พิธีศพในโบสถ์เล็กๆ เรียบง่ายและไม่มีอะไรพิเศษ ที่สำหรับไว้อาลัยผู้ตายถูกเตรียมไว้หลังจากที่การสวดอันแสนน่าเบื่อของบาทหลวงจบลง บรรดาครอบครัว หรือเพื่อนๆ จะบอกว่าตัวเองรักผู้ตายแค่ไหน และเล่าว่าผู้ตายมีชีวิตที่วิเศษยังไงทีละคน
“เอ็มม่าเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ค่ะ ฉันไม่เคยเจอใครที่สนุกสนานและอบอุ่นเท่านั้นมาก่อนเลยในชีวิต แม้ว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม”
การไว้อาลัยดำเนินต่อไปท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่นและน่าเคารพ
“พอมองดูคนที่ดีมากๆ ที่อยู่กันเต็มพื้นที่แห่งนี้แล้ว ฉันรู้ได้เลยล่ะค่ะว่าเอ็มม่ามีชีวิตที่มีความสุขขนาดไหน”
อีอูยอนมองไปยังแท่นยืนสำหรับพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขามองเห็นอินซอบที่สวมสูทสีดำ และกำลังนั่งทำหน้าเศร้าใจจากใจจริงอยู่กับครอบครัว
พอลงจากเครื่องบิน เขาก็พาอินซอบไปที่บ้าน
‘พิธีศพคือช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ’
อินซอบทำตาโตให้กับคำถามของอีอูยอน
‘ทำไมครับ เพราะผมไม่ได้รับเชิญเลยไปไม่ได้เหรอ’
‘ปะ เปล่าครับ มาได้ ต้องมาได้อยู่แล้วครับ’
อินซอบโบกมือทั้งสองข้างเพื่อปฏิเสธ
‘งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ’
อีอูยอนยื่นกระเป๋าของอินซอบให้และหันหลังไป อินซอบจึงรั้งเขาไว้ด้วยการเรียกว่า ‘คุณอูยอนครับ’
‘มีอะไรเหรอครับ’
‘ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ’
‘เรื่องอะไรเหรอครับ’
‘คุณจะเหนื่อยนะครับ เพราะคุณน่าจะปรับตัวกับเวลาไม่ได้’
‘เราก็ปรับตัวกับเวลาไม่ได้เหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละครับ’
อีอูยอนตอบราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร อินซอบลูบชายเสื้อ
‘กังวลอะไรขนาดนั้นล่ะครับ’
‘…ก็คุณไม่ชอบพิธีศพนี่ครับ’
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะนึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดอย่างผ่านๆ ในวันหนึ่งขึ้นมาได้ อีอูยอนใช้หลังมือแตะแก้มอินซอบเบาๆ พลางพูดว่า ‘คุณกำลังกังวลอย่างไม่จำเป็นอยู่นะ’ และยิ้มให้
ที่อเมริกาพิธีศพจะจบลงในไม่กี่ชั่วโมงต่างจากวัฒนธรรมงานศพของเกาหลีที่จัดงานกันสามวัน แต่แน่นอนว่าระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้นน่าเบื่อจนยากที่จะอดทนได้ หากจะถามถึงความชอบแล้ว วัฒนธรรมงานศพของเกาหลีสบายกว่ามาก เพราะเราสามารถกลายเป็นคนที่มีมารยาทได้หากจ่ายเงินช่วยเหลือจำนวนมาก
อีอูยอนไม่ละสายตาไปจากอินซอบเลยตลอดพิธีศพ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะร้องไห้ตลอดทั้งคืนจนใต้ตาบวมมากยิ่งขึ้นภายในวันเดียว ครอบครัวที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาตบไหล่และแบ่งปันความเศร้าซึ่งกันและกัน
“ความกล้าหาญและการเสียสละที่เอ็มม่าแสดงให้เห็นจะอยู่เป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉันค่ะ ฉันคิดถึงเธอเสียแล้วล่ะค่ะ ถึงแม้ว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกกันก็ตาม”
ทุกคนหัวเราะให้กับการไว้อาลัยที่หญิงชราที่มีผมขาวพูดเสริม
จู่ๆ อีอูยอนก็นึกถึงพิธีศพของญาติที่เขาเคยเข้าร่วมตอนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาแล้วขับ ความเสียหายของศพจึงรุนแรงจนไม่ได้เปิดฝาโลง ความคิดที่โผล่ขึ้นมาเป็นอย่างแรกคือโชคดี เพราะเขาเกลียดการพูดคำพูดที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ ต่อหน้าศพมาก บรรยากาศของงานศพที่มีเจ้าของงานเป็นเด็กชายอายุสิบหกเศร้าโศกมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็นั่งเงียบด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนที่คนรอบๆ ตัวทำ
แม่ร้องไห้ออกมาในระหว่างทางกลับบ้านหลังจากที่เสร็จจากพิธีศพ เธอรักและเป็นห่วงญาติที่ตายไปราวกับเป็นลูกของตัวเอง ไม่สิ เธออาจจะต้องการให้ฝ่ายนั้นเป็นลูกของเธอก็ได้ ญาติที่ตายไปเป็นคนที่ปกติต่างจากเขา แต่ไม่ว่ายังไง มันก็เป็นปัญหาที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เพราะคนที่เลือกพลาดคือแม่ ไม่ใช่ตัวเขา
เขาได้รับข้อความทางโทรศัพท์ในระหว่างที่แม่ร้องไห้ เดิมทีวันนั้นเขามีนัดกับผู้หญิงที่เรียนเทนนิสด้วยกัน เขาถ่ายรูปตัวเองใส่สูทสีดำและยืนอยู่หน้าโบสถ์ส่งไปให้ เพราะพอเขาบอกว่าต้องไปงานศพของญาติ เธอก็งอแงบอกว่าไม่เชื่อ แต่พอเขาทำแบบนั้น เธอก็เริ่มส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่องว่า ‘วันนี้มาเจอกันในชุดนั้นไม่ได้เหรอ’
ไอ้คนไร้สติเอ๊ย การที่เขาคิดแบบนั้นพลางหัวเราะเป็นต้นตอของหายนะ แม่ที่น้ำตาไหลพรากๆ หันหลังกลับมามองพร้อมกับกรีดร้อง
‘ฟิลลิปลูกไม่เศร้ากับการที่ดีแลนตายเลยเหรอ’
‘ผมก็แสดงความเศร้าออกมาพอสมควรแล้วนะครับ’
เขาอดทนทำหน้าเศร้าตามที่คนอื่นทำ และนั่งเงียบๆ อยู่หลายชั่วโมง เขาตอบออกไปแบบนั้นเพราะคิดว่าเขาทำเรื่องที่ตัวเองต้องทำเสร็จหมดแล้ว
‘น้ำตาลูกไม่ไหลเลยสักหยดได้ยัง’
‘อ๋อ ต้องไหลเหรอครับ’
‘ดีแลนไม่ต่างอะไรกับพี่น้องของลูกเลยนะ!’
แม่ตวาดราวกับตำหนิ เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับญาติที่อายุเท่ากันอย่างที่เธอพูด และไม่มีปัญหาอะไรกับการคิดว่าเป็นพี่น้องกัน เพราะรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขามีความรู้สึกที่พิเศษให้ และต่อให้บอกว่าน้องสาวตาย เขาก็จะทำแบบเดียวกัน อีกอย่างคือเขาไม่อยากเลียนแบบการร้องไห้ออกมาจนถึงนอกพิธีศพด้วย
‘ลูกไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยจริงๆ เหรอ’
สีหน้าของแม่ตอนที่เอ่ยถามแบบนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและความกลัว
ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีความรู้สึก แต่เขาแค่ไม่ได้ใช้ความรู้สึกนั้นอย่างถูกต้องเท่านั้นเอง
เขาบังเอิญเห็นคนที่แอบเช็ดน้ำตาในโบสถ์บ้างเป็นบางครั้ง โบสถ์เต็มไปด้วยคนที่เศร้าเสียใจกับการตายของเธอจริงๆ ตัวเขาไม่ใช่คนที่ควรจะเศร้าเสียใจกับการตายของคนแก่ที่ไม่เคยพูดด้วยเลยสักครั้ง และชเวอินซอบไม่มีทางที่จะไม่รู้เรื่องนี้
ตอนที่เห็นอินซอบอยู่ในโลกที่ควรจะอยู่ ท้องไส้ของเขาปั่นป่วน แม้ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนกันแล้ว แต่เขาก็อยากจะบิดข้อมืออีกฝ่ายอย่างแรงและพามาอยู่ข้างๆ ตัวเองอยู่ดี
เขารู้สึกว่ามีคนมอง อินซอบที่นั่งอยู่ข้างหน้ากำลังมองเขาอยู่ อีอูยอนพยักหน้ารับรู้เบาๆ ส่วนอินซอบก็ใช้สายตาตอบกลับมา พออินซอบหันกลับไป แอรอนที่นั่งอยู่ข้างๆ อีกฝ่ายก็หันกลับมามองทางนี้ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู
ไอ้เหี้ยเอ๊ย
สักวันเราคงต้องแหกขาของอินซอบแล้วมีอะไรกันต่อหน้าไอ้หมอนั่นสักครั้ง
อีอูยอนคิดอย่างนั้นและกลั้นหัวเราะ ถ้าอินซอบรู้ว่าคนรักของตัวเองกำลังคิดเรื่องแบบนั้นในสถานที่จัดพิธีศพของคุณยายที่รักมากๆ คงจะได้รังเกียจกันในคราวนี้อย่างแน่นอน
เขาไม่อยากทำผิดเรื่องเดิมๆ อีกเป็นครั้งที่สอง
พอทักทายอินซอบอย่างสั้นๆ หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เขาก็แยกตัวออกมานั่งไกลๆ และไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย นี่เป็นระยะห่างที่เหมาะสมแล้ว
เขาลูบแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วก้อยอย่างเคยชิน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงเอะอะมาจากด้านหน้า และคนก็เริ่มมุงกัน ตรงนั้นเป็นที่ที่อินซอบนั่ง
“ปีเตอร์ ทำใจดีๆ ไว้ ปีเตอร์”
อีอูยอนลุกขึ้นและวิ่งไปข้างหน้าทันที อินซอบที่เป็นลมล้มพับอยู่ที่พื้นถูกกอดเอาไว้ในอ้อมกอดของแอรอน
“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่เวียนหัวนิดหน่อย…”
อินซอบยิ้มอย่างอ่อนแรงและพยายามจะลุกขึ้น
“ไข้ขึ้นนิดๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว แม่บอกแล้วไงว่าให้พัก”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับแม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ผมเป็นแบบนี้เพราะว่าไม่ได้นอนเท่านั้นเอง”
“ไม่ได้ กลับไปพักที่บ้านสักหน่อยเถอะ”
แม่ของอินซอบมีสีหน้าเป็นห่วง
“ใช่ ไปพักที่บ้านดีกว่านะ เมื่อวานก็เพิ่งกลับมาถึงเอง มันน่าจะหนักเกินไปสำหรับพี่”
อินซอบส่ายหน้าให้กับคำพูดของแอรอน
“ถ้านั่งพักสักหน่อย…”
“กลับบ้านเถอะครับ”
เสียงที่ได้ยินจากบนหัวทำให้สายตาของครอบครัวขยับอย่างพร้อมเพรียงกัน อีอูยอนคุกเข่าข้างหนึ่งนั่งลงข้างๆ อินซอบ
“ลุกไหวไหมครับ”
อินซอบตอบว่า “ครับ” และลุกขึ้น อีอูยอนจึงช่วยจับให้เขาลุก
“ผมพาไปเองครับ”
“ไม่เป็นระ…”
อินซอบที่กำลังจะตอบว่าไม่เป็นไรปิดปากเงียบทันทีที่เห็นสายตาที่น่ากลัวของอีอูยอน
“เดี๋ยวผมพากลับบ้านเอง แบบนั้นพี่เขาน่าจะสะดวกใจกว่า”
แอรอนหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋าพลางก้าวออกมา
“แอรอน”
อินซอบเอ่ยเรียกน้องชายของตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มให้อย่างเงียบๆ และพูดต่อ
“นายต้องบอกลาคุณยายแทนฉันสิ”
“…เข้าใจแล้ว”
แอรอนพยักหน้าด้วยสีหน้าไม่พอใจ อินซอบขออนุญาตพ่อแม่และลุกขึ้น
“อยู่ตรงนี้สักครู่นะครับ”
หลังจากพูดแบบนั้น อีอูยอนก็ไปเอารถมารับอินซอบ พออินซอบขึ้นมาบนรถ อีอูยอนก็ใช้มือแตะหน้าผากของอีกฝ่ายทันที
“มีไข้นิดหน่อยนะ”
อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย อินซอบยิ้มเจื่อนให้
“นอนเถอะครับ เดี๋ยวถึงแล้วผมจะปลุก”
“…ขอโทษครับ”
อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบแทนคำตอบ จากนั้นก็พูดราวกับกล่อมเด็กว่า “รีบนอนเถอะ” อินซอบหลับตาลง สติของเขาลอยไปลอยมาราวกับเคลื่อนตัวอยู่ระหว่างการรู้สึกตัวและการนอนหลับ
“คุณอินซอบ”
แม้จะได้ยินเสียงที่เอ่ยเรียกตนแบบนั้น แต่อินซอบก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ง่ายๆ
“กุญแจอยู่ที่ไหนเหรอครับ อยู่ในกระเป๋าหรือเปล่า”
เขาพยักหน้าให้กับคำถามนั้นอย่างยากลำบาก และรู้สึกเหมือนตัวลอยหวิว ใครบางคนอุ้มเขาขึ้นบันได เขาได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของบันไดไม้ อินซอบชอบเสียงนั้นมาก จนบางครั้งถ้าเขาฝันถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก ก็จะมีภาพที่เดินขึ้นๆ ลงๆ บันไดโผล่มาด้วย
ห้องที่มีโปสเตอร์ของภาพยนตร์ที่ชอบติดเอาไว้ ผ้าม่านสีเบจที่ปลิวจากลม ชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือที่เปื้อนรอยนิ้วมือเสียบไว้จนแน่น…และเด็กผู้ชายคนนั้น
อินซอบกะพริบตาอย่างมึนงง เขาแยกไม่ออกว่าเป็นฝันหรือความจริง และเป็นแบบนั้นอยู่สักพัก
“ตื่นแล้วเหรอครับ”
เด็กชายที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างและกำลังอ่านหนังสืออยู่ ไม่สิ ผู้ชายที่นั่งพิงกรอบหน้าต่างและอ่านหนังสืออยู่ปิดหนังสือลงพลางเอ่ยถาม
“…ทำไม…ถึงอยู่ที่นี่…”
อีอูยอนนั่งลงตรงหัวเตียงและลูบผมอินซอบขึ้นแทนคำตอบ การขยับมือนั้นอ่อนโยนมาก
“คุณอินซอบเป็นลมไป ผมเลยพามาครับ จำไม่ได้เหรอครับ”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้เข้าใจสถานการณ์ที่เผชิญหน้าอยู่
“ต้องกินอะไรหน่อยนะ”
“ผมไม่อยากกินเลยครับ”
“งั้นดื่มน้ำหน่อยนะครับ”
“ไม่เป็นไรครับ”
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวด รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของเขาแล้ว
“ถ้าคุณเป็นแบบนี้จะแย่เอานะ”
“…”
“คุณไม่ยอมกินข้าว แล้วก็ไม่ยอมนอนด้วย”
“…ขอโทษครับ”
อีอูยอนดีดปลายจมูกกลมๆ ของอินซอบเบาๆ
“ทำไมถึงทำเรื่องที่จะต้องขอโทษล่ะ”
“…ขอโทษจริงๆ ครับ”
อินซอบไม่ยอมสบตาและขอโทษราวกับพึมพำ
“ถ้าคุณยอมบอกว่าห้องครัวอยู่ตรงไหน ผมจะเอาของกินจากตู้เย็นมาให้ครับ แม้จะเสียมารยาทก็ตาม”
“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมไปเองครับ ไม่เป็นไร”
อินซอบกำลังจะลุกขึ้น แต่อีอูยอนกลับจับให้อินซอบนอนลงบนเตียงอีกครั้ง
“อย่าทำเรื่องที่จะต้องขอโทษทีหลังเพิ่มเลยครับ”
ตอนที่ป่วย อินซอบต้องทำตามคำพูดของอีอูยอนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม นั่นเป็นสัญญาระหว่างพวกเขาสองคน
“…ถ้าคุณเดินจากห้องนั่งเล่นไปตามทางเดินทางฝั่งซ้ายมือจะเป็นหัวครัวครับ คุณจะเห็นเลยครับ”
“มีของที่อยากกินเป็นพิเศษไหมครับ”
อินซอบยิ้มพลางส่ายหน้า
“งั้นผมจะเอาให้ประมาณหนึ่งนะครับ”
อีอูยอนจูบหน้าผากอินซอบก่อนจะปิดประตูห้องและเดินหายไป อินซอบที่เหลืออยู่คนเดียวมองเพดานอย่างเหม่อลอย
เนื่องจากตอนเด็กๆ เขานอนใช้เวลาอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน นี่จึงเป็นภาพที่คุ้นเคยมาก
“ปีเตอร์ เด็กน้อยที่รักของยาย”
น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นในหู ความเศร้าที่ถูกผลักออกไปสักพักกลับเข้ามาใหม่ ความรู้สึกที่เหมือนกับจมลงไปในน้ำอุ่นๆ ในคอทำให้อินซอบต้องสูดลมหายใจเข้าไป ตาของเขาบูดบวมและร้อนผ่าว อินซอบรีบใช้หลังมือเช็ดตา