อีอูยอนหลับตาลงอีกครั้งเนื่องจากยังอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น หัวใจของอินซอบเต้นตึกตักเหมือนเป็นบ้า ถึงขั้นกลัวว่าเสียงนั้นจะทำให้อีอูยอนตื่น เขารู้ความหมายในท่าทางที่ไม่พร้อมป้องกันตัวเองที่อีอูยอนแสดงให้เห็นมีให้ ว่าอีกฝ่ายรักตนขนาดไหน…และตัวเขาเองก็รักอีกฝ่ายมากขนาดไหนเหมือนกัน
‘เพราะไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลจิตเวช หรือคุก ผมก็ไม่อยากโดนขังในนั้นครับ’
ภาพของอีอูยอนที่ยิ้มเหมือนเด็กหนุ่มซ้อนทับกับใบหน้าซีดเผือดที่มีเลือดกระเซ็นมาติด เขาไม่สบายใจเลย เขากลัวว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับอีกฝ่ายอีกเพราะตน ยิ่งเขามีความสุขอยู่ข้างๆ ฝ่ายนั้นมากเท่าไร ความไม่สบายใจก็ยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น
“แน่นอนว่าในฐานะของคุณอินซอบแล้ว เพื่อนอย่างอีอูยอนจะเป็นเพื่อนที่…ดีได้ยังไง”
“มะ ไม่ครับ ไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ”
“ถ้าอีอูยอนทำไม่ดี ก็ทิ้งเขาไปเลยนะ เพราะนายสามารถมี…เพื่อนได้เองอีกเยอะ เข้าใจไหม”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”
ขณะที่หัวหน้าทีมชากำลังจะแนะนำเกี่ยวกับความสัมพันธ์เพิ่มอีกสองสามอย่าง เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในชุดผู้ป่วยก็ดังขึ้น
“แป๊บนะ ฮัลโหล?”
หัวหน้าทีมชาเริ่มคุยโทรศัพท์
ชเวอินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา เขาขอให้กรรมการผู้จัดการคิมรั้งอีอูยอนไว้สักหนึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาจากโรงแรม มีข้อความตอบกลับมาว่าไม่ต้องห่วง ไปทำธุระเถอะ เพราะฉันจะให้เขากินข้าวก่อนจะปล่อยกลับไป และเขาก็ตอบไปว่าถ้าอีอูยอนออกจากบริษัทแล้ว รบกวนส่งข้อความมาบอกเขาด้วย โชคดีที่ยังไม่มีการติดต่ออะไรกลับมา
แม้ในระหว่างนั้นจะมีโทรศัพท์จากอีอูยอนโทรเข้ามาหนึ่งสาย แต่เขาก็ไม่ได้รับ ไม่สิ เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ต่างหาก เพราะไม่อย่างนั้นเขาต้องโดนจับได้ว่าแอบออกมาข้างนอกแน่ๆ พอส่งข้อความไปขอโทษที่ไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ อีอูยอนก็ตอบกลับมาว่าอีกเดี๋ยวจะกลับไป เพราะเหมือนธุระที่ต้องทำจะใช้เวลานานเล็กน้อย โชคดีที่เขาสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างราบรื่นมากกว่าที่คิด
“แปลกแฮะ แผนกธุรการของโรงพยาบาลขอให้รีบไปหาน่ะ”
หัวหน้าทีมชาวางสายด้วยสีหน้าแปลกๆ
“แผนกธุรการเหรอครับ”
“อือ เขาบอกว่ามีเรื่องด่วน ขอให้ผู้ดูแลรีบไปให้เร็วที่สุดน่ะ แปลกจัง ไม่น่าจะมีเรื่องด่วนนี่นา”
“งั้นเดี๋ยวผมกลับมานะครับ”
หากเข็นรถเข็นไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องใช้เวลาในการเคลื่อนย้ายอยู่ดี
“ขอโทษนะ แต่น่าต้องไปสักพักหนึ่งเลย เพราะแผนกธุรการอยู่ข้างๆ กับโต๊ะประชาสัมพันธ์ชั้นหนึ่งน่ะ”
“เข้าใจแล้วครับ ไหนๆ ก็ไหนๆ ให้ผมซื้อเครื่องดื่มมาให้ด้วยไหมครับ”
“ซื้อน้ำแร่มาให้ขวดเดียวก็พอ ส่วนเงินเดี๋ยวกลับขึ้นไปที่ห้องพักแล้วฉันจะเอาให้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวผมกลับมานะครับ”
เมื่ออินซอบลุกออกไป หัวหน้าทีมชาก็หยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋า เขาไม่สะดวกใจที่จะสูบบุหรี่ต่อหน้าคนที่ไม่สูบบุหรี่ เขาควานหาไฟแช็ก ก่อนจะรู้ตัวว่าตนวางทิ้งไว้ที่ห้องพักผู้ป่วยจึงร้องเอ๊ะพลางขมวดคิ้ว ตอนนั้นเองมือที่ยื่นออกมาจากด้านหลังก็จุดไฟแช็กและยื่นมาให้
“ขอบคะ…”
“ไงครับ”
“…”
บุหรี่ที่ถูกคาบไว้ในปากของหัวหน้าทีมชาร่วงลงมา
“ผู้ป่วยสูบบุหรี่ได้เหรอครับ”
อีอูยอนหยิบบุหรี่ที่ตกลงพื้นมาหักทิ้ง และโยนลงถังขยะใกล้ๆ
“…ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่”
“ว้าว อากาศดีนะครับ”
อีอูยอนกำด้ามจับของรถเข็นและเริ่มเข็นออกไป
“ฉันถามว่าทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ ตอบที่ฉันถามสิ”
“ก็มาเยี่ยมหัวหน้าทีมน่ะสิครับ”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายนุ่มนวลราวกับช็อกโกแลตที่ถูกละลาย ทำเอาหัวหน้าทีมชาขนลุกซู่
“มีแผนการอะไรอีกล่ะ”
“มาหาว่ามีแผนการเนี่ย ผมเสียใจนะครับ”
ด้วยนิสัยที่ร่าเริงทำให้หัวหน้าทีมชารู้จักคนมากมาย หลังจากที่เข้าโรงพยาบาลไม่เพียงแต่พนักงานในบริษัทเท่านั้น แต่พวกดาราที่รู้จักกันพอสมควรก็มาเยี่ยมไข้ด้วย แต่ในความเป็นจริงคนอย่างอีอูยอนนั้นอย่าว่าแต่มาเยี่ยมไข้เลย หมอนั่นไม่ส่งข้อความมาถามสักข้อความด้วยซ้ำว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แน่นอนว่าหัวหน้าทีมชาเองก็ไม่สนใจแม้แต่ปลายเล็บ เพราะเขารู้จักไอ้คนแบบนั้นดี กลับกันการที่อีกฝ่ายโผล่มาบอกว่ามาเยี่ยมไข้แบบนี้เสียอีกที่ทำให้เขารู้สึกไม่ยินดีเป็นอย่างมาก
“หรือว่าคนที่ทำให้แผนกธุรการโทรศัพท์มาคือนายงั้นเหรอ”
หัวหน้าทีมชาเบ้ปากให้กับความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัว
“ครับ ผมขอร้องให้พวกเขาอธิบายเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อรั้งคุณอินซอบไว้ให้นานที่สุดน่ะครับ คุณไม่รู้หรอกว่าผมต้องถ่ายรูปด้วยตั้งกี่รูปเพราะเรื่องนั้น”
อีอูยอนใช้นิ้วเกี่ยวแว่นกันแดดลงมาเล็กน้อยพลางยิ้ม การที่อีกฝ่ายทุ่มเทถึงขนาดนั้นเพื่อกันอินซอบออกไปทำให้ชาฮยอนคยูรู้สึกถึงลางร้าย
“ทำไมล่ะ นายสงสัยเรื่องอะไร”
“ดีเลยครับที่หัวหน้าทีมพูดกันรู้เรื่องอย่างที่คิด”
อีอูยอนพูดต่อพร้อมกับเข็นรถเข็นไปข้างหน้าช้าๆ
“จู่ๆ คุณอินซอบเขาก็แปลกไปนิดหน่อยน่ะครับ”
“ตรงไหนล่ะ”
“เหมือนเขากลัวอะไรบางอย่างน่ะครับ ถึงแม้ปกติเขาจะเป็นคนระวังตัวอยู่แล้วก็เถอะ แต่เขากลับกลัวมากขึ้นจนน่าประหลาด แล้วเขาก็ไม่ค่อยสบตาผมด้วย”
“การที่เขาไม่กลัวนายมันไม่น่าประหลาดกว่าหรือไง”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ ให้กับคำด่าตรงๆ ของหัวหน้าทีมชา
“ผมน่ากลัวตรงไหนเหรอครับ ช่วยพูดอะไรที่มีสาระหน่อยเถอะ”
“…ก่อนอื่นเลยนะ มันน่ากลัวตั้งแต่เสียงหัวเราะของนายเมื่อกี้แล้ว”
หัวหน้าทีมชาตัวสั่นระริกเหมือนคนที่โดนวางผีไว้ตรงหน้า
“แต่คุณอินซอบเขาชอบเสียงหัวเราะของผมมากเลยนะครับ”
แม้จะไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวไหม แต่อินซอบมักจะตนอย่างจดจ่อทุกครั้งที่หัวเราะ จนบางครั้งอีอูยอนก็จงใจหัวเราะออกมาเพราะชอบใจในแก้มที่แดงระเรื่อและริมฝีปากที่เผยออกเล็กน้อยของอินซอบ
“งั้นเขาก็คงกลัวเพราะนายไปรังแกเขาน่ะสิ อืม ต้องใช่แน่ๆ เลย”
หัวหน้าทีมชาตั้งสมมติฐานที่มีความเป็นไปได้สูงมาก และเห็นด้วยกันตัวเอง
“เคยเห็นผมรังแกเขาเหรอครับ อ๋อ คุณได้ยินนี่นา”
“…”
เมื่อนึกถึงฝันร้ายที่เกาะเชจู สีหน้าของหัวหน้าทีมชาก็ซีดเผือด เขาตัวสั่นระริกราวกับพยายามจะสลัดความทรงจำนั้นทิ้งไป จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“นายทำแบบนั้นมันจะไปด้วยกันได้ไม่นานนะ”
อีอูยอนหรี่ตาลง
“ก็อย่างที่เขาพูดกันว่า ‘คู่รักต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน’ ไงล่ะ”
“นั่นมันคำพูดไร้สาระอะไรอีกล่ะ”
หัวหน้าทีมชาทำสีหน้าเหยเก
“วันนี้กรรมการผู้จัดการก็พูดอะไรคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกันครับ ทั้งสองคนโทรศัพท์นัดกันว่าจะพูดเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“ความคิดคนเรามันก็ไม่ต่างกันเท่าไรหรอก แล้วมันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
อีอูยอนหัวเราะร่าพลางเกร็งมือที่กำคันบังคับของรถเข็นเอาไว้
“งั้นก็ช่วยพูดมาเลยครับว่าคุณอินซอบเขาพูดอะไรบ้าง เพราะผมได้ยินคำพูดที่น่าเบื่อมามากพอแล้วก่อนที่จะมาที่นี่”
“ก็ไม่ได้พูดเรื่องสำคัญอะไรหรอก ประมาณว่าช่วงนี้ยุ่งอย่างนั้นอย่างนี้เพราะงานล่ะมั้ง”
หัวหน้าทีมชากุเรื่องขึ้นมาอย่างกำกวม แม้อินซอบจะพูดเรื่องคังยองโมออกมา แต่เขาไม่สามารถพูดเรื่องนั้นต่อหน้าอีอูยอนได้ หากพูดออกไป เขาก็เกรงว่าอีอูยอนอาจจะพูดว่าจะช่วยบรรเทาความกังวลของชเวอินซอบแล้วหยิบอิฐก้อนสวยๆ ขึ้นมา ก่อนจะฮัมเพลงเดินจากไปหรือเปล่า
“แล้วเรื่องอื่นล่ะครับ”
“ไม่มี”
หัวหน้าทีมชาตอบกลับอย่างเด็ดขาด
“แต่ผมมองอยู่ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ…”
สวนด้านข้างของโรงพยาบาลอยู่ตรงข้ามกับถนนแปดเลน อีอูยอนค่อยๆ เข็นรถไปทางสะพานลอยที่ตัดผ่านเหนือถนน
“แค่บอกว่ายุ่งทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้นด้วยล่ะครับ”
“มันก็เป็นไปได้นี่ เฮ้ยๆๆ ทำไมถึงขึ้นมาบนสะพานลอยล่ะ”
อีอูยอนฮัมเพลงเบาๆ ตอนนี้เป็นช่วงต้นหน้าร้อนที่ใบไม้เขียวชอุ่ม แต่หัวหน้าทีมชากลับรู้สึกได้ถึงลมหนาวที่เย็นยะเยือก
“ก็ขึ้นมาเดินเล่นน่ะสิครับ”
“แล้วทำไมต้องมาเดินเล่นที่สะพานลอยด้วย”
“ก็การที่ได้เห็นวิวจากที่สูงๆ มันดีนี่ครับ”
“บนถนนแปดเลนมีอะไรให้ดูกันเล่า!”
ยิ่งไปกว่านั้นคือรอบๆ ข้างไม่มีคนอยู่เลย เหงื่อกาฬไหลลงมาตามสันหลังของหัวหน้าทีมชา ขาของเขาเพิ่งจะผ่านการผ่าตัดมาได้ไม่นานเท่านั้น จึงไม่สามารถขยับได้แม้แต่ก้าวเดียวโดยไม่มีไม้เท้า หรือรถเข็น
“หัวหน้าทีมครับ ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่ผมกำลังพยายามอยู่จริงๆ นะครับ ดังนั้นผมก็อยากให้หัวหน้าทีมช่วยผมนะครับ”
“จะ จะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ”
อีอูยอนยิ้มโชว์ฟันที่เป็นระเบียบแทนคำตอบ แม้แต่ในวงการบันเทิงเองก็ยังหาคนที่มีฟันเรียงตัวสวยขนาดนี้โดยไม่ได้จัดหรือเคลือบผิวฟันได้ยาก แม้จะเป็นเสน่ห์ที่ทำให้รูปลักษณ์ภายนอกอันสุภาพเรียบร้อยของอีกฝ่ายเด่นชัด แต่หัวหน้าทีมชากลับรู้สึกสยองเหมือนจะโดนกัดทุกครั้งที่อีอูยอนยิ้มยิงฟัน
“คุยอะไรกับคุณอินซอบเหรอครับ”
หัวหน้าทีมชากลืนน้ำลายเหนียวๆ ก่อนจะหันกลับไปมองด้านหลัง รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นในดวงตาของอีอูยอนอยู่แวบหนึ่ง แม้ดวงอาทิตย์ร้อนๆ จะส่องสว่างร้อนแรงราวกับจะแบ่งหัวเขาออกเป็นสองซีก แต่เขากลับรู้สึกเหมือนมีลมเย็นๆ พัดอยู่รอบตัวอีอูยอน
“เมื่อฉันก็บอกแล้วไงว่าเขาแค่บอกว่าช่วงนี้เขายะ…อึก”
ล้อของรถเข็นติดอยู่กับปลายบันไดอย่างน่าหวาดเสียว หัวหน้าทีมชาพยายามจะยันตัวขึ้น แต่เขากลับทรุดลงไปตามเดิม อีอูยอนรั้งหัวหน้าทีมชาให้นั่งลงจากทางด้านหลังก่อนจะเดาะลิ้นเบาๆ
“อันตรายนะครับ ถ้าบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไงล่ะครับ”
ถ้าใครมาได้ยินคงจะเข้าใจผิดว่าอีอูยอนเป็นห่วงความปลอดภัยของหัวหน้าทีมชาที่สุดในโลก
“เพราะนายเป็นแบบนี้ไง อินซอบถึงได้…!”
“คุณอินซอบทำไมเหรอครับ”
ตาของอีอูยอนเป็นประกาย หัวหน้าทีมชาเหยียบกับระเบิดเข้าให้แล้ว เขาไม่อาจกุเรื่องได้อีกต่อไป หัวหน้าทีมชาถอนหายใจก่อนจะพูดด้วยท่าทีราวกับยอมแพ้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“เขาบอกว่าเขาคงอยู่ที่นี่ไม่ได้”
แม้ประโยคที่ถูกต้องคือเจ้าตัวรู้สึกสบายใจกับอเมริกามากกว่า แต่หัวหน้าทีมชากลับพูดเกินจริง
“บอกว่าอยู่ไม่ได้เหรอครับ”
อีอูยอนถามซ้ำราวกับได้ยินคำพูดที่ทนฟังไม่ได้
“เขาก็ต้องไม่อยากอยู่อยู่แล้วล่ะ เขาต้องห่างจากครอบครัวมาไกล แถมยังไม่มีเพื่อนสักคน แล้วไอ้คนที่เรียกว่าคนรักก็…จิ๊!”
หัวหน้าทีมชาหันหน้าหนีเหมือนเห็นสิ่งที่ทนดูไม่ได้
“คุณอินซอบเขาเป็นแบบนั้นเหรอครับ เขาบอกว่าไม่อยากอยู่ที่นี่เหรอ”
อีอูยอนถามคำถามเดิมซ้ำๆ
“ก็ใช่น่ะสิ เขาทั้งเหงา ทั้งเหนื่อย มันก็แน่อยู่แล้วนี่ ก็นายทำให้อินซอบเขาสนิทกับคนอื่นไม่ได้ แล้วก็ทำให้เขาคบกับนายแค่คนเดียวไม่ใช่หรือไง แบบนั้นจะทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปได้ตลอดรอดฝั่งเหรอ คนที่มีนิสัยน่ารักและชอบผู้คนอย่างอินซอบได้แห้งเหี่ยวตายพอดี”
อีอูยอนเองก็รู้จักนิสัยขี้เหงาของชเวอินซอบดี และเขาก็รู้ดีเรื่องที่อีกฝ่ายคิดถึงครอบครัวด้วยเหมือนกัน รวมไปถึงความต้องการลับๆ ที่อยากจะมีกลุ่มเพื่อน หรือคนวัยเดียวกันด้วย แต่เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากอยู่ที่นี่
“การคบใครสักครั้งนี่มันยากเหมือนกันนะครับ”
อีอูยอนพึมพำขณะเดียวกันก็หลุบตามองด้านล่าง พลางเคาะด้ามจับรถเข็นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อเห็นว่าการจู่โจมของตนได้ผล หัวหน้าทีมชาก็ได้ใจ และขึ้นเสียงสูงอย่างดีใจ
“อินซอบเขาลำบากกว่าเป็นร้อยเท่าเลย เหนือสิ่งอื่นใดก็คืออีกฝ่ายเป็นนายยังไงล่ะ เขาคงจะอึดอัดใจมาก นอกจากจะเป็นคนที่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่แล้ว ยังมีหน้าที่เป็นคนรักอีกด้วย เป็นการรวมกันที่เลวร้ายมากเลยว่าไหม แค่คิดก็…”
หัวหน้าทีมชาร้องลั่นเนื้อตัวสั่นเทา
“อย่าคิดเลยครับ ถ้าไม่โดนปืนจ่อหัว วันที่ผมจะคบกับหัวหน้าทีมชาคงมาไม่ถึงหรอก ไม่สิ ต่อให้โดนปืนจ่อหัว ผมก็จะไม่คบครับ”
อีอูยอนยิ้มน้อยๆ พร้อมกับพูดกระทบกระเทียบหัวหน้าทีมชา
“งั้นฉันขอยืมปืนนั้นก็แล้วกัน ฉันจะเอามายิงมาหัวตัวเอง”
“ฮ่าๆ โล่งอกไปทีนะครับที่เราไม่ใช่รสนิยมของกันและกัน ก็เลยไม่มีเรื่องที่จะสร้างบาดแผลชั่วชีวิตให้กัน”
“เฮ้อ อินซอบที่น่าสงสาร ไปคบกับไอ้คนแบบนั้นได้ยังไงนะ”
หัวหน้าทีมชาเดาะลิ้นพลางส่ายหัว อีอูยอนมองหัวหน้าทีมชาที่พูดเหมือนกรรมการผู้จัดการคิมโดยไม่ผิดไปสักคำพูดเดียวด้วยสีหน้านึกสนุก
“หัวหน้าทีมครับ”
“มีอะไรอีกล่ะ”
“ที่พูดเมื่อกี้น่ะ โกหกหรือเปล่าครับ”
หัวหน้าทีมชารู้สึกเจ็บแปลบ และถามกลับว่าโกหกเรื่องอะไร
“ก็สองสามวันมานี่ไม่ได้มีเรื่องอะไรแปลกๆ เลยนี่ครับ แต่จู่ๆ กลับมาบอกว่าไม่อยากอยู่ที่เกาหลี มันแปลกมากเลยนี่ครับ”
“ไม่รู้จักคำว่าจุดเดือดเหรอ จุดที่พอหยดสุดท้ายหยดลงมาก็เลยขีดจำกัดไปแล้วน่ะ เด็กอย่างอินซอบถ้าได้เปลี่ยนไปสักครั้งก็น่ากลัวนะ วันหนึ่งเขาอาจจะนั่งเครื่องบินแล้วทิ้งนายไปก็ได้ จุดเริ่มต้นของความรู้สึกน่ะเปราะบาง แต่ตอนจบน่ะ…”
รถเข็นส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดพร้อมกับเลื่อนไปข้างหน้า
