ม ทั้งสองคนก็เพิ่งกลับถึงในเมือง

ตอนนี้หลินม่ายได้จ่ายเงินค่าจ้างวันนี้ให้กับคนขับรถ

แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะตกลงเรื่องราคากันแล้วว่าสิบหยวน แต่คนขับรถช่วยเธอมาตลอดทั้งวัน คงจะคำนวณค่าจ้างตามครึ่งวันไม่ได้

ประกอบกับที่เขาช่วยเชือดแพะ ยังไงก็ต้องให้ค่าจ้างเขา

หลินม่ายไม่เคยเรียกใครมาช่วยฟรี ๆ ดังนั้นจึงให้ธนบัตรกับเขาไปอีกสามใบ

คุณอาขับรถรับธนบัตรทั้งสามใบไปด้วยความดีใจ เงินจำนวนนี้หามาได้อย่างง่ายดาย!

เมื่อหลินม่ายกลับมาถึงบ้านคุณย่าฟาง ไม่เพียงแต่สองเฒ่าที่ยังไม่เข้านอน โต้วโต้วก็ยังไม่เข้านอนเช่นกัน

เมื่อเด็กน้อยเห็นเธอ หล่อนก็โผเข้าไปกอดขาของเธอ แล้วเงยหน้าเรียกหาแม่ ขอให้เธออุ้ม

หลินม่ายหมดเรี่ยวแรง ไหนเลยจะมีแรงอุ้มหล่อน จึงนำซาลาเปาที่ซื้อไว้ออกมา อุ่นร้อนด้วยเตาอั้งโล่ให้หล่อนได้กินกับสองเฒ่า

โต้วโต้วกลับนำซาลาเปาเหล่านั้นไปวางบนโต๊ะ แล้วรินน้ำให้เธอดื่มอย่างรู้งาน

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สกิลการเอาตัวรอดของม่ายจื่อนี่น่านับถือเลยค่ะ ถ้าไม่รู้ทันคนคงเสียเงินมหาศาล

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 39 ขายไก่ในตลาดมืด

 คนขับรถแทรกเตอร์ลดความเร็วลงเล็กน้อย แล้วรีบเอ่ยถามด้วยความกังวล “ทำยังไงดี?”

หลินม่ายตัดบท “พุ่งออกไปเลย!”

ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นนางนกต่อหรือเป็นเหยื่อที่ขอความช่วยเหลือจริง ๆ ก็หยุดไม่ได้

ยกตัวอย่างว่าถ้าหล่อนเป็นนางนกต่อแล้วพวกเขาหยุดรถช่วยหล่อน โจรที่ซ่อนตัวอยู่จะต้องออกมาปล้นแน่นอน

ถ้าผู้หญิงคนนี้ต้องการขอความช่วยเหลือจริง ๆ พวกเขาคงทำได้แค่มองแต่ไม่ช่วย

เพราะถ้าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้โดนคนชั่วทำร้ายจริง การที่พวกเขาไปช่วยหล่อนก็เท่ากับหาเหาใส่หัวนะสิ?

คนขับรถแทรกเตอร์เห็นผู้หญิงคนนั้นขวางถนน จึงเอ่ยด้วยความลังเล “พุ่งออกไปเลยเหรอ? ถ้าชนหล่อนขึ้นมาจะทำยังไง?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เห็น ๆ อยู่ว่าเราพุ่งใส่หล่อน หล่อนไม่หลบ จะโทษใครได้? ถ้าเกิดเรื่องฉันรับผิดชอบเอง!”

มีคนรับผิดชอบแล้วจะกลัวทำไม

คนขับรถแทรกเตอร์กัดฟัน จากนั้นก็เหยียบคันเร่งพุ่งออกไป

ผู้หญิงคนนั้นตกใจจนต้องหลบไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว เขม่าควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากรถแทรกเตอร์ จากนั้นตัวรถก็แล่นออกไปไกลราวกับปีศาจร้ายในภูเขามืด

ตอนนี้เองภายในพุ่มไม้ข้างทางได้มีชายฉกรรจ์เจ็ดถึงแปดคนปรากฏตัวออกมา จากนั้นก็มองรถแทรกเตอร์ที่หายไปจากความมืดนั้นอย่างรวดเร็วด้วยสายตาหงุดหงิดใจ

ชายฉกรรจ์หนึ่งในนั้นได้เอ่ยอย่างเฉื่อยชาว่า “ใช้ผู้หญิงให้เสียเวลาทำไม โจมตีรถคันนั้นก็จบแล้ว”

รถแทรกเตอร์เทียบไม่ได้กับรถบรรทุก ความเร็วมีจำกัด แต่แข็งแรงกว่า คล่องตัวรวดเร็ว ปีนขึ้นรถ ก็ปล้นทรัพย์ได้แล้ว

ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นพูดไปด่าไป

หกโมงผ่านไป ท้องฟ้าเริ่มมีแสงรำไร ถนนเส้นหลักก็กลับมาปลอดภัยอีกครั้ง ระหว่างทางหลังจากนี้ก็ไม่น่ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก

เวลาประมาณแปดโมงครึ่ง หลินม่ายและคนขับรถแทรกเตอร์มาถึงตลาดมืดละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฮั่นโขว่อย่างปลอดภัย

แผงขายของในตลาดมืดมีจำนวนน้อยมาก เนื่องจากลูกค้าที่มาซื้อของตั้งแต่เมื่อวานไม่ค่อยได้อะไรกลับไปนัก คนบางกลุ่มจึงตัดใจไม่มาในวันนี้อีก

ส่วยใหญ่คนที่มาก็จะเป็นผู้มีรายได้ระดับกลางไปจนถึงระดับสูงที่ต้องการซื้อของสำหรับวันปีใหม่อย่างเร่งด่วน และลองมาเสี่ยงโชค

ส่วนผู้ที่มีรายได้ระดับต่ำจะไม่มาซื้อของวันปีใหม่ในตลาดมืด เพราะไม่มีเงิน

คนขับรถแทรกเตอร์เห็นว่าในตลาดมืดยังคงเงียบเหงา เลยอดถามหลินม่ายด้วยความกังวลไม่ได้ว่า “ไม่มีคนเลยนะ เธอจะขายไก่และไข่ไก่หมดเหรอ?”

หลินม่ายคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบนี้ จึงหยุดขบคิด “ก็ลองเปิดแผงขายที่นี่ดูค่ะ ถ้าไม่ได้จริง ๆ ก็ไปขายบนถนนหลัก”

แม้ว่าการไปขายบนถนนใหญ่จะเสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่สามารถทำลายสินค้าเหล่านี้ได้

ไข่ไก่ปล่อยไว้ได้ ไม่ต้องรีบขาย

แต่ไก่หนึ่งพันกว่าตัวและแพะอีกหลายตัวทิ้งไว้เป็นอาทิตย์คงหิวตายแน่ ไม่ว่ายังไงก้ต้องหาทางขายออกไป ให้หมดภายในสองวันนี้

เพราะการจะขายไก่และแพะให้ได้ราคาดีต้องขายในช่วงปีใหม่นี้เท่านั้น ผ่านพ้นวันปีใหม่คงไม่มีคนซื้อแน่นอน อย่าว่าแต่ราคาสูงเลย ต่อให้ขายราคาปกติก็ขายไม่ได้

ปล่อยไว้ค่อยขายหลังปีใหม่ มีหวังตัวเองคงอดตาย!

เมื่อวานตกลงกันแล้วว่าคนขับรถแทรกเตอร์จะช่วยหลินม่ายขายของเกินครึ่งวัน หลัก ๆ คือช่วยหาสถานที่ ในค่าจ้างสิบหยวน 

ด้วยเหตุนี้คนขับรถแทรกเตอร์จึงทำตามความต้องการของหลินม่าย หาสถานที่ที่มองเห็นได้ง่ายในตลาดมืดไว้จอดรถแทรกเตอร์

หลินม่ายให้เงินเขาสองหยวนและคูปองธัญพืชอีกชั่งกว่า ให้เขาช่วยซื้อซาลาเปาเนื้อ 6 ลูก พวกเขาสองคนยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า

คนขับรถแทรกเตอร์รับเงินและคูปองธัญพืชไปซื้อซาลาเปาในร้านขายของกินเล่นโดยรัฐบาล หลินม่ายใช้ตะกร้าทรงสูงสำหรับใส่สัตว์ปีกสองใบใส่ไก่ แล้วส่งเสียงเรียกลูกค้าอยู่ข้างรถแทรกเตอร์

แต่ยังไม่ทันจะส่งเสียงร้องเกินสองครั้ง ลูกค้าประมาณสองสามคนต่างล้อมเข้ามา เมื่อเห็นเธอมีไก่ขายจริง ๆ ดวงตาก็ลุกวาว

กระทั่งเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “ไก่พวกนี้ขายยังไงจ๊ะ?”

“ตัวผู้และตัวเมียราคาเดียวกัน รวมกันก็ชั่งละสองหยวน”

หลินม่ายไม่อยากตั้งสองราคา เพราะรวมกันแล้วมันยุ่งยาก

เมื่อมีคนเห็นไก่บนรถแทรกเตอร์จำนวนมาก ก็คิดอยากต่อรอง “ลดหน่อยได้ไหม สักชั่งละหนึ่งหยวน”

หลินม่ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มลำบากใจ “ขอโทษด้วยค่ะ ไก่พวกนี้รับซื้อมาก็ชั่งละ 1.5 หยวนแล้ว คงลดอีกไม่ได้ ฉันต้องเสียเงินค่าขนเข้ามาขายในเมือง ระหว่างทางก็เสี่ยงอันตราย อย่าต่อราคากันเลย”

ลูกค้าคนหนึ่งชี้แจงทั้งข้อดีและข้อเสียให้เธอเข้าใจ “วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง ถ้าหนูขายไม่หมด ไก่พวกนี้จะไม่ตายเอาแย่เหรอ? สู้ขายถูก ๆ ให้เราดีกว่า”

ลูกค้าคนอื่นทยอยกันคล้อยตาม

หลินม่ายมีท่าทางเหมือนทองไม่รู้ร้อน ยกมืออย่างจนปัญญา “ต่อให้มันตายฉันก็ไม่ลดราคา”

อยากแข่งกันนัก มาสิ เข้ามาเลย!

เวลานี้ คนขับรถแทรกเตอร์ซื้อซาลาเปากลับมา คืนเงินและคูปองที่ยังไม่ได้ใช้กับเธอ แล้วแบ่งซาลาเปาเนื้อที่กำลังร้อนกรุ่นให้เธอสามลูก

หลินม่ายรับแค่สองลูก

ซาลาเปายุคสมัยนี้มีปริมาณอิ่มกำลังดี บอกขายลูกละสองหยวน คงจะลดเหลือลูกละหนึ่งหยวนไม่ได้

ซาลาเปาสองลูกราคาสี่หยวน เธอไม่เพียงแต่อิ่มเท่านั้น ยังอิ่มเกินอีกด้วย คงกินสามลูกไม่ไหว

น้อยนักที่คนขับรถแทรกเตอร์จะกินซาลาเปาแค่ลูกเดียว ต้องกินเพิ่มอีกลูก เขาถึงจะอารมณ์ดี ตอนนี้เขาเลยยืนกินซาลาเปาอยู่ด้านข้างพลางมองหลินม่ายขายของไป

หลินม่ายไม่ได้สนใจลูกค้าที่ยังต่อรองราคาอย่างไม่ยอมแพ้เหล่านั้น กินซาลาเปาอย่างสบายอารมณ์

เมื่อลูกค้าบางคนเห็นดังนั้นก็พากันเดินจากไป แต่มีลูกค้าบางคนเกิดลังเล สุดท้ายก็คุกเข่าลงเลือกไก่ในตะกร้าอย่างจนปัญญา

หลินม่ายเห็นดังนั้น ก็ยัดซาลาเปาเข้าปากหมดอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยกับคนขับรถแทรกเตอร์ “คุณอาช่วยยกไข่ไก่ออกมาให้ฉันหน่อยได้ไหม?”

คุณอาวางซาลาเปาที่ยังกินไม่หมดลงในถุง แล้วยกไข่ไก่ตะกร้าหนึ่งออกมากับเธอ

เมื่อไข่ไก่ถูกยกออกมา ก็พาดึงดูดลูกค้าเป็นจำนวนมาก ทุกคนต่างทยอยกันเข้ามาถามว่าไข่ไก่ของเขาขายยังไง

“หยวนละห้าสิบฟอง ห้ามต่อราคา”

คนขับรถแทรกเตอร์อึ้งงันไป ผู้หญิงคนนี้ช่างกล้านัก ตั้งราคาขนาดนี้ !

ในตลาดมืด ไข่ไก่หนึ่งฟองจะขายอยู่ที่ห้าเฟิน สิบฟองก็ห้าเหมา แต่ตอนนี้ไข่ไก่สิบฟองถูกขายอยู่ที่ 1.5 หยวน

สู้ซื้อไก่เป็นตัวไปดีกว่า ปกติไก่ชั่งละ 1.5 หยวน  ตอนนี้เพิ่มมาเป็นชั่งละ 2 หยวน ไข่ไก่ยังเทียบไม่ได้ ซื้อไก่ตัวหนึ่งยังคุ้มกว่า

ลูกค้าหลายสิบคนนั้นต่างยื้อแย่งกัน เธอซื้อหนึ่งตัว ฉันซื้อสองตัว จนหลินม่ายขายไก่ได้แล้วหลายสิบตัว

คนขับรถแทรกเตอร์ตะลึงงันอยู่ข้างกาย แม้แต่ซาลาเปาก็ลืมกินไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าคนในเมืองจะมีเงินมากขนาดนี้ ไก่ชั่งละสองหยวนก็ซื้อได้

ชาวบ้านอย่างพวกเขา ต่อให้เป็นวันปีใหม่ ซื้อแม่ไก่ในราคา 1.5 หยวนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

แต่ในเมืองก็คือในเมืองแหละ

ลูกค้าที่ต่อรองราคาไม่ได้เมื่อครู่เหล่านั้นยังเดินจากไปไม่ไกลนัก ยังคงเดินดูของอยู่ในตลาดมืด

เมื่อเห็นคนอื่นซื้อไก่ได้แล้ว อีกทั้งบางคนยังซื้อถึงสองตัว จึงอดกระวนกระวายใจไม่ได้  กลัวว่าจะซื้อไม่ทัน

ด้วยเหตุนี้จึงตรงกลับมา ซื้อไก่คนละสองตัวที่ขายในราคาชั่งละสองหยวนตามที่กำหนดไว้

เดิมทีคนที่ซื้อของในตลาดมืดมีจำนวนไม่มากนัก แต่คนที่มาซื้อไก่เหล่านั้นหลังจากกลับบ้านไปก็ป่าวประกาศว่ามีไก่มาขายในตลาดมืดออกไปอย่างกว้างขวาง

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ลูกค้าที่วิ่งมาซื้อไก่ก็เริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลินม่ายยุ่งอยู่กับการขายจนผมเผ้ากระเซิง

คนขับรถแทรกเตอร์กินซาลาเปาอิ่มนานแล้ว จึงได้มาช่วยเธอขายไก่

ทั้งคู่ช่วยกันขายจนถึงบ่ายสามโมงกว่า แม่ไก่ทุกตัวก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยง เหลือเพียงพ่อไก่ไม่กี่สิบตัว

คนขับรถแทรกเตอร์คิดว่าหลินม่ายจะลดราคา คาดไม่ถึงว่าเธอยังคงขายชั่งละสองหยวน  

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

นั่นไง ทำกันเป็นขบวนการจริง ๆ ด้วย ดีที่ม่ายจื่อไม่ใจอ่อน

ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเลย ม่ายจื่อนี่เก่งจริงๆ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 38 ผู้จัดการข่งมาขอโทษถึงบ้าน

ผู้จัดการข่งกระแอมไอ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงขอคำปรึกษา “สหายเสี่ยวหลิน คุณช่วยเขียนจดหมายอีกฉบับส่งให้ทางสำนักหนังสือพิมพ์ได้ไหม บอกพวกเขาว่าเราแก้ไขความผิดพลาดแล้ว”

หลินม่ายพยักหน้า “ได้สิ แต่รอให้ฉันเสร็จเรื่องราวหลังปีใหม่ก่อนแล้วจะเขียนให้นะคะ ตอนนี้ไม่ว่าง”

มีเวลาตอบโต้ แต่ไม่มีเวลาเจรจากันดี ๆ ใครจะเชื่อ!

แม้ว่าจะไม่เชื่อ แต่ผู้จัดการข่งก็ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกมา แค่กำชับหลินม่ายว่าห้ามลืมเท่านั้น

หลังจากที่ผู้จัดการข่งและพนักงานคนนั้นจากไป หลินม่ายก็หอบเอาของขวัญที่ผู้จัดการข่งนำมาให้กลับเมืองซื่อเหม่ยพร้อมกับโต้วโต้ว

ส่วนของขวัญที่พนักงานคนนั้นนำมาให้ หลินม่ายตั้งใจจะเก็บไว้ให้โต้วโต้ว เธอกลัวว่าเมื่อหล่อนโตขึ้นจะไม่ยอมดื่มนมและนมมอลต์ เลยอยากให้หล่อนดื่มเสียหน่อย

รถไฟไม่ได้ออกเดินทางตลอดเวลา ต้องรอขึ้นตามรอบรถ

รถไฟขนส่งผู้โดยสารจะออกทุกหนึ่งชั่วโมง จึงต้องเร่งเดินทางให้ทันรถไฟขนส่งผู้โดยสารขบวนแรก

เพื่อกลับไปรับซื้อไก่และไข่ไก่ในหมู่บ้านโดยเร็วที่สุด หลินม่ายจึงต้องกัดฟันจ่ายค่าเดินทางจำนวนห้าหยวน พาโต้วโต้วนั่งรถไฟขนส่งผู้โดนสารกลับมายังเมืองซื่อเหม่ย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าค่ารถไฟทั่วไปแค่หนึ่งหยวน

เวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงเย็น สองแม่ลูกหลินม่ายก็หอบของขวัญมายังบ้านของคุณปู่ฟาง

คุณปู่ฟางกำลังยืนตากแดดดคุยกับเพื่อนบ้านอยู่หน้าบ้านพอดี เมื่อเห็นสองแม่ลูกหลินม่ายจากไกล ๆ ก็ตะโกนเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น “ยายเฒ่า ม่ายจื่อและโต้วโต้วกลับมาแล้ว!”

คุณย่าฟางรีบวิ่งออกมาจากในบ้าน หลินม่ายและโต้วโต้วตะโกนพร้อมกัน “สวัสดีค่ะคุณย่า!”

“คุณย่าสวัสดีค่ะ!”

“จ้ะ ๆ” คุณย่าฟางดีใจมาก “ของขายหมดแล้ว เลยกลับมาได้ละสิ?”

“อื้อ!” หลินม่ายพยักหน้าอย่างหนักแน่น รอให้สองเฒ่าเชิญเข้าบ้าน จากนั้นก็นำของขวัญที่ผู้จัดการข่งนำมาให้วางลงบนโต๊ะ

ของขวัญเหล่านั้นประกอบไปด้วยนมผง น้ำตาลแดง นมมอลต์รวมทั้งขนมหลากหลายชนิด เหล้าและบุหรี่

คุณย่าฟางบ่นอุบ “ครั้งที่แล้วเธอเอานมผงกลับมาให้ปู่ฟางแล้ว ยังจะซื้อมาอีก!”

ยุคสมัยนี้นมมอลต์เป็นสินค้าค่อนข้างมีระดับ แต่นมผงมีราคาแพงยิ่งกว่านมมอลต์เสียอีก คุณย่าฟางเลยทำใจที่หลินม่ายเสียเงินไม่ได้ จึงตำหนิเธอออกไป

คุณปู่ฟางคอยให้คำแนะนำอยู่ข้าง ๆ “เธอเสียเงินซื้อเสื้อขนสัตว์ที่เธอซื้อให้ฉันและย่าของเธอไปไม่น้อย อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยแบบนี้สิ เก็บเงินไว้ซื้อบ้านเถอะ”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันหาเงินซื้อบ้านได้แล้วค่ะ กลับมาครั้งนี้ฉันอยากมารับซื้อไก่และไข่ไก่เอาไปขายในเมือง”

คุณย่าฟางบ่นอุบอย่างผิดหวัง “ยังจะไปขายของในเมืองอีก ไม่คิดจะกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกันเหรอ?”

หลินม่ายรีบเอ่ย “ต้องกลับมาสิคะ ฉันขายพรุ่งนี้ทั้งวันไปจนถึงครึ่งวันหน้า ยังไงก็ต้องกลับบ้านมากินข้าวที่บ้านแน่นอน”

เมื่อคุณปู่ฟางได้ยินดังนั้น ก็เตรียมจะพุ่งตัวออกไป “ฉันช่วยรับซื้อไก่และไข่ไก่ให้เธอได้นะ”

หลินม่ายคลี่ยิ้มพลางขัดขวางเขา “ฉันยังไม่ได้บอกราคารับซื้อคุณปู่ฟางเลยนะ” 

“ก็ฉันร้อนใจ!” คุณปู่ฟางยิ้ม “แล้วเธอจะรับซื้อในราคาเท่าไหร่หล่ะ?”

หลินม่ายถามราคาไก่และไข่ไก่ในเมืองมาแล้ว ซึ่งเพิ่มจากราคาเดิมสองเท่า

คุณย่าฟางจึงเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ราคารับซื้อสูงขนาดนี้ เธอจะได้กำไรไหมละเนี่ย?”

หลินม่ายพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ได้สิคะ”

ในตลาดมืดไก่เป็ดปลาเนื้อเหล่านี้มีราคาสูงเกินมาตรฐาน คนส่วนใหญ่เอื้อมไม่ถึง รับซื้อในราคานี้แล้วมันจะอะไรนักหนา

คุณปู่ฟางเอ่ย “ราคารับซื้อสูงขนาดนี้แค่เดินป่าวประกาศเอ็ดตะโรไปรอบหมู่บ้าน ทุกคนก็แห่กันมาถึงหน้าบ้านแล้ว ไม่ต้องเสียแรงวิ่งโร่ออกไปรับซื้อหรอก”

หลินม่ายรีบวางแผนทันที “งั้นคุณปู่ช่วยเช่ารถแทรกเตอร์ให้ฉันหน่อยนะคะ ฉันจะไปป่าวประกาศในหมู่บ้านละแวกนี้ ให้พวกชาวบ้านมาหาเราถึงที่”

ทั้งสองคนแยกกันไปคนละทาง

หลินม่ายมายังหมู่บ้านแรก เสนอราคารับซื้อของตัวเอง ปรากฏว่าพวกชาวบ้านต่างวิ่งเข้ามารุมกันเหมือนอย่างที่คาดคิดไว้ นำไก่และไข่ไก่ของตัวเองมาขายให้เธอ

หลินม่ายให้พวกเขาตรงไปขายที่บ้านคุณปู่ฟางหลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้เธอต้องวิ่งไปประกาศอีกหลายหมู่บ้าน

หมู่บ้านที่ฉลาดหน่อยก็ช่วยป่าวประกาศให้เธออย่างกระตือรือร้น แต่เงื่อนไขคือต้องรับซื้อแพะสองตัวของบ้านพวกเขาด้วย

หลินม่ายพยักหน้า “ถ้าแข็งแรงก็รับซื้อ”

การเลี้ยงแกะในหมู่บ้านยุคสมัยนี้หายากมาก ซึ่งที่เลี้ยงไว้ส่วนใหญ่เป็นแพะ ไม่มีใครเลี้ยงแกะ

แพะตัวไม่ใหญ่มาก รับซื้อสองตัวจึงไม่ใช่ปัญหา

มีคนช่วยเธอป่าวประกาศ หลินม่ายจึงไม่ต้องวิ่งวุ่นให้เหนื่อยอีก ให้ชาวบ้านไปเสนอขายไก่และไข่ไก่ถึงบ้านคุณปู่ฟาง เธอก็แค่ต้อนรับพวกเขาอยู่ที่บ้านคุณปู่ฟาง

ระหว่างทางกลับมาบ้านคุณปู่ฟาง มีชาวบ้านที่เร็วยิ่งกว่าถือไก่สองตัวมือข้างหนึ่ง อีกข้างถือตะกร้าใส่ไข่ไก่ใบหนึ่งมาถึงก่อนเธอ และตั้งแถวยาวอยู่หน้าบ้านของคุณปู่ฟางแล้ว

แม่ไก่บ้านในหมู่บ้านมีน้ำหนักประมาณหนึ่งชั่ง ส่วนตัวผู้มีน้ำหนัก 1.5 ชั่ง ราคารับซื้อของแม่ไก่อยู่ที่ชั่งละ 1.2 หยวน ไก่ตัวผู้ 1 หยวน ไข่ไก่ห้าเฟิน

นอกจากหลินม่ายจะเก็บเงินจำนวนสองร้อยหยวนไว้ใช้ยามฉุกเฉินแล้ว เธอได้นำเงินที่เหลือมาใช้รับซื้อสินค้า โดยรับซื้อแม่ไก่และไก่ตัวผู้ไปทั้งหมดแปดร้อยกว่าตัว ไข่ไก่อีกสองพันฟอง แพะห้าตัว

แม้จะกำหนดรับซื้อแพะแค่สองตัว แต่ครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งอยากขายแพะที่บ้านของหล่อนให้กับหลินม่าย เพื่อช่วยเขา หลินม่ายจึงแหกกฎรับซื้อแพะจากบ้านเขา

หลินม่ายรับซื้อสินค้าอย่างคึกคักอยู่หน้าบ้านคุณปู่ฟาง โดยที่คนสกุลอู๋ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ไกล ๆ ด้วยความอิจฉาตาร้อน

แต่ก็ได้แต่อิจฉา เพราะหล่อนไม่กล้าพาลูกชายและลูกสะใภ้ไปขายไก่และไข่ไก่ในตลาดมืด

ได้ยินมาว่าการซื้อขายในตลาดมืดเสี่ยงถูกตำรวจจับได้ง่าย หรือต่อให้ไม่มีใครมาจับ ในตลาดมืดที่ปะปนไปด้วยคนดีและคนชั่วแห่งนั้น หาเงินได้ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกแย่งถูกขโมย หล่อนกล้าไปที่ไหน!

คุณป้าอู๋กัดฟันสาปแช่งหลินม่ายอยู่ในใจ ต่อให้หาเงินในตลาดมืดได้ก็ขอให้ถูกขโมยถูกปล้น ทางที่ดีก็ขอให้ถูกจับ กินข้าวแดงในคุกสักหลายปี

หลินม่ายรับซื้อตั้งแต่สิบโมงกว่าตลอดจนถึงหกโมงกว่า ถึงจะรับซื้อได้ครบทุกคน

เธอหมดงบรับซื้อสินค้าที่ชาวบ้านนำมาหลังจากนั้น ชาวบ้านเหล่านั้นทำได้แค่เดินคอตกกลับไป

คุณย่าฟางทำอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว มีทั้งปลามีทั้งเนื้อ

คุณย่าฟางให้หลินม่ายกินปลากินเนื้อ แล้วเอ่ยขอโทษ “ดึกมากแล้ว ซื้อได้แค่ซี่โครง”

หลินม่ายอยากกินเนื้อแดงแทบขาดใจ

รีบกินมื้อค่ำจนหมด ไข่ไก่ที่หลินม่ายรับซื้อมาเหล่านั้นถูกปิดด้วยหญ้าแห้งหนึ่งชั้น บรรจุลงในตะกร้าใบใหญ่ หลีกเลี่ยงไม่ให้แตกระหว่างการขนย้ายพรุ่งเช้าเพราะการกระทบกระเทือน 

แม้ว่าไก่ที่พวกชาวบ้านนำมาขายเหล่านั้นจะถูกขายแบบรวม ๆ  แต่เธอได้ทำการตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว ไก่ที่ไม่ถูกมัดจนแน่นก็ทำการมัดใหม่ เพราะกลัวว่าจะมีไก่ตัวไหนร่วงกลางทาง

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ หลินม่ายและโต้วโต้วก็อาบน้ำเข้านอน

ตีห้าพรุ่งนี้เช้าต้องนั่งรถแทรกเตอร์ไปขายไก่ในเมือง

การขายในครั้งนี้เธอไม่พาโต้วโต้วไป ถ้าต้องขายของไปด้วย ดูแลลูกไปด้วย เธอคงยุ่งหัวปั่น โต้วโต้วเองก็รับปาก

หลินม่ายตื่นนอนช่วงเวลาตีสี่ครึ่งในเช้าตรู่วันต่อมา หลังล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อย คนขับรถแทรกเตอร์ก็ขับรถเข้ามา

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตื่นเช้า ช่วยหลินม่ายขนของขึ้นรถแทรกเตอร์ กระทั่งเห็นพวกเขาห่างออกไป จึวงกลับมานอนในห้องต่อ

ฤดูหนาวตอนตีห้านั้นมืดมาก ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถแทรกเตอร์หรือหลินม่ายต่างก็เฝ้าระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางอยู่บนถนนหลัก ทั้งยังห่างจากเมืองไม่ไกลนัก ความปลอดภัยถือว่าใช้ได้ แต่ก็จำกัดแค่เฉพาะช่วงกลางวัน

ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงหกโมงเช้ายากจะควบคุมความปลอดภัยได้ บนถนนเส้นหลักมักมีโจรออกปล้นบ่อยครั้ง

แม้โจรจะมาปล้นทรัพย์ไม่ได้ปล้นคน แต่คนขับรถแทรกเตอร์พยายามหลบเลี่ยง เพราะคุณปู่ฟางขอร้องให้เขาไปส่งหลินม่ายถึงในเมืองอย่างปลอดภัย เขาจะชะล่าใจไม่ได้

กระทั่งรถแทรกเตอร์ขับมาถึงอำเภอที่เรียกว่าเสี่ยวกั่ง ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิงคนหนึ่งวิ่งออกมาขอความช่วยเหลือ น้ำเสียงน่าเวทนานั้นสร้างความพิศวงให้กับค่ำคืนที่เงียบสงัด

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สมัยนั้นก็อันตรายเหมือนกันนะ แล้วม่ายจื่อเป็นเด็กสาวกำลังโตเดินทางคนเดียว

ใครวิ่งมาขอความช่วยเหลือกันนะ ถ้าเป็นเหยื่อก็ดีไป แต่ถ้าเป็นนางนกต่อก็คือซวย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 37 ไม่ควรเอาโต้วโต้วมาบังคับฉัน

วันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติ หลินม่ายพุ่งตรงเข้าไปในตลาดมืดตั้งแต่เช้าตรู่

แค่ไม่กี่วัน ราคาสินค้าในตลาดมืดก็เพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย จุดสำคัญคือลูกค้าต่างมาจับจ่ายใช้สอยสินค้าสำหรับวันปีใหม่อย่างคลุ้มคลั่ง ยื้อแย่งแข่งขันกันทุกสิ่งอย่าง ราวกับมันเป็นของฟรี

หลินม่ายต้องฝ่าฟันขวากหนามไปตลอดทาง เบียดเสียดรุมทึ้งจนผมเผ้ายุ่งเหยิง เพื่อแย่งชิงตับหมูครึ่งชั่ง กระดูกหมูสองชั่งและเนื้อขาหลังอีกครึ่งชั่ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้นหกหยวน จนเธอถึงกับต้องสูดลมหายใจเย็นเข้าไปหลายครั้งด้วยความปวดใจ

เมื่อซื้อวัตถุดิบประเภทเนื้อเรียบร้อย หลินม่ายก็ตรงไปซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทถั่วและผักสด

ราคาผักสดยังคงที่ ราคาผลิตภัณฑ์ประเภทถั่วแทบจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากโข

หลินม่ายซื้อผักสดสองอย่างและเต้าหู้อีกสองชั่ง และไม่ลืมที่จะซื้อคูปองเสื้อผ้ากับคูปองอื่นๆ จากคนขายคูปองด้วย

วันปีใหม่ใกล้จะมาถึง หลินม่ายต้องซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่สองแม่ลูกและสองผู้เฒ่าสกุลฟาง และยังต้องหาซื้อของขวัญ ซึ่งของเหล่านี้ต้องใช้คูปอง

หลินม่ายออกจากบ้านตั้งแต่หกโมงเช้า สิบโมงก็ยังไม่กลับ เถียหนิวร้อนใจจนอยู่ไม่ได้ อดบ่นกับแม่ของเขาไม่ได้ “รู้งี้ผมไปตลาดมืดกับม่ายจื่อดีกว่า แต่แม่ก็ไม่ยอม ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรกับม่ายจื่อบ้าง”

ยุค 70 ถึงต้นยุค 80 เป็นช่วงเปลี่ยนผันของยุคสมัย จากยุควางแผนเศรษฐกิจเป็นยุคปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศ

เพราะเหตุนี้กฎระเบียบจึงไม่ค่อยเข้มงวดนัก กระทั่งใช้คำว่าเลวร้ายมาอธิบายถึงสถานการณ์ตอนนี้ได้ หัวขโมยเอย นักล้วงกระเป๋าเอย โจรเอยผุดขึ้นไม่น้อย

โจรและนักล้วงกระเป๋าบางคนไร้ซึ่งมนุษยธรรมไม่เกรงกลัวกฎหมาย เพียงเพื่อชิงของมีค่า แม้แต่คนยังกล้าเข่นฆ่า

แม่เถียหนิวร้อนใจอยู่ภายใน แต่เจ้าลูกชายตัวดีกลับตำหนินาง ทำให้นางไม่พอใจ

กระทั่งมองสองจิ๋วผู้ไม่เคยเข้าใจอะไรสักอย่าง มัวแต่เล่นซ่อนแอบทั่วบ้าน จึงเอ่ยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจว่า “แกโตแล้วนะ ทำไมไม่มีแววเสียบ้าง? แกคิดว่าม่ายจื่ออยากให้แกไปเป็นเพื่อนเหรอ รายได้ในแต่ละคืนหล่อนยังต้องแอบนับลับหลังเรา คงอยากให้แกตามหล่อนไปช่วยใช้เงินซื้อของหรอกนะ?”

นางไม่อยากยอมรับว่าตนกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับเจ้าลูกชายตัวดี ดังนั้นจึงไม่ให้ลูกชายไปตลาดมืดกับหลินม่ายตั้งแต่เช้าตรู่

หกโมงเช้าท่ามกลางฤดูหนาวในเมืองเจียงเฉิง ท้องฟ้ายังไม่สว่าง ใครเลยจะรู้ว่าจะเจอะเจอกับอันตรายอะไรบ้างระหว่างทาง

เถียหนิวมีนิสัยตรงไปตรงมา พูดไม่ค่อยเก่ง แต่กลับยังตำหนิแม่ของเขาถึงสองประโยค “ม่ายจื่อคำนวณรายได้ลับหลังเราแล้วยังไงครับ? หล่อนเอาเปรียบเราเหรอ? แม่อย่าเอาความใจแคบไปตัดสินหล่อนได้ไหม?”

แม่เถียหนิวโกรธฉุนเฉียว ทะเลาะกับเจ้าลูกชายด้วยเสียงต่ำ “อายุแค่นี้ มีตาหามีแววไม่ แถมยังมาว่าแม่ใจแคบ!”

ในตอนนี้เอง หลินม่ายกลับมาพอดี

แม่เถียหนิวเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว ความโกรธที่แสดงออกมาเมื่อครู่หายไปทันตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไอหยา เธอกลับมาแล้ว ฉันและเถียหนิวกำลังเป็นห่วงเธอพอดี!”

หลินม่ายยิ้ม “วันนี้ตลาดมืดคนเยอะไปหน่อย ของก็หาซื้อยาก เลยกลับมาสาย”

กล่าวจบ ก็พับแขนเสื้อเตรียมทำอาหาร แม่เถียหนิวจึงเข้ามาช่วยก่อไฟ

แม้วัตถุดิบจะมีจำกัด แต่หลินม่ายก็ยังรังสรรค์อาหารที่คล้ายคลึงกันขึ้นมาหลายอย่าง

ซุปเต้าหู้ตับหมู ลูกชิ้นหมูราดน้ำแดง กระดูกหมูทอดกระเทียม ไข่ตุ๋นไก่ รวมทั้งเต้าหู้ราดซอสแดงและผัดผักตั้งโอ๋

ผู้ใหญ่สามคนและเด็กน้อยสองคนนั่งล้อมโต๊ะ ดื่มชาแทนเหล้า และกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชิ้นเนื้อราดซอสแดงที่นุ่มละมุนลิ้นเหมือนกับเต้าหู้ เนื้อส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายหก ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างชื่นชอบ

แม่เถียหนิวกินพลางชำเลืองมองหลินม่ายอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

หลินม่ายถูกมองจึงทำตัวไม่ถูก ลูบศีรษะของตัวเอง แล้วยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “คุณป้า คุณป้ามองฉันทำไมคะ?”

แม่เถียหนิวรู้สึกผิดขึ้นมา จึงคลี่ยิ้ม แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ม่ายจื่อ เธอว่าเถียหนิวของฉันเป็นไง?”

หลินม่ายไม่ใช่คนโง่ คำพูดแบบนี้ เกินครึ่งคืออยากเป็นแม่สื่อชักจูง

แม่เถียหนิวอยากเป็นแม่สื่อให้เธอกับลูกชายของตัวเองงั้นเหรอ?

เธอฝืนใจตอบกลับไป “ดีค่ะ อดทนต่อความยากลำบากเก่งดี”

เถียหนิวได้ยินเธอประเมินตนแบบนี้ก็หน้าแดงขึ้นมา แต่ด้วยผิวคล้ำของเขาจึงสังเกตได้ยาก

แม่เถียหนิวรู้สึกยินดีขึ้นมาทันที “อย่าหาว่าฉันโม้เลย เถียหนิวของฉันไม่เพียงแต่อดทนต่อความลำบากได้แล้ว ยังแสนดีกับภรรยาอีกด้วย เธอรู้ไหมว่าทำไมเราถึงได้จนแบบนี้? นั่นเพราะต้องรักษาอาการป่วยให้แม่ของนิวนิวจนบ้านเราไม่เพียงแต่ลำบากเท่านั้น ยังเป็นหนี้เป็นสินอีกด้วย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็รีบเสริมต่อทันทีว่า “แต่หนี้เราได้ใช้คืนไปหมดแล้ว”

จากนั้นก็หยุดชะงักไป แล้วพูดต่อว่า “ฉันคิดว่าหนูคงเข้าใจความหมายของฉันแล้ว ฉันคิดว่าเธอเหมาะสมกับเถียหนิวที่สุด เธอ….เธอจะยินยอมไหม?”

เถียหนิวลำบากใจเป็นที่สุด เขาเคยพูดกับแม่ของตัวเองแล้ว ว่าเขาไม่เคยคิดเกินเลยกับหลินม่าย

แค่อยากหาเงินกับเธอ ให้ชีวิตในครอบครัวดีขึ้น แม่เขากลับไม่ฟังเขา ยังกล้าเปิดประเด็นนี้กับหลินม่ายอีก?

หลินม่ายปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่อยากแต่งงาน ตอนนี้เป็นแบบนี้มันก็ดีอยู่แล้วค่ะ”

“ดีตรงไหนกัน!” แม่เถียหนิวเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่มีผู้ชายในบ้านได้ยังไง ไม่มีใครเขาทำงานหนักเอาเป็นเอาตายกันแบบนี้หรอกนะ”

นางมองโต้วโต้วแวบหนึ่ง “เธอไม่อยากหาพ่อให้โต้วโต้วเหรอ?”

โต้วโต้วที่ได้ยินนางเรียกชื่อก็เงยหน้าขึ้นมามองหลินม่าย ก่อนจะมองแม่เถียหนิว

แม่เถียหนิวรีบถามโต้วโต้วด้วยความเมตตาว่า “โต้วโต้ว หนูอยากมีพ่อไหมจ๊ะ?”

หลินม่ายตอกกลับอย่างไม่พอใจ “คุณป้า! คุณป้าตั้งใจจะเอาโต้วโต้วมาบังคับฉันเหรอคะ?”

แม่เถียหนิวตะกุกตะกักในทันที “ฉัน…ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนี้ ฉัน….ฉันแค่รู้สึกว่าพวกเธอสองคนต่างก็โสดทั้งคู่ จับมือครองคู่กันก็น่าจะดี….”

หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณป้า หากคุณป้าขอความเห็นจากฉันก็ไม่มีปัญหา แต่คุณป้าไม่ควรเอาโต้วโต้วมาบีบบังคับฉัน! “

หลังเปิดประเด็นเล็ก ๆ นี้ขึ้นมา ผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็กินอาหารฉลองวันสิ้นปีกันอย่างฝืดคอ

แม้แต้สองจิ๋วยังสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันที่ยากจะระงับได้ และกินข้าวอย่างไม่มีความสุข

หลังจากกินข้าวเสร็จ ครอบครัวเถียหนิวทั้งสามคนก็พากันหอบผ้าหอบผ่อนกลับไปด้วยความอับอาย

หลินม่ายเก็บชามและตะเกียบ คิดจะพาโต้วโต้วกลับหมู่บ้าน

ไม่ใช่เพราะรีบร้อนอยากกลับไปฉลองปีใหม่กับสองเฒ่าสกุลฟางที่บ้านหรอก แต่อยากรับไก่และไข่ไก่มาขายในเมือง

ในตลาดมืดตอนนี้ไม่มีไก่ เป็ด ปลา เนื้อ และไข่เพียงพอสำหรับขาย ถ้าเธอขายได้ คงสร้างเงินได้ไม่น้อย

สองแม่ลูกทำการล็อกประตูบ้าน หลังออกจากบ้านไม่นาน ก็เจอกับผู้จัดการข่งจากห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงกำลังถือของขวัญ กับพนักงานประจำเคาน์เตอร์เสื้อขนสัตว์กำลังถามหาเธอจากชาวบ้าน

ชาวบ้านคนนั้นชี้ไปยังเธอแล้วเอ่ยว่า “หล่อนคือคนที่พวกคุณตามหา”

หลินม่ายมีหน้าตาหมองคล้ำแต่ก็มีโครงหน้าคมสวยในขณะเดียวกัน มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่มีใครเกิน ผู้จัดการข่งและพนักงานคนนั้นจึงจำเธอได้

ผู้จัดการข่งรุดหน้าเข้ามาต้อนรับอย่างรวดเร็ว ส่งยิ้มให้เธอและเอ่ยว่า “สหายหลิน ผมพาพนักงานคนนี้มาขอโทษถึงที่บ้านเลยครับ”

หลินม่ายเห็นท่าทางนี้ ก็รู้ทันทีว่าจดหมายร้องเรียนที่ตัวเองได้เขียนรายงานถึงความประพฤติต่อสำนักหนังสือพิมพ์ได้ผลแล้ว ถึงได้ส่งคนมาเยือนถึงถิ่น

ผู้จัดการข่งตำหนิตัวเองก่อน บอกว่าตนนั้นอบรมสั่งสอนพนักงานถึงจรรยาบรรณของการทำงานไม่ดีพอ ทำให้เธอมีประสบการณ์ที่เลวร้ายต่อห้างสรรพสินค้า เลยให้พนักงานคนนั้นมามอบของขวัญขอโทษหลินม่าย

พนักงานคนนั้นไม่กล้าทำเรื่องอย่างวันนั้น ยอมรับผิดอย่างว่าง่าย วางของที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ “นี่คือของขวัญที่ฉันซื้อด้วยเงินส่วนตัว หวังว่าคุณผู้หญิงจะให้อภัยฉันนะคะ”

หลินม่ายชำเลืองมองของขวัญเหล่านั้นแวบหนึ่ง ซึ่งในนั้นเป็นนมผงสองห่อ นมมอลต์สองกล่องและขนมอีกหลายกล่อง

ในเมื่อยกของขวัญมาให้ถึงที่ แสดงว่าครั้งนี้อีกฝ่ายคงรู้ผิดแล้ว เธอจึงเลือกที่จะให้อภัย

ผู้จัดการข่งจึงวางของขวัญที่ตัวเองนำมาด้วยวางลงบนโต๊ะอาหาร บอกว่าของเหล่านี้เป็นของขวัญที่ทางห้างสรรพสินค้าอยากแสดงความเสียใจต่อเธอ

หลินม่ายรับไว้ทั้งหมด

ผู้จัดการข่งพูดคุยเพียงไม่กี่ประโยค ในที่สุดก็เอ่ยถึงเจตนารมณ์ที่มาในครั้งนี้

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ไปเลยค่ะ ไปแล้วอย่ามาอยู่บ้านม่ายจื่ออีกนะ โทษใครไม่ได้นอกจากตัวป้าที่โลภมากเอง

ผู้จัดการอยากคุยเรื่องอะไรกับม่ายจื่อกัน?

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 36 ราคาสินค้าในตลาดมืดเพิ่มสูงขึ้น

อากาศในเมืองเจียงเฉิงเปรียบเสมือนอารมณ์ของผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ตรงที่เปลี่ยนแปลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

ตกดึกจู่ ๆ ฝนก็ตกปรอยลงมาทั้งคืน จนฟ้าสว่างก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

แม่เถียหนิวมองฝนที่ตกอยู่นอกบ้านด้วยความกังวลใจ ยิ่งฝนตก วันทำงานก็ยิ่งน้อยลง เงินที่จะได้รับก็น้อยลงตามไปด้วย

หลินม่ายกลับไม่ได้ร้อนใจแม้แต่น้อย เกาลัดกองที่สองได้ถูกขายออกไป ทำรายได้กว่าเก้าร้อยหยวน ประกอบกับเงินที่เหลือก่อนหน้านั้นและรายได้จากขนมฉาวเมี่ยนวอ รวมแล้วก็ประมาณหนึ่งพันสองร้อยหยวน เพียงพอสำหรับซื้อบ้านแล้ว

ต่อให้มันเทศที่เหลือจะขายไม่ออกจนเน่าเสีย มันก็ส่งผลกระทบกับเธอไม่มากนัก

หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวันจนไม่ได้พักผ่อน หลินม่ายก็หยิบตะกร้าที่ว่างเปล่าใบหนึ่งขึ้นมา ยืมร่มของเพื่อนบ้านออกไปข้างนอก ตั้งใจจะไปซื้อคูปองเนื้อสองสามใบในตลาดมืด แล้วค่อยไปซื้อเนื้อจากตลาดโดยรัฐบาล ตั้งใจจะทำอาหารอันโอชะสักมื้อ

แน่นอนว่าเธอนำจดหมายรายงานและจดหมายร้องเรียนที่เขียนร่ายเรียงไว้แล้วออกมาส่งด้วย เมื่อวานเธอไม่ได้พักเลยทั้งวัน จึงไม่มีเวลาออกมาส่ง

หลังจากที่ส่งจดหมายแล้ว ก็ตรงไปซื้อคูปองในตลาดมืด หลินม่ายเห็นผู้คนไม่น้อยพากันมาขายสินค้าเกษตร

ขายทั้งไก่ ขายทั้งเป็ด ขายทั้งไข่ไก่ ถั่วลิสง น้ำมันพืช ไปจนถึงแป้งหมี่

ทุกร้านต่างเบียดเสียดไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยซื้อของสำหรับวันปีใหม่ ทุกคนต่างแข่งกันยัดเงินให้กับพ่อค้าแม่ขายหาบเร่ ราวกับว่าสิ่งที่ยัดไปนั้นไม่ใช่เงิน แต่เป็นเศษกระดาษ

หลินม่ายเบียดตัวเข้าไปด้วยความอยากรู้ และสอบถามราคา

ปกติแล้วในตลาดมืดจะขายไก่ตัวเป็น ๆ อยู่ที่ชั่งละ 1.5 หยวน ตอนนี้เพิ่มเป็น 2.5 หยวน แถมยังต่อรองราคาไม่ได้ ใครต่อราคามีหวังโดนเจ้าของร้านไล่ตะเพิดแน่

ปกติแล้วข้าวสารในตลาดมืดจะขายชั่งละสองเหมา ตอนนี้กลับขายชั่งละสามเหมา

โดยสรุปแล้ว ของทุกอย่างแทบจะขึ้นราคาทั้งหมด

สถานการณ์นี้ล้วนส่งผลให้มีการวางแผนเศรษฐกิจ ไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะมีรายได้เพียงพอกับการใช้จ่ายในครัวเรือน

ถ้าคูปองเพียงพอ ใครจะมาซื้อของรับวันปีใหม่ที่มีราคาแพงในตลาดมืดขนาดนี้!

หลินม่ายเห็นสถานการณ์นี้ก็พอเดาได้ว่าต่อให้ตัวเองซื้อคูปองเนื้อเพื่อไปจับจ่ายใช้สอยในตลาดของรัฐบาล ก็คาดว่าคงซื้ออะไรไม่ได้

หากหาซื้อของจากในตลาดโดยรัฐบาลได้ การค้าขายบริโภคภัณฑ์หลากหลายเหล่านั้นคงไม่มีทางคึกคักขนาดนั้น จนต้องชิงซื้อคูปองมาก่อน

แต่เจ้าของร้านขายคูปองวันนี้ยุ่งมาก

หลินม่ายเดินเล่นเพียงรอบเดียว สินค้าตามร้านต่าง ๆ ก็ถูกแย่งซื้อไปจนหมด ลูกค้าที่แย่งซื้อไม่ทันต้องคอตกกลับไปอย่างผิดหวัง

หลินม่ายไม่กล้าชะล่าใจ จึงลงทุนซื้อปลาเฉาหนึ่งตัว เต้าหู้และขาหมู ซี่โครงหนึ่งชั่ง และถั่วเหลืองงอกสองชั่งในราคาที่สูงกว่าปกติ

ทั้งยังซื้อคูปองอุตสาหกรรมและคูปองน้ำตาลหนึ่งใบจากพ่อค้าขายคูปองที่วางจนแทบจะขึ้นราอยู่แล้ว จากนั้นก็ไปซื้อร่มหนึ่งคันและลูกกวาดครึ่งชั่งจากตลาดของรัฐบาล

ร่มหนึ่งคันใช้ประโยชน์ได้เสมอ คงจะยืมเพื่อนบ้านตลอดไม่ได้ ต้องซื้อติดตัวสักคัน

เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ตรงกลับหมู่บ้าน

เธอไปคืนร่มกับเพื่อนบ้านก่อน ถือโอกาสให้ลูกกวาดกำใหญ่แทนคำขอบคุณ

เพื่อนบ้านคนนั้นเบิกบานใจอย่างมาก ทั้งยังบอกอีกว่าเธอเกรงใจเกินไป

หลินม่ายกล่าวลาด้วยรอยยิ้ม แล้วกลับบ้านตัวเอง

เมื่อเข้าบ้านมา เด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนก็วิ่งเข้ามาหาและแย่งร่มที่เพิ่งซื้อจากมือของเธอไปดูด้วยความอยากรู้ พลางหยิบของในตะกร้าของเธออย่างไม่ระวัง

หลินม่ายหยิบร่มสองคันให้สองสาวแสบ แล้วก็ลูกกวาดอีกคนละกำ ก่อนจะกำชับพวกหล่อนว่าห้ามเล่นจนชำรุดเด็ดขาด

สองจิ๋วแกะเปลือกลูกกวาดเข้าปากแทบทนไม่ไหว พลางตอบรับด้วยน้ำเสียงอู้อี้

เมื่อแม่เถียหนิวเห็นหลินม่ายซื้อววัตถุดิบกลับมามากมายขนาดนี้ ก็พลันเอ่ยถาม “ซื้อปลาซื้อเนื้อมาเยอะขนาดนี้ คงแพงน่าดู”

หลินม่ายเอ่ยไปเรื่อย “ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ สิบหยวนเห็นจะได้”

แต่ถ้าหลินม่ายและลูกชายของตัวเองได้ครองคู่กัน หล่อนก็จะกลายเป็นเจ้าบ้านในบ้านหลังนี้ ถ้าให้หลินม่ายเป็นเจ้าบ้าน เธอหาเงินมาเท่าไหร่ก็คงใช้จ่ายไม่พอ

หลินม่ายไม่รู้แผนการในใจของแม่เถียหนิว กลับมาถึงก็เริ่มทำอาหารอันโอชะทันที

เถียหนิวก็ไม่รู้เรื่องอะไรเช่นกัน เห็นเธอเตรียมจะชำแหละปลา ก็แย่งเธอทำ

หลินม่ายไม่ได้เกรงใจเขา ให้เขาชำแหละปลา จากนั้นก็นำเครื่องในและตัวปลาไปล้างจนสะอาด เฉือนหัวปลา แล่เนื้อปลามาสับเพื่อทำลูกชิ้นปลา

สองสาวแสบยังเด็กเกินไป หากทำปลาทอดแห้งผัดน้ำแดงแบบหูเป่ย ก็เกรงว่าก้างปลาจะติดคอพวกหล่อน จึงทำลูกชิ้นปลาป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น

เธอทำการดึงขนจากขาหมูทั้งห้าชิ้นนั้นจนสะอาด

แม่เถียหนิวช่วยทำด้วย จึงอดพึมพำไม่ได้ “ขาหมูไม่มีเนื้อ พวกชาวบ้านอย่างเราไม่ค่อยซื้อกัน เธอกลับเปลืองเงินซื้อมาตั้งมากมาย เอาเงินมากมายพวกนี้ไปซื้อหเนื้อสามชั้นไม่คุ้มกว่าเหรอ?”

หลินม่ายทอดถอนใจอย่างจนปัญญา ที่จ่ายไปก็คือเงินของเธอเองทั้งนั้น

ตอนเที่ยง หลินม่ายใช้หัวปลาและเครื่องในปลาบวกกับเต้าหู้มาตุ๋นเป็นหม้อไฟพร้อมกับผักดองรสจัดสำหรับพวกผู้ใหญ่ เตรียมลูกชิ้นปลาและหมูหวานให้กับเด็ก ๆ ซึ่งเจ้าแสบสองคนกินอย่างเอร็ดอร่อย

ตกค่ำเป็นเต้าหู้ทำมือ สลัดถั่วงอกเย็นและขาหมูตุ๋นฉ่ำน้ำ

เมื่อทำขาหมูตุ๋นเสร็จแล้ว แม่เถียหนิวคีบขาหมูสามชิ้นใส่ในชาม เก็บไว้ในตู้บนผนัง สำหรับเป็นมื้อพรุ่งนี้

บอกว่าตอนเที่ยงกินมากพอแล้ว กลางคืนจะเฉลิมฉลองอีกได้อย่างไร

หลินม่ายยิ้ม แล้วเอ่ยเตือนนาง “คุณป้า เงินที่ซื้อของพวกนี้ก็เงินฉันนะคะ”

เธอตั้งใจซื้อขาหมูมาห้าชิ้น ให้ทุกคนกินกันคนละชิ้น

เป้าหมายของเธอคืออยากกินทั้งทีก็กินให้หนำใจ

แม่เถียหนิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนซื้อ แต่เราควรใช้ชีวิตแบบประหยัดมัธยัสถ์….”

นางก็ได้แต่พูดไป ส่วนหลินม่ายก็หยิบขาหมูเหล่านั้นออกมาจากตู้ แล้วเทมันกลับลงในชาม

แม่เถียหนิวเห็นว่าเธอไม่ฟังตน จึงเกิดความไม่พอใจ

หลินม่ายไม่อยากใส่ใจความรู้สึกของนาง เธอยอมจ่ายเงินของตัวเองเพื่อให้ทุกคนได้กินของอร่อย แล้วทำไมต้องมาให้นางสนใจด้วย? แล้วนางเป็นใครถึงต้องมาควบคุมเธอ?

ระหว่างที่กินมื้อค่ำนั้น หลินม่ายก็ไม่เห็นแม่เถียหนิวเพิกเฉยต่อขาหมู จับแทะจนน้ำมันเยิ้มเต็มปากเหมือนกัน

ฝนตกคราวนี้ตกไปทั้งหมดสามวันสามคืนถึงจะหยุดลง

ในสามวันนี้ หลินม่ายได้รังสรรค์อาหารหลากหลายเมนู ไม่เหมือนกับวันแรก ทั้งยังซื้อเนื้อปลาและเนื้อเพิ่ม

ยุคสมัยนี้ การได้กินอาหารอันสมบูรณ์ในทุกวันเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้ อย่างน้อยสำหรับเธอ เธอก็ยังไม่มีความสามารถในการหาเงินขนาดนั้น

แต่การได้กินข้าวผัดสักมื้อ หรือน้ำซุปกระดูกหมูกลับไม่เป็นปัญหา

นอกจากอาหารอันโอชะแล้ว หลินม่ายยังให้เถียหนิวคั่วเกาลัดวันละสองร้อยถึงสามร้อยชั่งในทุกวัน และเธอยังลากรถเข็นไปขายในตลาดมืดหลายครั้งในทุกวันด้วย ซึ่งจะมีคุณป้าที่ต้องการซื้อของในวันปีใหม่ระดมคนมาเหมาจนหมดเกลี้ยงทุกครั้ง

คาดไม่ถึงว่าเกาลัดคั่วจะขายดีมากในตลาดมืด รู้อย่างนี้เอามาขายในตลาดมืดก็ดี ไม่ต้องเปลืองสมองคิดกิจกรรมจับฉลากให้เสียเวลา

เกาลัดถูกขายจนหมดเกลี้ยง และฝนก็หยุดตกแล้วเช่นกัน

เพื่อเร่งขายมันเทศให้หมด หลินม่ายจึงต้องทอดขนมฉาวเมี่ยนวอตั้งแต่หกโมงครึ่งจนถึงห้าโมงเย็นทุกวัน

ขนมฉาวเมี่ยนวอกลายเป็นอาหารกินเล่นในตอนเช้า ในหนึ่งวันสามารถขายได้มากกว่าพันชิ้นเลยทีเดียว ใช้มันเทศไปกว่าสองร้อยถึงสามร้อยชั่ง

มันเทศที่คุณปู่ฟางให้มาล้วนมีน้ำหนักอยู่ที่สามชั่งขึ้นไป เมื่อนำมันเทศมาทอดขายมันก็ถูกขายจนหมดอย่างรวดเร็ว ซึ่งขายได้วันละสี่ร้อยถึงห้าร้อยชั่ง แม้วันที่สองธุรกิจจะซบเซาลง แต่ก็ยังขายได้ประมาณสามร้อยชั่ง

สุดท้ายมันเทศทั้งหมดถูกขายจนหมดเกลี้ยงภายในสามวัน เวลาล่วงเลยมาถึงช่วงค่ำของวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสอง

คืนนี้ หลินม่ายจ่ายเงินทั้งหมดให้กับสองแม่ลูกเถียหนิว

แม้ว่าสองแม่ลูกเถียหนิวจะทำไม่ถึงครึ่งเดือน แต่หลินม่ายกลับจ่ายเงินเท่ากับสิบห้าวัน ทั้งยังแบ่งโบนัสจำนวนห้าสิบและสามสิบหยวนแก่สองแม่ลูกเถียหนิวด้วย ทำให้สองแม่ลูกเถียหนิวดีใจมาก

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ป้าอย่าล้ำเส้นค่ะ ให้รู้มั่งว่าใครเป็นเจ้าบ้าน

ได้เงินแล้วก็ไปนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 35 ค้าขายอย่างสงบ

หลินม่ายไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความขัดแย้งในคืนนั้นของสองแม่ลูกเถียหนิว

เช้าตรู่วันต่อมา เธอก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมตั้งแต่หกโมงเช้า ลากรถเข็นไปตั้งแผงขายที่ท่าเรือ และเห็นร้านค้ามากมายพากันเปิดแผงขายอาหารเช้า

มีทั้งปาท่องโก๋ ทั้งก๋วยเตี๋ยว และยังมีบะหมี่แห้งรสเผ็ดซึ่งเป็นอาหารเช้าขึ้นชื่อของเจียงเฉิงอีกไม่น้อยด้วย

แผงขายอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดขายอยู่นอกหมู่บ้าน ในหมู่บ้านซานหยางก็ยังมี

แม้ยุคสมัยนี้การเป็นเจ้าของร้านจะเป็นอาชีพน่าอาย แต่ถ้าเป็นร้านแผงลอยหาบเร่ที่ไม่มีใบอนุญาตคงโดนดูถูกมากกว่านี้

มีเพียงชาวเมืองที่มีทะเบียนบ้านในเมืองเท่านั้นที่ตระหนักในเรื่องนี้ ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านชานเมืองที่มีทะเบียนบ้านของเกษตรกรจะไม่มีความคิดนี้

พวกเขาสร้างกิจการขึ้นมาโดยไร้ซึ่งความละอายใจ ในสายตาของพวกเขา การหาเงินเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

ไม่ต้องอมทุกข์ห่วงแต่ชื่อเสียงเหมือนกับพวกชาวเมืองที่มีทะเบียนบ้านในเมือง เพราะเหตุนี้ถึงได้อยู่กันอย่างสงบสุข

ชาวบ้านในหมู่บ้านซานหยางเห็นหลินม่ายก็ส่งยิ้มทักทาย พวกนอกหมู่บ้านที่ไม่รู้จักมักจี่กับเธอต่างพากันเพิกเฉย

หลินม่ายส่งยิ้มกลับให้พวกชาวบ้านเหล่านั้น

เธอไม่ได้อยากจะแข่งขันในอาชีพเดียวกัน ตราบใดที่ไม่ใช่การแข่งขันที่น่ารังเกียจก็ย่อมรับได้

เดิมทีการทำธุรกิจมักจะเกิดการแข่งขันในอาชีพเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

แค่ทุกคนต่างฝ่ายต่างบริหารกิจการของตัวเองอย่างสงบสุข

แม้ว่าจะมีการเปิดร้านขายอาหารเช้าใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย แต่ยังไม่ได้สร้างผลกระทบต่อหลินม่ายในตอนนี้มากมายนัก

เพราะเธอขายของให้แก่ผู้โดยสารเหล่านี้ได้มากกว่าสี่สิบคนต่อเรือข้ามฟากหนึ่งรอบ ซึ่งเรือข้ามฟากแต่ละรอบจะบรรทุกผู้โดยสารหลายร้อยคน เมืองที่ใหญ่ขนาดนี้เธอคงขายคนเดียวไม่ได้

อีกอย่างเธอยังขายขนมฉาวเมี่ยนวอเพียงเจ้าเดียวในท่าเรือ คนที่ชอบกินขนมเมี่ยนวอก็มักจะมาหาซื้อกินร้านของเธอ กิจการของเธอจึงไปได้ไม่เลวนัก

เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ในตอนที่แม่เถียหนิวนำมันเทศหั่นเต๋าสำหรับทอดขนมฉาวเมี่ยนวอมาส่งให้เธอนั้น หล่อนได้เห็นแผงขายอาหารเช้ามากมายจากที่ไกล ๆ แล้วอดร้อนใจไม่ได้

รีบตรงไปดูส่วนผสมสำหรับขนมฉาวเมี่ยนวอในถังของหลินม่าย ก็เห็นว่าใช้ไปเยอะแล้ว จึงวางใจ แล้วบ่นอุบอิบเสียงเบาว่า “คนพวกนี้จริง ๆ เลย เห็นคนอื่นหาเงินดีหน่อยก็อิจฉาตาร้อน เปิดแผงขายตาม”

หลินม่ายไม่ตอบนาง

เธอขายจนถึงแปดโมงกว่าเหมือนเมื่อวาน ขายเสร็จตามที่วางแผนไว้

หลินม่ายรีบกลับมากินอาหารเช้าที่บ้าน แล้วออกไปตั้งแผงขายเกาลัดต่อกับเถียหนิว

เถียหนิวคั่วเกาลัดเสร็จตั้งแต่ตอนเช้า บางส่วนยังร้อนกรุ่นอยู่ กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วค่อย ๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วอากาศจนตั้งแผงขาย ก็เริ่มมีคนมุงเข้ามาซื้อ

ลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อเกาลัดไปครึ่งชั่ง หลินม่ายจึงรีบเอ่ยว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไปจะมีการจับฉลากรางวัลนะคะ ซื้อเกาลัดสามชั่งขึ้นไปจะได้เข้าร่วมการจับรางวัล….”

เธอยังพูดไม่จบ ก็มีลูกค้าถามต่อว่า “รางวัลเป็นอะไร?”

หลินม่ายยิ้ม “ร้านเล็ก ๆ ของเราจะมีรางวัลอะไรล่ะคะ จับรางวัลได้ก็มีแค่ได้กินเกาลัดสามชั่งฟรีเท่านั้น”

แล้วก็มีคนถามอีกว่า “แล้วมีโอกาสชนะรางวัลเท่าไหร่?”

“ร้อยละสิบ”

โอกาสชนะในการจับรางวัลนี้ค่อนข้างสูงมาก อีกทั้งผู้ที่จับรางวัลไม่ได้ก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด

ไม่แหมือนกับสลากกินแบ่ง ถ้าไม่ได้รางวัล ก็ไม่ได้แม้แต่ต้นทุนในการซื้อฉลากกินแบ่งคืนมา

ต้นทุนเหล่านั้นมีให้กับลูกค้าที่ซื้อเกาลัดครึ่งชั่งไปจนถึงหนึ่งชั่ง โดยส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนใจ หลวมตัวมาซื้อเกาลัดสามชั่งกันทั้งนั้น

ถึงอย่างไรเกาลัดสามชั่งก็จ่ายไม่กี่เหมา จับรางวัลได้ก็เท่ากับกินฟรี

หลินม่ายดำเนินการอย่างลับ ๆ เมื่อมีคนจับรางวัลได้ หลินม่ายรักษาคำพูด แล้วให้ลูกค้าผู้โชคดีคนนั้นกินฟรี

ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความลังเลใจให้แก่ลูกค้ามาซื้อเกาลัดแค่ครึ่งชั่งถึงหนึ่งชั่งไม่น้อย สุดท้ายก็เปลี่ยนใจซื้อเกาลัดสามชั่งกันทั้งหมด สถานการณ์ดำเนินไปด้วยดีอย่างที่หลินม่ายคิดไว้

เกาลัดที่เถียหนิวคั่วไว้ตั้งแต่ที่บ้านถูกขายหมดเกลี้ยงในเวลาหนึ่งชั่วโมง

หลินม่ายอยากรีบขายเกาลัด แม้แต่เวลาจะคั่วก็ไม่มี ลำพังเถียหนิวคั่วคนเดียวคงไม่พอ

หลินม่ายจึงเจียดเวลา วิ่งกลับหมู่บ้าน เสียเงินห้าหยวนจ้างชายฉกรรจ์คนหนึ่งมาคั่วเกาลัดให้เธอ แบบนี้ยังพอคั่วได้ทัน

หนึ่งวันผ่านไป ทั้งสามคนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ขายเกาลัดไปได้ทั้งสิ้นหนึ่งพันสองร้อยชั่ง

หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกาลัดในบ้านมีไม่ถึงหกร้อยชั่งแล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะขายหมด

แม้จะชวนชายฉกรรจ์คนนั้นมาช่วยชั่วคราวและให้ค่าตอบแทนวันละห้าหยวน แต่ยามจ่ายค่าจ้างหลินม่ายกลับให้เพิ่มไปอีกหนึ่งหยวน

ประการแรกคือวันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมาก ประการที่สองให้เพิ่มคนละหนึ่งหยวน เจ้าตัวจะได้รู้สึกว่าเธอใจกว้าง

ชายฉกรรจ์คนนั้นเบิกบานใจ ไม่วายลืมถามว่าพรุ่งนี้หลินม่ายอยากให้เขาช่วยอีกไหม

หลินม่ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เกาลัดมีเหลือไม่เยอะแล้ว พรุ่งนี้เลยไม่มีอะไรต้องทำมากมาย”

ก่อนจะแนะนำเขาว่า “นายมาตั้งแผงคั่วธัญพืชจับรางวัลเหมือนฉันก็ได้ ดีกว่าทำงานรับจ้างอีกนะ?”

ชายฉกรรจ์คนนั้นหัวเราะอย่างซื่อตรงหลายครั้ง “ฉันค้าขายไม่ได้หรอก ฉันมันคนชอบใช้แรงงาน”

หลินม่ายและเถียหนิวกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยคู่หนึ่งจะพากันเดินออกมาเหมือนนกนางแอ่นโผบิน

โต้วโต้วพูดกับหลินม่ายกระตือรือร้น “คุณแม่ คุณย่าหลี่ทำอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงรึ”

หลังจากล้างมือกับก๊อกน้ำในลานกว้างแล้วก็ตรงเข้าบ้าน กระทั่งเห็นอาหารมากกว่าวันปกติวางเรียงราย มีอาหารผัดสี่อย่างและต้มหนึ่งอย่าง ซึ่งปกติมีอาหารแค่สามอย่าง

เดินมาถึงโต๊ะจึงเห็นว่าเป็นเนื้อผัดพริกแห้งและหัวไชเท้าจานใหญ่

แต่เมื่อเห็นเนื้อจานนั้น หลินม่ายก็รู้สึกท้อใจ

ในจานนั้นมีแค่เนื้อแดงไม่กี่ชิ้น ไม่รู้ว่าจะเพียงพอต่อปากใครบ้าง

นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีต้มจืดเต้าหู้หนึ่งชาม ขึ้นฉ่ายผัดไข่หนึ่งจาน ผัดผักกาดขาวหนึ่งจานและผัดเปรี้ยวหวานอีกหนึ่งจาน

ซึ่งขึ้นฉ่ายผัดไข่จานนั้นคงใช้ไข่แค่หนึ่งฟอง ในความเป็นจริงแทบไม่เห็นไข่ไก่ด้วยซ้ำ

แม่เถียหนิวเอ่ยกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “เธอพอใจกับอาหารค่ำมื้อนี้แล้วสินะ”

หลินม่ายยิ้มอย่างจนปัญญา “คุณป้าคงลำบากแย่”

ไม่ได้แสดงออกว่าพอใจเลยสักนิด

ในเมื่อเปลี่ยนความคิดในการบริโภคของแม่เถียหนิวไม่ได้ เธอก็ไม่เปลี่ยนอีก

ถึงอย่างไรเมื่อขายเกาลัดหมด ทุกคนก็ต้องแยกย้าย ทนต่อไปอีกหน่อยจะเป็นไรไป

แม่เถียหนิวไม่ได้ยินคำชมก็ท้อใจ รู้สึกว่าหลินม่ายเอาใจยาก

เนื้อแดงไม่กี่ชิ้น โต้วโต้วและนิวนิวยังไม่พอกินด้วยซ้ำ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่างเข้าใจ จึงไม่มีใครกล้าจับตะเกียบคีบกิน

หลังจากกินไปไม่กี่คำ เถียหนิวก็เอ่ยด้วยความกังวลว่า “ม่ายจื่อ เกาลัดทีเหลืออยู่พรุ่งนี้ขายไม่เท่าไหร่ก็หมดแล้ว ถ้าขายหมดแล้ว เราจะขายอะไรต่อ?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แล้วพวกป้า ๆ ไม่กลับไปเตรียมของสำหรับวันปีใหม่เหรอ?”

แม่เถียหนิวรีบเอ่ย “มีพี่สาวเขาช่วยเตรียมการแล้ว เราไม่ต้องรีบกลับ”

เจตนารมณ์ในคำพูดคือ อยากทำอะไรก็ได้ก่อนปีใหม่

กว่าจึงวันที่สามสิบยังเหลือเวลาอีกเจ็ดแปดวัน ในเมื่อสองแม่ลูกเถียหนิวยังอยากอยู่ทำ อีกสองสามวันนี้หลินม่ายก็จะไม่ขับไล่พวกเขา

“ขายเกาลัดหมดแล้ว ก็ขายมันเทศทอดต่อ”

มีมันเทศเหลืออยู่อีกเยอะพอดี ต่อให้ขายวันละหนึ่งร้อยชั่ง การจะขายถึงวันที่สามสิบต้องมีปริมาณอย่างน้อยหนึ่งพันชั่ง

ในเมื่อรับปากคุณย่าฟางไปแล้ว อย่างไรก็ต้องพาโต้วโต้วกลับไปฉลองปีใหม่กับคุณย่าและคุณปู่ฟางให้ได้

ช่วงฉลองปีใหม่เธอจะไม่อยู่ขายมันเทศ ในเมืองเจียงเฉิงมีสภาพอากาศชื้นแฉะ หากขายมันเทศเหล่านี้ไม่หมดก่อนปีใหม่ เกรงว่าถ้ากลับมาขายหลังปีใหม่คงเน่าไปเกินครึ่ง เสียหายไปมหาศาล

แต่ถ้าจะทอดมันเทศขาย สองสามวันก็น่าจะขายหมด

อีกอย่างการขายมันเทศทอดในเมืองเจียงเฉิงก็สร้างกำไรได้มหาศาล มันเทศชั่งละห้าเฟินถูกทอดขายในราคาชั่งละสองเหมา กำไรที่ได้ไม่น้อยไปกว่าขนมฉาวเมี่ยนวอเลย

สองแม่ลูกเถียหนิวเห็นว่ายังได้ทำงานต่อจึงวางใจ

พวกเขาตั้งใจจะหาเงินกับหลินม่ายให้ได้มากที่สุดก่อนวันปีใหม่ เพื่อเฉลิมฉลองได้อย่างเต็มที่

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ทนเอานะม่ายจื่อ อีกไม่กี่วันก็ได้แยกย้ายจากงูพิษพวกนี้แล้ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 34 ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้หรอก

ไม่ถึงแปดโมงครึ่ง ขนมฉาวเมี่ยนวอก็ถูกขายหมดเกลี้ยงแล้ว ขายหมดเร็วกว่าที่หลินม่ายคาดคิดไว้

ประเด็นคือช่วงเจ็ดโมงครึ่ง ไม่เพียงแต่ผู้โดยสารเรือข้ามฟากที่มาซื้อเท่านั้น ยังมีกลุ่มวัยทำงานและนักเรียนที่ต้องขึ้นเรือข้ามฟาก รวมทั้งชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงต่างแห่กันเข้ามาซื้อไม่น้อย ดังนั้นจึงขายหมดอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายเก็บของเตรียมตัวกลับบ้าน ระหว่างทางเจอกับเถียหนิวที่มารับเธอ

ทั้งสองคนกลับบ้านด้วยกัน รีบยัดอาหารเช้า ก่อนจะตรงมาขายเกาลัดในท่าเรือด้วยกัน

ราคาเกาลัดเพิ่มขึ้นหนึ่งเหมาได้สร้างผลกระทบต่อผู้บริโภค กระทั่งขายมาจนถึงห้าโมงเย็นเพิ่งจะขายไปได้สี่ร้อยชั่ง

หลินม่ายไม่อยากขายต่อ เธอลุกขึ้นมาทำงานตั้งแต่ตีห้าหัวรุ่ง จนตอนนี้ทำงานไปแล้วกว่าสิบชั่วโมงแล้ว ร่างกายเริ่มหมดเรี่ยวแรง

แต่ถ้าพรุ่งนี้ยังขายได้มากขนาดนี้ อาจจะสร้างผลกระทบต่อผู้บริโภคเพิ่มขึ้น

เธอตั้งใจว่าจะขายเกาลัดรอบนี้ให้หมดก่อนเทศกาลปีใหม่

เถียหนิวยังอยากขายต่ออีกหน่อย แต่หลินม่ายยืนยันจะเก็บร้าน เขาก็ได้แต่จนปัญญา

เขาเก็บร้านไปพลางบ่นอุบถึงเจ้าของแผงขายคั่วธัญพืชคนอื่นอีกสองสามร้านไปพลาง “เป็นเพราะพวกเขาแย่งธรุกิจของเรา”

หลินม่ายกลับไม่ได้ใส่ใจ

ทุกคนไม่ได้แย่งธุรกิจแบบน่าเกลียดเหมือนกับหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น มีสิทธิ์อะไรไปกล่าวโทษคนอื่น?

อีกอย่างตลาดคั่วธัญพืชในท่าเรือใหญ่ขนาดนั้น เธอเพียงคนเดียวคงบริการได้ไม่ทั่วถึงหรอก ทุกคนคิดว่าการค้าขายของทุกคนไม่สร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้แก่ธุรกิจของเธองั้นเหรอ?

หลังจากเก็บแผงขายแล้วก็ตรงกลับบ้าน แม่เถียหนิวทำอาหารมื้อคำไว้เรียบร้อย

ผ่านไปแล้วสี่ห้าวัน ผักกวางตุ้งที่แม่เถียหนิวนำมาด้วยถูกกินจนเกลี้ยง

อาหารมื้อค่ำคือหัวไชเท้าดองหนึ่งชาม ต้มจืดผักกาดขาวเพิ่มเต้าหู่หนึ่งชาม และมันเทศฝอยผัดหนึ่งชาม ไม่มีอาหารจานอื่นแล้ว

แม้ว่าหลินม่ายจะทำงานหนัก แต่เรื่องอาหารเธอยังอยากกินของอร่อยให้สมกับความเหนื่อย

อีกอย่างเธอให้เงินแม่เถียหนิวไปซื้ออาหาร แต่กลับได้กินอาหารเหล่านี้ทุกวัน เธอสุดจะทน

หลังจากกินข้าวเสร็จ หลินม่ายล้วงธนบัตรใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้แม่เถียหนิว ให้หล่อนนำเงินนี้ไปซื้ออาอาหาร

แม่เถียหนิวโบกมือทั้งสองข้างไปมา “ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอก เงินสิบหยวนที่หนูให้ป้าคราวที่แล้วเพิ่งใช้ไปไม่ถึงสองหยวน ป้ายังมีเงินซื้อกับข้าวอยู่”

หลินม่ายคลี่ยิ้ม “หนูคิดว่าคุณป้าใช้เงินสิบหยวนนั้นไปหมดแล้วนะคะ”

“เป็นไปได้ยังไง! ป้าไปซื้อเต้าหู้ทุกวัน จ่ายไปไม่กี่หยวนเองนะ?”

แม่เถียหนิวกล่าวอย่างภูมิใจ ราวกับอยากให้เชยชมฉันสิ ฉันเป็นแม่บ้านที่ดี

แต่เธอยังคงยัดเงินจำนวนสิบหยวนนี้ให้แม่เถียหนิว “นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปต้องมีเนื้อในทุกมื้ออาหาร ไม่อย่างนั้นร่างกายหนูทรุดแน่ค่ะ”

แม่เถียหนิวตอบรับ แต่กลับแบะปากอยู่เงียบ ๆ ในใจ สาวน้อยคนนี้ช่างตะกละเกินไปแล้ว อยากกินของอร่อย แค่กินอิ่มก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?

หลังจากกินมื้อค่ำเสร็จ หลินม่ายก็ออกไปเทียวหายืมกล่องกระดาษและพวกอุปกรณ์เขียนพู่กันจากเพื่อนบ้านกลับมา

แม่เถียหนิวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ม่ายจื่อ เธอจะยืมของพวกนี้ไปทำไม?”

หลินม่ายตอบอย่างคลุมเครือ “ใช้งานค่ะ” กล่าวจบ ก็ตรงกลับห้อง

แม่เถียหนิวไม่พอใจอยู่ในใจ รู้ว่าเธอนำไปใช้งาน แต่งานอะไรก็ไม่บอก

หลินม่ายไม่ยอมบอก หล่อนก็ไม่ซักไซ้ถามต่อ

โต้วโต้วตามเข้าไปดูในห้องด้วย แต่ถูกหลินม่ายขวางทางไว้ “ไปเล่นกับนิวนิวไป อย่ามากวนงานแม่”

โต้วโต้วหมุนตัวออกไปเล่นกับนิวนิวอย่างเชื่อฟัง

หลินม่ายปิดประตูตายจากด้านใน ก่อนจะนั่งลงหน้าโต๊ะตัวเก่าและเริ่มเขียนโครงร่าง

ซึ่งโครงร่างนี้คือการเขียนรายงาน ประเด็นคือการได้เห็นมุมมองสะท้อนในตอนที่เธอไปซื้ออาหารบำรุงและเสื้อขนสัตว์ในห้างสรรพสินค้าวันนั้น แม้ว่าพนักงานขายจะมีสีหน้าไม่รับแขก พูดจาไม่น่าฟังก็ตาม

แต่ถึงอย่างไรก็เป็นนักเรียนหัวกะทิที่จบมัธยมต้นมาด้วยคะแนนโดดเด่น…แค่ก แค่ก แม้ว่าจะเป็นเรื่องในชาติที่แล้ว แต่เรื่องในการเขียนนั้นยังอยู่

หลินม่ายบรรยายเรื่องราวในอดีต  สาธยายฝีปากอันน่าเกลียดของพนักงานขายทั้งสองคนนั้นถูกวาดออกมาอย่างเข้าใจถ่องแท้

สุดท้ายหลินม่ายก็ทิ้งท้ายประโยคว่า ‘ประเทศทุนนิยม พนักงานขายต้องปฏิบัติต่อลูกค้าด้วยความกรุณา’

ในประเทศทุนนิยมของเรากลับมีพนักงานที่ดูถูกชาวนาอาศัยอยู่ แบบนี้ไม่เป็นการดึงดูดความขัดแย้งมาสู่สังวคมหรอกเหรอ?

แนวโน้มที่ไม่ยุติธรรมหากไม่ได้รับการควบคุมย่อมไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศอย่างแน่นอน

โดยสรุปแล้ว เขียนตามผลลัพธ์ที่จะตามมาอย่างจริงจัง

หลังจากเขียนเสร็จก็วางไว้ด้านข้าง จากนั้นก็เริ่มเขียนจดหมายรายงานพฤติกรรมให้แก่กระทรวงการศึกษา รายงานว่าหลินเพ่ยแอบอ้างชื่อตนเข้าเรียนมัธยม

แรกเริ่มเธอตั้งใจว่าจะไปรายงานถึงโรงเรียนที่หลินเพ่ยเรียนอยู่โดยตรง แต่เจียดเวลาไปไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเขียนรายงานดีที่สุด

หลังจากเขียนรายงานเสร็จแล้ว ก็รวบรวมบทความไว้ด้วยกัน เก็บใส่กระเป๋าเสื้อขนเป็ดที่ใส่ ตั้งใจว่าจะหาเวลาไปส่งไปรษณีย์พรุ่งนี้

จดหมายทั้งสองฉบับนี้ถูกเขียนขึ้นลับหลังสองแม่ลูกเถียหนิว เพราะกลัวว่าแม่เถียหนิวจะปากเปราะ บอกคนอื่น แต่เถียหนิวเธอกลับไม่ได้ป้องกันเป็นพิเศษขนาดนั้น

ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำกระดาษแผ่นเล็กนั้นมาพับเป็นกล่องกระดาษ หลินม่ายจึงหยิบกล่องกระดาษนั้นออกมา

แม่เถียหนิวไม่รู้ตัวหนังสือ ได้แต่จ้องซองจดหมายในมือของเธอพลามเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ว่า “หนูจะทำอะไร?”

“กล่องกระดาษค่ะ” หลินม่ายอธิบายต่อว่า “เป็นกล่องกระดาษที่ทำขึ้นเพื่อใส่ฉลากจับรางวัล ลูกค้าที่ซื้อเกาลัดคั่วตั้งแต่สามชั่งขึ้นไปจะได้ร่วมจับรางวัล ถ้าจับได้ จะได้กินฟรี แบบนี้เกาลัดของเราจะได้ขายหมดเร็ว”

แม่เถียหนิวเอ่ยด้วยความสงสัย “วิธีการนี้จะได้ผลเหรอ? ถ้าฉลากที่มีรางวัลถูกจับได้เร็ว เกาลัดหลังจากนั้นจะขายออกเหรอ?”

“หนูจะชี้แจงล่วงหน้าว่ารางวัลนั้นถูกเฉลี่ยออกเป็นหนึ่งต่อสิบ ในสิบคนนั้นจะมีคนจับได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ฉลากรางวัลไม่มีทางถูกจับได้เร็วขนาดนั้น ฉันจะไส่กระดาษที่มีรางวัลหนึ่งใบเข้าไปหลังจากถูกจับไปแล้วสิบคน ถอยหลังหนึ่งก้าว ต่อให้ฉลากที่มีรางวัลถูกจับได้เร็ว ก็ไม่มีทางสร้างผลกระทบต่อการขายเกาลัดหลังจากนั้นแน่นอน แค่อาจจะขายช้าไปเท่านั้น ถึงอย่างไรก่อนหน้านั้นก็ไม่มีรางวัล ซื้อเกาลัดไปก็ต้องจ่ายเงิน มีโอกาสได้จับฉลากกินฟรีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

ความกังวลของเถียหนิวคือกลัวว่าการจับฉลากจะไม่ได้กำไร ถ้าได้กำไรต่ำลง ไม่สู้ชายชั่งละสี่เหมาก็จบ

“ไม่มีทางค่ะ” หลิวม่ายอธิบาย “แม้ว่าเราจะประกาศออกไปว่ามีหนึ่งในสิบคนที่จะได้รางวัล แต่ในความเป็นจริงกลับมีโอกาสหนึ่งในยี่สิบคนเสียด้วยซ้ำ พี่เข้าใจความหมายของหนูไหม?”

เถียหนิวครุ่นคิด ก่อนพยักหน้า “ฉันเข้าใจ นี่มันนักต้มตุ๋นเลยนะ”

หลินม่ายยิ้มอย่างจนปัญญา “นี่ไม่ได้เรียกว่านักต้มตุ๋น กิจกรรมจับรางวัลในสมัยนี้ก็เป็นแบบนี้ ในยี่สิบคนจะมีคนได้กินฟรีแค่หนึ่งคน เท่ากับว่าชั่งละสี่เหมาเจ็ดเฟิน แม้ว่ากำไรจะสู้ราคาชั่งละห้าเหมาไม่ได้ แต่ก็สูงกว่าราค่าสี่เหมา”

เมื่อเถียหนิวเข้าใจแล้วหลินม่ายก็ให้เขาและแม่เถียหนิวทำงานล่วงเวลา ขนเกาลัดกว่าร้อยชั่งออกมากะเทาเปลือกตั้งแต่คืนนั้น เพื่อรับมือกับการจับฉลากในวันพรุ่งนี้ที่นำมาซึ่งยอดขายของเกาลัดที่พุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็คืนกระดาษและพู่กันแก่เพื่อนบ้าน หลินม่ายอาบน้ำเข้านอน พรุ่งนี้ยังต้องตื่นเช้ามาทำขนมฉาวเมี่ยนวออีก

สองแม่ลูกเถียหนิวกระเทาะเกาลัดเสร็จ ก็อาบน้ำเข้านอน

พรุ่งนี้พวกเขาต้องตื่นเช้า เพื่อเตรียมร้านในวันพรุ่งนี้

เถียหนิวล้างเท้าในห้องตัวเอง เมื่อล้างเสร็จ ก็เห็นแม่ของตนออกแรงผลักประตูห้องของสองแม่ลูกหลินม่าย จึงเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “แม่ แม่จะทำอะไร?”

แม่เถียหนิวย่องมาข้างกายเขา แล้วเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ “ห้องของม่ายจื่อถูกล็อกจากข้างใน แกเปิดจากข้างนอกได้ไหม?”

“ผมไม่ใช่โจร จะเปิดล็อกได้ไง?” เถียหนิวเอ่ยถามอย่างสงสัย “แม่ แล้วทำไมแม่ต้องเข้าไปในห้องของม่ายจื่อด้วย?”

แม่เถียหนิวจ้องเขม็งไปยังเขาครู่หนึ่ง แล้วกระซิบข้างหูเขาสองสามประโยค

เถียหนิวมีสีหน้าถอดสี “แม่ !แม่กำลังหลอกผม!ให้ผมแอบงัดห้องของม่ายจื่อ แม่รู้ไหมว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคือหลินม่ายอาจแจ้งความได้นะ แม่อยากกินลูกปืนเหรอ !”

“นี่เพราะแกไม่เหมาะสมกับม่ายจื่อ ฉันถึงต้องหาวิธีการนี่ไง ฉันไปหลอกลวงแกตรงไหนไม่ทราบ?” แม่เถียหนิวเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทำไมแกถึงได้ขี้ขลาดขนาดนั้น เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ม่ายจือกล้าแจ้งตำรวจเหรอ? หล่อนไม่กลัวเสียชื่อรึไง?”

เถียหนิวโกรธจนพูดไม่ออก “ให้เข้าหาม่ายจื่อเหรอ? ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้ แม่อย่าทำอะไรแบบนี้เลย”

กล่าวจบก็ล้างเท้ากลับห้องด้วยสีหน้าถมึงทึง

แม่เถียหนิวไม่พอใจ จนสุดท้ายก็กลับห้องนอนไป

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อะไรของป้าคะเนี่ย ถึงขนาดจะให้ลูกชายงัดห้องคนอื่นเขา

คุกนะคะ คุก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 33 แม่เถียหนิวถามราคาบ้าน

หลินม่ายรีบตรงกลับบ้าน วางของที่ซื้อมาไว้ในห้องของตัวเอง จากนั้นก็วิ่งปรี่ไปยังท่าเรือเยวี่ยฮั่นอย่างไม่หยุดพัก

แม่เถียหนิวเห็นหลินม่ายแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เธอกลับมาแล้ว วันนี้จู่ ๆ ก็มีร้านขายธัญพืชคั่วผุดขึ้นมาหลายร้าน เล่นงานจนกิจการของเราเงียบเหงาไปเลย”

วันนี้พวกนางสองแม่ลูกเปิดร้านมาได้เกินครึ่งวันก็ยกเลิกความคิดที่จะแยกตัวออกไปเปิดร้านของตัวเองโดยสิ้นเชิง

อย่าว่าแต่ความเฉลียวฉลาดของชาวเมืองที่รับมือได้ยากแล้ว เจอคนซื้อเยอะเข้าหน่อย พวกเขายังทำไม่ได้แม้แต่จะคิดเงิน เรื่องค้าขายคงไม่เหมาะกับพวกเขาแล้ว

แต่แม่เถียหนิวใช้ชีวิตโดยไม่เสียชาติเกิด นางพูดความจริงกับหลินม่ายไม่ได้ แบบนั้นเท่ากับว่าพวกเขาสองแม่ลูกไร้ความสามารถอย่างชัดเจน จึงทำเพียงผลักภาระไปให้คนรอบข้าง

โชคดีที่วันนี้มีร้านขายธัญพืชคั่วผุดออกมามากมาย ไม่อย่างนั้นนางคงปัดความรับผิดชอบนี้ไม่ได้

หลินม่ายยิ้มโดยไม่พูดสิ่งใด เปลี่ยนหน้าที่กับแม่เถียหนิวแทน

เธอเริ่มตะโกนโหวกเหวกในพื้นที่แห่งนี้ “เกาลัดคั่วจ้ะ เกาลัดหอม ๆ หวาน ๆ ชั่งละห้าเหมาจ้ะ”

สองแม่ลูกเถียหนิวยืนอึ้งไปชั่วขณะ “ม่ายจื่อ ชั่งละสี่เหมาก็ยังขายไม่ออกเลยนะ มาขายชั่งละห้าเหมา จะมีคนซื้อเหรอ?”

หลินม่ายคันปากอยากพูดมากว่าถึงพวกคุณขายไม่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะขายไม่ได้

เธอยิ้ม “ลองดูน่ะค่ะ”

ลูกค้าประจำคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมเกาลัดพวกเธอยิ่งขายยิ่งแพง?”

หลินม่ายเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “เธอคิดว่าฉันอยากขึ้นราคาเหรอ ราคาเกาลัดดิบต่างก็เพิ่มสูงขึ้นทั้งนั้น ฉันก็แค่เพิ่มราคาตาม และต่อให้ราคาเกาลัดดิบจะเพิ่มขึ้น แต่ก็รับมาได้ไม่เยอะ วันนี้แย่งมาได้ไม่ถึงสองพันชั่ง แล้วไอ้จำนวนสองพันชั่งนี่ก็ไม่รู้จะขายได้กี่วันด้วย”

ลูกค้าประจำคนนั้นมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ครุ่นคิด แต่ไม่ซื้อ

เดินออกไประยะหนึ่งแล้วก็วกหัวกลับมาอีกครั้ง ซื้อเกาลัดไปครึ่งชั่ง พลางพูดแก้หน้าว่า “ฉันน่ะชอบกินเกาลัดร้านเธอที่สุดแล้ว ไม่ซื้อก็เสียดาย”

หลินม่ายตอบ ‘อื้อ ๆ ’ สองเสียง แต่กลับไม่ได้โน้มน้าวให้หล่อนซื้อเพิ่ม ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อเพิ่มไปอีกหน่อยแล้ว

ลูกค้าที่มาซื้อเกาลัดคนนั้น เดินพลางหันกลับมามองหลินม่าย

พร้อมกับครุ่นคิดในใจ ‘หรือว่าที่ร้านนี้พูดจะเป็นความจริง เกาลัดหล่อนเหลือไม่เยอะแล้ว ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่หมด กังวลว่าจะขายไม่พอ เลยไม่ได้โน้มน้าวให้ซื้อเยอะขึ้น’

เมื่อลูกค้าคนนั้นเดินจากไป หลินม่ายก็ยื่นเงินให้แม่เถียหนิว ให้หล่อนช่วยไปซื้อกระทะใบเล็ก ทัพพีเหล็กสำหรับทอดขนมฉาวเมี่ยนวอ แล้วก็ตะแกรงสแตนเลสสสะเด็ดน้ำมันในตลาดมืด พรุ่งนี้เธอจะทอดขนมฉาวเมี่ยนวอขาย

ทั้งยังกำชับหล่อนอีกว่า ถ้าซื้อของเหล่านี้ไม่ได้ ให้เรียกหญิงสาวในหมู่บ้านไปเป็นเพื่อนหล่อน

แม่เถียหนิวรับเงินจากไป

ตกบ่ายประมาณสี่โมงเศษ คุณปู่ฟางก็นั่งรถแทรกเตอร์มาส่งของ

หลินม่ายจึงนำของบำรุงที่ซื้อให้เขากับคุณย่าฟางรวมทั้งเสื้อขนสัตว์ฝากไปกับเขาด้วย 

คุณปู่ฟางบ่นอุบอิบ “เธอจะสิ้นเปลืองทำไม เธอยัง….”

สามคำที่ว่า ‘ต้องซื้อบ้าน’ สุดท้ายเขาไม่ได้โพล่งออกมา เพราะยังมีคนอื่นร่วมอยู่ด้วย

วันนี้สองแม่ลูกเถียหนิวทำการค้าค่อนข้างถ่วงแข้งถ่วงขา หลินม่ายขายเกาลัดที่เหลือจำนวนแค่สี่ร้อยกว่าชั่งจนถึงสองทุ่มก็เก็บร้าน

โชคดีที่เกาลัดที่เหลือนั้นมีไม่มากนัก เพราะเหตุนี้หลินม่ายจึงไม่ค่อยร้อนใจ

ตกค่ำเก็บของกลับบ้าน แม่เถียหนิวได้จัดการส่งเด็กน้อยเข้านอนแล้ว ตัวหล่อนนั่งกะเทาะเปลือกเกาลัดอยู่ใต้แสงไฟ

ก่อนจะเอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อยว่า “ม่ายจื่อ เธอรีบซื้อมันเทศมากมายขนาดนี้ไปทำไม?”

“ทำขนมฉาวเมี่ยนวอขายค่ะ”

“ขนมฉาวเมี่ยนวอคืออะไร?” แม่เถียหนิวเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

ขนมฉาวเมี่ยนวอเป็นขนมกินเล่นของเมืองเจียงเฉิง แม้เมืองซื่อเหม่ยจะอยู่ห่างเมืองเจียงเฉิงไม่ไกลลัก แต่ก็ไม่มีขนมชนิดนี้ให้เห็น ดังนั้นนางจึงไม่รู้จัก

หลินม่ายอธิบายคร่าว ๆ จากนั้นก็ไปล้างทำความสะอาดมันเทศ เพื่อเตรียมไว้สำหรับทำขนมฉาวเมี่ยนวอในวันพรุ่งนี้

แม่เถียหนิวให้เถียหนิวกะเทาะเปลือกเกลัด ส่วนนางกับหลินม่ายช่วยกันล้างทำความสะอาดมันเทศ

ขนมฉาวเมี่ยนวอหนึ่งชิ้นต้องใช้มันเทศประมาณสองลูก หลินม่ายตั้งใจว่าจะขายให้กับกลุ่มวัยทำงานที่ต้องเดินทางไปทำงานด้วยเรือข้ามฟากในตอนเช้า ดังนั้นจึงวางแผนไว้ว่าจะขายมันเทศแค่หนึ่งร้อยชั่งเท่านั้น

ขนมฉาวเมี่ยนวอต้องใช้มันเทศที่ปอกเปลือกแล้ว

มันเทศหนึ่งร้อยชั่งหลังจากปอกเปลือกแล้วเหลือน้ำหนักเพียงแปดสิบชั่งเท่านั้น น่าจะพอทอดขนมฉาวเมี่ยนวอได้ประมาณสี่ร้อยชิ้น

เมื่อถึงเช้าตรู่ ขนมฉาวเมี่ยนวอจำนวนสี่ร้อยชิ้นน่าจะขายหมดอย่างง่ายดาย

แม่เถียหนิวล้างมันเทศพลางถามว่า “ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกัน ว่าเธอซื้อบ้านหลังนี้ เรื่องจริงไหมจ๊ะ?”

ในเมื่อรู้กันแล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

หลินม่ายเอ่ยว่า “ไม่ได้ซื้อจ๊ะ แค่เซ็นสัญญากับเจ้าของบ้านไว้ ถ้าฉันไม่จ่ายเงินตามกำหนด บ้านหลังนี้จะตกเป็นของเจ้าของเหมือนเดิม”

แม่เถียหนิวตั้งใจซักถามถึงต้นตอ “แล้วบ้านหลังนี้ราคาเท่าไหร่?”

หลินม่ายกัดฟันตอบกลับ “คุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางยังไม่เคยถามถึงเรื่องนี้เลยนะคะ”

แม่เถียหนิวยิ้มอย่างลำบากใจ แต่ในใจกลับคิดว่าหลินม่ายจะต้องจ่ายเงินซื้อบ้านหลังนี้จนครบแล้วแน่นอน ไม่อย่างนั้นคนในหมู่บ้านจะเที่ยวพูดว่าบ้านหลังนี้เป็นของเธอทำไม

แต่เธอกลับปิดบังนาง จึงบังเกิดอุบายลึก ๆ ในใจ

นางเกิดความกังวลลึก ๆ ในใจ  หลินม่ายซื้อบ้านในเมืองแล้ว คาดว่าคงยากจะตกหลุมรักลูกชายจอมโง่เขลาของนางแล้ว

เมื่อถึงตอนตีห้าในวันรุ่งขึ้น หลินม่ายก็ตื่นนอนแล้ว ก่อนจะเดินย่องให้เบาที่สุดไปยังห้องครัว

เธอนำมันเทศที่ล้างจนสะอาดแล้วเมื่อคืนมาปอกเปลือกอีกห้าสิบชั่ง หั่นเป็นลูกเต๋า ใส่เครื่องปรุงเตรียมไว้

จากนั้นก็นำอุปกรณ์สำหรับไว้ขายขนมฉาวเมี่ยนวอขนขึ้นรถเข็น แล้วแอบไปเปิดแผงขายที่ท่าเรือเพียงลำพัง

เวลาประมาณหกโมงเศษก็มาถึงท่าเรือแล้ว นอกจากพนักงานทำความสะอาด ก็แทบไม่เห็นใครเลย

แต่หลินม่ายรู้ดี รอให้เรือข้ามฟากเที่ยวแรกตอนหกโมงมาถึงท่าเรือ เหล่าผู้โดยสารต่างต้องลงเรือ ท่าเรือแห่งนี้ก็จะเริ่มคึกคัก

หลินม่ายรีบทำเวลาในการเตรียมตัว ในตอนที่ผู้โดยสารกลุ่มแรกต้องลงเรือเธอก็ทอดขนมฉาวเมี่ยนวอไปได้หลายชิ้นแล้ว

กลิ่นหอมของน้ำมันพืชอวลกระจาย หลังจากที่ทอดจนร้อนแล้วมันก็ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง

ประกอบกับในตอนที่ยกขนมฉาวเมี่ยนวอสะเด็ดน้ำมันขึ้นมา มันก็ส่งกลิ่นหอมหวานเย้ายวนชวนน้ำลายสอ ดึงดูดกลุ่มคนวัยทำงานที่กำลังหิวเข้ามาไม่น้อย

ซึ่งโดยส่วนใหญ่ที่พุ่งตัวเข้ามาคือวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน วัยรุ่นเหล่านี้ยังไม่มีภาระต้องดูแลครอบครัว ความกดดันน้อย ดังนั้นจึงตัดใจซื้อกินอย่างง่ายดาย

วัยรุ่นเหล่านั้นได้รุดหน้าเข้ามาเอ่ยถามยังแผงขายของหลินม่ายว่า “ขนมฉาวเมี่ยนวอชิ้นละเท่าไหร่?”

“ชิ้นล่ะหนึ่งเหมาจ้ะ ไม่ต้องใช้คูปองธัญพิชด้วย”

ขนมฉาวเมี่ยนวอนั้นอมน้ำมันมาก ชิ้นละหนึ่งเหมาไม่ถือว่าแพง 

เด็กสาวผู้ไม่ค่อยกินข้าวซื้อหนึ่งชิ้นก็ถือว่ากำลังดี ส่วนเด็กผู้ชายที่กินข้าวเป็นกะละมังเห็นจะได้ซื้อมากสุดสามชิ้นก็อิ่มแล้ว

ยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นขนมฉาวเมี่ยนวอหรือปาท่องโก๋ ล้วนแต่มีกันเกลื่อนกลาดกว่าสิบปีก่อน

สิ่งสำคัญเลยคือการไม่ใช่คูปองธัญพืช

คนในเมืองไม่ค่อยได้ใช้คูปองธัญพืช แต่กลับใช้เงินเป็นปัจจัยหลัก 

การไม่รับคูปองนั้นหมายความว่าไม่เอาเปรียบผู้อื่น ขนมฉาวเมี่ยววอของหลินม่ายมีแค่เงินก็ซื้อได้

ขนมฉาวเมี่ยนวอที่ทอดเสร็จแล้วหลานสิบชิ้นถูกขายจนหมดเกลี้ยงในเวลาไม่ถึงสองนาที คนที่มาช้าทำได้แค่ต้องรอ

หลังจากที่ผู้โดยสารกลุ่มแรกสลายตัวไป หลินม่ายได้ขายขนมฉาวเมี่ยววอไปแล้วหกสิบชิ้น

ทิ้งระยะห่างจากเรือข้ามฟากเที่ยวละยี่สิบนาที หนึ่งชั่วโมงมีสามรอบ สามรอบก็น่าจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอได้เกือบสองร้อยชั่ง

จากหกโมงเช้าถึงแปดโมงเช้า ขายไปแล้วประมาณสี่ร้อยชั่ง เมื่อขายขนมฉาวเมี่ยนวอจำนวนหนึ่งร้อยชั่งหมด ก็เปิดร้านขายเกาลัดต่อ สมบูรณ์แบบ!

เวลาล่วงเลยมาถึงเจ็ดโมงเศษ แม่เถียหนิวพาสองจิ๋วกินข้าวจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ยกมันเทศหนึ่งถาดใหญ่มา นี่คือมันเทศที่หลินม่ายได้มอบหมายให้นางทำเมื่อคืน

แม่เถียหนิวบ่นอุบที่หลินม่ายไม่ปลุกนางมาช่วย

แต่เมื่อเห็นสองจิ๋วจ้องมองขนมฉาวเมี่ยนวอที่วางอยู่บนตะแกรงสะเด็ดน้ำมันด้วยความอยากกระหาย จึงหยิบให้คนละชิ้น กรำชับพวกเขาระวัง เดี๋ยวจะลวกมือ

แล้วก็เอ่ยกับแม่เถียหนิว่า “เสร็จเรื่องแล้ว พี่เถียหนิวช่วยฉันคั่วเกาลัดขาย ส่วนคุณป้าก็ช่วยจัดการงานบ้านและกะเทาะเปลือกเกาลัด เพิ่มงานให้คุณป้ามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”

แม่เถียหนิวเอ่ย “คนกันเองทั้งนั้น จะอะไรนักหนา?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เพราะคนกันเองนี่แหละค่ะ ถึงเอาเปรียบกันไม่ได้”

แม่เถียหนิวยื่นอาหารเช้าที่นำมาให้แก่หลินม่าย ให้เธอรีบกินตอนร้อน ๆ 

หลินม่ายส่ายหน้า “ไม่มีเวลากินแล้ว ประเดี๋ยวขายเสร็จค่อยกินขนมฉาวเมี่ยนวอก็แล้วกัน”

แม่เถียหนิวทำได้แต่เก็บข้าวกล่อง และพาสองจิ๋วกลับบ้าน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ขนาดปู่ย่ายังไม่ถามมากขนาดนี้เลย แล้วป้าเป็นใครคะ ทำใจเถอะ ม่ายจื่อไม่มองลูกป้าแน่นอน

ขายขนมไปด้วยขายเกาลัดไปด้วยท่าจะรุ่งนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 32 พนักงานขายที่ใช้สายตาดูถูกคนอื่น

หลินม่ายพยักหน้ายอมรับ “แต่พี่สาวต้องนับจำนวนคูปองเหล่านั้นต่อหน้าฉันก่อน ฉันถึงจะจ่ายเงินให้พี่ เกิดพี่ให้คูปองฉันไม่ครบขึ้นมาจะทำยังไง?”

“ใครจะไปโกหกเด็กบ้านนอกคอกนาอย่างเธอเล่า?” พนักงานบ่นอุบอย่างดูถูก ทว่ายังทำตามที่เธอบอก ด้วยการหยิบคูปองอาหารสิบใบออกมา แล้วนับจำนวนต่อหน้าเธอ

หลินม่ายจึงวางใจ หยิบธนบัตรในมือยื่นให้หล่อนอีกครั้ง

พนักงานคนนั้นจึงยื่นคูปองจำนวนสิบใบนั้นให้เธอ

หลินม่ายอาศัยการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว ยื่นมือข้างหนึ่งไปชิงคูปองสิบใบเหล่านั้น ส่วนมือที่ถือธนบัตรอีกด้านก็รีบดึงกลับมา จากนั้นก็ยัดคูปองทั้งสิบใบใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว

ไม่ทันรอให้พนักงานคนนั้นได้สติกลับมา เธอเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปปะปนในฝูงชนเรียบร้อย

พนักงานคนนั้นได้สติกลับมาหลังจากนั้นสองสามวินาที ก่อนจะโกรธจนสีหน้าถมึงทึง

หล่อนไล่ตามหลินม่ายไป พลางเอ่ยเสียงต่ำด้วยความเกลียดชัง “คืนเงินฉันเดี๋ยวนี้ ไม่ก็คืนคูปองฉันมา  ไม่อย่างนั้นเธอกับฉันได้เห็นดีกันแน่!”

หลินม่ายชำเลืองมองหล่อนด้วยสายตาเย็นชา “ฉันชักอยากเห็นแล้วสิว่าพี่สาวจะทำให้ฉันเห็นดียังไง แต่ถ้าพี่สาวทำให้ฉันลำบากใจ ฉันจะป่าวประกาศว่าพี่ขายคูปองให้ฉัน ดูสิว่าพี่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ไหม”

แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในยุค 80 การขายคูปองไม่ได้มีการโจมตีอย่างรุนแรงเหมือนแต่ก่อน ถ้าโดนจับได้ก็โยนเข้าคุกอย่างเดียว  สมัยนี้เน้นการวิจารณ์การศึกษาเป็นหลัก

แต่ปัญหาคือ ในฐานะที่เป็นพนักงานในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผลของการซื้อขายคูปองนั้นไม่น้อยไปกว่าการฝ่าฝืนกฎหมาย นั่นคือถูกไล่ออกสถานเดียว

พนักงานคนนั้นจึงโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พลางกัดฟันพูดว่า “เธอมันร้ายกาจ!”

“ฉันไม่ได้ร้ายกาจ” หลินม่ายล้วงเงินสามหยวนออกมาวางบนฝ่ามือของหล่อน “คูปองพวกนี้มีค่าแค่ไม่กี่หยวน คิดว่าฉันเป็นแกะโง่เหรอ ฝันไปเถอะ อีกเรื่อง ต่อไปพี่สาวอย่าเที่ยวใช้สายตาแบบนั้นดูถูกคนอื่นอีก ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะเมตตาเหมือนกับฉัน เป็นแค่พนักงานขาย ไม่ใช่ผู้นำประเทศ ต้องอวดดีขนาดนี้เลยเหรอ?”

แม้ว่าพนักงานขายคนนั้นจะน่ารังเกียจ แต่แค่ได้สอนให้เป็นบทเรียนก็ยังดี ไม่ต้องมีความเคียดแค้นต่อกัน

กระทำสิ่งใดต้องเหลือทางไว้บ้าง วันหน้าคงได้พบกัน ดังนั้นเธอจึงทิ้งเงินจำนวนสามหยวนให้หล่อน คิดเสียว่าซื้อคูปองอาหารของหล่อนตามราคาในตลาดมืด

พนักงานขายคนนั้นจึงไม่ได้ไล่ตามหลินม่ายอีก แต่มองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาต 

จะเกลียดก็เกลียดไม่ลง จะชอบก็ชอบไม่ได้ กลัวว่ามันจะกลายเป็นความจริง

พวกชาวบ้านในสมัยนี้ช่างร้ายกาจนัก!

หลินม่ายกลับมายังเคาน์เตอร์ขายอาหารบำรุง แล้วซื้อนมผงสองกระป๋องและน้ำผึ้งสองขวดรวมทั้งลำไยอีกสองชั่งกับพนักงานขายอีกคน

ทว่ากลับรู้สึกเหมือนมีคนกำลังจ้องมองอยู่ หลินม่ายมองออกไปอย่างระแวดระวัง จนเห็นชายร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งท่ามกลางผู้คนที่กำลังพลุกพล่านส่งยิ้มมาให้เธอ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป

รอยยิ้มนี้ได้สร้างความประหลาดใจให้หลินม่ายไม่น้อย

แต่เธอไม่ได้คิดมาก เดินตรงไปยังโซนเสื้อผ้าชั้นสอง ตั้งใจจะซื้อเสื้อขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวให้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางคนละตัว

ยุคสมัยนี้ เสื้อขนสัตว์สำหรับฤดูหนาวเป็นเสื้อที่มีระดับ และกลายเป็นสินค้าที่ผู้คนทั่วทั้งประเทศต้องการภายในไม่กี่ปี

ก่อนหน้านั้นต้องประสบกับปัญหาส่งออกต่างประเทศ แต่คนซื้อกลับมีไม่น้อย เศรษฐีเมืองเจียงเฉิงต่างรวมตัวกันมาซื้อเสื้อผ้ากันที่นี่

ประมาณว่าที่แห่งนี้เป็นห้างสรรพสินค้าเจ้าแรกที่มีการแขวนเสื้อผ้าเรียงรายให้ลูกค้าได้เร่เข้ามาเลือก

ไม่เหมือนกับห้างสรรพสินค้าที่อื่นที่ยังถูกแขวนอยู่ในตู้ ลูกค้าถูกใจตัวไหนก็ให้พนักงานช่วยหยิบออกมาให้

ดังนั้นการซื้อเสื้อผ้าจึงมีอิสระในการซื้อมากกว่าสินค้าจำพวกของบำรุง แม้ว่าพนักงานขายจะมีสีหน้าทมึง แต่ไม่ต้องพูดกับหล่อน

เมื่อเลือกเสื้อผ้าได้แล้ว แค่ยื่นคูปองก็เป็นอันเสร็จ

หลินม่ายได้ซื้อเสื้อขนสัตว์สำหรับหน้าหนาวและซักง่ายให้กับสองปู่ย่า 

เธอซื้อเสื้อขนสัตว์สีน้ำเงินให้คุณปู่ฟาง และซื้อเสื้อสีแดงลูกพุทราให้คุณย่าฟาง

หลังจากเลือกได้แล้ว ก็ให้พนักงานทำการห่อและออกใบเสร็จ

พนักงานขายคนนั้นมองพิจารณาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าของเธออยู่นาน จนเอ่ยถามว่า “จะซื้อจริง ๆ เหรอ?”

หลินม่ายหมดความอดทน พนักงานขายเมื่อครู่คนนั้นก็มองเธอด้วยสายตาดูถูก พนักงานคนนี้ก็ยังใช้สายตานี้กับเธออีก

จึงตะโกนเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันบอกว่าจะซื้อ เธอยังจะถามอีกเหรอว่าฉันจะซื้อหรือไม่ซื้อ เธอโง่รึเปล่า ถ้าสมองมีปัญหานักก็ไปหาหมอให้หมอตรวจหน่อยไหม”

พนักงานขายในยุคสมัยนี้ชักหยิ่งยโสมากขึ้นทุกที เห็นคนบ้านนอกหน่อยไม่ได้ริอยากท้าทายตน เหมือนไม่ไว้หน้ากัน สีหน้าจึงดูไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม

“ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูความจนของตัวเองบ้าง แค่บอกว่าตัวเองจะซื้อได้ คุยโวราวกับไม่ต้องเสียภาษีอย่างนั้นแหละ?”

“ฉันเนี่ยนะจน? เธอมีเงินงั้นสิ? ถ้าเธอมีเงินแล้วทำไมถึงมายืนขายงก ๆ ที่นี่ละ? ต้องนอนสันหลังยาวมีคนรับใช้สิถึงจะถูก!”

ภาษาจีนนั้นกว้างขวางและลึกซึ้งมาก คำว่า “ขาย” ของหลินม่ายทำให้ลูกค้ารอบตัวที่เข้ามามุงดูไม่น้อยพากันหัวเราะร่วน

สีหน้าของพนักงานขายคนนั้นดูแย่ลงยิ่งกว่าเดิม เริ่มปะทะคารมกับหลินม่ายจนยิบตา ดึงดูดสายตาของแผนกอื่น

การกระทำนี้ดึงดูดผู้จัดการข่งให้เบียดเสียดฝ่าวงล้อมเข้ามา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น?”

พนักงานขายคนนั้นชี้ไปทางหลินม่ายแล้วฟ้องอย่างน่ารังเกียจ “เธอดูถูกคนอื่น”

หลินม่ายเอ่ยถามอย่างไม่ยอมแพ้ “ฉันไปดูถูกเธอตอนไหนไม่ทราบ?”

พนักงานขายไม่มองเธอ แต่กลับฟ้องผู้จัดการข่งต่อว่า “เธอบอกว่าฉันมองด้วยสายตาดูถูก!”

หลินม่ายหัวเราะเยาะเย็นชา “ก็ฉันพูดความจริง แล้วทำไมกลับกลายเป็นฉันที่ดูถูกเธอได้! ไม่ใช่เพราะเธอดูถูกคนบ้านนอกก่อนเหรอ คิดว่าฉันซื้อของเหล่านี้ไม่ได้!”

เธอหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋า “มาสิ อธิบายหน่อยว่าเป็นเงินปลอมหรือเปล่า หรือแม้แต่ธนบัตรในมือของฉันก็ไม่คู่ควรจะซื้อสิ่งของของพวกเธอ?” 

พนักงานขายคนนั้นโง่เขลาไปชั่วขณะ คาดไม่ถึงว่าเด็กบ้านนอกคนนี้จะมีเงินมากขนาดนี้

หลินม่ายเก็บเงินเข้ากระเป๋า แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง “เธอเป็นแค่พนักงานกระจอกคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาทำตัวหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองเป็นปูเหรอ? ถึงไม่เห็นว่าตอนนี้มันสมัยไหนแล้ว ยังทำตัวเหมือนสมัยก่อนอีก ถ้าทัศนคติของเธอแสดงออกถึงทัศนคติของห้าง ในกระแสการแข่งขันที่มีการปฏิรูปอย่างกว้างขวาง ห้างสรรพสินค้าของเธอคงอยู่ได้ไม่ถึงห้าปีก็ปิดตัวลงแล้ว แล้วเธอนั่นแหละที่จะตกงาน! ไม่มีงานทำ เธอก็สู้คนบ้านนอกอย่างฉันไม่ได้หรอก ยังจะกล้าดูถูกคนบ้านนอก ไม่มีคนบ้านนอกอย่างเราดำนาปลูกข้าวให้กิน เธอคงกินขี้ไปนานแล้ว”

พนักงานขายคนนั้นถูกด่าจนเลือดขึ้นหน้าแล้วจู่ ๆ ก็พลันซีดเผือดลง เนื่องจากผู้จัดการข่งอยู่ที่นี่ด้วย หล่อนจึงกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์

ผู้จัดการข่งมองพนักงายขายคนนั้นด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “รีบขอโทษลูกค้าคนนี้เสีย แล้วบริการหล่อนด้วย”

พนักงานขายคนนั้นโกรธแค้นยิ่งกว่าเดิม น้ำตาเอ่อล้นออกมารอบดวงตา ก่อนจะกล่าวขอโทษหลินม่าย

หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “เธอดูถูกลูกค้า ให้เธอชดใช้ด้วยการขอโทษลูกค้า แต่เธอกลับทำตัวเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมจากสวรรค์ ในเมื่อได้รับความไม่เป็นธรรมแบบนี้ ฉันก็ไม่อยากให้เธอมาบริการฉันอีก”

แล้วกันไปเอ่ยกับผู้จัดการข่ง “ฉันขอเปลี่ยนพนักงานขายคนใหม่มาดูแลฉันได้ไหมคะ?”

“ได้ ได้สิ” ผู้จัดการข่งรีบเรียกพนักงานขายอีกคนเข้ามา ทำให้หลินม่ายซื้อเสื้อผ้าได้อย่างราบรื่น

ก่อนหลินม่านกลับเธอได้เอ่ยกับผู้จัดการข่งไว้ “เพราะคุณสมบัติของพนักงานขายในร้านห้างสรรพสินค้าของคุณ เลยทำให้ฉันไม่อยากซื้อเสื้อผ้าของพวกคุณ แต่เพราะเวลาที่กระชั้นชิด เลยต้องตัดใจซื้อ ครั้งต่อไปถ้าไม่มีเรื่องเวลา คุณคอยดูว่าฉันจะมาเหยียบที่นี่อีกไหม!”

ผู้จัดการข่งจึงลากพนักขายคนนั้นไปอบรมเสียยกใหญ่

พนักงานชั้นล่างเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักถึงรูปแบบของการบริการและระบบว่ามีการปฏิรูปอย่างช้า ๆ ขณะที่ผู้บริหารระดับกลางเหล่านี้ตระหนักถึงความอันตรายในส่วนนี้

ยุคที่ต้องมีการจัดสรรปันส่วนโดยรัฐบาลอาจจะไม่การย้อนกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถล้วน ๆ 

ความสามารถของห้างสรรพสินค้าสักห้างคืออะไร? นั่นคือการขาย

ผลักไสไล่ส่งลูกค้าออกไปแบบนี้ จะขายได้อย่างไร แบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการเข้าใกล้ความตายเลย?

พนักงานขายคนนั้นมีความผิดจนต้องชดใช้ด้วยการกล่าวขอโทษ ลูกค้ายังไม่ให้อภัยหล่อน ไม่สนใจซื้อเสื้อผ้าในมือของหล่อน

ส่วนแบ่งจากการขายเสื้อผ้าหล่อนก็ไม่ได้รับ แถมเบื้องบนยังตำหนิหล่อน…….

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อย่าคิดดูถูกม่ายจื่อเชียว โดนเอาคืนกลับไปเป็นไงล่ะ เจ็บแสบดีไหม

ใครแอบมองน่ะ อย่าบอกนะว่าพี่หมอฟางมาตามแอบดู

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 31 ข้าวเที่ยงหนึ่งมื้อ

มีคุณปู่ฟางช่วยรับซื้อมันเทศและสินค้าเกษตรอยู่ หลินม่ายจึงเตรียมตัวกลับเมือง

สองแม่ลูกเถียหนิวไม่ชำนาญการค้าขาย เธอจึงไม่วางใจ รีบกลับไปขายเกาลัดต่อ ถือโอกาสทำเงินให้ได้มากที่สุดก่อนปีใหม่

เธอยังไม่ทันได้กล่าวลา คุณย่าฟางเอ่ยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “ม่ายจื่อ ปีใหม่นี้พาโต้วโต้วกลับมาฉลองที่บ้านนะ”

สาเหตุที่หลินม่ายต้องซื้อมันเทศถึงสองพันชั่ง เพราะตั้งใจว่าในช่วงปีใหม่จะเหลือไว้ทำขนมฉาวเมี่ยนวอมาขายในเมือง

การกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เธอไม่ได้คิดเรื่องอื่น คิดแต่จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ให้ตัวเองและโต้วโต้วได้มีชีวิตที่ดี

แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดูกระตือรือร้นของคุณย่าฟาง ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ ได้แต่พยักหน้าตอบรับ

คุณย่าฟางคลี่ยิ้มทันใด

หลินม่ายยังสองจิตสองใจ เพราะอยากกลับไปขายของในเมืองโดยเร็ว

คุณย่าฟางจึงต้องตัดใจ “แม้จะบอกว่าการค้าขายเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็ไม่น่ารีบร้อนขนาดนั้น รถไฟขบวนแรกมาถึงสถานีฮั่นโขวเวลาเที่ยงตรง เธอยากไปตอนนี้ก็คงไปไม่ได้ ย่าจะไปซื้อปลา หั่นเนื้อ เตรียมอาหารให้เธอกินก่อนออกเดินทาง ดูเธอตอนนี้สิ ผ่ายผอมเหลือแต่เนื้อหุ้มกระดูกแล้ว” กล่าวจบ ก็หยิบตะกร้าออกไป

หลินม่ายอยากบอกว่าเธอนั่งรถประจำทางกลับเมือง แต่ก็ไม่ได้พูด

รอจนคุณย่าฟางซื้อวัตถุดิบกลับมา หลินม่ายจึงได้แต่พับแขนเสื้อ แล้วลงมือทำอาหาร

ปลาเฉาที่มีน้ำหนักตัวถึงสองชั่งเป็นปลาที่เธอกินได้ถึงสองเมนู หัวปลาและเครื่องในทำเป็นซุปหัวปลาใส่เต้าหู้

ตัวปลาหั่นเป็นชิ้นนำมาทอดน้ำแดง จากนั้นก็เติมผักดองลงไปผัดเข้าด้วยกัน นี่คือทักษะการทำอาหารแบบง่าย ๆ

นำเนื้อส่วนหางจำนวนหนึ่งชั่งมาสับละเอียดจนนุ่มละมุนลิ้นละลายในปาก

เมื่อกินอาหารไปแล้วสองสามอย่างสองปู่ย่าก็ถึงกับชมไม่ขาดปาก

ขณะที่สองปู่ย่ากำลังอิ่มหนำสำราญกับมื้ออาหารนั้น พวกเขาพยายามให้หลินม่ายกินเยอะ ๆ ซึ่งนั้นทำให้เธอรู้สึกผิดในใจมากหลายเท่า

อาวุโสทั้งสองท่านเห็นเธอเป็นเหมือนหลานสาวคนหนึ่ง กลับมาครั้งนี้เธอกลับไม่ได้ซื้ออะไรมาฝากพวกเขา

หลินม่ายจึงรีบกินมื้อเที่ยง จากนั้นก็ตรงขึ้นรถไฟทันที

เมื่อลงจากรถไฟที่สถานีฮั่นโขว หลินม่ายก็ถือโอกาสไปเยี่ยมเยือนแม่เฒ่าผาง

กระทั่งเห็นนางกำลังขายข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋อยู่หน้าบ้านของตัวเองจากที่ไกล ๆ แม้ว่ากิจการค้าขายจะยังไม่ดีมากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ มีคนเข้าไปซื้ออย่างต่อเนื่อง

ลูกชายและลูกสะใภ้ของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว แต่กลับมีใบหน้าที่คุ้นเคยสองสามคนออกมาตั้งขายเกาลัดและสินค้าตัวอื่น

หลินม่ายไม่ค่อยคุ้นหน้าพวกชาวบ้านที่อยู่ใกล้เมืองซื่อเหม่ยเหล่านั้นมากนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เดินเข้าไปทักทาย แต่ตรงมาหาแม่เฒ่าผางพลางเรียกขานนางว่าคุณย่า

แม่เฒ่าผางเงยหน้าขึ้นกระทั่งเห็นเธอ ก็พาลดีใจเสียยกใหญ่

ถึงขั้นจะทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ให้เธอกิน แต่ถูกหลินม่ายปฏิเสธ บอกว่าเธอกินมื้อเที่ยงมาแล้ว แม่เฒ่าผางจึงต้องถอดใจ

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “กิจการไม่ดีเหรอ?”

แม่เฒ่าผางเอ่ยด้วยสีหน้าพึงพอใจ “ก็พอขายได้อย่างน้อยวันละห้าหยวน สำหรับหญิงแก่อย่างฉันแค่นี้นับว่าไม่เลวแล้ว”

แม้นางจะเป็นคนเก่าคนแก่ของเมืองเจียงเฉิง แต่ก็ไม่มีงานทำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเงินเกษียณรองรับ

แก่ตัวก็ต้องอาศัยลูก ๆ ดูแล กลายเป็นภาระของลูก ๆ ทำให้รู้สึกหดหู่ใจมาตลอด

ตอนนี้อาชีพแม่ค้าขายข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ไม่เพียงแต่จะหาเลี้ยงตัวเองได้ ยังหาเงินได้มากกว่าลูกชายและลูกสะใภ้อีกด้วย ได้ยืดเส้นยืดสายอยู่ในบ้านบ้างก็ดี

หลินม่ายพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ดีค่ะ”

จากนั้นก็คุยถึงหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นว่าทำไมถึงไม่มาขายเกาลัดแล้ว

แม่เฒ่าผางจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “จะมาได้ยังไง ตราบใดที่พวกเขามาเปิดแผงตั้งขาย จะมีนักศึกษาที่ยืนอยู่หน้าแผงขายของพวกเขาเข้ามาโน้มน้าวลูกค้าให้กลับไปทันที พวกเขาจะขายต่อไปได้ยังไง ทำได้แค่ต้องเก็บร้านไป!”

หลินม่ายอึ้งงันไปครู่หนึ่ง เธอคาดไม่ถึงว่าฟางจั๋วหรานจะออกหน้าอย่างร้ายกาจขนาดนี้เพื่อเธอ ใช้วิธีการนี้มาบีบบังคับจนหญิงหน้าไหว้หลังหลอกหนีกระเจิง

เมื่อนำวิธีการของตัวเองมาเทียบกับวิธีการของเขา นับว่าวิธีของเธออ่อนประสิทธิภาพอย่างมาก

ใช่ว่าเธอจะไม่เคยคิดจ้างคนรายงานหลังจากที่ตัวเองจากไป ให้คุณป้าอู๋ไม่สามารถตั้งแผงขายของที่นี่ได้

แต่มันก็หยิกเล็บเจ็บเนื้อ เธอกลัวว่าการทำแบบนี้ นอกจากจะตัดช่องทางหาเงินของหญิงอ้วนข้างบ้านแล้ว หญิงอ้วนคนนั้นอาจจะอาฆาตพยาบาทแม่เฒ่าผางก็ได้

ไม่ว่ายังไง หญิงอ้วนคนนั้นยังพอหาเงินได้เป็นกอบเป็นกำจากหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้น

แต่เจ้าตัวถูกนักศึกษาขับไล่ หญิงอ้วนต้องมาหาเรื่องแม่เฒ่าผางแน่นอน

หลินม่ายยังไม่วายเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “คุณป้าบ้านนั้นถูกขับไล่แบบนั้น เพื่อนข้างบ้านจะมาหาเรื่องคุณยายไหมคะ?”

แม่เฒ่าผางเอ่ยอย่างดูถูก “หล่อนจะมีสิทธิ์อะไรมาหาเรื่องฉันเล่า ฉันไม่กลัวหล่อนหรอก ลูก ๆ ของฉันเยอะ หล่อนไม่กล้ามาหาเรื่องฉันหรอก”

หลินม่ายจึงวางใจ จากนั้นพูดคุยอีกเล็กน้อยแล้วกลับไป

เธอตรงไปยังห้างสรรพสินค้าเมืองเจียงเฉิงที่อยู่ไม่ไกลนัก ตั้งใจจะซื้อของขวัญ กระทั่งช่วงบ่ายคุณปู่ฟางกลับมาถึงจะฝากเขากลับไป

ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงเป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเจียงเฉิง และมีของแพงที่สุดด้วย สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลูกต้าต่างหลั่งไหลกันมายอย่างไม่ขาดสาย

ตอนนี้เป็นแบบนี้ อีกยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ดปีข้างหน้าก็ยังคงเป็นเช่นนี้ พูดได้ว่านครแห่งนี้ไม่มีทางขาดแคลนเศรษฐีมีเงินแน่นอน

หลินม่ายกำลังมองหาอาหารบำรุง

อาหารบำรุงในยุคสมัยนี้หนีไม่พ้นนมผง น้ำผึ้ง ลำไย เม็ดบัว และนมมอลต์

นอกจากนมผงและน้ำผึ้งที่ต้องซื้อด้วยคูปองอาหารแล้ว นอกนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คูปอง แต่ราคาแพงจนน่าตกใจ

หลินม่ายอยากซื้อแค่นมผงและน้ำผึ้ง ของเหล่านี้เหมาะกับอาวุโสทั้งสองท่าน

แต่เธอไม่มีคูปองอาหาร จึงต้องเสียเวลาไปตลาดมืดอีกครั้ง แถมเธอยังต้องรีบกลับไปขายของอีกด้วย

กระทั่งนึกถึงบะหมี่แห้งในครั้งที่แล้ว ลูกจ้างหน้าร้านมีคูปองอาหารอยู่ หลินม่ายจึงลองเข้าไปถามพนักงานคนหนึ่ง “พี่สาว พี่มีคูปองอาหารขายบ้างไหมคะ?”

พนักงานหญิงวัยรุ่นในเครื่องแบบคนนั้นมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยามตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าราวกับตนเป็นเจ้าหญิงผู้สูงส่ง ก่อนจะจีบปากจีบคอตอบกลับไป “ใบละหนึ่งหยวน เธอจะซื้อไหม?”

หลินม่ายมีน้ำโหอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด “ซื้อได้ค่ะ พี่มีกี่ใบล่ะ?”

พนักงานขายคนนั้นไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตากึ่งเชื่อกึ่งสงสัย

หลินม่ายแสดงสีหน้าเป็นกังวล “แม่ของฉันป่วยหนัก อยากดื่มนมและน้ำผึ้ง แต่ฉันเป็นแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีคูปองอาหารซื้อของพวกนี้ พี่สาวช่วยขายคูปองให้ฉันเถอะค่ะ”

พนักงานขายคนนั้นยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูด้วยเสียงต่ำ “ฉันมีสิบใบ เธอจะเอาหมดเลยไหม?”

“ฉันมีเงิน ซื้อได้ค่ะ” หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบจากในกระเป๋าออกมาแสดง “ฉันขอถามอะไรสักหน่อย คูปองอาหารสิบใบนี้พอซื้อนมผงสองกระป๋องและน้ำผึ้งสองขวดได้ไหมคะ?”

เมื่อพนักงานขายคนนั้นเห็นธนบัตรสองใบในมือของเธอ ดวงตาก็พลันลุกวาวเหมือนกับหลอดไฟในทันที

คูปองอาหารในตลาดมืดถูกขายอยู่ที่สามเหมาต่อหนึ่งใบ ของหล่อนแพงกว่าอยู่ที่ห้าเหมาต่อหนึ่งใบ

แต่เมื่อเห็นหลินม่ายแต่งตัวไร้ราศี หน้าตาสกปรกมอมแมม ทันทีที่เห็นก็คิดว่าเป็นชาวบ้านธรรมดา ก็ตัดสินไปว่าเธอคงซื้อไม่ได้

ดังนั้นจึงตั้งใจเสนอราคาใบละหนึ่งหยวน คิดจะหลอกให้เธอถอดใจ

แต่กลับคาดไม่ถึงว่าชาวบ้านคนนี้จะมีเงินมากมายขนาดนั้น ถึงขั้นล้วงหยิบธนบัตรสองใบออกมาจากกระเป๋า

แล้วรีบเอ่ยว่า “นมผงหยางจื่อเจียงในปริมาณหนึ่งชั่งต้องใช้คูปองอาหารถึงสามใบ น้ำผึ้งหนึ่งขวดต้องใช้คูปองอาหารสองใบ คูปองอาหารสิบใบซื้อนมผงได้สองกระป๋องบวกกับน้ำผึ้งอีกสองขวดได้พอดี”

หลินม่ายยื่นธนบัตรใบหนึ่งให้หล่อน “งั้นพี่สาวขายมันให้ฉันเถอะ”

พนักงานคนนั้นมองซ้ายแลขวา จากนั้นก็ลากเธอเดินเข้ามุม ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำว่า “เรื่องแบบนี้จะทำโจ่งแจ้งได้ยังไงเล่า?”

กล่าวจบก็ยื่นมือออกไปคว้าธนบัตรใบนั้นในมือของเธอ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะดึงกลับ

เด็กสาวบ้านนอกนั้นขี้ขลาด ขี้ระแวง กลัวโดนหลอก อนุมานให้เหมือนกับความจริงทุกอย่าง “พี่สาวเอาคูปองให้ฉันก่อนสิ”

พนักงานคนนั้นไม่ยอม “เรามายื่นหมูยื่นแมวกัน”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

พี่หมอร้ายกาจ ตัดหนทางทำกินของป้าอู๋คนนั้นได้โหดร้ายมาก

ม่ายจื่อจะได้คูปองในราคาสมน้ำสมเนื้อไหม

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 30 รับซื้อมันเทศในหมู่บ้าน

หลินม่ายโยนกิ่งไม้เข้าไปในหมู่บ้าน หลังจากเดินไปได้ไม่ไกลนัก ก็เจอกับนิวนิวและโต้วโต้วที่กำลังวิ่งเล่นด้วยกัน

เธอเห็นแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ โต้วโต้วเพิ่งจะถูกเธออบรมจนขลาดกลัวได้ไม่นาน ตอนนี้กลับอาจหาญขึ้นไม่น้อย กล้าออกมาเล่นกับนิวนิวข้างนอก

โต้วโต้วเห็นหลินม่ายก็วิ่งเข้ามาหาเธอด้วยความดีใจ วิ่งไปพลางตะโกนเรียกว่าแม่ไปพลาง

กระทั่งมาถึงตัว สายตาได้ชำเลืองมองตะกร้าแวบหนึ่ง พบว่าเป็นก้อนหิน จึงเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “คุณแม่ คุณแม่เก็บก้อนหินมากมายขนาดนี้กลับมาทำไมคะ?”

“ไว้คั่วเกาลัด”

หลินม่ายตอบคำถามของหล่อน จากนั้นก็เรียกนิวนิวที่ไม่กล้าเข้าใกล้ให้วิ่งเข้ามา แล้วให้หล่อนและโต้วโต้วจูงมือกันกลับบ้านกับเธอ

ระหว่างนั้นก็เอ่ยถามว่า “เมื่อครู่ที่พวกเธอออกไปเล่นข้างนอก มีใครเอาลูกกวาดมาให้พวกเธอกินใช่ไหม”

เด็กทั้งสองคนพากันพยักหน้า

“ต่อไปถ้ามีคนถามอะไรกับพวกเธอ พวกเธอก็บอกคนนั้นหมดเลยสิ?”

เด็กทั้งสองคนพากันพยักหน้าอีกครั้ง

“แล้วถ้าคน ๆ นั้นเป็นคนชั่วขึ้นมาจะทำยังไง?”

นิวนิวรีบปิดปากเล็ก ๆ แน่นสนิทด้วยความหวาดกลัว

โต้วโต้วเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา “คน ๆ นั้นบอกว่าเขาเป็นคนในหมู่บ้าน จะเป็นคนชั่วได้ยังไงคะ?”

“ใครบอกลูกว่าคนในหมู่บ้านไม่มีคนชั่ว? ถ้าเขาจับตัวลูกไปขาย ต่อไปนิวนิวจะไม่ได้เจอพ่อและย่าของหล่อนอีก ส่วนลูกก็จะไม่ได้เจอแม่อีกตลอดกาล”

นิวนิวตกใจกลัวจนจะร้องไห้

โต้วโต้วกลับไม่ค่อยเชื่อ “แล้ววันที่ได้เจอกับคุณแม่ที่สถานีรถไฟ ทำไมถึงไม่เจอคนชั่วที่จะมาจับตัวลูกไปขายเลยล่ะคะ”

“นั่นคือความโชคดีของลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนชั่วนะ ไม่ได้หมายความว่าลูกจะโชคดีได้ทุกครั้ง ต่อไปถ้าลูกไม่อยากแยกจากแม่ ต้องเชื่อฟังแม่ ห้ามรับของกินจากคนอื่นอีกเด็ดขาด เวลาพวกเขาถามอะไรพวกลูก ห้ามตอบเด็ดขาด และห้ามตามใครไปทั้งนั้น”

โต้วโต้วจึงพยักหน้า

หลินม่ายกลัวว่าหล่อนจะไม่จำฝังใจ จึงเล่าเหตุการณ์ที่มีคนรู้จักฆ่าข่มขืนเด็กผู้หญิงที่เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตเมื่ออดีตชาติ เพียงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดอันรุนแรงสยดสยองนองเลือดมากขนาดนั้น

แค่นี้สาวน้อยทั้งสองคนก็ตื่นกลัวขึ้นมา

เมื่อหลินม่ายเห็นว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงหยุดอยู่แค่นั้น

ทั้งสามคนพากันกลับบ้าน เวลานี้แม่เถียหนิวทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว

ทันทีที่หลินม่ายเห็น ข้าวโปะด้วยผักใบเขียวและผักดอง ก็รีบเอ่ยกับแม่เถียหนิวว่า “คุณย่าฟางให้ไข่ไก่มาแล้วหนึ่งตะกร้าไม่ใช่เหรอคะ ไว้ต้มให้เด็กสองคนกินคนละฟองในทุกเช้า”

แม่เถียหนิวโบกมือ “กินอิ่มก็พอแล้ว จะกินไข่ทำไม!”

หลินม่ายเอ่ยอย่างอดกลั้น “นิวนิวและโต้วโต้วกำลังเติบโต ต้องการบำรุง ต้องกินของดี ๆ อีกอย่างไข่ไก่พวกนั้นถ้าไม่รีบกินมันก็จะเสียนะคะ”

แม่เถียหนิวจึงตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก

หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายและเถียหนิวก็เก็บข้าวของเตรียมตัวไปตั้งแผงขายทันที

พวกเขาขายตั้งแต่เก้าโมงเช้า จนถึงห้าโมงเย็นก็ทำการเก็บแผงขาย วันนี้ขายเกาลัดได้ทั้งสิ้นหกร้อยกว่าชั่ง

หลินม่ายวางแผนว่าจะขายเกาลัดวันละสี่ร้อยชั่งก็พอแล้ว คาดไม่ถึงว่ายังไม่ถึงห้าโมงเย็นจะขายเกาลัดได้มากมายก่ายกองขนาดนี้

จากนั้นก็กลับมานับเงินที่บ้าน ได้กำไรสุทธิมากกว่าเจ็ดสิบหยวนเลยทีเดียว

คุณปู่ฟางรับซื้อเกาลัดไว้สามพันชั่งในครั้งที่แล้ว ดูจากความเร็ว คงขายได้มากที่สุดสี่วันก็หมดเกลี้ยง

ครั้นมีเงินอยู่ในมือ หลินม่ายก็ให้แม่เถียหนิวไปสิบหยวน และให้นางไปซื้อเนื้อไม่ก็เนื้อปลา รวมทั้งสินค้าประเภทถั่วเหลืองจากในตลาดมืด จะได้ทำแต่อาหารดี ๆ

เช้าวันต่อมา แม้ว่าแม่เถียหนิวจะจะต้มไข่ต้มให้ตามที่เธอต้องการ แต่ก็ต้มเพียงฟองเดียว

เหตุผลนั้นเพียงพอ เพราะคุณยายฟางให้ไข่ไก่ตะกร้านั้นกับสองแม่ลูกหลินม่าย เดิมทีนิวนิวก็กินอยู่เปล่าๆ แล้ว ไหนเลยจะกล้ากินไข่ไก่ของคุณย่าฟาง!

หลินม่ายบ่นอุบอิบ “นิวนิวอยู่ฟรีกินฟรีแล้วยังไง เด็กอายุไม่กี่ขวบจะกินได้เท่าไหร่กันเชียว?”

จากนั้นก็หยิบมีดหั่นผักมาตัดแบ่งไข่ต้มออกเป็นสองส่วน แล้วแบ่งให้เด็กทั้งสองคน นับแต่นั้นก็ทำให้แม่เถียหนิวต้องต้มไข่ให้เด็กคนละฟองในทุกเช้า

เมื่อแม่เถียหนิวเห็นหลินม่ายใจกว้างแบบนี้ ก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้น

ผ่านไปสามวัน เกาลัดในบ้านก็เหลือน้อยลงทุกที แต่คุณปู่ฟางก็ยังไม่มา

แม้จะยืมโทรศัพท์จากในหมู่บ้านซานหยางโทรเข้าเมืองซื่อเหม่ย แล้วให้ทางเมืองซื่อเหม่ยแจ้งข่าวกับคุณปู่ฟาง ให้รีบมาส่งเกาลัดได้ แต่หลินม่ายกลับไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเมืองซื่อเหม่ย

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต เลยค้นหาไม่ได้

ช่วยไม่ได้ หลินม่ายจึงทำได้เพียงฝากร้านไว้กับเถียหนิว ส่วนเธอก็รีบนั่งรถไฟกลับเมืองซื่อเหม่ยตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อถึงเมืองซื่อเหม่ยก็เป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้ว แต่ดันมาเจอกับคุณป้าอู๋

หลินม่ายฉงนเล็กน้อย ทำไมหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนี้ถึงไม่ไปขายเกาลัดในเมือง หรือมีแค่ลูกชายและลูกสะใภ้ของหล่อน แล้วหล่อนไม่ไปเหรอ?

เมื่อหญิงหน้าไหว้หลังหลอกเห็นเธอ ก็พาลถลึงตาใส่เธอแวบหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดราวกับเธอไปเผาบ้านของหล่อน แล้วโยนหลานชายเพียงคนเดียวของหล่อนลงบ่อน้ำอย่างไรอย่างนั้น

หลินม่ายไม่สนใจ ตรงกลับบ้านคุณย่าฟางทันที

คุณปู่ฟางเห็นเธอก็รีบเอ่ยว่า “ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาเธอในเมืองดีไหม เธอก็ดันกลับมาเสียก่อน”

หลินม่ายรีบเอ่ยถาม “ทำไมเหรอคะ?”

คุณตาฟางโบกมือ “ไม่มีอะไร เธออย่ากังวลเลย ฉันแค่อยากบอกเธอว่าเกาลัดขึ้นราคาแล้วนะ หนึ่งเหมาห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง แถมรับซื้อก็ยาก ฉันนั่งรับซื้อมาหลายวันแล้ว ยังรับซื้อได้แค่สองพันชั่ง”

หลินม่ายประหลาดใจมาก “ทำไมถึงเพิ่มราคาละคะ?”

“คนรับซื้อมีเยอะ ต่างก็อยากเพิ่มราคาทั้งนั้น” คุณปู่ฟางเอ่ยอย่างกลุ้มใจ “ถ้ารับซื้อเกาลัดไม่ได้จะทำยังไง เธอยังรอขายเกาลัดหาเงินซื้อบ้านอยู่”

แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในยุค 80 แล้ว แต่ยังต้องวางแผนด้านเศรษฐกิจให้ดี จะซื้ออะไรต้องมีคูปอง

อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว พวกชาวบ้านต่างต้องการสินค้าฉลองปีใหม่ แค่ใช้คูปองซื้อของก็ได้กลับมาไม่มากก็น้อยแล้ว

ถ้าตัวเองระดมสินค้าเกษตรไปขายในเมือง อาจจะได้รับการต้อนรับจากแม่บ้านที่กำลังต้องการสินค้าวันปีใหม่เหล่านั้นก็ได้

หลินม่ายมีแผนการในใจ “รับซื้อเกาลัดไม่ได้ก็ไม่ต้องรับค่ะ คุณปู่ช่วยรับซื้อถั่วลิสง ถั่วปากอ้า ถั่วลันเตา และมันเทศมาคั่วขายแทนแล้วกัน”

คนชนบทในตอนนี้กินบะหมี่คุณภาพดีกว่าในเมืองเสียอีก อย่างน้อยสถานการณ์นี้ก็เกิดขึ้นในมณฑลหู

เพราะทุกครัวเรือนต่างมีที่ดินเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงมีการรับซื้อพวกถั่วลิสง ถั่วปากอ้า มันเทศอะไรไม่น้อย การซื้อขายก็ไม่มีปัญหา

คุณปู่ฟางจึงเอ่ยถาม “แล้วเธออยากได้เท่าไหร่ ฉันจะได้ช่วยรับซื้อไว้ให้”

หลินม่ายนำเงินจำนวนสามร้อยหยวนจากการขายเกาลัดในครั้งนี้จ่ายออกไป เหลือไว้ติดตัวเพียงสี่ร้อยหยวน

เธอถามราคาถั่วลิสงและพวกสินค้าเกษตร

คุณปู่ฟางเอ่ยว่า “ถั่วลิสงสามเหมาต่อหนึ่งชั่ง ถั่วปากอ้าและถั่วลันเตาสองเหมาต่อหนึ่งชั่ง มันเทศไม่มีคนซื้อ ไม่มีราคาในตลาดด้วย แต่ฉันรู้ราคามันเทศดี ขายกันอยู่ห้าเฟินต่อหนึ่งชั่ง”

หลินม่ายนึกถึงขนมฉาวเมี่ยนวอ*ขนมกินเล่นในเมืองเจียงเฉิง คือนำมันเทศมาหั่นเป็นชิ้นแล้วชุบแป้งทอด

ขนมฉาวเมี่ยนวอทอดน้ำมันส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายหก กรอบนอกนุ่มใน หนึบหนับกำลังดี ถ้าจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอก็ขายได้ หนึ่งเหมาต่อหนึ่งชิ้นนับว่าสมราคา

หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ซื้อมันเทศสักสองพันชั่ง น้ำมันพืชสิบชั่งและแป้งหมี่ห้าสิบชั่งก็พอค่ะ”

คุณปู่ฟางถามว่า “ถั่วลิสงอะไรพวกนั้นจะเอาอีกไหม?”

“ไม่เอาแล้วค่ะ” หลินม่ายบอกสองปู่ย่าถึงแผนการของตัวเอง “ฉันจะทอดขนมฉาวเมี่ยวอขาย”

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างเป็นกังวล “เธอกับเถียหนิวจะขายทั้งเกาลัดขายทั้งขนมฉาวเมี่ยนวอเนี่ยนะ จะไม่ยุ่งตายเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้า “ยุ่งแน่นอนค่ะ”

เธอวางแผนไว้แล้ว ว่าจะเริ่มขายเกาลัดจั้งแต่เก้าโมงเช้าในทุกวัน ช่วงหกโมงเช้าถึงเก้าโมงเธอจะขายขนมฉาวเมี่ยนวอ แค่นี้เธอพอดูแลได้

คุณปู่ฟางรีบออกไปรับซื้อมันเทศ น้ำมันพืชและแป้งหมี่ให้หลินม่าย

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันยังไม้ได้ให้เงินคุณปู่เลย”

มันเทศสองพันชั่งคิดเป็นเงินหนึ่งร้อยหยวน น้ำมันพืชหนึ่งชั่งหนึ่งหยวน สิบชั่งก็สิบหยวน แป้งหมี่สองเหมาต่อหนึ่งชั่ง ห้าสิบชั่งก็หนึ่งร้อยหยวน

คุณปู่ฟางรับเงินแล้วออกไป

………………………………………………………………………………………………………………………

*ขนมฉาวเมี่ยนวอ เป็นขนมที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองอู่ฮั่น เกิดจากการนำมันเทศหั่นเต๋าคลุกแป้งแล้วหยอดลงทอดน้ำมันท่วมให้เป็นแผ่น (ภาพจาก https://baike.baidu.com/item/%E8%8B%95%E9%9D%A2%E7%AA%9D/1217016)

สารจากผู้แปล

เกาลัดขึ้นราคาแล้ว ป้าอู๋อะไรนั่นขายไม่ออกล่ะสิ ขณะที่ม่ายจื่อชิลๆ ขายเกาลัดไม่ได้เหรอ ไม่เป็นไร ขายอย่างอื่นก็ได้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 29 เลือกเขาไม่สู้เลือกฉัน

หลินม่ายเห็นว่าเถียหนิวไม่ได้มีท่าทางเฉลียวฉลาดนัก เลยพูดกับเขาว่าให้ขายเกาลัดแค่ครึ่งชั่งและหนึ่งชั่ง ประเด็นคือกลัวว่าถ้าขายได้ไม่กี่ขีดเขาจะคิดเงินไม่ได้

เถียหนิวเอ่ยถามว่า “แล้วคนที่ซื้อหนึ่งชั่งครึ่งหรือสองชั่งไม่ต้องขายเหรอ?”

หลินม่ายใช้ไม้พายคนเกาลัดพลางเอ่ยว่า “ขายสิ  ถ้านายคิดเงินได้ก็ขายได้”

เถียหนิวเอ่ยอย่างไร้เดียงสา “เงินแค่นี้ฉันคิดได้อยู่แล้ว”

ไม่นานเกาลัดก็ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล แผงขายทั้งสองคนเริ่มเต็มไปด้วยลูกค้าอีกครั้ง

หลินม่ายคือจอมกะล่อนในวงการค้าขาย ทั้งยังขายเก่งอีกด้วย

ในทางกลับกันเถียหนิวกลับทำไม่ได้เลย เมื่อมีลูกค้าเข้ามาเขากลับทำตัวไม่ถูก กระทั่งเจอคนอวดดี หยิบเกาลัดหนึ่งกำมือเขาก็ได้แต่เบิกตากว้าง

หลินม่ายทนดูไม่ได้ เลยให้เขารับหน้าที่แค่คั่วเกาลัด ส่วนเธอจะขายเอง

เธอควบคุมกำลังไฟในเตาของตัวเองให้ต่ำลง ถึงจะทั้งขายทั้งคั่วได้

ไม่อย่างนั้นหากไฟลุกโหม เกรงว่าเกาลัดในกระทะคงจะไหม้เกรียม ทั้งที่มือก็ยังหยุดขายไม่ได้

แม่เถียหนิวทำอาหารมื้อค่ำอยู่ที่บ้าน เมื่อทำเสร็จ ก็นั่งกินกับเจ้าตัวเล็กทั้งสองแล้ว จากนั้นก็พาเด็กทั้งสองไปส่งข้าวด้วยกัน

นางให้หลินม่ายกินก่อน ส่วนนางก็มาคั่วเกาลัด

แม้นางจะอายุมากแล้ว แต่เรี่ยวแรงยังใช้ได้ ทว่าสิ่งที่เหมือนกับลูกชายก็คือนางคิดเงินไม่ได้

ต้องมีหลินม่ายช่วยคิดเงินอยู่ข้าง ๆ  ไม่อย่างนั้นนางเองก็ยากจะรับมือ

เมื่อหลินม่ายกินข้าวเสร็จ ก็มาคั่วเกาลัดขายต่อ ส่วนแม่เถียหนิวก็ไปเปลี่ยนมือกับเถียหนิว

เมื่อทั้งสองคนกินอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว แม่เถียหนิวก็เก็บข้าวของและพาเด็กทั้งสองกลับไป

ชีวิตกลางคืนในยุคสมัยนี้ยังไม่เจริญรุ่งเรืองนัก ประกอบกับอยู่ในช่วงฤดูหนาว ลมหนาวในตอนกลางคืนปะทะกับความเหน็บหนาวในแม่น้ำเจียงพาให้หนาวสะท้านมากยิ่งขึ้น

สองทุ่มผ่านไป บนถนนก็ร้างซึ่งผู้คน หลินม่ายและเถียหนิวจึงเก็บแผงกลับบ้าน

แม่เถียหนิวพาสองเด็กหญิงกลับมาล้างหน้าบ้วนปาก เตรียมพาพวกหล่อนเข้านอน

นางชี้ไปยังห้องทางซ้ายมือพลางเอ่ยกับหลินม่ายว่า “ห้องนั้นเป็นห้องที่ดีที่สุด ฉันจัดให้เธออยู่กับโต้วโต้ว ส่วนเสื้อผ้าของพวกเธอฉันจัดเก็บใส่ตู้ไว้เรียบร้อยแล้ว”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณคุณป้ามากค่ะ” จากนั้นก็เอ่ยถามนางถึงเรื่องจำนวนของข้าวสาร แป้งหมี่และน้ำมัน

แม่เถียหนิวโบกมือไปมา “ของเหล่านั้นช่างมันเถอะ เราพาเด็กมาอยู่บ้านเธอ จะมากินฟรีอยู่ฟรีได้ไงเล่า”

“ช่างเถอะได้ยังไงคะ หนูเชิญพวกคุณมาช่วย ยังจะให้พวกคุณมาออกค่าของพวกนี้อีกใช้ได้ที่ไหน?”

หลินม่ายหยิบธนบัตรสองใบยื่นออกไป “นี่คือเงินค่าของพวกนี้ ถ้าไม่พอก็ขอโทษด้วย ส่วนผักดองกับผักสดไม่คิดเงินนะคะ”

แม่เถียหนิวพูดโกหกออกไป “ต่อให้มีผักสดและผักดองก็ไม่น่าจะมีมูลค่ามากขนาดนี้ มันมากเกินไป!” กล่าวจบ ก็คืนธนบัตรกลับไปหนึ่งใบ

ให้คือให้ หลินม่ายคงเอากลับคืนมาไม่ได้

ในใจของเธอไม่ชอบคนที่ไม่ยอมสะสางบัญชีให้ชัดเจน เธอชอบให้พี่น้องชัดเจนเรื่องเงิน

เพราะแม่เถียหนิวไม่ยอมสะสางบัญชี เธอเลยต้องจ่ายมากขึ้น

แม่เถียหนิวกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าเกรงใจ จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “วันนี้ขายได้เท่าไหร่ล่ะ”

หลินม่ายไม่อยากนับเงินต่อหน้าสองแม่ลูก กลัวว่าพวกเขาเห็นว่าตนหาเงินได้มาก แล้วจะคิดไม่ซื่อในใจ

แต่เมื่อคิดทบทวนหนึ่งตลบ ถ้าไม่ให้พวกเขารู้ว่าตนหาเงินได้เท่าไหร่ อาจเกิดการเดามั่ว พูดให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า

ถ้าพวกเขารู้ว่าตัวเองหาเงินได้มาก คงจะแยกตัวออกไปทำเอง

สองแม่ลูกเถียหนิวต่างไม่เหมาะกับการทำธุรกิจ ยิ่งแยกตัวออกไปทำเองยิ่งเป็นไปไม่ได้

ไม่ชอบเงินเดือนต่ำ? ก็ออกไปสิ ค่าแรงห้าหยวนต่อหนึ่งวัน คงจะชวนใครไม่ได้!

ที่เธอชวนเถียหนิว เพราะเห็นถึงความขยันขันแข็งของเขา แต่เขา…

ทำให้หลินม่ายรู้สึกหมดคำพูด….

“ฉันยังไม่มีเงินหมุนเวียนที่ชัดเจนนะคะ” หลินม่ายนำเงินที่ขายได้ในวันนี้ออกมานับอย่างโจ่งแจ้ง

หลังแยกเงินทุน รวมทั้งเงินเดือนของสองแม่ลูกเถียหนิว ก็ได้กำไรสุทธิยี่สิบเจ็ดหยวน

แต่ระยะเวลาในการขายวันนี้ค่อนข้างสั้น พรุ่งนี้ต้องขายให้นานกว่านี้ ถึงจะมีรายได้มากขึ้น

แม่เถียหนิวต้มน้ำอาบเรียบร้อย ส่วนหลินม่ายรีบอาบน้ำเย็นแล้วรีบซุกตัวในผ้าห่มทันที ตั้งใจว่าซักเสื้อผ้าที่ใส่แล้วพรุ่งนี้เช้า

สองแม่ลูกเถียหนิวเข้านอนทันทีหลังอาบน้ำเสร็จ

แม่เถียหนิวคิดถึงธุรกิจที่หลินม่ายใช้เวลาขายเกาลัดช่วงห้าโมงเย็นถึงสองทุ่ม เป็นเวลาสามชั่วโมง ก็สามารถสร้างเงินได้แล้วกว่ายี่สิบกว่าหยวน จึงเกิดความลำเอียงขึ้นในใจจนนอนไม่หลับ

นางครุ่นคิดว่าถ้าพวกตนสองแม่ลูกตั้งแผงขายเกาลัดจะขายดีสู้หลินม่ายได้ไหม?

แต่เมื่อคิดได้ว่าตัวเองตั้งแผงขายก็ต้องมากังวลอีก

ในเมืองสู้ในชนบทไม่ได้ คนในเมืองต่างตื่นตัวกันตลอดเวลา พวกตนสองแม่ลูกรับมือกันไม่ได้แน่นอน

ให้หลินม่ายกินเนื้อไป ส่วนสองแม่ลูกอย่างพวกนางดื่มแค่น้ำแกงไปแล้วกัน

…..แต่ถ้าหลินม่ายกลายเป็นลูกสะใภ้ของนาง ต่อให้หลินม่ายหาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ล้วนแต่เป็นของครอบครัวนาง

คิดได้เช่นนี้ แม่เถียหนิวก็ครุ่นคิดหาทางว่าทำอย่างไรถึงจะชักจูงหลินม่ายมาเป็นสะใภ้ของตนได้

ครั้นถึงเวลาสามทุ่มตรงก็พากันเข้านอน เพราะยังต้องตื่นแต่เช้าตรู่

วันที่สอง หลินม่ายตื่นนอนตั้งแต่ตีห้าครึ่ง

หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเสร็จแล้ว ก็หยิบเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองออกไปซัก แต่กลับถูกแม่เถียหนิวแย่งไปเสียก่อน “ป้าซักเอง หนูพักเถอะ”

หลินม่ายคิดจะแย่งมาซักเอง

แม้จะให้เงินเดือนแม่เถียหนิว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนบ้านเดียวกัน คงจะให้นางมาทำตัวเทียบเท่ากับแม่ของเธอไม่ได้

ไม่อย่างนั้นพวกชาวบ้านอาจลอบกัดเธอ หาว่าเธอไม่มีมนุษยธรรม แม้แต่คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ไม่ไว้หน้า

แม่เถียหนิวกลับใช้แรงแขนที่แข็งแรงกว่าเบี่ยงหลบไปด้านข้าง “ไม่กี่ตัวเอง เธอจะแย่งป้าเหรอ?”

หลินม่ายทำได้แค่ถอดใจ หยิบตะกร้าใบหนึ่งออกไปเก็บก้อนหินริมน้ำ ใช้ก้อนหินมาคั่วเกาลัดไม่ให้ไหม้เกรียม

วิธีการนี้ต่อให้จะไม่ได้คั่วในหม้อโดยตรง แต่ก็เหมาะกับการคั่วเกาลัดของเธอ

ก้อนหินที่ใช้คั่วเกาลัดมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก ไม่อย่างจะสิ้นเปลืองฟืน

หลินม่ายใช้ตะกร้าขุดทรายริมแม่น้ำ อาศัยช่องว่างระหว่างตัวตะกร้า ร่อนเม็ดทรายทั้งหมดทิ้ง เหลือไว้แต่ก้อนหิน

จากนั้นก็เลือกหินก้อนใหญ่ทิ้ง เหลือไว้แต่หินขนาดเท่าเม็ดถั่ว งานนี้ทำเองได้ไม่ยาก

ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็รวบรวมก้อนหินไว้จนเต็มตะกร้า ก่อนจะนำมันมาล้างน้ำจนสะอาด เก็บใส่ตะกร้าและขนกลับบ้าน

เมื่อเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านก็ไม่คิดว่าจะเจอกับเฉียนกั๋วเหลียง

หลินม่ายไม่อยากสนใจเขา จึงแกล้งทำเป็นไม่เห็น เดินผ่านเขาไป

เฉียนกั๋วเหลียงกลับไล่ตามอย่างไม่ลดละ พลางตะโกนจากด้านหลังของเธอ  “ฉันได้ยินมาว่า ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ผู้ชายของเธอ”

แม้เมื่อวานนี้จะมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมาช่วยเธอขนย้ายเกาลัด แต่ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับการเปิดธุรกิจย่อมเยาทั้งนั้น

ไม่มีใครถามว่าสองแม่ลูกเถียหนิวนั้นเป็นใคร ต่างคิดว่าเป็นแม่สามีและผู้ชายของเธอ เธอเองก็ไม่ได้ชี้แจงถึงสถานะของสองแม่ลูกคู่นั้นต่อหน้าทุกคนให้ชัดเจน

เพราะไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร แค่สองแม่ลูกเถียหนิวอยู่ในหมู่บ้านแค่สองสามวัน ทุกคนก็นำไปพูด สุดท้ายก็รู้กันทั้งบาง

หลินม่ายเกิดความสงสัยในใจว่าทำไมคนเสเพลผู้นี้ถึงรู้เร็วนัก หรือว่าเขาไปสอบถามกับเถียหนิวตั้งแต่เช้า?

เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันยังไม่ทันบอกเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ชายของฉัน ใครบอกคุณไม่ทราบ?”

เฉียนกั๋วเหลียงเกิดความลำพองใจเล็กน้อย “ฉันเอาลูกกวาดไปให้ตัวจิ๋วสองคนนั้น พวกหล่อนบอกฉันหมดทุกอย่าง”

หลินม่ายครุ่นคิด กลับไปจะต้องสั่งสอนเด็กสองคนนั้นให้ตระหนักถึงความปลอดภัยเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นคงโดนพวกโจรล่อลวงด้วยลูกกวาดจนถูกลักพาตัวไปง่าย ๆ แน่

เฉียนกั๋วเหลียงเห็นหลินม่ายไม่พูดอะไร จึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเธอเลือกพ่อของนิวนิวก็ไม่สู้เท่าเลือกฉันหรอก พ่อของนิวนิวซื่อบื้อจะตายไป เขาจะช่วยอะไรเธอได้? ฉันช่วยธุรกิจของเธอได้นะ”

ผู้ชายที่เสเพลไปวัน ๆ ใครบ้างที่จะไม่เกียจคร้าน ไม่ตะกละ แล้วก็เอาถ่านกับเขา?

หวังให้เขาทำธุรกิจ ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว

อีกอย่างหลินม่ายยังไม่อยากหาผู้ชาย ตัวเองอยากหาเงินเพื่อใช้จ่ายสำหรับสองแม่ลูก เลี้ยงดูโต้วโต้วให้ดีที่สุด เมื่อตัวเองแก่ตัวลง โต้วโต้วจะได้ดูแลตน มีช่วงเวลาแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ทำไมจะต้องหาผู้ชายให้ปวดหัว!

ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันไม่เลือกใครทั้งนั้น!”

เฉียบนกั๋วเหลียงยังตื้อเธอ

หลินม่ายเก็บกิ่งไม้หยาบ ๆ จากพื้นอย่างฉับพลัน แล้วฟาดใส่เขาอย่างเต็มแรง

ฟาดไปก็ตะโกนด่าไปด้วยความฉุนเฉียว “ถ้าคุณกล้าตื๊อฉันอีก ฉันจะไปแจ้งตำรวจ บอกว่าคุณลอบทำร้ายฉัน ตอนนี้อยู่ในช่วงปราบปรามพอดี ให้ตำรวจตัดสินว่าคุณเป็นพวกนักเลงหัวไม้ กินกระสุนสักนัดดีไหม?”

เฉียนกั๋วเหลียงตื่นตกใจจนหนีกระเจิง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

หยุดมโนเลยป้า ม่ายจื่อไม่ยอมแน่นอน ถึงตอนนั้นคงไล่ป้ากับลูกชายออกจากงานแทน

มาเจ้าชู้ไก่แจ้ผิดคนแล้วตานี่ โดนม่ายจื่อฟาดกลับไปเป็นไง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 28 เฉียนกั๋วเหลียงจอมเสเพล

ระหว่างที่ลากรถเข็น ชายวัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์คนนั้นตั้งใจเข้ามาคว้าด้ามจับในมือของหลินม่ายอย่างชัดเจน ทั้งยังฉีกยิ้มฟันเหลืองซี่ใหญ่ให้เธอ ทำเอาหลินม่ายพะอืดพะอมจนอ้วกแทบพุ่ง

เธอรู้ตัวว่าได้เข้าไปพัวพันกับจอมเสเพลตัณหากลับเสียแล้ว

แม้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นเด็กสาววัยสิบเจ็ดปี แต่เธอคือคนสองชาติ ไหนเลยจะเห็นจอมเสเพลคนนี้ในสายตา?

ในเมื่ออยากได้รถเข็นนัก อย่างนั้นก็ให้เขาเข็นไปแล้วกัน

ทั้งสองคนเดินไปคุยไป จอมเสเพลวัยกลางคนบอกหลินซือว่าเขาชี่อเฉียนกั๋วเหลียง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านซานหยาง ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีญาติพี่น้อง และไม่มีภรรยาและลูก

เฉียนกั๋วเหลียง?

ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหูมาก

หลินม่ายนึกย้อนกลับไปชั่วครู่ ในที่สุดก็นึกหน้าของนักกีฬาชื่อดังที่มีชื่อว่าหลิวกั๋วเหลียงในอดีตได้

ถ้าชายวัยกลางคนหน้าตาอัปลักษณ์คนนี้มีแซ่ว่าหลิวจริง งั้นคงเป็นหลิวกั๋วเหลียงที่มีชื่อเสียน่าเวทนาคนนั้น

เฉียนกั๋วเหลียงยิ้มอย่างน่ารังเกียจพลางเอ่ยว่า “ถ้าเมื่อวานฉันรู้ว่าเธอจะไปซื้อบ้าน ฉันคงขัดขวางไปแล้ว บ้านของฉันทั้งใหญ่ทั้งดีกว่าบ้านที่เธอซื้อมากโข แถมยังให้สองแม่ลูกอย่างพวกเธอเข้ามาอยู่ได้โดยไม่ต้องเสียเงิน”

หลินม่ายจะไม่รู้เจตนาของเขาได้อย่างไร!

ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณคงคิดว่ามีแค่เราสองแม่ลูกสินะ ฉันยกโขยงกันมาทั้งบ้าน ไปอยู่บ้านคุณคงไม่ดีมั้ง?”

“แล้วคนอื่นล่ะ ทำไมไม่เห็นเลยสักคน?”

“ยังไม่มาไง จะมาช่วงบ่าย เดี๋ยวคุณก็เห็นเอง”

เฉียนกั๋วเหลียงได้ยินประโยคนี้กลับไม่ได้สนใจเธอ จากนั้นก็ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่าเขามีธุระต้องไปทำ ทิ้งรถเข็นคันนั้นไว้แล้วก็จากไป

หลินม่ายก็ไม่ได้สนใจ ลากรถเข็นตรงไปตั้งแผงขายของในท่าเรือต่อ

โดยทั่วไปแล้วท่าเรือข้ามฟากล้วนเต็มไปด้วยคนในพื้นที่ 

ซึ่งคนในพื้นที่โดยส่วนใหญ่เป็นคนทำงาน มีแหล่งรายได้ จึงใช้จ่ายอย่างไม่เสียดายมากกว่าผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถไฟ

เกาลัดของหลินม่ายส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาวิ่งตามกลิ่นหอมยั่วยวนใจเข้ามาซื้อ กิจการของเธอขายดิบขายดีกว่าในสถานีรถไฟเสียอีก เกาลัดประมาณแปดสิบชั่งถูกขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาสองชั่วโมง

หลินม่ายมองดูนาฬิกาที่ยืมมาจาคุณยายฟางบนข้อมือของตัวเองแวบหนึ่ง ซึ่งบอกเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ทำไมคุณปู่ฟางถึงยังไม่มาอีก?

เมื่อคิดดังนี้ จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียง ตึก ๆๆ ของรถแทรกเตอร์ดังลอยเข้ามา แต่เสียงนั้นยังไกลมาก

เธอหันไปมอง กระทั่งพบกับรถแทรกเตอร์ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่นานก็เห็นคนที่ขับอยู่ในห้องควบคุม

ในนั้นมีคุณปู่ฟาง ครอบครัวเถียหนิวทั้งสามคน รวมทั้งโต้วโต้วอีกคน

เมื่อโต้วโต้วเห็นเธอจากบนรถแทรกเตอร์ ก็รีบตะโกนเรียก ‘แม่’ พลางโบกมือเล็ก ๆ อย่างตื่นเต้น

หลินม่ายส่งยิ้มกลับไปให้สาวน้อย

เมื่อรถแทรกเตอร์จอดสนิทลง โต้วโต้วรบเร้าให้คุณปู่ฟางอุ้มเธอลงจากรถจนแทบทนไม่ไหว

หลินม่ายรีบวิ่งเข้าไป อุ้มหล่อนลงจากรถแทรกเตอร์เอง “คุณปู่อายุมากแล้ว จะอุ้มลูกได้ยังไง เกิดเอวคุณปู่หักขึ้นมาจะทำยังไง?”

คุณปู่ฟางกลั้วหัวเราะ เหอะ ๆ ก่อนเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย?”

หลินม่ายรีบเอ่ย “คุณปู่ไม่แก่ คุณปู่ยังหนุ่มยังแน่นต่างหาก”

โต้วโต้วตะโกนเลียนแบบ พาให้ทุกคนหัวเราะ ฮ่า ๆ ไปด้วย

หลินม่ายรีบเก็บแผง จากนั้นลากรถเข็นพาทุกคนไปยังบ้านที่ยังซื้อไม่สมบูรณ์

เถียหนิวรีบกระโดดมาจากรถแทรกเตอร์ “ผมเอง”

จากนั้นก็คว้ารถเข็นจากมือของหลินม่ายและอาสาเป็นคนลาก หลินม่ายเลยไม่ได้เกรงใจเขา

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถแทรกเตอร์ก็มาจอดสนิทอยู่หน้าบ้านหลังใหม่ของหลินม่าย

นอกจากคุณปู่ฟางแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าบ้านของเธอได้เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ต่างคิดว่าเป็นแค่บ้านเช่า ทั้งยังคอยเซ้าซี้ถามว่าเช่าเท่าไรไม่มีหยุดหย่อน

หลินม่ายรวบรวมเงินจำนวนหนึ่งลวก ๆ 

นอกจากโต้วโต้วและนิวนิวแล้ว ทุกคนต่างช่วยกันขนย้ายเกาลัดเข้ามาไว้ในห้อง

การเคลื่อนไหวที่เอิกเกริกเกินไปดึงดูดชาวบ้านที่เข้ามามุงดูไม่น้อย กระทั่งมีชาวบ้านบางคนเข้ามาช่วยขนย้ายอย่างกระตือรือร้น

และมีชาวบ้านเข้ามาถามไถ่ถึงของในถุงกระสอบว่ามีอะไรอยู่ในนั้นด้วยความอยากรู้

หลินม่ายก็บอกพวกเขาไปตรง ๆ ว่าเป็นเกาลัด

เรื่องนี้ต่อให้ปิดบังยังไงก็ปิดบังไม่มิดหรอก เธอคั่วเกาลัดขายในท่าเรือ ไม่ช้าก็เร็วพวกชาวบ้านก็ต้องเห็นอยู่ดี ไม่สู้บอกด้วยตัวเองไปเลยดีกว่า จะได้สร้างความประทับใจที่ดีอย่างตรงไปตรงมากให้แก่ชาวบ้านด้วย

ไม่นานก็มีชาวบ้านคนหนึ่งเข้ามาซักถามว่า “แม่หนูเอาเกาลัดเหล่านี้ไปทำอะไรเหรอจ๊ะ?”

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ไว้คั่วขายค่ะ”

คนในเมือง ต่อให้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านกลางเมือง ก็ยังเฉื่อยชากว่าชาวบ้านในหมู่บ้าน

หลังจากมีการวางแผนด้านเศรษฐกิจ แทบไม่เคยเห็นใครคั่วเกาลัดขายในเมืองเจียงเฉิงมานานหลานปี

ถ้ามีการคั่วเกาลัดขาย คนซื้อต้องมหาศาลแน่นอน

ผู้คนไม่น้อยต่างพากันตาลุกวาว แล้วเอ่ยถามว่า “เกาลัดของแม่หนูนำเข้าจากที่ไหนล่ะ?”

หลินม่ายโกหกโดยไม่คิดมาก “ตงเป่ย”

แค่คำสองพยางค์นี้เล่นทำให้ชาวบ้านทุกคนยกเลิกความคิดที่จะเปิดร้านเกาลัดไปโดยปริยาย

พวกเขาไม่มีความสามารถมากขนาดนั้นถึงขั้นไปขนเกาลัดมาจากตงเป่ยได้ คนที่จะนำเข้าสินค้ามาจากเมืองอื่นได้ในสมัยนี้ต้องเป็นคนที่มีอิทธิพลมากพอ

ชาวบ้านเหล่านั้นมองหลินม่ายอีกครั้ง โดยไม่คิดว่าเธอไร้ความสามารถอีกต่อไป ดูเหมือนจะเก่งเสียด้วยซ้ำ

หลินม่ายซื้อบุหรี่สองซองอย่างลิงโลด หลังขนย้ายเกาลัดเสร็จ เธอตั้งใจว่าจะให้บุหรี่แก่คนที่มาช่วยคนละหนึ่งมวน

เธอไม่ได้ใจแคบ บุหรี่ที่ซื้อมาล้วนเป็นของดีที่มีราคาต่อซองค่อนข้างสูง

ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเหลือเหล่านั้นต่างเหน็บบุหรี่ไว้บนหูแล้วกลับออกไปอย่างสุขใจ

ในตอนนี้เองเฉียนกั๋วเหลียงที่แอบมองหลินม่ายอยู่ด้านหลังก็แสดงตัวออกมา หลินม่ายพูดความจริงทุกอย่าง เธอยกโขยงครอบครัวมาจริง ๆ 

เดิมทีเฉียนกั๋วเหลียงตั้งใจจะเป็นพ่อสื่อให้ตัวเองจับคู่กับหลินม่าย แต่ตอนนี้ความหวังกลับพังทลายลง แม้ว่าจะไม่ได้ตัว แต่ขอให้ได้บุหรี่ของดีสักมวนก็ยังดี

เขารุดหน้าเข้าไปประจบสอพลอเต็มที่ ด้วยการเอ่ยกับหลินม่ายว่า “เสี่ยวหลิน อาขอบุหรี่สักมวนหน่อยสิ”

หลินม่ายไม่สนใจเขา หันไปพูดกับคุณปู่ฟาง

เขาไม่ช่วยเธอทำงานทีหนึ่งแล้ว ทำไมเธอต้องให้บุหรี่เขาด้วย?

เฉียงกั๋วเหลียงเดินจากไปอย่างอับอาย

บนรถแทรกเตอร์ยังมีผักสวนครัวกองใหญ่ ข้าวสาร แป้งหมี่ และน้ำมัน รวมทั้งผักดองอีกสองโหล ไข่ไก่หนึ่งตะกร้า เสื้อผ้าหมอนมุ้ง เป็นต้น

หลินม่ายคิดว่าคุณย่าฟางตระเตรียมไว้ให้ จึงเอ่ยกับคุณปู่ฟางด้วยความซาบซึ้งใจ “ฉันมัวแต่สนใจกิจการค้าขาย เลยไม่ได้สนใจของเหล่านี้ โชคดีที่คุณย่าฟางเตรียมให้ฉันแล้ว ไม่อย่างนั้นคงต้องไปซื้อในตลาดมืดแน่ๆ”

คุณปู่ฟางโบกมือ “นอกจากไข่ไก่หนึ่งตะกร้าและเสื้อผ้าหมอนมุ้งของสองแม่ลูกที่คุณย่าฟางเตรียมไว้ให้พวกเธอแล้ว ของใช้อย่างอื่นแม่เถียหนิวเป็นคนเตรียมให้ เธอต้องไปขอบคุณแม่เถียหนิวแล้วหล่ะ”

หลินม่ายรู้สึกเกรงใจขึ้นมาทันใด จึงเอ่ยกับแม่เถียหนิวด้วยความรู้สึกผิด “คุณป้า หนูผิดไปแล้ว…”

เถียหนิวค่อนข้างใจกว้าง จึงชิงเอ่ยว่า “อะไรกัน”

ต่อให้แม่เถียหนิวจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรก็ต้องแกล้งใจกว้าง ส่งยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร

คุณปู่ฟางกำลังดูบ้านที่หลานสาวของตนซื้อไว้ ทำการสำรวจทั้งภายนอกและภายในบ้านของหลินม่าย ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ “บ้านหลังนี้ไม่เลวเลย ความจริงแล้วยังอยู่ไปได้อีกหลายสิบปีเชียวนะ”

หลินม่ายกลับคิดว่าถ้ามีเงินจะปรับปรุงต่อเติมให้เป็นบ้านห้าชั้น เมื่อถึงคราวที่รัฐบาลรื้อถอนที่ดินแห่งนี้ในช่วงปี 90 คงจะได้กลับคืนมาหลายเท่า

แต่เรื่องเหล่านี้เธอคงพูดกับคุณปู่ฟางไม่ได้

เพราะต้องรีบกลับ คุณปู่ฟางจึงไม่ได้อยู่ต่อ

หลินม่ายให้บุหรี่อีกครึ่งซองที่เหลือแก่คนขับรถแทรกเตอร์

คนขับรถแทรกเตอร์เก็บบุหรี่ซองนั้นใส่กระเป๋าด้วยความเบิกบานใจ แล้วพาคุณปู่ฟางกลับไปด้วยกัน

หลินม่ายกำชับนิวนิวและโต้วโต้วเด็กน้อยตัวป่วนทั้งสองคนให้อยู่บ้านกับแม่เถียหนิวอย่างว่านอนสอนง่าย จากนั้นก็ลากรถเข็นออกไปตั้งแผงขายกับเถียหนิว

บ่ายนี้เป็นเวลาเลิกงานพอดี ท่าเรือเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน

นี่คือเมืองเอกมณฑลที่หลี่เถียหนิวเพิ่งมาครั้งแรก เมื่อเห็นแสงสีเสียงและความเจริญรุ่งเรืองตรงหน้าก็อึ้งงันไปชั่วขณะ

ปล่อยให้หลินม่ายเรียกชื่อเขาอยู่หลายครั้งว่าให้เขาเริ่มเปิดร้าน เขาจึงจะได้สติกลับมา

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอ่อ ไม่ผ่านค่ะ มาสตอล์กม่ายจื่อแบบนี้ไม่โอเคอย่างแรง

ม่ายจื่อยังไม่เปิดรับสามีนะคะ อย่าดึงดันยัดเยียดลูกชายให้ม่ายจื่อเลยค่ะแม่เถียหนิว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 27 ระดมให้ชาวบ้านไปตั้งแผงขายของในเมือง

เมื่อหลินม่ายออกจากบ้านเถียหนิวมาถึงบ้านคุณย่าฟาง คุณปู่ฟางก็ได้ติดต่อรถแทรกเตอร์ไว้เรียบร้อยแล้ว

คุณปู่ฟางบอกค่าเช่ารถกับเธอ ขนส่งรอบเมืองหนึ่งครั้งคิดเป็นเงินห้าสิบหยวน

หลินม่ายหยิบเงินสองร้อยหยวนให้กับคุณปู่ฟาง “นี่คือเงินค่ารับซื้อเกาลัดที่คุณปู่สำรองจ่ายไปก่อนวันนี้ค่ะ”

คุณปู่ฟางโบกมือ “เธอไม่ต้องรีบคืนเงินให้ฉันหรอก ต้องคำนึงถึงต้นทุนในการทำธุรกิจก่อนว่าเพียงพอหรือเปล่า”

หลินม่ายยัดเงินให้เขา “พอค่ะ ถ้าไม่พอหนูค่อยยืมคุณปู่”

จากนั้นก็ให้เขาเพิ่มอีกสี่ร้อยหยวน “เกาลัดหนึ่งหมื่นชั่งอาจจะรวบรวมได้ไม่หมดในคราวเดียว ต้องแบ่งเป็นสองส่วนแล้วค่อยขนย้าย นี่คือเงินค่าขนย้ายหนึ่งร้อยหยวน อีกสามร้อยหยวนที่เหลือเป็นต้นทุนในการรับซื้อเกาลัดกองแรก ขายเกาลัดหมดกองนี้แล้ว ค่อยรีบซื้อเกาลัดกองที่สองนะคะ”

เงินจำนวนหกร้อยหยวนถูกจ่ายออกไป หลินม่ายเหลือเงินติดตัวเพียงหนึ่งร้อยหยวน ซึ่งเพียงพอต่อการซื้อกระทะคั่ว เตาไฟในการทำธุรกิจ รวมทั้งสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน

เช้าวันที่สอง หลินม่ายยังคงตื่นนอนเวลาหกโมงเช้า

คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางยังไม่ตื่น

เมื่อล้างหน้าบ้วนปากแล้ว เธอก็ย่องออกจากประตูอย่างเบาเสียงที่สุด ตรงไปยังหลังบ้านคุณปู่ฟาง

พื้นที่กว่ายี่สิบตารางเมตรหลังบ้านของเขา มีแปลงผักอยู่หนึ่งไร่

หลินม่ายเด็ดผักกวางตุ้ง ก่อนมาล้างดินโคลนออกที่แม่น้ำและนำกลับมา

เวลานี้คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางตื่นนอนแล้ว

เมื่อเห็นหลินม่ายเดินกลับมาจากข้างนอก คุณย่าฟางรีบตะโกนทันที “ไม่ต้องรีบไปเปิดร้านในเมืองไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่นอนให้นานกว่านี้ล่ะ”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นอนมากพอแล้วค่ะ” ก่อนพับแขนเสื้อเริ่มทำอาหาร

สิ่งที่จะทำในวันนี้คืออาหารสูตรดั้งเดิม เป็นข้าวสวย ผักกวางตุ้ง และผักกาดดองเผ็ด

เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายก็เตรียมตัวออกไปรับซื้อเกาลัด

คุณปู่ฟางโบกมือห้ามและเอ่ยว่า “เธอไม่ต้องไปหรอก ฉันวิ่งไปป่าวประกาศที่หมู่บ้านข้างหน้าแล้ว ใครอยากขายเกาลัดก็ให้มาขายที่บ้านของเรา”

หลินม่ายยิ้ม “หนูก็อยากวิ่งเหมือนกัน รออยู่ในบ้านหนูไม่สบายใจ จะเข้าเมืองตอนนี้ก็ยังเช้าอยู่”

คุณปู่ฟางเห็นเธอพูดแบบนี้ก็ไม่ขวางเธอ

เพื่อจะได้วิ่งรับซื้อได้หลายหมู่บ้าน หลินม่ายจึงไม่พาโต้วโต้วไปด้วย

เธอคุกเข่าลงหารือกับโต้วโต้ว “โต้วโต้ว วันนี้แม่มีธุระมากมายต้องจัดการ ต้องไปประกาศให้คนอื่นมาขายเกาลัดกับเรา และต้องไปซื้อของมากมายในเมือง วิ่งจากทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก พาลูกไปด้วยคงไม่สะดวก อีกอย่างต้องเดินทางไกล ลูกอาจเหนื่อยได้ ดังนั้นแม่จะฝากลูกไว้ที่บ้านของคุณย่าฟาง ตกบ่ายค่อยนั่งรถแทรกเตอร์เข้าเมืองมาหาแม่พร้อมกับคุณปู่ฟาง ลูกตกลงไหม?”

ครึ่งเดือนมานี้ ไม่ว่าจะเป็นหลินม่ายก็ดี หรือคุณปู่ฟางคุณย่าฟางก็ดี ต่างมีความปลอดภัยให้โต้วโต้วเสมอ

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินม่าย สาวน้อยก็ไม่ได้โวยวายขอตามเธอเหมือนครั้งนั้นอีก

นอกจากพยักหน้าเล็ก ๆ แล้วก็ยังตอบรับด้วยน้ำเสียงเจี้อยแจ้ว “คุณแม่ไปเถอะ หนูจะเชื่อฟังคุณย่าฟางทุกอย่าง และจะช่วยคุณย่าฟางทำงานบ้านด้วย”

หลินม่ายลูบศีรษะที่มีเส้นผมดกดำของหล่อนอย่างชื่นชม “โต้วโต้วของเราโตแล้วสินะ ยิ่งอยู่ยิ่งรู้ความ”

กล่าวจบก็ออกจากบ้านไปภายใต้สายตาของโต้วโต้ว ตรงไปรับซื้อเกาลัดจากในหมู่บ้านที่มีการแบ่งสรรปันส่วนไว้แล้วล่วงหน้ากับคุณปู่ฟาง

มีการบอกกล่าวกับชาวบ้านโดยตรง ว่าครั้งนี้เธอต้องการเกาลัดหนึ่งหมื่นชั่ง ให้พวกเขาช่วยป่าวประกาศให้แก่ญาติพี่น้องมิตรสหายให้พากันมาขายเกาลัดให้เธอ

ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยพากันตื่นตระหนกและอิจฉาในเวลาเดียวกัน “แม่โต้วโต้ว ธุรกิจเกาลัดของเธอขายดีขนาดนั้นเชียว ถึงได้ต้องการเกาลัดตั้งหนึ่งหมื่นชั่งแน่ะ!”

หลินม่ายยอมรับอย่างใจกว้าง “ขายเกาลัดอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟเมืองเอกย่อมขายดีค่ะ ที่นั่นคนพลุกพล่านมาก!”

จากนั้นก็ทอดถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณป้าอู๋คนนั้นขนลูกชายและลูกสะใภ้ไปแย่งธุรกิจกับฉันในเมือง ฉันก็คงขายเกาลัดอยู่ในสถานีรถไฟในเมืองได้อย่างน้อยห้าหมื่นชั่งไปแล้ว”

เมื่อผู้คนจำนวนมากได้ยินคำพูดของเธอ พวกเขาก็พากันคิดแผนการขึ้นในใจ ก่อนจะลองถามหยั่งเชิงออกไป “ทำไมต้องตั้งแผงขายในเมืองด้วย ที่นั่นไม่มีเทศกิจตลาดมาไล่ที่กันเหรอ? แล้วจะโดนลากไปขังในบนโรงพักไหม?”

ก่อนหน้านั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีคนกล้าเสี่ยงไปเปิดร้านในเมืองเสียหน่อย การถูกเทศกิจไล่ที่นับว่าจิ๊บจ๊อย โดนลากตัวไปขังบนโรงพักคุมความประพฤติเป็นเรื่องปกติ 

ที่น่ากลัวที่สุดคือ มีคนโดนโยนเข้าคุกเพราะเรื่องนี้ กระทั่งขังยาวนานหลายปี ชาวบ้านที่ขี้ขลาดตาขาวจึงไม่กล้าเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้อีก

แต่เมื่อเห็นหลินม่ายเด็กสาววัยสิบเจ็ดปีเศษคนหนึ่งมุ่งมั่นจะเข้าไปหาเงินจำนวนมหาศาลในเมืองเอกมณฑล พวกเขาก็พากันอิจฉาตาร้อนกันอีกครั้ง เลยอยากมาสอบถามความเสี่ยงนี้เสียหน่อย

หลินม่ายตั้งใจปล่อยข่าวลือ ว่าเธอตั้งแผงขายเกาลัดอยู่ในละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟ และขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

เพราะอยากกระตุ้นให้ชาวบ้านเหล่านี้พากันไปขายเกาลัดในพื้นที่ละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟเหมือนกัน ชิงดีชิงเด่นกับร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นไปเลย หล่อนสู้ราคาเกาลัดของพวกเขาไม่ได้แน่นอน

อีกอย่างแผงขายที่ไม่มีใบอนุญาตบนถนนสายนี้ก็มีมากมายก่ายกอง เทศกิจมักให้ความสนใจกับถนนสายนั้นเป็นอย่างมาก ถึงตอนนั้นอย่างน้อยหนึ่งเดือนคงไม่มีใครริอาจเข้าไปตั้งแผงขายของบนถนนเส้นนั้นอีก

ผลประโยชน์ก็ส่วนผลประโยชน์ แต่ถ้าเป็นเรื่องเสี่ยง อย่างไรก็ต้องชี้แจงกับพวกชาวบ้านให้ชัดเจน

หลินม่ายไม่คิดจะฉ้อโกงใคร

“อยากตั้งแผงขายในเมือง อันดับแรกจะต้องหาบ้านริมถนนสักหลัง แล้วเช่าพื้นที่หน้าบ้านของเจ้าของตั้งแผงขาย ส่วนจะโดนเทศกิจขับไล่หรือเปล่านั้น…ประมาณว่าอีกไม่นานก็ถึงเทศกาลปีใหม่แล้ว ฉันตั้งแผงขายของมาตั้งนมนานขนาดนี้ ยังไม่เคยเจอเทศกิจมาไล่ที่เลยนะ ถึงอย่างนั้นก็ยังเจอได้อยู่ถ้ามีพ่อค้าแม่ขายที่ไม่มีใบอนุญาตมากเกินไป พวกเขาก็อาจจะได้ยินข่าวลือแล้วเริ่มปฏิบัติการทันที แต่ตอนนี้ข่าวลือเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิมแล้ว ต่อให้จะโจมตีพ่อค้าแม่ขายที่ไม่มีใบอนุญาตอย่างหนักเหมือนกัน แต่ก็จะเน้นไล่ที่และยึดของกลางเป็นหลัก ส่วนกักขังคุมความประพฤติหรือเข้าคุกนั้นไม่มีแล้ว”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็หยุดพูด พวกชาวบ้านจะออกไปผจญภัยไหมนั้นขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเอง

ความจริงแล้ว การได้ไปผจญภัยเสียหน่อยก็ทำให้รู้ว่าการหาเงินในเมืองเอกมณฑลนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่พวกเขาจินตนาการไว้

แม้จะมีการใช้ประโยชน์จากปัจจัยในนั้นจากพวกเขา แต่ก็ยังชี้ถึงช่องทางการหาเงินให้แก่พวกเขา

มีชาวบ้านสอบถามหลินม่ายเป็นรูปธรรมว่าต้องไปขายเกาลัดบนถนนสายไหน มนุษย์เรามักพูดในสิ่งที่รู้ และพูดยังไม่มีปิดบัง สุดท้ายหลินม่ายก็บอกพวกเขาไป

หลังจากวิ่งวนอยู่หลายหมู่บ้าน นาฬิกาก็ตีบอกเป็นเวลาเก้าโมงเศษแล้ว หลินม่ายรีบกลับบ้านคุณย่าฟางทันที พร้อมกับขนเกาลัดที่รับซื้อได้นั่งรถไฟกลับเข้าเมือง

แม้ว่าตอนบ่ายคุณปู่ฟางจะตามมาส่งเกาลัดให้เธอด้วยรถแทรกเตอร์ แต่เวลาหลินม่ายจะทำอะไรมักจะชอบคิดอย่างละเอียดรอบคอบเสมอ

ถ้าถึงตัวเมืองแล้วทุกอย่างถูกวางแผนไว้อย่างเหมาะสม มันก็ยังพอมีเวลา เธอจะได้คั่วเกาลัดขายเลย ประหยัดเวลาพักผ่อนไปได้อีก

ตอนนี้เธอเป็นทาสบ้าน* พักไม่ได้

เมื่อลงจากรถไฟ ก็เปลี่ยนเป็นรถประจำทาง และมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังใหม่ในหมู่บ้านซานหยาง

ชาวบ้านจำนวนมากรู้ว่าเธอและเฉียนอ้ายกั๋วทำสัญญาจองบ้านกันแล้ว จึงพาทยอยกันมากล่าวทักทายเธอ “วันนี้จะย้ายมาอยู่แล้วละสิ”

หลินม่ายตอบด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ”

เธอวางถุงกระสอบเกาลัดไว้ในบ้าน แล้วก็ไปซื้อคูปองอุตสาหกรรมในตลาดมืดที่อยู่ละแวกใกล้เคียงไม่มีหยุดพัก

จากนั้นก็ไปซื้อพวกกระทะใบใหญ่สำหรับคั่วเกาลัด ไม้พายขนาดใหญ่ เครื่องชั่งของและเตาไฟขนาดใหญ่สำหรับก่อไฟอีกสองเตา

แถมยังซื้อเครื่องนอนอีกชุดสำหรับสองแม่ลูก จากนั้นก็ไปซื้อไม้ฟืนหลายสิบชั่งจากพวกชาวบ้าน

พูดได้ว่า แค่มีฟืนไม้ก็ขายให้เธอได้แล้ว เงินหนึ่งเฟินซื้อขายได้ตั้งหนึ่งชั่ง

แม้จะมีคลังซ่อมบำรุงหัวรถจักรไอน้ำอยู่ห่างจากท่าเรือเยวี่ยฮั่นออกไปอีกห้าถึงหกสถานี ซึ่งหาซื้อถ่านหินได้จากครอบครัวแถวทางรถไฟที่เก็บได้จากขบวนขนสินค้า 

แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าเพิ่งจะขายเกาลัดได้แค่หนึ่งเดือน หลินม่ายจึงไม่อยากสิ้นเปลืองเรื่องพวกนั้น ซื้อไม้ฟืนจากชาวบ้านนับว่าสะดวกกว่า เดินทีละก้าวได้โดยไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย

เมื่อซื้อฟืนเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ไปซื้อรถเข็นจากในตลาดมืดหนึ่งคันและเข็นกลับบ้าน

การไปตั้งแผงขายในท่าเรือ หากไม่มีรถเข็นก็ไม่มีทางขนของที่จำเป็นสำหรับตั้งแผงขายของทั้งหมดภายในครั้งเดียวได้แน่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องซื้อรถเข็นคันนี้

นี่ก็บ่ายโมงเศษแล้ว หลินม่ายก็ขี้เกียจออกไปซื้อข้าว แป้งและน้ำมัน จึงตั้งใจว่าจะรอให้แม่เถียหนิวมาก่อนแล้วจะให้เงินนางไปช่วยซื้อให้เธอสักหน่อย

เธอหาซื้อเกี๊ยวน้ำชามหนึ่งในร้านค้าของรัฐที่อยู่บนถนนสายหลัก

เกี๊ยวน้ำมีปริมาณพอเพียง รถชาติก็สดใหม่ หลินม่ายกินอย่างพึงพอใจ

ระหว่างทางกลับ ได้แวะซื้อบุหรี่สองห่อ ตั้งใจจะเอาไปให้คนขับรถแทรกเตอร์

แม้จะบอกว่าต้องเสียค่าขนส่ง แต่เงินก้อนนั้นก็รวบรวมมาได้ไม่ยาก จึงมอบให้คนขับรถแทรกเตอร์อีกหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณปู่ฟางต้องเสียหน้าแน่

เมื่อกลับถึงบ้าน หลินม่ายได้นำเกาลัดกระสอบนั้น รวมทั้งเตาไฟ กระทะสำหรับคั่วเกาลัดขึ้นมาไว้บนรถเข็น แล้วก็ลองเข็นรถไปทดลองขายที่ท่าเรือ

ในตอนที่เธอลากรถออกจากลานกว้าง ก็ไม่รู้ว่ามีชายวัยกลางคนแต่งกายอนาถาโผล่มาจากไหนมาช่วยเธอลากรถเข็น

…………………………………………………………………………………………………………………………

*ทาสของบ้าน เป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้เรียกแทนผู้ที่ซื้อบ้านโดยอาศัยการจำนองผ่อนจ่ายชำระค่าบ้าน

สารจากผู้แปล

เอาคืนหญิงสกุลอู๋คนนั้นได้แสบสันต์มากค่ะ 

ม่ายจื่อสู้ๆ กับกิจการที่ใหม่นะ

ใครมาช่วยเข็นรถนี่ จะมาดีหรือมาร้าย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 26 อยากสู่ขอเธอมาเป็นภรรยาไหม

เวลาล่วงเลยมาถึงสี่โมงกว่า หลินม่ายแบกโต้วโต้วพลางผิวปากตลอดทางมาขึ้นรถไฟให้ทันเที่ยวหกโมงเย็น

สุดท้ายก็ขึ้นรถไฟในช่วงสองสามนาทีสุดท้าย และกลับถึงบ้านของคุณย่าฟางและคุณปู่ฟางในเวลาหนึ่งทุ่มเศษ

ถ้าสองแม่ลูกหลินม่ายยังไม่กลับบ้าน คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางจะไม่กินมื้อค่ำเด็ดขาด เมื่อพวกหล่อนกลับมาถึง คุณย่าฟางก็รีบตั้งสำรับมื้อเย็นทันที

หลินม่ายตำหนิด้วยความละอายใจ “คุณปู่คุณย่านี่จริง ๆ เลย ครั้งที่แล้วที่พวกหนูกลับบ้านดึกก็พูดกับพวกท่านทั้งสองแล้วนะ ว่าทำอาหารเสร็จไม่ต้องรอพวกหนู กินกันก่อนเลย ทำไมยังรอพวกหนูอีกละคะ?”

ผู้เฒ่าทั้งสองจัดเตรียมตะเกียบและชามข้าวเรียบร้อย คุณย่าฟางยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “กินข้าวด้วยกันคึกคักกว่า”

และถามอีกว่า “ทำไมวันนี้ถึงกลับดึกล่ะ ขายไม่ดีเหรอ?”

หลินม่ายส่ายหน้า “เปล่าจ้ะ มีคนหวังร้ายคิดแย่งธุรกิจของหนู เลยตั้งใจจะเปลี่ยนทำเลร้าน เสียเวลาหาสถานที่ และซื้อบ้าน ทำให้กลับดึกแบบนี้ค่ะ”

คุณปู่ฟางถึงกับหน้าหงิกลงทันที “ใครกันหวังร้ายคิดแย่งธุรกิจของเธอ? บอกฉันมา ฉันจะออกหน้าแทนเธอเอง!”

หลินม่ายยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ศาสตราจารย์ฟางออกหน้าแทนหนูแล้ว”

ต่อให้ฟางจั๋วหรานไม่ช่วยเธอ เธอก็ไม่มีทางให้คุณปู่ฟางเป็นกังวลแทนเธอแน่นอน เธอรับมือเองได้

คุณปู่ฟางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “แต่นั่นก็ทำให้เธอต้องเปลี่ยนที่ขาย!”

“คนย้ายที่อยู่เพื่อความอยู่รอด ต้นไม้ย้ายถิ่นฐานเท่ากับตาย หนูอยากให้ธุรกิจเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้”

คุณปู่ฟางจึงไม่พูดอะไรต่อ

คุณย่าฟางจัดเตรียมอาหารค่ำพลางเอ่ยอย่างผิดหวัง “ไปซื้อบ้านในเมืองแล้ว หมายความว่าจะย้ายออกไปเร็ว ๆ นี้ใช่ไหม?”

หลินม่ายพยักหน้า แล้วหันกลับมาเอ่ยกับคุณปู่ฟาง “รบกวนคุณปู่ฟางช่วยเช่ารถแทรกเตอร์ให้หนูสักคันนะคะ หนูต้องการขนเกาลัดหนึ่งหมื่นชั่งเข้าเมือง ต่อไปหนูจะได้ไม่ต้องไปกลับทุกวันอีกแล้ว”

แรกเริ่มสุดเธอตั้งใจจะขนเกาลัดแค่หนึ่งถึงสองพันชั่งเข้าเมืองไปก่อน แต่พอซื้อบ้านที่ใหญ่มากพอ เลยอยากขนเกาลัดให้หมดในคราวเดียว จะได้ประหยัดเวลาด้วย

คุณปู่ฟางตอบรับด้วยน้ำเสียงมีความสุข 

คุณย่าฟางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เอาเกาลัดไปตั้งมากมายขนาดนั้น จะขายหมดก่อนปีใหม่เหรอ?”

“ก่อนปีใหม่ขายไม่หมด ค่อยขายต่อหลังปีใหม่ต่อค่ะ”

จากประสบการณ์เมื่อครั้งอดีตชาติของหลินม่ายพบว่าเมื่อถึงช่วงเทศกาลปีใหม่ ผู้คนในเมืองเอกประจำมณฑลต่างก็ยื้อแย่งกันบริโภคจนแทบไม่พอขาย

วันหยุดแค่เจ็ดวัน ขายอะไรก็ได้เงินทั้งนั้น ไม่แน่ว่าเกาลัดหมื่นชั่งอาจจะขายหมดเกลี้ยงก่อนถึงวันที่สิบห้ากลางเดือนก็ได้

คุณปู่ฟางเอ่ยถามหลังจากคิดได้ “เธอซื้อบ้านในเมืองแล้วเหรอ? แล้วเธอเอาเงินมากมายจากที่ไหนไปซื้อบ้าน?”

หลินม่ายทำการอธิบาย “ไม่มีเงินหรอกค่ะ หนูยังไม่ได้ซื้ออย่างเป็นทางการ แค่ทำสัญญาซื้อขายกับเจ้าของไว้ก่อนเท่านั้น”

คุณปู่ฟางตอบ ‘อือ’ หนึ่งเสียง แล้วเอ่ยถามว่า “บ้านหลังนั้นอยู่ที่ไหน เท่าไหร่?”

“แถวท่าเรือเยวี่ยฮั่นที่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากฮั่นโขวค่ะ ราคาแปดร้อยหยวน”

คุณย่าฟางเบิกตากว้าง “แปดร้อยหยวน? แพงมาก!”

หลินม่ายยิ้ม “ไม่แพงเลยค่ะ กว่าคนงานหนี่งคนจะได้เงินก้อนนี้ต้องไม่กินไม่ดื่มเลนเป็นเวลาสามปีนะคะ”

ในช่วงสิบปีสุดท้ายเมื่อครั้งอดีตชาติของเธอ คนงานคนหนึ่งยอมไม่กินไม่ดื่มเป็นเวลาสามสิบปีถึงจะซื้อบ้านที่มีพื้นที่ไม่เกินหนึ่งร้อยตารางเมตรหนึ่งหลังได้

คุณย่าฟางพึมพำออกมา “เด็กคนนี้ ใครเล่าจะยอมไม่กินไม่ดื่ม”

นี่คือหลักความเป็นจริง แม้คนงานในเมืองจะมีเงินเดือน แต่แค่พอประทังชีวิตคนในครอบครัวเท่านั้น จะเก็บเงินมันไม่ใช่เรื่องง่าย

จึงพูดได้ว่า ไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน การซื้อบ้านสักหลังเป็นเรื่องที่ยากมาก

หลังกินมื้อค่ำเสร็จ หลินม่ายได้บอกกล่าวคุณย่าฟาง ว่าจะออกไปหาหลี่เถียหนิว ตั้งใจจะเชิญเขามาเป็นผู้ช่วยคั่วเกาลัดด้วยกัน จะได้หาเงินได้เพิ่มขึ้น

คุณย่าฟางถึงกับแย้งเธอ “เธอพาหลี่เถียหนิวไปขายเกาลัดในเมืองแบบนี้ ดู….ไม่ค่อยงามมั้ง”

“คุณย่ากลัวว่าเราจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเรื่องที่ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกันใช่ไหมคะ? ง่ายจะตายไป แค่พาภรรยาของเขาไปด้วยก็จบเรื่องแล้ว”

เธอและหลี่เถียหนิวมีหน้าที่ขายเกาลัด และกะเทาะเปลือกเกาลัด จากนั้นก็ให้ภรรยาของเถียหนิวนำไปขาย เท่ากับว่าหล่อนก็มีงานทำไปในตัว

เวลานี้ เกาลัดที่เธอขายส่วนใหญ่ล้วนเป็นเกาลัดที่ผ่านการกะเทาะเปลือกโดยคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางอยู่ที่บ้าน

การขนเกาลัดไปขายท่าเรือเยวี่ยฮั่น คุณปู่และคุณย่าฟางคงจะตามไปช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดให้เธอไม่ได้

คุณย่าฟางมองเธอและเอ่ยว่า “ภรรยาของเถียหนิวตายไปหลายปีแล้ว”

หลินม่ายอึ้งงันอยู่ที่เดิม เธอไม่เคยรู้เรื่องความรักของหลี่เถียหนิวมาก่อน เลยไม่รู้ว่าเขาเป็นพ่อม่าย

คุณปู่ฟางโบกมือไปมา “ถึงไม่มีภรรยา แต่เธอก็พาแม่และลูกสาวของเถียหนิวไปในเมืองด้วยกันได้ แบบนี้คนนอกจะได้ไม่เอาไปนินทาด้วย”

หลินม่ายมาเยือนในเวลากลางคืน ทำเอาสองแม่ลูกเถียหนิวพากันประหลาดใจ แต่ก็ยังกล่าวทักทายเธออย่างกระตือรือร้น ทั้งยังหาผ้ามาเช็ดเก้าอี้เชื้อเชิญเธอนั่ง ชงชารินชาให้อีกด้วย

หลินม่ายรีบขวางไว้ “คุณป้า พี่ใหญ่หลี่ พวกคุณไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้ก็ได้ค่ะ ฉันแค่อยากมาคุยเรื่องบางอย่าง เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

แม่เฒ่าเถียหนิวยื่นชาแก้วหนึ่งให้เธอ “เรื่องอะไร”

“ฉันอยากพาพี่เถียหนิวไปคั่วเกาลัดขายในเมืองหลวงค่ะ มีอาหารเลี้ยงสามมื้อ วันละห้าหยวน ไม่รู้ว่าพี่เถียหนิวจะยอมไปไหม”

ไม่เพียงแต่เถียหนิว แม้แต่แม่ของเขาก็ยังตะลึงงันไปด้วย วันละห้าหยวน ทำสิบวันก็ได้เงินแล้วห้าสิบหยวน

ชาวบ้านผู้ซื่อสัตย์ที่ไหนบ้างจะทำงานหาเงินได้ถึงห้าสิบหยวนขนาดนี้!

แม่เถียหนิวชิงพูดขึ้นว่า “เอาสิ ทำไมจะไม่เอาล่ะ!”

เถียหนิวพยักหน้าหงึกหงักด้วยความตื่นเต้นอยู่ด้านข้าง

หลินม่ายเห็นพวกเขาตอบรับ จึงพูดต่อว่า “บางเรื่องฉันต้องขอชี้แจงล่วงหน้า พี่เถียหนิวเป็นลูกจ้างของฉัน เขาจะได้รับเป็นเงินเดือน ถ้าฉันขาดทุน เงินเดือนของพี่เถียหนิวจะยังเท่าเดิมไม่มีทางลดลงสักสตางค์แดงเดียว ดังนั้นฉันหวังว่าตอนที่ฉันทำงานหาเงิน พี่เถียหนิวจะไม่มีอารมณ์หงุดหงิด คิดว่าฉันเป็นเจ้านาย เขาเป็นแค่ลูกจ้าง” 

แม่เถียหนิวชิงแสดงความคิดเห็นก่อน “จะเป็นไปได้ยังไงเล่า? แม่หนูแบกรับความเสี่ยงไว้ทั้งหมดแล้ว เรื่องนี้เราเข้าใจได้”

หลินม่ายจึงพอใจมาก จากนั้นก็เอ่ยกับแม่เถียหนิวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณป้า คุณป้าก็ต้องไปกับเราด้วยนะคะ ไปกะเทาะเปลือกเกาลัด ฉันมีอาหารให้คุณป้าสามมื้อต่อหนึ่งวัน และฉันจะให้ค่าแรงคุณป้าด้วย วันละห้าหยวน คุณป้าจะไปไหมคะ?”

แม่เถียหนิวตบหน้าขาเสียงดังเพี๊ยะ พลางเอ่ยด้วยความดีใจ “ไปสิ! ไปแน่นอนสิจ๊ะ!”

เถียหนิวเอ่ยถามอย่างสงสัย “ถ้าแม่ตามไปด้วย แล้วใครจะดูแลนิวนิวล่ะครับ แล้วใครจะป้อนอาหารให้หมูและไก่ในบ้านล่ะ?”

แม่เถียหนิวหันไปมองลูกชายแสนโง่เขลาของตัวเองอย่างหมดปัญญา “เราจะพานิวนิวไปด้วย แล้วเรียกลูกสาวคนโตของพี่สาวแกมาดูแลบ้านให้สักสิบวันถึงครึ่งเดือน แค่นี้ก็มีคนป้อนอาหารหมูและไก่แล้วไม่ใช่เหรอ?”

หลินม่ายวางแก้วชาในมือลง “งั้นก็ตามนี้นะคะ พี่ใหญ่หลี่ พรุ่งนี้ช่วยคุณปู่ฟางรับซื้อเกาลัดด้วยนะคะ ไม่ว่าจะรับซื้อเกาลัดได้เท่าไหร่ บ่ายสามโมงจะต้องขนเกาลัดกองหนึ่งเข้าเมือง ส่วนที่เหลือไว้ขนหลังจากนี้สักสองสามวัน”

สองแม่ลูกเถียหนิวตอบรับสั้น ๆ จากนั้นก็ส่งเธอกลับ

สองแม่ลูกยืนส่งหลินม่ายอยู่หน้าประตู

สายตาของแม่เถียหนิวยังจับจ้องอยู่บนบั้นท้ายของหลินม่ายหลายนาที

ได้ยินมาว่าเธอเพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ดปีเอง ยังไม่สิบแปดเสียด้วยซ้ำ แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ได้กินของดีมีของบำรุงให้กิน หน้าอกและบั้นท้ายถึงได้เจ้าเนื้อยิ่งนัก ถึงตอนนั้นคงคลอดลูกง่าย

คิดได้ตรงนี้ แม่เถียหนิวก็ตีหลี่เถียหนิวด้วยความกระตือรือร้น “เจ้าลูกชายตัวดี แกว่าเสี่ยวหลินเป็นไง?”

เถียหนิวงุนงงเล็กน้อย “หล่อนเป็นไงเหรอครับ? ก็ใช้ได้นะสิ”

แม่เถียหนิวกดเสียงต่ำ แล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของเขา “อยากสู่ขอหล่อนมาเป็นภรรยาไหม?”

หลี่เถียหนิวมองผู้เป็นแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “แม่! ผมอายุสามสิบเอ็ดแล้วนะ เสี่ยวหลินเพิ่งจะสิบเจ็ด! อายุห่างกันมากขนาดนี้ เสี่ยวหลินจะมาเป็นภรรยาของผมได้ยังไง? แม่อย่าริอ่านจับคู่มั่วซั่วเชียวนะครับ”

แม่เถียหนิวยกมือเขกกบาลของเขาอย่างแรง “แก่นี่มันโง่สมชื่อจริง หล่อนสิบเจ็ดแล้วยังไง แต่งงานมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เด็กสาวบริสุทธิ์วัยแรกแย้มเสียหน่อย หรือแกยังกลัวว่าหล่อนจะรังเกียจที่แกแก่เกินไป!”

หลี่เถียหนิวพึมพำ “ต่อให้หล่อนไม่รังเกียจอายุของผม แต่หล่อนมีความสามารถขนาดนั้น ไม่มีทางมาตกหลุมรักผมหรอก”

แม่เถียหนิวกลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง “ไม่ลองจะรู้ได้ไง”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ตั้งแต่มีลูกบุญธรรมก็ฮอตขึ้นเรื่อย ๆ เลยน้าม่ายจื่อ มีแต่ผู้ทุกวัยมารุมล้อม

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 25 เซ็นสัญญาซื้อบ้าน

เฉียนอ้ายกั๋วแนะนำต่อ “ถึงบ้านหลังนี้จะดูเก่าไปบ้าง แต่ตัวบ้านถูกก่อขึ้นด้วยอิฐ อยู่ไปอีกสักหนึ่งร้อยแปดสิบปีก็ไม่มีปัญหาครับ”

หลินม่ายไม่พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ เธอกวาดตามองดูห้องนั้นทีห้องนี้ที

เฉียนอ้ายกั๋วคอยเดินตามหลังพลางเอ่ยว่า “ของใช้พวกนี้ผมไม่เอาแล้ว ต่อให้มันจะเก่าทรุดโทรมไปบ้าง แต่ก็ยังพอถูไถไปได้อีกแปดถึงสิบปีเชียวครับ”

หลินม่ายเปิดประตูตู้ตัวหนึ่ง แม้จะเกิดเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ไม่หยุด แต่มันก็เป็นไปตามที่เฉียนอ้ายกั๋วบอกไว้ คือยังใช้งานได้

แต่การที่บอกว่ายังใช้ได้ถึงแปดหรือสิบปีมันก็เกินจริงไปหน่อย ใช้ได้แค่สามถึงห้าปีก็โละออกมาเป็นฟืนไม้ได้แล้ว ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่ของใช้ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้คุณภาพดีอะไรนัก วันเวลาผันผ่านก็คงจะผุพังไปด้วยตัวมันเอง

สุดท้ายก็เดินเข้ามาสำรวจในห้องครัว ของใช้ในครัวครบถ้วนสมบูรณ์ แต่มันก็เก่าทรุดโทรมมากเหมือนกัน

เฉียนอ้ายกั๋วชี้ไปยังของใช้ในครัวเหล่านั้นพลางเอ่ยว่า “ของพวกนี้ผมให้พวกคุณไปเลยฟรี ๆ”

หลินม่ายจึงเอ่ยปากออกไป “ตกลงคุณจะขายบ้านหลังนี้เท่าไหร่คะ?”

ดวงตาของเฉียนอ้ายกั๋วเปล่งประกายระยิบ

แม้เขาจะต้องใช้พลังในการอธิบายไปครึ่งค่อนวัน แต่ก็ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากนัก เพราะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้

แต่เมื่อแม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้ได้ถามถึงราคา ก็แสดงว่าอย่างน้อยก็มีเจตนาจะซื้อบ้าง

เขาครุ่นคิดอยู่ในใจหลายตลบ กระทั่งเอ่ยว่า “หนึ่งพันสองร้อยหยวน”

บ้านหลังนี้เขาตั้งราคาเริ่มต้นที่หนึ่งพันสามร้อยหยวน แต่แม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้ไม่มีเงินแน่นอน เขาจึงกลัวว่าราคาหนึ่งพันสามร้อยหยวนจะสร้างความตกใจให้กับเธอ

หลินม่ายเข้าใจราคาที่สมน้ำสมเนื้อของบ้านหลังนี้ดี บ้านมือสองที่เธอซื้อไว้ในเมืองเจียงเฉิงเมื่อครั้งอดีตชาติก็อยู่ในละแวกนี้

ตอนนั้นน่าจะตรงกับปี 1986 ซึ่งบ้านมือสองที่คล้ายกับบ้านหลังนี้ถูกขายไปในราคาสองพันหยวนเลยทีเดียว

ตอนนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของปี 1982 การที่บ้านหลังนี้ถูกขายในราคาหนึ่งพันสองร้อยหยวนก็ถือว่าไม่แพงแล้ว

ทำเลนี้ในสมัยนี้ ต่อให้อยู่ในหมู่บ้านก็อาจต้องยอมเสียเงินจำนวนหนึ่งพันสามร้อยถึงหนึ่งพันสี่ร้อยหยวนถึงจะสามารถซื้อบ้านแบบนี้ได้

ประกอบกับของใช้ภายในบ้านและหม้อกระทะครบพร้อมสมบูรณ์ต่างถูกแถมมากับตัวบ้าน เพียงกระเป๋าใบเดียวก็เข้าอาศัยได้เลย เงื่อนไขเหล่านี้ทำให้หลินม่ายอยากซื้อบ้านหลังนี้

ตอนนี้เธอมีเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไม่ถึงแปดร้อยหยวน เงินที่จะซื้อบ้านจึงยังไม่เพียงพอ

สมัยนี้ยังไม่มีการกู้เงินจากธนาคาร ดังนั้นจึงไม่สามารถกู้ได้

ยืมเงินซื้อบ้าน? จะให้ไปยืมจากที่ไหน?

แต่บ้านที่มีราคาถูกแบบนี้ไม่ได้จะหาเจอกันง่าย ๆ ไม่ซื้อคงเสียดายแย่

หลินม่ายจึงต่อรองราคากับเฉียนอ้ายกั๋ว “แปดร้อยหยวนค่ะ จะขายไม่ขาย?”

เฉียนอ้ายกั๋วโกรธจนพูดไม่ออก ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เธอคงไม่เห็นทำเลตรงนี้ของฉันสินะ อยู่ติดกับท่าเรือและถนนที่สร้างเสร็จแล้ว ตัวบ้านก็อยู่ริมถนน เดินทางสะดวก เปิดด้วยราคาที่ไม่สูงนัก เธอยังจะให้ฉันลดให้อีกตั้งสี่ร้อยหยวน เธอใจดำเกินไปแล้ว!”

“แต่บ้านหลังนี้เก่าแก่มากแล้วนะคะ ไม่มีใครกล้าซื้อหรอก”

คำว่าเก่าแก่ในภาษาถิ่นเจียงเฉิงจะใช้เรียกอาวุโสที่ล่วงลับ

หลินม่ายเห็นเขาไม่มีท่าทางจะขับไล่เธอ จึงรู้ทันทีว่าบ้านของเขาขายออกยาก ไม่อย่างนั้นคงจะพ่นคำหยาบคายขับไล่เธอไปนานแล้ว

เมืองเจียงเฉิงมีวัฒนธรรมของท่าเรือ  ใครพูดจาไม่เข้าหูเพียงคำเดียวก็จะถูกคนเจียงเฉิงด่ากราดทันที ยิ่งต่อรองราคาก็ยิ่งโดนด่าจนขวัญกระเจิง ทั้งยังนำพาบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรมารุมด่าอีกด้วย

สาเหตุที่ขายบ้านไม่ได้ นั่นก็เพราะหลินม่ายพูดจี้ใจดำออกมา

สมัยนี้ น้อยมากที่จะมีใครซื้อบ้านในราคาหนึ่งพันหยวน

ยอมเสียเงินซื้อบ้านไปตั้งมากมาย คงไม่มีใครอยากได้บ้านที่เก่าทรุดโทรมแบบนี้แน่นอน

ต่อให้จะไม่ใช่บ้านผีสิง แต่อยู่แล้วก็อึดอัดไม่น้อย

ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงไม่รับราคานั้น จนเฉียนอ้ายกั๋วขับไล่ไปนานแล้ว

เฉียนอ้ายกั๋วเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “สาเหตุที่ขายบ้านหลังนี้ไม่ออกเพราะความคร่ำครึนี่แหละ เสนอราคาไปแค่หนึ่งพันสองร้อยหยวน จะมาฉวยโอกาสเอาเปรียบโดยการยอมจ่ายแค่แปดร้อยหยวนไม่ได้เด็ดขาด!”

หลินม่ายเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ฉันมีเงินแค่แปดร้อยหยวน”

เฉียนอ้ายกั๋วเป็นใบ้ไปชั่วขณะ สีหน้าอ่อนโยนลง แล้วเอ่ยว่า “มีอย่างที่ไหนจะซื้อบ้านแต่ไม่ยืมเงิน เธอแค่ไปขอยืมเงินเพื่อนสนิทสักสองสามร้อยหยวนก็จบแล้ว”

หลินม่ายเอ่ยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “แปดร้อยหยวนก้อนนี้เป็นเงินสดที่ฉันคาดการณ์ว่าจะยืมมาได้มากที่สุดแล้ว”

คำพูดนี้ของเธอทำเอาเฉียนอ้ายกั๋วจุกจนพูดไม่ออก “แต่ราคานี้มันต่ำเกินไป…”

หลินม่ายทอดถอนใจ “งั้นก็ช่างเถอะ ฉันไปหาหมู่บ้านอื่นก็ได้ ให้มันรู้ไปว่าจะไม่มีบ้านในราคาแปดร้อยหยวนเลยสักหลัง”

หมู่บ้านซานหยางอยู่ติดกับท่าเรือเยวี่ยฮั่นและถนนเส้นหลัก ดังนั้นราคาบ้านจึงสูงขึ้นหน่อย

ส่วนสถานีตี้เจี่ยวอยู่ห่างจากหมู่บ้านซานหยางยี่สิบสถานี ที่นั่นเป็นหมู่บ้านกลางเมืองที่มีขนาดใหญ่ อย่าว่าแต่จะซื้อบ้านก่ออิฐในราคาแปดร้อยหยวนเลย เกรงว่าแค่เจ็ดร้อยหยวนก็ซื้อได้แล้ว

เฉียนอ้ายกั๋วกระวนกระวายใจอยู่เล็กน้อย กลัวว่าจะปล่อยให้หลินม่ายหลุดมือไป จึงรีบเอ่ยว่า “เงินแค่แปดร้อยหยวนพอจะซื้อบ้านได้อยู่หรอก แต่จะมีทำเลตั้งอยู่ที่ไหนเท่านั้น!”

หลินม่ายทำเอาเขาจุกพูดไม่ออกอีกครั้ง “ฉันซื้อบ้านเพื่ออยู่ ทำเลไม่สำคัญ แค่อยู่ในฮั่นโขวก็พอแล้ว”

เฉียนอ้ายกั๋วเป็นใบ้อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฉันแยกบ้านออกมาอยู่เป็นการส่วนตัว เพิ่มความสะดวกต่อการทำงานและไปเรียน ฉันคงไม่ขายบ้านที่ตัวเองอยู่หรอก ราคาแปดร้อยหยวนมันต่ำเกินไปจริง ๆ เธอเพิ่มให้ฉันสักสองร้อยหยวน เป็นอันตกลงกัน ดีไหม?”

หลินม่ายไม่รีบคุยเรื่องราคา แต่กลับประจบประแจงเฉียนอ้ายกั๋วชั่วขณะหนึ่ง “เป็นคนงานก็ดี มีอาชีพที่มั่นคง ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้อง ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้า และไม่ต้องกังวลเรื่องที่อยู่ ไม่เหมือนชาวบ้านชนบทอย่างเรา จะมาปักหลักในเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเสียเงินซื้อบ้าน”

“นี่แหละชีวิจจริง”แม้ว่าเฉียนอ้ายกั๋วจะถูกยกยอปอปั้นจนอิ่มอกอิ่มใจไปบ้าง แต่เหตุผลก็ยังคงชัดเจน “ทุกอย่างในเมืองต้องใช้เงินทั้งนั้น รายจ่ายมากมาย ไม่เหมือนในหมู่บ้าน กินสิ่งที่ปลูกเอง ต้นทุนชีวิตต่ำ ประหยัดเงินได้ไม่น้อย”

ทั้งสองคนสวนกันไปมา ต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อกันและกัน

หลินม่ายต้องรีบกลับเมือง ไม่มีเวลาเสวนาพาทีกับเขามากนัก ต่อรองราคาแค่ครั้งเดียว แปดร้อยห้าสิบหยวน ถามเขาว่าจะขายหรือไม่ขาย ถ้าไม่ขายเธอก็กลับ

เฉียนอ้ายกั๋วเอ่ยด้วยสีหน้าหม่นหมองใจ “เพิ่มอีกห้าสิบหยวนสิ สักเก้าร้อยหยวน ฉันมีน้องชายอีกตั้งสามคน เก้าร้อยหยวนยังพอแบ่งกันได้”

หลินม่ายเกิดความลังเลอยู่นานมาก ในที่สุดก็ตอบตกลง

แต่เธอขอเสนอเงื่อนไข รออีกสองเดือนค่อยจ่ายเงิน

เฉียอ้ายกั๋วโกรธจนเกือบหงายหลังเงิบ “อีกสองเดือนกว่าเธอจะจ่ายเงิน แต่เธอรีบมาต่อรองราคากับฉันตอนนี้เนี่ยนะ!”

เขาคิดว่าขายบ้านได้ก็จะได้เงินเลย แล้วทำการแบ่งเงินกับน้องชาย ฉลองปีใหม่ด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะใช้กลยุทธ์นี้

หลินม่ายพยายามกลั้นอารมณ์ “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ฟังฉันพูดให้จบก่อน ตอนนี้ฉันจะให้เงินสดหนึ่งร้อยหยวนเป็นค่ามัดจำบ้าน ถ้าถึงวันที่สิบห้าเดือนสามปีหน้าฉันยังไม่จ่ายเงิน บ้านและเงินมัดจำจะตกเป็นของพี่ทันที พี่ไม่ขาดทุนแน่นอน ถ้าในระยะเวลานี้ถ้ามีคนมาเสนอราคาอยากซื้อบ้านของพี่ พี่ก็แค่คืนเงินค่ามัดจำให้ฉันก็จบเรื่อง พี่ไม่ต้องเสี่ยงเลยแม้แต่นิดเดียว”

สาเหตุที่เธอเสนอคำตอบนี้ นั้นเพราะตัดใจเอาเงินที่มีซื้อบ้านไม่ได้

เธอยังต้องใช้เงินที่มีรับซื้อเกาลัดมาขายในเมืองอยู่

เฉียนอ้ายกั๋วได้ยินก็หวั่นใจ บ้านของเขาขายออกยากมาก ให้แม่สาวน้อยตัวคล้ำคนนี้มัดจำไว้สักหน่อยก็ดี จะได้มีทางหนีทีไล่

เขาจึงพาหลินม่ายไปยังส่วนกลางของหมู่บ้าน เพื่อทำข้อตกลงซื้อขายกับผู้ใหญ่บ้าน หลินม่ายจ่ายเงินค่ามัดจำ ทั้งสองฝ่ายเซ็นชื่อประทับรอยนิ้วมือ บวกกับตราประทับของสมาชิกในหมู่บ้านเป็นอันเสร็จสิ้น

หลินม่ายต้องการกุญแจบ้านจากเฉียนอ้ายกั๋ว

เฉียนอ้ายกั๋วไม่สบอารมณ์กับการกลั่นแกล้งของเธอ จ่ายเงินไม่ครบทีหนึ่งยังต้องให้กุญแจบ้านกับเธออีก

เขายื่นกุญแจบ้านให้เธอหนึ่งชุด แต่เหลือไว้ที่ตัวเองอีกหนึ่งชุด กลัวว่าในสองเดือนนี้จะมีคนมาขอดูบ้าน เขาจะได้มีกุญแจพาคนเหล่านั้นเข้าไปดูในบ้าน

หลินม่ายกลับไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ แต่ขอร้องว่าทุกครั้งที่เข้ามาดูบ้านจะต้องมีผู้นำมาด้วย ป้องกันของใช้เสียหาย

เฉียนอ้ายกั๋วตอบรับ

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อซื้อบ้านจนได้ค่ะ นับถือกลยุทธ์การต่อรองราคาเลย

ต้องขออภัยด้วยนะคะที่มาช้า วันนี้ติดธุระกะทันหันทำให้ตอนที่ 26 มาไม่ทันค่ะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 24 อยากซื้อบ้าน

แรกเริ่มนั้นหลินม่ายเลือกขายเกาลัดคั่วในละแวกใกล้เคียงกับสถานีรถไฟ เพราะปัจจัยโดยรวมค่อนข้างสะดวก

ประกอบกับการทำธุรกิจในละแวกสถานีรถไฟนั้นเอื้อต่อการเดินทางไปกลับระหว่างเมืองกับชนบท ดังนั้นเธอจึงลงหลักปักฐานขายของที่นั่น

ถ้าทำธุรกิจในท่าเรือเยวี่ยฮั่น อาจจะไม่สะดวกต่อการไปกลับระหว่างเมืองกับชนบทก็ได้

เพราะท่าเรือเยวี่ยฮั่นนั้นห่างจากสถานีรถไฟมากโข ไม่เหมาะสมต่อการวิ่งไปรับของทุกวัน

จากท่าเรือเยวี่ยฮั่นนั่งต่อไปถึงสถานีรถไฟต้องใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า โชคดีที่สมัยนี้ไม่มีรถติด ยังกลับกับรถไฟได้ แค่ต้องเสียเวลาอยู่บนท้องถนนอยู่สามสี่ชั่วโมงต่อหนึ่งวัน

ดังนั้นถ้าอยากจะย้ายไปเปิดร้านในท่าเรือเยวี่ยฮั่น อันดับแรกต้องเช่าบ้านก่อน และต้องขนเกาลัดจำนวนสองพันกว่าชั่งมาไว้ที่นี้ด้วย

ระยะเวลาเพียงครึ่งเดือน ถ้าอยากย้ายร้านก็ต้องรีบคว้าไว้ ไม่อย่างนั้นเวลาเพียงครึ่งเดือนนี้คงจะผ่านไปเสียเปล่าประโยชน์

ก่อนออกเดินทาง หลินม่ายได้บอกกล่าวแม่เฒ่าผางและเหล่านักศึกษาไว้แล้ว ว่าเธอจะไม่มาเปิดขายที่นี่อีกนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป

ริ้วรอยบนใบหน้าที่ยากจะรับได้ของแม่เฒ่าผางเปลี่ยนไปมาก นางชำเลืองมองไปยังครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นด้วยสายตารังเกียจ

ก่อนจะเอ่ยกับหลินม่ายด้วยความโกรธเคือง “ทำไมเธอยอมแพ้ง่ายขนาดนี้? เธอมาก่อน แต่กลับถูกขับไล่ ไร้เหตุผลสิ้นดี!”

แม่เฒ่าผางเดินไปหาหลินม่ายด้วยความอาลัยอาวรณ์ เพราะถ้าเธอไปแล้ว คงทำเงินให้นางไม่ได้อีก ไม่ใช่เพราะนางชอบเธอหรอก เรื่องนี้หลินม่ายรู้แก่ใจดี

นักศึกษาเหล่านั้นทยอยกับโน้มน้าว “พี่สาวอย่าไปเลย เราจะคอยสนับสนุนพี่ทุกวันเลย”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็เพราะไม่อยากให้พวกเธอมาสนับสนุนฉันทุกวันนี่ไง ฉันเลยต้องไป ตัวฉันเองก็ทำให้พวกเธอเสียเวลาเรียนด้วย ความผิดบาปนี้มันหนักหนาเกินไป ฝากไปบอกหมอฟางด้วยนะว่าขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของเขา”

จากนั้นก็หันกลับมาเอ่ยกับแม่เฒ่าผางอีกครั้ง “ต่อไปถ้ามีเวลาฉันจะมาเยี่ยมคุณย่านะคะ”

ก่อนจะหยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็เอ่ยกระซิบข้างหูของแม่เฒ่าผางเสียงเบาว่า “คุณย่ามาขายอาหารเช้าครึ่งวันหน้าบ้านตัวเอง คิดว่าทำเงินไม่ได้เหรอ?”

แม่เฒ่าผางเอ่ยด้วยความลำบากใจ “ฉันทำอาหารเช้าไม่เป็นเลยต่างหาก”

ถ้าทำอาหารเช้าเป็น นางคงขายอาหารเช้าไปแล้ว จะมานั่งขายน้ำชาแบบนี้อยู่ทำไม!

หลินม่ายหมดคำพูดในทันที “คุณย่าทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋(1)ได้ไหมคะ อีกครึ่งเป็นไส้น้ำตาลขาว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งทำเป็นไส้ผักกาดดองแทน ฉันสอนคุณย่าทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ได้นะคะ”

นี่คืออาหารเช้าที่ง่ายที่สุดที่เธอคิดได้ ถ้าแม่เฒ่าผางยังทำข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ไม่ได้ เธอก็คงจะช่วยนางไม่ได้แล้ว

สาเหตุที่เธอช่วยนาง นั่นเพราะแม่เฒ่าผางมีคุณงามความดีไม่น้อยเลย

แม้ว่าแม่เฒ่าผางจะเข้ามาปฏิบัติดีต่อเธอเพราะเงิน แต่ก็ไม่ใช่เจ้าของบ้านทุกคนที่จะดีต่อเธอเพราะเงินที่ได้รับจากเธอ

 

เจ้าตัวให้เธอเช่าหน้าบ้าน เธอให้เงินนาง ยื่นหมูยื่นแมวถือว่ายุติธรรมดี

เรื่องของความยุติธรรม เจ้าของบ้านไม่ได้เอาเปรียบอะไรเธอ นางแสนดีกับเธอ และเมินเฉยเธอได้เช่นกัน

แม่เฒ่าผางวิ่งไปยังร้านค้าโดยรัฐบาลแห่งหนึ่ง ซื้อปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น ข้าวเหนียวครึ่งชั่ง ส่วนผักดองนั้นมีอยู่ที่บ้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อ

หลินม่ายเข้าไปในบ้านของหล่อน สอนนางทำข้าวเหนียวปาท่องโก๋อาหารประจำเมืองเจียงเฉิง

ข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ของเมืองเจียงเฉิงนั้นทำง่ายมาก แค่หั่นปาท่องโก๋ออกเป็นสี่ส่วน แล้วนำข้าวเหนียวนึ่งเกลี่ยลงให้เรียบบนผ้าขาวชื้นที่สะอาด ใส่ผักดองที่ผัดเรียบร้อยแล้วลงไป โรยน้ำตาลขาวไปด้วยยิ่งดี

จากนั้นก็วางปาท่องโก๋ลงด้านบน ใช้ผ้าขาวจับข้าวเหนียวม้วนเข้าหากัน ระหว่างนั้นทำการบีบกดเล็กน้อยไม่ให้ไส้กระจาย ไม่นานข้าวเหนียวห่อปาท่องโก๋ก็เป็นอันเสร็จสิ้น

แม่เฒ่าผางเรียนรู้จนเป็น หลินม่ายจึงพาโต้วโต้วจากไป

ก่อนออกเดินทางเธอเห็นหญิงหน้าไหว้หลังหลอกกำลังส่งรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างลำพองใจที่เป็นผู้ชนะใส่เธอ เธอได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์เท่านั้น

คิดว่าเธอไปแล้ว ครอบครัวของพวกเขาจะเป็นร้านเกาลัดแห่งเดียวบนถนนสายนี้สินะ?

ฝันไปเถอะ ฉันขายที่นี่ไม่ได้ พวกหล่อนก็อย่าหวังว่าจะขายได้!

หลินม่ายพาโต้วโต้วรถประจำทางสาธารณะไปยังท่าเรือเยวี่ยฮั่น จากนั้นก็ไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด นั่นคือ หมู่บ้านซานหยาง และเช่าที่ไหนสักแห่งในนั้น

สมัยนี้ บ้านพักของคนงานค่อนข้างแออัด อย่าคิดว่าจะเช่าบ้านในเขตเล็ก ๆ แห่งนี้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเช่าบ้านในเขตเมืองได้ เพราะบ้านที่สร้างนั้นมีขนาดกว้างขวางกว่า

ผลก็คือ หลังจากลองเดินเข้าไปในหมู่บ้านซานหยาง ก็ไม่มีใครยอมให้เช่า

หลินม่ายตั้งใจจะเดินหาในเมืองอื่น

โต้วโต้วเริ่มเหนื่อยเล็กน้อย หล่อนดึงมือของเธอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “คุณแม่ หนูเดินไม่ไหวแล้ว เราพักกันก่อนได้ไหม….”

บอกจะพักแต่ก็พักไม่ได้ เพราะตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงกว่า เช่าบ้านเสร็จแล้วยังต้องเดินทางกลับเมืองซื่อเหม่ยอีก

หลินม่ายคุกเข่าลง แล้วเอ่ยกับโต้วโต้วว่า “แม่แบกหนูเอง”

โต้วโต้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คุณแม่ไม่เหนื่อยเหรอคะ?”

หลินม่ายเอ่ยเร่งเร้า “รีบขึ้นมาเถอะ แม่ทุกคนบนโลกใบนี้มีพลังมหาศาล ไม่เหนื่อยหรอก”

โต้วโต้วจึงปีนขึ้นแผ่นหลังของเธออย่างเบิกบานใจ

หลินม่ายแบกหล่อนขึ้นหลังเตรียมจากไป

แต่หลังจากเดินต่อไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักลง

เพราะเธอเห็นป้ายประกาศขายบ้านที่แปะอยู่บนประตูไม้ที่ปิดสนิทบานหนึ่ง

เธอจำได้แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้คือหมู่บ้านแห่งแรกของเมืองเจียงเฉิงที่ถูกรื้อถอน

เพราะถูกรื้อถอนโดยรัฐบาล ดังนั้นรัฐบาลก็ต้องชดเชยอย่างมหาศาลเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ค่าดำเนินการที่สูงแล้ว แม้แต่พื้นที่ชดเชยของบ้านก็ยังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวอีกด้วย

รื้อถอนหนึ่งตารางเมตร ก็ต้องชดเชยให้ถึงสองตารางเมตร

เพราะอสังหาริมทรัพย์เพิ่งก้าวหน้า การรื้อถอนเป็นเรื่องที่ใหม่มาก ด้วยความที่รัฐบาลไม่มีประสบการณ์ จึงต้องชดเชยเป็นจำนวนมหาศาล

รอกระทั่งสถานการณ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ได้รับความนิยมมากขึ้น ระดับในการชดเชยของการรื้อถอนจึงยิ่งลดน้อยลง จะอาศัยการรื้อถอนมาหาเงินจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก

ตอนนี้ถ้าซื้อบ้านหลังหนึ่งที่นี่ รอรื้อถอนในยุค 90 บ้านหลังเก่าจะกลายเป็นบ้านใหม่สองหลัง ส่วนเงินค่าดำเนินการต้องมีราคาไม่ต่ำกว่าอย่างน้อยห้าหมื่นหยวน ถึงจะได้รับเงิน

แต่น่าเสียดายที่บนป้ายประกาศไม่ได้เขียนบอกถึงจำนวนราคาของตารางเมตรที่ชัดเจน ถ้าไม่แพงเกินไป ซื้อไว้คงไม่เลว

หลินม่ายทำการสอบถามราคาจากพวกชาวบ้าน ซึ่งพวกชาวบ้านไม่ค่อยรู้นัก เลยพูดกันว่าประมาณหนึ่งกว่าหยวน

ราคานี้ถือว่าเหมาะสมมาก

หลินม่ายถามถึงสาเหตุที่ต้องขายบ้านจากพวกชาวบ้าน เรื่องนี้สำคัญมาก เกิดเป็นบ้านผีสิงหรือเกี่ยวข้องอะไรแบบนั้นคงซื้อไม่ได้

พวกชาวบ้านบอกเธอว่า เจ้าของบ้านจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว ลูก ๆ ของเขาก็มีบ้านของตัวเอง เลยจะขายบ้านหลังนี้ แบ่งทรัพย์สินอย่างเท่าเทียมกัน

พวกชาวบ้านล้อมเข้ามาคุยกับพวกชาวบ้านอย่างจริงจัง มีคนชี้ไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินมาทางพวกเขาพลางเอ่ยว่า “อ้ายกั๋วมาแล้ว”

จากนั้นก็มีคนแนะนำให้หลินม่ายได้รู้จัก “เขาคือเฉียนอ้ายกั๋วลูกชายคนโตขจองเจ้าของบ้านคนเก่า”

เฉียนอ้ายกั๋ว…ชื่อนี้ฟังแล้วหมดคำพูดจริงๆ ….

เฉียนยอ้ายกั๋วเดินตามเข้ามาถามว่า “มีคนอยากซื้อบ้านของเราเหรอ?”

ชาวบ้านต่างชี้ไปยังหลินม่าย “สาวน้อยคนนี้อยากซื้อบ้านหรือไม่นั้นเราไม่รู้ รู้แค่ว่าหล่อนมาสอบถามราคา”

เฉียนอ้ายกั๋วเห็นสองแม่ลูกหลินม่ายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดูยากจน อีกทั้งผิวพรรณของหลินม่ายยังหมองคล้ำหยาบกร้าน ไม่ได้รับการบำรุงที่ดีเท่าไหร่ ทันทีที่เห็นก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เศรษฐีมีเงิน เลยอดผิดหวังไม่ได้

แต่ก็ยังไม่วายถามประโยคหนึ่ง “เธออยากซื้อบ้านเหรอ?”

หลินม่ายตอบเสียงเรียบ “รอดูบ้านก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งว่าจะเอาหรือไม่เอา”

เฉียนอ้ายกั๋วหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู

บ้านอิฐที่ดูธรรมดาได้ดึงดูดสายตาของหลินม่าย

เฉียนอ้ายกั๋วสาธยายให้เธอฟังอยู่ข้างกาย “ห้องนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ลานกว้างด้านหน้ามีพื้นที่แปดสิบตารางเมตร รวมกันเป็นหนึ่งร้อยแปดสิบตารางเมตร นี่คือต้นแอปเปิลหนึ่งต้น นี่คือต้นทับทิม และก็ต้นองุ่น อย่ามองว่าในฤดูหนาวต้นองุ่นเหลือแต่เครือ รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิก่อนมันจะออกใบมากกว่านี้ ฤดูใบไม้ร่วงในทุกปีเต็มไปด้วยองุ่นที่ออกลูกออกผล อย่างน้อยก็ให้ผลกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบกิโลกรัม”

 ถัดไปเป็นประตูใหญ่ของห้อง ตรงหน้าของหลิรนม่ายตอนนี้คือโครงสร้างรูปห้องทรงเก่า 

ตรงกลางเป็นห้องที่มีความยาวแปดเมตร มีความกว้างสี่เมตร ประมาณสองห้อง หนึ่งในห้องนั้นสร้างขึ้นเป็นห้องครัว ดังนั้นห้องครัวเลยใหญ่ขึ้น

………………………………………………………………………………………………………………………

糯米包油条 เป็นของว่างประจำเมืองเจียงหนาน เป็นข้าวเหนียวนึ่งห่อปาท่องโก๋และสารพัดไส้

สารจากผู้แปล

คิดว่าแย่งที่ขายเกาลัดได้แล้วเจ๋งนักเหรอ ม่ายจื่อเตรียมซื้อบ้านแล้วเถอะ ถึงคราวนั้นได้ค่าตอบแทนมากกว่าพวกหล่อนหลายร้อยเท่าอีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 23 ช่วยอย่างเงียบ ๆ 

หลินม่ายรู้ลึก ๆ ในใจว่าเกาลัดของตัวเองไม่มีความพิเศษแต่อย่างใด เหตุผลที่ขายดีก่อนหน้านั้นเพราะเป็นร้านที่เปิดบริการเพียงเจ้าเดียว

ตอนนี้มีคู่แข่งแล้ว ทั้งยังตั้งใจตั้งราคาให้ต่ำกว่าอีกด้วย เกรงว่ากิจการในวันนี้คงจะไม่ค่อยดีนัก

แม้ว่าการทำธุรกิจจะเป็นการโน้มน้าวใจคน แต่นี่คือเงื่อนไขที่จำเป็น

ยกตัวอย่างเช่นรายการอาหารอย่างหมูตงพอ*ที่ถูกขายเหมือนกัน หากวางขายอยู่ในร้านค้าทั่วไป ราคาจะค่อนข้างต่ำ

แต่เมื่อวางขายในร้านอาหารที่มีระดับขึ้น ประกอบกับการนำเสนอและการบริการ ย่อมถูกตั้งในอีกราคาหนึ่ง

แต่แผงขายของของเธอในตอนนี้ไม่ได้แตกต่างไปจากร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น แม้แต่เกาลัดก็ยังไม่มีความแตกต่างกัน รูปแบบการโน้มน้าวใจคนจึงไม่ได้มีอิทธิพลมากมายนัก

หลินม่ายเตรียมตัวเก็บร้านตลอดเวลา แต่เธอต้องเปิดร้านแข่งกับร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นเสียก่อน

เมื่อมีลูกค้าเดินไปซื้อเกาลัดจากร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น เธอก็รีบตะโกนเสียงดังทันที “เกาลัดสามเหมาต่อชั่ง ครึ่งชั่ง 1.5 เหมาจ้า!”

ทันทีที่หญิงหน้าไหว้หลังหลอกได้ยินก็โกรธเกรี้ยวเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ถึงอย่างไรคงโทษหลินม่ายไม่ได้ หล่อนเป็นฝ่ายเริ่มตั้งราคานี้ก่อน

เมื่อเห็นลูกค้าจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามายังร้านของหลินม่าย หล่อนจึงยิ่งบันดาลโทสะ

ในเมื่อวันนี้หล่อนยังทำเงินไม่ได้ หล่อนก็ไม่ยอมให้ธุรกิจของหลินม่ายขายได้เหมือนกัน หล่อนเก็บร้านด้วยความไม่พอใจ  ถ้าร้านของพวกหล่อนขายสี่เหมา ก็คงทำเงินได้เหมือนกัน

ดังนั้นหล่อนจึงรีบตะโกน “เกาลัดไหมจ๊ะ หนึ่งชั่งสองเหมา ครึ่งชั่งหนึ่งเหมาเท่านั้นจ้ะ เร่เข้ามาได้เลย”

ในเวลานี้ ลูกค้าโดยส่วนใหญ่ต่างแห่กันไปยังแผงร้านที่สองของหล่อน ทำให้แผงร้านของหลินม่ายที่อยู่ด้านหน้าเริ่มสงบลง

เมื่อวานฟางจั๋วหรานต้องเข้ากะกลางคืน วันนี้คือวันพักผ่อน ดังนั้นเขาเลยจึงอยากมาเหมาซื้อเกาลัดสักหลาย ๆ ชั่ง ดูธุรกิจของเธอเสียหน่อย และถือโอกาสถามแม่เฒ่าผางว่าได้นำของบำรุงให้เธอไปแล้วหรือไม่

แต่เมื่อเห็นว่าร้านของเธอไม่มีลูกค้าเหมือนกับก่อนหน้านั้น แต่ร้านที่อยู่ถัดไปจากเธอกลับขายดี

เขาจึงเดินเข้าไป แล้วเอ่ยถามด้วยความฉงน “ทำไมธุรกิจของเธอถึงแย่ลงแบบนี้ล่ะ?”

หลินม่ายเงยหน้าขึ้นพบว่าเป็นเขา จึงคลี่ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณสำหรับของบำรุงเหล่านั้นของเขา

ฟางจั๋วหรานมองพิจารณาผิวทั้งสองแม่ลูกอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าดีขึ้นกว่าคราวที่แล้ว ดูเหมือนจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย

จึงโบกมือไปมา “เรื่องเล็ก ไม่ต้องขอบคุณหรอก”

ก่อนจะถามอีกครั้งว่าทำไมร้านของเธอถึงขายไม่ดี

หลินม่ายบอกถึงต้นสายปลายเหตุกับเขา จากนั้นก็ห่อเกาลัดให้เขาหลายห่อ “ไหน ๆ วันนี้เกาลัดพวกนี้ก็ขายไม่ออกแล้ว คุณช่วยฉันซื้อไปตั้งหลายชั่ง ช่วยลดความเสียหายของสินค้าไปได้เยอะทีเดียว”

ฟางจั๋วหรานยิ้มพลางยื่นมือออกไปรับ แล้วกล่าวขอบคุณ เตรียมเดินจากไป

แต่ก่อนกลับเขาได้หันกลับไปมองแผงร้านขายเกาลัดแห่งที่สองของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกหลายครั้งด้วยสายตาเย็นชา

จากนั้นเขาก็ตรงกลับมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ทันที เรียกระดมนักศึกษาของตัวเอง ให้พวกเขาช่วยเจียดเวลาในวันนี้ บอกกล่าวเพื่อนให้ไปซื้อเกาลัดร้านของหลินม่าย ในราคาหนึ่งชั่งสี่เหมา

แล้วยังบอกอีกว่าให้มารับเงินที่ซื้อเกาลัดไปจากเขา

กระทั่งมีนักศึกษาถามด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ฟาง ทำไมต้องซื้อเกาลัดในราคาหนึ่งชั่งสี่เหมาด้วยล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานจึงบอกถึงสาเหตุที่มีคนหวังร้ายตั้งใจแข่งขันกับร้านของหลินม่ายกับนักศึกษาคนอื่น

จนมีนักศึกษาชายอีกหลายคนเอ่ยถามด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด “อาจารย์ฟาง เจ้าของร้านคนนั้นเป็นผู้หญิงใช่ไหมครับ?”

“แล้วพวกเธอคิดว่าไงล่ะ?” ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยท่าทีสงบ “ถึงจะเป็นผู้หญิง แต่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว หอบลูกมาเปิดแผงขายของไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันจึงอยากช่วยหล่อนไง”

เหล่านักศึกษาพากันผิดหวัง คิดว่าคนที่พวกเขาช่วยเป็นว่าที่ภรรยาของอาจารย์ ที่แท้ก็ไม่ใช่

แต่การได้ช่วยเหลือคนด้อยโอกาสสักคน วัยรุ่นเลือดร้อนเหล่านี้เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง

“ก็แค่ซื้อเกาลัดจำนวนหนึ่งชั่งสี่เหมาไม่ใช่เหรอ? แถมยังเบิกเงินคืนจากอาจารย์ฟางได้ด้วย! อาจารย์ฟางแค่อยากช่วยผู้ด้อยโอกาส เราอยากทำเรื่องดี ๆ บ้างไม่ได้เลยเหรอ?”

นักศึกษาต่างพากันบอกเล่าสิบคน จากสิบคนสู่ร้อยคน กระทั่งรวมตัวกันไปซื้อเกาลัดร้านของหลินม่าย

หลินม่ายเตรียมตัวจะเก็บร้านกลับบ้าน จู่ ๆ ก็มีวัยรุ่นกลุ่มใหญ่พากันมาซื้อเกาลัดของเธอ

แม้จะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ในเมื่อมีลูกค้ามาเยือนถึงหน้าร้าน เธอก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน หยุดมือที่กำลังเก็บร้าน แล้วทำการขายของต่อไป

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกเห็นดังนั้นก็รีบตะโกนเรียกลูกค้าทันที “เกาลัดสดหอม ๆ จ้า หนึ่งชั่งสองเหมาเท่านั้น เร่เข้ามาเร็วเข้า ไม่งั้นพลาดนะจ๊ะ!”

เมื่อเห็นวัยรุ่นเหล่านั้นไม่เคลื่อนไหว จึงวิ่งเข้ามาลากตัวพวกเขา “อย่าไปซื้อเกาลัดร้านหล่อนเลย เกาลัดร้านของหล่อนขายตั้งสี่เหมาต่อชั่ง แพงจะตายไป ร้านฉันขายแค่สองเหมาต่อชั่งเองจ้ะ”

ตั้งใจจะกดราคาให้ต่ำกว่าก็ว่าเกินไปแล้ว นี่ถึงขั้นวิ่งมาลากตัวลูกค้าของเธออีก ชักจะเกินไปแล้ว

หลินม่ายทนไม่ไหวอีกต่อไป

เธอไม่สนใจแม้แต่จะคั่วเกาลัดต่อ โยนไม้พายทิ้งแล้วเดินมาผลักหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น “อายุมากเสียเปล่า แต่หน้าไม่อายสิ้นดี วิ่งเข้ามาลากตัวลูกค้าร้านของคนอื่นหน้าด้าน ๆ!”

ลูกชายและลูกสะใภ้ของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกต่างโยนไม้พายทิ้ง แล้วล้อมเข้ามา ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ “เราวิ่งไปลากลูกค้าจากร้านของเธอแล้วจะทำไม? พูดเหมือนกับว่าเธอจะทำอะไรกับเราอย่างนั้นแหละ!”

เมื่อนักศึกษาเหล่านั้นเห็นหญิงหน้าไหว้หลังหลอกกำลังรังแกงหลินม่าย ก็พากันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ 

เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน จากนั้นก็ผลักหญิงหน้าไหว้หลังหลอกออกไป ก่อนจะกล่าวด้วยความแค้นเคือง “ทำไม?  คิดจะหมาหมู่รังแกคนอื่นเหรอ? ผมชักอยากเห็นแล้วสิว่าพวกคุณเยอะกว่า หรือพวกผมที่มีจำนวนเยอะกว่า!”

ครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกพากันอึ้งงันไปชั่วขณะ ทำไมพวกเขาจะคาดไม่ถึงว่าเด็กพวกนี้ตั้งใจปกป้องหลินม่าย

กระทั่งมีเด็กผู้หญิงอีกไม่น้อยตะโกนเสียงดังขึ้น “เกาลัดของพี่สาวขายแพงกว่าแล้วทำไม?  สินค้าสมราคา แถมเกาลัดของพี่สาวก็อร่อยมากด้วย! อย่าว่าแต่เกาลัดร้านป้าขายแค่สองเหมาต่อชั่งเลย ต่อให้ขายสองเฟินต่อชั่งฉันก็ไม่ซื้อ กลัวว่ากินเข้าไปแล้วจะทำให้จิตใจสกปรกแบบพวกป้า!”

ครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกพากันโมโหเดือดดาล

นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้พากันมาซื้อเกาลัด กระทั่งบ่ายสองโมงเกาลัดของหลินม่ายก็ถูกขายจนหมดเกลี้ยง

เกาลัดของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นกลับยังขายไม่ออกเลยกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์

แม้จะบอกว่าเกาลัดร้านหล่อนจะขายในราคาถูกกว่า แค่สองเหมาต่อชั่งเท่านั้น 

แต่ลูกค้าคนหนึ่งทนแรงโน้มน้าวของนักศึกษาที่กำลังห้อมล้อมร้านเกาลัดของหลินม่ายไม่ไหว ดังนั้นร้านของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกเลยขายไม่ออกแต่อย่างใด

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ก็จนปัญญา จำนวนของนักศึกษาพวกนั้นมีมากเกินไป พวกเขาไม่กล้าเข้าไปก่อกวนเลยแม้แต่น้อย

ในฐานะที่เป็นคนกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วย่อมไม่โง่ซ้ำสอง ยิ่งไปกว่านั้นชาติที่แล้วหลินม่ายก็เป็นเจ้าแห่งนักชิมของมณฑลหูเป่ย ต้องมีสติตื่นตัวตลอดเวลา

เมื่อบังเอิญได้ยินว่าหนึ่งในนักศึกษาเหล่านั้นบอกว่าตัวเองเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ หลินม่ายจะเดาไม่ออกได้อย่างไรว่าฟางจั๋วหรานช่วยเธออยู่เบื้องหลัง

แต่การทำธุรกิจจะรอให้เจ้าตัวมาช่วยได้ทุกวันไม่ได้ โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้

อีกอย่างเธอไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งพาคนอื่นอะไรเทือกนั้น

ถ้าครอบครัวของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกยังอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่มีทางทำธุรกิจต่อไปได้ หลินม่ายจึงเตรียมจะย้ายร้าน

ในอดีตเธอเอาแต่เตร็ดเตร่อยู่ในเมืองเจียงเฉิงกว่าครึ่งชีวิต ย่อมรู้ดีว่าพื้นที่ตรงไหนในเมืองเจียงเฉิงถือว่าเป็นทำเลที่ดี

ผู้คนส่วนมากต่างเข้าใจผิดคิดว่าการทำธุรกิจแถวสถานีรถไฟจะไปได้สวย คิดว่ามีจำนวนคนเยอะ

ความจริงแล้วการทำธุรกิจแถวสถานีรถไฟในสมัยนี้ไม่ใช่ทำเลที่ดีที่สุดของเมืองเจียงเฉิง

ทำเลที่ดีสุดคือท่าเรือเยวี่ยฮั่นที่เป็นท่าเรือข้ามฟากเมืองฮั่นโขวใกล้กับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ท่าเรือข้ามฟากเมืองอู๋ชางที่อยู่ตรงข้ามก็ยังดีไม่เท่า

แม้ว่าเศรษฐกิจของท่าเรือข้ามฟากเมืองอู๋ชางในสมัยนั้นจะไม่เลว แต่คนในเขตอู๋ชางกลับชื่นชอบการจับจ่ายซื้อของในเขตฮั่นโขวมากกว่า

เพราะห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในเมืองเจียงเฉิงแทบจะกระจุกรวมอยู่ตรงท่าเรือฮั่นโขวเพียงที่เดียว

แต่หลังจากเขตท่าเรืออู๋ชางสร้างย่านธุรกิจกู่ชางและย่านธุรกิจสูตงขึ้นมา คนที่มาซื้อของจากท่าเรือฮั่นโขวจึงน้อยลง

หลินม่ายจึงตั้งใจไปขายเกาลัดที่ท่าเรือเยวี่ยฮั่นซึ่งอยู่ในเขตท่าเรือข้ามฟากฮั่นโขว  ซึ่งธุรกิจที่นั่นไม่แย่ไปกว่าธุรกิจแถวสถานีรถไฟแต่อย่างใด

………………………………………………………………………………………………………………………..

*หมูตงพอ หรือ หมูตงปอ ภาษาจีนเรียก ตงพัวโร่ว (จีนตัวเต็ม: 東坡肉; จีนตัวย่อ: 东坡肉; พินอิน: dōngpōròu) เป็นอาหารประจำเมืองหางโจว

สารจากผู้แปล

พี่หมอเปย์หนักมากป๋ามาก ภาวนาขอให้เป็นพระเอกของน้องเถอะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 22 เจตนาไม่ดีหวังแย่งธุรกิจ

หลินม่ายตะลึงงันไปชั่วขณะ

ที่ฟางจั๋วหรานซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้มาให้พวกเธอสองแม่ลูกเพื่อตอบแทนน้ำใจเกาลัดถุงนั้นเหรอ?

แต่ที่ให้เกาลัดถุงนั้นไปก็เพราะเขาช่วยเธอไว้ เธอเลยตอบแทนแฟนของของเขา

แต่นอกจากเหตุผลนี้แล้ว เธอก็ยังหาเหตุผลที่ฟางจั๋วหรานต้องลงทุนซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้มาให้พวกเธอสองแม่ลูกไม่ได้เลย

เมื่อแม่เฒ่าผางเห็นหลินม่ายเก็บของบำรุงผิวสองสามกล่องเหล่านั้นลงในกระเป๋า จึงได้เอ่ยกับเธออีกเรื่อง

“เมื่อวานหลังจากที่เธอเก็บแผงลอยและจากไปแล้ว ก็มีหญิงวัยกลางคนวิ่งมาถามเพื่อนบ้านว่าเธอบริหารกิจการยังไง ต้องมีภูมิหลังอะไรหรือไม่ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นต้องอยากแย่งกิจการไปจากเธอแน่นอน”

หลินม่ายจึงถามถึงรูปพรรณสัณฐานของหญิงวัยกลางคนคนนั้น

แม่เฒ่าผางได้อธิบายอย่างละเอียดว่า “หน้าแหลมแก้มตอบเหมือนลิง รูปตาเป็นสามเหลี่ยม เห็นเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี! “

นี่มันลักษณะหน้าตาของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นใช่ไหม?

หลินม่ายออกแรงคั่วเกาลัดอย่างสุดแรงพลางเอ่ยว่า “ต่อให้หล่อนแย่งกิจการไป ถึงตอนนั้นเราก็ขวางไม่ได้น่ะค่ะ”

แม่เฒ่าผางทอดถอนใจอย่างไม่สบอารมณ์แทนเธอ

หลังจากเก็บแผงลอยในช่วงบ่ายแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปเดินเล่นตลาดมืดสักหนึ่งรอบ เพื่อซื้อครีมตลับหอยและครีมไป๋เชว่หลิงอีกหนึ่งกล่อง

ด้วยความต้องหาเงิน เธอจึงไม่สนใจจะซื้อของบำรุงผิวเหล่านี้ให้พวกเธอสองแม่ลูกเลย

กระทั่งฤดูหนาวในของเมืองเจียงเฉิงมาเยือน สายลมอันหนาวเหน็บโดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำลายผิว แต่เมื่อใดที่อยู่หน้าเตาไฟ มันจะถูกแผดเผาจนสูญเสียน้ำและแตกระแหงได้ง่าย ของบำรุงผิวเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องใช้

เมื่อซื้อของบำรุงเหล่านี้มาแล้วจึงขึ้นรถไฟกลับบ้านของคุณย่าฟางทันที แล้วหลินม่ายก็นำของบำรุงที่ฟางจั๋วหรานซื้อมาให้พวกเธอสองแม่ลูกยกให้คุณย่าฟาง

คุณย่าฟางเอ่ยด้วยความดีใจ “ฉันอายุอานามก็มากแล้ว จะใช้ครีมตลับหอยกับครีมไป๋เชว่หลิงไปทำไม? เธอเก็บไว้ใช้กับตัวเองและโต้วโต้วเถอะ”

หลินม่ายล้วงหยิบของบำรุงผิวที่ตัวเองซื้อมากออกมาจากกระเป๋า “เรามีแล้วค่ะ ของเหล่านี้เป็นของที่คุณหมอฟางซื้อมาให้คุณย่ากับคุณปู่ฟาง ฉันแค่ช่วยขนมันกลับมาให้พวกคุณเท่านั้น”

คุณย่าฟางได้ยินดังนั้นก็พาลโกรธเคือง “จั๋วหรานเจ้าเด็กคนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งเกรงใจมากขึ้นทุกที”

คุณปู่ฟางได้ยื่นหน้าเข้ามา ให้คุณย่าฟางยกของบำรุงผิวที่เจ้าหลานตัวดีของเขาซื้อมาให้เขา

คุณย่าฟางมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ “อาวุโสคนไหนบ้างยังต้องใช้ของบำรุงพวกนี้!”

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ก็ยังหยิบครีมตลับหอยให้เขากล่องหนึ่ง คุณปู่ฟางดีใจเริงร่าทีเดียว

สามวันผ่านไป ก็ถึงวันที่หลินม่ายเปิดแผงขายเกาลัดอยู่ในเมืองเจียงเฉิงมาแล้วครึ่งเดือน

เธอคิดว่าหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นจะมาแย่งชิงธุรกิจกับเธอหลังจากได้เข้ามาสอบถามถึงสถานการณ์การทำธุรกิจของเธอจากเพื่อนบ้านแล้ว

คาดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปแล้วสามวัน หล่อนกลับไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ยังคงแอบซุ่มดูเธอได้ทุกวัน คาดว่ายังกังวลถึงเรื่องแผงลอยอยู่

เมื่อสามปีก่อน ถ้าจับแผงลอยของใครได้จะต้องเกิดการปะทะกันขึ้น หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นคงจะหวาดกลัว ถึงได้แต่เฝ้าสังเกตการณ์อย่างลังเล

หลินม่ายเมินเฉย เธอไม่ได้แย่งธุรกิจของใคร เธอแค่บริหารธุรกิจของตัวเองให้ดีก็พอ

ต่อให้หล่อนมาแย่งธุรกิจของเธอ แค่ไม่เกินเลย ทุกคนสามารถหาเงินได้หลากหลายวิธี

วันนี้เป็นวันที่สิบห้าของการตั้งแฝงขายเกาลัดในเมืองเจียงเฉิงของหลินม่าย

หลังจากที่เธอเปิดแผงลอยขายของหน้าบ้านของแม่เฒ่าผางได้ไม่นาน ก็เริ่มทำการคั่วเกาลัด ไม่นานหญิงหน้าไหว้หลักหลอกสกุลอู๋ก็พาลูกชายและลูกสะใภ้ของหล่อนแบกถุงเกาลัดมา ขนหม้อ ฟืนไม้และเตาไฟเดินเข้ามา เปิดแผงขายอยู่หน้าบ้านของเพื่อนบ้าน

หญิงเจ้าของบ้านถักทอเสื้อไหมพรมพลางกล่าวทักทายหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นเสียงดัง แต่ก็ยังมองเยาะเย้ยหลินม่ายแวบเดียวแทบจะตลอดเวลา

ถ้าแค่ใช้สายตานั้นเยาะเย้ย หลินม่ายไม่เก็บมาใส่ใจหรอก เธอทำธุรกิจ ไม่มีเวลามานั่งทะเลาะด้วย

แต่เมื่อหญิงวัยกลางคนในบ้านถัดไปเห็นท่าทางเธอดูไม่สนใจอะไร คิดว่าเธอคงกลัวหล่อน จึงยิ่งเยาะเย้ยหนักข้อกว่าเดิม ยุยงให้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกนั้นกำจัดเธอ แล้วผูกขาดตลาดบนถนนทั้งสายเพียงผู้เดียว ซึ่งเรื่องนี้คงทนไม่ได้

หลินม่ายยิ้มเยาะเย้ยพลางเอ่ยว่า “คุณพี่ จะจีบปากจีบคอพูดให้เปลืองน้ำลายทำไมคะ พี่ไม่ซื้อโทรโข่งไปเลยล่ะ ไม่ว่าพี่จะพูดอะไร คนที่อยู่บนถนนเส้นนี้ทั้งสายก็คงได้ยินกันถ้วนหน้าแล้ว!”

ใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังถักทอเสื้อไหมพรมพลันเคร่งขรึมลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา “เธอว่าวันนี้เกาลัดเหล่านี้จะขายหมดเกลี้ยงไหม?”

หลินม่ายเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ “ต่อให้ขายไม่ได้ฉันก็ไม่ให้คุณชิมสักเม็ดหรอก คุณจะมากังวลไปทำไม!”

หญิงวัยกลางคนที่นั่งถักเสื้อไหมพรมถูกคำพูดเหล่านั้นตบหน้าจนสีหน้าย่ำแย่ลงทันตา

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นกลับยิ้มพลางกล่าวทายหลินม่ายด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร “เราเองก็มาเปิดแผงลอยที่นี่เหมือนกัน เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”

หลินม่ายส่ายหน้า “ฉันจะไปว่าอะไรได้? ต่อให้คุณบริหารธุรกิจดีแค่ไหนก็ต้องเสียค่าแผงลอยเสมอ แต่ฉันไม่ต้องจ่ายค่าแผงลอยสักแดงเดียว”

สีหน้าของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนั้นหม่นหมองลงในทันที จากนั้นก็เอ่ยกับหญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปว่า “ฉันว่าเธอหน้าเลือดเกินไปหน่อยมั้ง หลอกฉันว่าหล่อนต้องจ่ายค่าเช่าแผงวันละหนึ่งหยวน แล้วบอกว่าจะลดราคาลงครึ่งหนึ่งเป็นห้าเหมาให้ฉัน ที่ไหนได้แผงลอยของหล่อนไม่ต้องเก็บค่าเช่าที่!”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปรีบเข้ามาอธิบายทันที  “พวกหล่อนเป็นญาติกัน”

หญิงหน้าไหวหลังหลอกสกุลอู๋เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เมื่อวานเธอไม่ได้พูดแบบนี้นี่ ฉันไม่สน เธอต้องคืนเงินให้ฉันครึ่งหนึ่ง แผงลอยสองที่นี้เธอเรียกเก็บเงินได้เพียงห้าเหมาต่อหนึ่งแผงเท่านั้น”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปกลอกตามองบนแล้วเอ่ยกลับ “แผงลอยละห้าเหมา ฉันไม่ให้เช่าหรอก!”

หญิงวัยกลางคนสกุลอู๋คนนั้นก็บ้าดีเดือดขึ้นมาทันที “เธอจะให้เช่าหรือเปล่า  ถ้าไม่ให้เช่า เราก็จะไปเช่าคนอื่นแทน ถนนเส้นนี้ยาวขนาดนี้ ไม่ได้มีครอบครัวเดียวที่อยู่ติดกับถนนเสียหน่อย!”

หญิงวัยกลางคนที่ถักเสื้อไหมพรมดูโง่ไปชั่วขณะ

หล่อนต้องเปลืองน้ำลายไปไม่น้อยกว่าจะเกลี่ยกล่อมให้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนี้ยอมเปิดแผงขายหน้าบ้านของหล่อน

ถ้าพวกหล่อนไปเปิดแผงขายหน้าบ้านของคนอื่น ก็เท่ากับว่าที่หล่อนพยายามมาทั้งหมดก็สูญเปล่า เป็นการช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จนะสิ?

หล่อนไม่ยอมกลายเป็นตัวตลกในสายตาของแม่เฒ่าผางและหลินม่ายแน่นอน!

อีกอย่างคนบ้านสกุลอู๋ได้เปิดแผงขายอยู่หน้าบ้านของหล่อนด้วย ต่อให้คิดค่าแผงขายแผงละห้าเหมาต่อวัน แต่อย่างน้อยหล่อนก็ยังได้เงินวันละห้าเหมาในหนึ่งวัน ย่อมดีกว่าไม่มีรายได้เข้ามาแม้แต่หยวนเดียว ด้วยเหตุนี้จึงทำได้แค่ตอบรับด้วยสีหน้าถมึงทึง

แต่นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปจะเริ่มลดราคา ในเมื่อรับเงินในวันนี้มาแล้ว หล่อนไม่มีทางคืนให้เด็ดขาด

ทั้งสองฝ่ายจึงได้หยุดทะเลาะกัน

ไม่นาน เกาลัดของหลินม่ายก็ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนพาให้น้ำลายหก มีลูกค้าเก่าต่างแวะเวียนเข้ามาอย่างเป็นกันเอง พวกเขาคลี่ยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “เอาเกาลัดให้ฉันหนึ่งชั่งหน่อยจ้ะ”

“ได้เลยค่ะ!” หลินม่ายตอบรับอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็หยิบตาชั่งขึ้นมาเตรียมชั่งปริมาณของเกาลัด

จู่ ๆ หญิงหน้าไหว้หลังหลอกสกุลอู๋ก็ตะโกนเสียงดัง “ขายเกาลัดจ้า!เกาลัดสด หอม ๆ ยั่ว ๆ จ้า หนึ่งชั่งสามเหมาเองจ้า!”

ลูกค้าเก่าคนนั้นอึ้งงันไป ก่อนจะหันไปถามว่า “เกาลัดของเธอสามเหมาต่อชั่งเหรอจ๊ะ?

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นพยักหน้าทันที “ใช่จ้ะ หนึ่งชั่งสามเหมา ถ้ามาซื้อเกาลัดกับเรา ถูกลงไปตั้งหนึ่งเหมา เพียงพอที่จะซื้อหมั่นโถวได้อีกตั้งสองลูกเลยนะจ๊ะ”

หญิงวัยกลางคนของบ้านถัดไปได้ตะโกนขึ้นเสียงดังจากด้านข้าง “ใช่ ขายถูก จะได้กำจัดธุรกิจของนังข้าวนอกนาพวกนั้นไปด้วย!”

หากไม่ใช่เพราะนังข้าวนอกนานั่นมาก่อปัญหา เจ้าตัวจะกดเงินค่าเช่าของหล่อนแบบนี้ไหม !

หล่อนอยากจะขับไล่ธุรกิจของนังชั้นต่ำนั่นออกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

ลูกค้าเก่าเกิดหวั่นใจ แต่กลับไม่ลืมที่จะถามหลินม่ายสักเสียง “ แล้วเธอจะขายเกาลัดในวันนี้ยังไง?”

หลินม่ายมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาแล้วหลายสิบปีในชีวิตก่อนหน้านั้น แม้ว่าการขายในราคาต่ำจะมีข้อได้เปรียบ แต่ถ้าเล่นกับใจคน ต่อให้ราคาสูงอย่างไรก็ยังมีคนซื้อ

เธอช่างเกาลัดบนตาชั่ง แล้วทำการคั่วเกาลัดต่อไป “คุณภาพสินค้าต่างกันน่ะค่ะ ฉันเลยขายสี่เหมาต่อชั่งเหมือนเดิม ลดให้ต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว คุณไปซื้อร้านถัดไปก็ได้ค่ะ”

ยิ่งเธอดูสงบไม่อนาทรร้อนใจ ลูกค้าเก่าคนนั้นก็ได้แต่มองพิจารณาแผงลอยทั้งสองตรงหน้าหญิงหน้าไหว้หลังหลอกด้วยความลังเล

กระทั่งหญิงหน้าไหว้หลังหลอกทนไม่ไหว พรวดพราดเข้ามาหาเรื่องหลินม่ายกันซึ่งหน้า “ไม่เหมือนกันตรงไหน? มันก็คือเกาลัดเหมือนกัน!”

เกาลัดของหญิงหน้าไหว้หลังหลอกนั้นไม่หอม ลูกค้าเก่าคนนั้นจึงเกิดความสงสัยว่าสิ่งที่หลินม่ายกล่าวไว้เป็นความจริง สุดท้ายก็ซื้อเกาลัดของหลินม่าย

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นโกรธเกรี้ยวเลือดขึ้นหน้า ทันทีที่ลูกค้าจากไป พวกเขาก็เริ่มด่าลูกค้าคนนั้นว่าโง่  ของถูกไม่ยอมซื้อ ดันอยากได้ของแพง

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

กระดูกมันคนละเบอร์น่ะ ของก็อปหรือจะสู้ของแท้

ไหหม่า(海馬)

 ตอนที่ 21 ไม่ชอบก็แยกย้าย

พ่อของฟางจั๋วหรานเหมาโต๊ะจีนสิบโต๊ะจัดงานวันเกิดให้กับแม่ยายในโรงแรมแห่งหนึ่งของเจียงเฉิง

ที่แห่งนี้แน่นขนัดไปด้วยญาติสนิทมิตรสหาย บรรยากาศคึกคักมากทีเดียว

งานเลี้ยงงานหนึ่งจะกินเลี้ยงกันถึงบ่ายสองเศษจึงนับว่าเป็นอันสิ้นสุด

ครอบครัวของลูกชายและลูกสาวทั้งสองของแม่เฒ่าหวังทยอยกันกลับบ้านของหล่อนอย่างพร้อมหน้า

คู่ชีวิตที่เสียชีวิตไปของแม่เฒ่าหวังเป็นนักธุรกิจขนาดย่อมในสังคม แม้จะไม่ได้ร่ำรวยเงินทอง แต่ก็เทียบกันไม่ติด ทั้งยังเหลือกินเหลือใช้ อย่างน้อยบ้านหลังนี้ก็เป็นเรือนแบบสี่ประสานโบราณที่งดงามมาก

หลังจากขายปล่อยได้ไม่นาน เรือนแบบสี่ประสานหลังนั้นก็ถูกมอบให้ประเทศ แต่เมื่อสองปีก่อน ทางประเทศได้คืนกลับมาให้กับแม่เฒ่าหวังอีกครั้ง

ตอนนี้แม่เฒ่าหวังจึงอาศัยอยู่ในเรือนแบบสี่ประสานอันงดงามนั้น

กระทั่งเห็นบรรดาลูกหลานเข้ามารุมล้อมอยู่ข้างกายของนาง แม่เฒ่าหวังก็เบิกบานใจอย่างมาก

หวังหรงกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงหวานเยิ้มกับนาง “คุณย่า หนูจะช่วยใส่แหวนที่หนูลากพี่ไปซื้อมาให้คุณย่านะคะ”

แม่เฒ่าหวังยิ้มกว้างราวดอกเบญจมาศที่บานสะพรั่ง “ รอเธอมาใส่ทำไม พี่เธอให้ฉันมาหนึ่งคู่แล้ว ฉันใส่เองได้”

เอ่ยจบก็ยื่นมือออกไปให้ทุกคนได้เห็นแหวนทองในมือ

หวังหรงเม้มปากหัวเราะ “วันนี้หนูอาศัยบารมีของคุณย่า พี่เลยซื้อเครื่องประดับมาให้หนู”

แม่เฒ่าหวังยิ้มตาหยี “เครื่องประดับอะไร ไหนให้ย่าดูหน่อยสิ”

หวังหรงถกแขนเสื้อขึ้นด้านบน เผยให้เห็นถึงกำไลเงินที่เปล่งประกายแวววาวยามต้องแสงไฟบนข้อมือข้างนั้น “คุณย่า สวยไหมคะ?”

“สวยมาก สวยมาก!” แม่เฒ่าหวังยิ้มอย่างเบิกบานใจ

จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับฟางจั๋วหรานว่า “ไหนบอกว่าไม่ชอบน้อง ขนาดกำไลก็ยังยอมซื้อให้หล่อน ฉันว่าพวกเธอสองคนคบกันไปเลยดีกว่า อายุของฉันก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ถึงเวลาก็ต้องแต่งงาน ยายยังอยากเห็นลูกน้อยของแกกับหรงหรงออกมาลืมตาดูโลกอยู่นะ แกคงไม่ได้รำคาญใจกับความปรารถนาคนแก่อย่างยายหรอกใช่ไหม”

“กำไลเงินวงนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากซื้อให้หรอกครับ หล่อนอยากได้เอง” ฟางจั๋วหรานเอ่ยอย่างหมดคำพูดและจนปัญญา “คุณยาย ถ้าเป็นความปรารถนาอื่น ต่อให้ต้องปีนเขาบุกน้ำลุยไฟ ผมจะทำให้มันเป็นความจริงแทนคุณยายเอง เรื่องความปรารถนานี้เกรงว่า….”

หวังเหวินฟางผู้เป็นแม่เลี้ยงพูดตัดบทเขาอย่างฉับพลัน “แกยังไม่ลืมเรื่องของกู้ม่านซือใช่ไหม เจ้าตัวแต่งงานย้ายไปอยู่กับครอบครัวตั้งหลายปีแล้ว ตอนนี้คงจะมีลูกไปแล้วมั้ง”

แม้จะบอกว่าประวัติการศึกษาของหรงหรงสู้กู้ม่านซือไม่ได้ แต่ด้านอื่นก็ไม่ได้แย่ไปกว่าหล่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าตา ทิ้งห่างจากหล่อนไปหลายขุมเลยทีเดียว

“แกกับหรงหรงโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจซึ่งกันและกัน หลังจากแต่งงานแล้ว ต้องมีความรักใคร่กลมเกลียวซึ่งกันและกัน  ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมแกถึงไม่ยอมแต่งงานกับหรงหรง”

แม่เฒ่าหวังเห็นสีหน้าของฟางจั๋วหรานหม่นหมองลง จึงรีบเข้าไปไกล่เกลี่ยทันที “เรื่องหลังจากนี้ค่อยว่ากัน ค่อยว่ากัน”

หวังเหวินฟางมองแม่ของตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์ 

ลูกเลี้ยงของหล่อนกำลังจะมีอนาคตที่สดใส อายุแค่นี้แต่ได้กลายเป็นถึงรองศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ทั้งยังเป็นศัลยแพทย์อีกด้วย

เรือล่มในหนองทองจะไปไหน ไม่บีบบังคับให้เขาต้องแต่งงานกับหรงหรง แล้วจะให้เขาแต่งงานกับหญิงอื่นเหรอ?

ยิ่งแม่ของหล่อนอายุมากขึ้น นางก็ยิ่งเลอะเลือนมากขึ้นเท่านั้น อย่าว่าแต่การบังคับให้จั๋วหลานสู่ขอหรงหรงเลย เพราะเรื่องนั้นแทบจะมองไม่เห็นหนทางเช่นกัน !

คำพูดไม่ต้องเอื้อนเอ่ยมากความ แม้จะมีคุณยายคอยไกล่เกลี่ย แต่ฟางจั๋วหรานก็ไม่อยากคิดถึงภาพหลังจากนี้ เขาไม่สนใจของว่าคุณยายจะทุกข์ระทมเพียงใด ยืนหยัดแต่จะจากไปเท่านั้น

กระทั่งเดินมาถึงถนนใหญ่ที่เต็มไปด้วยสายลมที่เหน็บหนาวเสียดขั้วกระดูก เขาซุกมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋าเสื้อ กระทั่งนึกได้ว่ายังมีเกาลัดคั่วที่หญิงงามผิวคล้ำผู้นั้นห่อมาให้อยู่ในกระเป๋า

นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาเอาแค่เรียกหลินม่ายว่าหญิงงามผิวคล้ำอยู่ในใจ เพราะเขาไม่รู้ชื่อของหล่อน

หล่อนมีหน้าตาสะสวย องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้างดงามรับกันดี รูปร่างสูงโปร่งเอวบางอรชร ดังนั้นเขาจึงตั้งชื่อเล่นแบบนี้ให้หล่อน

เขาหยิบเกาลัดถุงนั้นออกมาชิมหนึ่งเม็ด สัมผัสได้ถึงรสหอมหวานหนึบหนับ จู่ ๆ ก็มีภาพใบหน้าของสองแม่ลูกผิวคล้ำกำลังต้องลมหนาวจนหน้าแดงระเรื่อและแตกระแหงไม่น้อย

ดังนั้นเขาจึงเดินไปซื้อครีมตลับหอย(1)และครีมไป๋เชว่หลิง(2)อย่างละสองกล่องจากร้านค้าเล็ก ๆ แถวนั้นเพื่อสองแม่ลูกผิวคล้ำคู่นั้น

เดิมทีเขาอยากซื้อครีมเสวี่ยฮวาเกา(3)ให้ด้วย แต่คาดไม่ถึงว่าร้านขนาดเล็กแห่งนี้จะไม่มีครีมชนิดนี้และต้องไปซื้อถึงในเมือง ซึ่งเขาก็ไม่อยากเข้าห้างสรรพสินค้า

เขาเดินไปพลางครุ่นคิดไปพลางไปตลอดทาง หญิงงามผิวคล้ำผู้นั้นดูท่าทางน่าจะมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์ ประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี แต่กลับเป็นเด็กสาวที่ดูโตขนาดนี้

การมีลูกตอนอายุน้อยแค่นี้ นับว่าเป็นความลำบากอันใหญ่หลวง!

ยิ่งคิดก็ยิ่งเห็นใจสองแม่ลูกผิวคล้ำคู่นั้น

แม้ว่าจะถูกคุณป้าที่เข้ามาเอาเปรียบผู้นั้นสร้างปัญหาไปฉากหนึ่ง แต่หลินม่ายก็ยังขายเกาลัดจนหมดเกลี้ยงก่อนบ่ายสามโมงตรงเสมอ

ในตอนที่เก็บแผงนั้น จู่ ๆ แม่เฒ่าผางก็ได้เอ่ยขอโทษหลินม่ายว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ฉันไม่ได้ออกหน้าให้เธอ เพราะฉันอยู่ที่นี่ การล่วงเกินอาจจะสร้างความลำบากใจให้กับครอบครัวของฉัน ไม่เหมือนเธอ ต่อให้โดนล่วงเกิน ก็ทำได้แค่ตบก้นแล้วเดินผ่านไป”

หลินม่ายยิ้ม “มีคนช่วยฉันนับว่าโชคดี ไม่มีใครช่วยฉันนับว่ายุติธรรม คุณย่าผาง คุณไม่ต้องตำหนิตัวเองเพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ คุณย่าไม่มีหน้าที่ต้องมารับหน้าให้ฉัน”

แม่เฒ่าผางจึงได้วางใจลง

นางกลัวว่าหลินม่ายจะลงโทษนางด้วยการไม่ตั้งแผงลอยหน้าประตูบ้านของนาง แบบนั้นนางจะสร้างเงินมหาศาลได้อย่างไร!

โต้วโต้วเองก็ไม่มีความสุขนับตั้งแต่ถูกคุณป้ามหาภัยที่ไม่ฟังเหตุผลคนนั้นดุด่าแล้ว

หลังจากเก็บแผงลอยเสร็จแล้ว หลินม่ายก็พาหล่อนไปซื้อซี่โครงหมูสองชั่ง ตั้งใจจะกลับไปทำซี่โครงหมูราดน้ำแดงให้ทุกคนได้กิน หลังจากได้กินอาหารอันโอชะแล้ว สภาพจิตใจจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน

อาหารอันโอชะคือยาบำรุงที่ดีที่สุด

สองแม่ลูกพากันเดินไปยังสถานีรถไฟ หลินม่ายเบิกบานใจที่ได้หยอกเย้าโต้วโต้ว กระทั่งถามหล่อนว่าชอบกินซี่โครงหมูน้ำแดงไหม

สาวน้อยเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาน่าสงสาร “หนูไม่เคยกินซี่โครงหมูน้ำแดง”

หลินม่ายลูบศีรษะของหล่อนอย่างแผ่วเบา “เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้กินแล้ว”

โต้วโต้วตอบ ‘อื้อ’  แล้วจู่ ๆ ก็โผเข้ามาร้องไห้สะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเธอ “คุณแม่ หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ หนูมีพ่อแล้ว แต่คุณพ่อดันเกิดอุบัติเหตุ แล้วไม่ได้กลับบ้านอีกเลย”

เมื่อหลินม่ายเห็นหล่อนยังเป็นกังวลกับคำว่า ‘เด็กเหลือขอ’ เดาว่าต้องถูกผู้คนไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ล้อว่าเป็นเด็กเหลือขอแน่นอน ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใหญ่โตขนาดนี้

เธอตบปลอบแผ่นหลัง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ แม่รู้ทุกอย่าง ถ้าใครหน้าไหนกล้าด่าลูกว่าเด็กเหลือขอ ลูกต้องตักเตือนเขา ว่าห้ามด่าลูก ขืนด่าลูกอีก ลูกก็ตีเขาเลย”

โต้วโต้วถามด้วยเสียงสะอื้น “ถ้าตีไม่ได้จะทำยังไงคะ?”

“ถ้าตีไม่ได้ก็อย่าตี ไปหาพ่อแม่เขา บอกว่าเขาตีลูก เป็นฝ่ายถูกกระทำก็ต้องหัดเรียนรู้ที่จะใช้สมอง”

แม้โต้วโต้วจะดูไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร แต่ก็ยังพยักหน้า 

ฟางจั๋วหรานเดินมายังบริเวณแผงลอยของหลินม่าย และเห็นว่าไม่มีเงาของสองแม่ลูกผิวคล้ำ แถมแผงลอยก็ถูกเก็บไปแล้ว

คิ้วรูปดาบของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามแม่เฒ่าผางที่กำลังขายน้ำชาอยู่ว่า “คุณยาย ผู้หญิงเจ้าของแผงลอยข้างแผงคุณยายเมื่อกี้นี้ ทำไมถึงไม่ขายแล้วล่ะครับ?”

แม่เฒ่าผางคิดว่าเขามาซื้อเกาลัด “ไม่ใช่ไม่ขาย แต่วันนี้หล่อนขายหมดแล้วต่างหาก ถ้าคุณอยากกินค่อยมาใหม่พรุ่งนี้นะ”

ฟางจั๋วหรานคลำหาครีมหอยตลับและครีมไป๋เชว่หลิงในกระเป๋าเสื้อพลางครุ่นคิดในใจ ตัวเองก็งานยุ่งขนาดนี้ ไม่รู้เอาเวลาไหนไปซื้อของบำรุงให้กับสองแม่ลูกหญิงงามผิวคล้ำคู่นั้น

ดังนั้นจึงได้มอบของบำรุงผิวเหล่านี้ให้แก่แม่เฒ่าผาง ให้นางช่วยส่งมันให้แก่สองแม่ลูกหญิงงามผิวคล้ำคู่นั้น

วันที่สอง สองแม่ลูกเปิดแผงขายก่อน แม่เฒ่าผางรีบนำของบำรุงที่ฟางจั๋วหรานให้มามอบให้หลินม่าย

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณย่า เอามาให้ฉันทำไมคะ?”

แม่เฒ่าผางยิ้มพลางโบกมือไปมา “ไม่ใช่ของฉันหรอก เมื่อวานมีหนุ่มหล่อที่เคยช่วยออกหน้าให้เธอคราวที่แล้วซื้อมา แล้วให้ฉันนำมาให้เธอ”

ชายหนุ่มที่ออกหน้าให้เธอ?

หรือว่าจะเป็นฟางจั๋วหราน?!

………………………………………………………………………………………………………………………..

[1]ครีมบำรุงผิวชนิดหนึ่ง ลักษณะเด่นคือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นเปลือกหอย

[2]ครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง เป็นตลับบาง ๆ มีฝาตลับเป็นรูปนกนางแอ่น

[3]ครีมบำรุงผิวยี่ห้อหนึ่ง เป็นครีมที่ให้ความชุ่มชื้นสูง เหมาะสำหรับฤดูหนาวอันแห้งและเย็น

สารจากผู้แปล

ถึงขั้นเปย์ครีมให้ม่ายจื่อเลยอะ นังหรงรู้เข้าจะอกแตกตายไหมเนี่ย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 20 เกิดความสงสารในใจ

คุณป้าคนนั้นแกล้งโมโหกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจขี้ขลาดตาขาว บอกว่าเรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ต้องลากหล่อนมาถึงสถานีตำรวจ กระทบการทำงานของตำรวจคนอื่น

แม้จะตะโกนเสียงดัง แต่ก็ไม่กล้าหลบหนี

ทุกครั้งที่ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหล่อน หล่อนก็อดตื่นตระหนกตกใจไม่ได้ ทำได้แค่ตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกความกล้าหาญ

ตอนนี้ชายผู้มีกลิ่นอายจิตสังหารแผ่ขยายทั่วร่างกาย และมีสายตาดุดันคนนี้นั่งอยู่ข้างกายหล่อน หล่อนอยากจะเอ่ยแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา

ตำรวจที่รับเรื่องให้พวกเขาคนนั้นตกอยู่ในอาการกระวนกระวายใจ ดูเหมือนเมื่อครู่นี้ผู้ชายคนนี้จะโทรศัพท์หาหัวหน้าของพวกเขา

ขณะที่เขาเหมือนกำลังลังเลว่าจะรับเรื่องที่ปฏิเสธฟางจั๋วหรานไปแล้วกลับมาอย่างไรนั้น สารวัตรก็เดินออกมาจากห้องทำงานของตัวเองด้วยความรีบร้อน

ทันทีที่มาถึงห้องส่วนกลางก็เอ่ยถามว่า “ใครคือหมอฟางจั๋วหราน?”

ฟางจั๋วหรานลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม “ผมเองครับ”

“สวัสดีครับ!” สารวัตรรุดเข้ามาจับมือกับเขาอย่างกระตือรือร้น จากนั้นก็มองไปทางคุณป้าที่อยู่ข้างกายเขา แล้วเอ่ยถามว่า “ใครซื้อของแล้วชักดาบ แถมยังอยากถล่มร้านค้าคนอื่นอีก?”

ฟางจั๋วหรานชี้ไปทางคุณป้าคนนั้น “หล่อนครับ”

คุณป้าคนนั้นสั่นสะท้านเพราะการชี้ของเขา

สารวัตรรีบเปลี่ยนสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมในทันที “รบกวนช่วยบอกชื่อสกุลที่อยู่อาศัยและองค์กรชุมชนของคุณด้วยครับ”

จากนั้นก็หันไปสั่งการตำรวจที่รับเรื่องของฟางจั๋วหรานเมื่อครู่คนนั้น “ให้องค์กรชุมชนของหล่อนมาไถ่ตัวออกไป ถ้าทางองค์กรชุมชนไม่มาไถ่ตัวออกไปก็ห้ามปล่อยหล่อนไปเด็ดขาด”

คุณป้าคนนั้นตะโกนขึ้น “มีสิทธิ์อะไรมาขังฉัน? ฉันไม่ได้ทำผิดเสียหน่อย!”

สารวัตรถามกลับ “ผมขังคุณแล้วรึยังครับ แค่ติดต่อองค์กรชุมชนของพวกคุณเอง ผมจะรีบแจ้งองค์กรชุมชนของพวกคุณให้มาไถ่ตัวคุณออกไปทันที แบบนี้ไม่เรียกว่าขัง นี่คือหน้าที่ตำรวจของประชาชน คุณมีพฤติกรรมทำร้ายผู้อื่น ข่มขู่ว่าจะยกพวกมาถล่มร้านค้าของคนอื่น ผมให้องค์กรชุมชนของคุณมาพาตัวคุณกลับไป อบรมความรู้ในเรื่องของกฎหมายให้คุณ อาจจะช่วยขัดขวางไม่ให้คุณเป็นอันตรายจากสังคมได้ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ มันผิดนักเหรอครับ? ถ้าคุณคิดว่ามันผิด ก็ให้หัวหน้าระดับสูงมาฟ้องผมได้เลย ถ้าไม่รู้เบอร์ฝ่ายร้องเรียน ผมบอกคุณให้ก็ได้นะครับ”

คุณป้าคนนั้นเห็นท่าทางจริงจังของสารวัตร จึงรีบหุบปากลงทันที

องค์กรชุมชนไม่มาหล่อนก็ไปไม่ได้

คุณป้าคนนั้นจนปัญญา หลังจากดื้อดึงมาราวครึ่งชั่วโมง สุดท้ายก็ต้องจำใจรายงานชื่อองค์กรชุมชนไป

ตำรวจที่รับเรื่องพวกเขาจึงได้โทรศัพท์แจ้งองค์กรชุมชน

ไม่นาน คุณป้าขององค์กรชุมชนคนหนึ่งก็มาถึง ถามหาที่อยู่ของคุณป้าที่สร้างปัญหาคนนั้น รวมทั้งชื่อ และสาเหตุของเรื่องทั้งหมด จากนั้นก็เทศนาหล่อนอย่างรุนแรงไปฉาดใหญ่

เมื่อคุณป้าจากองค์กรชุมชนมาถึง หวังหรงที่ตามมาทีหลังก็เข้ามาลากตัวฟางจั๋วหรานเครียมจากไป

หล่อนไม่อยากให้เขาเกี่ยวข้องกับหลินม่าย

ฟางจั๋วหรานกลับไม่ยอมไป กระทั่งเห็นคุณป้าจากองค์กรชุมชนสั่งสอนคุณป้าที่ก่อเรื่องคนนั้นเสร็จพอดี จึงได้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ 

“จะให้เรื่องจบแบบนี้ไม่ได้ ทำร้ายผู้อื่นด่าผู้อื่นสาดเสียเทเสียต้องชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจ พร้อมทั้งส่งของขวัญไปขอโทษเจ้าตัวด้วย และต้องรับประกันว่าจะไม่ยกพวกมาถล่มร้านค้าของหล่อนอีก”

เงื่อนไขที่เขาเสนอมาไม่ถือว่าเกินไป คุณป้าองค์กรชุมชนตอบรับในทันที จากนั้นก็คุมตัวคุณป้าที่ก่อเรื่องคนนั้นตามฟางจั๋วหรานไปยังแผงขายของของหลินม่าย

แม้หวังหรงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้แค่ตามไปด้วยกัน

ฟางจั๋วหรานร้องเรียกให้มีการเยียวยาสภาพจิตใจให้แก่สองแม่ลูกหลินม่ายสามหยวนอย่างสมเหตุสมผล คุณป้าคนนั้นกลับโกรธจนลมออกหู “แค่ตีนิดหน่อย กับด่าประโยคเดียวถึงต้องเรียกเงินมากมายขนาดนี้ พวกคุณไม่ปล้นฉันเลยล่ะ?”

หล่อนมักมีนิสัยชอบเอาเปรียบคนอื่น ไม่อย่างนั้นคงไม่ชักดาบไม่ยอมจ่ายเงินตอนซื้อของแล้วแอบหนีไปหรอก

ให้หล่อนควักเงินจ่ายให้สองแม่ลูกหลินม่ายสามหยวน ก็เหมือนขูดเลือดขูดเนื้อหล่อนไปด้วย

ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ชดเชยก็ได้ งั้นให้หล่อนตบคุณสักฉาด แล้วด่าคุณว่าเป็นผู้ใหญ่เมื่อวานซืนในเขตที่คุณอาศัยอยู่ แล้วปล่อยให้ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กันไปเอง”

คุณป้าคนนั้นปิดปากเงียบทันที

แต่ไหนแต่ไรมาหล่อนถือดีอยู่ตลอด ถูกคนด่าอย่างจนตรอกต่อหน้าทุกคน ความอับอายเช่นนี้หล่อนรับไม่ได้แน่นอน!

ด้วยความจนปัญญา จึงต้องจำยอมจ่ายเงินสามหยวนให้กับสองแม่ลูกหลินม่าย แถมยังถูกบีบบังคับให้ขอโทษพวกหล่อนอีก

คุณป้าจากองค์กรชุมชนกำลังจะพาคุณป้าคนนั้นจากไป แต่ฟางจั๋วหรานได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “คุณอย่าคิดจะยกพวกมาถล่มร้านของหล่อนเด็ดขาด ถ้าแผงขายของของหล่อนถูกถล่ม คนที่ตำรวจจะไปหาเป็นคนแรกก็คือคุณ ยิ่งสร้างความเสียหายให้หล่อนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งต้องชดใช้ให้หล่อนมากขึ้นเท่านั้น”

จะช่วยก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ถ้าก้าวแรกทำให้คุณป้าคนนี้ชดใช้ให้หลินม่ายไม่ได้ ก้าวต่อไปแผงขายของของเธอจะต้องถูกถล่มเละแน่ ดังนั้นจึงเอ่ยปากเตือนหล่อน

ในเมื่อคุณป้าคนนี้ตัดใจควักเงินจ่ายไม่ได้ ก็ต้องหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด การตักเตือนแบบนี้นับว่าได้ผลมาก

เรื่องราวถูกแก้ไขโดยสมบูรณ์ หวังหรงจึงรีบลากตัวฟางจั๋วหรานเตรียมจากไป “เรารีบไปซื้อของขวัญกันเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันฉลองวันเกิดคุณยายตอนเที่ยงนะคะ”

หลินม่ายรีบตักเกาลัดที่เพิ่งคั่วใหม่ในปริมาณ 500 กรัมให้หวังหรง แล้วหันไปกล่าวขอบคุณฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เธอช่วยคุณย่าส่งเกาลัดมาให้ฉัน ฉันช่วยเธอมันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เธอกล่าวขอบคุณหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องขอบคุณแล้ว”

หวังหรองกลับไม่ได้ยื่นมือออกไปรับเกาลัดที่หลินม่ายยื่นมาแต่อย่างใด เพราะอยากให้ทำให้เธอรู้สึกแย่จนสุดจะทน

ฟางจั๋วหรานชำเลืองตามองหล่อนด้วยสายตาไม่แน่ใจ ก่อนจะรับถุงเกาลัดที่หลินม่ายยื่นมาให้ใส่เสื้อแจ็คเก็ต แล้วค่อยจากไปพร้อมกับหวังหรง

หลังจากเดินออกมาไกลแล้ว ก็ยังไม่วายหันกลับไปมองหลินม่ายอยู่หลายครั้งอย่างอดไม่ได้

กระทั่งเห็นเธอกำลังจับไม้พายคั่วเกาลัดในกระทะอย่างขยันขันแข็ง ทั้งยังต้องขายเกาลัด วุ่นจนเหมือนหนวดปลาหมึกอย่างไรอย่างนั้น

เสี่ยวโต้วข้างกายเธอก็นั่งจับจ้องคนที่มาซื้อเกาลัดทุกคนอยู่บนม้านั่งอย่างเชื่อฟัง

ลมหนาวเหน็บในฤดูหนาวพัดผ่านจนเผ้าผมของพวกหล่อนยุ่งเหยิง ใบหน้าก็ถูกสายลมปะทะจนแห้งแตกและแดงก่ำ พาให้อดสงสารไม่ได้

ทั้งสองคนเดินมายังห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว ฟางจั๋วหรานซื้อแหวนทองของผู้หญิงที่หนักที่สุดในตู้วางโชว์เครื่องประดับวงหนึ่ง จ่ายค่าเสียหายไปประมาณห้าร้อยกว่าหยวน

เมื่อซื้อแหวนทองแล้วเขาก็เตรียมตัวกลับ

หวังหรงดึงแขนเสื้อของเขา จากนั้นก็ชี้ไปยังแหวนทองที่หนักประมาณสองกรัมวงหนึ่งพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่คะ ฉันอยากได้แหวนวงนี้ พวกพี่สาวและน้องสาวของฉันต่างก็มีกันหมดแล้ว”

ความจริงแล้วพวกพี่สาวและน้องสาวของหล่อนยังไม่มี หล่อนแค่โกหกไปเท่านั้น

ห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเริ่มมีการปฏิรูปปรับปรุง ไม่ต้องกินข้าวหม้อเดียวกันเหมือนแต่ก่อน

ใครขายดี โบนัสสิ้นเดือนจะยิ่งสูง

พนักงานขายหน้าเคาน์เตอร์จึงรีบเอ่ยกับฟางจั๋วหรานอย่างกระตือรือร้น “คุณลูกค้า ซื้อให้แฟนของคุณสักวงสิคะ สองกรัมเอง ขนาดวงที่หนักที่สุดคุณยังซื้อได้เลย แค่นี้จิ๊บจ๊อยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานชำเลืองตามองพนักงานขายคนนั้นด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง พนักงานคนนั้นจึงรีบหดคอหนีด้วยความหวาดกลัวกระทั่งไม่กล้าปริปากพูดอีก

ผู้ชายคนนี้ดูภายนอกก็หล่อเหลารูปร่างสูง อ่อนโยนและมีเสน่ห์ ทำไมสายตาถึงได้น่ากลัวขนาดนี้!

“หล่อนไม่ใช่แฟนของผม” ฟางจั๋วหรานอธิบายให้พนักงานคนนั้นได้เข้าใจ จากนั้นก็พูดกับหวังหรงว่า “อยากได้แหวนก็รอให้เธอมีแฟนก่อน ค่อยให้แฟนของเธอซื้อให้แล้วกัน”

หวังหรงกัดริมฝีปาก แล้วชี้ไปยังต่างหูคู่หนึ่ง “งั้นพี่ช่วยซื้อตุ้มหูคู่นี้ให้ฉันได้ไหม?”

“เครื่องประดับทองแบบนี้เธอไปให้แฟนของเธอซื้อให้ดีกว่า”

ฟางจั๋วหรานเดินมายังเคาน์เตอร์เครื่องประดับเงินด้านข้าง “ฉันซื้อกำไลเงินวงหนึ่งให้เธอได้นะ”

แม้จะไม่ใช่เครื่องประดับทองจนทำให้หวังหรงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่การซื้อกำไลเงินให้หล่อนหนึ่งวงก็นับว่าไม่เลวร้าย

กำไลเงินบริสุทธิ์มีมูลค่าห้าหยวนต่อหนึ่งกรัม

หล่อนเลือกกำไลเงินที่หนักที่สุดวงหนึ่ง ครั้งนี้ฟางจั๋วหรานไม่ได้ปฏิเสธ ยอมเสียเงินซื้อให้หล่อนในราคาหนึ่งร้อยกว่าหยวน

หวังหรงสวมกำไลเงินบนข้อมือที่ขาวเนียนละเอียดของตัวเองในทันที จากนั้นก็ไปกินข้าวที่ร้านอาหารในเมืองเจียงเฉิงกับฟางจั๋วหรานอย่างมีความสุข

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ช่วยแบบเต็มที่มากเลยค่ะ เริ่มคิดอะไรกับม่ายจื่อแล้วหรือยังคะคุณหมอ

ลำไยนังหรงจังน้อ เขาไม่เล่นด้วยก็อย่าบังคับเขาเลยยัยเด็กแก่แดด

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 19 หนูไม่ใช่เด็กเหลือขอ!

แม้ว่าคุณย่าคนนี้จะไม่ใช่คุณย่าแท้ ๆ ของฟางจั๋วหราน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับคุณย่าบ้านอื่น คงจะทัดเทียมกันไม่ได้

ในตอนที่แม่เลี้ยงแต่งงานกับคุณพ่อของเขานั้น เขาเพิ่งอายุได้แค่ 5 ขวบ หวังเหวินฟางไม่ชอบเขาเป็นอย่างมาก ต่อให้ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงกับเขา แต่ก็เย็นชากับเขาเสมอมา

แม่แท้ ๆ ของแม่เลี้ยงก็คือคุณย่า แม้จะไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็รับเขาไปเลี้ยงดูอย่างดี

เขาไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับพ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงสักเท่าไร แต่กลับรู้สึกผูกพันลึกซึ้งกับคุณย่าบุญธรรมและคุณปู่บุญธรรม ทั้งสองท่านเป็นอาวุโสที่ใจดีมาก

แต่น่าเสียดายที่เมื่อปีก่อนคุณปู่ได้จากโลกนี้ไป สุขภาพร่างกายของคุณย่านับวันยิ่งทรุดลง ถ้าไม่ใช้เวลาอยู่กับนางให้มากขึ้น เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสนั้นแล้ว

ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างละอายใจ “เป็นความผิดของฉันเอง…”

”ไอหยา หยุดโทษตัวเองเถอค่ะ ไปซื้อของขวัญกับฉัน แล้วไปอวยพรวันเกิดคุณยายซะ”

ขณะเอ่ย หวังหรงได้ดึงมือของเขาเดินออกไป

ฟางจั๋วหรานดึงมือของตัวเองกลับ แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “หรงหรง ฉันเคยพูดกับเธอแล้ว เราโตกันแล้ว ต้องมีระยะห่างกันบ้าง”

นัยน์ตาของหวังหรงฉายแววน้อยเนื้อต่ำใจแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด “คนเราก็มีลืมกันบ้าง พี่อย่าโกรธเลยนะคะ?”

หล่อนกลัวญาติผู้พี่จะโกรธ จนทิ้งให้หล่อนไปซื้อของขวัญให้คุณยายคนเดียว

อย่ามองว่าญาติผู้พี่เป็นคนสุภาพอ่อนโยนเชียวนะ เรื่องแบบนี้เขาทำได้อยู่แล้ว

เขาแค่ดูสุภาพ แต่ในใจกลับห่างเหินมาก

สองพี่น้องกินอาหารเช้าในร้านอาหารริมทางของรัฐนอกเขตแล้วค่อยตรงไปยังห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียว

หวังหรงรู้มาจากพี่สาวของหล่อนว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ ห้างสรรพสินค้าจะมีการจัดบูธเครื่องประดับ และเริ่มขายเครื่องประดับทองกันที่นี่

นี่คือห้างสรรพสินค้าที่ขายเครื่องประดับทองเป็นอันดับสองของเมืองเจียงเฉิง

แม้ว่าเดือนสิบในปีนี้ห้างสรรพสินค้าของเมืองเจียงเฉิงจะเริ่มเปิดขายเครื่องประดับแล้ว แต่ราคานั้นแพงกว่าราคาเครื่องประดับทองในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวห้าหยวนต่อกรัมเลยทีเดียว

เงินเดือนของคนงานทั่วไปตกเดือนละแค่ยี่สิบถึงสามสิบหยวนเท่านั้น ราคาเครื่องประดับทองห้าหยวนต่อหนึ่งกรัมเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก

ดังนั้นหวังหรงจึงอยากพาฟางจั๋วหรานไปเลือกซื้อเครื่องประดับทองในห้างสรรพสินค้าลิ่วตู้เฉียวเป็นของขวัญให้กับคุณยาย และถือโอกาสซื้อแหวนทองเล็ก ๆ สักวงให้หล่อนไปเลยทีเดียว

แม้ฟางจั๋วหรานจะเป็นอาจารย์ศัลยแพทย์ที่มีอายุน้อยที่สุดในโรงพยาบาลผู่จี้ รายได้ของเขาก็ห่างไกลกว่าคนทั่วไปมากโข

แต่ราคาเครื่องประดับทองที่มีมูลค่า 90 หยวนต่อหนึ่งกรัมในห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงสร้างความกดดันให้เขาระดับหนึ่ง

หล่อนต้องประหยัดเงินเพื่อเขา ให้เขารู้สึกว่าตนเอาตัวรอดได้ และยอมซื้อแหวนทองให้หล่อนอย่างเต็มใจ 

ตราบใดที่เขาซื้อแหวนทองให้ตัวเองได้ โดยให้คุณยายรับรู้ หล่อนก็อาศัยบารมีของคุณยายบีบบังให้เขาแต่งงานกับตนได้

ระหว่างทาง หวังหรงเอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่มีหยุดพักเหมือนนกกระจอกแตกรัง แต่ฟางจั๋วหรานกลับเงียบสงบมาตลอด

หวังหรงเอาแต่พูดฉอดๆ อยู่คนเดียว จนกระทั่งพบว่าฟางจั๋วหรานที่อยู่ข้างกายได้หยุดเดินกะทันหัน

หล่อนหันไปมองเขาด้วยความสงสัย จนเห็นเขาจ้องเขม็งไปยังสถานที่มีผู้คนมุงกันเป็นจำนวนมากอยู่ไม่ไกลนักตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา

ในใจจึงตกตะลึงเป็นอย่างมาก มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าที่ตรงนั้นมีคนกำลังทะเลาะวิวาทกัน ญาติผู้พี่คนนี้สนใจเรื่องทะเลาะวิวาทบนท้องถนนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

หล่อนเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ตรงนั้นมีอะไรน่าสนใจนักหนาคะ”

ฟางจั๋วหรานไม่ได้สนใจหล่อน ย่างเท้าเดินไปตรงนั้น

หวังหรงจนปัญญา ทำได้เพียงไล่ตามไป

เมื่อใกล้ถึง ใบหน้าของหล่อนก็หงิกงอทันที

มิน่าล่ะญาติผู้พี่ถึงได้รีบนัก ที่แท้ก็ผู้หญิงตัวดำที่มาส่งเกาลัดในคราวที่แล้วคนนั้นกำลังทะเลาะวิวาทกับคนอื่นอยู่นั่นเอง

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ญาติผู้พี่ยอมทิ้งหล่อนไปหาผู้หญิงตัวดำคนนี้ หวังหรงก็รู้สึกถึงความเปรี้ยวขึ้นสมองราวกับกินมะนาวไปสิบตันรวดเดียว

ฟางจั๋วหรานรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากเสียงวิพากวิจารณ์ของทุกคน

แล้วเขาก็เห็นคุณป้าคนนั้นชี้หน้าด่าหลินม่ายอย่างอวดดีด้วยความฉุนเฉียว “เธอรอฉันก่อน ฉันจะไปเรียกคนมาถล่มแผงขายของของเธอเดี๋ยวนี้!”

แต่แล้วน้ำเสียงเย็นชาหนึ่งก็ดังขึ้น “ป้ามีสิทธิ์อะไรมาถล่มแผงขายของคนอื่น!”

คุณป้าคนนั้นจึงโต้กลับด้วยเหตุผล “ใครใช้ให้เด็กเมื่อวานซืนคนนั้นใส่ร้ายฉัน!”

โต้วโต้วถูกหลินม่ายดึงเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะตะโกนด้วยความโกรธจนเลือดขึ้นหน้าพลางสะอื้นร่ำไห้ว่า “หนูไม่ได้ใส่ร้ายป้า และหนูก็ไม่ได้เป็นเด็กเมื่อวานซืนด้วย!”

ฟางจั๋วหรานเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “สหายตัวน้อยไม่ได้ใส่ร้ายป้า ผมเองก็เห็นว่าป้าไม่ได้จ่ายเงิน ดังนั้นป้าต้องจ่ายเงินเดี๋ยวนี้ แล้วต้องซื้อของขวัญเป็นการขอโทษสหายตัวน้อยคนนี้ด้วย!”

พวกเขาสองคนเพิ่งมาถึง ทำไมญาติผู้พี่ถึงเห็นว่าคุณป้าคนนั้นยังไม่จ่ายเงินค่าเกาลัด

เขากลับยอมเป็นพยานให้ผู้หญิงตัวดำคนนั้น ในใจของหวังหรงยิ่งอิจฉาเป็นทวีคูณจนอยากจะแฉความจริง แต่ก็กลัวว่าญาติผู้พี่จะโกรธหล่อนจนไม่ยอมให้อภัยและไม่สนใจหล่อนอีก

หลังจากชั่งใจอยู่สามรอบ หล่อนก็ไม่กล้าปริปาก แต่กลับถลึงตาใส่หลินม่ายแวบหนึ่งอย่างอดไม่ได้

แม้ฟางจั๋วหรานจะเพิ่งมาถึง แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นมีจำนวนเยอะเกินไป ไม่มีใครระวังใคร

ทุกคนเห็นเขามีรูปร่างสูงสง่า ทั้งยังแต่งกายดูดี มองแวบเดียวก็รู้ทันทีว่าเป็นคนมีฐานะ การพูดการจาของเขาก็ดูมีน้ำหนักมาก

ทุกคนต่างทยอยกันเอ่ยกับคุณป้าคนนั้น “ตอนนี้มีพยานเพิ่มบอกว่าป้าไม่จ่ายเงินแล้ว ป้ามีอะไรจะโต้แย้งอีกไหม?”

คุณป้าคนนั้นโกรธจนควันออกหู จึงจำใจต้องจ่ายเงินอย่างเกลียดชัง

แต่เรื่องขอโทษหล่อนคงขอโทษให้ไม่ได้  ด้วยศักดิ์ศรีที่มันค้ำคอ หล่อนจะไม่ยอมก้มหัวให้ลูกสาวของพ่อค้าหาบเร่เด็ดขาด

ก่อนจากไปหล่อนก็ไม่ลืมข่มขู่หลินม่ายอีกครั้ง “ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันจะพาคนมาถล่มแผงขายของของแกให้พังพินาศเลยคอยดู!” กล่าวจบก็เตรียมจากไป

ฟางจั๋วหรานมีสีหน้าเคร่งขรึม รุดหน้าไปกระชากแขนของคุณป้า จากนั้นก็ลากหล่อนไปยังทิศทางของสถานีตำรวจอย่างอดไม่ได้

“จะถล่มแผงขายของของหล่อนใช่ไหมครับ งั้นเราไปเจรจากันที่สถานีตำรวจแล้วกัน ป้ามีสิทธิ์อะไรไปถล่มร้านของคนอื่น!”

ยุคสมัยนี้ยังไม่มีสายด่วน 110 ตำรวจจะไม่ออกมาทำคดีข้อพิพาทบนถนนเส้นเล็กเหล่านี้

ต่อให้ลากคุณป้าคนนี้ไปถึงสถานีตำรวจ ทางสถานีตำรวจคงไม่ทำคดีให้แน่นอน ทำได้แค่ส่งมอบให้กับองค์กรชุมชนจัดการ

ให้องค์กรชุมชนออกหน้าให้ก็พอ ถ้าต่อไปคุณป้าคนนี้ยังก่อเรื่องก็ไปฟ้ององค์กรชุมชนได้เลย ต้องชดใช้อย่างไรก็ชดใช้อย่างนั้น สรุปแล้วก็คือหล่อนคงสร้างปัญหาโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้อีก

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันกะทันหันและรวดเร็วมาก หลินม่ายต้องรีบขายของ แม้แต่คำขอบคุณก็ยังไม่ทันได้เอ่ย คุณป้าคนนั้นกลับถูกฟางจั๋วหรานลากตัวออกไป

คุณป้าคนนี้ดิ้นพล่านไปตลอดทาง แต่ฟางจั๋วหรานมีพละกำลังเยอะกว่า หล่อนจะดิ้นหลุดได้อย่างไร

เมื่อมาถึงสถานีตำรวจ ฟางจั๋วหรานก็ชี้แจ้งถึงต้นสายปลายเหตุกับตำรวจที่ออกมาต้อนรับพวกเขาคนหนึ่ง

ตำรวจคนนั้นเอ่ยอย่างลำบากใจ “เรื่องขี้ปะติ๋วแค่นี้ คุณพาพวกหล่อนไปส่งให้องค์กรชุมชนก็จบแล้ว”

คุณป้าคนนั้นเอ่ยอย่างลำพองใจ ฟางจั๋วหรานถามตลอดทางว่าหล่อนขึ้นตรงกับองค์กรชุมชนไหน แต่หล่อนก็ไม่บอกเขา

ตอนนี้ตำรวจก็ไม่สนใจ ผู้ชายคนนี้ไม่รู้ว่าหล่อนขึ้นตรงกันองค์กรชุมชนไหน สุดท้ายก็จำใจต้องปล่อยหล่อนไป

ฟางจั๋วหรานใช้สายตามองไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะ “ผมขอยืมโทรศัพท์ของพวกคุณสักหน่อยได้ไหม?”

ตำรวจพยักหน้า “ได้”

ฟางจั๋วหรานกดโทรออก “ฮัลโหล ผู้กองหลู่ไหมครับ ผมหมอฟางจั๋วหรานจากโรงพยาบาลผู่จี้นะครับ …ใช่ ๆ ผมเองครับ คาดไม่ถึงว่าคุณจะจำผมได้ … ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ รักษาพ่อของคุณเป็นหน้าที่ของผม … ที่ผมโทรหาคุณ เพราะมีเรื่องอยากจะรบกวนคุณ… คืออย่างนี้ เมื่อกี้ผมและน้องสาวกำลังเดินชอปปิ้งกัน บังเอิญไปเจอกับคุณป้าคนหนึ่ง ซื้อของแล้วชักดาบไม่จ่ายเงิน ทำร้ายเจ้าของร้าน ด่าเด็ก ทังยังขู่ว่าจะเรียกพวกมาถล่มร้านหาบเร่นั้นอีก ผมกลัวว่าหล่อนจะเป็นอันตรายต่อที่สาธารณะ จึงพาหล่อนมาส่งที่สถานีตำรวจ รบกวนคุณช่วยบอกกล่าวกับเพื่อนร่วมงานในสถานีตำรวจหน่อยสิครับ ว่าให้หัวหน้าองค์กรชุมชนของคุณป้าคนนั้น เอาตัวหล่อนไปสั่งสอนสักฉาด เราเป็นสังคมที่อยู่ใต้กฎหมาย ซื้อของแล้วชักดาบมันเกินไป แถมยังทำร้ายคนอื่น คิดจะยกพวกมาถล่มร้านคนอื่น ใครช่างกล้าให้หล่อนอาจหาญขนาดนี้!”

 ผู้กองหลู่ที่อยู่ปลายสายถามฟางจั๋วหรานว่าตอนนี้เขาอยู่สถานีตำรวจไหน ฟางจั๋วหรานจึงบอกเขาไป

หลังจากวางสาย เขาก็นั่งอยู่ข้างคุณป้าคนนั้นเงียบ ๆ 

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีแนวโน้มว่าคุณหมอจะเป็นแคนดิเดตพระเอกอยู่นะคะ ออร่าพระเอกเด่นมากเลยค่ะ 

ว่าไงคะป้า เจอคนใหญ่คนโตเข้าไปจะยังกร่างอยู่อีกไหม ปล่อยให้อยู่ในห้องกรงแล้วกินข้าวแดงสักคืนน่าจะดีนะคะ

ไหหม่า(海馬)

  

ตอนที่ 18 ป้าที่ชอบเอาเปรียบ

ใบหน้าของคุณย่าฟางเคร่งขรึมลงทันที “สกุลอู๋คนนั้นไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ก่อนหน้านั้นก็เอาแต่ถามฉันและปู่ของเธอทุกวันว่าเธอขนเกาลัดมากมายขนาดนั้นไปขายในเมืองใช่ไหม ขายที่ไหน ฉันกับปู่ของเธอไม่ยอมบอกหล่อน หล่อนกลับไม่ยอมแพ้ ไปถามเธออีก ช่องทางหาเงินใครเขาบอกคนอื่นกัน หล่อนยังหน้าด้านไปถามอีก!”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หล่อนยังโกหกฉันว่าเป็นมิตรกับคุณยายด้วย”

คุณย่าฟางกระตุกมุมปากอย่างเหยียดหยาม “เป็นมิตรกับหล่อนเนี่ยนะ? หล่อนไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูคุณธรรมของตัวเองเลยหรือไร!”

แม้ว่าอาหารมื้อค่ำจะมีกับข้าวแค่สองอย่าง คือหัวไชเท้าต้มกระดูกหมูหนึ่งจาน ไส้หมูผัดพริกแห้งและผักดองหนึ่งจาน แต่ก็มีปริมาณมากพอที่ทุกคนจะได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ

ฝีมือเข้าครัวของคุณย่าฟางไม่เลวเลย ซุปหัวไชเท้าต้มกระดูกหมูนั้นมีรสชาติหวานละมุนลิ้น ไส้หมูผัดซอสเปรี้ยวหวานก็เรียกน้ำย่อยได้ดี

คุณปู่ฟางดื่มเหล้าไปสองแก้วโดยมีผัดไส้หมูเป็นกับแกล้ม

เมื่อลืมตาตื่น ก็ถึงเช้าวันอาทิตย์อีกแล้ว

เช้าวันนี้คุณย่าฟางอุ่นบะหมี่กับซุปหัวไชเท้ากระดูกหมูที่เหลือจากเมื่อคืน

สองแม่ลูกหลินม่ายกินบะหมี่ซุปกระดูกหมูชามใหญ่อย่างเอร็ดอร่อย จากนั้นก็หยิบอาหารกล่องที่คุณย่าฟางเตรียมไว้ออกไปขายเกาลัดในเมืองด้วยความเบิกบานใจ

หลี่เถียหนิวยังคงมาส่งพวกหล่อนขึ้นรถไฟอย่างซื่อสัตย์ก่อนจากไป

ทันทีที่ขึ้นรถไฟมา โต้วโต้วก็จับชายเสื้อของหลินม่ายไว้แน่น พร้อมกับแอบชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งด้านหน้า

“แม่คะ แม่ดูสิ คุณยายนิสัยเสียที่ขวางทางแม่เมื่อวานตอนบ่ายก็ขึ้นรถไฟมาด้วย”

อย่ามองว่าโต้วโต้วเป็นแค่เด็ก หล่อนกลับตาดีเชียวล่ะ

เมื่อวานตอนค่ำ ระหว่างที่หลินม่ายและสองปู่ย่าสกุลฟางกำลังคุยกันขณะที่ล้างไส้หมูนั้นหล่อนก็นั่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ข้าง ๆ ทั้งยังตัดสินคนคนนั้นในใจ หล่อนจึงเรียกหญิงหน้าไว้หลังหลอกสกุลอู๋คนนี้ว่าคุณน้านิสัยเสีย

ตอนที่เดินเข้ามาในรถไฟ หลินม่ายเจอกับหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นแล้ว และรู้ด้วยว่าหล่อนตั้งใจสะกดรอยตามเธอ เพราะอยากเห็นว่าเธอขนเกาลัดเหล่านั้นไปส่งที่ไหนกันแน่

ดูท่าหล่อนคงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ต่อให้ตัวเองขนเกาลัดเหล่านี้ไปส่งให้กับโรงอาหารของรัฐจริง ๆ หล่อนก็ต้องงัดเอาไม้ตาย มาแย่งธุรกิจไปจนได้อยู่ดี

ในเมื่อหล่อนไม่มีคุณธรรมกันแบบนี้ คิดจะแย่งธุรกิจไปจริง ๆ หลินม่ายก็ขวางไม่ได้ ถึงตอนนั้นได้แค่ปล่อยเลยตามเลย

หลินม่ายกอดเด็กสาวไว้ในอ้อมกอด “ทุกคนนั่งรถไฟขบวนนี้ได้ ไม่ต้องไปสนใจหล่อน”

หลังจากนั้นก็สอดสายตามองหาชายหนุ่มที่พอมีความซื่อสัตย์สักคนมาช่วยขนเกาลัดเหล่านั้นไปส่งที่บ้านแม่เฒ่าผางต่อไป

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคอยตามหลังมาตลอดทางแต่หลินม่ายกลับทำเป็นไม่รู้

กระทั่งเปิดแผงขาย เธอก็เริ่มคั่วเกาลัด

หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้นแอบดูเธอค้าขายอยู่ในมุมที่ลับตาคน พลางกัดฟันกรอดพร้อมกับพึมพำกับตัวเองว่า “โกหกฉันว่าขนเกาลัดมาส่งให้โรงอาหารของรัฐ เห็น ๆ อยู่ว่าขนมาขาย! ยิ่งกลัวฉันแย่งกิจการของเธอเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากแย่งกิจการของเธอมากขึ้นเท่านั้น!”

ค้าขายในวันอาทิตย์ค่อนข้างขายดี หลินม่ายยุ่งจนมือพันเหมือนหนวดปลาหมึกเลยทีเดียว

หลานชายของแม่เฒ่าผางสนิทกับโต้วโต้วแล้ว จึงลากตัวโต้วโต้วไปเล่นกับเพื่อนตัวน้อยด้วยกัน

แต่โต้วโต้วส่ายหน้า “ฉันจะอยู่ข้าง ๆ แม่ ช่วยแม่ขายของ”

เด็กผู้ชายจึงออกไปเล่นกับเพื่อนคนเดียวโดยไม่สนใจหล่อนอีก

เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงสิบโมงกว่า คนที่แห่กันมาซื้อเกาลัดเริ่มมากขึ้น

หลินม่ายทั้งคั่วทั้งขายในเวลาเดียวกัน ยุ่งจนตัวเป็นเกลียว

จู่ ๆ โต้วโต้วก็ดึงชายเสื้อของเธอ ด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาคู่นั้นจ้องมองคุณป้าคนหนึ่ง “คุณป้าคนนั้นไม่จ่ายเงิน”

หลินม่ายให้เกาลัดกับใคร ใครบ้างไม่จ่ายเงิน หล่อนจำได้อย่างชัดเจน

เธอเงยหน้ามองหญิงชราคนนั้นแวบหนึ่ง จนแน่ใจ ว่าหล่อนไม่จ่ายเงินจริง ๆ  แต่กลับถือโอกาสตอนที่คนกำลังเยอะแอบชิ่งหนีไป

หลินม่ายเรียกหล่อนไว้ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “คุณป้าคนนั้น ช่วยจ่ายเงินให้ฉันด้วย”

คุณป้าคนนั้นตะโกนออกมาอย่างฉุนเฉียวทันที “เธอทำแบบนี้ได้ยังไง เห็น ๆ อยู่ว่าฉันจ่ายเงินแล้ว!”

“ป้ายังไม่จ่าย!” หลินม่ายเอ่ย “ถ้าป้าจ่ายแล้วฉันจะมาทวงจากป้าทำไม ป้าดูสิว่าฉันไปทวงเงินจากคนอื่นไหม?”

“ฉันจ่ายแล้ว คนตั้งเยอะเสียขนาดนั้น เธอจำผิดแล้ว!” ป้าคนนั้นยังคงกัดฟันพูด

ลูกค้าที่มาซื้อเกาลัดเหล่านั้นเห็นคุณป้าแต่งกายดูไม่เลว ทั้งยังไม่มีท่าทีร้อนตัวแม้แต่น้อย ทุกคนต่างเริ่มกระซิบกระซาบกัน

“มีความเป็นไปได้ว่าแม่หนูคนนี้จำผิดแน่นอน ใครจะไปเอาเปรียบกับอีแค่เศษเงินเพียงน้อยนิด”

“คนซื้อเยอะ คนขายก็มึนงง คนเขาจ่ายแล้วก็ดันมาทวงเงินอีก”

เรื่องนี้คงเอาผิดไม่ได้ ประกอบกับที่ตนกำลังวุ่นกับกิจการ หลินม่ายจึงจำใจต้องปล่อยไป

แต่คุณป้าคนนั้นกลับลำพองใจ ด่าสาดเสียเทเสีย “ไม่ใช่เพราะเห็นเธอจูงมือเด็กน้อยผู้น่าสงสาร แล้วจะมาใส่ร้ายฉันได้นะ ฉันอาจจะถล่มแผงลอยของเธอได้นะ!”

โต้วโต้วหน้าแดงก่ำ แล้วเอ่ยปากพูดอย่างกล้าหาญ “แม่ของหนูจำไม่ผิดหรอก เพราะหนูเป็นคนบอกแม่เองว่าคุณป้าไม่จ่ายเงิน หนูช่วยแม่ดูอยู่ว่าใครจ่ายเงินแล้ว ใครยังไม่จ่ายเงินอยู่ตรงนี้”

ประโยคเพียงไม่กี่คำของสาวน้อยพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือทันที ทุกคนเบี่ยงสายตามายังคุณป้าคนนั้น แม้แต่คำวิพากวิจารณ์ก็เปลี่ยนไป

“เด็กน้อยคงไม่พูดโกหกหรอกมั้ง ดูท่าคุณป้าคนนี้คงจะเอาเปรียบจริง ๆ”

“บางคนภายนอกดูสง่าชาติตระกูล แต่การกระทำกลับสถุนสิ้นดี”

คุณป้าเคนนั้นทั้งโกรธทั้งอับอาย หวดมือเตรียมฟาดโต้วโต้ว “ฉันให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างแกมากล่าวหาฉันมั่วซั่วได้งั้นเหรอ!”

หลินม่ายเห็นดังนั้นก็วางมือลง แล้วออกโรงปกป้องโต้วโต้ว ฝ่ามือของคุณป้าคนนั้นจึงฟาดลงมาบนหลังของเธอ ฟาดจนเซไถลไปด้านข้าง

ในเมื่อลงมือไม้ลงมือ อย่างหวังเรื่องจะจบง่าย ๆ

คนในยุคสมัยนี้ค่อนข้างรักความยุติธรรมมาก มีลูกค้าหลายคนเดินเข้ามาล้อมคุณป้าคนนั้นไว้ แล้วออกโรงพูดแทนสองแม่ลูกหลินม่าย

คุณป้าคนนั้นดิ้นไม่หลุด กระโดดโลดเต้น ปากพร่ำบอกว่าจ่ายแล้ว โต้วโต้วต่างหากที่ใส่ร้ายหล่อน

ลูกค้าหลายคนจึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อย่าว่าแต่เด็กคนนั้นจะใส้ร้ายเธอหรือไม่เลย ต่อให้ใส่ร้ายเธอ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ลงไม้ลงมือ แถมยังตีอย่างหนักหน่วงด้วย!”

คุณป้าคนนั้นเท้าเอว “แล้วฉันตีโดนเด็กมันแล้วรึยังเล่า!แต่ละคนก็เอาแต่แยกเขี้ยวยิงฟันกัดแต่คนอื่น!”

ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าโต้วโต้วนั้นโกรธจนตาแดงก่ำน้ำตาหลั่งรินแล้ว

…..

ฟางจั๋วหรานหัวหน้าศัลยกรรมที่อายุน้อยที่สุดในโรงพยาบาลผู่จี้กว่าจะมีเวลาพักผ่อนสักวันไม่ใช่เรื่องง่าย

เขาตื่นนอนตอนเก้าโมงเช้า ล้างหน้าบ้วนปาก ตั้งใจจะลงไปทำงานวิจัยในโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า

เขาถือหนังสือคาบวิจัยสำหรับทำวิจัยหลายเล่มในมือ

ทันทีที่เปิดประตูออกมา ก็เห็นหวังหรงที่แต่งหน้าสะสวย แต่งตัวตามสมัยนิยมยืนรอเขาอยู่หน้าประตู กำลังยกมือเตรียมเคาะห้องเขาอยู่พอดี

เมื่อหวังหรงเห็นฟางจั๋วหราน หล่อนก็คลี่ยิ้มอย่างสดใสราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน แต่เขากลับมีสีหน้าเย็นชา

แม้จะบอกว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็เห็นหล่อนเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น แต่หวังหรงกลับเกิดความรู้สึกเกินเลยกับเขา ทั้งยังสารภาพรักกับเขาหลายครั้ง

แม้ทุกครั้งจะถูกเขาปฏิเสธไป แต่ญาติผู้น้องคนนี้กลับไม่ยอมแพ้ ไม่ว่าจะยุ่งหรือไม่ยุ่งก็คอยตามเกาะแกะเขาไม่เลิก ให้เขาปวดหัวได้ทุกเวลา

เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “วันหยุดทำไมไม่นัดเพื่อนออกไปชอปปิ้งข้างนอก มาหาฉันทำไม?”

หวังหรงเบิกตากว้างมองเขาด้วยความประหลาดใจ “พี่ พี่ลืมไปแล้วเหรอว่าวันนี้เป็นวันเกิดครบ 60 ปีของคุณยายฉัน ? อาทิตย์ที่แล้วฉันเตือนพี่แล้วนะ”

ฟางจั๋วหรานกะพริบตาด้วยความลำบากใจ “ทำงานยุ่ง เลยลืมสนิท…”

หวังหรงดุเขาด้วยท่าทางออดอ้อน “ทำไมพี่ถึงลืมวันเกิดคุณยายได้ ? พี่ก็คือคนที่คุณยายของฉันเลี้ยงมากับมือเหมือนกัน”

ฟางจั๋วหรานนึกละอายอยู่ในใจ

หวังหรงพูดถูก ทำไมเขาถึงลืมคุณยายของหล่อนไปเสียได้ นั่นมันวันเกิดคุณย่าของเขาเชียวนะ!

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อิป้าสองคนนี้น่าตบคนละป้าบ คิดจะมาทำลายกิจการของม่ายจื่อเหรอ

เป็นญาติกันรักกันแบบชู้สาวได้เหรอ มันเป็นเรื่องต้องห้ามไม่ใช่หรือไง

ไหหม่า(海馬)

 ตอนที่ 17 หญิงหน้าไหว้หลังหลอกขวางทาง   

แม้ว่าเกาลัดที่นำมาขายจะถูกกะเทาะเปลือกตั้งแต่ที่บ้าน ช่วยประหยัดเวลาไปได้มาก แต่เนื่องจากหม้อมีไม่พอ จึงทำให้ล่าช้า

เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสามโมงเศษ ก็ขายหมดเกลี้ยง

หลินม่ายตั้งใจเก็บเกาลัดจำนวนครึ่งชั่งให้แม่เฒ่าผาง บอกว่าให้หลานชายของนางได้กิน

เจ้าตัวคอยออกหน้าแทนหล่อน ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณสักหน่อย

แม่เฒ่าผางกล่าวปฏิเสธรอบหนึ่งแต่ก็รับไป

หลินม่ายเก็บเกาลัดสองสามลูกให้โต้วโต้วเช่นกัน

สองแม่ลูกช่วยกันเก็บข้าวของแล้วรีบไปขึ้นรถไฟรอบหกโมงเย็น

หากพลาดขบวนนี้แล้วก็ทำได้แค่รอรถไฟรอบสี่ทุ่ม

วันนี้หลินม่ายต้องคั่วเกาลัดเจ็ดชั่วโมงรวด ส่งผลให้แขนทั้งสองข้างเมื่อยล้าจนเกือบไร้ความรู้สึก ทั้งยังยืนทั้งวันติดต่อกันสองวัน จนขาปวดเมื่อยแทบจะไร้เรี่ยวแรง

ตกดึกเธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง เนื่องจากแขนและขาที่ปวดร้าว ทำให้เธอต้องร้องโอดโอยอย่างอดไม่ได้

โต้วโต้วที่หลับอยู่ข้างกายได้ยินเสียงจนตกใจตื่น พลางเอ่ยถามเสียงใสแจ๋ว “แม่คะ แม่ไม่สบายตรงไหน?”

“ปวดแขน”

“หนูนวดให้แม่นะคะ” เด็กน้อยออกแรงนวดแขนข้างหนึ่งให้เธออยู่ใต้ผ้าห่ม ซึ่งทำให้เธอรู้สึกสบายตัวขึ้นไม่น้อย

เช้าวันที่สองตอนเข้าเมือง หลินม่ายยืมหม้อใหญ่ที่ไม่ใช้แล้วจากบ้านคุณย่าฟาง

มีหม้อใหญ่ใช้คั่วเกาลัดจึงประหยัดเวลาไปไม่น้อย บ่ายสองกว่าก็ขายเกาลัดหมดเกลี้ยงแล้ว

การใช้หม้อใหญ่ยังช่วยประหยัดฟืนได้ แต่หลินม่ายกลับไม่ลดเงินที่ต้องให้แม่เฒ่าผางลงแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าผางดีใจมาก ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ก่อนจะเอ่ยกับหลินม่ายว่า “พรุ่งนี้เอาอาหารมาด้วยนะ ฉันจะอุ่นให้ อย่ากินข้าวปั้นเย็นชืดแบบนั้นอีก”

หลินม่ายไม่ได้เกรงใจ กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่วันที่หก ในหกวันนี้ทุกอย่างราบรื่น แขนของหลินม่ายได้ปรับสภาพให้เข้ากับการใช้งานอย่างหนักหน่วงแล้ว

หกวันนี้บวกกับสองวันก่อนหน้านั้น เธอหาเงินได้ถึงสองร้อยหยวน แม้จำนวนจะเทียบเท่ากับเงินเดือนครึ่งปีของคนงานทั่วไป แต่ก็ยังน้อยเกินไป

วันนี้ หลังจากปิดร้านเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายตั้งจะไปตลาดมืดสักรอบ ซื้อคูปองเนื้อ ห้าชั่ง จากนั้นก็ซื้อเนื้อแดงหนึ่งชั่งในตลาดของรัฐ เตรียมกลับไปทอดลูกชิ้นหัวไชเท้าเพื่อทำหม้อไฟกิน

อากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้ ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการกินหม้อไฟอีกแล้ว

เมื่อมาถึงตลาดของรัฐ ก็ได้ยินคนขายเนื้อคนหนึ่งบ่นกับคนขายเนื้ออีกคนหนึ่งว่า “คนรู้จักของฉันก็จริง ๆ เลย ให้ฉันช่วยหาไส้หมูมาให้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มาเอาไปเสียที”

“มีความเป็นได้สูงว่าจะผิดคำพูด ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเบี้ยวนัดไม่มาเอาแบบนี้หรอก”

เพื่อนอาชีพเดียวกันของเขามองเขา ถ้าคนรู้จักไม่เอาแล้ว ไส้หมูชิ้นนั้นคงต้องซื้อเก็บไว้เอง

สีหน้าของคนขายเนื้อคนนั้นยิ่งดูสลดลง “ครั้งต่อไปอย่าหวังให้ฉันช่วยรับของแบบนี้อีกเลย”

ยุคสมัยนี้เครื่องในหมูและปอดหมูมีแค่คนงานในโรงงานเนื้อสัตว์เท่านั้นที่ขายได้ ซึ่งคนทั่วไปหาซื้อไม่ได้

คนขายเนื้อในตลาดของรัฐก็เป็นคนงานในโรงงานเนื้อสัตว์เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงซื้อได้ ไม่เพียงซื้อได้เท่านั้น ยังได้ในราคาที่ต่ำกว่าอีกด้วย

หลินม่ายเกิดความหวั่นไหวในใจ ถามคนขายเนื้อคนนั้นว่า “คุณขายไส้หมูที่คนรู้จักคุณไม่เอาแล้วให้ฉันได้ไหมคะ?”

คนขายหมูคนนั้นพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นทันที “ได้สิ”

หลินม่ายถามไปว่าราคาเท่าไร

เมื่อขายของที่อยู่ในมือออก คนขายเนื้อคนนั้นก็ร้องโห่ด้วยความดีใจ เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้ตั้งราคามั่วซั่ว เขาขายไส้หมูแค่สามเหมาต่อชั่ง และยังไม่เอาคูปองเนื้อด้วย

หลินม่ายไม่เพียงแต่จะซื้อไส้หมูเหล่านั้นได้ทั้งหมดแล้ว ยังซื้อกระดูกหมูได้อีกสองสามชิ้น

กระดูกหมูถูกถลกเนื้อจนสะอาด บนนั้นแทบจะไม่มีเศษเนื้อติดอยู่เลย แม้จะขายแค่สองเหมาต่อชั่งและไม่เอาคูปองเนื้อ แต่น้อยมากที่จะมีคนซื้อ

คนในยุคสมัยนี้ชอบกินเนื้อเป็นชีวิตจิตใจ ไม่ชอบซดน้ำแกง

แต่หลินม่ายชอบซดน้ำแกงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำแกงที่เคี่ยวจากกระดูกหมู มันช่างหอมยวนใจทีเดียว

หลังจากซื้อวัตถุดิบเรียบร้อย สองแม่ลูกก็จากไป

ระหว่างที่นั่งรถไฟ โต้วโต้วได้จ้องเขม็งไปยังกระดูกหมูและไส้หมูที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางกระดิกเท้าดุ๊กดิ๊กไปมาอย่างมีความสุข ก่อนจะเอ่ยถามหลินม่าย “แม่คะ คืนนี้เราจะได้ซดน้ำแกงและกินเนื้อแล้วใช่ไหม?”

หลินม่ายบีบแก้มน้อย ๆ ของหล่อน “ลูกจำได้แต่เรื่องกินจริงเชียว”

โต้วโต้วยิ้มอย่างรู้สึกผิด

หลังจากลงจากรถไฟ ยังไม่ทันถึงบ้านคุณย่าฟาง หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาขวางทางหลินม่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

หลินม่ายมีความทรงจำกับหล่อนเล็กน้อย เมื่อวันก่อนระหว่างทางกลับมากับโต้วโต้ว เห็นหล่อนคว้าตัวคุณย่าฟางออกไปคุยอะไรกันไม่รู้ ซึ่งคุณย่าฟางไม่ค่อยสนใจหล่อนสักเท่าไหร่

หล่อนขวางตนทำไม? ตนก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกับหล่อนเสียหน่อย

หญิงวัยกลางคนคนนั้นเอ่ยถามอย่างเป็นกันเอง “กลับมาแล้วเหรอ”

หลินม่ายตอบ ‘อื้อ’ ด้วยน้ำเสียงเอือมระอา จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “มีธุระอะไรคะ?”

หญิงวัยกลางคนคนนั้นชี้ไปข้างหน้า “ฉันสกุลอู๋ เธอเรียกฉันว่าน้าอู๋ก็ได้ ฉันอาศัยอยู่ข้างหน้านี่เอง เป็นมิตรที่ดีกับคุณย่าฟางของเธอด้วย”

คุณย่าฟางไม่เคยเป็นมิตรที่ดีกับหล่อน แต่หล่อนกลับหาว่าดี

หลินม่ายรีบด่วนตัดสินในใจ ว่าสกุลอู๋คนนี้เป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก

น้าอู๋จึงเอ่ยต่อ “ที่ฉันมาหาเธอก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่อยากถามว่าเธอหอบเกาลัดมากมายขนาดนั้นไปทำอะไรในเมืองเหรอจ๊ะ?”

กับพวกหน้าไหว้หลังหลอกไม่ต้องพูดความจริงให้เปลืองน้ำลาย หลินม่ายจึงพูดโกหกไปว่า “เอาไปส่งให้โรงอาหารของรัฐค่ะ”

เธอกุเรื่องโกหกนี้ขึ้นมาเพราะอยากตัดปัญหาไม่ให้ผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนี้แบกเกาลัดไปขายในเมืองเหมือนกัน

เมืองเจียงเฉิงออกจะใหญ่ขนาดนั้น ความจริงแล้วเธอไม่ถือสาหรอกถ้าหล่อนจะแบกเกาลัดไปขายในเมืองบ้าง ต่อให้ขายบนถนนสายเดียวกับเธอก็ไม่เป็นไร

ผู้คนโดยรอบสถานีรถไฟมีมากมาย เธอคนเดียวก็คงจะกินเค้กทั้งก้อนไม่หมด

แต่เธอไม่ชอบคนที่หน้าไหว้หลังหลอก อีกทั้งคนคนนี้ก็ยังมีสกุลอู๋อีกด้วย

ในอดีตเธอถูกผู้ชายเฮงซวยอย่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนหลอกลวงอย่างน่าอนาถ ใช้ประโยชน์จนแทบหมดตัว เมื่อได้ยินสกุลอู๋เธอก็เลยรู้สึกรังเกียจในใจ

น้าอู๋ตะลึงงันไปชั่วขณะ “ไปส่งให้โรงอาหารของรัฐเนี่ยนะ”

จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ “แล้วโรงอาหารของรัฐเอาเกาลัดไปทำอะไรล่ะ?”

“ทำอาหารไงคะ เกาลัดผัดเต้าหู้เป็นอาหารที่ราคาไม่แพงแถมอร่อยอย่างหนึ่ง”

ระหว่างที่หลินม่ายกำลังตอบคำถามผู้หญิงหน้าไหว้หลังหลอกอยู่นั้น โต้วโต้วได้ปล่อยมือของเธอ แล้ววิ่งพลางตะโกนเรียกเสียงดัง “คุณปู่ คุณย่า คืนนี้มีเนื้อให้กินอีกแล้ว!”

สองปู่ย่ารีบวิ่งออกมาจากในบ้าน

คุณย่าฟางบ่นอุบอิบ “ซื้อเนื้ออะไรมาอีกแล้ว?”

หลินม่ายถือโอกาสนี้ทิ้งหญิงหน้าไหว้หลังหลอกคนนั้น ก่อนจะส่งยิ้มให้หล่อนแล้วเดินจากไป “ไม่ได้ซื้อเนื้อ ซื้อกระดูกหมูและไส้หมูกลับมาต่างหาก ถูกมากเลยค่ะ”

คุณปู่ฟางมองหญิงหน้าไหวหลังหลอกคนนั้นแวบหนึ่ง กระทั่งเห็นหล่อนเดินกระฟัดกระเฟียดออกไป จึงคลี่ยิ้มอย่างมีความสุขพลางเอ่ยว่า “น้ำแกงเคี่ยวกระดูกหมูก็สดใหม่ ไส้หมูก็ทำเป็นผัดไส้หมูเหล้าแดง ไม่ได้การละ คืนนี้ฉันต้องดื่มเหล้าสักสองแก้ว เป็นการเฉลิมฉลองที่โต้วโต้วขึ้นทะเบียนบ้านได้แล้ว”

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ขึ้นทะเบียนบ้านได้แล้วเหรอคะ”

โต้วโต้วไม่ใช่เด็กที่รับมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่เป็นเด็กที่เก็บได้ในบริเวณใกล้เคียงกับรถไฟ การจะขึ้นทะเบียนบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีลู่ทางก็ต้องมีหลักฐานประกอบมากมายถึงจะทำได้

คุณปู่ฟางเก่งจริง ๆ บอกว่าจะจัดให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ก็ทำได้จริง ๆ 

ทั้งหมดเดินเข้าบ้าน คุณย่าฟางนำทะเบียนบ้านมาให้กับหลินม่าย

หลินม่ายโอบโต้วโต้วมาไว้ในอ้อมกอด เปิดสมุดทะเบียนบ้าน พลิกหาหน้าเจ้าของ แล้วชี้ชื่อของตัวเองให้หล่อนดู “นี่คือแม่”

โต้วโต้วเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน แล้วมองดูตัวอักษรสองพยางค์อย่างจริงจัง แล้วเรียกด้วยเสียงเนิบช้า “แม่”

หลินม่ายเปิดไปอีกหน้าให้หล่อนดู “นี่คือลูก ชื่อของเราสองคนอยู่ในทะเบียนบ้านเดียวกันแล้ว ต่อไปเราจะไม่แยกจากกันอีกตลอดชีวิต”

โต้วโต้วกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ และไม่รู้ว่าจะแสดงความดีใจของตัวเองออกมาอย่างไร นอกจากหันกลับไปกอดหลินม่ายและหอมเธอหลายครั้ง

หลินม่ายก็หอมหล่อนหลายครั้งเช่นกัน จากนั้นก็เก็บสมุดทะเบียนบ้าน แล้วไปล้างไส้หมู

แต่กลับถูกคุณย่าฟางผลักไปอีกด้าน “เธอผัดเกาลัดมาทั้งวันแล้ว แขนไม่ล้าหมดแล้วเหรอ ไปนั่งพักเถอะ มีฉันกับปู่ของเธอก็พอแล้ว”

หลินม่ายกลับอยากล้างไส้หมูกับพวกเขา จึงคลี่ยิ้มพลางเอ่ยว่าไม่เป้นไร

คุณย่าฟางได้แต่ล้างไส้หมูพลางเอ่ยถามว่า “สกุลอู๋คนนั้นลากเธอไปคุยอะไรกัน?”

หลินม่ายเล่าให้ฟังอย่างละเอียด

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สกุลอู๋เหมือนกันอีก เป็นญาติกับบ้านสามีเฮงซวยนั่นหรือเปล่าเนี่ย

ยินดีกับโต้วโต้วด้วยนะคะที่เป็นลูกม่ายจื่อแล้ว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 16 หญิงอ้วนข้างบ้าน

หลี่เถียหนิวมีความรับผิดชอบมาก กระทั่งส่งสองแม่ลูกขึ้นรถไฟเสร็จจึงค่อยกลับ

เมื่อนั่งลง หลินม่ายก็เริ่มสอดส่องมองหาใครสักคนที่พอจะช่วยเธอแบกถุงกระสอบลงจากรถไฟได้

หลังจากมองหาอยู่รอบหนึ่ง ก็ถูกใจเข้ากับชายวัยรุ่นที่ดูซื่อตรงจริงใจ แต่งกายเรียบง่ายแต่ค่อนไปทางยากจนคนหนึ่ง

เธอหันไปเอ่ยกับโต้วโต้ว “แม่จะไปพูดคุยกับคุณอาคนนั้นสักหน่อย ลูกไม่ต้องกลัวนะ”

แม้โต้วโต้วจะพยักหน้าเชื่อฟัง แต่สายตากลับจับจ้องไปที่เธอตลอดเวลา

หลินม่ายเดินมาตรงหน้าของชายหนุ่มคนนั้น แล้วเอ่ยจุดประสงค์ที่เข้าหาอย่างคร่าว ๆ 

ชายคนนั้นมองเธอ แล้วมองถุงเกาลัดสี่ถุงกระสอบที่เธอชี้ สุดท้ายก็ตอบรับอย่างเต็มใจ

แค่ให้ขนถุงกระสอบลงจากรถไฟ จากนั้นก็เดินต่อไปไม่ถึงสองช่วงถนนก็หาเงินได้สามเหมาแล้ว นับว่าคุ้มค่า

เมื่อรถไฟเข้าจอดสถานีปลายทาง ชายคนนั้นก็เดินมาแบกถุงเกาลัดใบหนึ่งตามสองแม่ลูกหลินม่ายออกไป

ตอนลงจากรถไฟ ด้วยความที่โต้วโต้วยังเด็กเกินไป ลงรถไฟคนเดียวค่อนข้างลำบาก ชายคนนั้นจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปอุ้มหล่อนลงมาจากรถไฟ

แล้วเดินไปส่งสองแม่ลูกยังบ้านของแม่เฒ่าผางอย่างที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

หลินม่ายพูดคำไหนคำนั้น จ่ายเงินค่าแรงให้กับเขาสามเหมา

ชายคนนั้นรับเงินค่าแรงแล้วเดินจากไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

แม่เฒ่าผางเตรียมจะเปิดแผงขายของพอดี ทันทีที่เปิดประตูออกมาก็เจอกับหลินม่าย จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างดีใจสุดขีด “มาช้ามาก  ฉันยังคิดอยู่เลยว่าวันนี้เธอคงไม่มาแล้ว” 

จากนั้นก็เปิดแผงขายให้กับหลินม่ายก่อน โดยไม่ได้สนใจแผงขายของตัวเอง

เมื่อยกเตาและหม้อออกมา พบว่าครั้งนี้หลินม่ายแบกเกาลัดมาสี่ถุง จึงบ่นพึมพำว่า “วันนี้เธอหามเกาลัดมาสองตะกร้าหาบเลยเหรอ?” 

หลินม่ายเข้าใจความหมายในประโยคที่นางถาม จึงตอบ ‘อื้อ’ คำเดียว “เพราะมันเยอะเป็นเท่าตัว เลยตั้งใจจะจ่ายให้คุณย่าวันละสองหยวนน่ะค่ะ ดีไหมคะ”

เนื่องจากเงินเพิ่มขึ้นโดยสมเหตุสมผล แม่เฒ่าผางจึงตอบรับอย่างสุขใจ

การเปิดแผงขายในครั้งที่สองมีประสบการณ์เยอะกว่าครั้งแรก แม่เฒ่าผางได้เตรียมถุงกระดาษใส่เกาลัดให้หลินม่ายไว้เรียบร้อย ส่วนหลินม่ายก็คั่วเกาลัดได้อย่างชำนาญ

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุด คนที่สัญจรไปมาไม่น้อยไปกว่าวันปีใหม่เมื่อวาน กิจการของหลินม่ายนับว่าไม่เลวนัก

คุณย่าผางพลอยได้พึ่งบารมีจากเธอไปด้วย ร้านน้ำชาของนางขายดีเพราะเธอ นางจึงยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว

ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาถึงตอนเที่ยง เกาลัดของหลินม่ายขายไปแล้วหกส่วน แต่เธอไม่อยากพัก ตั้งใจจะขายรวดเดียวหมดแล้วค่อยกลับบ้านของคุณย่าฟาง

แต่ถึงกระนั้นก็ต้องกินข้าว หลินม่ายจึงให้โต้วโต้วหยิบข้าวปั้นชิ้นหนึ่งออกมาให้เธอ

แม้ว่าโต้วโต้วและเธอจะยืนอยู่ท่ามกลางสายลม  แต่เพราะยืนใกล้เตาไฟจึงไม่รู้สึกหนาวแต่อย่างใด

เด็กน้อยรีบหยิบข้าวปั้นชิ้นหนึ่งจากในไหกระเบื้องแล้วยื่นให้เธอ ส่วนตัวเองก็หยิบอีกชิ้นมากิน

แม่เฒ่าผางเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “กินเย็น ๆ ไม่เป็นไรเหรอ?”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรค่ะ”

คนยุคสมัยนี้ไม่ค่อยจู้จี้กันหรอก กินแบบเย็นก็ไม่มีปัญหา แค่ไม่ได้กินของที่ทิ้งไว้นานเกินไปก็พอ

ตอนนี้เอง หลานชายของแม่เฒ่าผางวิ่งออกมาจากข้างใน ยืนจ้องเกาลัดที่อยู่ในหม้อด้วยความอยากกิน

ในตอนที่คั่วเกาลัดเมื่อวานนั้น เขาวิ่งออกมาหลายครั้ง แต่หลินม่ายแกล้งทำเป็นไม่เห็น วันนี้ก็เหมือนกัน

เธอเช่าหม้อและเตาของย่าเขาทุกวัน ให้เงินไม่เคยขาดสักหยวนเดียว แล้วทำไมต้องให้เขากินเกาลัดด้วย

เกาลัดเหล่านี้เธอมีไว้ขาย แม้แต่โต้วโต้วยังไม่ได้กินสักลูก

เด็กชายวิ่งมาส่งเสียงฟึดฟัดใส่ย่าของเขา บอกว่าเขาอยากกินเกาลัดคั่ว แต่ถูกย่าของเขาดุจนวิ่งกลับห้อง

ผ่านไปไม่นานเขาก็วิ่งออกมาอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาส่งเสียงฟึดฟัดใส่ย่าของเขา แต่เอ่ยถามหลินม่ายว่า “คุณน้า ให้ผมกินเกาลัดสักสองสามลูกได้ไหม?”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ ถ้ายังไม่ให้อีก เกรงว่าแม่เฒ่าผางคงไม่พอใจแน่ หลินม่ายจึงหยิบเกาลัดห้าลูกให้เด็กผู้ชายไป

เพราะกลัวเขาจะได้ไม่หนำใจแล้วขอเพิ่มอีก หลินม่ายจึงเอ่ยด้วยท่าทางเสียใจว่า “เกาลัดเหล่านี้มีไว้ขายแลกเงิน ฉันให้เธอได้มากแค่นี้ ขอโทษนะ”

เธอพยายามข่มอารมณ์ให้ต่ำถึงขีดสุด กลับกลายเป็นแม่เฒ่าผางที่รู้สึกผิดเสียเอง ดุด่าหลานชายของนางฉากหนึ่ง

บอกว่าถ้าเขายังกล้าออกมาขอเกาลัดกินอีก จะส่งเขากลับไปให้พ่อแม่ของเขา เด็กชายจึงไม่กล้าโผล่หน้ามาอีก

ตอนนี้เองหญิงวัยกลางคนร่างอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่งได้เดินออกมาจากบ้านที่อยู่ถัดไป

หลินม่ายชำเลืองมองหล่อนแวบหนึ่ง ยุคสมัยนี้จะกินให้ตัวเองอ้วนขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

หญิงวัยกลางคนที่กำลังถักเสื้อไหมพรมคนนั้นสอดสายตามองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

ใช้เท้าเตะเกาลัดที่บรรจุอยู่ในถุงกระสอบด้านหลังของหล่อน แล้วจีบปากจีบคอเอ่ยถาม “เธอไปซื้อเกาลัดพวกนี้มาจากไหน?”

แม้หลินม่ายจะไม่ชอบขี้หน้าอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า

ดั่งคำกล่าวที่ว่า ยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษ ดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย

ผู้หญิงคนนี้ดูภายนอกก็รู้ทันทีว่าเป็นคนถ่อย ล่วงเกินหล่อนไป หล่อนต้องวิ่งแจ้นไปรายงานกรมพาณิชย์เรื่องตนแน่นอน สุดท้ายตัวเองคงเปิดแผงขายของตรงนี้ไม่ได้อีก แล้วจะหาเงินได้ยังไง?

ยุคสมัยนี้ แม้ว่าประเทศจะไม่ได้โจมตีผู้ประกอบอาชีพค้าขายอย่างรุนแรงเหมือนก่อนหน้านั้น แต่นั่นก็สำหรับผู้ประกอบอาชีพค้าขายที่มีใบประกอบอนุญาต เมื่อต้องรับมือกับผู้ค้ารายย่อยที่ไม่มีใบอนุญาต จึงยังมีการขับไล่ ยึดของ กระทั่งปรับอยู่เนือง ๆ 

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันไปรับซื้อจากภูเขาที่อยู่ห่างไกลน่ะค่ะ”

หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างหมดความอดทน “ภูเขาไหน เธอบอกแบบเจาะจงหน่อยไม่ได้รึไง?”

หลินม่ายจึงจงใจบอกสถานที่ที่มีทางขึ้นเขาปราบเซียนสิบแปดโค้งออกไป “ภูเขาต้ากัวค่ะ”

ทันทีที่หญิงวัยกลางคนได้ยิน หล่อนก็ผงะ

ไม่ต้องเอ่ยถึงภูเขาต้ากัวที่ห่างไกลจากเมืองเจียงเฉิง ทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่ไม่สะดวก แม้ว่าหล่อนอยากขายเกาลัดคั่วแค่ไหน แต่การจะรับซื้อมาไม่ใช่เรื่องง่าย

ดูเหมือนหญิงวัยกลางคนคิดว่าหลินม่ายตั้งใจตัดช่องทางทำเงินของหล่อน สีหน้าจึงได้ดูแย่ลงทันตา ขณะที่ถักเสื้อไหมพรมไปได้ครู่หนึ่ง หล่อนก็เอ่ยอย่างโอหังอวดดี “เฮ้ เอาเกาลัดให้ฉันสองร้อยห้าสิบกรัมสิ”

หลินม่ายยังคงยึดหลักเดิมที่ว่ายอมล่วงเกินสุภาพบุรุษดีกว่าล่วงเกินคนถ่อย แม้จะให้หล่อนไปแล้ว แต่หล่อนก็ยังได้คืบจะเอาศอก ดังนั้นก็ไม่ต้องทนกับคนแบบนี้อีกต่อไป 

จึงชั่งเกาลัด 250 กรัม พลางเอ่ยว่า “สองเหมา ขอบคุณค่ะ”

ดวงตาของหญิงวัยกลางคนเบิกกว้างเป็นไข่ห่านทันใด “ฉันมาขอเกาลัดเธอ นั่นนับว่าให้เกียรติแล้ว นี่เธอยังเรียกเงินอีก!”

หลินม่ายยังไม่ทันเอ่ยปาก แม่เฒ่าผางก็เอ่ยขึ้นก่อน “หลานสาวของฉันเปิดแผงขายเกาลัดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ทำไมถึงจะเรียกเงินไม่ได้? อีกอย่าง ใครบอกเธอว่านั้นคือการให้เกียรติ?!”

หญิงวัยกลางคนมองแม่เฒ่าผางด้วยความสงสัย “หล่อนเป็นหลานสาวของยายเหรอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะ?”

แม่เฒ่าผางกลอกตามองบน “ญาติของฉันต้องรายงานเธอด้วยรึไง เมื่อก่อนเธอไม่เคยมาบ้านฉัน เธอต้องไม่เคยเห็นสิ!”

หญิงวัยกลางคนคนนั้นหลุดหัวเราะหนึ่งเสียง “ในเมื่อเป็นหลานสาวของยาย ทำไมยายถึงขี้เหนียวแบบนี้ แม้แต่อาหารเที่ยงก็ไม่หาให้หล่อนกิน หล่อนยังนั่งกินข้าวปั้นที่ห่อมาเองอยู่เลย”

หลินม่ายตอกกลับ “แม้ว่าจะเป็นหลานสาว แต่ฉันก็ไม่ได้หน้าหนาเอาเปรียบคนแก่หรอกนะ สมัยนี้ มีครอบครัวในเมืองบ้านไหนบ้างไม่จัดสรรอาหารให้ตามปริมาณ” 

หญิงวัยกลางคนไม่ใช่คนโง่ ไหนเลยจะฟังไม่ออกว่าหลินม่ายกำลังแขวะว่าหล่อนหน้าหนา จึงส่งเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วเดินกลับเข้าบ้านตัวเองไป

เมื่อครู่หล่อนซ่อนตัวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในบ้านครึ่งวัน จนมั่นใจว่าหลินม่ายและแม่เฒ่าผางไม่มีความสัมพันธ์กัน จึงได้เดินออกมาถามเธอเพราะอยากเปิดแผงขายเกาลัดด้วย คาดไม่ถึงว่าเกาลัดนั้นจะรับซื้อได้ยากขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้จึงยกเลิกความคิดไป

ต่อจากนั้น หล่อนตั้งใจจะมาเอาเปรียบหลินม่ายสักเล็กน้อย

แต่เมื่อเห็นแม่เฒ่าผางปกป้องเธอ เลยรู้ว่าแม่เฒ่าผางได้ผลประโยชน์จากหลินม่ายไปไม่น้อย ทั้งยังผูกปิ่นโตกันระยะยาว จึงได้ยอมแพ้ไป

ถ้าเป็นคนนอก หล่อนจะรังแกยังไงก็ได้

แต่กับแม่เฒ่าผาง หล่อนกลับไม่อยากล่วงเกิน เพราะต่างก็เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน ถึงตัดเส้นทางรวยของหล่อน หล่อนยังให้อภัยนางได้!

อีกอย่างแม่เฒ่าผางก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ดังนั้นหล่อนจึงล่วงเกินไม่ได้

หลินม่ายเต็มใจมอบผลประโยชน์ให้กับแม่เฒ่าผาง หากนางไม่ออกหน้าให้เธอ เกรงว่าพรุ่งนี้ตัวเองคงเปิดแผงที่นี่ไม่ได้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

นี่แหละน้า ขโมยไก่ไม่ได้ซ้ำยังเสียข้าวสาร หลินม่ายไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่จะโดนเอาเปรียบหรอกนะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 15 ใครไม่เอาก็โง่แล้ว

หลังจากคุยจบและกลับห้องเข้านอน หลินม่ายก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง โต้วโต้วกอดเธอไว้แน่นขณะตกอยู่ในห้วงความฝัน พร้อมกับเสียงสะอื้น “แม่คะ อย่าทิ้งหนูไป หนูจะเชื่อฟังทุกอย่าง”

 

หลินม่ายรู้สึกเจ็บปวดในใจ จึงพลิกมือมาโอบกอดหล่อนไว้แน่น พลางเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ไม่มีวันทิ้งโต้วโต้วตลอดชีวิตนี้”

โต้วโต้วสงบลงด้วยเพลงกล่อมเด็กอันอบอุ่นของเธอ สุดท้ายก็เข้าสู้ห้วงนิทรา

เช้าตรู่วันต่อมา คุณปู่ฟางและหลินม่ายก็แยกย้ายกันไปรับซื้อเกาลัดคนละทาง

หลินม่ายใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ได้เกาลัดกลับมา 40 ชั่ง

ตอนที่เธอแบกเกาลัดกลับมาถึงบ้านของคุณย่าฟางนั้นก็เห็นร่างเงาเล็ก ๆ ร่างหนึ่งจากในระยะไกลยืนชะเง้อแลมองมาแต่ไกลตรงหน้าประตูบ้านของคุณย่าฟาง

ร่างเงาเล็ก ๆ ก็คือโต้วโต้วนั่นเอง เมื่อเห็นหลินม่าย หล่อนก็วิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาที่ยังไม่แห้ง พลางเอ่ยถามด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “แม่ตื่นนอนแล้วทำไมไม่ปลุกหนูคะ?”

หลินม่ายคว้าข้อมือเล็ก ๆ ของหล่อนพลางอธิบายด้วยความอดทน “ตื่นเช้าในฤดูหนาวมันเหน็บหนาวถึงขั้วหัวใจเชียวนะ ดังนั้นแม่ก็เลยไม่ปลุกหนูไง”

คุณย่าฟางที่ตามมาทีหลังได้เอ่ยขึ้น “เด็กคนนี้ตื่นเช้ามาไม่เจอเธอก็เลยร้องไห้ ฉันบอกหล่อนแล้วว่าเธอไปรับซื้อเกาลัด หล่อนก็ยังร้อง”

หลินม่ายรู้ดีว่าโต้วโต้วถูกแม่แท้ ๆ ทอดทิ้งจนจำฝังใจ จึงกลัวว่าเธอจะทอดทิ้งหล่อน ถึงได้เป็นกังวลแบบนี้

เธอเอ่ยสัญญาอย่างอบอุ่น “โต้วโต้ว แม่ไม่ทิ้งหนูหรอก หยุดร้องได้แล้ว”

โต้วโต้วเช็ดคราบน้ำตา แล้วตอบ ‘อื้อ’ อย่างแผ่วเบา มือเล็ก ๆ ที่จับเธอไว้กระชับแน่นขึ้น

ทั้งสามคนเดินกลับเข้าบ้านด้วยกัน กระทั่งหลินม่ายพบว่าคุณปู่ฟางได้กลับมาจากการรับซื้อเกาลัดแล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่คล่องแคล่วกว่าฉันอีกนะคะ ถึงรับซื้อเกาลัดได้เร็วขนาดนี้”

คุณปู่ฟางเอ่ยด้วยความภูมิใจอยู่บ้าง “คงไม่เคยเห็นล่ะสิว่าฉันเป็นใคร ฉันเป็นทหารเก่า จะไม่คล่องแคล่วได้ไง!” 

คุณย่าฟางยกอาหารเช้าเข้ามา พลางถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “สังขารก็ปูนนี้แล้ว ยังกล้าโอ้อวดต่อหน้าเด็กมันอีก!”

คุณปู่ฟางกลั้วหัวเราะเหอะ ๆ พลางเอ่ย “ฉันไม่ได้โอ้อวด ฉันไปบอกกล่าวพวกชาวบ้านไว้ ให้พวกเขาบอกต่อคำพูดของฉัน  บ้านใครมีเกาลัดให้มาขายที่บ้านของฉัน หนึ่งเหมาต่อหนึ่งชั่ง ต่อไปก็ไม่ต้องออกไปเร่รับซื้อเกาลัดเองแล้ว”

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างพอใจ “ได้เรื่องกับเขาสักที”

คุณปู่ฟางได้ยินดังนั้นไม่เพียงแต่ไม่โกรธเคือง ทั้งยังยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยถามหลินม่าย “ต่อไปอาจจะมีผู้คนไม่น้อยเข้ามาขายเกาลัดที่บ้านของเรา ปีที่แล้วเธอขายเกาลัดได้เท่าไหร่ก็คำนวณเอา ถ้าได้เพียงพอแล้วฉันจะหยุดรับ”

วันนี้คือวันที่สองของวันขึ้นปีใหม่ จะมีการเฉลิมฉลองปีใหม่ในวันที่ 3 เดือน 2 ซึ่งยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็ม

ถ้าขายได้วันละ 80 ชั่งทุกวัน หนึ่งเดือนจะได้ประมาณ 2 หรือ 3000 ชั่ง แต่หลินม่ายอยากฉวยโอกาสตอนที่ตัวเองยังเป็นเจ้าเดียวในเมืองกอบโกยให้ได้มากที่สุด

ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “นับแต่นี้ไปฉันจะขายเกาลัดให้ได้วันละ 150 ชั่ง ทดลองขายสิบวันแรกก่อน คุณปู่ช่วยรับซื้อเกาลัดแค่ 2000 ชั่งดูก่อนค่ะ สิบวันหลังค่อยดูสถานการณ์อีกที”

จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเนียมอาย “ส่วนเงินที่ใช้รับซื้อเกาลัดก้อนนี้ คุณปู่ช่วยสำรองจ่ายให้ฉันก่อนนะคะ”

คุณปู่ฟางโบกมือ พลางเอ่ยด้วยความมุ่งมั่น “เรื่องจิ๊บจ๊อยน่า!”

คุณย่าฟางกำลังจัดวางอาหารเช้า ได้ยินดังนั้นก็อึ้งงันไป “วันหนึ่งขายมากขนาดนี้ แล้วเธอจะขนเข้าเมืองยังไง?”

คุณปู่ฟางรีบเอ่ย “ฉันช่วยหล่อนขนเข้าเมืองเอง”

คุณปู่ฟางเป็นชายชราอายุหกสิบเจ็ดสิบปีแล้ว หลินม่ายจะให้เขาขนไปส่งให้ตัวเองได้อย่างไร

เธอจึงรีบส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันหาคนไปส่งที่รถไฟเอง จากนั้นก็ค่อยหาใครสักคนบนรถไฟช่วยไปส่งที่บ้านคุณย่าผางอีกที”

รถไฟที่เธอนั่ง สถานีต้นสายคือสถานีรถไฟฮั่นโขว หาใครสักคนช่วยไปส่งไม่น่ายาก

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างลังเล “เรียกใครสักคนในเมืองเล็ก ๆ ไปส่งที่สถานีรถไฟก็ไม่ยากเหมือนกัน  บนรถไฟเธอไม่รู้จักใครสักคน จะหาใครมาช่วยเธอได้?”

“ก็จ้างคนอื่นไงคะ ต้องมีคนยอมส่งบ้างแหละ”

ในสายตาของหลินม่าย อะไรที่แก้ปัญหาได้ด้วยเงินไม่เรียกว่าปัญหา

แก้ไขปัญหาหนึ่งได้แล้ว คุณย่าฟางก็ยังกังวลปัญหาอื่น “ขนเกาลัดมากมายขนาดนั้นไปขายในเมือง ตอนเที่ยงจะเอาเวลาไหนออกไปซื้อข้าว? ไม่ได้การละ ฉันต้องอบขนมแป้งจี่สักสองสามชิ้นเป็นเสบียงให้เธอแล้ว”

กล่าวจบก็เตรียมเข้าครัว แต่ถูกหลินม่ายขวางไว้

“คุณย่า ไม่ต้องลำบากหรอก เอาข้าวที่เหลือมาทำเป็นข้าวปั้นไปก็พอ กินข้าวก่อนเถอะค่ะ”

คุณย่าฟางจึงนั่งลงกินอาหารเช้า

หลังจากกินได้สองสามคำ จู่ ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งออก จึงเอ่ยถามหลินม่ายอย่างจริงจัง “เธอทิ้งเงินห้าเหมาไว้ใต้กาน้ำชาใช่ไหม? เมื่อวานฉันจะถามเรื่องนี้แต่ก็ลืมไปเลย”

หลินม่ายยิ้มด้วยความลำบากใจ “มาอยู่บ้านคุณย่าก็รบกวนคุณปู่คุณย่าจะแย่อยู่แล้ว ก็เลยทิ้งเงินไว้ห้าเหมาน่ะค่ะ”

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์เอามาก ๆ “ฉันไม่ชอบที่เธอเกรงใจขนาดนี้!”

คุณปู่ฟางจึงเอ่ยคล้อยตามทันที “ฉันก็ไม่ชอบ”

หลินม่ายรีบเอ่ยว่า “ก็ได้ ๆ ฉันผิดเองค่ะ ต่อไปจะไม่เกรงใจแบบนี้อีกแล้ว”

คุณย่าฟางจึงพอใจ

หลินม่ายจึงชิงโอกาสนี้เอ่ยว่า “ในเมื่อคุณปู่คุณย่าไม่อนุญาตให้ฉันเกรงใจ งั้นตอนนี้ฉันมีเรื่องจะขอร้องพวกคุณสักอย่าง”

“เรื่องอะไร ว่ามา” คุณปู่ฟางเงยหน้าจากชามข้าวแล้วมองเธอ

“ฉันขอฝากโต้วโต้วให้พวกคุณช่วยดูแลอยู่ที่บ้านนะคะ ฉันไปค้าขายไม่สะดวกพาหล่อนไปด้วย”

คุณย่าฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฝากไว้ที่นี่แหละ แก่ ๆ อย่างเราสองคนจะได้คลายเบื่อได้บ้าง”

โต้โต้วกลับสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็หันไปมองหลินม่ายเชิงขอร้อง “ไม่ค่ะ อย่าทิ้งหนูไว้ หนูอยากไปขายเกาลัดในเมืองกับแม่ด้วย”

ผู้ใหญ่ทั้งสามคนโน้มน้าวยังไง หล่อนก็ไม่ฟัง

หลินม่ายจำใจต้องตอบรับพาหล่อนไปด้วย

ตอนนี้สิ่งที่โต้วโต้วขาดคือความปลอดภัย ไว้ให้หล่อนรู้สึกปลอดภัยก่อนคงจะแยกกับตนได้โดยไม่กลัวแล้ว

หลังกินข้าวเสร็จ คุณปู่ฟางออกตามหาคนช่วยขนเกาลัดไปยังสถานีรถไฟมาให้หลินม่าย

ส่วนคุณย่าฟางก็ช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัด

หลินม่ายเก็บชามและตะเกียบ และถือโอกาสทำข้าวปั้น

เดิมทีตั้งใจจะทำข้าวปั้นแค่สองก้อน แต่โต้วโต้วตามไปด้วยจึงต้องปั้นเพิ่มเป็นห้าก้อน

โชคดีที่ข้าวที่เหลือของคุณย่าฟางมีจำนวนเพียงพอ หลินม่ายใช้ถั่วฝักยาวแทรกแซมเข้าไปในข้าวปั้นทั้งห้าก้อน จากนั้นก็นำข้าวปั้นห้าก้อนนี้ใส่ไหกระเบื้องใหญ่ใบหนึ่ง แล้วมาช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดกับคุณย่าฟาง

คุณปู่ฟางออกไปไม่นานก็พาชายฉกรรจ์วัยสามสิบกว่า ดูซื่อบื่ออดอยากคนหนึ่งกลับมา

แม้ว่าเสื้อผ้าของชายฉกรรจ์คนนั้นจะสะอาด แต่ก็ถูกเย็บปะอยู่หลายจุด เห็นแล้วก็รู้ทันทีว่าชีวิตยากจนข้นแค้นมาก

คุณปู่ฟางแนะนำทั้งสองฝ่ายให้เขาและหลินม่ายได้รู้จัก

หลินม่ายรู้ว่าชายฉกรรจ์คนนี้อยู่ในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ชื่อว่า หลี่เถียหนิว

เธอยิ้มให้หลี่เถียหนิวพลางเอ่ยว่า “ค่าขนไปส่งวันละสองเหมา พี่ใหญ่หลี่จะทำไหมคะ?”

ตอนนี้คนงานในเมืองได้เงินเดือนตกเดือนละยี่สิบสามสิบ ช่วยขนของไปส่งที่สถานีรถไฟทำเงินได้ตั้งสองเหมา  ใครไม่ทำก็โง่แล้ว!

หลี่เถียหนิวรีบพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ทำ!”

หลินม่ายให้เงินเขาสองเหมาและให้เขากลับไปก่อน อีกหนึ่งชั่วโมงค่อยมาใหม่

เวลาตอนนี้ยังเช้าอยู่ เธอตั้งใจจะกะเทาะเปลือกเกาลัดให้ได้สักหนึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเข้าเมือง

เธอขายของกินเล่นไม่ได้ขายอาหารเช้า จึงไม่ต้องไปเช้าขนาดนั้น

หลี่เถียหนิวคว้าเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งตรงหน้าเกาลัดที่ต้องกะเทาะเปลือกกองหนึ่ง “ฉันกลับไปก็ไม่มีอะไรทำ สู้มาช่วยกะเทาะเปลือกเกาลัดดีกว่า”

คุณย่าฟางเอ่ยหยอกเย้า “แกกะเทาะได้ แต่ม่ายจื่อไม่มีเงินจ้างแกนะ”

หลี่เถียหนิวกลั้วหัวเราะเหอะ ๆ พลางเอ่ย “เรื่องเล็กแค่นี้จะจ้างทำไม? ฉันก็ไม่ได้เห็นแก่เงินสักหน่อย”

กำลังคนเยอะขึ้น ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง เกาลัด 150 ชั่งได้ถูกกะเทาะเปลือกจนหมด หลังจากบรรจุใส่ถุงกระสอบเรียบร้อยแล้ว หลี่เถียหนิวก็แบกเกาลัดถุงนั้นขึ้นหลังเตรียมขน

หลินม่ายจึงรีบแบกเกาลัดอีกถุงเช่นกัน

คุณย่าฟางเรียกเธอไว้ จากนั้นก็ถอดนาฬิกาออกจากมือยื่นให้เธอ “ฉันเห็นเธอไม่มีนาฬิกา ใส่ของฉันไปก่อน อยู่ข้างนอกจะได้ดูเวลา”

“นี่…..” หลินม่ายเกิดความลังเลเล็กน้อย

เธอต้องมีนาฬิกาไว้ดูเวลาจริง ๆ แต่สมัยนี้นาฬิกาเป็นของใช้ฟุ่มเฟือย จึงรู้สึกลำบากใจที่จะหยิบมัน

คุณย่าฟางจึงบังคับเธอใส่อย่างอดไม่ได้ “อะไรกันเล่า? เด็กวัยรุ่นทำไมขัดใจเก่งแบบนี้ ให้เธอใส่ก็ใส่ไปสิ!”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีแรงงานมาเพิ่มแล้ว ได้เวลากอบโกยแล้วค่ะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 14 ช่วยย้ายสำมะโนครัว

โต้วโต้วไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน คุณย่าฟางจึงออกไปช่วยซื้อเสื้อผ้าชุดเก่าตัวเล็กของเด็กคนอื่นมาหนึ่งชุด

ยุคสมัยนี้ คนโตได้ตัวใหม่ คนรองได้ตัวเก่า คนที่สามได้ตัวขาด จะซื้อเสื้อผ้าจากพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย

โชคดีที่คุณย่าฟางรู้ทุกอย่าง เด็กบ้านไหนยังเล็ก เด็กบ้านไหนอายุน้อยกว่าโต้วโต้วไม่กี่ปี นางรู้อย่างแจ่มแจ้ง

ดังนั้นเสื้อผ้าที่นางไปซื้อมาจึงไม่มีทางขาดเป็นรูพรุนไม่เหลือชิ้นดีอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องเย็บปะซ่อมแซมไม่น้อย

หลังจากจัดการแต่งตัวให้โต้วโต้วเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วและคุณปู่ฟางไปเก็บกุยช่ายด้วยกัน

ส่วนคุณย่าฟางก็นวดแป้ง

เมื่อล้างกุยช่ายจนสะอาดแล้ว คุณย่าฟางก็นวดแป้งเสร็จพอดี หลินม่ายจึงลงมือคลึงแป้งให้เป็นแผ่น

ในอดีตตอนที่เธอเริ่มทำธุรกิจขายของกินเล่น ยังไม่มีเครื่องคลึงแป้งเป็นแผ่นวางขาย ทุกอย่างต้องอาศัยฝีมือในการคลึงแป้งทั้งนั้น ดังนั้นจึงได้ฝึกทักษะการคลึงแป้งเป็นแผ่น ทั้งยังคลึงออกมาได้รวดเร็วและดีมากอีกด้วย

แม้ว่าในอดีตเธอเคยคลึงแต่แผ่นเกี๊ยวน้ำ ไม่เคยคลึงแผ่นเกี๊ยวทางเหนือ แต่เกี๊ยวทางเหนือคลึงแป้งได้ง่ายกว่าเกี๊ยวน้ำ

โต้วโต้วและสองปู่ย่าสกุลฟางจึงได้ห่อเกี๊ยวด้วยกัน

โต้วโต้วห่อเกี๊ยวไม่เป็น อาวุโสทั้งสองคนจึงสอนหล่อนห่อเกี๊ยว สองปู่ย่ากับหลานหนึ่งคนพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮา บรรยากาศรอบตัวจึงดูอบอุ่นมากขึ้น

หลังจากห่อเกี๊ยวไปแล้วครึ่งชั่วโมง หลินม่ายก็เริ่มหย่อนเกี๊ยวลงต้ม โดยให้โต้วโต้วช่วยก่อไฟ

คุณย่าฟางจึงตำหนิขึ้น “โต้วโต้วเพิ่งจะโตแค่ไหนกันเชียว ก่อไฟเป็นที่ไหนกัน ให้คุณปู่ฟางก่อไฟเถอะ!”

โต้วโต้วรีบเอ่ยทันที “หนูก่อไฟเป็นค่ะ”

ขณะที่พูด ขาสั้น ๆ ก็เดินเตาะแตะไปนั่งหน้าเตาไฟ  เลียนแบบท่าทางจุดไม้ขีดไฟจากผู้ใหญ่ ก่อนจะจุดลงบนฟืนไม้ 

แม้ว่าหลินม่ายจะไม่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อน แต่ก็รู้ว่าตามใจเด็กไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไปตัวเองนั่นแหละจะลำบาก

จึงเอ่ยกับคุณย่าฟางด้วยรอยยิ้มว่า “คุณย่าดูสิ โต้วโต้วก่อไฟเป็น ก็ให้หล่อนก่อไฟไปเถอะ”

คุณย่าฟางลังเลชั่วขณะ แล้วเดินออกจากห้องครัวไป

ไม่นานเกี๊ยวก็ต้มเสร็จ ทุกคนมีเกี๊ยวชามใหญ่หนึ่งชาม

โต้วโต้วอยากถือชามเกี๊ยวด้วยตัวเอง แต่คุณย่าฟางกลัวว่ามันจะลวกมือหล่อน จึงคอยเดินตามอยู่ด้านหลังเหมือนแม่ไก่ที่ปกป้องลูกน้อย ทั้งยังดุที่หล่อนโอ้อวดตนเกินไปโดยไม่มีทีท่าจะหยุด

หลินม่ายไม่รู้สึกว่าหล่อนโอ้อวดตนแต่อย่างใด แค่อยากกินเกี๊ยวจนแทบอดใจไม่ไหวแล้วเท่านั้น

คุณปู่ฟางปอกกระเทียม จากนั้นก็ตักเกี๊ยวหนึ่งชิ้นเข้าปากตามด้วยกระเทียมหนึ่งกลีบ สีหน้ามีความสุขมาก ทั้งยังถามหลินม่ายอีกว่าอยากลองสักกลีบไหม

หลินม่ายส่ายสะบัดหน้าเหมือนกับกลองป๋องแป๋งเด็ก เธอใช้กระเทียมเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหารเท่านั้น ไม่เคยกินดิบ

แม้ว่ามณฑลหูในสายตาของคนกว่างตงจะอยู่ทางตอนเหนือ แต่วิถีในการดำรงชีวิตกลับอยู่ทางตอนใต้ ไม่ชินกับการกินกระเทียมดิบ

คุณย่าฟางส่งสายตาตำหนิใส่คุณปู่ฟางแวบหนึ่ง “คุณชอบกินก็กินไปคนเดียวสิ ทำไมต้องชวนม่ายจื่อกินด้วย!”

ก่อนจะอธิบายให้หลินม่ายฟังอีกครั้ง “คุณปู่ของหนูอยู่ในเมืองหลวงมาหลายสิบปี กลายเป็นคนภาคเหนือไปแล้ว ชอบกินกระเทียม ชอบกินบะหมี่เป็นชีวิตจิตใจ”

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณปู่เคยกินบะหมี่ผัดซอสราดเต้าซี่และเป็ดย่างของปักกิ่งไหมคะ?”

คุณปู่ฟางหัวเราะ ฮ่า ๆ ออกมาก่อนเอ่ยว่า “เคยกินสิ เคยกินมาหมดแล้ว แต่ฉันไม่ชินกับเตาซี่สักเท่าไหร่ รสชาตินั้นทำให้ฉันเวียนหัว”

หลังจากนั้นก็ทำปากขมุบขมิบพลางนึกย้อนถึงรสชาติที่ยังอบอวลอยู่ในปาก “เป็ดปักกิ่งเรียกได้ว่าหอมหวนชวนน้ำลายหกมาก คำเดียวก็มันเยิ้มไปทั้งปาก”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หนูไม่เคยกินเป็ดปักกิ่งต้นตำรับเดิมมาก่อน ต่อไปจะต้องไปลองชิมในเมืองหลวงให้ได้เลยค่ะ”

โต้วโต้วเงยหน้าเอ่ยถามว่า “เป็ดย่างอร่อยเหมือนกับเกี๊ยวไหมคะ?”

คุณปู่ฟางลูบศีรษะน้อย ๆ ของหล่อนอย่างเบามือ “อร่อยกว่าเกี๊ยวแน่นอน!”

โต้วโต้วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “จะอร่อยแค่ไหนกัน หนูว่าเกี๊ยวอร่อยที่สุดในโลกแล้ว” กล่าวจบก็ก้มหน้าลงกินอย่างขมขื่น

เมื่อหลินม่ายได้ยินคำพูดของหล่อน และยิ่งได้เห็นหล่อนกินเกี๊ยวอย่างมีความสุข ก็อดปวดใจไม่ได้

เมื่อกินเกี๊ยวหมด โต้วโต้วก็หลับปุ๋ยไปในทันที

สองวันนี้หล่อนไม่ได้กินอะไรดี ๆ ไม่ได้ดื่มอะไรดี ๆ เลย แถมยังเอาแต่คิดถึงผู้เป็นแม่ ไม่เคยหลับสนิท

ตอนนี้เมื่อได้กินอิ่มหนำสำราญ ได้อยู่ในสภาพสังคมที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง ย่อมนอนหลับสนิทเป็นธรรมดา

หลินม่ายพาหล่อนไปส่งเข้านอน  เด็กน้อยเมื่อหัวถึงหมอนก็หลับสนิท

หลินม่ายเดินไปคุยกับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางในห้องโถงกลาง

สองปู่ย่าสกุลฟางได้เอ่ยถามถึงประวัติความเป็นมาของโต้วโต้ว หลินม่ายจึงบอกความจริงกับพวกเขา

คุณปู่ฟางเอ่ยว่า  “ไหน ๆก็มาถึงขนาดนี้แล้ว หนูก็รีบย้ายชื่อของโต้วโต้วมาเข้าทะเบียนบ้านของหนูเสียดีกว่า หล่อนอายุสามขวบกว่าแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องเข้าโรงเรียน ไม่มีทะเบียนบ้าน แม้แต่ระดับอนุบาลก็เข้าเรียนไม่ได้นะ”

เพราะยุคสมัยนี้บังคับใช้นโยบายวางแผนครอบครัวค่อนข้างเข้มงวด ดังนั้นการที่เด็กรับเลี้ยงจะย้ายเข้ามาในทะเบียนบ้านของเธอจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากกลัวว่าครอบครัวที่มีลูกมากเกินไปจะฉกฉวยช่องโหว่ของเรื่องนี้ทำการถ่ายโอนเด็กที่มีจำนวนมากเกินไปให้กับญาติพี่น้องรับเลี้ยง

หลินม่ายตั้งใจจะเปิดธุรกิจก่อน เมื่อรู้จักคนเยอะขึ้นก็ค่อยหาลู่ทางย้ายชื่อโต้วโต้วเข้ามาในทะเบียนบ้านของเธอ

ในเมื่อคุณปู่ฟางถามคำถามนี้แล้ว เธอจึงบอกแผนการเดิมของตัวเองให้เขาฟัง

คุณปู่ฟางโบกมือ “ไม่ต้องรอนานขนาดนั้น หนูแค่นำทะเบียนบ้านให้ฉัน พรุ่งนี้ฉันจะไปหาผู้ชำนาญการ ประมาณหนึ่งสัปดาห์ก็จัดการให้หนูเรียบร้อยแล้ว”

หลินม่ายไม่คิดมากนัก ยื่นสมุดทะเบียนบ้านให้คุณปู่ฟางไป จากนั้นก็ล้วงหยิบเงินจำนวนหกหยวนออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้คุณปู่ฟาง

คุณปู่ฟางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “หนูให้เงินฉันทำไม?”

“คุณปู่ช่วยเดินเรื่องย้ายสำมะโนครัวให้โต้วโต้ว ต้องมีการติดต่อสัมพันธ์ เงินนี้หนูให้คุณปู่นำไปติดต่อสัมพันธ์ค่ะ”

คุณย่าฟางเลื่อนเงินที่อยู่ในมือของหลินม่ายกลับไป “ปู่ของหนูมีวิธี ไม่ต้องเข้าไปติดต่อหรอก”

หลินม่ายเพิ่งนึกได้ว่าลูก ๆ ของพวกเขาต่างทำงานอยู่ในเมือง อาจจะมีเส้นสาย ช่วยดำเนินเรื่องให้โต้วโต้วย้ายสำมโนครัวโดยที่ไม่ต้องเข้าไปติดต่อสัมพันธ์  แต่ต้องมีสินน้ำใจเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ในเมื่อสองปู่ย่าสกุลฟางไม่ยอมรับเงินก้อนนี้ของเธอ ดังนั้นเธอก็ไม่ให้ ไว้ซื้อของขวัญเป็นการตอบแทนในเทศกาลวันปีใหม่ก็แล้วกัน

อีกอย่างเงินที่ติดตัวเธอก็มีไม่มากนัก ทั้งยังต้องซื้อสินค้าเพิ่มด้วย

ทุกคนพูดคุยกันถึงเรื่องธุรกิจในวันนี้ของหลินม่ายครู่หนึ่ง

เมื่อได้ยินว่าหลินม่ายไปขอเช่าหม้อของคุณย่าผาง ซื้อเตาฟืนของหล่อน ต้องจ่ายค่าเช่าครึ่งวันหนึ่งหยวน จึงรู้สึกว่ามันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

คุณย่าฟางเอ่ยขึ้น “บ้านเราก็มีหม้อตั้งมากมาย แถมมีตาชั่งด้วย หนูขนหม้อและตาชั่งของเราไปไม่ต้องไปหาเช่าของคนอื่น ครึ่งวันหนึ่งหยวนขาดทุนเกินไป!”

หลินม่ายครุ่นคิดและเอ่ยว่า “หนูขนตาชั่งไปก็พอ แต่หม้อช่างเถอะ ถึงอย่างไรหนูก็ไปอาศัยเปิดแผงขายหน้าบ้านของท่าน ถ้าไม่ใช้หม้อของคุณย่าผาง ยังไงเงินก้อนนี้ก็ต้องออกไปอยู่ดี ต้องจ่ายเป็นค่าเช่า”

ในตอนที่เธอเปิดแผงขายอยู่ในเมืองเจียงเฉิงเมื่อครั้งอดีต มักจะมีนักเลงหัวไม้มากลั่นแกล้งเธอเสมอ ถ้าไม่อยากถูกกลั่นแกล้งก็ต้องจ่ายค่าคุ้มครอง

ทั้งยังมีกลุ่มเทศกิจคอยขับไล่ มันเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบากมาก

ไว้เธอหาเงินได้มากพอ ค่อยเช่าหน้าร้านสักแห่ง ทำใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จนหลุดพ้นจากอันธพาลเหล่านั้น กลุ่มเทศกิจก็ไม่กลับมาขับไล่อีก

แม้จะเช่าหม้อเหล็กและไม้พายของคุณย่าผาง ซื้อเตาฟืนของนาง จ่ายค่าเช่าครึ่งวันหนึ่งหยวน แต่นางก็เป็นชาวเมืองฮั่นโขว วางแผงขายหน้าบ้านของนางแบบนี้ พวกนักเลงหัวไม้เหล่านั้นก็คงไม่กล้ามายุ่มย่ามกับเธอ

พวกนักเลงหัวไม้ชอบหลอกคนแปลกหน้าที่สุด

ส่วนกลุ่มเทศกิจนั้น—— ขอแค่แผงขายเล็ก ๆ เหล่านั้นมีไม่เยอะ ไม่มีใครไปรายงาน โดยทั่วไปก็ไม่โผล่หน้ามาขับไล่หรือยึดของกลางพวกชาวบ้านหรอก

ต่อให้กลุ่มเทศกิจมาถึง เธอก็แค่เก็บแผงขาย  ซ่อนตัวในบ้านของคุณย่าผางก็หมดปัญหาแล้ว รอให้เทศกิจจากไปก็ค่อยเปิดแผงขายต่อ

เช่าพื้นที่หน้าบ้านของคุณย่าผางประหยัดความยุ่งยากไปได้ไม่น้อย จ่ายค่าเช่าแค่หนึ่งหยวนก็ถือว่าคุ้มค่า

คุณย่าฟางจึงยอมแพ้ ก่อนเอ่ยว่า “หนูตั้งใจขายเกาลัดในทุกวันก็พอ เรื่องเก็บเกาลัดยกให้เป็นหน้าที่คุณปู่ของหนู เขาอยู่บ้านว่างทั้งวันอยู่แล้ว ช่วยหนูเก็บเกาลัดเขาจะได้ขยับแข้งขยับขาบ้าง”

ฤดูหนาวในมณฑลหูมีหิมะตกน้อยมาก หรือต่อให้มีหิมะตกก็ตกไม่มากและไม่นาน อีกทั้งพื้นดินที่มีหิมะปกคลุมก็ละลายอย่างรวดเร็ว

เวลาที่คุณปู่ฟางไปซื้อเกาลัดจะได้ไม่เหยียบจนลื่นหกล้ม ด้วยเหตุนี้หลินม่ายจึงตอบตกลง “งั้นก็ได้ค่ะ หนูจะให้ค่าแรงคุณปู่ฟางวันละหนึ่งหยวนนะคะ”

คุณย่าฟางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เราอยากช่วยหนู ไม่ได้อยากได้ค่าแรงหนู ถ้าหนูพูดเรื่องเงินอีกฉันจะโกรธธแล้วนะ!”

หลินม่านรีบเอ่ย “ก็ได้ค่ะ ไม่พูดแล้วค่ะ ๆ”

แต่ในใจกลับคิดว่า รอให้ถึงเทศกาลปีใหม่ ค่อยซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้สองปู่ย่าคนละชุดละกัน เพราะถึงอย่างไรในวันปกติก็ซื้อเนื้อกลับมากินบ่อย ๆ อยู่แล้ว ถือว่าเป็นการตอบแทนแล้วกัน

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มีคนสนับสนุนดี ชีวิตก็ดีขึ้นได้นะคะ

น้องโต้วโต้วรอหน่อยนะคะ อีกไม่นานหนูจะได้เป็นลูกของม่ายจื่อแล้ว

ไหหม่า(海馬)

  

ตอนที่ 13 หล่อนไม่ใช่แม่ของฉัน

ดั่งคำโบราณกล่าวไว้ว่าอย่าตัดสินคนอื่นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ หลินม่ายคุ้นเคยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว เพราะเหตุนี้จึงไม่ได้ใส่ใจนัก

กระทั่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ “ที่นี่คือห้องของหมอฟางจั๋วหลานใช่ไหมคะ?”

แววรังเกียจในดวงตาของเด็กสาวคนนั้นทวีคูณขึ้นทันที “เธอเป็นใคร?”

“ฉันคือคนที่คุณย่าฟางไหว้วานให้มาส่งเกาลัดให้หมอฟางค่ะ” หลินม่ายเอ่ยพลางยื่นตะกร้าน้อยที่บรรจุเกาลัดไว้ออกไป

เด็กสาวรับมาแล้วมองแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เธอไปได้แล้ว”

หลินม่ายกลับไม่ขยับ “เธอบอกฉันมาก่อนว่าเธอคือใคร? กลับไปฉันจะได้บอกคุณย่าฟางถูกว่าฉันให้เกาลัดกับใครไปแล้ว”

เด็กสาวแสดงสีหน้าหมดความอดทน “บอกคุณย่าฟางไปว่าฉันคือแฟนสาวของหมอฟาง”

กล่าวจบ ก็ทำท่าจะปิดประตู แต่แล้วก็ได้ยินเสียงของผู้ชายดังมาจากข้างใน “หรงหรง เธอคุยกับใครอยู่น่ะ?”

หลินม่ายรีบตะโกนเสียงดังทันที “หมอฟางจั๋วหรานใช่ไหมคะ? ฉันคือคนที่คุณย่าฟางไหว้วานให้มาส่งเกาลัดให้คุณ”

ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลามีราศีของปัญญาชนแผ่ขยายออกมาทั้งตัวคนหนึ่งคนออกมาจากในห้อง จากนั้นก็ปรายตามองพิจารณาหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า แล้วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มบางเบา “ทำไมถึงไม่เคยเจอเธอมาก่อน?”

หลินม่ายมองไปยังเด็กสาวที่มีสีหน้ามาดร้ายเสียเต็มประดาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “คุณไม่ต้องเจอฉันหรอกค่ะ ฉันเป็นแค่ตัวแทนคุณย่าฟางมาส่งเกาลัดให้คุณเท่านั้น ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก”

กล่าวจบก็พยักหน้า และพาตัวตัวเดินจากไป

แต่ก็ไม่วายมีเสียงของเด็กสาวที่ชื่อว่าหรงหรงคนนั้นเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง “เด็กสาวชนบทแต่งงานกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ดูท่าผู้หญิงตัวดำคนนั้นน่าจะมีอายุราว ๆ สิบหกสิบเจ็ดปี แต่มีลูกอายุสามสี่ขวบแล้ว”

ฟางจั๋วหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เธอแน่ใจได้ยังไงว่าสาวน้อยคนนั้นคือลูกของหล่อน อาจจะเป็นน้องสาวของหล่อนก็ได้”

“ฉันได้ยินสาวน้อยคนนั้นเรียกหล่อนว่าแม่”

หลินม่ายได้ยินแต่ไม่ได้ใส่ใจ เธอและพวกเขาคือคนละสังคมกัน ต่อไปคงไม่มีทางได้สานสัมพันธ์กันอีก ต่อให้แฟนสาวของฟางจั๋วหรานจะพูดโกหก มันก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้กับเธอ ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ตัวตัวยังเด็ก แต่การได้ยินนับว่าไวต่อความรู้สึกมาก บทสนทนาของหรงหรงและฟางจั๋วหรานดังเข้ามาในหูของหล่อนอย่างชัดเจน

ระหว่างที่เดินลงมาก็ไม่วายหันกลับไปมองบนตึก ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “หล่อนไม่ใช่แม่ของหนู หล่อนคือคุณน้า”

ประตูห้องของฟางจั๋วหรานปิดลงขณะที่หล่อนพูดพอดี ปิดกั้นเสียงของหล่อนไว้ข้างนอก

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมหนูถึงเรียกผู้หญิงทุกคนที่เจอว่าคุณน้าละ?”

ตัวตัวเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาว่า “ก็คุณเป็นผู้ใหญ่ ทั้งยังเด็กกว่าแม่ของหนู ไม่ควรเรียกว่าน้าเหรอคะ?”

หลินม่ายเดาว่าก่อนหน้านั้นหล่อนคงเป็นเด็กที่ไม่ค่อยได้ใกล้ชิดใครมากนัก จึงแยกไม่ออกว่าควรเรียกสรรพนามผู้อื่นว่ายังไง ถึงได้เรียกมั่วซั่ว

คิดจะนำเกาลัดมาขายในเมือง ก็ต้องกินข้าวในเมือง และต้องใช้คูปองอาหาร

หลินม่ายอาศัยความทรงจำในอดีต พาตัวตัวไปยังตลาดมืดอย่างชำนาญทาง จ่ายแค่ห้าเหมาก็ซื้อคูปองอาหารจำนวน 5 ชั่งได้แล้ว

เมื่อเห็นคนขายคูปองเนื้อ เธอจึงจ่ายอีกสองเหมาเพื่อซื้อคูปองเนื้อหนึ่งชั่ง แล้วรีบตรงไปซื้อเนื้อในตลาดของรัฐที่ใกล้ที่สุดทันที

เวลานี้ยังเร็วเกินไปที่จะซื้อเนื้อติดมัน มีแค่เนื้อไม่ติดมันขายเท่านั้น

โชคดีที่หลินม่ายชอบกินเนื้อไม่ติดมัน ดังนั้นจึงซื้อเนื้อไม่ติดมันหนึ่งชั่ง จากนั้นก็พาตัวตัวไปขึ้นรถไฟรอบสี่โมงครึ่ง

เนื่องจากเป็นสถานีต้นทาง รถไฟขบวนนี้จึงมีผู้โดยสารไม่เยอะมากนัก

หลินม่ายพาตัวตัวมานั่งยังที่ว่างที่หนึ่ง

ตัวตัวดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าตอนที่อยู่กับเธอเมื่อครู่เสียอีก หล่อนถามเธอด้วยน้ำเสียงไพเราะสดใส “คุณน้า เราซื้อเนื้อชิ้นนี้กลับไปกินใช่ไหมคะ?”

“แน่นอน” หลินม่ายได้ยินสำเนียงเหอหนานของหล่อน จึงเอ่ยถามว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนของเหอหนานเหรอ?”

“หมู่บ้านเสี่ยวหลี่จวงค่ะ”

“เมืองไหนอำเภอไหนหนูรู้ไหม?”

ตัวตัวส่ายหน้าอย่างว่างเปล่า “ไม่รู้ค่ะ”

“แล้วหนูมาฮั่นโขวได้ยังไง?”

“แม่พาหนูมาฮั่นโขวค่ะ”

“แล้วแม่หนูพาหนูมาฮั่นโขวทำไม?”

หลินม่ายอยากถามคำถามเหล่านี้มานานแล้ว แต่วันนี้เธอไม่มีกะจิตกะใจจะไถ่ถาม

ตอนที่กินบะหมี่แห้งร้อนในร้านอาหารของรัฐเธอพอมีเวลาถามอยู่ แต่รอบตัวมีลูกค้าเต็มไปหมด จึงไม่สะดวกถามออกไป

“บอกว่าจะพาหนูมาหาพ่อที่ฮั่นโขว”

“แล้วพลัดหลงกับแม่ได้ยังไงล่ะ?”

ตัวตัวก้มหน้าลง และเอ่ยเสียงเบา “ไม่ได้พลัดหลงกับแม่หรอกค่ะ แม่ต่างหากที่ให้หนูรออยู่ที่นั่น บอกว่าจะไปซื้อซาลาเปาให้หนูกิน พอแม่ไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”

……ที่แท้ก็เป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งนี่เอง

เดิมทีหลินม่ายแอบคิดว่าตนมีโชคอยู่ในใจ ที่เด็กคนนี้อาจจะพลัดหลงกับพ่อแม่

แต่ต่อให้เธออยากมีลูก เธอก็ไม่อยากให้ตัวตัวพลัดหลงกับพ่อแม่ รอให้พ่อแม่ของหล่อนกลับมาตามหาหล่อนดีกว่า

บาดแผลทางใจของเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งต้องใช้เวลารักษาไปตลอดชีวิต เธอยอมให้ตัวเองรับเลี้ยงตัวตัวไม่ได้ แต่จะไม่ยอมเห็นหล่อนต้องมีแผลทางใจที่ใหญ่ขนาดนี้

“แยกทางกับแม่มากี่วันแล้ว?”

“สองวัน”

หลินม่ายตกตะลึง “แล้วในสองวันนี้หนูใช้ชีวิตยังไง?”

“คนที่เดินผ่านไปผ่านมาให้ขนมและน้ำหนูกินบ้าง”

หลินม่ายครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “ตัวตัว หนูอยากมีแม่ไหม?”

ตัวตัวมองเธอทันที ราวกับไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเธอ

หลินม่ายจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลกว่าเดิม “ต่อไปฉันจะเป็นแม่ของหนูเองดีไหม?”

ตัวตัวเงยหน้ามองพิจารณาเธออยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็พยักหน้า “หนูจะเป็นเด็กดี จะเชื่อฟังแม่อย่างดีค่ะ”

หลินม่ายไม่ได้รังเกียจความสกปรก ยื่นมือโอบกอดหล่อนไว้ “เรามาเปลี่ยนชื่อกันดีกว่า ดีไหม ชื่อว่าโต้วโต้ว(豆豆)”

ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ตัวตัว(多多)ก็คิดไปไกล การเติบโตของหล่อนมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดเป็นชนักติดหลัง ชื่อโต้วโต้วคงไม่ลำบากแบบนี้แน่

ตัวตัวตอบรับอย่างเชื่อฟัง

หลังจากลงจากรถไฟ หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปบ้านคุณย่าฟางทันที 

เมื่อคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเห็นเธอที่เพิ่งออกไปช่วงเช้ากลับมาในช่วงบ่าย จึงเกิดความประหลาดใจ “ไหนหนูบอกว่าจะต้องเข้าเมืองไปขายเกาลัดไง ที่กลับมาแบบนี้เพราะขายเกาลัดหมดแล้วหรือยังไม่ได้เข้าเมืองกันแน่?”

“ขายหมดแล้วค่ะ”

หลินม่ายหยิบเงินที่พกติดตัวออกมา ยื่นธนบัตรที่มีรูปประชาชนสามัคคีใบหนึ่งให้คุณย่าฟาง “ขอบคุณคุณย่าฟางมากนะคะ”

คุณย่านฟางหนีบธนบัตรใบนั้นพลางเอ่ยว่า “หาเงินได้ไหม? ถ้ายังหาไม่ได้ก็ไม่ต้องรีบร้อนคืนฉันหรอก”

หลินม่ายชูเนื้อไม่ติดมันในมือขึ้นสูง “หาเงินได้แล้วค่ะ ถ้าไม่มีเงินฉันจะซื้อเนื้อกลับมาได้ยังไงคะ คืนนี้เราจะกินเกี๊ยวน้ำกัน”

ในมณฑลหู จะเรียกหุนทุน(1)ว่าเกี๊ยวน้ำ ส่วนเกี๊ยวแบบทางเหนือจะเรียกว่าเกี๊ยว

คุณย่าฟางรับเนื้อไม่ติดมันมาชั่งน้ำหนักในมือ “น่าจะประมาณหนึ่งชั่ง จะห่อเกี๊ยวน้ำได้เท่าไหร่กันเชียว? เราสี่คนจะไปพอกินอะไร ไม่สู้ห่อเกี๊ยวแบบทางเหนือดีกว่า”

หลินม่ายเสนอว่าจะห่อเกี๊ยวน้ำ เพราะในอดีตธุรกิจแรกเริ่มที่เธอทำคือขายเกี๊ยวน้ำ การห่อเกี๊ยวน้ำทั้งเร็วทั้งขายดี

แต่คุณย่าฟางอยากห่อเกี๊ยวแบบทางเหนือ เช่นนั้นก็แล้วแต่นางแล้วกัน

คาดว่าคุณย่าฟางคงจะไม่ได้กินเนื้อมาระยะหนึ่งแล้ว พอจะได้กินเกี๊ยวทางเหนือ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ใบหน้ายิ้มแย้มเบิกบานใจยิ่งกว่าดอกเบญจมาศที่เบ่งบานเสียอีก “กุยช่ายในสวนโตได้ที่พอดี ฉันจะไปเก็บมาสักสองชั่ง”

กล่าวจบนางก็หยิบมีดทำครัว ถือตะกร้าเล็กออกไปทันที

คุณย่าฟางชี้ไปยังโต้วโต้วและถามว่า “แล้วนี่ลูกเต้าเหล่าใครกันเนี่ย?”

หลินม่ายกะพริบตาใส่นาง “ต่อไปนี้หล่อนคือลูกของฉันค่ะ”

คุณย่าฟางมองพิจารณาโต้วโต้วที่ดูสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว หลินม่ายยังคงแสดงสีหน้านั้น ลอบคิดในใจว่ายังไม่เข้าใจตรงไหน

ขณะที่นางจะเดินไปต้มน้ำให้โต้วโต้วได้อาบนั้น จู่ ๆ ก็ถูกหลินม่ายขวางไว้

ลูกของเธอ เธอดูแลเองได้ เพราะเหตุนี้เธอจึงเดินไปต้มน้ำและอาบน้ำให้โต้วโต้วจนหอมฟุ้งด้วยตัวเอง

ขณะอาบน้ำแล้วเห็นโต้วโต้วซูบผอมจนเหลือแต่หนังติดกระดูก หลินม่ายก็ยิ่งปวดใจ

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1)馄饨 (húntun หุนทุน) หรือ 馄炖 (húndùn หุนตุ้น) เป็นเกี๊ยวของจีนภาคใต้ที่เราคุ้นหน้าตาคุ้นลิ้น ภาษาจีนเรียกว่า หุนทุน ใช้แป้งห่อรูปสี่เหลี่ยม มีทั้งอย่างหนาและอย่างบาง แป้งแผ่นหนาใช้ห่อหุนทุนชนิดใหญ่ (大馄饨 ต้าหุนทุน) แผ่นบางใช้ห่อหุนทุนชนิดเล็ก (小馄饨 เสี่ยวหุนทุน) ซึ่งก็คือเกี๊ยวบ้านเรานั่นเอง

ส่วนเกี๊ยวในแบบทางเหนือจะเรียกว่าเจียวจื่อ (饺子) เป็นเกี๊ยวที่ห่อด้วยแป้งแผ่นกลม หนากว่าแป้งที่ห่อหุนทุน แล้วนำไปนึ่ง/ต้ม/ย่าง/ทอด จะมีความคล้ายกับเกี๊ยวเกาหลีที่เรียกว่ามันดู(만두) หรือเกี๊ยวญี่ปุ่นที่เรียกว่าเกี๊ยวซ่า(餃子)

คุณหมอหลานชายคุณย่าฟางจะเป็นสามีในอนาคตของม่ายจื่อชาตินี้หรือเปล่าคะ เขาดูหล่อมีออร่าพระเอกจังเลยค่ะ

ได้เวลาขุนโต้วโต้วแล้ว นับจากนี้ม่ายจื่อจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวดูแลหนูเอง

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่  12 ทดลองขายเกาลัด

หลินม่ายไม่คิดจะยืมหม้อของหญิงชราโดยเปล่าประโยชน์ “ฉันจ่ายเงิน ค่าเช่าครึ่งวันห้าเหมา คุณยายว่าไงคะ?”

จะซื้อหม้อใบหนึ่งต้องใช้คูปองทำงาน**ที่มีมูลค่าถึงสามหยวน ไม่มีคูปองทำงานก็ต้องไปซื้อในตลาดมืดที่มีมูลค่าถึงห้าหยวน เช่าครึ่งวันในราคาห้าเหมา ค่าเช่านี้ไม่นับว่าต่ำเกินไป

หญิงชราคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก็รับปาก

หลินม่ายเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่มีเงิน รอฉันคั่วเกาลัดขายได้เงินมาและจะจ่ายทันที ได้ไหมคะ?”

หญิงชราครุ่นคิดแล้วพยักหน้าตกลงอีกครั้ง แต่ไม่ลืมพูดเสริมว่า “ถ้าคั่วเกาลัดหาเงินไม่ได้ เธอต้องใช้หนี้ด้วยสิ่งของ”

หลินม่ายตอบตกลงด้วยการเอ่ยว่า “อย่างนั้นคุณยายก็ให้ฉันยืมเตาอังไฟหนึ่งใบ แล้วก็ฟืนไม้ ถึงตอนนั้นคุณยายก็ค่อยคิดรวบยอดกับฉันทั้งหมดได้ไหมคะ?”

ราคานี้ทำให้หญิงชราไม่ได้ขาดทุนเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงตอบตกลงอย่างเบิกบานใจ

หลินม่ายอาสาขอเข้าไปช่วยยกเตาไฟในบ้าน หญิงชราจึงทำการเปิดถุงเกาลัดในถุงนั้นดู “เปลือกเกาลัดยังไม่ได้กะเทาะออก จะคั่วได้ยังไง?”

ในอดีตชาติหลินม่ายไม่เคยขายเกาลัดมาก่อน จึงคาดไม่ถึงเรื่องนี้

เธอจึงทำการยืมมีดของหญิงชรา และจ้างให้นางกะเทาะเปลือกเกาลัดด้วยกัน ค่าแรงหนึ่งวันห้าเหมา

แต่หลินม่ายไม่สามารถกะเทาะเปลือกเกาลัดทั้งวันได้ เพราะเธอต้องไปขายเกาลัด

หลังจากกะเทาะเปลือกเกาลัดได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง จนได้จำนวนเกาลัดมากกว่าหกสิบชั่ง เธอก็เริ่มเปิดแผงขายเกาลัดแล้ว

ความสามารถในการซื้อของชาวเมืองนั้นค่อนข้างแข็งแรง เกาลัดส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล จนทำให้มีคนวิ่งเข้ามาไถ่ถามราคากันเป็นจำนวนมาก

หลินม่ายนึกถึงเกาลัดคั่วน้ำตาลที่ขายในราคา 20 หยวนต่อหนึ่งชั่งในอดีต นั่นคือราคาส่งดิบที่มีมูลค่ามากกว่าหกถึงเจ็ดเท่าเลยทีเดียว

เกาลัดของเธอไม่ได้คั่วน้ำตาล ทั้งยังเป็นเกาลัดป่า ขายในราคาสี่เหมาไม่นับว่ามากเกินไป

แต่ผลลัพธ์หลังจากบอกราคาไป ผู้คนจำนวนมากกลับกล่าวหาว่าแพง ทั้งยังบอกอีกว่าเกาลัดป่าทำไมถึงขายแพงขนาดนี้ สู้เอาเงินสี่เหมาไปซื้อเนื้อสัก 300 กรัมไม่ดีกว่าเหรอ?

ยุคสมัยนี้มีของกินเล่นค่อนข้างน้อย ผู้คนจึงหันมากินเนื้อมากกว่า

แต่หลินม่ายไม่อยากลดราคา เธอจะฉวยโอกาสของการเป็นเจ้าของธุรกิจเดี่ยวสร้างเงินให้ได้มากที่สุด

เมื่อคนอื่นหันมาขายเกาลัดตาม ราคานี้แม้ไม่อยากลดก็ต้องลดอยู่ดี ถึงตอนนั้นกำไรก็คงเบาบางลงแล้ว

เธอเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ก็เพราะเป็นเกาลัดป่าไงคะจึงขายราคานี้ ถ้าใช้กำลังคนในการปลูก ฉันก็คงขายสินค้านี้ไม่ได้ หรือต่อให้ขายได้ ราคาก็ต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน”

นี่คือความเป็นจริง เมืองเจียงเฉิงเป็นเมืองที่ไม่เล็กนัก แต่เกาลัดที่หามาค่อนข้างมีจำนวนน้อย

แม้ว่าจะมีน้อย  แต่ก็ยังเสนอขายให้กับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนทั่วไปได้แต่มองตาปริบ ๆ 

ถึงอย่างไรก็ยังมีราคาสูงมากอยู่ดี ผู้คนไม่น้อยต่างพากันถอยหนี

แต่มีเด็ก ๆ เพียงไม่กี่คนที่ไม่ยอมไปไหน ดึงมือของผู้ใหญ่พลางชักดิ้นชักงออยู่บนพื้น ตะโกนเอะอะโวยวายจะกินเกาลัดคั่ว

ผู้ใหญ่บางคนถูกตื๊อไม่เลิก จนต้องสั่ง 250 กรัม

หากจะขายเป็นกรัมก็ต้องใช้ตาชั่ง หญิงชราจึงรีบนำตาชั่งเครื่องหนึ่งให้หลินม่ายใช้อย่างกระตือรือร้น

สมัยนี้ยังไม่มีถุงพลาสสติก

หญิงชราจึงนำสมุดที่หลานสาวมีไว้เขียนการบ้านของตัวเองออกมา ทำการพับเป็นถุงสามเหลี่ยมเพื่อใส่เกาลัด

ถ้าเป็นผู้ชายพาเด็ก ๆ มาซื้อเกาลัด  โดยทั่วไปจะไม่ใส่เกาลัดเพิ่มอีกสองลูกลงในถุงกระดาษ

แต่ถ้าเป็นผู้หญิงที่พาเด็ก ๆ มาซื้อเกาลัด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใส่เพิ่มไปอีกสองลูก ถึงกระนั้นก็ขอเอาเปรียบสักนิดสักหน่อย

ทำธุรกิจก็แบบนี้ คนยิ่งซื้อเยอะ ก็ยิ่งมีคนทำตาม

ไม่นาน แผงขายเกาลัดของหลินม่ายก็เต็มไปด้วยลูกค้าที่ห้อมล้อมกันมาซื้ออย่างไม่ขาดสาย

แม้โดยส่วนใหญ่จะซื้อเกาลัดเพียง 250 กรัม แต่กลับต้านทานฝูงชนไม่ไหว เกาลัดจำนวน 80 ชั่งก็ถูกขายหมดในเวลาไม่ถึงห้าชั่วโมง

เนื่องจากหลินม่ายไม่มีประสบการณ์ จึงคั่วเกาลัดได้ช้ามาก ประกอบกับหม้อที่ค่อนข้างเล็ก หญิงชราจึงต้องใช้เวลานาน…. นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องล่าช้า

หลังจากขายเกาลัดหมด หลินม่ายก็ไม่ได้คิดตุกติกแต่อย่างใด พูดคำไหนคำนั้น ยื่นเงินจำนวนห้าเหมาหนึ่งใบให้แก่หญิงชรา

หญิงชราตื่นเต้นดีใจมาก เอ่ยถามเธอว่าพรุ่งนี้จะมาอีกไหม ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดคือนางอยากหาเงินจากเงินของเธอ

หลินม่ายเข้าใจความคิดของนาง จึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้ฉันไม่กล้ารับประกัน ถ้าฉันมาขายเกาลัดในเมือง จะต้องมาเปิดแผงขายหน้าบ้านคุณยายแน่นอน”

หญิงชรารินชาให้เธอและตัวตัวโดยไม่คิดเงิน กำชับว่าให้เธอพูดคำไหนคำนั้น

หลินม่ายยิ้มตอบรับแล้วนั่งลง จิบพลางนับเงิน

นอกจากต้องตัดเงินลงทุนสินค้าและค่าเช่าที่ต้องให้หญิงชราจำนวนห้าเหมาออกแล้ว เงินสุทธิก็อยู่ที่สิบกว่าหยวนกับอีกสองสามเหมา ซึ่งน้อยกว่าที่คาดเดาไว้

ประเด็นหลักคือตอนรับเงินอาจจะพลาดลืมเก็บเงินใครไป อีกทั้งตอนชั่งก็ยังใช้ตาชั่งของหญิงชราด้วย ดังนั้นเงินที่ได้รับอาจจะน้อยกว่าเงินที่กำหนดไว้ไปสองสามหยวน

แต่หลินม่ายก็พึงพอใจมากแล้ว

เงินที่หาได้ในวันนี้เท่ากับเงินเดือนในช่วงสิบวันแรกของคนทั่วไปเลยทีเดียว

ก่อนเดินทางกลับ เธอก็ได้รู้ว่าหญิงชราคนนี้มีแซ่ว่า ‘ผาง’ หลังจากกล่าวลาคุณยายผางแล้ว หลินม่ายก็พาตัวตัวไปกินอาหารเที่ยง

ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว อย่าว่าแต่ตัวตัวเลย แม้แต่เธอก็ยังหิวโซ ยิ่งไปกว่านั้นตัวตัวก็กินมันเทศตากแห้งไปแค่ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

เมื่อเจอร้านอาหารของรัฐแห่งหนึ่ง หลินม่ายก็สั่งบะหมี่แห้งร้อนสองชามทันที

บะหมี่แห้งร้อนชามละ 1.5 เฟิน พร้อมกับคูปองข้าว*สองใบ

หลินม่ายค่อนข้างลำบาก เธอมีคูปองข้าวแค่สามใบ ซื้อบะหมี่ได้แค่ชามเดียว

ลูกจ้างขายบะหมี่ได้ยื่นหน้าออกมาถามทางช่องหน้าต่างร้าน “คูปองข้าวไม่พอใช่ไหม? ฉันมีคูปองข้าว เธอจะซื้อไหม?”

“ขายยังไงคะ”

“1.5 เหมาต่อคูปองข้าว 500 กรัม”

คูปองข้าวในตลาดมืดขายแค่ 1 เหมาต่อ 500 กรัม ลูกจ้างคนนี้หน้าเลือดจริง ๆ 

แต่ถ้าจะกินบะหมี่ คูปองข้าวใบนี้จะไม่ซื้อก็ไม่ได้

หลินม่ายตึงต้องจ่ายเงิน 1.5 เหมาเพื่อซื้อคูปองข้าวอีกหนึ่งใบ ถึงจะสามารถซื้อบะหมี่แห้งร้อนสองชามได้

หลังจากได้คูปองข้าวแล้วก็ไปรับบะหมี่จากหน้าต่างอีกช่องหนึ่ง

แม้ในยุคสมัยนี้ผู้คนจะยากจนข้นแค้น แต่ด้วยร้านอาหารของรัฐบาลมีน้อยเกินไป จึงทำให้ร้านอาหารขนาดเล็กมีน้อยไปด้วย

เมืองเจียงเฉิงเป็นเมืองใหญ่ ประกอบกับช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ ดังนั้นร้านอาหารขนาดเล็กจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัด ไม่มีโต๊ะว่างสักโต๊ะเดียว มีอีกหลายคนที่ยอมยืนกิน

หลังจากได้บะหมี่แห้งร้อนแล้ว หลินม่ายก็พาตัวตัวมานั่งโต๊ะที่ไม่ว่างโต๊ะหนึ่ง แต่ไม่ได้เบียดเสียดเกินไป เธอส่งยิ้มเป็นการขอโทษลูกค้าโต๊ะนั้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง “ให้ลูกของฉันกินบะหมี่ตรงมุมโต๊ะสักที่ได้ไหมคะ?”

ลูกค้าเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ชาย พวกเขาหันมองตัวตัวเด็กสาวตัวน้อย แล้วค่อยปรายตามองบะหมี่แห้งร้อนที่แบ่งออกเป็นสองชามในมือของหลินม่าย

ชามข้าวใหญ่ขนาดนั้น เด็กในวัยสามสี่ขวบถือกินคงไม่สะดวกนัก ดังนั้นจึงเลื่อนม้านั่งที่ตัวเองนั่งอยู่ไปด้านข้าง เว้นที่ให้ตัวตัว

หลินม่ายวางชามบะหมี่แห้งที่ซื้อมาให้ตัวตัวตรงมุมโต๊ะ ให้ตัวตัวยืนกินอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้น แต่ก่อนกินก็ยังไม่ลืมที่จะคลุกเคล้าเส้นบะหมี่ให้เข้ากัน

ตัวตัวเป็นเด็กขี้อาย แต่อดใจต่อความหอมหวนชวนน้ำลายหกของบะหมี่แห้งร้อนไม่ไหว จึงยืนกินบะหมี่แห้งร้อนชามนั้น เรียนรู้การคลุกเคล้าบะหมี่จากหลินม่าย จากนั้นก็คีบมันเข้าปากคำโต

หลังจากกินบะหมี่แห้งร้อนเสร็จ หลินม่ายก็พาตัวตัวไปส่งเกาลัดให้กับฟางจั๋วหลานผู้เป็นหลานชายของคุณย่าฟางด้วยกัน

ฟางจั๋วหลานเป็นหมอศัลยกรรมคนหนึ่ง ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก

หลินม่ายเดินมาตามที่อยู่ที่คุณย่าฟางบอกไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เจอกับหอพักพนักงานห้าชั้นตึกหนึ่ง

ถึงอย่างไรก็เป็นโรงพยาบาลที่มีคุณภาพและมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ แม้แต่หอพักพนักงานก็ยังแตกต่างจากที่อื่น

หอพักพนักงานของที่อื่นโดยทั่วไปเป็นหอที่มีห้องน้ำและห้องครัวร่วมกัน มีแค่โรงพยาบาลผู่จี้ที่เดียวที่เป็นอพาร์ทเมนต์สร้างติดกัน

หลินม่ายจูงมือตัวตัวขึ้นไปชั้นสาม เคาะประตูใหญ่ของหอพักห้องหนึ่ง

คนที่เปิดประตูเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างสูงยาวเข่าดี ผมดัดลอน ริมฝีปากแดงแจ๋ หน้าตาคล้ายกับดาราภาพยนตร์

เด็กสาวกวาดดวงตาสวยคมพิจารณาหลินม่ายและตัวตัว นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างไม่ปิดปัง พลางเอ่ยถามด้วยท่าทางรังเกียจ “เธอเป็นใคร?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

**คูปองอาหาร / บัตรปันส่วนข้าวหรือเหลียงเพี้ยว (粮票/糧票) ด้วย เวลาซื้อข้าวต้องแนบบัตรข้าวพร้อมเงินจ่ายให้กับทางร้านค้า โดยบัตรข้าวนี้ ใช้แลกซื้อข้าว ถั่ว มัน หรือธัญพืชอื่นๆได้ตามน้ำหนักที่พิมพ์อยู่บนบัตร

**คูปองทำงาน ก็เป็นตั๋วที่ได้จากการทำงาน

สารจากผู้แปล

มาถูกทางแล้วม่ายจื่อ ต่อไปก็เก็บประสบการณ์ให้เชี่ยวชาญเท่านั้นแหละ

ยัยผู้หญิงคนนี้ใคร? อย่าบอกนะว่าแฟนของหลานชายคุณย่า

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 11 สาวน้อยร้องหาแม่

แค่สองป้ายก็ถึงสถานีปลายทางแล้ว ดังนั้นคนที่ขึ้นรถไฟจึงมีไม่เยอะนัก เมื่อหลินม่ายขึ้นไปเลยยังพอมีที่นั่งบ้าง

เธอจึงเลือกที่นั่งตามใจชอบ

เด็กสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้ม แต่งตัวดูดีนั่งถัดจากเธอไปคนหนึ่งได้ชำเลืองหางตามองเธอด้วยความรังเกียจปราดหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างไม่เป็นมิตรนัก “ที่นั่งตั้งมากมาย แต่ดันมานั่งข้างฉัน ไม่รู้ตัวเหรอว่าตัวเองตัวเหม็นสาบขนาดไหน นังบ้านนอก!”

หลินม่ายกลอกตากลับใส่หล่อน “บ้านนอกแล้วยังไง? ถ้าไม่มีคนบ้านนอกอย่างฉันเธอคงอดตายไปนานแล้ว!วีรชนที่พลีชีพในประเทศของเราก็คนบ้านนอกนี่แหละ หากไม่มีพวกเขาคอยสละเลือดเนื้อเพื่อชาติ เธอจะได้มานั่งอย่างสุขสบายคอยรังเกียจคนบ้านนอกที่นี่ไหม? ถ้ารังเกียจที่ฉันเหม็นก็ไปนั่งที่อื่นสิ พูดเหมือนกับมีใครตอกตะปูรั้งเธอไว้ที่เดิมอย่างนั้นแหละ!”

ใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวหงิกงอในทันที “ฉันจะนั่งตรงนี้ ถ้าจะเปลี่ยนควรเป็นเธอต่างหากที่ต้องเปลี่ยน!”

หลินม่ายเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ฉันไปแย่งที่นั่งเธอรึไง? ฉันนั่งอยู่ข้างเธอต่างหาก! ทำไมฉันต้องเปลี่ยนที่นั่งด้วย?”

แม้สมัยนี้จะยังมีคนในเมืองดูถูกคนในชนบทอยู่ แต่คนที่ทำเกินไปเหมือนกับเด็กสาวชาวเมืองคนนี้กลับมีไม่เยอะนัก

ในขบวนรถอย่าว่าแต่ชาวบ้านที่สนับสนุนหลินม่ายเลย แม้แต่ชาวเมืองเหล่านั้นก็ยังตำหนิเด็กสาวชาวเมืองคนนั้นอย่างขุ่นเคืองเช่นกัน

เด็กสาวชาวเมืองคนนั้นถูกทุกคนมองอย่างตำหนิจนไม่เหลือชิ้นดี จึงทำได้แค่ต้องลุกขึ้นและเดินไปยังตู้โดยสารอีกตู้หนึ่ง

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า  ในที่สุดรถไฟก็มาถึงสถานีรถไฟฮั่นโขว

หลินม่ายแบกสัมภาระตามผู้โดยสารคนอื่นจำนวนไม่มากนักลงจากรถไฟไป

สถานีรถไฟฮั่นโขวในปัจจุบันนี้ยังไม่ได้ถูกย้าย ยังคงตั้งอยู่บนเส้นทางที่มีรถวิ่งกันขวักไขว่

หลังจากลงจากรถไฟและออกจากสถานีไป ก็เป็นเส้นทางที่มีรถวิ่งกันอย่างคึกคัก เมื่อทอดมองออกไปสุดลูกหูลูกตา ทั่วทุกหนทุกแห่งก็ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างรูปแบบยุโรปทั้งนั้น 

ไม่ไกลจากนั้น  สาวน้อยผมสีน้ำตาลวัยสามถึงสี่ขวบเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนหนึ่งกำลังเดินร้องไห้หาแม่โดยไร้ซึ่งการช่วยเหลือ

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นแล้วต่างก็ทยอยกันถอยหนี ตามหลักเหตุผลแล้ว เด็กคนนี้จะต้องถูกผู้เป็นแม่แท้ ๆ ทอดทิ้งอย่างแน่นอน เด็กของคนทั่วไปไม่มีทางเนื้อตัวสกปรกมอมแมมแบบนี้

หลินม่ายไม่ได้ใส่ใจนัก เธอเป็นคนสองโลก เห็นชาวโลกที่ไร้น้ำใจต่อกันจนชินไปแล้ว ไหนเลยจะมีจิตใจเมตตากรุณาขนาดนั้น

เมื่อเด็กสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้มที่เคยปะทะคารมกับหลินม่ายบนรถไฟก่อนหน้าคนนั้นเห็นสาวน้อยหน้าตาน่ารักแต่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมคนนั้นจากไกล ๆ ก็เตรียมจะเดินอ้อมด้วยความรังเกียจทันที

คาดไม่ถึงว่าเมื่อสาวน้อยคนนั้นเห็นหล่อนเนื้อตัวสะอาดและหน้าตาสะสวย ทั้งยังอ่อนเยาว์ จึงรู้สึกดีกับหล่อน เลยวิ่งพุ่งเข้ามาหา ก่อนจะร้องไห้คร่ำครวญ “คุณน้า คุณน้าอยากได้หนูไหม หนู….”

ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะพูดจบ หญิงสาวชาวเมืองหน้าตาจิ้มลิ้มคนนั้นก็ตื่นตระหนกตกใจจนต้องเหยียบส้นรองเท้าวิ่งตะบี้ตะบันไปตลอดทาง เพราะกลัวว่ามือสกปรกของเด็กหญิงจะมาถูกเสื้อตัวนอกสีแดงสดของตัวเอง

ระหว่างที่วิ่งก็ยังไม่ลืมที่จะพึมพำว่า “ตาบอดรึไง เรียกฉันว่าน้า!”

นัยน์ตาของสาวน้อยคนนั้นเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา และยืนนิ่งงันอยู่ที่เดิมด้วยความเสียใจ

ตอนที่กำลังจะหมุนตัวกลับอย่างยากลำบาก สายตาของหล่อนก็ได้มาหยุดอยู่ที่หลินม่าย เกิดความลังเลขึ้นชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งโซซัดโซเซมาหาเธอ

หล่อนกอดขาข้างหนึ่งของเธอพลางกล่าวอ้อนวอน “คุณน้า คุณน้าอยากได้หนูไหม หนูจะเป็นเด็กดี…”

หลินม่ายก้มหน้ามองเด็กคนนั้น ใบหน้าซูบตอบไม่มีก้อนเนื้อนุ่มนิ่มให้จับ จึงอดสงสารจับใจไม่ได้

ในอดีตชาติเธอและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยมีชีวิตฉันท์สามีภรรยากันจริง ๆ จึงไม่มีลูกด้วยกัน

ชาตินี้เธอจึงไม่คิดจะแต่งงาน

ในเมื่อเด็กคนนี้วิ่งตรงมาหาเธอท่ามกลางผู้คนที่เดินพลุกพล่าน เช่นนั้นเธอจะรับเลี้ยงหล่อนไว้ ต่อไปยามตัวเองแก่เฒ่าจะได้มีที่พึ่งพิง

หลินม่ายเอ่ยกับสาวน้อยด้วยเสียงนุ่มนวล “ได้สิ แต่หนูต้องจับชายเสื้อของฉันให้แน่นนะ ถ้าหลุดมือไปฉันไม่ย้อนกลับมาหาตัวหนูด้วย”

เธอแบกสัมภาระที่หนักอึ้งด้วยตัวเอง ต้องลำบากอยู่ท่ามกลางผู้คน ไม่สามารถดูแลหล่อนได้อย่างเต็มที่

สาวน้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง และจับชายเสื้อของเธอแน่นไปตลอดทาง 

ต่อให้มีคนเดินมาชนหล่อนหกล้ม หล่อนก็จะรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน แล้วเดินเตาะแตะตามหลินม่ายต่อไป จับชายเสื้อของเธอไว้แน่นอีกครั้ง

เด็กสาวสองคนโตหนึ่งเล็กหนึ่งเดินตุปัดตุเป๋อยู่บนถนนใหญ่ที่แออัดที่สุดท่ามกลางฝูงคนบริเวณทางเข้าออกของสถานีรถไฟ

หลินม่ายวางสัมภาระลง ก้มหน้ากล่าวถามสาวน้อยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าหล่อนชื่ออะไร

สาวน้อยตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หนูชื่อตัวตัว”

ชื่อนี้ เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่ของหล่อนไม่ค่อยชอบหล่อนนัก

ครั้นหลินม่ายเห็นใบหน้าที่เหลืองและซูบซีดของตัวตัว ริมฝีปากแห้งผาก ท่าทางจะกระหายน้ำมาก

เธอปรายตามองไปรอบ ๆ ด้าน เห็นแผงขายชาขนาดเล็กที่วางอยู่ริมทางหน้าบ้านหลังหนึ่ง หลังแผงมีหญิงชราผมขาวโพลน แต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้านคนหนึ่งนั่งอยู่

สมัยนี้ แม้ว่าการทำค้าขายจะดูผ่อนคลายลง แต่เอกสารทางการยังไม่มีประกาศลงมา ดังนั้นจึงมีบางคนที่กล้าเปิดร้านขนาดย่อมขึ้น

แต่เมืองฮั่นโขวเคยเป็นเซี่ยงไฮ้ยุคเก่า คนท้องถิ่นต่างมีความรู้ด้านการค้าขาย มีความกล้าหาญชาญชัย แม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังกล้าวางแผงขายชาอยู่หน้าบ้านของตนเอง หากเปลี่ยนเป็นเมืองอู่ชางเกรงว่าคงไม่มีใครกล้าหาญขนาดนี้

หลินม่ายนวดไหล่ที่ปวดระบม จากนั้นก็ทำการแบกสัมภาระอีกครั้ง พาตัวตัวเดินไปยังแผงขายชาแห่งนั้น

ในฤดูหนาว รายการเครื่องดื่มมักขายไม่ดีนัก หญิงชรานั่งขายอยู่ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็ยังขายไม่ได้สักราย ในที่สุดก็เห็นลูกค้าเข้ามา จึงลุกขึ้นด้วยความดีใจ

นางเลื่อนเก้าอี้ตัวเล็กสองตัวออกมาจากใต้โต๊ะ ให้เด็กสาวทั้งสองคนได้นั่ง

ตัวตัวมีความเนียมอาย เมื่อเห็นหลินม่ายนั่งลง หล่อนจึงนั่งตาม

หลินม่ายเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณยาย ชานี้ขายยังไงคะ?”

ในอดีต หลินม่ายเดินทางเข้าเมืองตอนอายุยี่สิบปี เธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจียงเฉิงตลอดจนถึงคราวสิ้นใจ ดังนั้นสำเนียงเมืองเจียงเฉิงจึงค่อนข้างชำนาญมาก 

ชาวเมืองเจียงเฉิงมีจุดเด่นอย่างหนึ่ง ถ้าคุณพูดภาษาท้องถิ่นได้ดี คนท้องถิ่นจะยอมรับว่าคุณคือคนในท้องถิ่น พวกเขาจะปฏิบัติกับคุณอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา

หญิงชราได้ยินสำเนียงของหลินม่ายที่ฟังดูไร้เดียงสา เดิมทีที่นึกรังเกียจท่าทางยากจนของหล่อนและตัวตัว ตอนนี้กลับไม่รังเกียจแล้ว

จึงยิ้มตาหยีพลางตอบว่า “แก้วใหญ่สองเฟิน แก้วเล็กหนึ่งเฟิน”

สมัยที่ธัญพืชมีราคาแค่ 1.5 เฟินต่อหนึ่งชั่งนี้  ราคานี้ไม่นับว่าถูกหรือแพงเกินไป

หลินม่ายยื่นเงินสองเฟินออกไป “เอาสองแก้วเล็กแล้วกันค่ะ”

หญิงชรารีบรินชาที่กำลังร้อนกรุ่นสองแก้วทันที แม้จะเป็นใบชาคุณภาพต่ำ แต่รสชาตินับว่าไม่เลวเลยทีเดียว รสสัมผัสก็ดีมากเช่นกัน หอมสดชื่นน่ารื่นรมย์

ตัวตัวรับแก้วชาแล้วรีบดื่มในทันทีอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากน้ำชานั้นร้อนเกินไป ไม่สามารถดื่มอึกใหญ่รวดเดียวได้  ทำได้เพียงแค่จิบทีละอึกเท่านั้น

หลินม่ายกลัวว่าหล่อนจะรีบดื่มเกินไป

ท่าทางของหล่อนไม่เพียงแต่กระหาย ทั้งยังดูหิวโซและเหนื่อยล้ามากด้วย การดื่มน้ำที่เร็วเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจหดเกร็งได้ง่าย

ตอนนี้เมื่อเห็นหล่อนดื่มน้ำเร็วไม่ได้แม้ว่าอยากจะดื่มมาก หลินม่ายก็วางใจ

หล่อนหยิบมันเทศตากแห้งที่โจวไฉ่อวิ๋นให้เธอพกติดตัวมาด้วยถุงนั้นออกมา หยิบชิ้นที่ใหญ่หน่อยให้ตัวตัว ให้หล่อนได้กินแก้หิวไปก่อน

ตัวตัวรับมาแล้วอ้าปากกัดคำใหญ่ด้วยความตะกละตะกลาม ท่าทางแบบนี้ไม่รู้ว่าอดมาแล้วกี่มื้อ

หลินม่ายเอ่ยด้วยความปวดใจ “ค่อย ๆ กินก็ได้ อย่าตะกละ กินหมดแล้วก็ยังมีอีก”

ขณะเอ่ย ก็หยิบมันเทศตากแห้งอีกสองชิ้นออกมาใส่กระเป๋าของหล่อน

ตอนนี้ มีเด็กผู้ชายอายุราวห้าถึงหกขวบคนหนึ่งวิ่งออกมาจากในบ้าน แล้วจ้องมองตัวตัวที่กำลังกินมันเทศตากแห้งด้วยความตะกละตะกลาม

แม้ว่าในเมืองหลวงสมัยนี้จะมีฐานะที่ดีกว่าชนบท แต่เวลาซื้อของก็ต้องใช้ธนบัตร เด็กในเมืองจึงไม่มีขนมให้กินเล่นแต่อย่างใด

หลินม่ายใจกว้างหยิบมันเทศตากแห้งชิ้นใหญ่ให้เด็กผู้ชายคนนั้น

เด็กผู้ชายกล่าวขอบคุณ แล้วรับมันเทศตากแห้งวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

หญิงชราหันไปตะโกนไล่หลังเขา “คุณเขาให้แก แกก็รับง่าย ๆ ทำไมหนังหน้าแกถึงได้หนาขนาดนี้ ห่วงแต่กินอย่างเดียว!”

 เด็กผู้ชายไม่ตอบ

หญิงชราจึงหันมาส่งยิ้มให้หลินม่ายเป็นการขอโทษ “เด็กคนนี้เห็นแก่กินเกินไปแล้ว พอได้กินแล้วอะไร ๆ ก็ไม่สนใจทั้งนั้น”

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เด็กก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ”

เธอเหม่อมองถนนใหญ่ที่มีผู้คนสัญจรขวักไขว่ไปมาอยู่เบื้องหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะลองหยั่งเชิงเอ่ยถามหญิงชราว่า “คุณยาย ฉันขอยืมหม้อและไม้พายของคุณยายไปคั่วเกาลัดขายได้ไหมจ๊ะ?”

“คั่วเกาลัด?”  หญิงชรามีท่าทางไม่อยากให้ยืมอย่างชัดเจน แล้วมองไปยังถุงกระสอบข้างตัวหลินม่ายพลางเอ่ยว่า “คั่วเกาลัดมันสิ้นเปลืองมากนะ” 

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

อย่ามาดูถูกคนชนบทกันนะ ฝีปากคือคมกริบจนทนฟังไม่ได้เลยนะ

ไปขายเกาลัดแต่ได้ลูกบุญธรรมมาหนึ่งคน นับว่ามีโชคนะคะ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 10 รับซื้อเกาลัด

หญิงชราเอ่ยอย่างทอดถอนใจระคนเห็นใจ “เด็กสาวอย่างหนูต้องประสบกับความทุกข์ทรมานใหญ่หลวง คงจะหิวมากแน่ ๆ เอาอย่างนี้ ฉันจะผัดข้าวกับน้ำมันให้หนูกินนะ”

หลินม่ายรีบเอ่ย “คุณยาย ฉันกินอาหารเย็นมาแล้วค่ะ”

หญิงชราชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง “พ่อกับแม่ก็ไม่รักไม่สนใจใยดี แถมยังถูกพ่อแม่สามีไล่ออกมา หนูจะไปกินข้าวที่ไหนได้? เข้ามาถึงในบ้านฉันแล้วยังจะเกรงใจฉันอีก!”

กล่าวจบนางก็มุ่งเข้าครัวไป ผัดข้าวผัดน้ำมันชามใหญ่คลุกเคล้ากับต้นหอมและถั่วฝักยาวดอง น้ำมันที่ผสมอยู่ในนั้นมีปริมาณไม่น้อย ข้าวทุกเม็ดถูกคลุกเคล้าด้วยน้ำมันจนเป็นประกายแวววาว

ถ้าเปลี่ยนเป็นอดีต หลังจากที่หลินม่ายร่ำรวยแล้ว เธอจะไม่กินข้าวที่ผัดจนมันเยิ้มให้เสียลิ้น เพราะไม่ชอบความเลี่ยน

แต่ตอนนี้ยังไม่มีน้ำมันตกถึงท้องของเธอ แถมกลิ่นก็หอมชวนน้ำลายสอด้วย

แม้จะเพิ่งกินบะหมี่หยางชุนไป แต่ข้าวผัดน้ำมันชามใหญ่นี้ก็ช่างเหลืองอร่ามน่ากินยิ่งนัก หลัก ๆ เลยคือผักกาดดองที่ผสมอยู่ในข้าวช่างเรียกน้ำย่อยให้ทำงานได้ดีจริง ๆ

ชายชราและหญิงชราดูเธอกินจนหมดชาม ทั้งคู่เผยรอยยิ้มอย่างเมตตากรุณา

หญิงชราเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “แล้วบอกว่ากินมาแล้ว เด็กโกหก!”

หลินม่ายยิ้มอย่างรู้สึกผิด เธอไม่คิดว่าหลังจากกลับชาติมาเกิดใหม่เธอจะได้กินอะไรแบบนี้

เมื่อได้กินข้าวหนึ่งมื้อ ทั้งสองฝ่ายก็ทำความรู้จักกันอีกเล็กน้อย

อาวุโสคู่นี้มีแซ่ว่า ‘ฟาง’ ลูกชายและลูกสาวต่างก็ไปทำงานในเมืองกันหมด เหลือสองปู่ย่าอยู่เฝ้าบ้านโกโรโกโสในหมู่บ้านเพียงลำพัง

หลังจากกินข้าวเสร็จ หลินม่ายเก็บชามและตะเกียบไปล้าง จากนั้นก็อาบน้ำชำระร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า และซักเสื้อผ้าจนสะอาดเกลี้ยงเกลา

คุณย่าฟางเห็นเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ทั้งขาดทั้งเล็กทั้งหยาบกระด้าง จึงหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ของตัวเองชุดหนึ่งให้หลินม่ายสวม

หลินม่ายไม่เอาท่าเดียว

นี่คือยุคศตวรรษที่ 80 ใคร ๆ ก็มีชีวิตที่ไม่ค่อยสุขสบายนัก เสื้อผ้าหนึ่งชุดย่อมมีค่ามาก

แม้คุณย่าฟางจะมีฐานะดีเพราะลูกชายและลูกสาวไปทำงานในเมือง แต่เธอก็ไม่ควรรับเสื้อผ้าของนาง

นางเก็บเสื้อผ้าไว้ให้เธอ ทั้งยังทำอาหารมื้อค่ำให้เธอกินอีก เธอไม่กล้าได้คืบจะเอาศอกหรอก

หลังจากผมแห้งแล้วหลินม่ายก็ขึ้นเตียง

บ้านของคุณย่าฟางนั้นกว้างขวาง หล่อนจัดห้องหับห้องนอนให้เธอได้นอนส่วนตัวหนึ่งห้อง ในห้องใหญ่นี้มีเตียงหนึ่งเตียง

แม้ว่าเตียงจะถูกปูด้วยฟางแห้ง แต่ผ้าห่มนั้นหนามาก ยามขึ้นไปนอนรู้สึกสบายตัวมากทีเดียว

หลินม่ายขึ้นเตียงและหลับไปในทันที

วันที่สองอากาศค่อนข้างดี ท้องฟ้าแจ่มใส เพียงแต่ดวงอาทิตย์ไม่ค่อยเป็นใจนัก ทอแสงอ่อนไม่ค่อยอุ่นสักเท่าไร

หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว หลินม่ายก็เตรียมจะเดินทางเข้าเมือง

ก่อนออกเดินทาง หลินม่ายได้แอบวางเงินจำนวนห้าเหมาไว้ใต้กาน้ำชาของคุณย่าฟาง

แม้จะบอกว่าเธอมีเงินติดตัวไม่มากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอาเปรียบผู้อื่น

อีกอย่างเธอยังมีเงินติดตัวอีกสองสามหยวน เพียงพอต่อการซื้อตั๋วรถไฟหนึ่งใบเข้าเมือง ทั้งยังใช้ชีวิตอยู่ได้อีกสองสามวัน

คุณย่าฟางยิ้มตาหยีพลางเอ่ย “ม่ายจื่อ หนูรอประเดี๋ยว ฉันมีเกาลัดอยู่สองสามชั่งอยากฝากให้หนูช่วยนำไปให้หลานชายคนโตของฉันได้กินหน่อย หลานชายคนโตของฉันชอบกินเกาลัดมาก”

หลินม่ายยิ้มพลางตอบรับ

คุณย่าฟางหยิบกล่องขนาดเล็กใบหนึ่งออกมาจากในบ้าน ภายในกล่องนั้นบรรจุเกาลัดป่าท้องถิ่นไว้จนเต็ม

เกาลัดชนิดนี้มีขนาดเท่าหัวแม่มือของผู้ชาย แม้จะมีขนาดเล็ก แต่รสชาติของมันนุ่มหวานละมุนลิ้นมากทีเดียว

หลินม่ายบังเกิดความคิดหนึ่ง ต้นเกาลัดป่าในชนบทแห่งนี้มีจำนวนไม่น้อย พวกผู้ใหญ่และเด็กในพื้นที่ต่างก็ชอบเก็บเกาลัดป่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงมาเป็นอาหารว่างต้อนรับแขกในช่วงปีใหม่

ถ้าตัวเองรับซื้อเกาลัดด้วยเงินหนึ่งเหมาต่อหนึ่งชั่งได้ จากนั้นก็นำมาทำเป็นเกาลัดคั่วไปขายในเมือง น่าจะขายดิบขายดีน่าดู

เธอจำได้ว่าเมื่อครั้งอดีตในปี 84 ไม่ว่าจะขายขนมหรือขายอะไรต่างก็สร้างเม็ดเงินได้เป็นกอบเป็นกำ เธอเริ่มจากของกินเล่น สุดท้ายก็กลายเป็นร้านอาหารที่เปิดสาขาย่อย กลายเป็นเจ้าแม่ภัตตาคารในมณฑลหูไปโดยปริยาย

ตอนนี้แม้ว่าจะเข้าเมืองก่อนล่วงหน้าสามปี แต่ลองดูก็ไม่เสียหาย

แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเธอไม่มีเงินติดตัวเลย

หลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ หลินม่ายก็บากหน้าไปขอยืมเงินคุณย่าฟาง บอกว่าเธออยากนำเกาลัดไปคั่วขายในเมือง

เนื่องจากกลัวว่าคุณย่าฟางจะไม่ให้ยืม เธอจึงนำสมุดทะเบียนบ้านเป็นหลักค้ำประกันไว้กับนาง

คุณย่าฟางใจดีมาก โบกมือพลางเอ่ยว่า “เมื่อวานเสื้อผ้าที่หนูซักไว้ยังตากแดดอยู่ในบ้านฉัน เอาเสื้อผ้าค้ำประกันไว้ก็พอแล้ว ไม่ต้องเอาทะเบียนบ้านหรอก”

จากนั้นก็เข้าไปหยิบเงินจำนวนสิบหยวนมาให้เธอ ถามเธอว่าพอหรือไม่

เสื้อผ้าเก่า ๆ ที่ซักแล้วเหล่านั้นจะมีมูลค่าสักเท่าไรกันเชียว?

หลินม่ายรู้ว่าคุณย่าฟางมีใจอยากช่วยเธอ จึงซาบซึ้งใจอย่างมาก แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “พอแล้วค่ะ พอแล้ว!”

คาดไม่ถึงจริง ๆ แค่พบกันโดยบังเอิญ กลับได้รับการช่วยเหลือจากคุณย่าฟางมากขนาดนี้

ยืมเงินจำนวนสิบหยวนแล้ว หลินม่ายยังขอยืมไม้หามและถุงกระสอบของคุณย่าฟางด้วย

คุณปู่ฟางที่ไม่ได้ช่วยอะไรมาตลอดได้ชิงวิ่งไปหยิบไม้คานและถุงกระสอบจากหลังบ้าน

คุณย่าฟางยื่นของเหล่านี้ให้หลินม่ายพลางพูดว่า “ม่ายจื่อ หนูจะกลับมาอีกไหม? ถ้ากลับมาอีกก็ฝากของเหล่านี้ไว้ที่บ้านแล้วกัน จะแบกถุงกระสอบถุงนี้ไปขายเกาลัดในเมืองทำไม?”

หลินม่ายนำถุงกระสอบที่บรรจุของใช้ทุกอย่างของตัวเองเก็บไว้ในบ้านของคุณย่าฟาง แล้วเอ่ยด้วยความเขินอาย “ฉันกำลังลังเลอยู่พอดีเลยค่ะว่าจะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ยังไง คุณย่าก็พูดเสียก่อน”

คุณย่าฟางเอ่ยพลางยิ้ม “ทำไมจะพูดไม่ได้เล่า? บ้านของเราเปิดต้อนรับหนูเสมอ”

“ใช่ ๆ ใช่เลย” คุณปู่ฟางพยักหน้าหงึกหงักอย่างรวดเร็ว

หลินม่ายรับเงิน ไม้คานและถุงกระสอบที่คุณย่าฟางให้มา หมู่บ้านรอบเมืองต่างนิยมรับซื้อเกาลัดกันทั้งนั้น

เมื่อวานเส้นทางของหมู่บ้านถูกหิมะปกคลุมและเต็มไปด้วยดินโคลน หลินม่ายเดินไปพลางลื่นไปพลางจนมาถึงหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด

กระทั่งเห็นกลุ่มชาวบ้านต่างจับกลุ่มคุยกันอยู่กลางแดด จึงเดินเข้าไปถาม “พวกเธอมีเกาลัดกันไหมจ๊ะ?”

“มี ทำไม?” ชาวบ้านเหล่านั้นมองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า

หลินม่ายหันไปหาให้หญิงชาวบ้านที่มีท่าทีซื่อบื้อและขลาดกลัว ถูมือพลางเอ่ยว่า “ฉันอยากซื้อ….”

ชาวบ้านจำนวนมากต่างไม่ค่อยให้ความสำคัญนัก เพราะเกาลัดเป็นของหาง่าย ทั้งยังเป็นผลไม้ป่า ในเมื่อเธอขอซื้อ ก็แค่ต้องเพิ่มราคาเท่านั้น

แม้จะบอกว่าในช่วงต้นศตวรรษที่ 80 พวกชาวบ้านต่างค่อนข้างยากจนข้นแค้น แต่พวกเขาไม่ยอมขายเกาลัดในราคาไม่กี่เหมา เพราะมันต่ำเกินไป

มีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามประโยคหนึ่งว่า “หนูจะรับซื้อเท่าไหร่?”

“8 เฟินต่อชั่งค่ะ”

แม้ความคาดหวังของหลินม่ายคือ 1 เหมาต่อชั่ง แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยปากเผยไต๋ออกไปได้ จึงให้เวลาพวกชาวบ้านต่อรองราคากัน

ชาวบ้านคนนั้นเม้มริมฝีปาก “แปดเฟิน? ต่ำเกินไป!ไม่สู้เก็บไว้ให้เด็ก ๆ มันกินดีกว่า”

ชาวบ้านอีกคนเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่ได้หนึ่งเหมาฉันก็ไม่ขาย”

หลินม่ายแกล้งทำเป็นเอ่ยอย่างลำบากใจ “หนึ่งเหมา….มันสูงไปหน่อย…..”

พวกชาวบ้านได้ยินประโยคนี้ก็ไม่มีใครสนใจเธออีก ต่างหันกลับไปคุยเล่นกันต่อ

หลินม่ายยืนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจำใจต้องเอ่ยออกไปด้วยความลำบากใจ “งั้นหนึ่งเหมาต่อชั่งก็ได้ค่ะ”

มีชาวบ้านเอ่ยถามขึ้นทันที “จะเอาเท่าไหร่”

แม้หลินม่ายจะผ่านความทุกข์ยากลำบากมาอย่างหนัก แต่จะให้แบกหามอีกก็คงไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีแรง แต่เพราะไหล่มันต้านไม่ไหวแล้ว

แค่ภาระอย่างเดียว ไหล่ก็ระบมร้าวร้านแล้ว

หลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ขอแปดสิบชั่งค่ะ”

ชาวบ้านหลายคนพากันเอ่ยขึ้น “ฉันจะขายให้หนูเอง!” ขณะเอ่ยก็วิ่งออกไปข้างนอก

พวกชาวบ้านบางกลุ่มที่มีปฏิกิริยาตอบสนองช้าต่างเริ่มถามไถ่หลินม่ายว่าจะเข้ามารับซื้ออีกเมื่อไร

ถ้าเกาลัดในเมืองขายดี เธออาจจะเข้ามารับอีก ขายไม่ดี ก็ไม่มารับ

หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้….ฉันไม่แน่ใจ ฉันมาช่วยซื้อให้คนอื่น ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นจะยังอยากได้ไหมน่ะค่ะ”

ชาวบ้านคนหนึ่งสอบถามว่า “คน ๆ นั้นอยากได้เกาลัดไปทำอะไร?”

หลินม่ายจะพูดความจริงได้อย่างไร “หล่อนไม่ได้บอกฉัน…..”

เธอซื้อจากบ้านนี้สิบกว่าหยวน ซื้อจากบ้านนั้นหลายสิบหยวน ไม่นานก็ได้เกาลัดมาแปดสิบชั่ง

แล้วหลินม่ายก็แบกเกาลัดที่หนักอึ้งนั้นขึ้นรถไฟสายสีเขียวมุ่งหน้าสู่สถานีฮั่นโขว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ได้เริ่มธุรกิจสร้างเนื้อสร้างตัวแล้ว ขอให้ขายดีๆ เฮงๆ นะม่ายจื่อ

ไหหม่า(海馬)

  ตอนที่ 9 ให้ที่พักพิง

หลินม่ายหุบยิ้มบนใบหน้าลง เธอกอดสมุดทะเบียนบ้านของตัวเองไว้ในอ้อมอก พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จะให้ฉันออกไปแต่ตัว? ไม่ให้เก็บเสื้อผ้าเลยรึไง? แล้วนายไม่คิดจะให้เงินติดตัวฉันไปสักหน่อยเหรอ?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนสบนัยน์ตากับเธอด้วยความขุ่นเคืองอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะคลำเจอเงินจำนวนหนึ่ง “มีแค่นี้ จะเอาหรือไม่เอา!”

จากนั้นก็วางเงินจำนวนนั้นไว้บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งริมทางเหมือนเธอเป็นพวกขอทานแล้วเบือนหน้าหนีจากไป

หลินม่ายไม่สนใจ หยิบธนบัตรเหล่านั้นขึ้นมานับ ซึ่งมีจำนวนแค่ 1 หยวน 30 เหมา เท่านั้น

แม้ว่าจะน้อย แต่ขอแค่มีเงินค่าเดินทางเข้าเมืองก็นับว่าดีมากแล้ว

ในเมืองมีครอบครัวคู่รักหลายคู่ที่ตรากตรำทำงานอย่างขะมักเขม้น เธอเสนอตัวเองไปเป็นพี่เลี้ยงให้แก่ครอบครัวคู่รักเหล่านี้

แม้ว่ายุคสมัยนี้จะให้เงินเดือนพี่เลี้ยงน้อยมาก แต่ขอแค่ได้อยู่ในเมือง หนทางย่อมมากกว่าปัญหาอยู่แล้ว

เมื่อทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านสกุลอู๋ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เป็นฝ่ายเก็บข้าวของของหลินม่ายด้วยตัวเอง

ทุกอย่างถูกบรรจุใส่ถุงกระสอบใบหนึ่ง แม้แต่อาหารมื้อค่ำก็ไม่มีเตรียมให้เธอ ไล่เธอออกจากลานบ้านในทันทีพร้อมกับโยนถุงกระสอบใส่เธอ ให้เธอรีบไสหัวไปให้ไว ก่อนจะปิดประตูบ้านดัง ‘ปัง’ จนแน่นสนิท

วันนั้นคือวันสุดท้ายของปี 1981 เกล็ดหิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า หลินม่ายถูกไล่ออกจากบ้านสกุลอู๋ในชุดที่ดูมอมแมมหาส่วนดีไม่ได้  สุดท้ายก็ทรุดตัวลงอยู่ท่ามกลางกองหิมะที่หนาตา

เธอนอนคว่ำกลั้นเสียงหัวเราะให้เงียบที่สุดท่ามกลางหิมะ เฉลิมฉลองที่ตัวเองได้รับอิสระแม้จะยังไม่ได้หย่าร้าง นับแต่นี้ตัวเองอยากไปไหนก็ได้ไปแล้ว

สะใภ้ตัวน้อยที่อยู่บ้านหลังถัดไปคนหนึ่งมีนามว่า โจวไฉ่อวิ๋น ซ่อนตัวแอบเฝ้าสังเกตการณ์เธอด้วยความเห็นใจอยู่ในห้องมาตลอด

เมื่อเห็นเธอไหล่สั่นระริกไม่หยุด จึงคิดว่าเธอกำลังร้องไห้

จึงถือโอกาสตอนที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัว หนีออกมาจากห้อง จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างกายเธอพลางกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “อย่าร้องเลย เห็นว่าใครเป็นที่หลบภัยได้ก็ให้รีบไปหาคนนั้นซะ อีกหนึ่งเดือนก็ค่อยกลับมาฉลองปีใหม่”

จากนั้นหล่อนก็ยัดเงินก้อนหนึ่งและมันเทศแห้งถุงหนึ่งใส่มือเธอ “ถือโอกาสตอนที่หิมะยังไม่ค่อยหนักนัก รีบไปเสีย”

หลินม่ายพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลังพลางกล่าวขอบคุณหล่อนในเวลาเดียวกัน จากนั้นหล่อนก็วิ่งกระเสือกระสนกลับบ้านไป

แม้ว่าหลินม่ายจะอยู่บ้านสกุลอู๋แค่สองเดือน แต่เพราะเป็นเพื่อนบ้านกัน จึงพอเข้าใจสถานการณ์ของโจวไฉ่อวิ๋นอยู่บ้าง

หล่อนเป็นสะใภ้ตัวน้อยผู้อ่อนแอจนต้องยอมก้มหน้ารับความลำบากคนหนึ่ง

พ่อแม่สามีและสามีของหล่อนตบตีหล่อนสารพัด  เพราะหล่อนแต่งงานเข้ามาอยู่หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ตั้งครรภ์ แม้แต่พี่สะใภ้ก็ยังรังแกหล่อน เป็นหญิงสาวที่โชคร้ายมากคนหนึ่ง

หลินม่ายนำธนบัตรกองหนึ่งที่โจวไฉ่อวิ๋นให้ยัดใส่กระเป๋า เก็บมันเทศแห้งถุงหนึ่งใส่ในถุงตาข่าย จากนั้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นและเดินต่อ แล้วรูปร่างบอบบางอรชรก็ได้หายไปท่ามกลางหิมะที่หนาตาอย่างรวดเร็ว

ประตูลานกว้างของบ้านสกุลอู๋ถูกเปิดอย่างเบามือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเดินออกมาจากด้านใน แอบตามหลังหลินม่ายไป

หลินม่ายวิ่งออกมาจากหมู่บ้านในเพียงอึดใจเดียว กระทั่งมาหยุดยืนอยู่หน้าปากทางแยกอย่างนิ่งงันครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปยังเมืองซื่อเหม่ย(สี่หญิงงาม)

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังได้ถอนหายใจอย่างโล่งใจ

เมืองซื่อเหม่ยตั้งอยู่ทิศทางตรงกันข้ามกับหมู่บ้านสกุลหวังบ้านเกิดของหลินม่าย

หลินเพ่ยศึกษาอยู่ในอำเภออวิ๋นไหลซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านสกุลหวัง หลินม่ายไม่เดินตรงไปยังหมู่บ้านสกุลหวัง นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ไปอำเภออวิ๋นไหล และไม่ได้จะไปรายงานเรื่องหล่อน

นับว่านังแพศยาคนนี้ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร!

ตราบใดที่เธอกล้าสร้างความลำบากใจให้เทพธิดาน้อยของตน เขาไม่มีวันปล่อยเธอไปแน่!

หลินม่ายไม่มีทางปล่อยหลินเพ่ยไปเช่นกัน เพียงแต่หลังออกจากบ้านสกุลอู๋ เธอต้องหาที่ลงหลักปักฐานให้ตัวเองก่อนแล้วค่อยกลับมาแก้แค้น อดทนแค่ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องรีบร้อน

หลังจากเดินมาได้ 5 กิโลเมตร หลินม่ายก็มาถึงปากทางเข้าเมืองซื่อเหม่ยแล้ว

หิมะหยุดตกไปนานแล้ว มีแค่ลมหนาวเหน็บถึงขั้วกระดูกที่พัดผ่าน ‘ฟิ้ว ๆ’ ไปมา บาดผิวหน้าอันบอบบางจนรู้สึกถึงความเจ็บปวด

จากปากทางเข้าเมืองไม่ไกลนักมีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง แต่คนทั่วไปในท้องที่กลับเรียกมันว่าอ่างเก็บน้ำ

มณฑลหูซึ่งเป็นมณฑลแห่งทะเลสาบ มาตรฐานของอ่างเก็บน้ำย่อมแตกต่างจากมณฑลอื่น

สาเหตุที่เมืองซื่อเหม่ยถูกเรียกว่าเมืองซื่อเหม่ย นั้นเพราะอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ถูกเรียกว่าอ่างเก็บน้ำซื่อเหม่ย

ในช่วงสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ทหารญี่ปุ่นได้จับตัวหญิงสาวสี่คนไว้ บังคับให้พวกหล่อนพาไปหากองทัพเส้นทางที่แปดของกองทัพปฏิวัติแห่งสาธารณรัฐจีน

หญิงสาวทั้งสี่คนไม่ยอม แต่ต่อให้หนีก็หนีไม่พ้น ทำได้แค่ต้องฉวยโอกาสตอนที่ทหารญี่ปุ่นไม่ทันสังเกตเห็นกระโดดอ่างเก็บน้ำฆ่าตัวตาย

ต่อมาผู้คนต่างพากันรำลึกถึงหญิงสาวทั้งสี่คน และตั้งชื่ออ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เหมือนทะเลสาบแห่งนี้ว่าอ่างเก็บน้ำซื่อเหม่ย ชื่อเมืองก็เปลี่ยนเป็นเมืองซื่อเหม่ย

หลินม่ายมองไปด้านหน้า เธอเหมือนจะเห็นอนาคตที่สดใสดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่ง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าเมืองไป

แม้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่หมู่บ้านชนบทในยุค 80 กลับไม่ได้ฉลองเทศกาลตามปฏิทินสุริยคติ

ประกอบกับหิมะที่ตกหนัก เมืองจึงเข้าสู่ความเงียบสงัด มองออกไป ไม่เห็นแม้แต่เงาคนสักคนเดียว

หมินม่ายเดินตรงไปยังโรงแรมเพียงแห่งเดียวของเมือง เพราะอยากนอนพักสักคืน อาบน้ำอุ่น ๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สกปรกมอมแมมนี้

การแกล้งคลุ้มคลั่งในช่วงนี้ทำให้เธอสกปรกมอมแมมไปทั้งตัว 

พนักงานต้อนรับของโรงแรมเห็นหลินม่ายในเครื่องแต่งกายที่สกปรก หอบถุงกระสอบซึ่งเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงสถานะของชาวบ้านเข้ามา จึงมีท่าทางดูย่ำแย่ลง

เอ่ยปากถามหาด้วยประโยคเดิมถึงจดหมายแนะนำตัว ไม่มีจดหมายแนะนำตัวก็ไม่อนุญาตให้เธอเข้าพัก

หลินม่ายจำได้อย่างแม่นยำว่าตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 70 ทุกพื้นที่ไม่ได้เข้มงวดเรื่องจดหมายแนะนำตัวนัก

ถึงไม่มีจดหมายแนะนำตัว แต่ดูจากภายนอกไม่เหมือนคนเลวทราม โรงแรมและบริษัทนำเที่ยวก็อนุญาตให้เข้าพักได้  ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีสมุดทะเบียนบ้านติดตัวมาด้วย

ผู้หญิงคนนี้กลับใช้อำนาจมาข่มเหงผู้อื่นเก่งยิ่งนัก!

หล่อนจะอวดเก่งได้สักกี่ปี อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้โรงแรมที่เปิดโดยรัฐบาลแห่งนี้ก็จะถูกปิดตัวลง หล่อนก็จะว่างงานไปโดยปริยาย

เมื่อเดินออกจากโรงแรมรัฐวิสาหกิจแห่งนี้ หลินม่ายก็ตรงไปยังร้านอาหารขนาดเล็กของรัฐแห่งหนึ่ง ตั้งใจจะให้ท้องอิ่มก่อนแล้วค่อยหาที่พักต่อไป

เธอสั่งบะหมี่หยางชุนที่ถูกที่สุดในร้านหนึ่งชาม แต่กลับได้รับการกลอกตามองบนจากบริกรคนหนึ่ง

ถึงกระนั้นปริมาณของบะหมี่หยางชุนชามนี้ช่างอุดมสมบูรณ์มาก หลายสิบปีให้หลังของเธอยังไม่เคยเจอบะหมี่หยางชุนที่มีปริมาณมากขนาดนี้มาก่อน

หลินม่ายกินบะหมี่พลางหยิบธนบัตรที่โจวไฉ่อวิ๋นให้เธอไว้เหล่านั้นออกมาจากกระเป๋าเพื่อตรวจนับ 

ทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวนสองเฟินโดยพื้นฐาน แม้แต่ธนบัตรเหมาก็ยังมีน้อยมาก

ธนบัตรที่มีมูลค่ามากที่สุดในนั้น กลับมีจำนวนแค่สองหยวนสองเหมาหกเฟินและคูปองแลกข้าวไม่กี่ใบ

ไม่ง่ายเลยที่โจวไฉ่อวิ๋นจะสะสมเงินได้จำนวนเหล่านี้ แต่กลับยกให้เธอทั้งหมด

รอให้ตนร่ำรวยก่อน จะต้องกลับไปขอบคุณหล่อนแน่นอน

หลังจากกินบะหมี่หยางชุนหมดแล้ว หลินม่ายก็เริ่มหาที่พัก

เธอเดินวนไปมาอยู่ในเมืองหลายรอบ จนในที่สุดก็เป็นที่ดึงดูดความสนใจผู้อาวุโสคู่หนึ่ง

หญิงชราเรียกหลินม่าย และไถ่ถามอย่างเมตตา “แม่หนู หิมะตกขนาดนี้ทำไมไม่กลับบ้าน เดินไปเดินมาทำไม?”

ประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดสารพัดในอดีต ทำให้หลินม่ายหยุดหลั่งน้ำตาเพราะเรื่องเหล่านั้นมานานแล้ว

หลั่งน้ำตาไปก็ไร้ประโยชน์ แก้ไขอะไรไม่ได้

แต่วินาทีนี้เธอตัดสินใจขายความเวทนาเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นคืนนี้ไม่มีที่พักขึ้นมาจะทำอย่างไร?

หลินม่ายจอมตีบทแตกได้ทำการบ่มอารมณ์ครู่หนึ่ง ไม่นานน้ำตาก็หลั่งไหลพรั่งพรูออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นปานขาดใจ “คุณยาย ฉัน….ฉันไม่มีบ้าน….”

หญิงชรารีบพาเธอเข้ามาในบ้าน ให้เธอนั่งอยู่ข้างเตาผิง และไถ่ถามด้วยความเป็นห่วง “ทำไมถึงไม่มีบ้านละ?”

หลินม่ายเล่าเรื่องสุดน่าเวทนาด้วยเสียงสะอื้นว่าพี่สาวเล่นงานเธอ เอาเธอมาแลกกับสินสอดและผ้าเพื่อปรนเปรอให้ตัวหล่อนเองได้เรียนหนังสือและแต่งตัว แม่สามีไม่ชอบเธอหาว่าเธอเป็นบ้า จึงไล่เธอออกจากบ้านให้หญิงชราฟัง

อย่าว่าแต่หญิงชราที่ได้ฟังแล้วน้ำตาหลั่งรินตามเลย แม้แต่คู่ชีวิตของนางก็พลอยตาแดงก่ำไปด้วย

ชายชราตั้งใจยกน้ำขิงน้ำตาลทรายแดงที่กำลังร้อนกรุ่นแก้วหนึ่งมาให้หลินม่าย

หลินม่ายรู้สึกเกรงใจ

แม้ว่าประสบการณ์ของเธอจะน่าเวทนา  แต่เธอได้กลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจมากขนาดนั้น แต่ผู้อาวุโสที่ดูเมตตาคู่นี้กลับจริงจัง

หญิงชราเอ่ยถามเธอ “หนูคือสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกพ่อแม่สามีจากหมู่บ้านอู๋เจียคู่นั้นบีบให้ต้องคลุ้มคลั่งใช่ไหม?”

หมู่บ้านอู๋เจียห่างจากเมืองซื่อเหม่ยไม่ไกลมากนัก ประกอบกับเรื่องที่สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ก็เป็นที่เลื่องลือจนหนาหู ดังนั้นอาวุโสคู่นี้จึงย่อมได้ยินข่าวลือนั้น

หลินม่ายพยักหน้าทั้งน้ำตาได้อย่างพอเหมาะ “ใช่ค่ะ”

ท่าทางนั้นน่าสงสารจับใจ

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เย้ มีที่พักแล้ว โชคดีจริงๆ ที่มีคนเห็นใจ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 8  ในที่สุดก็ย้ายออก

โรคลมบ้าหมูมีความพิเศษอย่างหนึ่ง คือระยะเวลาของอาการนั้นสั้นมาก

เมื่อหมอเท้าเปล่าเร่งฝีเท้าตามเด็กสองคนนั้นมาถึง หลินม่ายก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ทั้งยังได้รับการทำความสะอาดเนื้อตัวภายใต้การช่วยเหลือของพวกชาวบ้านอีกด้วย

ชาวบ้านเหล่านั้นห้อมล้อมหลินม่ายเพื่อซักถามถึงอาการของเธอ และสาเหตุของการร้องขอความช่วยเหลือ

หลินม่ายไม่ตอบคำถาม แค่ลอบมองไปยังสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นรอบดวงตาคู่นั้น

เมื่อหมอเท้าเปล่าเห็นว่าหลินม่ายไม่เป็นไรแล้ว จึงกำชับทุกคนในบ้านสกุลอู๋อย่างเข้มงวดว่าอย่ากระตุ้นอาการของเธอ

ทั้งยังบอกอีกว่าโรคลมบ้าหมูนี้ตราบใดที่ไม่ได้รับการกระตุ้น โดยทั่วไปจะไม่กำเริบโดยง่าย

สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยรีบทักท้วงทันที พวกเขาไม่ได้ยั่วโมโหหลินม่าย เป็นเธอเองที่คลุ้มคลั่งคว่ำโต๊ะอาหาร จากนั้นก็อาการก็กำเริบ

พวกชาวบ้านต่างพากันมองสองสามีภรรยาและลูกชายคนโตของพวกเขาด้วยสายตาประหนึ่งตัวประหลาด

ทั้งสามคนถูกมองจนทำตัวไม่ถูก

หลังจากหมอเท้าเปล่าจากไป หลินม่ายก็กล่าวขอบคุณพวกชาวบ้าน จากนั้นก็ตามอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเข้าไปในลานบ้าน

พวกชาวบ้านค่อย ๆ สลายตัวไป แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเหล่านั้นยังคงเข้าหูคนสกุลอู๋อย่างต่อเนื่อง

“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าครอบครัวจินกุ้ยจะร้ายกาจขนาดนี้ สะใภ้คนใหม่แต่งเข้ามาได้ไม่กี่วัน ก็ทรมานกันขนาดนี้!”

“ก็ครอบครัวพวกเขายังไม่ยอมรับนะสิ!”

“ไม่ยอมรับแล้วทำแบบนี้ได้เหรอ? สิบห้านาทีแรกที่ภรรยาของเสี่ยวเจี๋ยนอาการกำเริบ สองสามีภรรยาคู่นั้นยังด่าทอลูกสะใภ้อยู่เลย คำก่นด่านั้นเสียงดังมาก มีใครบ้างเล่าที่ไม่ได้ยิน!”

“วันที่ภรรยาของเสี่ยวเจี๋ยนกลับมาจากบ้านเกิด หล่อนถูกตบตีจนใบหน้าบวมเป่งและฟกช้ำ ทั้งยังบอกว่าเสี่ยวเจี๋ยนจะฆ่าหล่อนระหว่างทางด้วยนะ!”

“ไอหยา!เด็กคนนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องตายในเงื้อมมือของครอบครัวอู๋จินกุ้ยแน่!”

“เดี๋ยวนี้ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตนะ!”

ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยอึดอัดกับคำพูดเหล่านี้ ทั้งยังรู้สึกไร้อำนาจจนไม่อาจแก้ตัวได้

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกระชากตัวของหลินม่ายอย่างรุนแรงเข้ามาในห้องพวกเขา แล้วตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยว “เมื่อก่อนทำไมฉันถึงไม่เห็นว่าเธอแสดงละครเก่งขนาดนี้นะ?”

พ่อแม่ของเขาไม่รู้ว่าหลินม่ายแกล้งป่วย แต่เขารู้ดี

อย่าเพิ่งมองว่านังแพศยาคนนี้มีรูปร่างผ่ายผอม ร่างกายของเธอแข็งแรงมากเชียวล่ะ

หลินม่ายเอ่ยอย่างเยาะเย้ย “ก็นายบังคับให้ฉันต้องขุดเอาศักยภาพออกมาใช้เอง ตราบใดที่นายไม่ยอมย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้าน ฉันจะก่อกวนไม่ให้ครอบครัวนายได้อยู่อย่างสงบสุขเลย ไม่เชื่อนายคอยดู!”

คิดว่าการไม่กลัวเธอจะไปฟ้องโรงเรียนเรื่องหลินเพ่ยแล้วเธอจะหมดหนทางอย่างนั้นเหรอ? เธอมีหนทางอีกเยอะ!

หลินม่ายพูดคำไหนคำนั้น เธอก่อเรื่องในบ้านทุกวัน ไม่กิน ก็ดื่ม

ไม่ทำตามเธอ เธอก็จะ “กำเริบ” ให้เห็น  ทั้งยังแกล้งเป็นลมวันละหลายตลบ

พวกชาวบ้านถามถึงสาเหตุเธอก็ไม่ยอมพูด มีแต่น้ำตาที่คลอเบ้า แสดงท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม

พวกชาวบ้านจึงคาดเดากันไปต่างๆ นานา ว่าบ้านสามีจะต้องไม่ให้เธอกินข้าวและทรมานเธอแน่นอน เธอจึงได้หิวโซจนเป็นลมอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่กล้าพูดกับคนอื่น เพราะกลัวจะโดนเฆี่ยนตี

ถึงแม้ครอบครัวของอู๋จินกุ้ยจะพยายามปฏิเสธอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ

สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยโกรธจนแทบจะท้อใจ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าหลินม่ายจะแกล้งท้อใจก่อน

ไม่หลั่งน้ำตาอย่างไร้เหตุผล ก็คุกเข่าขานเรียกพ่อแม่สามีด้วยน้ำเสียงขวัญหนีดีฝ่อต่อหน้าพวกชาวบ้าน พร่ำบอกว่าเธอจะทำตัวดี ๆ ขอแค่อย่าตีอย่าดุด่าเธอก็พอ

กระทั่งพยายามฆ่าตัวตายหลายต่อหลายครั้ง แต่เดชะบุญได้รับการขัดขวางจากชาวบ้านเสียก่อน

การแสดงละครของหลินม่ายนี้ ต่อให้พ่ออู๋และคนอื่นจะพยายามกระโดดแม่น้ำหวงเหอลบล้างความผิดอย่างไรก็ไม่มีทางลบล้างได้

พวกชาวบ้านจึงตัดสินว่าสกุลอู๋ข่มเหงรังแกลูกสะใภ้มาตลอด ทั้งยังบังคับกดขี่เธอจนสติเลอะเลือน

ยามดึกดื่นค่อนคืน ทั้งหมู่บ้านเข้าสู่ห้วงนิทรา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกเชือดที่ดิ้นทุรนทุรายของพ่อแม่สกุลอู๋ดังขยายมาจากบ้านอู๋เสี่ยวเจี๋ยน “ฆ่าคนแล้ว!นังบ้านั่นจะฆ่าคนแล้ว!”

พวกชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต่างสวมเสื้อคลุมเดินออกมาดูเหตุการณ์

ภายใต้แสงจันทร์เย็นยะเยือก หลินม่ายถือมีดทำครัวสะท้อนแสงแวววาวไล่แทงพ่อแม่สามี ปากก็พร่ำตวาดอย่างโกรธแค้น “ฉันถูกพวกแกบอกว่าฉันแกล้งป่วย ฉันถูกพวกแกตีฉันด่าฉัน ฉันจะแทงพวกแกเดี๋ยวนี้!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนวิ่งนำน้องชายเพียงคนเดียวและน้องสาวทั้งสี่คนที่วิ่งไล่ตามหลังอย่างไม่ลดละ ไล่ตามพลางตะโกนว่า “ม่ายจื่อ มีอะไรก็พูดกันดี ๆ อย่าฆ่าแกงกันเลย!”

หลินม่ายทำเป็นหูทวนลม

พวกชาวบ้านเห็นก็ได้แต่ส่ายหน้า “บีบบังคับจนหล่อนกลายคนบ้า ยังมีหน้าไปบอกให้หล่อนหยุด คนบ้าที่ไหนเขาจะฟัง!”

นินทาก็ส่วนนินทา แต่พวกชาวบ้านไม่ได้นิ่งดูดาย ทุกคนต่างล้อมกันเข้าไป แล้วแย่งมีดมาจากมือของหลินม่าย

หลินม่ายถูกหญิงสาวชาวบ้านที่แข็งแรงกว่าเหล่านั้นจับแขนไว้ แต่กลับยังดิ้นพล่านอย่างสุดกำลัง ร้องไห้คร่ำครวญถึงความทรมานที่ครอบครัวสามีปฏิบัติต่อเธอ ท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรมนั้นทำให้คนเห็นแล้วถึงกับทำอะไรไม่ถูก

ทุกคนพยายามโน้มน้าวเธออยู่นาน จนเธอค่อย ๆ สงบลง แต่ไม่ยอมกลับบ้านสกุลอู๋ บอกว่าถ้ากลับไปจะต้องถูกบ้านสามีฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหดแน่นอน

ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านรับประกันว่าจะไม่ให้สกุลอู๋ทำร้ายเธอได้อีก เธอถึงจะยอมกลับบ้านสกุลอู๋ไป

ยามดึกดื่นค่อนคืนสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยยังคงหวาดกลัวหลินม่ายจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทันทีที่กลับถึงบ้านก็ให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจับหลินม่ายโยนออกไป

พวกเขาไม่อยากได้สะใภ้คนนี้แล้วจริง ๆ 

ครั้งนี้หลินม่ายไม่ได้แทงพวกเขา แต่ใครจะรับประกันได้ว่าครั้งต่อไปพวกเขาจะโชคดีแบบนี้อีก?

หลินม่ายเป็นบ้าไปแล้ว แทงคนขึ้นมาก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร อย่าว่าแต่พวกเขาถูกแทงเลย ต่อให้ถูกแทงจนตายก็ทำได้แค่ยอมรับว่าเป็นเพราะตนโชคร้ายเอง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่เห็นด้วย

ยิ่งหลินม่ายก่อเรื่องหนักข้อมากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเธอกำลังบีบให้ต้องเขาย้ายเธอออกจากทะเบียนบ้าน หลุดพ้นจากสกุลอู๋และสกุลหลิน แบบนั้นเขายิ่งยอมให้เธอสมหวังไม่ได้

สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยสงบลงได้ในที่สุด และรู้สึกว่าการโยนลูกสะใภ้ออกไปคงขาดทุนแย่ ถึงอย่างไรนั้นก็คือสะใภ้ที่พวกเขาต้องทุ่มเงินเป็นจำนวนสิบหยวนและผ้าห้าหยวน ข้าวหนึ่งถุงใหญ่แลกกลับมา

เรื่องนี้คงต้องยอมแพ้ชั่วคราว แต่ฝันร้ายของพวกเขากลับไม่เคยสิ้นสุดลง

ต่อมาหลินม่ายก็คว้ามีดทำครัวอย่างคน “ขาดสติ” ไล่แทงสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยอีกหลายครั้งหลายครา

ไล่ตามตั้งแต่หน้าหมู่บ้านไปยังท้ายหมู่บ้าน และจากท้ายหมู่บ้านไปยังหน้าหมู่บ้าน บทพูดเดิมเป๊ะ เค้นถามพวกเขาแทบขาดใจว่าทำไมถึงต้องทรมานเธอ

ละครฉากนี้ยังคงแสดงซ้ำไปมาอีกหลายรอบ จนทำให้สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยแทบคลั่งเช่นกัน

เพราะความเสียสติของหลินม่ายไม่เลือกเวลา และมักจะกำเริบในเวลากลางคืน

นอนหลับอยู่ดี ๆ จู่ ๆ ก็มีคนถือมีดไล่แทง นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ชวนผวาเกินไปหรือ

ประกอบกับที่หลินม่ายเคยจะจุดไฟเผาบ้านมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะเจอได้ทันเวลา จึงไม่เกิดหายนะครั้งใหญ่นี้ขึ้น แต่ทุกคนก็ตื่นตกใจจนสติแตกกระเจิงไปแล้ว

เหยาชุ่ยฮวาทนไม่ไหวอีกต่อไป สั่งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไล่หลินม่ายออกจากบ้าน

หลินม่ายกลับไม่ยอมไป นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าประตูลานบ้าน

ผู้ใหญ่บ้านและพวกชาวบ้านต่างวิ่งมาช่วยโน้มน้าว สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยให้หลินม่ายเข้าห้องไปโดยไม่ได้ตอบโต้

ไม่เพียงแต่สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยที่ถูกทรมานจนแทบเป็นบ้า แม้แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยังทนไม่ได้

บางคืนนอนหลับอยู่ดี ๆ มีดทำครัวที่ซ่อนไว้ในบ้านก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ในมือนังแพศยาได้อย่างไร และยังกดลงมาบนลำคอที่หดเกร็งด้วยความกลัวของเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาหวาดผวาสติเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

อีกทั้งเขาต้องท้องเสียอยู่หลายครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ กระทั่งสงสัยว่าหลินม่ายวางยา

ไล่เท่าไรก็ไม่ไป แถมยังก่อปัญหาเป็นว่าเล่น

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมแพ้ ทำได้แค่ลอบติดต่อให้คนรู้จักช่วยแก้ไขอายุให้หลินม่ายโตขึ้นหนึ่งปี จากนั้นก็ย้ายเธอออกจากทะเบียนบ้านของสกุลหลิน ออกไปสร้างสำมะโนครัวคนเดียว

วันย้ายออก หลังจากออกจากสถานีตำรวจ หลินม่ายกอดสมุดทะเบียนบ้านของตัวเองไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าก็ยิ้มแย้มอย่างเบิกบานใจ

อู่เสี่ยวเจี๋ยนเห็นเธอยิ้มอย่างเบิกบานใจแบบนี้ ก็แอบหงุดหงิดในใจ

ในอดีตนังแพศยาคนนี้รักเขามาก เลียแข้งเลียขาเอาใจเขาสารพัด ตอนนี้แม้แต่ความรักและความห่วงหาอาวรณ์ก็ไม่มีแม้แต่น้อย

เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้อเสนอของเธอฉันก็ทำให้แล้ว หวังว่าเธอจะรักษาสัญญา ห้ามฟ้องพี่สาวของเธอไปตลอดชีวิต”

หลินม่ายตอบรับหนึ่งเสียงอย่างอารมณ์ดี

แต่ในใจกลับคิดว่า ทำไมฉันต้องรักษาสัญญากับผู้ชายห่วยแตกคนนี้ด้วย!

ไม่ฟ้องหลินเพ่ย ไม่ทำลายอนาคตของหล่อน แบบนั้นเธอต้องรู้สึกผิดกับโอกาสที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งนะสิ

เธอรอจังหวะที่เหมาะสมมาเนิ่นนาน กระทั่งยอมหยิกเล็บเจ็บเนื้อ

ถ้าฟ้องร้องหลินเพ่ยก่อนถูกย้ายออก อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะต้องขังเธอไปตลอดชีวิตแน่นอน ทั้งยังฆ่าเธอตายอย่างอนาถ

ชาตินี้เธอจะต้องได้มีชีวิตที่ดี เพื่อให้ตัวเองรอดต่อไป หากไม่อดทนเรื่องเล็กน้อยก็อาจจะทำให้เสียการใหญ่!

อู่เสี่ยวเจี๋ยนลอบวางใจอย่างเงียบ ๆ 

เมื่อเห็นหลินม่ายยังตามตัวเอง จึงเกิดความรังเกียจอย่างอดไม่ได้ “ทำไมเธอยังไม่ไสหัวไปอีก ตามฉันมาทำไม?!”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฝีมือการแสดงชั้นเลิศมากม่ายจื่อ เล่นละครจนฝ่ายบ้านสามีทนไม่ไหวต้องยอมให้ออกเลยทีเดียว

ต่อไปนี้ม่ายจื่อจะเป็นอิสระแล้ว เย้

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 7 เปิดฉากเล่นใหญ่

ตอนนี้เองหลินม่ายก็เริ่มร้องไห้คร่ำครวญ “กลับบ้านเกิดวันนี้ ไหน้ำมันไช่จื่อที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตั้งใจเอาไปให้พี่สาวฉันเกิดตกแตก พี่สาวฉันเลยด่าสาดเสียเทเสียโดยไม่รู้จักแยกผิดชอบชั่วดี หาว่าฉันทำไหน้ำมันใบนั้นตกแตก ฉันโกรธมาก จึงโพล่งออกไปเพียงสองคำ แต่เสี่ยวเจี๋ยนกลับไม่พอใจ ระหว่างทางกลับบ้านเขาจึงทุบตีฉันหมายจะเอาชีวิต ทำร้ายฉันจนสภาพยับเยินแบบนี้”

เธอร้องไห้โฮๆ ฮือ ๆ อย่างสุดจะเวทนา ส่งผลให้คนฟังเสียใจและพากันหลั่งน้ำตา

“ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย ถ้าวันไหนที่พวกท่านไม่เห็นฉัน วันนั้นคงเป็นวันที่ฉันตายด้วยน้ำมือของเสี่ยวเจี๋ยนไปแล้ว เพราะฉันเก็บความลับที่พี่สาวของฉันบอกใครไม่ได้ไว้ ดังนั้นเขาจึงตั้งใจระบายอารมณ์ จงใจทุบตีให้ฉันเจ็บปวดเจียนตาย”

ระหว่างทางกลับ ผู้ชายห่วยแตกคนนี้คิดจะฆ่าเธอให้ตาย ทำไมหลินม่ายจะดูไม่ออก

ก่อนจะย้ายออกไป เธอยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในรังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างบ้านสกุลอู๋แห่งนี้ไปอีกระยะหนึ่ง

เพื่อปกป้องชีวิตของตัวเองให้รอดปลอดภัย เธอต้องปล่อยข่าวลือ ว่าชีวิตของเธอได้รับการคุกคามจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

มีแค่ทางนี้เท่านั้น ไม่เพียงผู้ชายห่วยแตกคนนี้ รวมทั้งครอบครัวของเขาก็จะไม่กล้าทำร้ายเธออีก

ถ้าเธอมีอันเป็นไป คนแรกที่ตำรวจจะสงสัยก็คือครอบครัวของพวกเขา

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธกระฟัดกระเฟียด แล้วตวาดออกไปด้วยความโกรธ “ไม่ใช่แบบนี้!”

“งั้นก็ตามนี้ ฉันจะบอกความลับของพี่สาวฉันต่อหน้าทุกคน!”

หลินม่ายกลัวการไร้ที่พึ่ง แต่เพราะถูกบีบจนไม่มีทางเลือก จึงต้องทำตัวฮึกเหิมแสดงบทต่อต้านให้ดูสมจริง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้รับการเตือนจากคำพูดของเธอ จึงทำได้แค่ปิดปากอย่างเกลียดชัง ปล่อยให้หลินม่ายโยนความผิดใส่ตัวเขาเองโดยที่ทำอะไรไม่ได้

หลังจากทั้งสองคนเดินออกไปไกลแล้ว อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ยังไม่วายได้ยินพวกชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาอยู่แว่วๆ “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเสี่ยวเจี๋ยนจะร้ายกาจขนาดนี้ คิดจะฆ่าคนปิดปาก!”

“ไม่เพียงแค่เสี่ยวเจี๋ยนนะที่ร้ายกาจ พี่สาวของลูกสะใภ้คนนี้ก็ใช่ว่าจะวิเศษวิโส เอาสินสอดและผ้าของน้องสาวไปปรนเปรอค่าเล่าเรียน ค่ากิน และการแต่งตัวจนหมด”

“พวกเธอว่า —— พี่สาวของสะใภ้เสี่ยวเจี๋ยนมีความลับอะไรที่บอกใครไม่ได้กันนะ ถึงทำให้เสี่ยวเจี๋ยนคิดจะฆ่าปิดปากขนาดนี้?”

“หล่อนกับเสี่ยวเจี๋ยนคงไม่ได้…..พวกเธอเข้าใจความหมายของฉันใช่ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดซุบซิบของพวกชาวบ้าน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็พลันโกรธลมออกหูจนอยากจะถลกหนังของนังแพศยาที่เดินตามอยู่ข้างหลังออกมาให้รู้แล้วรู้รอด!

ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ทำให้ชื่อเสียงของหญิงผู้เป็นที่รักของเขาเสียหายป่นปี้!

เมื่อกลับถึงบ้าน เรื่องแรกที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำคือการพุ่งตัวเข้าไปตรวจสอบท่อนล่างของตัวเองในห้องส้วมทันที ปรากฏว่ามันทั้งแดงทั้งบวม อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

เขาไม่สนใจแม้แต่จะกินอาหารมื้อค่ำ ตรงไปหาหมอเท้าเปล่า*ให้ดูอาการทันที

  

ถ้าตัวเองเป็นผู้ชายที่นกเขาไม่ขันขึ้นมา ต่อไปจะสุขสมอารมณ์หมายกับเทพธิดาได้อย่างไร? เขาและหล่อนยังไม่เคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันเลยนะ!

เมื่อครู่ในตอนที่หลินม่ายฟ้องว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตบตีเธอกับพวกชาวบ้านนั้น หมอเท้าเปล่าบังเอิญเดินผ่านมา ด้วยเหตุนี้จึงได้ยินพอดี

เมื่อเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาขอทำการรักษา ก็ลอบตัดสินได้ว่าอาการบาดเจ็บท่อนล่างของเขานั้นได้มาจากการต่อต้านของหลินม่าย

ด้วยเหตุนี้จึงทำการตรวจอาการครู่หนึ่ง แม้ว่าจะดูร้ายแรง แต่ก็ยังใช้การประคบเย็นได้ อีกหายสองสามวันก็น่าจะหายบวม ถ้าหายบวมได้ก็ไม่มีปัญหา

หมอเท้าเปล่าดูหมิ่นท่าทางของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่อยากรักษาให้เขา แต่ก็ไม่อยากให้เอาความลับนั้นมาข่มขู่

จึงตั้งใจคุยโวถึงอาการบาดเจ็บ ให้เขาไปรักษากับหมอในเมืองหลวงประจำมณฑล

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนนิ่งงันไปชั่วขณะ “ไปรักษากับหมอในเมืองหลวงประจำมณฑล? งั้นต้องใช้เงินเท่าไหร่ละ”

“หลักร้อยเป็นอย่างต่ำ”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลืนน้ำลายดังอึก “งั้น..ถ้าไม่รักษาจะพิการไหม?”

หมอเท้าเปล่าโบกมือ “ไม่ถึงขนาดนั้น สองสามเดือนก็หายสนิทแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะทำกิจกรรมกับภรรยาได้”

เขาคงทำผู้ชายห่วยแตกคนนี้ตกใจไม่ได้ ถ้าบอกว่าเขาจะพิการถ้าไม่รักษา เกรงว่าเขาคงไปฆ่าเด็กสาวผู้น่าสงสารอย่างหลินม่ายเพราะเหตุนี้

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถอนหายใจ หายเองก็ดี เพราะคงไม่มีใครยอมเสียเงิน 100 หยวนมารักษาให้เขาแน่!

ตกค่ำ หลังจากล้างหน้าบ้วนปากเรียบร้อยแล้ว สามีภรรยาจอมลวงโลกที่เกลียดชังกันยิ่งกว่าอะไรดีก็เดินตามกันเข้ามาในห้อง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจุดตะเกียงน้ำมัน ก่อนจะมองพิจารณาใบหน้าที่บวมเป่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำของหลินม่ายอย่างไม่อยากจะเชื่อ  “ทำไมหน้าเธอถึงได้บวมเป่งเหมือนหัวหมูอืดแบบนี้?”

หลินม่ายเลิกคิ้วและสบตากับเขาด้วยแววตาเยาะเย้ย “นายรู้อยู่แก่ใจยังจะกล้าถามฉันอีก ไม่ใช่เพราะนายตบจนเป็นแบบนี้หรอกเหรอ?”

เธอจะบอกเขาได้อย่างไร ว่าเธอแพ้ผลไม้ป่าชนิดหนึ่งบนภูเขา

ต่อให้กินแค่คำเดียว ก็ทำให้หน้าของเธอบวมเป่งจนกลายเป็นหัวหมูอืดแบบนี้ได้ แต่อีกไม่กี่วันก็คงหาย

รสชาติของผลไม้ชนิดนี้ค่อนข้างแย่ ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด แม้แต่เด็กที่กินทุกอย่างบนภูเขาก็ยังไม่เด็ดผลไม้ชนิดนี้กินเลย

อีกทั้งผลไม้ชนิดนี้ไม่ค่อยร่วงลงจากต้นนัก ดังนั้นแม้จะเข้าสู่ฤดูหนาวก็ยังเด็ดกินได้ 

สำหรับรอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าของเธอ ก็แค่ไปลูบเอาผลไม้พวกเบอร์รี่ที่พบเห็นได้ตามภูเขาทั่วไป

ระหว่างทางกลับ เธอกินผลไม้ป่าที่มีฤทธิ์ทำให้แพ้เข้าไปหนึ่งคำ แล้วใช้ผลไม้พวกเบอร์รี่ถูทาบนหน้า จนทำให้มีสีเหมือนโดนเขาตบตีสมจริง

เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนเห็นเธอไม่ยอมพูด จึงล้มตัวนอนลงอย่างกระฟัดกระเฟียด

ผ่านไปสี่ถึงห้าวัน หลินม่ายก็เห็นว่าผู้ชายห่วยแตกคนนี้ยังไม่ย้ายเธอออกมาจากทะเบียนบ้าน

ตกดึกวันนี้ ทั้งสองคนต่างอยู่ในห้อง

หลินม่ายจึงรีบไถ่ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลอกฉันเหรอ นี่ผ่านไปตั้งกี่วันแล้ว นายยังไม่ย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้านอีก!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนแสดงสีหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน “ฉันไม่เชื่อเธอหรอก ฉันกลัวว่าถ้าฉันย้ายเธออกไป เธอจะกลับไปฟ้องพี่สาวของเธอ รอให้พี่สาวของเธอเรียนจบมัธยมปลายปีที่สามก่อน แล้วฉันจะย้ายเธอออกแน่นอน เธอวางใจได้เลย”

 หลินม่ายยิ้มเยาะเย็นเยียบ “จะผัดวันประกันพรุ่งกับฉันใช่ไหม เชื่อไหมว่าพรุ่งนี้ฉันไปฟ้องร้องหญิงผู้เป็นที่รักของนายได้เลยนะ!”

“ไปสิ ถ้าเธอกล้าฟ้องร้องพี่สาวของเธอ ฉันจะขังเธอไว้ตลอดไป ให้ทรมานอยู่กับฉันไปชั่วชีวิตเลย!”

หลังจากครุ่นคิดมาหลายวัน  อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เจอจุดอ่อนของหลินม่าย นั้นก็คือเรื่องที่เธออยากย้ายออกจากทะเบียนบ้านให้ห่างจากสกุลอู่และสกุลหลิน

เขาคว้าเรื่องนี้กลับมาข่มขู่เธอโดยสมบูรณ์ ตราบใดที่เธอไม่เชื่อฟัง เขาจะไม่ย้ายเธอออกแน่นอน ดูสิว่าเธอจะกล้าสร้างปัญหาไหม!

จบเห่แน่เธอ!

หลินม่ายมีสีหน้าเคร่งเครียด “คิดจะขู่ฉันเหรอ? ถ้านายไม่เสียใจภายหลังก็ลองดู!” พูดจบ ก็นอนลงบนเตียง

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยิ้มเยาะเย้ยหยัน เขาไม่เชื่อว่าเธอจะทำอะไรได้!

เช้าตรู่วันที่สอง หลินม่ายให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนบังคับแม่ของเขาทำไข่ตุ๋นให้เธอ

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยิ้มเยาะเย็นเยียบหนึ่งเสียง “เธอไปกินขี้เถอะ!” จากนั้นก็เดินออกจาห้องไป

ไม่เพียงแต่ไม่ให้แม่เขาตุ๋นไข่ให้เธอกินแล้วเท่านั้น ยังพูดกับแม่ของเขาอีกว่านับแต่นี้ไปต้องนึ่งมันเทศให้หลินม่ายกินสามมื้อทุกวัน

เหยาชุ่ยฮวารู้สึกปลื้มใจหลังจากอมทุกข์มานาน มองลูกชายคนโตของตัวเองอย่างชื่นชม “แกเก่งมาก! ที่เอาเมียแกอยู่หมัด!”

ตอนกินมื้อเช้า หลินม่ายเห็นทุกคนในบ้านสกุลอู๋กินข้าวขาว มีแค่เธอที่กินมันเทศอยู่คนเดียว

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชำเลืองตามองเธอด้วยแววตาเยาะเย้ย

หลินม่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงและคว่ำโต๊ะ ทำให้ถ้วยชามและตะเกียบระเนระนาดบนพื้น

พ่ออู๋และแม่อู๋แทบจะคลั่ง ชี้หน้าด่าหลินม่ายสาดเสียเทเสีย เกือบจะคว้าไม้มาฟาดเธอให้ตายตรงนั้น

หลินม่ายไม่ปริปากโวยวายสักแอะ นอกจากหมุนตัวแล้ววิ่งออกไปข้างนอก

หลังจากวิ่งออกจากลานบ้าน ก็ร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับร่างที่ทรุดไปกับพื้น น้ำลายฟูมปาก ท่าทางเหมือนจะตายได้ทุกเมื่อ

ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยต่างวิ่งเข้ามารุมล้อมหลินม่ายไว้

ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมียเสี่ยวเจี๋ยนเป็นมันโรคลมชักเหรอเนี่ย?”

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจว่า “แบบนั้นตายได้นะ? รีบไปเรียกหมอเท้าเปล่ามาดูอาการเร็วเข้า”

เด็กหนุ่มที่แลดูอ่อนเยาว์และแข็งแรงสองคนต่างก็วิ่งไปตามหมอเท้าเปล่าทันที

ชาวบ้านในชนบทแห่งนี้เรียกลมบ้าหมูว่าโรคลมชัก

แม้จะบอกว่าอาการป่วยนี้ร้ายแรงมาก แต่เวลาไม่มีอาการก็เหมือนคนปกติทั่วไป ทว่าเมื่ออาการกำเริบกลับเหมือนคนใกล้ตาย

เมื่อปีก่อน หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของพวกเขาออกไป 5 ลี้ มีชายคนหนึ่งมีอาการโรคลมชักกำเริบ ไม่ถึง 10 นาทีเขาก็สิ้นใจ

ดังนั้นชาวบ้านเหล่านี้ถึงได้ลนลานแบบนี้

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและคนอื่น ๆ พร้อมใจกันวิ่งออกมา เมื่อเห็นหลินม่ายที่นอนชักดิ้นชักงอน้ำลายฟูมปากอยู่บนพื้น พ่ออู๋และแม่อู๋ก็เบิกตากว้าง นังแพศยาคนนี้อาการกำเริบงั้นเหรอ?

สองสามีภรรยาสกุลอู๋จำได้ว่าก่อนหน้านั้นพี่สาวของนังแพศยาคนนี้แอบวิ่งมาบอกพวกเขาว่านังแพศยาคนนี้เป็นโรคลมชัก

มีแค่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเท่านั้นที่มองหลินม่ายด้วยแววตาเย็นเยียบสีหน้าเคร่งขรึม ในสายตาของชาวบ้าน ท่าทางนั้นช่างอำมหิตยิ่งนัก

………………………………………………………………………………………………………………………..

*หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำและทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน

สารจากผู้แปล

เล่นใหญ่รัชดาลัยมากม่ายจื่อ ไปเป็นนักแสดงได้เลย

หลัวชั่วนี่คิดจะต่อต้านสินะ ดูถูกหลินม่ายการละครกันเกินไปแล้ว ไม่ว่าจะทางไหนม่ายจื่อก็หาทางกลับมาเหนือกว่าได้อยู่ดี

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 6 ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน!

หลินม่ายที่เผชิญกับการด่าทอของสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วจึงแย่งปลาตุ๋นน้ำแดงมากิน

ต่อให้ไม่แย่ง สองสามีภรรยาคู่นี้ก็ต้องหาข้ออ้างมาด่าทอเธออยู่ดี

ส่วนกุยช่ายผัดไข่และเต้าหู้ประจำวันชามนั้นเธอไม่ได้แย่งต้าโก๋วและเอ้อโก๋วแต่อย่างใด เธอไม่อยากผิดใจกับเติ้งซิ่วจือเพราะอาหารสองจานนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นหลินเพ่ยคงใช้หล่อนมาต่อกรกับเธอได้ 

เมื่อก่อนหลินเพ่ยเคยใช้หญิงโง่เขลาคนนี้มาต่อกรกับเธอไม่น้อย

หลังกินข้าวเสร็จ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ขอทะเบียนบ้านเพื่อประกอบการจดทะเบียนสมรสจากซุนกุ้ยเซียง

ซุนกุ้ยเซียงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “ม่ายจื่ออายุไม่ถึงจะจดทะเบียนสมรสได้ยังไง?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงเอ่ยว่า “แก้อายุเสียก็สิ้นเรื่องครับ”

หลินเพ่ยเห็นซุนกุ้ยเซียงเกิดความสงสัย ก็กลัวว่านางจะไม่ตอบรับ จึงรีบลากนางเข้าไปในห้อง “แม่ เสี่ยวเจี๋ยนกับม่ายจื่อแต่งงานกันก็เพื่อหย่ากัน แม่รีบรับปากเขาไปเถอะค่ะ ถึงคราวหย่ากันแม่ก็ค่อยรีดไถตระกูลอู๋สักก้อนก็ได้”

ซุนกุ้ยเซียงถามขึ้น “รีดไถยังไง?”

หลินเพ่ยพูดเสียงต่ำ “ก็ไม่ยอมหย่าไงคะ ถ้าจะหย่าก็ต้องชดใช้ด้วยเงินจำนวน 50 หยวนให้ม่ายจื่อ”

ซุนกุ้ยเซียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “แม่สามีของม่ายจื่อไม่ใช่ใครจะตอแยได้ เรียกเงินจากหล่อนตั้ง 50 หยวน หล่อนคงให้หรอก?”

หลินเพ่ยเอ่ยอย่างมั่นใจ “มีเสี่ยวเจี๋ยนทั้งคน ฉันให้เขาไปโวยวายกับพ่อแม่ของเขาก็ได้แล้ว ต่อให้ไม่ได้เงิน 50 หยวน ได้มา 30 หยวนก็ยังดี”

ซุนกุ้ยเซียงเบะปาก “ต่อให้ได้มา เราก็ไม่ได้ส่วนแบ่งสักสตางค์แดงเดียว สุดท้ายมันก็ตกเข้ากระเป๋าแกไม่ใช่รึไง”

สินสอดทองหมั้นและผ้าที่ใช้หลินม่ายได้มาล้วนถูกยกให้ลูกสาวคนโตหมดสิ้น ในใจของซุนกุ้ยเซียงก็ใช่ว่าจะไม่ขุ่นเคืองใจ

เพียงแต่วิมานเมขลาที่ลูกสาวคนโตวาดฝันไว้ช่างเย้ายวนใจยิ่งนัก บอกว่าหลังหล่อนเรียนจบมัธยมปลายจะหางานดี ๆ ทำ

ถึงตอนนั้นก็คงจะจุนเจือในบ้านได้ดี และกตัญญูต่อนาง นางจึงจำใจเห็นด้วย และจดจำมันขึ้นมามาตลอด

หลินเพ่ยรีบให้สัญญา “เงินที่ได้จากการหย่าก็จะยกให้แม่ทั้งหมด ฉันไม่ต้องการแม้แต่ส่วนเดียว รอให้ม่ายจื่อหย่ากลับมา เราค่อยจับหล่อนแต่งงานกับพ่อหม้ายในภูเขาลึก เรียกสินสอดทองหมั้นก้อนใหม่”

ซุนกุ้ยเซียงตื่นเต้นทันใด จากนั้นก็หยิบทะเบียนบ้านจากในตู้ออกมาให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยน

หมู่บ้านหวังเจียและหมู่บ้านอู๋เจียห่างไกลกันมาก ถ้าไม่รีบกลับบ้าน วันนี้ก็คงกลับไม่ถึง

ดังนั้นทันทีที่ได้ทะเบียนบ้าน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินม่ายก็กลับบ้านสกุลอู๋ทันที แต่ทั้งสองคนต่างคนต่างเดิน เหมือนคนแปลกหน้า

ระหว่างทาง ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ดูไม่รับแขกอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง เขาก็โพล่งถามออกไป “ไหน้ำมันใบนั้นเธอตั้งใจทำมันแตกใช่ไหม?”

แน่นอนว่าหลินม่ายตั้งใจทำแตก

ตอนนั้นเธอยืนอยู่นอกห้องครัว จึงถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครอยู่ในห้องครัวและห้องโถง หยิบไม้ตะบองอันหนึ่งออกมาแล้วดันไหน้ำมันใบนั้นตกพื้นจากทางหน้าต่างจนแตกกระจาย

หลินม่ายช้อนตามองเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันทำแล้วจะทำไม ใครใช้ให้พวกนายสองคนลอบกัดฉันล่ะ? ฉันจะยอมให้หลินเพ่ยกินข้าวคลุกน้ำมันงั้นเหรอ? ให้หล่อนไปกินขี้เสียยังดีกว่า!”

ใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลางเอ่ยอย่างเดือดดาล “เธอแอบฟังฉันคุยกับพี่สาวของเธอเหรอ?”

หลินม่ายจ้องมองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาเย็นเยียบ

รูปร่างสูงสันทัด หน้าตาหล่อเหลา ไม่ได้หยาบกร้านเหมือนกับชาวไร่ชาวนาทั่วไป มีความอ่อนโยนดุจสายน้ำที่มีริ้วคลื่น

เยาวชนคนหนุ่มในครอบครัวชาวไร่ชาวนาแบบนี้เป็นที่หมายปองของหญิงสาวในชนบทมาก

ตัวเองในอดีตชาติก็ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเย้ายวน จนมองข้ามความอัปลักษณ์และความโหดร้ายที่ซ่อนลึกในดวงตาคู่นั้นของเขาไปไม่ใช่หรือ?

ท่าทางของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนสร้างความขุ่นเคืองให้หลินม่ายเป็นอย่างมาก  เธอซัดหมัดหนึ่งเข้าที่เบ้าตาข้างขวาของเขา “นายกับนังแพศยานั้นลอบกัดฉัน ฉันยังไม่เคยต่อว่านายเลย แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาถามฉัน นายไปเอาความใจกล้า ไปเอาความหน้าด้านนี้จากใคร หา!”

ประโยคสุดท้ายหลินม่ายโพล่งออกมาอย่างเหลืออด ตามมาด้วยหมัดอีกหนึ่งฉาก ซัดเข้าเบ้าตาข้างซ้ายของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างเต็มแรง

ครั้งนี้ดีหน่อย เบ้าตาทั้งสองข้างของเขาบวมเป่งเท่ากันแล้ว  ช่วยรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำของเธอได้ในพริบตา

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกต่อยจนมึนงงไปเล็กน้อย ผ่านไปครึ่งนาทีกว่าจะได้สติกลับมา “เธอต่อยฉันเหรอ?”

สีหน้าของชายหนุ่มดูไม่อยากจะเชื่อ ตามมาด้วยการพุ่งตัวเข้าหาหลินม่ายเหมือนกับหมาบ้าที่ยังไม่ฉีดวัคซีน “ฉันจะฆ่าแกให้ตายตรงนี้นังแพศยา!”

เขาในเวลานี้โกรธจนขาดสติ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนอยู่บนภูเขา หมายมั่นจะฆ่านังแพศยาให้ตาย แล้วค่อยสร้างสถานการณ์ว่าหล่อนสะดุดหกล้มพลาดตกเขาตายเอง หลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาภายหลัง ไม่ต้องถูกหล่อนหยิบยกเรื่องที่หลินเพ่ยไปเรียนแทนหล่อนออกมาขู่เขาอีก

หลินม่ายคว้าตะบองไม้หยาบขนาดเท่าถ้วยน้ำชาด้ามหนึ่งมาถือไว้ในมือ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนยังไม่ทันได้เข้าใกล้ เธอก็หวดตะบองใส่ตำแหน่งไตของเขาอย่างเต็มแรง ความเจ็บปวดแผ่ขยายจนเขาแทบหยุดหายใจ “มาสิ ดูสิว่าใครจะตายก่อนกัน!”

แม้หลินม่ายจะมีรูปร่างบอบบาง เรี่ยวแรงก็สู้ชายฉกรรจ์ตรงหน้าไม่ได้ แต่เธอกลับชิงความเหนือกว่าในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

ตะบองแล้วตะบองเล่าฟาดลงมาไม่ยั้งจนเขาต้องชักกระตุกไปทุกส่วน อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกเธอฟาดจนร้องครวญครางสุดจะเวทนา

กระทั่งอู๋เสี่ยวเจี๋ยนชักกระตุกอยู่บนพื้น หลินม่ายจึงหมดแรง

ทั้งสองคนนอนอยู่บนพื้นหญ้าแห้งที่เหลืองอร่าม หายใจกระหืดหระหอบ มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเคียดแค้น

หลินม่ายส่งเสียงหัวเราะเยาะ “อยากฆ่าฉันใช่ไหมล่ะ คิดว่าฉันจะยอมให้นายทำเหรอ? อย่าแม้แต่จะคิด!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเกลียดชังเธอมากขึ้น

หลินม่ายไม่ยี่หระต่อสายตาที่ดุร้ายของเขา “อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนนายก็แล้วกัน ถ้านายกล้าเล่นสกปรกตามคำสั่งของหลินเพ่ยอีก ฉันจะทำให้หลินเพ่ยหมดอนาคตทันที!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรีบเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก

หลังจากนั้น 15 นาที หลินม่ายก็สงบลง ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นหญ้า ใช้ไม้ตะบองฟาดลงบนร่างกายท่อนล่างของเขาอย่างรุนแรง 

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเจ็บปวดรวดร้าวจนต้องร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาจับใจ นอนขดตัวงอก่องอขิงกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้นหญ้า 

น้ำเสียงเย็นเยียบของหลินม่ายดังขึ้นเหนือศีรษะ “ถ้านายเชื่อฟังหลินเพ่ย กล้าลวนลามฉัน อย่ามาหาว่าฉันทำให้นายเป็นหมันก็แล้วกัน!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอ้อนวอนขอชีวิตต่อหน้าเธอเป็นครั้งแรก “ฉัน….ฉันสัญญาว่าจะไม่…..”

เสี่ยวม่ายเห็นเขาเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนี้ก็คาดว่าอวัยวะท่อนล่างคงได้รับความเสียหายอย่างหนัก กว่าจะทุเลาลงคงกินเวลาหลายเดือน ต่อให้เขาคิดจะลวนลามเธอก็คงจะไม่มีแรง

แต่แล้วตะบองด้ามนั้นก็ฟาดลงบนต้นขาของเขาอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนออกไป “อย่ามาแกล้งตาย!ลุกขึ้น!ไสหัวกลับบ้านนายไป!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ข่มความเจ็บปวดพร้อมกับเดินไปข้างหน้า

หลินม่ายเดินไปพลางครุ่นคิดไปพลาง

พ่อแม่ของผู้ชายห่วยแตกคนนี้ก็ใช่ว่าจะดีวิเศษวิโส ถ้าให้พวกเขารู้ว่าเธอให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนย้ายเธอจากทะเบียนบ้านสกุลหลินไปอยู่คนเดียว พวกเขาคงไม่ยอมแน่นอน

เพราะหลินเพ่ยไม่ได้เข้ามาอยู่ในบ้านสกุลอู๋ และหล่อนก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับผู้ชายห่วยแตกนี้ด้วย

การย้ายสำมะโนครัวไปอยู่คนเดียวนั่นหมายความว่าจะต้องหนี สกุลอู๋คงได้วิ่งเต้นเหมือนสุนัขถูกน้ำร้อนลวก พ่ออู๋แม่อู๋จะรับได้เหรอ?

ไม่เพียงแต่จะรับไม่ได้แล้ว ทั้งยังใช้สารพัดวิธีมาขวางเธอแน่นอน

อย่างไรก็ต้องปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา

รอให้ย้ายออกมาสำเร็จ จนเธอหนีไปได้ ทิ้งปัญหาหนักใจให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตามเช็ดตามล้างด้วยตัวเอง

หลินม่ายฟาดตะบองลงบนแผ่นหลังของผู้ชายห่วยแตกคนนี้อีกครั้ง “เรื่องที่นายย้ายฉันออกจากทะเบียนบ้านห้ามบอกพ่อแม่นายเด็ดขาด ถ้าให้พวกเขารู้ จนทำให้ฉันย้ายออกจากทะเบียนบ้านไม่ได้ เตรียมรอผลที่ตามมาได้เลย!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกฟาดจนเข้าเต็มหลังจนสะดุ้งโหยง ก่อนจะตอบรับด้วยสีหน้าอยากจะร้องไห้เต็มทน

กระทั่ง 6 โมงเย็นช่วงเวลาใกล้โพล้เพล้ หลังจากเดินมาตลอดจนขาใกล้จะหมดแรง อึดใจเดียวก็ถึงปากทางหมู่บ้านแล้ว

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ถูกหลินม่ายฟาดด้วยไม้ตะบองที่เย็นเยียบมาตลอดทางก็เหมือนเห็นความหวังท่ามกลางความสิ้นหวัง จึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น

ขอแค่กลับถึงบ้านก็พอ นังแพศยาคงไม่กล้าตีเขาอย่างไม่เกรงกลัวแบบนี้

ทั้งสองคนเดินนำหน้าคนตามหลังคนเข้าไปในหมู่บ้าน

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกต่อยเข้าเบ้าตาจนปูดบวมคล้ายกับหมีแพนต้าทั้งสองข้าง เขาหวังให้ชาวบ้านเข้ามาถาม จะได้ฉวยโอกาสนี้ฟ้องความโหดเหี้ยมของนังแพศยาคนนี้

แต่กลับพบว่าชาวบ้านที่เจอเขาได้แต่ปรายตามองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปยังด้านหลังของเขา

ความสงสัยของเขาผุดขึ้นมา จึงหันกลับไปมองด้านหลังว่ามีอะไรที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้าน

จนมีชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ภรรยาเสี่ยวเจี๋ยน นี่เธอ….ไปโดนอะไรมา?!”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ

แววตาของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกวาดมาที่หลินม่าย กระทั่งตื่นตระหนกจนพูดไม่ออก

ทำไมนังแพศยาคนนี้ถึงมีใบหน้าบวมอืดเหมือนหัวหมูแบบนี้ล่ะ?

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

หล่ออย่างเดียวแต่นิสัยเชี่ยก็ไม่ไหวนะคะ ม่ายจื่อหาพระเอกคนใหม่เถอะ หลัวที่ดีคือหลัวใหม่ค่ะ

รู้จักมารยาของหลินม่ายน้อยไปแล้ววว

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 5 ความลับที่ต้องหารือ

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนใช้ข้ออ้างขอเข้าไปติวบทเรียนให้กับหลินเพ่ย ทั้งสองคนเข้าไปในห้องของหลินเพ่ยด้วยกัน

หลินม่ายลอบเบะปาก อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เรียนหนังสือ จะเอาความรู้อะไรไปติวได้!ก็แค่ข้ออ้างในการมั่วสุมที่ฟังดูขึ้นของทั้งสองคนเท่านั้น

ไม่สิ!น่าจะไม่ใช่การมั่วสุม แต่เป็นการเข้าไปฟ้องที่เธอเอาเรื่องที่หลินเพ่ยแอบอ้างชื่อเสียงของเธอไปเข้าเรียนมาข่มขู่เขาต่างหาก

ทันทีที่ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็บอกหลินเพ่ยทันที ว่าหลินม่ายอยากออกไปสร้างสำมะโนครัวคนเดียว

ถ้าไม่ทำตามที่หล่อนบอก หล่อนจะรายงานเรื่องที่แอบอ้างเอาคะแนนของหล่อนเข้าเรียน

หลินเพ่ยประหลาดใจอย่างมาก “หล่อนอยากสร้างสำมะโนครัวคนเดียวเหรอ? แล้วนายไม่ถามหล่อนเหรอว่าหลังจากที่ออกไปสร้างสำมะโนครัวคนเดียวแล้วหล่อนจะไปที่ไหน?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนส่ายหน้า “ไม่ได้ถาม ถึงถามไปหล่อนก็ไม่บอกฉันหรอก”

นังเด็กสารเลวนั่นชอบอู๋เสี่ยวเจี๋ยนยิ่งกว่าชีวิต ต่อให้มีเงินอยู่แค่สตางค์แดงเดียวก็คงยกให้เขาทั้งหมด ทำไมถึงกล้าขัดคำสั่งเขา? เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพยักหน้าอย่างท้อใจ “หล่อนในตอนนี้เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ฉันควบคุมหล่อนไม่ได้”

เมื่อหลินเพ่ยนึกถึงหลินม่ายที่กลั่นแกล้งตนเมื่อครู่ สีหน้าก็พลันกลุ้มใจ “ทำไมหล่อนถึงได้เปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนคาดเดา “อาจเพราะไปได้ยินข่าวลือในหมู่บ้านของพวกเธอก็ได้  เลยเสียใจที่ยกสินสอดและผ้าเหล่านั้นให้เธอ”

จากนั้นเขาโบกมือไปมา “เธอว่าหลังหล่อนออกจากบ้านสกุลหลินแล้วจะไปอยู่ที่ไหนได้  ไม่ว่าที่ไหน หล่อนก็คงจนตรอก ไม่ใช่ว่าอีกไม่นานก็ซมซานกลับมาวิงวอนให้เราช่วยหล่อนหรอกหรือ?”

มันคือความจริง นังเด็กสารเลวนั่นนอกจากทำไร่ไถนาแล้วก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น งานการไม่ทำเอาแต่ออกเที่ยวเตร่ข้างนอก

ไม่มีเงินจะอยู่ที่ไหนได้ คงต้องเผชิญกับโลกข้างนอกจนพอใจก่อน ถึงจะกลับบ้าน ตอนนั้นก็ค่อยสั่งสอนนังสารเลวนั่นแล้วกัน!

นัยน์ตาของหลินเพ่ยฉายแววชั่วร้ายสว่างวาบหลายสาย และเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดว่า “เอาทะเบียนบ้านให้หล่อนไป แต่ห้ามแบ่งในส่วนของฉันตามที่หล่อนบอกเด็ดขาด นายจดทะเบียนสมรสกับหล่อนไปก่อนแล้วค่อยหย่า ต่อไปถ้าหล่อนจะแต่งงานใหม่ก็คงเป็นได้แค่ผู้หญิงมือสองที่ไร้ราคา ถ้าย้ายสำมะโนครัวของหล่อนออกจากทะเบียนบ้านของเรา ก็แสดงว่าหล่อนยังไม่แต่งงานงั้นสิ? การแต่งงานรอบที่สองจะต่างจากผู้หญิงตลาดยังไง”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเกิดความลังเล “ถ้าหล่อนไม่เอาด้วยจะทำยังไง?”

“นายก็นอนกับหล่อนสิ ให้หล่อนได้ลิ้มรสความหอมหวาน มีหรือที่หล่อนจะไม่ยอม? แม้แต่เสียงโวยวายก็คงไม่เกิดขึ้นอีก”

เมื่อนึกถึงใบหน้าหมองคล้ำหยาบกร้านที่ผ่านการตากแดดจากการทำไร่ไถนาของหลินม่าย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถึงกับขมวดคิ้วกระอักกระอ่วนทันที

แต่เขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของหญิงผู้เป็นที่รัก จึงได้แต่กัดกระสุนตอบรับอย่างจำใจ

หลังจากทั้งสองคนหารือกันเรียบร้อย ก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ดูลนลานของซุนกุ้ยเซียงดังเข้ามาจากข้างนอก “ทะ….ทำไมน้ำมันไช่จื่อไหนี้ถึงได้แตกกระจายเต็มพื้นแบบนี้ล่ะ!”

อุตสาหกรรมของประเทศในสมัยนี้ยังคงหล้าหลังมาก ทำให้ถังพลาสติกสำหรับใส่น้ำมันมีราคาแพงอย่างไม่สมเหตุสมผล ชาวบ้านส่วนมากเอื้อมไม่ถึง จึงมักใช้ไหดินเผาเคลือบ

ครั้งนี้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็ใช้ไหดินเผาเคลือบเช่นกัน

ทันทีที่หลินเพ่ยได้ยิน หล่อนก็หันไปสบตากับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทันที ทั้งสองคนรีบพุ่งตัวเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว

ทุกคนคาดเดาไว้เหมือนกับพวกเขา ไหน้ำมันที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนแบกกลับมาได้แตกกระจายอยู่เต็มพื้น ทั้งยังแตกเป็นเสี่ยง ๆ อีกด้วย

น้ำมันไช่จื่อเปรอะเปื้อนไปทั่วทุกพื้นที่ กลิ่นฉุนที่ตลบอบอวลอยู่ในอากาศทำให้ทุกคนเกิดอาการสำลัก

สีหน้าของหลินเพ่ยดูย่ำแย่ลง ก่อนจะรีบหันไปมองหลินม่ายอย่างรวดเร็ว “ฝีมือของเธอใช่ไหม?”

หลินม่ายมองหล่อนอย่างเย้ยหยัน  “ชอบทำตัวเป็นมิตรนักไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่ทำต่อล่ะ? โชคดีที่ฉันไม่ได้อยู่ในห้องตลอด ไม่อย่างนั้นความหายนะนี้คงตกเป็นของฉันแน่นอนสินะ?”

หลินเพ่ยไม่มีกะจิตกะใจจะทะเลาะกับเธอ หล่อนมองไปยังต้าโก่วและเอ้อโก่วทั้งสองคนของพี่ใหญ่หลินสงด้วยสายตามาดร้าย “เพราะพวกแกซนจนทำให้ไหน้ำมันไช่จื่อตกแตกใช่ไหม?”

ครอบครัวในชนบทสมัยนี้ อย่าว่าแต่น้ำมันไช่จื่อ 5 ชั่งเลย ต่อให้เป็นไหน้ำมันไช่จื่อ 5 เลี่ยงตกแตก ผู้ทำผิดก็ต้องถูกเฆี่ยนตี

ต้าโก่วและเอ้อโก่วเห็นสายตามาดร้ายของหลินเพ่ยก็แหกปากร้องไห้ออกมาทันที “พวกผมไม่ได้ทำไหน้ำมันตกแตก คุณอาอย่าตีเราเลย!”

เมื่อหลินเพ่ยเห็นพวกเขาสองคนไม่ยอมรับ สีหน้าก็ทวีความดุร้าย “ไม่ใช่ฝีมือของพวกแกแล้วจะเป็นใคร? ผู้ใหญ่ชนไหน้ำมันตกแตกเองงั้นสิ!”

หลินม่ายจึงยิ่งปลุกปั่น “พี่เห็นกับตาเหรอคะว่าต้าโก่วกับเอ้อโก่วชนไหน้ำมันตกแตก?  หรือถ้าไม่ใช่พวกพี่แล้วจะเป็นใคร ! มันคงไม่ได้ถูกวางไว้ไม่ดีแล้วตกแตกเองหรอกนะ!”

หลินเพ่ยไม่ชอบต้าโก่วและเอ้อโก่ว แต่เติ้งซิ่วจือแม่ของต้าโก๋วและเอ้อโก๋วหรือพี่สะใภ้นั้นรักลูกชายของตัวเองยิ่งกว่าอะไรดี

ในใจหล่อนไม่พอใจตั้งแต่หลินเพ่ยกล่าวหาลูกทั้งสองคนแล้ว แต่เมื่อคิดได้ว่าลูกทั้งสองคนทำให้ไหน้ำมัน 5 ชั่งตกแตกก็ไม่กล้าระบายความโกรธในใจออกมา ถึงอย่างไรคนผิดก็คือลูกทั้งสองคนของหล่อน

ตอนนี้เมื่อได้ยินคำพูดของหลินม่าย เติ้งซิ่วจือก็ระเบิดอารมณ์ออกมาทันที “หลานทั้งสองคนของเธอเพิ่งจะกี่ขวบเอง จะเคลื่อนไหน้ำมันที่หนัก 5 ชั่งได้เหรอ? เธอแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นฝีมือของพวกเขา?”

ต้าโก่วและเอ้อโก่วเพิ่งจะอายุ 4 ขวบและ 3 ขวบ ถ้าจะเคลื่อนไหน้ำมันที่หนัก 5 ชั่งก็คงจะลำบากน่าดู

หลินม่ายยังปลุกปั่นต่อ  “พี่สาวต้องมั่นใจว่าเป็นต้าโก่วและเอ้อโก่วอยู่แล้วค่ะ เพราะในบ้านมีแค่พวกเขาสองคนที่แย่งอาหารกับหล่อน หล่อนจะชอบพวกเขาได้ยังไง?” 

นัยน์ตาของหลินเพ่ยฉายแววโหดร้ายวาบหนึ่ง แต่กลับหันไปพูดกับหลินเจี้ยนกั๋วด้วยท่าทีน่าสงสาร “พ่อ ฉันก็แค่ถามไปเรื่อย แต่ม่ายจื่อจงใจหาเรื่อง….”

“ถามไปเรื่อยจนทำให้เด็กทั้งสองคนกลัวจนร้องไห้ เหอะ ๆ!” หลินม่ายยิ้มเยาะเย็นชา

“ลูกสาวที่แต่งงานแล้วอย่างแก มีสิทธิ์อะไรมาพูด ไสหัวออกไป!” ซุนกุ้ยเซียงตวาด

หลินม่ายเดินออกไปพลางพูดว่า “ฉันรู้ว่าแม่ต้องเข้าข้างพี่ ในสายตาของแม่ก็มีแต่พี่ที่เป็นลูกรัก แม้แต่ต้าโก่วและเอ้อโก่วก็ยังเทียบไม่ได้ แม่แก่ตัวไปเมื่อไหร่ก็ไม่คาดหวังให้ฉันเลี้ยงดูได้นะ แต่จะไม่คาดหวังพี่ใหญ่พี่สะใภ้และต้าโก๋วเอ้อโก๋วได้เหรอ?”

ซุนกุ้ยเซียงโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม 

เติ้งซิ่วจือกล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ก็สมควรแล้วที่ไหน้ำมันตกแตก !ถึงอย่างไรก็ไม่มีส่วนของลูกชายทั้งสองของฉันอยู่แล้ว!”

พูดจบก็จูงเด็กทั้งสองคนเดินออกจากห้องครัวไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

ตอนเที่ยง ซุนกุ้ยเซียงที่มักจะตระหนี่ถี่เหนียวได้ทำกุยช่ายผัดไข่หนึ่งชามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เต้าหู้ที่เป็นเมนูประจำครอบครัวหนึ่งชามและปลาตุ๋นน้ำแดงหนึ่งชาม ผัดผักสองอย่าง นับว่าเป็นมื้ออาหารที่อุดมสมบูรณ์มากทีเดียว

ระหว่างกินข้าว นางก็วางปลาตุ๋นน้ำแดงชามนั้นไว้ตรงกลางระหว่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ย

โดยไม่ลืมที่จะอธิบายให้เติ้งซิ่วจือสั้น ๆ ว่า “ต้าโก่วและเอ้อโก่วยังเด็กเกินไป กินปลาไม่ได้ เลยไม่ได้วางปลาไว้ตรงหน้าของพวกเขาน่ะ”

เติ้งซิ่วจือมีสีหน้าเคร่งขรึมลง

ปลาตัวนี้เป็นปลาที่หล่อนจับได้เมื่อเช้านี้ แต่ตอนนี้ลูกชายทั้งสองคนของหล่อนกลับไม่มีสิทธิ์ได้กิน แถมยังโดนแม่สามีพูดจาเสียดสีอีกด้วย

เด็กกินปลาไม่ได้เหรอ?

เด็กสองขวบในหมู่บ้านต่างก็กินปลาได้ทั้งนั้น!

แค่กินปลากลับบอกว่าลูกทั้งสองคนของหล่อนยังเด็ก แล้วทำไมตอนที่ทำไหน้ำมันตกแตกเมื่อครู่ถึงไม่บอกว่าลูกทั้งสองคนของหล่อนยังเด็กบ้างล่ะ?

เติ้งซิ่วจือโกรธฉุนเฉียวจนต้องยกจานกุยช่ายผัดไข่และเต้าหู้ชามนั้นมาวางตรงหน้าลูกทั้งสองคนของตัวเอง “ให้กินปลาคงกลัวว่าก้างจะติดคอต้าโก่วและเอ้อโก่ว งั้นกินไข่กับเต้าหู้คงไม่มีปัญหานะคะ”

ซุนกุ้ยเซียงอยากจะพูดบางอย่าง แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้ ไม่พูดอะไรออกมา

หลินม่ายกินพลางลอบสังเกตท่าทางของทุกคนในสกุลหลิน

เมื่อเห็นความเงียบที่คุกกรุ่นท่ามกลางพวกเขา เธอก็ยิ่งพอใจ เมื่อครู่ตัวเองวางกับดักใส่เติ้งซิ่วจือได้สำเร็จแล้ว

เธอชอบให้ทุกคนแตกแยก แล้วก็ตีตัวออกหาก  เพราะการเหม็นขี้หน้ากัน จะทำเกิดการทะเลาะกันในทุกวัน 

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

หารือความลับเรื่องอะไรกันหญิงชั่วชายเลวคู่นี้ ม่ายจื่อตอนนี้ไม่ใช่คนเดิมแล้วน้า

ปั่นเข้าไปให้หนัก ๆ เลยค่ะม่ายจื่อ ให้ทุกคนกระอักเลือดตายเวลาเธอได้ดีกันให้หมดทั้งบ้านเลย

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 4 น้ำมันไช่จื่อหนึ่งไห

พริบตาเดียวก็เข้าสู่วันที่สามที่ต้องกลับบ้านเกิด เช้าตรู่วันนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมีปากเสียงกับสองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ย เพราะต้องการขนน้ำมันไช่จื่อ(1)หนัก 10 ชั่งกลับบ้านเกิดของหลินม่าย

สองสามีภรรยาอู๋จินกุ้ยเข้าใจดีว่าลูกชายคนโตตั้งใจขนน้ำมันไช่จื่อไปให้หลินเพ่ย ด้วยเหตุนี้จึงค้านหัวชนฝาไม่ยอมยกให้

แต่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับลากสองสามีภรรยาไปคุยบางอย่างกันในห้อง เมื่อออกมาอีกครั้ง พวกเขาก็ยกน้ำมันหนัก 5 ชั่งให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไป

ต่อให้หลินม่ายใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังเดาเนื้อหาที่ทั้งสามคนคุยกันได้

นี่คงไม่ใช่คำสัญญาที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมีต่อพ่อแม่ของเขา ว่าเมื่อหลินเพ่ยเรียนจบ มีงานทำ จะได้แต่งงานกับเขาหรอกใช่ไหม

แต่พ่อแม่ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนนั้นโง่เขลา จึงถูกเขาหลอก

ตอนนี้หลินเพ่ยไม่ยอมแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ถ้ามีงานทำในอนาคตจะแต่งงานกับเขาอย่างนั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ!

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่หลินม่ายต้องสนใจ ประเด็นสำคัญที่เธอต้องสนใจคือ วันนี้เธอจะยืมมืออู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปขอทะเบียนบ้านจากสกุลหลินได้หรือไม่ แล้วค่อยคิดหาวิธีแบ่งที่ดินกัน ตัวเองจะได้เป็นอิสระเสียที

รอให้เป้าหมายนี้ลุล่วงก็ค่อยออกจากบ้านสกุลอู๋ แล้วโบยบินดั่งนกบนท้องนภาแหวกว่ายดั่งปลาในมหาสมุทรกว้างใหญ่ ตัดขาดจากคนเลวทรามเหล่านี้ แล้วไปใช้ชีวิตของตัวเองอย่างมีความสุข

ไม่อย่างนั้นในสองวันนี้เธอจะทนอยู่ในบ้านสกุลอู๋อย่างไม่เป็นธรรมไปทำไม?

เพราะเธอรู้ดีว่าการที่ตัวเองออกจากบ้านสกุลอู๋ แล้วกลับไปเอาทะเบียนบ้านจากสกุลหลิน ไม่เพียงแต่ไม่มีใครให้เธอแล้ว ยังทำร้ายเธออีกด้วย

สกุลหลินและสกุลอู๋ล้วนเหมือนกัน คือไร้มโนธรรมสำนึก

ส่วนเธอยังไม่สามารถหยิบยกเรื่องที่หลินเพ่ยเข้าเรียนแทนเธอมาข่มขู่พ่อหลินและคนอื่นได้ พวกเขายอมให้หลินเพ่ยไม่ได้เข้าเรียนดีกว่าให้เธอมาข่มขู่เสียอีก

การใช้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปเอาทะเบียนบ้านย่อมสำเร็จตามเป้าหมายง่ายยิ่งกว่า

หลังออกจากหมู่บ้าน หลินม่ายก็ได้แบไพ่ที่มีอยู่ในมือกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน “ฉันรู้ว่าคนที่นายชอบไม่ใช่ฉัน แต่เป็นหลินเพ่ย ฉันไม่อยากถือไพ่เหนือกว่า เมื่อถึงบ้านเกิดของฉัน ให้นายบอกกับพ่อแม่ฉันว่า อยากได้ทะเบียนบ้านไปประกอบการจดทะเบียน….”

ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ก็ถูกอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตัดบทด้วยรอยยิ้มลำพองใจ “ไหนบอกว่าไม่สนใจความรักของฉันไง นี่คงไม่ได้จะเปิดโฉมหน้าที่แท้จริงหรอกนะ!”

หลินม่ายหลุดหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “นายไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูคุณธรรมของตัวเองบ้างเลยนะ ใครจะอยากแต่งงานกับนายจริง ๆ !นี่เป็นแค่ข้ออ้างในการขอทะเบียนบ้านเท่านั้น รอให้ได้ทะเบียนบ้านมาก่อน นายก็แก้ไขอายุฉันให้ดูโตกว่าหนึ่งปี แล้วค่อยแยกฉันออกจาบ้านสกุลหลิน!”

ตามกฎหมายแล้วมีเพียงคนที่อายุ 18 ปีขึ้นไปถึงจะสามารถสร้างสำมะโนครัวคนเดียวได้ แต่เธอเพิ่งจะอายุ 17 ปี

ดังนั้นถ้าอยากขึ้นสำมะโนครัวเพียงคนเดียว ต้องยืมมือของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน คนที่เขารู้จัก มีวิธีแก้ไขอายุได้

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนมองเธออย่างระแวดระวัง “เธออยากหลุดพ้นจากสกุลหลินและสกุลอู๋ แล้วออกไปทำมาหากินเพียงลำพังเหรอ?”

หลินม่ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แล้วยังไงล่ะ?”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตอบปฏิเสธกลับไป “ฉันไม่รับปาก!”

เพ่ยเพ่ยสุดที่รักของเขาเคยพูดกับเขาไว้ ว่าต้องการให้หญิงสารเลวคนนี้ทำงานเป็นวัวเป็นควายเพื่อพวกเขาไปตลอดชีวิต ทำไมเขาต้องปล่อยเธอโบยบินออกไปไกลเล่า!

หลินม่ายยิ้มเยาะเย็นชา “ไม่รับปากเหรอ งั้นฉันจะไปฟ้องแก้วตาดวงใจของนายเดี๋ยวนี้!”

“เธอ!” อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถลึงตาใส่เธออย่างโหดเหี้ยม กระทั้งอยากจะบีบคอฆ่าเธอให้ตายเสียตรงนั้น

ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็สงบจิตใจของตัวเองได้ จึงพยายามต่อรอง “ฉันช่วยเธอแยกออกจากสกุลหลินได้ แต่มีเงื่อนไข เธอจะไม่เปิดเผยความจริงที่ว่าพี่สาวของเธอปลอมตัวมาแทนที่เธอไม่ได้ไปตลอดชีวิต”

หลินม่ายตอบรับอย่างตรงไปตรงมา

กับคนเลวทรามเธอไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด จะตอบรับหรือไม่ก็ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อสิ่งที่เธอจะทำในภายภาคหน้า

ทั้งสองคนเดินลัดเลาะผ่านภูเขาใหญ่หลายลูกโดยไม่พูดสิ่งใด กระทั่งมาถึงหมู่บ้านหวังเจียด้วยอาการเหนื่อยหอบในช่วงบ่าย

หมู่บ้านหวังเจียแห่งนี้มีสกุลหวังอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากตามชื่อหมู่บ้าน สกุลหลินเป็นตระกูลที่เข้ามาปะปนอยู่ในหมู่บ้าน

เพราะหมู่บ้านหวังเจียตั้งรกรากอยู่บนภูเขาใหญ่ ทำนาน้อย ประกอบกับเดินทางไม่สะดวก จึงค่อนข้างยากจนกว่าหมู่บ้านอู๋เจีย 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลหลินที่ยากจนยิ่งกว่า 

ประเด็นคือสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วไม่ใช่ชาวบ้านในท้องที่ พวกเขาเป็นครอบครัวที่ย้ายจากในเมืองเข้ามาในหมู่บ้านเมื่อ 17 ปีก่อน

สองสามีภรรยาไม่ทำไร่ทำนา ถ้าที่บ้านไม่ยากจนคงจะแปลกน่าดู

เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนนึกขึ้นได้ก็รีบมองหาหลินเพ่ยสุดที่รักทันที เดิมทีหมดแรงจากการเดินขึ้นภูเขาอยู่แล้ว เวลานี้กลับฮึกเหิมดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับแสงสายัณห์ยามตะวันรอน

ยังไม่ทันเข้าบ้านก็ร้องเรียกด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อยว่า “คุณพ่อ คุณแม่!”

หลินเจี้ยนกั๋วและซุนกุ้ยเซียงรีบออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นไหน้ำมันไช่จื่อที่เขาถือยู่ในมือ ก็ฉีกยิ้มกว้างจนเกือบจะถึงใบหู

“เพ่ยเพ่ยกำลังอยากกินข้าวคลุกน้ำมันและเกลือ แกก็หิ้วน้ำมันมาพอดี พรุ่งนี้หล่อนต้องไปโรงเรียน ฉันว่าจะผัดข้าวใส่น้ำมันและเกลือชามใหญ่ให้หล่อนเป็นอาหารเช้า”

ทุกคนในสกุลหลินต่างรู้ว่าคนที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชื่นชอบคือหลินเพ่ย ถ้าอยากได้ประโยชน์จากสกุลอู๋ แค่ใช้ชื่อของหลินเพ่ยมาแอบอ้างก็พอ

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณแม่ผัดข้าวคลุกน้ำมันและเกลือให้เพ่ยเพ่ยได้เลย ถ้าน้ำมันหมดก็ให้บอกผม ผมจะเอาจากที่บ้านมาให้”

หลินเพ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เสี่ยวเจี๋ยน มีน้ำมันทั้งทีก็เก็บไว้ผัดข้าวคลุกน้ำมันและเกลือให้ม่ายจื่อบ้างเถอะค่ะ ม่ายจื่อร่างกายอ่อนแอ ต้องกินของดี”

ข้าวคลุกน้ำมันและเกลือที่เรียกกันคือข้าวผัดที่ผัดกับน้ำมันและเกลือ

ยุคนี้ไข่ไก่มีราคาค่อนข้างสูง ต้องแลกเปลี่ยนด้วยค่าเงิน จึงไม่ค่อยนำไข่ไปผัดกับข้าว แม้แต่ข้าวคลุกน้ำมันและเกลือก็ยังมีคนในหมู่บ้านอีกไม่น้อยที่ไม่สามารถกินได้ทุกมื้อ เพราะน้ำมันก็แพงเช่นกัน

หลินม่ายจึงโต้กลับไปอย่างไม่พอใจ “พี่เจอใครก็มักบอกว่าฉันร่างกายอ่อนแอต้องกินของดี แต่ของดีในบ้านล้วนเข้าปากพี่หมดแล้วไม่ใช่รึไง ช่วยพูดให้น่าฟังกว่าร้องเพลงหน่อยนะ !”

หลินเพ่ยนังดอกบัวขาวคนนี้มักชอบใช้ลูกเล่นนี้ที่สุด หล่อนจะพูดแบบนี้ต่อหน้าคนนอกเสมอ ทำให้พวกชาวบ้านต่างคิดว่าหลินม่ายมีร่างกายอ่อนแอเลยได้กินของดีจากที่บ้าน

หลินเจี้ยนกั๋วตวาดใส่หลินม่ายด้วยความโกรธเคือง “เด็กคนนี้ทำไมถึงได้มีนิสัยแบบนี้ พี่สาวของแกเป็นห่วงแกมันผิดมากนะเหรอ?”

หลินม่ายพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฉันเข้าใจแล้ว ความเป็นห่วงมันก็แค่คำพูด ไว้พ่อกับแม่แก่ตัวลง ฉันก็คงพูดว่าเป็นห่วงเหมือนกัน” 

ซุนกุ้ยเซียงตีสีหน้าขึงขัง “พูดเหมือนกับว่าตอนแก่เราต้องพึ่งแกเลี้ยงดูอย่างนั้นแหละ!”

หลินม่ายยิ้มเยาะอย่างเย็นชา “ถือว่าไม่นับสิ่งที่พวกท่านพูดแล้วกันค่ะ!”

เมื่อนึกถึงภาพตัวเองเหมือนคนโง่ในอดีตชาติที่ต้องดูแลสองสามีภรรยาซุนกุ้ยเซียงยามแก่เฒ่า ช่วยเลี้ยงดูหลานทั้งสองคนของพวกเขา เธอก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะตบบ้องหูของทั้งสองข้างของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด!

เมื่อเห็นว่าจะมีปากเสียงกัน หลินเพ่ยจึงรีบพูดกับสองสามีภรรยาหลินเจี้ยนกั๋วทันทีว่า “พ่อ แม่  พวกท่านหยุดพูดได้แล้ว วันนี้ควรเป็นวันเฉลิมฉลองที่ม่ายจื่อกลับบ้าน อย่าทำเหมือนกับว่าวันแต่งงานของน้องสาวเป็นวันที่หล่อนไม่มีความสุขสิคะ”

คำพูดของหล่อนทำให้ซุนกุ้ยเซียงนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ลูกสาวคนโตต้องกระเสือกกระสนออกจากบ้านสกุลหลินมาฟ้องเธอ

นางคว้าไม้กวาดแล้วหวดใส่หลินม่าย “นังเด็กสารเลว วันที่แกแต่งงาน พี่สาวของแกตั้งใจไปปลอบใจแก แต่กลับพูดจาทำร้ายจิตใจหล่อน แม่จะสั่งสอนแกเดี๋ยวนี้เลยคอยดู!”

หลินม่ายหลบเลี่ยงไปด้านข้างอย่างว่องไว “พี่บอกอะไรแม่ก็เชื่อเหรอคะ? วันนั้นหล่อนไม่ได้ปลอบใจฉัน !แต่มาเอาเงินจากฉันต่างหาก ฉันมีเงินติดตัวเพียงสี่เหมา ซึ่งนั้นคือเงินทั้งหมดของฉัน หล่อนไม่พอใจมาก เลยด่าทอแล้วเดินออกไป”

หลินเพ่ยตะโกนด้วยความไม่เป็นธรรม “น้องใส่ร้ายฉัน แม่อย่าไปเชื่อหล่อนนะคะ!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกำลังจะพูดช่วยหล่อน แต่กลับเห็นหลินม่ายหันมามองเขาด้วยสายตาแอบแฝงเป็นนัย จึงอดตื่นตกใจไม่ได้

จากนั้นก็รีบเข้าไปลากตัวของซุนกุ้ยเซียง แล้วพูดแก้ต่างว่า “คุณแม่ เห็นแก่หน้าผมเถิด อย่าทำเหมือนเข้าใจม่ายจื่อดีกว่าเลยครับ?”

เมื่อนซุนกุ้ยเซียงเห็นว่ามีพวกชาวบ้านมาชะเง้อแลมองอยู่หน้าประตู จึงต้องจำใจทิ้งไม้กวาดอย่างไม่สบอารมณ์

เดิมทีพวกชาวบ้านต่างก็ซุบซิบนินทาลับหลังว่าสองสามีภรรยาปฏิบัติกับหลินม่ายอย่างโหดร้ายอยู่แล้ว ถ้ายังเห็นพวกเขาเฆี่ยนตีม่ายจื่อตั้งแต่กลับมาอีก ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเอาไปพูดอะไรกันบ้าง!

………………………………………………………………………………………………………………………..

น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันเรพซีด สกัดได้จากเมล็ดของต้นเรพหรือผักกาดดอกเหลืองที่จะบานเป็นทุ่งกว้างสีเหลืองสดในฤดูใบไม้ผลิ

สารจากผู้แปล

บ้านสามีว่าเลวแล้ว บ้านแม่ตัวเองก็เลวอีก เททิ้งให้หมดเลยค่ะม่ายจื่อ เมื่อไหร่ที่ม่ายจื่อได้ดีแล้วอย่าคลานเข่ามาอ้อนวอนขอความกตัญญูให้เลี้ยงดูทีหลังนะ ชิ

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 3  สู่ขอบรรพบุรุษกลับมา

หลินม่ายไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย เธอกลับมาที่บ้านใหม่อย่างสบายใจ

แม้จะเป็นคืนวันแต่งงาน แต่เธอรู้ดีว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะไม่มีวันทำอะไรเธอ

ไม่ใช่เพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษแต่อย่างใด เป็นเพราะเขาต้องรักษาความบริสุทธิ์ดุจดั่งหยกเพื่อหลินเพ่ย อีกอย่างหลินเพ่ยก็ไม่อนุญาตให้เขาทำแบบนี้ด้วย ดังนั้นหลินม่ายจึงได้สบายใจขนาดนี้

หลังจากที่หลินม่ายย่างเท้าเดินเข้าไปในบ้านใหม่ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เดินตามเข้ามา

ทันทีที่เข้ามาก็ทำการปิดประตู ก่อนจะจ้องเขม็งมายังหลินม่ายด้วยความโกรธอย่างไม่ปิดบังท่ามกลางความมืด

นัยน์ตาคู่นั้นได้กวาดตามองไปยังแสงจันทร์นอกหน้าต่างแวบหนึ่ง แววตาฉายความโหดเหี้ยมเหมือนดวงตาของหมาป่าชั่วร้าย

ครั้นเห็นหลินม่ายเตรียมตัวเข้านอน เขาก็พลันโกรธฉุนเฉียว กระชากตัวเธอลงจากเตียง แล้วตวาดด้วยความเกรี้ยวกราด 

“เธอยังจะหลับลงอีกเหรอ? พี่สาวของเธอแสนดีกับเธอขนาดนั้นกล้าหลอกหล่อนได้ เธอยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?”

หลินม่ายถูกเขาฉุดกระชากลากถูอย่างไม่มีเหตุผลจนเกือบล้มไปกองกับพื้น

เธอเกาะผนังที่เปื้อนไปด้วยคราบสกปรกให้ยืนอย่างมั่นคง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หล่อนดีกับฉันยังไงไม่ทราบ นายพูดให้ฉันฟังหน่อยสิ!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอ้าปากค้าง ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าหลินเพ่ยแสนดีกับหลินม่ายอย่างไร

ความดีที่หล่อนมีต่อผู้อื่นล้วนแต่มาจากคำบอกเล่าเท่านั้น ไม่เคยมีการปฏิบัติให้เห็นเป็นกิจจะลักษณะ

หลังจากอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยู่ครึ่งวัน ก็ได้พูดว่า “หล่อนไม่ได้โหดเหี้ยมเหมือนกับเธอ ที่แทงข้างหลัง!”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า “ที่แท้การเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงต่อสาธารณะนั้นเรียกว่าการแทงข้างหลัง แต่การให้น้องสาวเอาคะแนนสอบไปให้หล่อนเรียกว่าทำดีกับน้องสาว ใช้การแต่งงานของน้องสาวมาแลกกับเงินค่าเล่าเรียนและเงินใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งเสื้อผ้าสวยๆ เหล่านั้นเรียกว่าการทำดีกับน้องสาว ทั้งยังแอบวิ่งมาบอกกับแม่ของนายคืนก่อนแต่งงานว่าฉันเป็นผู้ป่วยกระเสาะกระแสะ แบบนี้ไม่เรียกว่าแทงข้างหลังหรอกเหรอ”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโต้แย้งกลับไปอย่างไร้เหตุผล “พี่สาวของเธอไม่เคยทำไร่ทำนามาก่อน ก็ควรให้โอกาสในการเข้ามหาวิทยาลัยกับหล่อนถึงจะเหมาะสมที่สุด เธอแต่งงานกับฉันแล้ว จะต้องอยู่อย่างหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินไปตลอดชีวิต จะเอาสินสอดและผ้าเหล่านั้นไปทำไม? เธอเหมาะสมงั้นเหรอ? แล้วการที่พี่สาวของเธอย่องมาบอกกับแม่ว่าเธอเป็นผู้ป่วยร่างกายอ่อนแอมันสร้างผลกระทบต่อเธอมากขนาดนั้นเชียวเหรอ เธอคิดจะจับจุดอ่อนของหล่อนงั้นสิ!”

หลินม่ายหัวเราะเยาะเบา ๆ “เก่งนี่ ไม่ว่าหลินเพ่ยสุดที่รักของนายจะทำอะไรก็ดูสมเหตุสมผลไปเสียทุกอย่าง แต่ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกกล่าวหาว่าโหดเหี้ยม! งั้นฉันจะโหดเหี้ยมให้นายเห็นเอง! ดังนั้นนายต้องตรงไปตรงมา ห้ามยั่วโมโหฉันเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะวิ่งไปบอกอาจารย์ของหล่อนที่โรงเรียน ว่าหล่อนเอาชื่อและคะแนนของฉันไปแอบอ้าง!”

“เธอ!” อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธจนอยากจะบีบคอเธอให้ตายเสีย

หลินม่ายเชิดหน้าขึ้น “ส่วนนาย? นับตั้งแต่คืนนี้ไปนายต้องนอนบนพื้น ไม่อย่างนั้นจงรับผลที่ตามมา!” 

พูดจบก็ขึ้นเตียงนอน

ในชาติที่แล้วเธอกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นสามีภรรยากัน และต้องทนนอนพื้นมาห้าปีเต็ม

กระทั่งเธอเปิดกิจการเล็ก ๆ ในเมืองจนหาเงินได้ จึงได้มีเงินทุนไปซื้อเตียงสนามมาเพิ่มอีกหนึ่งเตียง 

ไม่ใช่เพราะอู่เสี่ยวเจี๋ยนใจดีอะไรหรอก แต่ต้องการเกาะเธอเพื่อหารายได้มาช่วยปรนเปรอเสื้อผ้าเครื่องประดับของหลินเพ่ย ให้มีชีวิตเหมือนกับดาราสาวผู้โด่งดัง จะสร้างผลกระทบต่อรูปร่างหน้าตาของหล่อนไม่ได้

แต่โลกใบนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว อู่เสี่ยวเจี๋ยนก็ต้องนอนบนพื้น

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจ้องเขม็งมาทางเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธอยู่เนิ่นนาน กระทั่งกัดฟันแล้วพูดว่า “จิตใจของเธอนับวันยิ่งร้ายกาจทุกวัน ฉันไม่มีวันรักเธอแน่นอน!”

ถ้าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนพูดแบบนี้ในอดีต เธอจะต้องตื่นตระหนก

เพราะเธอรักอู๋เสี่ยวเจี๋ยนจนโงหัวไม่ขึ้น จึงยอมเชื่อฟังเขาไปเสียทุกอย่าง ยอมยกสินสอดของตัวเองให้หลินเพ่ย เพียงเพื่อให้เขาหันมามองตัวเองบ้าง

ยอมเป็นเครื่องมือหาเงินทั้งชีวิต เพื่อให้เขารู้สึกดีกับตัวเอง

เธอในตอนนั้นมีแค่ความคิดนี้ ถ้าเขาไม่สามารถรักเธอได้ตลอดชีวิตนี้ ชีวิตของเธอจะมีความหมายอะไร?

แต่เธอไม่ใช่เธอในอดีตอีกแล้ว เธอในตอนนี้เห็นความชั่วร้ายของเขาจนหมดสิ้น ทำไมจะต้องสนใจความรู้สึกที่เขามีต่อเธอด้วย!

ตอนนี้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับเอาความรู้สึกนั้นมาขู่เธอ ช่างน่าขันสิ้นดี

หลินม่ายพ่นประโยคหนึ่งออกมาท่ามกลางความมืด “ไม่สนหรอก!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอึ้งงันไป เธอต้องร้องไห้คร่ำครวญเพราะเขาไม่ต้องการเธอไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงพูดกับเขาว่า ‘ไม่สน’ ?

คาดไม่ถึงว่าหญิงโง่คนนี้จะหลอกให้ตายใจ เขายิ้มเยาะอย่างเย็นชา “เราจะคอยดู ดูว่าเธอไม่สนหรือปากแข็งกันแน่!”

หลินม่ายยังมิวายพ่นออกไป “แม้แต่ความสามารถนายก็ยังไม่มี กล้าดียังไงถึงคิดว่าฉันสนใจ!”

ไม่เพียงแต่ไม่สนใจแล้ว เธอยังเตะเขาทิ้งท้ายหนึ่งทีอีกด้วย!

ต้องอยู่กับเขาตลอดชีวิตงั้นเหรอ? เป็นเครื่องมือหาเงินให้เขาและพี่สาวชั่ว? ในโลกใบนี้ พวกเขาอย่าได้แม้แต่จะคิด!

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกรธจนลมออกหู

วันที่สองหลังแต่งงาน หลินม่ายต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงด่าทอด้วยความโกรธเคืองของเหยาชุ่ยฮวา

เธอขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งบนเตียง จากนั้นก็พูดกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่นอนอยู่ยบนพื้นว่า “เช้าวันนี้ฉันอยากกินไข่ตุ๋น ถ้าไม่มีไข่ตุ๋นก็รับผลที่ตามมาได้เลย”

ชาติที่แล้วเธอต้องออกไปทำงานในเมืองตั้งแต่อายุ 20 ปี ไม่มีปีไหนเลยที่จะได้ใช้ชีวิตกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างมีความสุข 

ตอนนี้เธอกลับมาเกิดใหม่ ได้อยู่ในบ้านของพวกเขาอีกครั้ง ไม่ว่าเธอจะอยากกินอะไร สวมเสื้อผ้าแบบไหน มันคือสิ่งที่เธอต้องทุ่มเทเมื่อครั้งในอดีต และเธอก็ต้องการเอาสิ่งเหล่านั้นกลับคืนมา ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องพวกนี้

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถลึงตาใส่เธอด้วยความโกรธอยู่เนิ่นนาน แต่กลับต้องทำตาม เพราะอนาคตของหลินเพ่ยสำคัญกว่า

เช้าตรู่ หลินม่ายต้องอยู่ท่ามกลางเสียงก่นด่าของเหยาชุ่ยฮวา ต้องกินไข่ตุ๋นและข้าวหนึ่งชามกับถั่วฝักยาวดองท่ามกลางสายตาโกรธเคืองของทุกคน

หมู่บ้านในตอนนี้ไม่นิยมกินบะหมี่ในตอนเช้า มื้อเช้าจะเป็นข้าวต้มเสียส่วนใหญ่

ครั้นกินเสร็จเธอก็วางตะเกียบ ไม่ล้างชาม ก่อนเดินตรงกลับห้องไป

เหยาชุ่ยฮวาโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ “หล่อนแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ สะใภ้ที่แต่งเข้ามาต้องทำทุกอย่าง เราสู่ขอสะใภ้ หรือสู่ขอบรรพบุรุษกันแน่!”

อู๋จินกุ้ยทนหลินม่ายไม่ไหวอีกต่อไป

ไม่รู้ว่านังหญิงสารเลวคนนี้จะควบคุมลูกชายของเขาได้ยังไง 

เพื่อเธอแล้วเขาต้องยอมทะเลาะกับแม่ตัวเองตั้งแต่เช้าตรู่ บังคับให้แม่ของเขาตุ๋นไข่ให้นังสารเลวนั้นกิน กินเสร็จก็สะบัดตูดหนีไม่ทำอะไร!

เขาตบโต๊ะอย่างแรง แล้ววิ่งไปยังหน้าประตูห้อง ก่อนจะหยิบเอามาดของเจ้าบ้านออกมาพูดกับหลินม่ายว่า “ถ้าเธอไม่ล้างจาน ฉันจะให้เสี่ยวเจี๋ยนจัดการเธอ!”

หลินม่ายหลุดหัวเราะ “คุณพ่อว่าลูกชายของคุณพ่อจะทุบฉันได้เหรอ ลูกชายของคุณพ่อยอมจัดการสองสามีภรรยาอย่างพวกคุณดีกว่าจัดการฉันอีกค่ะ!”

ประโยคนี้เธอไม่ได้พูดเหลวไหล

ในอดีตหลินเพ่ยอยากเลื่อนตำแหน่ง เจ้านายจึงบอกเป็นนัย ๆ ให้หล่อนเอาตัวเข้าแลกโดยไม่มีการผูกพัน

แต่หล่อนไม่ชอบตาแก่หัวล้านมีอายุ หล่อนจึงไม่ยอม เลยให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนวางยาอู๋เสี่ยวเถาผู้เป็นน้องสาว จากนั้นก็พาตัวอู๋เสี่ยวเถาไปนอนบนเตียงเจ้านายของหล่อน ถึงจะสามารถเลื่อนขั้นได้

ผู้ชายคนนั้นค่อนข้างวิปริตในเรื่องบนเตียง อู๋เสี่ยวเถาต้องได้รับความอัปยศ จึงร้องไห้คร่ำครวญมาบอกพ่ออู๋และแม่อู๋

พ่ออู๋และแม่อู๋โกรธจัดและวิ่งไปคิดบัญชีกับหลินเพ่ย แต่กลับถูกลูกชายคนโตของตัวเองตบหน้าจนบวมแดง

สองสามีภรรยาอู่จินกุ้ยเห็นหลินม่ายมั่นใจ จึงเข้าไปถามอู๋เสี่ยวเจี๋ยนด้วยความไม่สบายใจ “ลูกยอมจัดการพ่อแม่ดีกว่าจัดการหล่อนจริง ๆ เหรอ?”

หลินม่ายพูดเสริมว่า “เพื่อหลินเพ่ยแล้วเขาจะไม่มีวันสั่งสอนฉัน ดังนั้นเขาจึงกล้าสั่งสอนพวกคุณก็เพื่อหล่อน พวกคุณอย่าเกลียดผิดคนละ”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชำเลืองมองเธอด้วยความโกรธแค้นแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดกับพ่อแม่ของเขาด้วยสีหน้านิ่งเฉย “หยุดทะเลาะกันได้แล้ว ผมเก็บจานไปล้างเอง!”

พฤติกรรมของเขาเป็นข้อพิสูจน์คำพูดของหลินม่ายได้ดี เหยาชุ่ยฮวาเห็นแล้วก็โกรธกระฟัดกระเฟียด 

นางคิดแผนการร้อยแปดพันเก้ามาจัดการหลินม่ายไว้แล้ว ประกอบกับความชิงชังที่ถูกสกุลหลินสูบเอาสินสอดไปมากมาย

แต่ตอนนี้ยังใช้ไม่ได้สักแผนการเดียว แถมลูกชายคนโตก็ยังมาทำให้นางโกรธอีก

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

คิดจะกดขี่ข่มเหงภรรยาเวอร์ชันนี้เหรอ ฝันไปเถอะสามีกะหลั่วเอ๊ย อย่ามาหอนมาโบ้ทีหลังแล้วกัน

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 2 เพิ่งจะแต่งงานก็ตบตีกันแล้ว

เหยาชุ่ยฮวาถึงกับลนลาน

แม้จะบอกว่าหลินม่ายไม่มีสินเดิมของฝ่ายหญิงมาแลกเปลี่ยน แต่อาหารมื้อแรกของลูกสะใภ้ในบ้านหลังนี้คือมันเทศและผัดใบมันเทศ พวกชาวบ้านจะต้องเอาไปนินทาลับหลังในความร้ายกาจของนางแน่นอน

ลูกชายคนเล็กของนางอายุ 16 ปีแล้ว อีกไม่กี่ปีก็ต้องแต่งงาน ถ้าตระกูลของนางมีชื่อเสียงด่างพร้อย ตระกูลไหนจะยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับลูกชายคนเล็กของนางกันล่ะ!

เหยาชุ่ยฮวาโมโหฉุนเฉียวจนต้องตวาดใส่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนว่า “ยังไม่รีบไปลากนังตัวซวยที่แกอยากจะแต่งงานด้วยกลับมาอีกเหรอ!”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเขวี้ยงตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “นังสารเลว เพิ่งจะแต่งงานเข้ามาก็วอนโดนสั่งสอนเสียแล้วสินะ!”

เขาพูดพลางลุกขึ้นไปจับตัวหลินม่ายไว้

หลินม่ายกระโดดออกจากลานบ้านของเขา ก่อนจะร้องคร่ำครวญเสียงดัง “มีคนทำร้าย !มีคนทำร้าย!”

มณฑลหูในช่วงเดือนสิบมีอากาศไม่หนาวนัก ช่วงกลางวันจึงค่อนข้างร้อนอบอ้าวเล็กน้อย

ประกอบกับอยู่ในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาล พวกชาวบ้านจึงค่อนข้างว่างงาน พากันมาจับเข่าคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ใต้ต้นพุทธา

เสียงร้องคร่ำครวญของหลินม่ายดึงดูดสายตาของชาวบ้านไม่น้อย ทุกคนต่างซุบซิบนินทาแล้วมองมาทางหลินม่าย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนวิ่งไล่ตามออกมาจากในบ้าน ก่อนจะง้างกำปั้น เตรียมจะซัดใส่เธอ

แต่แล้วก็มีอาวุโสผู้หนึ่งตะโกนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เสี่ยวเจี๋ยน ทำไมแกถึงทำร้ายสะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้าบ้านแบบนี้!”

แม้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก็ทำได้แค่วางกำปั้นที่ง้างสูงนั้นลง

ไม่นานก็มีอาสะใภ้สองคนเดินเข้าไปไถ่ถามหลินม่าย “เกิดอะไรขึ้น เพิ่งแต่งงานกันทำไมถึงต้องตบตีเธอแบบนี้?”

แม้ว่าในยุค 80  การตบตีผู้หญิงในชนบทจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่การถูกตบตีตั้งแต่วันแรกของวันแต่งงานกลับมีน้อยมาก

หลินม่ายยื่นชามข้าวของตัวเองไปตรงหน้าอาสะใภ้ทั้งสองคน แล้วสะอื้นไห้ “ฉันเห็นว่าอาหารที่พ่อแม่สามีกินไม่เหมือนกับของฉัน ทุกคนต่างได้กินข้าวและไข่ต้ม ส่วนฉันได้กินแค่มันเทศและผัดใบมันเทศเพียงคนเดียว แค่พูดว่าฉันก็อยากกินข้าวเหมือนกับคนอื่น แม่สามีก็เริ่มด่าทอฉัน บอกว่าครอบครัวฉันรับสินสอดของพวกเขาไปตั้งมากมาย แต่พวกเขากลับไม่ได้เงินสินเดิมจากเราสักแดงเดียว ยังริอาจอยากกินข้าวและไข่ต้มอีก จากนั้นเสี่ยวเจี๋ยนก็ตบตีฉัน”

พูดจบเธอก็ปล่อยโฮ ฮือ ๆ ออกมาด้วยความเจ็บปวด

อาสะใภ้ใหญ่สองคนนั้นและชาวบ้านที่พากันมามุงดูกลับไม่ได้ช่วยเธอพูดแต่อย่างใด

ตรงกันข้ามกลับตำหนิที่ครอบครัวของเธอเรียกสินสอดสูงเกินไปและไม่มีเงินสินเดิมไปให้พวกเขา พ่อแม่สามีรู้สึกไม่ยุติธรรมจะด่าทอเธอก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งยังโน้มน้าวให้เธอข่มความโกรธนี้ไว้

คนชนบทในยุคนี้น้อยคนนักจะมีคนยกสินสอดทองหมั้นมาสู่ขอฝ่ายหญิง ต่อให้มี แต่ก็ไม่เกินสองสามหยวน

โดยทั่วไปจะเรียกแค่ข้าวหนึ่งถุงใหญ่และผ้าที่ถักทอเองเพียงสองผืนเท่านั้น ไม่มีใครไปซื้อผ้าจากสหกรณ์มาเป็นสินสอดทองหมั้นหรอก

การซื้อผ้าแบบนี้เป็นเรื่องยากสำหรับพวกชาวบ้าน พวกเขาจะต้องไปซื้อผ้าราคาสูงในตลาดมืดเท่านั้น

ในระยะสิบลี้นี้มีตระกูลไหนบ้างที่กล้ายกสินสอดทองหมั้นมหาศาลเหล่านั้นได้เหมือนกับสกุลอู๋?

ถ้าเป็นพวกเขา คงยากที่จะแสดงสีหน้าแช่มชื่นต้อนรับลูกสะใภ้ที่ไม่มีแม้กระทั่งสินเดิมแบบนี้

หลินม่ายร้องไห้คร่ำครวญต่อ “สินสอดไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากได้เลย แต่เป็นสิ่งที่เสี่ยวเจี๋ยนเรียกร้องจากพ่อแม่เอง เพื่อให้พี่สาวของฉันมีเงินเรียนต่อ มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่”

เธอดึงทึ้งเสื้อผ้าที่ใช้ผ้าถักทอเองบนร่างกายของเธอ แล้วพูดอย่างไม่เป็นธรรม “ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย โปรดดูนี่ว่าเสื้อผ้าที่ฉันใส่อยู่ตอนนี้เป็นยังไง แล้วเมื่อครู่พี่สาวของฉันแต่งตัวยังไง สินสอดทองหมั้นและผ้าเหล่านั้นฉันไม่เคยได้แตะต้องเลยแม้แต่น้อย”

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไปเรียกร้องขอสินสอนทองหมั้นและผ้าจากพ่อแม่ของเขา เรื่องนี้รู้กันไปทั่วทั้งหมู่บ้าน

ลับหลังต่างว่าร้ายหาว่าหลินม่ายเป็นนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ยั่วยวนจนอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่รู้ความแล้วหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น เพื่อจะได้เรียกสินสอดทองหมั้นมาให้เธอ

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินม่าย ทุกคนก็ได้พบว่าคนที่เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์แท้จริงแล้วไม่ใช่หลินม่าย แต่เป็นหลินเพ่ยพี่สาวของเธอ

ถ้าเป็นหลินเพ่ย อู๋เสี่ยวเจี๋ยนคงจะทำใจตบตีคนที่ตัวเองชื่นชอบจนอยากแต่งงานด้วยไม่ได้ แต่เมื่อครู่นี้เขาคิดจะตบตีหลินม่าย ทุกคนต่างก็เห็น

อีกอย่าง เสื้อผ้าที่หลินเพ่ยสวมใส่ก็เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาจากวัสดุผ้าที่สกุลอู๋ซื้อมาจากสหกรณ์ พวกเขาก็เห็นเช่นกัน

สิ่งที่หลินม่ายพูดนั้นเป็นความจริง สินสอดทองหมั้นของสกุลอู๋ล้วนถูกนำมาปรนเปรอให้พี่สาวของเธอทั้งสิ้น

สินสอดทองหมั้นของน้องสาวถูกยกให้พี่สาวทั้งหมด เรื่องนี้ช่างน่าเก็บไปคิดนัก

เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนเห็นหลินม่ายหยิบยกความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลินเพ่ยออกมาพูด จึงรีบตวาดออกไปด้วยความโกรธเคือง “ม่ายจื่อ ขืนเธอพูดจาเหลวไหลอีก ฉันตบเธอแน่!”

“แกกล้า!” เหยาชุ่ยฮวาตวาดใส่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน แล้วหันไปถามหลินม่ายด้วยสีหน้าทมึงทึง “ในเมื่อพี่สาวของเธอเป็นคนอยากได้สินสอดทองหมั้นเหล่านั้น แล้วทำไมคนที่เขาต้องแต่งงานด้วยกลับเป็นเธอ?”

ถ้าเป็นพี่สาวของหลินม่าย  การเสียสินสอดทองหมั้นมหาศาลคงไม่ได้ขัดต่อความรู้สึกของนางนัก 

โชคดีที่หลินเพ่ยยังเรียนชั้นมัธยมปลาย  แม้ต่อไปจะไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่หลังเรียนจบแล้วหล่อนก็เป็นนักบัญชีของหมู่บ้านไม่ก็คนงานในเมืองได้ง่าย ๆ 

สิ่งที่คนสมัยนี้ขาดแคลนคือการศึกษา ถ้ามีการศึกษาก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ

ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ก็น่าจะได้เป็นพนักงานในโรงงาน ลูกสะใภ้ที่มีฐานะดีเช่นนี้ใครเล่าจะไม่อยากได้!

“เพราะพี่สาวของฉันคิดว่าครอบครัวของพวกคุณยากจน จึงไม่อยากแต่งงานด้วย ส่วนเสี่ยวเจี๋ยนไม่อยากสู่ขอหล่อนให้มาลำบากในตระกูล เลยมาสู่ขอฉันแทน แต่กลับยกสินสอดเหล่านั้นให้เป็นค่าเล่าเรียนของพี่สาวฉันก็เท่านั้น”

เหยาชุ่ยฮวาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ก่นด่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนต่อหน้าทุกคน ทั้งยังสั่งให้เขาไปเอาสินสอดทองหมั้นจำนวน 10 หยวนกลับมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายของฝ่ายหญิงในวันพรุ่งนี้อีกด้วย ส่วนสินสอดอื่นให้มันแล้วกันไป

แต่หลินม่ายรู้ว่านางแค่โวยวายเท่านั้น ในเมื่อสู่ขอลูกสะใภ้มาแล้ว จะไปขอสินสอดทองหมั้นคืนได้อย่างไร!

เว้นเสียแต่ว่าสกุลหลินจะใช้วิธีต้นสาลี่ตายแทนต้นท้อ(1) ซึ่งอาจจะได้คืนกลับมาบ้าง แต่ปัญหาคือสินสอดนั้นไม่มีเหลือแล้ว สกุลอู๋คงทำได้แต่ต้องทนหวานอมขมกลืนต่อไป

แม้จะเอะอะโวยวายถึงขนาดนี้ แต่สิ่งที่หลินม่ายต้องกินในตอนเที่ยงก็ยังเป็นมันเทศและผัดใบมันเทศอยู่วันยังค่ำ

เหยาชุ่ยฮวาจะไม่มีวันเห็นใจเพียงเพราะเธอเป็นผู้ถูกกระทำ  หรือต่อให้ดีกับเธอ เธอก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ขยันสร้างเรื่อง

หลังจากยุค 80 ผ่านพ้น สายลมแห่งการปฏิรูปได้พัดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ ชีวิตของคนในชนบทจำนวนมากเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มีเพียงสกุลอู๋กลับยากจนลง ซื่งเป็นเหตุการณ์ที่เหยาชุ่ยฮวาไม่มีวันลืม

ในสายตาของเหยาชุ่ยฮวา หลินม่ายคือคนสกุลหลิน ย่อมมีส่วนร่วมในการหลอกลวงเอาสินสอดทองหมั้นและเสื้อผ้าในตระกูลของนาง ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องแสนดีกับเธอ

หลินม่ายไม่ได้สนใจว่ามื้อเที่ยงตัวเองได้กินอะไร ตรงกันข้ามเป้าหมายของเธอกลับสำเร็จลุล่วงแล้ว เธอทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านอู๋เจียรู้ว่าถึงความสัมพันธ์อันคลุมเครือระหว่างอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ย

หลินเพ่ยและน้องเขยของตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน ต่อไปคงจะหาความดีของพวกเขาได้ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์  ถึงอย่างไรชื่อเสียงก็เสียไปแล้ว ซึ่งในยุค 80 ยังคงให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก

ทำให้พ่อแม่ของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้รู้ว่าลูกชายคนโตของพวกเขารักใคร ถึงขั้นเรียกร้องเงินสินสอดมหาศาลกับพวกเขาเพื่อใครสักคน

ต่อไปหลินเพ่ยจะต้องท้อแท้สิ้นหวังที่ต้องแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

ในตอนนั้นเหยาชุ่ยฮวาที่คิดจะใช้ประโยชน์จากลูกชายของตนเรียกสินสอดมหาศาลนั้นกลับคืนมาก็คงไม่สามารถกระทำรุนแรงกับหล่อนได้

ถึงตอนนั้นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็คงจะขัดแย้งกับเหยาชุ่ยฮวาเพื่อหลินเพ่ย เหยาชุ่ยฮวาต้องเจ็บช้ำน้ำใจกับลูกชายของตัวเองทุกวัน และยังเป็นการแก้แค้นที่นางทำร้ายเธอในชาติก่อนได้อย่างสาสมอีกด้วย

หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว เหยาชุ่ยฮวาก็โกรธจนล้มหมอนนอนเสื่อไปจริง ๆ 

อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงเป็นคนทำอาหารค่ำ ซึ่งพวกเขายังคงได้กินข้าวชามใหญ่ และให้หลินม่ายกินมันเทศ

ชนบทในยุค 80 ยังไม่มีไฟฟ้า พอค่ำหน่อยก็จะเริ่มจุดตะเกียงน้ำมัน

แต่หลังจากจุดตะเกียงแล้วก็ไม่มีอะไรทำ เหยาชุ่ยฮวาจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากเตียงอย่างลนลาน เป่าดับไฟในตะเกียงน้ำมันให้ทุกคนเข้านอน

คืนแต่งงานของหลินม่ายเพิ่งเริ่มต้นขึ้น!

…………………………………………………………………………………………………………………………

(1)李代桃僵 เป็นสำนวน หมายถึงการเสียสละส่วนน้อยเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนมาก

สารจากผู้แปล

ชอบ เอาอีก ปั่นอีกค่ะม่ายจื่อ มารยาสาไถกี่ร้อยเล่มเกวียนงัดมาใช้ให้หมด

ไหหม่า(海馬)

 ตอนที่ 1 กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงาน

หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง และยังได้ย้อนกลับมาเกิดในวันแต่งงานอีกด้วย

เธอชำเลืองมองผนังบ้านหลังใหม่ที่เต็มไปด้วยรอยกระดำกระด่าง ซึ่งปฏิทินบนนั้นแสดงไว้ว่าเป็นวันที่ 1 เดือนตุลาคม ปี 1981 

บริเวณนอกบ้านช่างเหมือนกับในอดีต คือไม่ได้คึกคักอย่างที่จินตนาการไว้ ทุกอย่างล้วนเงียบเหงา แม้แต่เสียงพูดคุยจอแจก็ยังไม่มี

เธอถูกครอบครัวคลุมถุงชนเพื่อแลกกับเงินสินสอด ประกอบกับความต่ำต้อยของตัวเองที่ใจจริงอยากแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบตนก็ยังกระโดดเข้าไปในกองไฟ ใครเล่าจะเห็นความสำคัญของเธอ!

ตั้งโต๊ะจีนเหรอ? ไม่มีหวังเสียหรอก

เมื่อแม่สามีได้ยินว่าเธอไม่มีสินเดิมของฝ่ายหญิง นางก็ด่าทอเป็นเวลาสามวันสามคืนตั้งแต่ยังไม่ย้ายเข้ามาในบ้าน

นางกล่าวหาว่าสกุลหลินไร้น้ำใจ ขายลูกสาวกิน เอาคนป่วยกระเสาะกระแสะมาแลกกับเงิน 10 หยวน ข้าวสาร 1 ถุงใหญ่ และเสื้อผ้าที่ซื้อจากสหกรณ์ด้วยเงิน  5 หยวน

แม่สามีขุ่นเคืองใจมาก เลยยกบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยไม่เกินสิบตารางเมตรให้เป็นเรือนหอ กลิ่นอับภายในบ้านยังทำให้รู้สึกคันคออยู่เลย

วันที่หลินม่ายจะต้องแต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ในอดีต แม่สามีอย่างเหยาชุ่ยฮวาก็ได้แกล้งป่วยออด ๆ แอด ๆ  นอนนิ่งอยู่บนเตียง ซึ่งชาตินี้ก็ยังเป็นเช่นนี้

พ่อสามีอย่างอู๋จินกุ้ยไม่เชิญผู้หญิงในตระกูลมาช่วยตระเตรียมอาหารกลางวัน ดังนั้นครอบครัวฝ่ายมารดาจึงต้องพาญาติยกโขยงมาเสียกลุ่มใหญ่ ทำให้พวกชาวบ้านที่ยืนเบียดเสียดรอดูความคึกคักอยู่หน้าประตูต่างพากันชี้แนะอย่างอวดดี

ห้องโถงกลางที่ได้รับการทำความสะอาดจนเอี่ยมอ่องไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัว พ่อหลินและแม่หลินรวมทั้งพี่ชายพี่สาวของหลินม่ายจึงต้องยืนหลบมุมทำตัวลีบเหมือนกับนกกระทา

ซุนกุ้ยเซียงแม่ของหลินม่ายขยิบตาให้พ่อหลินหนึ่งครั้ง ก่อนจะแสร้งยิ้มพลางเอ่ยกับอู๋จินกุ้ยว่า “ในเมื่อแม่สามีของลูกดิฉันป่วย งั้นเราต้องขอตัว”

อู๋จินกุ้ยก็แสร้งยิ้มพลางลุกขึ้นเดินไปส่ง “ต้องขอโทษทุกคนด้วย”

เมื่อทุกคนเดินออกมาจากห้องโถงกลางแล้ว ซุนกุ้ยเซียงก็ส่งเสียงไปยังทิศทางของบ้านหลังใหม่ “ม่ายจื่อ นับแต่นี้ไปแกเป็นสะใภ้สกุลอู๋แล้วนะ ต้องเชื่อฟังพ่อแม่สามี รักพี่รักน้อง ถ้าแม่รู้ว่าแกทำตัวไม่ดีตรงไหน แม่เอาแกตายแน่!”

หลินม่ายยิ้มเยาะเย้ย

ชาติที่แล้วหลังแต่งงาน พ่อกับแม่ลงไม้ลงมือกับเธอไม่ยั้ง ไม่ใช่เพราะเธออกตัญญูต่อพ่อแม่สามี ไม่รักพี่รักน้อง

แต่เพราะคิดว่าเธอไร้ประโยชน์ เอาใจพ่อแม่สามีไม่ได้ ทั้งยังหาเงินเลี้ยงดูปากท้องครอบครัวไม่ได้ด้วย

พี่สาวอย่างหลินเพ่ยกุมมือซุนกุ้ยเซียง พยายามโน้มน้าวเสียงเบา “แม่ อย่าทำให้น้องกลัวสิ เดี๋ยวฉันไปคุยกับน้องเอง” กล่าวจบหล่อนก็ตรงไปยังบ้านใหม่ทันที

เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านใหม่ หล่อนก็ผลักประตูเข้าไป พร้อมกับหยดน้ำตาหลั่งรินออกมา “ม่ายจื่อ พ่อแม่สามีของเธอไม่น่าคบค้าเอาเสียเลย เธอจะใช้ชีวิตยังไง”

หลินม่ายปรายตามองการแสดงของหล่อนด้วยสายตาเย็นชา

อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นปวดใจต่อหน้าเพราะเธอไม่ได้แต่งงานกับครอบครัวสามีที่ดี แต่ลับหลังกลับหัวเราะเยาะที่เธอดันกระโดดตกนรกไปเอง เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาคนหนึ่ง

หลินม่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ฉันได้อยู่อย่างลำบากเหมือนที่พี่อยากให้เป็นแล้วไม่ใช่รึไงคะ!”

หลินเพ่ยตกใจจนลืมร้องไห้ จ้องมองนัยน์ตาของหลินม่ายอย่างคาดคั้นหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบกับความผิดปกติ ทำไมหล่อนถึงได้พูดจาไม่น่าฟังแบบนี้?

เมื่อก่อนหล่อนไม่ใช่แบบนี้ เชื่อฟังครอบครัว และยังสนิทกับตนมาก

“ม่ายจื่อ เธอไปได้ยินข่าวลือจากในหมู่บ้านมาใช่ไหม อย่าไปสนใจกับคนที่ชอบยุยงเหล่านั้นเลย พวกเขาไม่เห็นหรอกว่าฉันแสนดีกับเธอแค่ไหน”

หมู่บ้านหวังเจียที่สกุลหลินอาศัยอยู่มักมีข่าวซุบซิบนินทาอยู่เสมอ ลือกันว่าหลินเพ่ยและหลินสงเป็นลูกแท้ ๆ ของซุนกุ้ยเซียง แต่หลินม่ายกลับไม่ใช่

ไม่อย่างนั้นคงอธิบายไม่ได้ว่าเหตุใดสองสามีภรรยาซุนกุ้ยเซียงถึงปฏิบัติต่อหลินเพ่ยและหลินสงอย่างดี แต่กลับไม่ให้ความรักใคร่กับหลินม่ายอย่างเท่าเทียม

หลินม่ายยิ้มอย่างเย็นชา “พี่ดีกับฉันเหรอ? งั้นพี่ก็เอาเงินสินสอดจำนวน 10 หยวนและเสื้อผ้า 5 หยวนที่สกุลอู๋ให้ฉันมาคืนฉันสิ ฉันถึงจะเชื่อว่าพี่ดีกับฉันจริง”

สินสอดทองหมั้นจำนวน 10 หยวนที่สกุลอู๋ให้เธอมาได้ถูกหลินเพ่ยชิงไปจ่ายค่าเทอมก่อน ส่วนเงินที่เหลือกลายเป็นเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผ้าราคา 5 หยวนตัวนั้นถูกนำไปตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ อะไร ๆ ก็ยกให้หล่อนเสียทุกอย่าง!

แม้จะไม่ได้ใช้สินสอดทองหมั้น 10 หยวนนั้น แต่ผ้าราคา 5 หยวนที่ยังไม่ได้นำไปตัดเย็บเสื้อผ้ากลับไม่สามารถนำมาคืนเธอได้ หล่อนคงอยากได้คืนสิท่า!

หญิงสารเลวคนนี้ จะต้องได้ยินข่าวลือจากในหมู่บ้านมาแน่นอนถึงได้ทำตัวผิดปกติแบบนี้

หลินเพ่ยลั่นหัวเราะฮ่า ๆ พลางเอ่ยว่า “อยู่กินกับเสี่ยวเจี๋ยนให้ดีเถอะ” จากนั้นก็รีบจากไป

หลินม่ายมองแผ่นหลังของหล่อนด้วยสีหน้าเย็นชา

คนที่ถูกเรียกว่าพี่สาวคนนี้มักจะชอบตั้งตนเป็นใหญ่ ในอดีตหล่อนใช้คะแนนของตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัย หลอกให้เธอแต่งงานกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ไม่เคยคบกันมาก่อน

ยืมมือของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนมาควบคุมเธอ ให้เธอเป็นเครื่องมือหากินให้ตัวเอง

เมื่อพบว่าทั้งสองคนมีลูกนอกสมรสด้วยกัน ทั้งยังวางแผนชิงทรัพย์สมบัติมหาศาลของเธอ หลังจากหลินม่ายถ่ายโอนทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปและเตรียมหย่าร้างกับชายชั่ว ก็ดันถูกทำร้ายจนตายคาบ้าน

แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเมื่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะย้อนกลับมาในวันแต่งงานก่อนจดทะเบียนสมรสกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน

หลินม่ายนั่งเงียบ ๆ นิ้วมือจิกบนหัวเข่าอย่างแรง จนรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้วจึงคลายออก

ครั้งนี้ เธอจะต้องเอาชีวิตของตัวเองกลับมา ให้คนเหล่านี้ได้ชดใช้ในสิ่งที่สมควรได้รับอย่างสาสม!

หลินเพ่ย พี่ชายและพ่อแม่เดินออกจากหมู่บ้านสกุลอู๋ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นจากเพื่อนบ้านสกุลอู๋

ไม่นานหลินเพ่ยก็ได้เล่าถึงความผิดปกติของหลินม่ายให้กับหลินเจี้ยนกั๋วพ่อหลินและคนอื่นฟัง

ซุนกุ้ยเซียงกัดฟันกล่าวว่า “นังเด็กสารเลวนั้นคงอยากได้สินสอดและผ้าไหมมากสิท่า? ฝันไปเถอะ!รอให้กลับบ้านก่อนเถอะ คอยดูเถอะฉันจะฟาดหล่อน!”

หลินเพ่ยกระตุกยิ้มมุมปาก

ทันทีที่สกุลหลินจากไป เหยาชุ่ยฮวาก็คลานลงจากเตียงราวกับไม่เคยป่วยมาก่อน ก่อนจะเดินตรงไปทำอาหารเที่ยง

เก้าอี้และม้านั่งที่ถูกซ่อนอยู่ในห้องถูกยกเข้ามาในห้องโถง

แม้จะอยู่ในยุค 80 แต่ทั่วทั้งประเทศยังตกอยู่ในสภาวะยากจนข้นแค้น ซึ่งในหมู่บ้านกลับตกอยู่ในสภาวะยากจนยิ่งกว่า

มีอาหารก็แค่พอประทังปากท้องให้อิ่มเท่านั้น แต่กลับไม่มีไขมันหรือน้ำหล่อเลี้ยงร่างกายเพียงพอ ไม่กินข้าวมื้อเดียวก็หิวโซปานขาดใจ

ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้ว พวกผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ต่างพากันหิวโซจนซูบผอมไปหมด ถ้าเหยาชุ่ยฮวายังไม่ทำอาหาร อีกไม่กี่ชั่วโมงคงได้ก่อจลาจลแน่

มณฑลหูเป็นมณฑลทางใต้ของประเทศซึ่งรับประทานข้าวเป็นอาหารหลัก ภายใต้สถานการณ์ที่ธัญพืชไม่เพียงพอ ทุกคนจึงต้องกินมันเทศประทังชีวิต

ที่ดินของหมู่บ้านสกุลอู๋เป็นที่ราบเรียบ มีการปลูกพืชเกษตรมากมาย ประกอบกับอยู่ใกล้กับตัวเมือง เดินทางเข้าเมืองสะดวก ดังนั้นเศรษฐกิจจึงดีกว่าหมู่บ้านบนภูเขาไม่น้อย

ซึ่งในภูเขาใหญ่ ทุกครัวเรือนในยุค 80 ยังต้องกินข้าวที่หุงผสมกับมันเทศ หมู่บ้านสกุลอู๋จึงไม่ค่อยมีคนกินมันเทศเป็นอาหารมื้อหลักมาตั้งแต่ยุค 70 

แม้ว่าสกุลอู๋จะมีกำลังไม่เพียงพอเพราะจำนวนเด็กที่มากเกินไป จนฐานะทางบ้านไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่ถึงกับกินมันเทศเป็นอาหารหลัก

มันเทศยามตากแดดก็จะกลายเป็นมันเทศแห้ง ทำเป็นขนมกินเล่น หรือย่างกินก็ได้

แต่ในตอนที่เหยาชุ่ยฮวาทำอาหารกลับตั้งใจนึ่งมันเทศไปพร้อม ๆ กับหุงข้าว ตอนผัดผักก็ยังใช้ใบมันเทศที่ไว้ป้อนหมูมาผัดโดยไม่ใส่เกลือใส่น้ำมัน

เมื่อทำอาหารเที่ยงเสร็จแล้ว เหยาชุ่ยฮวาก็ส่งเสียงตะโกนพร้อมกับคว่ำหม้อเสียงดังโครมครามอยู่ในครัว “เงินสินสอดก็ไม่ได้สักหยวน กินข้าวก็ยังต้องทำเผื่อ มันคุ้มกับสิ่งที่ตัวเองจะได้รับแล้วรึ!”

หลินม่ายไม่สนใจกับคำก่นด่าจากข้างนอก เธอนั่งบนเตียงอย่างนิ่งสงบ

อู๋จินกุ้ยทำได้แค่ให้ลูกสาวคนโตวัย 18 ปีอย่างอู๋เสี่ยวเถาไปเรียกหลินม่ายออกมากินข้าว

เมื่อหลินม่ายมาถึงห้องโถงกลาง บรรดาคนสกุลอู๋กลับไม่ได้มีสีหน้าที่ดีต่อเธอแต่อย่างใด ซึ่งเธอก็ไม่ได้ใจนัก นั่งลงที่โต๊ะโดยไม่สนใจใคร

เหยาชุ่ยฮวานั่งกินมันเทศนึ่งและใบมันเทศผัดต่อหน้าเธอด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

หลินม่ายกวาดตามองทุกคนแวบหนึ่ง

ทุกคนมีชามข้าวขาวหนึ่งใบ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนและน้องชายน้องสาวของเขามีไข่ต้มหนึ่งฟอง มีผัดปวยเล้งและมะเขือม่วงผัดซอสอย่างละชามวางอยู่บนโต๊ะอาหารเคลือบมัน

เธอไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ  แค่ยกชามใบมันเทศผัดเทใส่ในชาม แล้วยกชามใบใหญ่ออกไปข้างนอก

เหยาชุ่ยฮวาส่งเสียงร้องถาม “ทุกคนกำลังกินข้าว เธอจะไปไหนอีก? เพิ่งแต่งงานเข้ามาก็จะแหกกฎกันแล้ว!”

หลินม่ายตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไปเดินเล่นในหมู่บ้านค่ะ ให้พวกชาวบ้านได้เห็นว่าฉันกินอะไร”

เธอไม่ใช่เด็กสาวขี้อายเหมือนในอดีตคนนั้นอีกแล้ว เกรงว่าเมื่อพวกชาวบ้านรู้ว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ในบ้านสกุลอู๋อย่างลำบากคงพากันหัวเราะเยาะกันไม่น้อย

อาหารมื้อแรกของลูกสะใภ้ใหม่ในบ้านสามีคงทำให้พวกชาวบ้านพากันแอบดูหมิ่นกับการทำอะไรที่มันเกินไปของบ้านสกุลอู๋ก็เป็นได้

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ได้กลับมาเกิดใหม่ทั้งทีม่ายจื่อก็ขอฟาดสักหน่อยล่ะค่ะ พอกันทีกับการเป็นข้าทาสให้ครอบครัวทางแม่กับครอบครัวสามีข่มเหง

เป็นการเปิดตัวนางเอกที่ปังมาก ไม่แพ้อันหนิงกับชิงชิงของสองเรื่องก่อนเลย

ไหหม่า(海馬)

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

แม่ปากร้ายยุค​ 80 [八零辣妈飒爆了]

Status: Ongoing

หลินม่ายได้กลับมาเกิดใหม่ในวันแต่งงานของตัวเอง​ และพบว่าทุกคนรอบตัวไม่ว่าจะเป็นครอบครัวตัวเองหรือครอบครัวสามีต่างก็ยังเป็นเศษสวะกันเหมือนเดิม​ แต่ขอโทษเถอะ…หลินม่ายคนนี้ไม่ใช่หลินม่ายคนเดิมแล้ว​ ใครหน้าไหนมารังแกฉัน​ คราวนี้แม่จะซัดให้หงาย​​ จะงัดมารยาสาไถทุกกระบวนมาใช้แก้เผ็ดมันให้หมด! จากนั้นก็จะหย่ากับสามีกะหลั่วแยกตัวออกมาสร้างฐานะแบบสวยๆ​ ไม่ต้องสนใจใครอีกแล้ว!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท