“คุณอินซอบ?”
อินซอบหันหน้าไป เพราะเสียงของผู้ชายที่ได้ยินจากทางด้านหลัง อีอูยอนที่ตื่นตกใจวางขวดน้ำที่ถืออยู่ในมือลง และวิ่งมาหาอินซอบ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
มือที่ใหญ่โตจับแขนของอินซอบไว้ วินาทีที่สัมผัสถึงอุณหภูมิของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าจิตใจอันอ่อนแอที่อดทนไว้อย่างยากลำบากได้พังทลายลงมา
“ไปโรงพยาบาลไหมครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงสั่นไหว อินซอบส่ายหน้า ฝ่ายมือใหญ่แตะเข้าที่หน้าผาก
“ไข้สูงมากเลยครับ กลับไปที่เตียง…”
“…กัน…”
“ครับ?”
“…ไปด้วยกันครับ”
อินซอบกระชับฝ่ามือที่จับชายเสื้อของอีอูยอนไว้ อีอูยอนก้มมองมือของอินซอบราวกับมึนงงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าทันที จากนั้นก็ก้มตัวและอุ้มอินซอบขึ้นมา
“กอดคอผมไว้ครับ”
อินซอบที่มักจะบอกว่าสามารถเดินไปเองได้หากเป็นเวลาปกติใช้แขนโอบตามที่อีอูยอนสั่งอย่างง่ายดาย
อีอูยอนวางอินซอบลงบนเตียง
“คุณอินซอบ”
“…ครับ”
อินซอบหลับตาลง เขาเวียนหัวและตาลาย เพราะการขยับตัวอย่างกะทันหัน
“ผมลงไปเอาน้ำแล้วเดี๋ยวจะขึ้นมานะครับ เพราะดูเหมือนว่าคุณอินซอบต้องกินยา”
“…อื้อ”
“ผมจะไปเอาขวดน้ำที่วางไว้ตรงทางเดินขึ้นมานะครับ”
แม้จะไม่อยู่เพียงครู่เดียว แต่อีอูยอนก็ค่อยๆ อธิบายอย่างใจดี พออินซอบพยักหน้า อีอูยอนก็เอาขวดน้ำมาและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากเช็กอุณหภูมิด้วยปรอทวัดไข้แล้ว เขาก็เขย่าอินซอบหลับไปให้ตื่นขึ้น
“คุณอินซอบ ผมว่าคุณต้องกินยานะครับ เพราะไข้สูงมากเลย”
“…ผมไม่…อยากกินครับ”
“ถึงอย่างไงก็ต้องกินนะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับเกลี้ยกล่อมเด็กเล็กๆ เขาจะจิตใจอ่อนแอในตอนที่ป่วย จนถึงกับอยากพึ่งพิงโดยไม่ลังเล แม้ว่าใครสักคนจะทำตัวอ่อนโยนด้วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
อินซอบจับอีกฝ่ายไว้ และน้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากก็ไหลลงมา
“เจ็บมากเหรอ”
เขาพยักหน้าให้กับคำถามของอีกฝ่าย เขาทั้งเจ็บทั้งกลัว และมันก็ลำบากมากเพราะไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้จะคร่ำครวญอยู่สักพักและลืมตาขึ้น แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี ราวกับว่าความเจ็บเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว
“ไปโรงพยาบาลไหม”
“…ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลครับ”
“สิ่งที่ไม่ชอบเยอะมากเลยนะ”
มือใหญ่เช็ดหน้าผากที่เปียกเหงื่อให้ อินซอบหลับตาและพึมพำว่า “ดีจังเลยครับ”
“อะไรดีเหรอ”
“…ที่คุณใช้มือ…ทำแบบนี้ให้”
อินซอบถูแก้มกับมือใหญ่ราวกับออดอ้อน เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ถูกกดไว้เบาๆ อินซอบลืมตาขึ้นมาราวกับสงสัย
“…ทำไมคุณถึงยังสวยแม้กระทั่งตอนป่วย…”
อีอูยอนที่ส่งเสียงพึมพำปนกับเสียงลมหายใจตีแก้มอินซอบเบาๆ
“ถึงจะไม่ชอบก็ต้องกินยานะครับ ถ้าอยากให้ไข้ลดลงก็ต้องกินยาสิครับ หรือจะไปโรงพยาบาลล่ะ”
อินซอบลุกขึ้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ อีอูยอนหยิบยาออกมาใส่ปากอินซอบและป้อนน้ำให้ อินซอบขมวดคิ้ว เพราะความรู้สึกไม่สบายขณะที่กลืนเม็ดยาลงไป
“ขมเหรอครับ ผมเอาลูกอมให้ไหม”
อินซอบหัวเราะเบาๆ ให้ลักษณะการพูดที่ใช้กับเด็กเล็ก วินาทีนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็แตะเข้ามา มันเป็นการจูบที่สั้นราวกับกัดไอศกรีมกิน ชายหนุ่มกำลังมองอินซอบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนในระยะที่เหมือนปลายจมูกจะชนกัน
“…ขอโทษครับ ที่ผมแตะต้องคนป่วย”
อีอูยอนจับอินซอบให้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง อินซอบพลิกตัว เข้ารู้สึกคลื่นไส้ เพราะกินยาเม็ดในตอนที่ท้องว่าง
“คลื่นไส้เหรอครับ”
อีอูยอนรับรู้ถึงอาการของอินซอบได้อย่างรวดเร็วและเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้า เขาจึงพาอินซอบไปห้องน้ำ แม้จะรู้สึกอยากอาเจียน และเกาะอ่างล้างหน้าอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา อินซอบบ้วนปาก และกลับไปที่เตียงอีกครั้ง
“ดื่มน้ำไหมครับ”
อินซอบส่ายหน้า
“ผมอ่านหนังสือให้ฟังไหม”
“…ไม่เป็นไรครับ”
อีอูยอนเสยผมของอินซอบขึ้นไปเบาๆ สายตาที่มีความกังวลเจืออยู่ของเขาเฝ้าร่างกายที่ขาวซีดและผอมบางของอินซอบไว้ไม่ห่าง
“คุณอินซอบ”
“…ครับ”
“อยากให้ผมทำอะไรให้ไหมครับ”
น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน อินซอบหลับตา เพราะเสียงของชายหนุ่มที่สัมผัสที่หู ความเศร้าที่ถูกยัดเก็บไว้ในซอกหนึ่งของความทรงจำพุ่งขึ้นมา
“…ผมรอนะครับ”
เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ การบ่นที่ไม่เคยทำเลยสักครั้งถึงออกมาจากปาก
“ครับ?”
“ที่ผ่าตัดตอนนั้น…ผมรออยู่ตลอดเลย…เพราะผมอยากเห็นหน้า…”
ตั้งแต่ตอนที่โดนแทงและลืมตาขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วย อินซอบรออีอูยอนอยู่ตลอด เขาหวังให้อีกฝ่ายถือกระเช้าดอกไม้มาหาและฉีกยิ้มอย่างหน้าตาเฉยเป็นพิเศษพร้อมกับทักทายตน แม้มันอาจจะเป็นการลาจากก็ได้
แต่พอเขาออกจากโรงพยาบาล และอยู่ในระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่เกาหลีและเตรียมตัวไปอเมริกา อีอูยอนก็ไม่เคยมาหาเขาสักครั้ง
“…เพราะผมไม่มีความกล้า”
น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ถูกกดให้ต่ำปะปนกับความง่วงที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
“ถ้าเจอคุณ ผมจะไม่มีความกล้าที่จะปล่อยคุณไปอเมริกา…ขอโทษนะครับ ที่เป็นคนแบบนี้”
ริมฝีปากอ่อนนุ่มกดจูบที่หน้าผากจนเกิดเสียงดัง จุ๊บ ก่อนจะผละออกไป อินซอบรออีกฝ่ายทุกวัน ทุกวินาที เขาหวังให้อีกฝ่ายเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้ามา เขาหวังให้อีกฝ่ายยิ้มพลางเดินเข้ามา
“ขอโทษครับ คุณอินซอบ…แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไปทุกวันนะครับ”
มือที่ใหญ่โตของชายหนุ่มลูบหน้าผากของอินซอบเบาๆ เขาหลับตาลง เพราะความง่วงที่ถาโถมเข้ามากับฤทธิ์ยา
“…ทุกวัน…ข้างหน้า…จนถึงเช้า…”
ชายหนุ่มปลอบอินซอบด้วยน้ำเสียงที่ถูกกดให้ต่ำลงราวกับสารภาพความผิดบาปที่ตัวเองได้ก่อขึ้น
“…เพราะผมอยาก…คุณ…”
มือที่ใหญ่โตลูบผมอย่างระมัดระวังต่อไป เขารู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งผ่านดวงตาที่ปิดอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหงาหรือเศร้าเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว
***
อินซอบที่ตื่นขึ้นอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองฝันถึงตอนที่อยู่อเมริกา
อินซอบลุกขึ้น เขานอนไม่หลับและพลิกตัวไปมา พอถึงตอนเช้ามืดเขาก็กินยาและหลับตาลง
กี่โมงแล้ว
อินซอบมองนาฬิกาและลงจากเตียง อีอูยอนที่เห็นในฝันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาที่อาบน้ำ
‘…ผมมานั่งที่ม้านั่งหน้าโรงพยาบาลทุกวันเลยครับ จนถึงเช้า…’
เขานึกถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าโรงพยาบาลคนเดียว
‘…เพราะผมคิดถึงคุณ…’
อินซอบปิดฝักบัว สายน้ำที่เทลงมาบนหัวหยุดลง
เขาคิดถึงอีอูยอน
***
อีอูยอนอารมณ์ไม่ดี เขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขารู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์กับอินซอบ
“ได้ยินว่ามีร้านอาหารปักกิ่งที่พอใช้ได้อยู่ที่นี่ ไว้คราวหน้าเรามากินด้วยกันนะครับ”
อินซอบไม่ตอบอะไรกับคำพูดที่พูดไปแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง
“คุณอินซอบ?”
[อ๋อ ครับ เข้าใจแล้วครับ ไว้ไปด้วยกันนะครับ]
อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับคำตอบที่ช้าไปหนึ่งจังหวะ
“ไม่ชอบอาหารปักกิ่งเหรอ”
[เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมชอบครับ ได้ยินว่าวิวตอนกลางคืนที่มองเห็นจากโรงแรมที่คุณอีอูยอนพักสวยมากเลย…]
อีอูยอนเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจ
“ใช่ครับ สวยครับ”
แม้จะไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรเป็นพิเศษกับวิวตอนกลางคืน แต่เขาก็ตอบอย่างลวกๆ ไปแบบนั้น อินซอบหัวเราะแหะๆ พลางพูดว่า ‘เดี๋ยวถ่ายรูปส่งมาให้ด้วยนะครับ’
หลังจากวางสาย อีอูยอนถ่ายรูปวิวตอนกลางคืนที่มองเห็นจากโรงแรมไปหลายรูป และส่งรูปที่ออกมาดูดีที่สุดให้อินซอบ
อินซอบตอบกลับมาว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ อีอูยอนอ่านข้อความนั้นซ้ำๆ
บอกว่าราตรีสวัสดิ์งั้นเหรอ
แม้จะรออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีการติดต่ออะไรจากอินซอบอีก อีอูยอนนอนลงบนเตียง และทบทวนถึงการคุยโทรศัพท์วันนี้
แม่งเอ๊ย นี่เราพูดอะไรแย่ๆ ออกไปเหรอ
แม้จะคิดทบทวนอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มีคำตอบออกมา เขาโทรศัพท์ไปอีกทีในตอนเช้า เพราะไม่สามารถปลุกอินซอบที่นอนหลับไปตอนกลางดึกได้ แต่อินซอบก็ไม่รับสาย
[เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ผมเป็นห่วงนะ ติดต่อมาหน่อยครับ]
แม้อินซอบจะโทรกลับมาในช่วงเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถรับได้ เพราะอยู่ในช่วงสำคัญของพิธีมอบรางวัล เขาโทรศัพท์หาอินซอบทันทีที่พิธีมอบรางวัลจบลง แต่ก็โทรไม่ติดเพราะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น
[คุณอินซอบ ช่วยติดต่อมาหน่อยครับ]
[ถ้าเห็นข้อความแล้วโทรศัพท์กลับมาหน่อยครับ]
[คุณอินซอบ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ]
[เป็นแบบนี้เพราะอยากเห็นคนเป็นบ้าเหรอครับ]
[…ถ้าผมพูดอะไรผิดไป ผมขอโทษนะครับ ผมรู้สึกผิดแล้ว คุณช่วยโทรศัพท์กลับมาหน่อยนะครับ]
เขาส่งข้อความสุดท้ายที่หน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่ก็ยังไม่มีการติดต่อจากอินซอบเหมือนเดิม อีอูยอนก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เขากลั้นคำด่าไว้พลางเสยผมขึ้นวุ่นวายใจ
เขาหงุดหงิดมาก แค่ติดต่อไม่ได้เพียงครึ่งวัน เขายังกังวลจนแทบจะเป็นบ้า
ถ้าชอบอะไรมากๆ เราจะสามารถกลายเป็นคนโง่ที่ไม่เหมือนมนุษย์ได้ขนาดนี้เลยเหรอ แม้จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังมีพฤติกรรมบ้าคลั่งแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ
เขาตัดสินใจว่าจะเข้าห้องไปก่อน และเก็บกระเป๋า จากนั้นก็ไปที่สนามบิน แม้จะจองตั๋วเครื่องบินรอบพรุ่งนี้เช้าเอาไว้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะรอจนถึงตอนนั้น
ติ๊ง ประตูลิฟต์ถูกเปิดพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ในขณะที่เดินไปตามทางเดิน อีอูยอนก็มองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา เพราะแบบนั้น เขาถึงไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาที่ควรจะทำออกไป แม้จะเห็นอินซอบที่นั่งยองๆ อยู่หน้าห้องพักก็ตาม
“…”
อีอูยอนก้มมองอินซอบอย่างเหม่อลอย อินซอบที่เห็นรองเท้าที่เดินเข้ามาตรงหน้าของตนเงยหน้าขึ้น และพูดว่า “สวัสดีครับ”
“อะไร…ทำไม…”
อีอูยอนพูดไม่ออกอย่างหาได้ยาก เพราะความงงงวย
“ผมมาถึงประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนครับ”
อินซอบลุกขึ้นพลางเอ่ยตอบ
“ผมพยายามติดต่อแล้ว แต่แบตเตอรี่หมดที่สนามบิน ขอโทษนะครับ”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมาถึงที่นี่…”
ความคิดที่โผล่ขึ้นในหัวทำให้อีอูยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย
“คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
มือที่ใหญ่โตของอีอูยอนจับข้อมือของอินซอบอย่างรีบร้อน อินซอบร้องเบาๆ ว่า “โอ๊ย”
“ขอโทษครับ คุณอินซอบ”
อีอูยอนรีบปล่อยมือ ความรู้สึกผิดและความโล่งใจเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะเขาคิดอยู่พักหนึ่งว่าเขาคงไม่ได้เป็นบ้าเพราะคิดถึงอินซอบมากหรอกใช่ไหม
“เอ่อ เข้าไปข้างในก่อนได้ไหมครับ”
อินซอบชี้ประตูห้องพักพลางพูดอย่างระมัดระวัง อีอูยอนหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋า พอประตูห้องพักถูกปิดลง อีอูยอนก็แย่งกระเป๋าสัมภาระใบเล็กที่อินซอบถืออยู่ไปและโยนทิ้ง จากนั้นก็เรียกอีกฝ่ายว่า “คุณอินซอบครับ”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”
“ผมมาเพราะคิดถึงครับ”
“คุณอยากให้ผมเชื่อคำพูดนั้นเหรอ”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ชเวอินซอบไม่ได้มีนิสัยที่จะทำอะไรอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังโดยไม่มีเหตุผล
“พรุ่งนี้เช้าผมก็จะบินกลับประเทศแล้ว แต่ตอนนี้คุณกลับมาถึงที่นี่โดยไม่พูดอะไร…”
อีอูยอนยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะอุณหภูมิที่โอบกอดคอของตัวเอง
“ผมมาเพราะคิดถึงคุณอีอูยอนครับ”
อินซอบพูดต่อในสภาพที่กอดอีอูยอนไว้
“ขอโทษนะครับ ผมรู้ว่าพรุ่งนี้คุณก็จะกลับมาแล้ว…แต่ผมก็แค่อยากเจอคุณเร็วขึ้นอีกแค่วันเดียวก็ยังดี…”
อีอูยอนค่อยๆ ดันตัวอินซอบออก ดวงตาที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนช้อนมองตนอย่างระมัดระวัง แค่สบตาเพียงอย่างเดียว เขาก็รู้สึกคลื่นไส้ราวกับคนที่ยืนอยู่บนน้ำ
หลังจากส่งอินซอบกลับไปที่อเมริกกับครอบครัว อาการนอนไม่หลับของอีอูยอนก็เริ่มขึ้น แม้เดิมทีเขาจะไม่ใช่คนที่นอนหลับสนิทอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขานอนไม่หลับเลยแม้แต่นิดเดียวเป็นเวลาหลายวัน จนกรรมการผู้จัดการคิมทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้จึงแนะนำให้ไปปรึกษาที่แผนกจิตเวชอย่างระมัดระวัง
อีอูยอนไม่ชอบแผนกจิตเวช ไม่สิ เขาเกลียดเลยต่างหาก เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าทุกอย่างที่ทำที่นั่นล้วนไร้ประโยชน์ เนื่องจากเขามีประสบการณ์อย่างเต็มเปี่ยมตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ใช่สถานการณ์ที่จะถกเถียงเรื่องนั้น ถ้าสามารถหลับได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็อยากทำ
‘เป็นอาการนอนไม่หลับจากความกังวลน่ะครับ สมองของคุณรับรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่โดยรอบเป็นสถานการณ์ที่อันตรายจึงไม่สามารถนอนหลับได้ครับ’
‘สถานการณ์ที่อันตราย’ อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ตอนที่ได้ยินคำนั้น การที่สมองแสดงออกว่าชีวิตของเขาที่ไม่มีอินซอบนั้นอันตรายเป็นเรื่องน่าขำ
ชเวอินซอบเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตของเขา ถ้ามีอินซอบอยู่ข้างๆ ความรู้สึกกับการกระทำของเขาจะเสียการควบคุม เขาทำตัวเหมือนคนบ้าและเดือดพล่านได้ง่ายจนไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น การตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับอินซอบล้วนไม่มีเหตุผลและอยู่นอกเหนือตรรกะ บางครั้งเขาก็ทำให้ตัวเองจมอยู่กับความอันตรายด้วยคำพูดเดียว แต่สมองกลับตัดสินว่าสถานการณ์ในตอนนี้ที่ไม่มีอินซอบอันตรายอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ๊ย อย่างนั้นก็แปลว่าสมองที่ไม่ปกติอยู่แล้วได้เพี้ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ