เขาวางสายไปโดยไม่ฟังคำตอบจากหญิงสาว หลังจากนั้นเขาก็ไม่พูดถึงเรื่องจดหมายอีกเลย นี่จึงไม่น่าจะเป็นเหตุผล
อีอูยอนทอดสายตามองคนโง่ที่ตัวเองรักนิ่งๆ
แม้ว่าเจ้าตัวน่าจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา แต่อินซอบก็จงใจทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และจดจ่ออยู่กับการขับรถ แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างความลำบากให้ฝ่ายตรงข้าม แต่อินซอบที่นิสัยดีจนใสซื่อกลับไม่สามารถซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้เก่ง
เป็นเพราะหมาหรือเปล่า
แม้เจ้าตัวจะไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่เดินไปตามถนน พอเห็นสุนัขสีขาวตัวใหญ่ อินซอบก็จะทำหน้าเศร้า เมื่อกี้ก็ด้วย พอเจอสุนัขตัวใหญ่ที่ลานจอดรถ อินซอบก็มองสุนัขตัวนั้นอย่างเหม่อลอยอยู่พักหนึ่ง
ตอนที่สุนัขที่เลี้ยงตาย อินซอบร้องไห้จนตาบวมอยู่หลายวัน เขากอดปลอบอินซอบที่ร้องไห้พลางพูดว่า ‘วิลคือครอบครัวสำหรับผมครับ’ แน่นอนว่านี่เป็นความรู้สึกที่อีอูยอนไม่เข้าใจ เพราะเขาคือคนที่ต่อให้ครอบครัวจริงๆ ตาย น้ำตาสักหยดก็ไม่ไหล แม้จะเป็นเรื่องดีที่เขาได้กอดและกล่อมอินซอบที่ร้องไห้จนหลับไป แต่เขาก็อดที่จะกังวลไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะกลับอเมริกาหรือเปล่า
อีกฝ่ายเล่าว่าเจอกับผู้หญิงที่ชื่อยุนอารึมหรืออะไรสักอย่างที่สวนสาธารณะโดยบังเอิญเมื่อไม่นานมานี้ อินซอบอธิบายถึงสุนัขที่ผู้หญิงคนนั้นเลี้ยง และเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า ‘ผมอยากไปเจอเจ้าหมา ผมไปได้ไหมครับ’ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่านั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน เขาอธิบายเพิ่มเติมอย่างใจดีว่าไม่รู้หรือว่าของที่พวกผู้ชายใช้เยอะมากที่สุดตอนจีบผู้หญิงคือสุนัขตัวใหญ่ และปิดปากที่พึมพำปฏิเสธด้วยจูบทันที
ซื้อสุนัขให้สักตัวดีไหมนะ
อีอูยอนชำเลืองมองอินซอบ
ขนาดแมวข้างถนนอีกฝ่ายยังเอ็นดูขนาดนั้น ถ้าซื้อสุนัขให้ จะชอบแค่ไหนกันล่ะ บางทีอีกฝ่ายอาจจะกอดเอาไว้ไม่ยอมไปเลยก็ได้ เขาทนเห็นภาพนั้นไม่ได้หรอก
“อยากกลับไปให้อาหารแมวเหรอครับ”
เขาคิดว่าการเปลี่ยนความสนใจกลับไปที่แมวน่าจะดีกว่า สิ่งมีชีวิตที่อาจจะตายตอนไหนก็ได้ที่ไม่ได้เอาเข้าบ้าน และให้ข้าวกินในบางครั้ง นั่นเป็นระดับที่อีอูยอนพอจะทนได้ อินซอบทำสีหน้าที่เหมือนจะถามว่าหมายความว่าอะไรครับให้กับคำถามของอีอูยอน
“ไม่ได้กำลังเป็นห่วงแมวอยู่เหรอครับ”
“เปล่าครับ ค่อยเอาไปให้ตอนกลางคืนก็ได้”
เขาพิมพ์ที่อยู่ไปเป็นโรงแรมแท้ๆ อีกฝ่ายยังคิดที่จะกลับบ้านอีกเหรอ หยาบคายเกินไปแล้ว
“หรือว่าคุณคิดจะหักหลังผมอีกเหรอครับ”
เขาจงใจสะกิดจุดที่อ่อนไหวที่สุดของอินซอบ
“เปล่านะครับ!”
อินซอบตาเหลือกด้วยความตกใจเหมือนจะเป็นลมชักพลางเอ่ยตอบ อีอูยอนเอื้อมมือไปหมุนพวงมาลัย พวกเขารอดจากวิกฤตที่เกือบจะชนราวเหล็กกั้นถนนไปได้อย่างหวุดหวิด อินซอบเปิดไฟฉุกเฉินและจอดรถตรงข้างทาง
“…ขอโทษครับ”
อินซอบขอโทษด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด
“ถ้าอยากตายไปพร้อมกันก็แค่บอกมาครับ แต่ช่วยไปตายในที่ที่บรรยากาศดี ไม่ใช่ที่แบบนี้กันเถอะ ผมจะยืมทะเลสาบที่บ้านพักตากอากาศของกรรมการผู้จัดการคิมไว้ถ้าคุณต้องการ”
อินซอบส่ายหน้าไปมา ดวงตากลมโตสั่นไหวอย่างกระวนกระวาย พอเห็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้อารมณ์ไม่ดี แต่กำลังกลัวอะไรบางอย่างต่างหาก
รถเคลื่อนตัวอีกครั้ง
งั้นอะไรกันล่ะที่ทำให้คุณที่ทั้งขี้กลัวและสวยงามกลัว อีอูยอนยอมแพ้ที่จะเลือก เพราะข้อสรุปที่เขานึกออกมีเยอะเหลือเกิน
“คุณอินซอบครับ วันนี้…”
อีอูยอนกุมมือของอินซอบที่กำพวงมาลัยอยู่ ไม่สิ เขากำลังจะกุมต่างหาก ถ้าอินซอบไม่ปัดออกซะก่อน
“…”
อีอูยอนก้มลงมองมือของตัวเองที่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ รอยยิ้มที่ดูราวกับถูกวาดขึ้นถูกประดับลงบนริมฝีปากที่เป็นเส้นตรงของเขา
“ผมแค่แตะต้องของของผมเองนะ ทำไมถึงได้ทำตัวไร้น้ำใจขนาดนั้นล่ะครับ”
“ตอนอยู่ข้างนอก…”
อินซอบพูดต่อในขณะที่หมุนพวงมาลัยอย่างระมัดระวัง
“ตอนอยู่ข้างนอก ผมอยากให้คุณระมัดระวังมากเท่าที่จะทำได้ครับ”
“อะไรเหรอครับ”
“…การแตะต้องตัวน่ะครับ”
อีอูยอนร้อง ‘หืม’ ก่อนจะเงียบไปพักหนึ่ง
“จะบอกว่าไม่ชอบเหรอครับ”
ชเวอินซอบถอนหายใจเบาๆ อีอูยอนมองอินซอบ จากนั้นดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือการห้ามความรู้สึกอยากจะกระแทกไอ้นั่นใส่ปากที่พ่นลมหายใจออกมาเสียตอนนี้ แต่ห้ามแตะต้องเนี่ยนะ?
“ทำไมถึงไม่ยอมให้แตะล่ะครับ”
แต่ผมทำทุกอย่างตามที่คุณขอให้ทำเลยนะ เขาเก็บประโยคหลังเอาไว้ นี่เป็นข้อเสนอที่ไม่หนักแน่นจนเหมือนกับเป็นข้อเสนอตื้นๆ อีอูยอนกอดอกและยิ้มอย่างผ่อนคลาย เขาเฝ้ารอคำตอบของอินซอบ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมพูดอะไร
รถเข้ามาในที่จอดรถของโรงแรม อินซอบตอบพนักงานที่เข้ามาเสนอตัวจอดรถให้ว่าไม่เป็นไร และขับรถไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดิน แม้แต่เวลาแบบนี้เขาก็ยังเป็นคนที่ไม่รู้จักวิธีการใช้เล่ห์เหลี่ยม พอจอดรถตรงที่ที่อยู่ในหลืบเสร็จ อินซอบก็พึมพำเหมือนพูดคนเดียวว่า ‘ถึงแล้วครับ’
อีอูยอนไม่ยอมปลดเข็มขัดนิรภัย
“จะไม่พูดเหรอครับ”
“พูดเรื่องอะไรครับ”
“เหตุผลที่คุณทำตัวแบบนี้กับผมไงครับ”
อีอูยอนไม่รู้แล้วว่าควรจะต้องทำอะไรเพิ่มอีก แม้แต่การกระทำไร้สาระที่อีกฝ่ายขอให้ทำดีด้วยเหมือนคนปกติ ขอให้บอกว่ารัก และขอให้ทะนุถนอม เขาก็ทำให้ทั้งหมด
“ผมแค่…คิดว่าอยากจะให้คุณระมัดระวังขึ้นอีกนิดน่ะครับ เพราะมีคนจับตามองอยู่เยอะ จะเกิดเรื่องไม่ดีเพราะผม…ไม่ได้เด็ดขาด”
เรื่องที่ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ อีอูยอนพึมพำคำพูดนั้นตามอินซอบพลางหลุบตามองต่ำ จากนั้นเขาก็เหลือบตาขึ้นมองก่อนจะถามซ้ำ
“หมายถึงเรื่องที่อีอูยอนมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับผู้จัดการส่วนตัวที่เป็นผู้ชายน่ะเหรอครับ”
“…”
อินซอบไม่ตอบอะไรเลย เพราะอีอูยอนแทงได้ตรงจุด รอยยิ้มที่ติดอยู่ที่ปากของอีอูยอนค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
“ผมแค่พูดเล่นน่า”
อีอูยอนเปิดตัวล็อกของเข็มขัดนิรภัย อินซอบหยุดหายใจและห่อไหล่อย่างไม่รู้ตัว เพราะเสียงดัง แกร๊ก ที่ดังขึ้นในรถที่เงียบสงัด
“บางครั้งผมก็สับสนนะ ว่าคุณชอบผม หรือชอบนักแสดงอีอูยอนกันแน่”
“ผม…”
อีอูยอนออกไปนอกรถก่อนที่จะได้ฟังคำตอบของอินซอบ อินซอบปลดเข็มขัดนิรภัย และตามหลังอีอูยอนไป แล้วเขาก็ต้องเดินจนเหมือนวิ่ง เพราะความต่างทางด้านร่างกาย
“ผมจะไปเช็กอินให้ครับ”
ชเวอินซอบรีบพูดออกมาก่อน ถ้าเห็นดาราเดินเข้าๆ ออกๆ ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ดวงถูกติฉินนินทาที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาควรจะฟังคำพูดของอินซอบ แต่อีอูยอนกลับไม่หันกลับมามอง และเดินไปเช็กอินที่ฟร้อนท์ของโรงแรมทั้งอย่างนั้น อีอูยอนที่ได้คีย์การ์ดมายืนอยู่หน้าลิฟต์โดยไม่มองอินซอบเลย อินซอบคิดว่าจะกลับไปเลยดีไหม และยืนอยู่ด้านหลังของอีอูยอน การกลับบ้านอย่างปลอดภัยของดาราเป็นหนึ่งในหน้าที่พื้นฐานของผู้จัดการส่วนตัว แต่ที่นี่ไม่ใช่บ้าน เขาจึงจะต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายไปถึงห้องพักในโรงแรมเรียบร้อยแล้ว
แม้แต่ตอนที่ขึ้นลิฟต์ อีอูยอนก็ไม่พูดอะไร อินซอบปากแห้งผาก เพราะความเงียบที่น่าอึดอัด พองานแถลงข่าวจบ คังยองโมก็ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งให้อินซอบ เขากลัว แม้อีอูยอนมักจะพัวพันกับข่าวลือประหลาดๆ อยู่แล้ว แต่ถ้ามีคังยองโมเข้ามาเกี่ยวด้วย เขาก็ไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการเลยว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร
ตอนนั้นอีอูยอนยังใช้ก้อนอิฐฟาดคังยองโมอย่างหน้าตาเฉยเลย เขาได้ยินว่าอีกฝ่ายอาจจะตายก็ได้ แต่เป็นเพราะโชคดีถึงรอดมาได้ เขาไม่ได้เป็นห่วงคังยองโม แต่เขากลัวว่าอีอูยอนจะเลือกทางเลือกที่ไม่ดี เขากลัวว่าสิ่งนั้นจะทำลายชีวิตของอีกฝ่าย เขากลัวและหวั่นวิตกอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาได้
ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะไม่แสดงท่าทางที่ดูเป็นการส่วนตัวต่อหน้าคนอื่นให้ได้มากที่สุด ถ้าเลิกงานแล้ว เขาจะกลับบ้านทันที และเขาก็พยายามที่จะไม่สร้างบรรยากาศแบบนั้นข้างนอก แต่ดูเหมือนว่าสิ่งนั้นจะทำให้อีอูยอนอารมณ์เสีย
จะต้องพูดอะไรดีล่ะ
“คือว่า…”
ติ๊ง ประตูลิฟต์เปิดออกในวินาทีที่อินซอบอ้าปากพูด อีอูยอนเป็นฝ่ายออกไปก่อน อินซอบลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะออกจากลิฟต์ตามอีกฝ่ายไป
ทำยังไงดี ในระหว่างที่อินซอบกำลังครุ่นคิด อีอูยอนก็ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูห้องของโรงแรม อีอูยอนที่ยืนอยู่หน้าประตูก้มลงมองอินซอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย นั่นหมายความว่าให้เขาเลือกเองว่าจะเข้ามาข้างในหรือว่าจะกลับไป
เขาใจเต้นตึกตัก จะมีใครเห็นพวกเขาขึ้นมาด้วยกันหรือเปล่า คังยองโมได้สั่งให้คนมาถ่ายรูปเอาไว้ไหม แล้วตอนนี้มีเรื่องแปลกๆ ถูกโพสต์ลงใน SNS หรือเปล่า ความคิดพวกนั้นพันกันยุ่งเหยิง และอินซอบก็ไม่สามารถก้าวขาออกไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
“…นอนหลับฝันดีนะครับ”
สุดท้ายอินซอบก็ก้มหัวและบอกลาอีกฝ่าย อีอูยอนเข้าไปในห้องโดยไม่ตอบอะไร เขาปิดประตูเสียงดัง ปัง
อินซอบกะพริบตาและทำคอตก เขาเศร้า ความจริงแล้วเขาอยากเข้าไปด้านในกับอีอูยอนตอนนี้เลย ตั้งแต่อาทิตย์หน้าจะมีการเปิดตัวภาพยนตร์และเตรียมตัวถ่ายละครติดๆ กัน อีกฝ่ายน่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาหายใจ เรียกได้ว่าสองสามวันมานี้เป็นวันสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีงาน เขาอยากจะอ้อนให้อีอูยอนอ่านหนังสือให้ และอยากพูดคุยเรื่องหนังอย่างผ่อนคลายด้วยกัน
แต่ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาจะทำตัวโลภมาก อินซอบเดินไปที่ลิฟต์อีกครั้ง เขากดปุ่มลิฟต์ และส่งข้อความบอกกรรมการผู้จัดการคิมว่าอีอูยอนมาถึงอย่างปลอดภัยแล้ว ลิฟต์มาแล้ว เขาคิดว่าจะส่งข้อความหาอีอูยอนดีไหม แล้วก็เลิกทำ อินซอบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า และเข้าไปในลิฟต์
กลับบ้านไปอาบน้ำอุ่นๆ และคิดว่าจะขอโทษอีอูยอนว่าอะไรดีกันเถอะ อินซอบกดปุ่มปิดลิฟต์ อะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาในตอนที่ประตูกำลังจะปิด ชเวอินซอบตกใจและเงยหน้าขึ้นมา อีอูยอนยื่นเท้ามาข้างหน้าในสภาพที่ยืนพิงทางเข้าลิฟต์ไว้
“ผมกลัวว่าคุณอาจจะลืม ก็เลยจะพูดให้ฟังนะครับ”
สีหน้าของอีอูยอนไม่ต่างไปจากปกติ แต่อินซอบรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่แท้จริงอันเฉียบขาดที่ซ่อนอยู่ในนั้นโดยสัญชาตญาณ และเขาก็เกิดกังวลชขึ้นมา
“ถ้าคุณทิ้งผม ผมจะฆ่าคุณ”
“ครับ?”
“ผมบอกว่าถ้าคุณทิ้งผมผมจะฆ่าคุณครับ”
เขาสับสนว่านี่เป็นการอ้อนวอนที่ขอไม่ให้ทิ้งไป หรือเป็นคำขู่ที่บอกว่าจะฆ่าให้ตายกันแน่ อินซอบเงยหน้ามองอีอูยอนอย่างเหม่อลอย เขาสบตากับชายหนุ่มที่มีความงามที่แสนอ่อนโยนจนน่าจะไม่มีอยู่จริง ประตูลิฟต์กำลังจะปิดลง อีอูยอนยื่นเท้าเข้ามาอีกครั้ง
“เข้าใจไหมครับ”
อินซอบพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว เพราะแรงกดดันที่มหาศาล
“แล้วผมก็ลองคิดถึงคำพูดที่คุณอินซอบพูดเมื่อกี้ดูแล้วครับ”
เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะถามว่าคุณหมายถึงอะไรด้วยซ้ำ มือขาวซีดของอีอูยอนที่ยื่นเข้ามาในลิฟต์คว้าปกเสื้อของอินซอบเอาไว้
“คุณห้ามไม่ให้แตะต้องตัวข้างนอกใช่ไหมครับ”
แล้วประตูลิฟต์ก็ถูกปิดลงที่ด้านหลัง