ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < A Love Marriage > 3-5

Side Story < A Love Marriage > 3-5

“คุณอินซอบ?”

อินซอบหันหน้าไป เพราะเสียงของผู้ชายที่ได้ยินจากทางด้านหลัง อีอูยอนที่ตื่นตกใจวางขวดน้ำที่ถืออยู่ในมือลง และวิ่งมาหาอินซอบ

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

มือที่ใหญ่โตจับแขนของอินซอบไว้ วินาทีที่สัมผัสถึงอุณหภูมิของอีกฝ่าย เขาก็รู้สึกว่าจิตใจอันอ่อนแอที่อดทนไว้อย่างยากลำบากได้พังทลายลงมา

“ไปโรงพยาบาลไหมครับ”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงสั่นไหว อินซอบส่ายหน้า ฝ่ายมือใหญ่แตะเข้าที่หน้าผาก

“ไข้สูงมากเลยครับ กลับไปที่เตียง…”

“…กัน…”

“ครับ?”

“…ไปด้วยกันครับ”

อินซอบกระชับฝ่ามือที่จับชายเสื้อของอีอูยอนไว้ อีอูยอนก้มมองมือของอินซอบราวกับมึนงงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าทันที จากนั้นก็ก้มตัวและอุ้มอินซอบขึ้นมา

“กอดคอผมไว้ครับ”

อินซอบที่มักจะบอกว่าสามารถเดินไปเองได้หากเป็นเวลาปกติใช้แขนโอบตามที่อีอูยอนสั่งอย่างง่ายดาย

อีอูยอนวางอินซอบลงบนเตียง

“คุณอินซอบ”

“…ครับ”

อินซอบหลับตาลง เขาเวียนหัวและตาลาย เพราะการขยับตัวอย่างกะทันหัน

“ผมลงไปเอาน้ำแล้วเดี๋ยวจะขึ้นมานะครับ เพราะดูเหมือนว่าคุณอินซอบต้องกินยา”

“…อื้อ”

“ผมจะไปเอาขวดน้ำที่วางไว้ตรงทางเดินขึ้นมานะครับ”

แม้จะไม่อยู่เพียงครู่เดียว แต่อีอูยอนก็ค่อยๆ อธิบายอย่างใจดี พออินซอบพยักหน้า อีอูยอนก็เอาขวดน้ำมาและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลังจากเช็กอุณหภูมิด้วยปรอทวัดไข้แล้ว เขาก็เขย่าอินซอบหลับไปให้ตื่นขึ้น

“คุณอินซอบ ผมว่าคุณต้องกินยานะครับ เพราะไข้สูงมากเลย”

“…ผมไม่…อยากกินครับ”

“ถึงอย่างไงก็ต้องกินนะ”

น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับเกลี้ยกล่อมเด็กเล็กๆ เขาจะจิตใจอ่อนแอในตอนที่ป่วย จนถึงกับอยากพึ่งพิงโดยไม่ลังเล แม้ว่าใครสักคนจะทำตัวอ่อนโยนด้วยแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

อินซอบจับอีกฝ่ายไว้ และน้ำตาที่กลั้นเอาไว้อย่างยากลำบากก็ไหลลงมา

“เจ็บมากเหรอ”

เขาพยักหน้าให้กับคำถามของอีกฝ่าย เขาทั้งเจ็บทั้งกลัว และมันก็ลำบากมากเพราะไม่สามารถพูดกับใครได้เลย แม้จะคร่ำครวญอยู่สักพักและลืมตาขึ้น แต่ก็ยังเจ็บอยู่ดี ราวกับว่าความเจ็บเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

“ไปโรงพยาบาลไหม”

“…ผมไม่อยากไปโรงพยาบาลครับ”

“สิ่งที่ไม่ชอบเยอะมากเลยนะ”

มือใหญ่เช็ดหน้าผากที่เปียกเหงื่อให้ อินซอบหลับตาและพึมพำว่า “ดีจังเลยครับ”

“อะไรดีเหรอ”

“…ที่คุณใช้มือ…ทำแบบนี้ให้”

อินซอบถูแก้มกับมือใหญ่ราวกับออดอ้อน เขาได้ยินเสียงลมหายใจที่ถูกกดไว้เบาๆ อินซอบลืมตาขึ้นมาราวกับสงสัย

“…ทำไมคุณถึงยังสวยแม้กระทั่งตอนป่วย…”

อีอูยอนที่ส่งเสียงพึมพำปนกับเสียงลมหายใจตีแก้มอินซอบเบาๆ

“ถึงจะไม่ชอบก็ต้องกินยานะครับ ถ้าอยากให้ไข้ลดลงก็ต้องกินยาสิครับ หรือจะไปโรงพยาบาลล่ะ”

อินซอบลุกขึ้นโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ อีอูยอนหยิบยาออกมาใส่ปากอินซอบและป้อนน้ำให้ อินซอบขมวดคิ้ว เพราะความรู้สึกไม่สบายขณะที่กลืนเม็ดยาลงไป

“ขมเหรอครับ ผมเอาลูกอมให้ไหม”

อินซอบหัวเราะเบาๆ ให้ลักษณะการพูดที่ใช้กับเด็กเล็ก วินาทีนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็แตะเข้ามา มันเป็นการจูบที่สั้นราวกับกัดไอศกรีมกิน ชายหนุ่มกำลังมองอินซอบด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อนในระยะที่เหมือนปลายจมูกจะชนกัน

“…ขอโทษครับ ที่ผมแตะต้องคนป่วย”

อีอูยอนจับอินซอบให้นอนลงบนเตียงอีกครั้ง อินซอบพลิกตัว เข้ารู้สึกคลื่นไส้ เพราะกินยาเม็ดในตอนที่ท้องว่าง

“คลื่นไส้เหรอครับ”

อีอูยอนรับรู้ถึงอาการของอินซอบได้อย่างรวดเร็วและเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้า เขาจึงพาอินซอบไปห้องน้ำ แม้จะรู้สึกอยากอาเจียน และเกาะอ่างล้างหน้าอยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีอะไรออกมา อินซอบบ้วนปาก และกลับไปที่เตียงอีกครั้ง

“ดื่มน้ำไหมครับ”

อินซอบส่ายหน้า

“ผมอ่านหนังสือให้ฟังไหม”

“…ไม่เป็นไรครับ”

อีอูยอนเสยผมของอินซอบขึ้นไปเบาๆ สายตาที่มีความกังวลเจืออยู่ของเขาเฝ้าร่างกายที่ขาวซีดและผอมบางของอินซอบไว้ไม่ห่าง

“คุณอินซอบ”

“…ครับ”

“อยากให้ผมทำอะไรให้ไหมครับ”

น้ำเสียงนั้นอ่อนโยน อินซอบหลับตา เพราะเสียงของชายหนุ่มที่สัมผัสที่หู ความเศร้าที่ถูกยัดเก็บไว้ในซอกหนึ่งของความทรงจำพุ่งขึ้นมา

“…ผมรอนะครับ”

เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ การบ่นที่ไม่เคยทำเลยสักครั้งถึงออกมาจากปาก

“ครับ?”

“ที่ผ่าตัดตอนนั้น…ผมรออยู่ตลอดเลย…เพราะผมอยากเห็นหน้า…”

ตั้งแต่ตอนที่โดนแทงและลืมตาขึ้นมาในห้องพักผู้ป่วย อินซอบรออีอูยอนอยู่ตลอด เขาหวังให้อีกฝ่ายถือกระเช้าดอกไม้มาหาและฉีกยิ้มอย่างหน้าตาเฉยเป็นพิเศษพร้อมกับทักทายตน แม้มันอาจจะเป็นการลาจากก็ได้

แต่พอเขาออกจากโรงพยาบาล และอยู่ในระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่เกาหลีและเตรียมตัวไปอเมริกา อีอูยอนก็ไม่เคยมาหาเขาสักครั้ง

“…เพราะผมไม่มีความกล้า”

น้ำเสียงของอีกฝ่ายที่ถูกกดให้ต่ำปะปนกับความง่วงที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

“ถ้าเจอคุณ ผมจะไม่มีความกล้าที่จะปล่อยคุณไปอเมริกา…ขอโทษนะครับ ที่เป็นคนแบบนี้”

ริมฝีปากอ่อนนุ่มกดจูบที่หน้าผากจนเกิดเสียงดัง จุ๊บ ก่อนจะผละออกไป อินซอบรออีกฝ่ายทุกวัน ทุกวินาที เขาหวังให้อีกฝ่ายเปิดประตูห้องพักฟื้นเข้ามา เขาหวังให้อีกฝ่ายยิ้มพลางเดินเข้ามา

“ขอโทษครับ คุณอินซอบ…แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไปทุกวันนะครับ”

มือที่ใหญ่โตของชายหนุ่มลูบหน้าผากของอินซอบเบาๆ เขาหลับตาลง เพราะความง่วงที่ถาโถมเข้ามากับฤทธิ์ยา

“…ทุกวัน…ข้างหน้า…จนถึงเช้า…”

ชายหนุ่มปลอบอินซอบด้วยน้ำเสียงที่ถูกกดให้ต่ำลงราวกับสารภาพความผิดบาปที่ตัวเองได้ก่อขึ้น

“…เพราะผมอยาก…คุณ…”

มือที่ใหญ่โตลูบผมอย่างระมัดระวังต่อไป เขารู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งผ่านดวงตาที่ปิดอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้สึกเหงาหรือเศร้าเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้ว

***

อินซอบที่ตื่นขึ้นอยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองฝันถึงตอนที่อยู่อเมริกา

อินซอบลุกขึ้น เขานอนไม่หลับและพลิกตัวไปมา พอถึงตอนเช้ามืดเขาก็กินยาและหลับตาลง

กี่โมงแล้ว

อินซอบมองนาฬิกาและลงจากเตียง อีอูยอนที่เห็นในฝันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาที่อาบน้ำ

‘…ผมมานั่งที่ม้านั่งหน้าโรงพยาบาลทุกวันเลยครับ จนถึงเช้า…’

เขานึกถึงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าโรงพยาบาลคนเดียว

‘…เพราะผมคิดถึงคุณ…’

อินซอบปิดฝักบัว สายน้ำที่เทลงมาบนหัวหยุดลง

เขาคิดถึงอีอูยอน

***

อีอูยอนอารมณ์ไม่ดี เขาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เขารู้สึกไม่สบายใจตลอดเวลาที่คุยโทรศัพท์กับอินซอบ

“ได้ยินว่ามีร้านอาหารปักกิ่งที่พอใช้ได้อยู่ที่นี่ ไว้คราวหน้าเรามากินด้วยกันนะครับ”

อินซอบไม่ตอบอะไรกับคำพูดที่พูดไปแบบนั้นอยู่พักหนึ่ง

“คุณอินซอบ?”

[อ๋อ ครับ เข้าใจแล้วครับ ไว้ไปด้วยกันนะครับ]

อีอูยอนขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับคำตอบที่ช้าไปหนึ่งจังหวะ

“ไม่ชอบอาหารปักกิ่งเหรอ”

[เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมชอบครับ ได้ยินว่าวิวตอนกลางคืนที่มองเห็นจากโรงแรมที่คุณอีอูยอนพักสวยมากเลย…]

อีอูยอนเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่สนใจ

“ใช่ครับ สวยครับ”

แม้จะไม่มีความรู้สึกประทับใจอะไรเป็นพิเศษกับวิวตอนกลางคืน แต่เขาก็ตอบอย่างลวกๆ ไปแบบนั้น อินซอบหัวเราะแหะๆ พลางพูดว่า ‘เดี๋ยวถ่ายรูปส่งมาให้ด้วยนะครับ’

หลังจากวางสาย อีอูยอนถ่ายรูปวิวตอนกลางคืนที่มองเห็นจากโรงแรมไปหลายรูป และส่งรูปที่ออกมาดูดีที่สุดให้อินซอบ

อินซอบตอบกลับมาว่า ‘ราตรีสวัสดิ์’ อีอูยอนอ่านข้อความนั้นซ้ำๆ

บอกว่าราตรีสวัสดิ์งั้นเหรอ

แม้จะรออยู่สักพัก แต่ก็ไม่มีการติดต่ออะไรจากอินซอบอีก อีอูยอนนอนลงบนเตียง และทบทวนถึงการคุยโทรศัพท์วันนี้

แม่งเอ๊ย นี่เราพูดอะไรแย่ๆ ออกไปเหรอ

แม้จะคิดทบทวนอย่างละเอียด แต่ก็ไม่มีคำตอบออกมา เขาโทรศัพท์ไปอีกทีในตอนเช้า เพราะไม่สามารถปลุกอินซอบที่นอนหลับไปตอนกลางดึกได้ แต่อินซอบก็ไม่รับสาย

[เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าครับ ผมเป็นห่วงนะ ติดต่อมาหน่อยครับ]

แม้อินซอบจะโทรกลับมาในช่วงเย็น แต่เขาก็ไม่สามารถรับได้ เพราะอยู่ในช่วงสำคัญของพิธีมอบรางวัล เขาโทรศัพท์หาอินซอบทันทีที่พิธีมอบรางวัลจบลง แต่ก็โทรไม่ติดเพราะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น

[คุณอินซอบ ช่วยติดต่อมาหน่อยครับ]

[ถ้าเห็นข้อความแล้วโทรศัพท์กลับมาหน่อยครับ]

[คุณอินซอบ ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นใช่ไหมครับ]

[เป็นแบบนี้เพราะอยากเห็นคนเป็นบ้าเหรอครับ]

[…ถ้าผมพูดอะไรผิดไป ผมขอโทษนะครับ ผมรู้สึกผิดแล้ว คุณช่วยโทรศัพท์กลับมาหน่อยนะครับ]

เขาส่งข้อความสุดท้ายที่หน้าลิฟต์ของโรงแรม แต่ก็ยังไม่มีการติดต่อจากอินซอบเหมือนเดิม อีอูยอนก้มมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เขากลั้นคำด่าไว้พลางเสยผมขึ้นวุ่นวายใจ

เขาหงุดหงิดมาก แค่ติดต่อไม่ได้เพียงครึ่งวัน เขายังกังวลจนแทบจะเป็นบ้า

ถ้าชอบอะไรมากๆ เราจะสามารถกลายเป็นคนโง่ที่ไม่เหมือนมนุษย์ได้ขนาดนี้เลยเหรอ แม้จะแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังมีพฤติกรรมบ้าคลั่งแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ

เขาตัดสินใจว่าจะเข้าห้องไปก่อน และเก็บกระเป๋า จากนั้นก็ไปที่สนามบิน แม้จะจองตั๋วเครื่องบินรอบพรุ่งนี้เช้าเอาไว้ แต่เขาก็ไม่มีเวลาพอที่จะรอจนถึงตอนนั้น

ติ๊ง ประตูลิฟต์ถูกเปิดพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น ในขณะที่เดินไปตามทางเดิน อีอูยอนก็มองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่ตลอดเวลา เพราะแบบนั้น เขาถึงไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาที่ควรจะทำออกไป แม้จะเห็นอินซอบที่นั่งยองๆ อยู่หน้าห้องพักก็ตาม

“…”

อีอูยอนก้มมองอินซอบอย่างเหม่อลอย อินซอบที่เห็นรองเท้าที่เดินเข้ามาตรงหน้าของตนเงยหน้าขึ้น และพูดว่า “สวัสดีครับ”

“อะไร…ทำไม…”

อีอูยอนพูดไม่ออกอย่างหาได้ยาก เพราะความงงงวย

“ผมมาถึงประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนครับ”

อินซอบลุกขึ้นพลางเอ่ยตอบ

“ผมพยายามติดต่อแล้ว แต่แบตเตอรี่หมดที่สนามบิน ขอโทษนะครับ”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงมาถึงที่นี่…”

ความคิดที่โผล่ขึ้นในหัวทำให้อีอูยอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย

“คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

มือที่ใหญ่โตของอีอูยอนจับข้อมือของอินซอบอย่างรีบร้อน อินซอบร้องเบาๆ ว่า “โอ๊ย”

“ขอโทษครับ คุณอินซอบ”

อีอูยอนรีบปล่อยมือ ความรู้สึกผิดและความโล่งใจเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะเขาคิดอยู่พักหนึ่งว่าเขาคงไม่ได้เป็นบ้าเพราะคิดถึงอินซอบมากหรอกใช่ไหม

“เอ่อ เข้าไปข้างในก่อนได้ไหมครับ”

อินซอบชี้ประตูห้องพักพลางพูดอย่างระมัดระวัง อีอูยอนหยิบคีย์การ์ดออกมาจากกระเป๋า พอประตูห้องพักถูกปิดลง อีอูยอนก็แย่งกระเป๋าสัมภาระใบเล็กที่อินซอบถืออยู่ไปและโยนทิ้ง จากนั้นก็เรียกอีกฝ่ายว่า “คุณอินซอบครับ”

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

“ผมมาเพราะคิดถึงครับ”

“คุณอยากให้ผมเชื่อคำพูดนั้นเหรอ”

อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ชเวอินซอบไม่ได้มีนิสัยที่จะทำอะไรอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังโดยไม่มีเหตุผล

“พรุ่งนี้เช้าผมก็จะบินกลับประเทศแล้ว แต่ตอนนี้คุณกลับมาถึงที่นี่โดยไม่พูดอะไร…”

อีอูยอนยืนนิ่งอยู่กับที่ เพราะอุณหภูมิที่โอบกอดคอของตัวเอง

“ผมมาเพราะคิดถึงคุณอีอูยอนครับ”

อินซอบพูดต่อในสภาพที่กอดอีอูยอนไว้

“ขอโทษนะครับ ผมรู้ว่าพรุ่งนี้คุณก็จะกลับมาแล้ว…แต่ผมก็แค่อยากเจอคุณเร็วขึ้นอีกแค่วันเดียวก็ยังดี…”

อีอูยอนค่อยๆ ดันตัวอินซอบออก ดวงตาที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนช้อนมองตนอย่างระมัดระวัง แค่สบตาเพียงอย่างเดียว เขาก็รู้สึกคลื่นไส้ราวกับคนที่ยืนอยู่บนน้ำ

หลังจากส่งอินซอบกลับไปที่อเมริกกับครอบครัว อาการนอนไม่หลับของอีอูยอนก็เริ่มขึ้น แม้เดิมทีเขาจะไม่ใช่คนที่นอนหลับสนิทอยู่แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขานอนไม่หลับเลยแม้แต่นิดเดียวเป็นเวลาหลายวัน จนกรรมการผู้จัดการคิมทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้จึงแนะนำให้ไปปรึกษาที่แผนกจิตเวชอย่างระมัดระวัง

อีอูยอนไม่ชอบแผนกจิตเวช ไม่สิ เขาเกลียดเลยต่างหาก เพราะเขารู้ดีกว่าใครว่าทุกอย่างที่ทำที่นั่นล้วนไร้ประโยชน์ เนื่องจากเขามีประสบการณ์อย่างเต็มเปี่ยมตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ตอนนั้นไม่ใช่สถานการณ์ที่จะถกเถียงเรื่องนั้น ถ้าสามารถหลับได้ ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็อยากทำ

‘เป็นอาการนอนไม่หลับจากความกังวลน่ะครับ สมองของคุณรับรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่โดยรอบเป็นสถานการณ์ที่อันตรายจึงไม่สามารถนอนหลับได้ครับ’

‘สถานการณ์ที่อันตราย’ อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ตอนที่ได้ยินคำนั้น การที่สมองแสดงออกว่าชีวิตของเขาที่ไม่มีอินซอบนั้นอันตรายเป็นเรื่องน่าขำ

ชเวอินซอบเป็นส่วนที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตของเขา ถ้ามีอินซอบอยู่ข้างๆ ความรู้สึกกับการกระทำของเขาจะเสียการควบคุม เขาทำตัวเหมือนคนบ้าและเดือดพล่านได้ง่ายจนไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น การตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวกับอินซอบล้วนไม่มีเหตุผลและอยู่นอกเหนือตรรกะ บางครั้งเขาก็ทำให้ตัวเองจมอยู่กับความอันตรายด้วยคำพูดเดียว แต่สมองกลับตัดสินว่าสถานการณ์ในตอนนี้ที่ไม่มีอินซอบอันตรายอย่างนั้นเหรอ แม่งเอ๊ย อย่างนั้นก็แปลว่าสมองที่ไม่ปกติอยู่แล้วได้เพี้ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้วสินะ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท