ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < A Love Marriage > 1-4

Side Story < A Love Marriage > 1-4

พิธีศพในโบสถ์เล็กๆ เรียบง่ายและไม่มีอะไรพิเศษ ที่สำหรับไว้อาลัยผู้ตายถูกเตรียมไว้หลังจากที่การสวดอันแสนน่าเบื่อของบาทหลวงจบลง บรรดาครอบครัว หรือเพื่อนๆ จะบอกว่าตัวเองรักผู้ตายแค่ไหน และเล่าว่าผู้ตายมีชีวิตที่วิเศษยังไงทีละคน

“เอ็มม่าเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่เคยเจอใครที่สนุกสนานและอบอุ่นเท่านั้นมาก่อนเลยในชีวิต แม้ว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม”

การไว้อาลัยดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและน่าเคารพ

“พอมองดูคนที่ดีมากๆ ที่อยู่กันเต็มพื้นที่แห่งนี้แล้ว ฉันรู้ได้เลยล่ะค่ะว่าเอ็มม่ามีชีวิตที่มีความสุขขนาดไหน”

อีอูยอนมองไปยังแท่นยืนสำหรับพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขามองเห็นอินซอบที่สวมสูทสีดำ และกำลังนั่งทำหน้าเศร้าใจจากใจจริงอยู่กับครอบครัว

พอลงจากเครื่องบิน เขาก็พาอินซอบไปที่บ้าน

‘พิธีศพคือช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ’

อินซอบทำตาโตให้กับคำถามของอีอูยอน

‘ทำไมครับ เพราะผมไม่ได้รับเชิญเลยไปไม่ได้เหรอ’

‘ปะ เปล่าครับ มาได้ ต้องมาได้อยู่แล้วครับ’

อินซอบโบกมือทั้งสองข้างเพื่อปฏิเสธ

‘งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ’

อีอูยอนยื่นกระเป๋าของอินซอบให้และหันหลังไป อินซอบจึงรั้งเขาไว้ด้วยการเรียกว่า ‘คุณอูยอนครับ’

‘มีอะไรเหรอครับ’

‘ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ’

‘เรื่องอะไรเหรอครับ’

‘คุณจะเหนื่อยนะครับ เพราะคุณน่าจะปรับตัวกับเวลาไม่ได้’

‘เราก็ปรับตัวกับเวลาไม่ได้เหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละครับ’

อีอูยอนตอบราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อินซอบลูบชายเสื้อ

‘กังวลอะไรขนาดนั้นล่ะครับ’

‘…ก็คุณไม่ชอบพิธีศพนี่ครับ’

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดอย่างผ่านๆ ในวันหนึ่งขึ้นมาได้ อีอูยอนใช้หลังมือแตะแก้มอินซอบเบาๆ พลางพูดว่า ‘คุณกำลังกังวลอย่างไม่จำเป็นอยู่นะ’ และยิ้มให้

ที่อเมริกาพิธีศพจะจบลงในไม่กี่ชั่วโมงต่างจากวัฒนธรรมงานศพของเกาหลีที่จัดงานกันสามวัน แต่แน่นอนว่าระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นน่าเบื่อจนยากที่จะอดทนได้ หากจะถามถึงความชอบแล้ว วัฒนธรรมงานศพของเกาหลีสบายกว่ามาก เพราะเราสามารถกลายเป็นคนที่มีมารยาทได้หากจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวนมาก

อีอูยอนไม่ละสายตาไปจากอินซอบเลยตลอดพิธีศพ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะร้องไห้ตลอดทั้งคืนจนใต้ตาบวมมากยิ่งขึ้นภายในวันเดียว ครอบครัวที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตบไหล่และแบ่งปันความเศร้าซึ่งกันและกัน

“ความกล้าหาญและการเสียสละที่เอ็มม่าแสดงให้เห็นจะอยู่เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉันค่ะ ฉันคิดถึงเธอเสียแล้วล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกกันก็ตาม”

ทุกคนหัวเราะให้กับการไว้อาลัยที่หญิงชราที่มีผมขาวพูดเสริม

จู่ๆ อีอูยอนก็นึกถึงพิธีศพของญาติที่เขาเคยเข้าร่วมตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาแล้วขับ ความเสียหายของศพจึงรุนแรงจนไม่ได้เปิดฝาโลง ความคิดที่โผล่ขึ้นมาเป็นอย่างแรกคือโชคดี เพราะเขาเกลียดการพูดคำพูดที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ต่อหน้าศพมาก บรรยากาศของงานศพที่มีเจ้าของงานเป็นเด็กชายอายุสิบหกเศร้าโศกมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็นั่งเงียบด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนที่คนรอบๆ ตัวทำ

แม่ร้องไห้ออกมาในระหว่างทางกลับบ้านหลังจากที่เสร็จจากพิธีศพ เธอรักและเป็นห่วงญาติที่ตายไปราวกับเป็นลูกของตัวเอง ไม่สิ เธออาจจะต้องการให้ฝ่ายนั้นเป็นลูกของเธอก็ได้ ญาติที่ตายไปเป็นคนที่ปกติต่างจากเขา แต่ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เพราะคนที่เลือกพลาดคือแม่ ไม่ใช่ตัวเขา

เขาได้รับข้อความทางโทรศัพท์ในระหว่างที่แม่ร้องไห้ เดิมทีวันนั้นเขามีนัดกับผู้หญิงที่เรียนเทนนิสด้วยกัน เขาถ่ายรูปตัวเองใส่สูทสีดำและยืนอยู่หน้าโบสถ์ส่งไปให้ เพราะพอเขาบอกว่าต้องไปงานศพของญาติ เธอก็งอแงบอกว่าไม่เชื่อ แต่พอเขาทำแบบนั้น เธอก็เริ่มส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่องว่า ‘วันนี้มาเจอกันในชุดนั้นไม่ได้เหรอ’

ไอ้คนไร้สติเอ๊ย การที่เขาคิดแบบนั้นพลางหัวเราะเป็นต้นตอของหายนะ แม่ที่น้ำตาไหลพรากๆ หันหลังกลับมามองพร้อมกับกรีดร้อง

‘ฟิลลิปลูกไม่เศร้ากับการที่ดีแลนตายเลยเหรอ’

‘ผมก็แสดงความเศร้าออกมาพอสมควรแล้วนะครับ’

เขาอดทนทำหน้าเศร้าตามที่คนอื่นทำ และนั่งเงียบๆ อยู่หลายชั่วโมง เขาตอบออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าเขาทำเรื่องที่ตัวเองต้องทำเสร็จหมดแล้ว

‘น้ำตาลูกไม่ไหลเลยสักหยดได้ยัง’

‘อ๋อ ต้องไหลเหรอครับ’

‘ดีแลนไม่ต่างอะไรกับพี่น้องของลูกเลยนะ!’

แม่ตวาดราวกับตำหนิ เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับญาติที่อายุเท่ากันอย่างที่เธอพูด และไม่มีปัญหาอะไรกับการคิดว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามีความรู้สึกที่พิเศษให้ และต่อให้บอกว่าน้องสาวตาย เขาก็จะทำแบบเดียวกัน อีกอย่างคือเขาไม่อยากเลียนแบบการร้องไห้ออกมาจนถึงนอกพิธีศพด้วย

‘ลูกไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยจริงๆ เหรอ’

สีหน้าของแม่ตอนที่เอ่ยถามแบบนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและความกลัว

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึก แต่เขาแค่ไม่ได้ใช้ความรู้สึกนั้นอย่างถูกต้องเท่านั้นเอง

เขาบังเอิญเห็นคนที่แอบเช็ดน้ำตาในโบสถ์บ้างเป็นบางครั้ง โบสถ์เต็มไปด้วยคนที่เศร้าเสียใจกับการตายของเธอจริงๆ ตัวเขาไม่ใช่คนที่ควรจะเศร้าเสียใจกับการตายของคนแก่ที่ไม่เคยพูดด้วยเลยสักครั้ง และชเวอินซอบไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้

ตอนที่เห็นอินซอบอยู่ในโลกที่ควรจะอยู่ ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน แม้ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนกันแล้ว แต่เขาก็อยากจะบิดข้อมืออีกฝ่ายอย่างแรงและพามาอยู่ข้างๆ ตัวเองอยู่ดี

เขารู้สึกว่ามีคนมอง อินซอบที่นั่งอยู่ข้างหน้ากำลังมองเขาอยู่ อีอูยอนพยักหน้ารับรู้เบาๆ ส่วนอินซอบก็ใช้สายตาตอบกลับมา พออินซอบหันกลับไป แอรอนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายก็หันกลับมามองทางนี้ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู

ไอ้เหี้ยเอ๊ย

สักวันเราคงต้องแหกขาของอินซอบแล้วมีอะไรกันต่อหน้าไอ้หมอนั่นสักครั้ง

อีอูยอนคิดอย่างนั้นและกลั้นหัวเราะ ถ้าอินซอบรู้ว่าคนรักของตัวเองกำลังคิดเรื่องแบบนั้นในสถานที่จัดพิธีศพของคุณยายที่รักมากๆ คงจะได้รังเกียจกันในคราวนี้อย่างแน่นอน

เขาไม่อยากทำผิดเรื่องเดิมๆ อีกเป็นครั้งที่สอง

พอทักทายอินซอบอย่างสั้นๆ หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็แยกตัวออกมานั่งไกลๆ และไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย นี่เป็นระยะห่างที่เหมาะสมแล้ว

เขาลูบแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วก้อยอย่างเคยชิน

ตอนนั้นเองก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านหน้า และคนก็เริ่มมุงกัน ตรงนั้นเป็นที่ที่อินซอบนั่ง

“ปีเตอร์ ทำใจดีๆ ไว้ ปีเตอร์”

อีอูยอนลุกขึ้นและวิ่งไปข้างหน้าทันที อินซอบที่เป็นลมล้มพับอยู่ที่พื้นถูกกอดเอาไว้ในอ้อมกอดของแอรอน

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เวียนหัวนิดหน่อย…”

อินซอบยิ้มอย่างอ่อนแรงและพยายามจะลุกขึ้น

“ไข้ขึ้นนิดๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว แม่บอกแล้วไงว่าให้พัก”

“ไม่ต้องเป็นห่วงครับแม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผมเป็นแบบนี้เพราะว่าไม่ได้นอนเท่านั้นเอง”

“ไม่ได้ กลับไปพักที่บ้านสักหน่อยเถอะ”

แม่ของอินซอบมีสีหน้าเป็นห่วง

“ใช่ ไปพักที่บ้านดีกว่านะ เมื่อวานก็เพิ่งกลับมาถึงเอง มันน่าจะหนักเกินไปสำหรับพี่”

อินซอบส่ายหน้าให้กับคำพูดของแอรอน

“ถ้านั่งพักสักหน่อย…”

“กลับบ้านเถอะครับ”

เสียงที่ได้ยินจากบนหัวทำให้สายตาของครอบครัวขยับอย่างพร้อมเพรียงกัน อีอูยอนคุกเข่าข้างหนึ่งนั่งลงข้างๆ อินซอบ

“ลุกไหวไหมครับ”

อินซอบตอบว่า “ครับ” และลุกขึ้น อีอูยอนจึงช่วยจับให้เขาลุก

“ผมพาไปเองครับ”

“ไม่เป็นระ…”

อินซอบที่กำลังจะตอบว่าไม่เป็นไรปิดปากเงียบทันทีที่เห็นสายตาที่น่ากลัวของอีอูยอน

“เดี๋ยวผมพากลับบ้านเอง แบบนั้นพี่เขาน่าจะสะดวกใจกว่า”

แอรอนหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าพลางก้าวออกมา

“แอรอน”

อินซอบเอ่ยเรียกน้องชายของตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มให้อย่างเงียบๆ และพูดต่อ

“นายต้องบอกลาคุณยายแทนฉันสิ”

“…เข้าใจแล้ว”

แอรอนพยักหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ อินซอบขออนุญาตพ่อแม่และลุกขึ้น

“อยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ”

หลังจากพูดแบบนั้น อีอูยอนก็ไปเอารถมารับอินซอบ พออินซอบขึ้นมาบนรถ อีอูยอนก็ใช้มือแตะหน้าผากของอีกฝ่ายทันที

“มีไข้นิดหน่อยนะ”

อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย อินซอบยิ้มเจื่อนให้

“นอนเถอะครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมจะปลุก”

“…ขอโทษครับ”

อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบแทนคำตอบ จากนั้นก็พูดราวกับกล่อมเด็กว่า “รีบนอนเถอะ” อินซอบหลับตาลง สติของเขาลอยไปลอยมาราวกับเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างการรู้สึกตัวและการนอนหลับ

“คุณอินซอบ”

แม้จะได้ยินเสียงที่เอ่ยเรียกตนแบบนั้น แต่อินซอบก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ง่ายๆ

“กุญแจอยู่ที่ไหนเหรอครับ อยู่ในกระเป๋าหรือเปล่า”

เขาพยักหน้าให้กับคำถามนั้นอย่างยากลำบาก และรู้สึกเหมือนตัวลอยหวิว ใครบางคนอุ้มเขาขึ้นบันได เขาได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันไดไม้ อินซอบชอบเสียงนั้นมาก จนบางครั้งถ้าเขาฝันถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก ก็จะมีภาพที่เดินขึ้นๆ ลงๆ บันไดโผล่มาด้วย

ห้องที่มีโปสเตอร์ของภาพยนตร์ที่ชอบติดเอาไว้ ผ้าม่านสีเบจที่ปลิวจากลม ชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือที่เปื้อนรอยนิ้วมือเสียบไว้จนแน่น…และเด็กผู้ชายคนนั้น

อินซอบกะพริบตาอย่างมึนงง เขาแยกไม่ออกว่าเป็นฝันหรือความจริง และเป็นแบบนั้นอยู่สักพัก

“ตื่นแล้วเหรอครับ”

เด็กชายที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างและกำลังอ่านหนังสืออยู่ ไม่สิ ผู้ชายที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างและอ่านหนังสืออยู่ปิดหนังสือลงพลางเอ่ยถาม

“…ทำไม…ถึงอยู่ที่นี่…”

อีอูยอนนั่งลงตรงหัวเตียงและลูบผมอินซอบขึ้นแทนคำตอบ การขยับมือนั้นอ่อนโยนมาก

“คุณอินซอบเป็นลมไป ผมเลยพามาครับ จำไม่ได้เหรอครับ”

ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้เข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญหน้าอยู่

“ต้องกินอะไรหน่อยนะ”

“ผมไม่อยากกินเลยครับ”

“งั้นดื่มน้ำหน่อยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ”

“คุณอินซอบ”

อีอูยอนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเขาแล้ว

“ถ้าคุณเป็นแบบนี้จะแย่เอานะ”

“…”

“คุณไม่ยอมกินข้าว แล้วก็ไม่ยอมนอนด้วย”

“…ขอโทษครับ”

อีอูยอนดีดปลายจมูกกลมๆ ของอินซอบเบาๆ

“ทำไมถึงทำเรื่องที่จะต้องขอโทษล่ะ”

“…ขอโทษจริงๆ ครับ”

อินซอบไม่ยอมสบตาและขอโทษราวกับพึมพำ

“ถ้าคุณยอมบอกว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน ผมจะเอาของกินจากตู้เย็นมาให้ครับ แม้จะเสียมารยาทก็ตาม”

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมไปเองครับ ไม่เป็นไร”

อินซอบกำลังจะลุกขึ้น แต่อีอูยอนกลับจับให้อินซอบนอนลงบนเตียงอีกครั้ง

“อย่าทำเรื่องที่จะต้องขอโทษทีหลังเพิ่มเลยครับ”

ตอนที่ป่วย อินซอบต้องทำตามคำพูดของอีอูยอนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม นั่นเป็นสัญญาระหว่างพวกเขาสองคน

“…ถ้าคุณเดินจากห้องนั่งเล่นไปตามทางเดินทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นหัวครัวครับ คุณจะเห็นเลยครับ”

“มีของที่อยากกินเป็นพิเศษไหมครับ”

อินซอบยิ้มพลางส่ายหน้า

“งั้นผมจะเอาให้ประมาณหนึ่งนะครับ”

อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบก่อนจะปิดประตูห้องและเดินหายไป อินซอบที่เหลืออยู่คนเดียวมองเพดานอย่างเหม่อลอย

เนื่องจากตอนเด็กๆ เขานอนใช้เวลาอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน นี่จึงเป็นภาพที่คุ้นเคยมาก

“ปีเตอร์ เด็กน้อยที่รักของยาย”

น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นในหู ความเศร้าที่ถูกผลักออกไปสักพักกลับเข้ามาใหม่ ความรู้สึกที่เหมือนกับจมลงไปในน้ำอุ่นๆ ในคอทำให้อินซอบต้องสูดลมหายใจเข้าไป ตาของเขาบูดบวมและร้อนผ่าว อินซอบรีบใช้หลังมือเช็ดตา

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท