กรรมการผู้จัดการคิมติดต่อมาในเย็นวันนั้น
[ถ้าเห็นข้อความแล้วโทรศัพท์กลับมาหาด้วย]
อีอูยอนโทรศัพท์หาทันทีที่เช็กข้อความ
[นายเป็นอะไร โทรศัพท์มาหาทันทีตามใจชอบเลยเหรอ]
“งั้นผมวางดีไหมครับ”
[ไม่! อย่าวาง!]
กรรมการผู้จัดการคิมตะโกนอย่างรีบร้อน อีอูยอนเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
[แล้วนายมีเรื่องอะไรไหม]
“ไม่ครับ ไม่มีเรื่องอะไรครับ”
[ว่าแต่เมื่อวานดื่มเหล้าอะไรขนาดนั้นล่ะ นายรู้ไหมว่าค่าเหล้าตั้งเท่าไร]
“ผมควรจะรู้เหรอครับ”
[นี่ แก!]
“ขอโทษได้ไหมครับที่ผมไม่รู้ราคาเหล้าที่เดิมทีตัวเองก็ไม่ได้จ่ายอยู่แล้ว”
[ตอแหล มันก็ควรจะมีขอบเขตหน่อยสิ ทำไมถึงดื่มไวน์อย่างกับน้ำกันล่ะไอ้บ้าเอ๊ย…แล้วไอ้คนที่เมาก็สั่งแต่ไวน์แพงๆ อย่างกับมีตาทิพย์อีก!]
บนรายชื่อไวน์ของร้านที่ไปเมื่อวานไม่มีราคาเขียนไว้ อีอูยอนที่มีสายตาในการประเมินราคากับชื่อของไวน์คร่าวๆ จงใจสั่งแต่ไวน์ราคาแพงติดๆ กัน
แล้วจะเรียกไปให้รำคาญใจทำไมล่ะ
“งั้นคราวหน้าก็จัดในร้านที่มีตัวเลขเขียนไว้บนรายชื่อไวน์สิครับ”
อีอูยอนตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
[ช่างเถอะ ฉันจะส่งบทไปให้ รับด้วยล่ะ]
“บทอะไรเหรอครับ”
[บทละครเรื่องต่อไปที่จะเล่นไง]
อีอูยอนตอบกลับว่า “อ๋อ” อย่างไม่ใส่ใจ
[ฉันรู้ว่านายต้องเป็นแบบนี้เลยเตรียมอาวุธที่ไม่ธรรมดาไว้แล้ว]
“อะไรเหรอครับ”
[นายขอให้ช่วยหารายงานที่อินซอบเขียนนี่]
กรรมการผู้จัดการคิมพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
“อ๋อ อันนั้น”
รายงานที่อินซอบขอร้องด้วยใบหน้าที่แดงเถือกว่าห้ามอ่านเด็ดขาด เขาสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่อ่าน แน่นอนว่ามันเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือ เขาคิดว่าอย่างไรก็จะขอให้กรรมการผู้จัดการคิมหาให้เจอต่อให้ต้องเผาบ้านก็ตาม
“เจอแล้วเหรอครับ”
[เปล่า ยัง]
“จะวางแล้วนะครับ”
[อย่าวาง! ฉันเจออย่างอื่นแทน!]
“อะไรเหรอครับ”
เขาเบื่อที่จะคุยโทรศัพท์กับกรรมการผู้จัดการคิมแล้ว เขาไม่ถนัดที่จะคุยโทรศัพท์กับผู้ชาย ไม่สิ เขาเบื่อและรำคาญการคุยโทรศัพท์ต่างหาก ถึงขนาดที่ตอนเด็กเขาคิดอยู่บ่อยๆ ว่า ไอ้โง่คนไหนมันประดิษฐ์ของแบบนี้ขึ้นมาแล้วทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกันคุยกันได้นะ
[วันที่อินซอบมาสัมภาษณ์ ฉันอัดเสียงเอาไว้]
“ฮ่า” อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ
“เขายอมให้อัดเหรอครับ ผิดกฎหมายหรือเปล่าครับ”
[มะ ไม่ เพราะวันนั้นฉันมีธุระด่วนก็เลยให้ผู้ช่วยโจสัมภาษณ์แทนน่ะ ฉันขอให้อัดไว้สั้นๆ เพราะอยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน ฉันอยากลองฟังเสียงน่ะ]
กรรมการผู้จัดการคิมพยายามแก้ตัว
[อัดไว้สั้นจริงๆ ฉันทำแบบนั้นเพราะอยากฟังเสียงว่าเป็นคนแบบไหนน่ะ]
“ถ้าอย่างนั้น ก็ควรจะโทรศัพท์คุยสิครับ”
กรรมการผู้จัดการคิมตอบว่า “นั่นสินะ” และหัวเราะแหะๆ ให้กับการตำหนิของอีอูยอน ตอนนั้นเองอินซอบก็เคาะประตูและเดินเข้ามา
“คุณอูยอน ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะครับ”
อินซอบที่รู้ว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่พูดเสียงเบา
“จะไปไหน”
อีอูยอนเดินไปตรงหน้าอินซอบ
[ปล่อยไปเถอะ ให้เขาออกไปหน่อย]
พอได้ยินคำพูดที่ไร้ประโยชน์จากปลายสาย อีอูยอนก็ยิ้มและปิดส่วนที่ใช้พูดคุยของโทรศัพท์ไว้
“ผมจะไปทิ้งขยะครับ”
“ของแบบนั้นทำไมคุณต้องเป็นคนทิ้งด้วยล่ะ”
อีอูยอนแย่งถุงขยะที่อยู่ในมือของอินซอบมาถือ
“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำเองครับ มันอยู่ข้างหน้านี่เองครับ”
“อยู่นี่แหละครับ เดี๋ยวผมมานะครับ”
อีอูยอนยกหมวกของเสื้อฮู้ดขึ้นมาสวมและเดินไปตรงประตูหน้าบ้าน
“…ผมทำได้ครับ เดี๋ยวผมมา”
อินซอบที่ออกมาจนถึงหน้าประตูบ้านด้วยพึมพำต่ออีกหลายคำเพราะรู้สึกผิด
“ผมซื้อไอศกรีมให้ดีไหมครับ”
อินซอบครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าให้กับคำถามของอีอูยอน
“รสอะไร”
พออินซอบลังเล รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏในดวงตาของอีอูยอนราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้
“ถ้าตัดสินใจได้แล้วโทรมานะครับ”
อีอูยอนใส่รองเท้าและเดินออกไปนอกประตูหน้าบ้าน
“พูดมาครับ”
[เวรเอ๊ย ให้ตายสิ ถุย ใครบอกว่าไม่เคยมีแฟนนะ ฉันคงฟังไม่ถนัดเพราะหูเย็นมากแน่ๆ]
“ถ้าฟังไม่ถนัดผมจะวางแล้วนะครับ”
[นี่!]
อีอูยอนตอบรับอย่างไม่ใส่ใจว่า “ครับ”
[แล้วจะไม่ฟังสัมภาษณ์ของอินซอบเหรอ]
“ส่งมาครับ”
[บทเหรอ เลิกพูดว่าจะลองคิดดูด้วยนะ เพราะครั้งนี้หลอกฉันไม่ได้แล้ว]
“เข้าใจแล้วครับ ถ้าบทใช้ได้ ผมจะเล่นครับ”
[นี่! ฉันอัดเสียงไว้นะ! เพราะว่าอัดเสียงไว้ ถ้านายกลับคำพูดอีก…!]
อีอูยอนตัดสายไปทันที หลังจากวางถุงขยะไว้ในช่องขยะ เขาก็ล้างมือตรงก๊อกน้ำที่ติดตั้งไว้ข้างๆ จากนั้นก็เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ และเลือกไอศกรีมที่อินซอบชอบมาหลายอัน พอพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านสะดวกซื้อถามว่าใช่อีอูยอนหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ไม่ใช่ครับ” และยิ้มอย่างหน้าไม่อาย
พอเขาเช็กในระหว่างทางกลับบ้าน อีเมลที่กรรมการผู้จัดการคิมส่งมาก็ถูกส่งมาถึงเรียบร้อยแล้ว เขาไม่อ่านเนื้อหาภายในอีเมลและกดเซฟแค่ไฟล์ที่แนบมาเท่านั้น เขานั่งลงบนม้านั่งแถวบ้านและเสียบหูฟัง พอได้ยินเสียงของอินซอบที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว การสัมภาษณ์เริ่มต้นด้วยการเอ่ยขอโทษที่มาสายเนื่องจากฝนตกรถติด ต่างจากที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด การสัมภาษณ์นั้นยาวกว่าที่คิด
คำถามที่น่าเบื่อดำเนินต่อไปทีละคำถาม คิดยังไงกับนักแสดงอีอูยอน ทำไมถึงสมัครงานนี้ ปกติแล้วมนุษยสัมพันธ์เป็นยังไง และนิสัยเป็นยังไง อินซอบตอบอย่างจริงใจราวกับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี
คงจะตอบโดยทำสีหน้าประหม่าและนั่งตัวตรงสินะ
คนที่ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็น่ารักเหมือนเดิม
อีอูยอนยิ้ม เขานึกถึงสัมภาษณ์ที่ทำที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ นักข่าวถามคำถามที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีตได้สิบนาที มีอะไรที่อยากจะบอกกับตัวเองไหม มันเป็นคำถามที่แสนจะไร้ประโยชน์ อีอูยอนครุ่นคิดและตอบว่า “ไม่มีครับ” นักข่าวจึงบอกว่า “คุณอีอูยอนดูจะพอใจกับความเป็นจริงมากเลยนะคะ” ก่อนจะยิ้มแล้วนิ่งไป ตัวเขาเองก็ทำตายิ้มให้อย่างพอประมาณเช่นกัน
หากได้กลับไปในอดีต เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดกับตัวเองที่โง่เง่าจนจำอินซอบไม่ได้ แม้จะเจอกันเกินสิบครั้ง แม่งไม่ใช่สำหรับเขาแน่ ถ้ามีเวลาแบบนั้น เขาจะไปหาชเวอินซอบด้วยตัวเองและมีอะไรด้วยทันทีที่เจอ เขาจะมีอะไรด้วยให้ครบสิบนาที
อีอูยอนยิ้มอย่างพอใจและเงี่ยหูฟังเสียงของอินซอบที่อยู่ในไฟล์เสียง
อินซอบที่ตอบคำถามอย่างใจเย็นเริ่มพูดตะกุกตะกักเพราะคำถามที่ว่าเคยเจอตัวจริงของอีอูยอนหรือเปล่า
[เอ่อ ผม ผมเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ และเห็นในภาพยนตร์บ่อยเช่นกัน ส่วนตัวจริงผมก็เคยเจอบ้างครับ]
แม้จะเจอตัวจริงบ่อย เพราะบอกว่าตามไปไหนมาไหนเพื่อให้ได้ข้อมูลของเขา แต่ก็ไม่สามารถพูดเรื่องนั้นไปตามตรงได้ สุดท้ายอีอูยอนก็หัวเราะให้กับคำตอบของอินซอบที่อธิบายเรื่องนั้นว่า ‘เจอบ้าง’
“ฮ่าๆๆๆ จะบ้าตาย”
พอเขาหัวเราะไปสักพัก การสัมภาษณ์ก็เกือบจะจบแล้ว คำถามข้อสุดท้ายที่ถามว่าอยากเป็นผู้จัดการส่วนตัวแบบไหนถูกส่งไปหา อินซอบลังเลก่อนจะเอ่ยตอบ
[ผู้จัดการที่ไม่สะดุดตาครับ]
ผู้ช่วยโจถามว่ามันหมายความว่าอะไรราวกับคาดไม่ถึง
[เอ่อ เพราะผมได้ยินมาว่านักแสดงอีอูยอนมีนิสัยเงียบๆ ในเวลาปกติ ผมเลยอยากทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดน้อยที่สุด ผมจะไม่ทำตัวยุ่งยากครับ]
จะไม่ทำตัวยุ่งยาก
อีอูยอนพูดคำตอบสุดท้ายของอินซอบซ้ำเบาๆ หลังจากที่เอ่ยร่ำลากันอย่างง่ายๆ ไฟล์เสียงก็จบลง อีอูยอนดึงหูฟังออกและเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็โทรศัพท์หาอินซอบ
“ฮัลโหล”
อินซอบตอบว่า ‘ครับ คุณอูยอน’
“ผมโทรศัพท์หาเพราะอยากได้ยินเสียงน่ะครับ”
[ครับ? เสียงผมเหรอครับ?]
เขารู้สึกได้ว่าอินซอบที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์มึนงงกับคำพูดที่กะทันหัน อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแอบยิ้มในใจ แล้วก็ถามว่าเลือกไอศกรีมได้หรือยัง
[อ้อ! ครับ ผมว่าจะโทรศัพท์ไปหาพอดีเลยครับ]
“รสอะไร”
อินซอบใช้เวลาและเอาใจใส่กับการเลือกไอศกรีม แม้จะเป็นการกระทำที่อีอูยอนไม่เข้าใจ แต่เขาก็มักจะปล่อยให้ทำเพราะชอบใบหน้าที่อินซอบครุ่นคิดอย่างจริงจัง
[ไอศกรีมที่เพิ่งออกใหม่ได้ไม่นานน่ะครับ]
“ส่งรูปมาให้ดูหน่อยครับ”
อินซอบส่งรูปให้ทันที พอดูแล้วว่าไม่มีอยู่ในบรรดาไอศกรีมที่ตัวเองเลือก อีอูยอนก็โยนถุงร้านสะดวกลงในถังขยะใกล้ๆ อย่างไม่ลังเล
[ถ้าไม่มี ผมกินอันไหนก็ได้ครับ]
“ผมเพิ่งคุยกับกรรมการผู้จัดการเสร็จและกำลังจะไปร้านสะดวกซื้อน่ะครับ ไปถึงแล้วจะดูให้นะครับว่ามีไหม”
[…ขอโทษนะครับ]
“เรื่องอะไรล่ะ”
[ผมรู้สึกเหมือนทำให้คุณยุ่งยากโดยไม่จำเป็น…]
“ไม่รู้เหรอครับ ว่าผมชอบความยุ่งยากมาก”
[ครับ?]
“คุณไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผมเยอะเลยหรือเปล่าครับ ต้องเป็นสตอล์กเกอร์อีกรอบไหมครับ”
“…คุณอูยอน”
อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ให้กับเสียงเรียกที่เจือไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเดินลงไปตามถนนใหญ่ เพราะร้านสะดวกซื้อที่ใกล้บ้านที่สุดไม่มีไอศกรีมที่อินซอบตามหา
“ว่าแต่ตอนนั้นคุณเขียนอะไรลงไปในรายงานนั้นกันแน่ครับ แปะรูปแอบถ่ายของผมไปด้วยหรือเปล่า”
[เปล่าครับ ผมไม่ได้แปะลงไปเด็ดขาดเลยครับ ผมจะแปะของแบบนั้นลงไปได้ยังไงล่ะครับ]
“งั้นแปะไว้ที่ไหนล่ะ ในไดอารี่เหรอ ว่าแต่ยังมีรูปที่ถ่ายตอนนั้นเหลืออยู่ไหมครับ”
[…]
พอไม่มีคำตอบกลับมา อีอูยอนก็พึมพำพลางหัวเราะว่า “มีอยู่สินะ”
ร้านสะดวกซื้อที่ไปเป็นครั้งที่สองก็ไม่มีไอศกรีมที่อินซอบตามหาเหมือนกัน อีอูยอนไม่ตอบคำถามของพนักงานในร้านที่ถามว่าใช่อีอูยอนหรือเปล่าและออกมาจากร้านสะดวกซื้อ
[คุณอูยอน ถ้าไม่มีอันนั้น คุณซื้ออะไรมาก็ได้ครับ]
“แต่ผมจะกินนะ?”
อีอูยอนตอบอย่างหน้าไม่อายและเดินไปทางร้านสะดวกซื้อที่อยู่อีกฝั่ง โชคดีที่เขาหาไอศกรีมที่อินซอบพูดถึงได้ที่นั่น อีอูยอนหยิบไอศกรีมหลายอันไปจ่ายเงิน จากนั้นก็เดินกลับบ้านพร้อมกับคุยโทรศัพท์ต่อ พอได้คุยเรื่องธรรมดาๆ และไร้สาระกัน เขาก็มาถึงหน้าบ้านโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“กลับมาแล้วครับ”
คำพูดของอีอูยอนทำให้อินซอบถามว่า “วางไหมครับ”
“ครับ แล้วเจอกันครับ”
เขาเก็บโทรศัพท์มือถือที่ร้อนเล็กน้อยใส่กระเป๋า จากนั้นก็เปิดประตูรั้วและเดินเข้าไป เงาของยามบ่ายแก่ๆ กระทบกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งและต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหญ้า นี่เป็นสวนที่เขาปลูกให้อินซอบ
ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วอินซอบปลูกเมล็ดมะเขือเทศเชอร์รี่ที่ได้มาจากไหนสักที่ไว้ตรงมุมสวน อินซอบแวะดูสวนทุกวันตั้งแต่ตอนที่แตกหน่อจนกระทั่งลำต้นเติบโต เขารดน้ำไม่ให้ดินแห้ง และทุ่มเทเวลาและจิตใจให้กับเศษหญ้าไร้ค่าด้วยความยินดี
ตอนที่ผ่านช่วงต้นฤดูร้อนไป และมีผลเล็กๆ ห้อยอยู่ที่ต้น อินซอบก็ทำตาเป็นประกาศและชอบมาก แต่ความยินดีนั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน แมวที่ตามออกมาในระหว่างที่ออกมารดน้ำที่สวนกินผลทั้งหมด
‘เฮ้อ…’
อินซอบมองดูผลมะเขือเทศที่ตายเป็นส่วนๆ ไปครึ่งหนึ่งและรู้สึกเสียดายมากๆ
‘แมวทำเหรอครับ’
อีอูยอนกอดอกมองพลางเอ่ยถาม
‘ครับ จอห์น…’
‘คงต้องดุแล้วล่ะ’
‘มะ ไม่นะครับ จอห์นไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นนะครับ มันตามออกมาในระหว่างที่ผมออกมารดน้ำ…แมวน่ะ ถ้าเห็นพวกพืชก็จะเคี้ยวกินน่ะครับ ผมจะเอาใจใส่จอห์นให้มากกว่านี้’
อินซอบพูดสนับสนุนต่อว่า ‘ยังไงก็ไม่ใช่ความผิดของจอห์นครับ’ ราวกับอีอูยอนจะดุแมวจริงๆ อีอูยอนจึงตอบว่า ‘โอเคครับ’
ไม่ใช่ความผิดของแมวอย่างที่อินซอบพูด นี่เป็นการกระทำที่ดีมากต่างหาก นี่เป็นการกระทำที่มีความหมายที่ในบรรดาสิ่งที่แมวทำหลังจากเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้
อินซอบเสียใจจริงๆ และดึงเศษเสี้ยวของผลที่มีรอยฟันออก อีอูยอนเกลียดมะเขือเทศเชอร์รี่ที่อินซอบปลูกอย่างเอาใจใส่ ถึงขนาดที่คิดว่าเขาจะแกล้งเหยียบมันให้หมดดีไหมทุกครั้งที่เดินผ่านสวน
ทำไมถึงทุ่มเทจิตใจขนาดนั้นล่ะ
‘อยากกินขนาดนั้นเลยเหรอครับ’
‘ครับ?’
อินซอบที่ดึงผลมะเขือเทศอยู่เงยหน้าขึ้นมา อีอูยอนนั่งลงข้างๆ อินซอบ เขาช่วยเด็ดมะเขือเทศที่เหลือออกพลางพูดต่อ
‘ถ้าอยากกินมะเขือเทศ ผมจะซื้อให้ครับ เป็นมะเขือเทศคุณภาพดี’
อินซอบยิ้มอย่างอายๆ
‘เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น คือ…’
มันน่าภูมิใจน่ะครับ ผมรู้สึกมหัศจรรย์ใจที่มันเติบโตและออกผลได้ในที่แบบนี้ แล้วสิ่งเล็กๆ พวกนี้ก็น่ารัก…อีอูยอนฟังเหตุผลที่เข้าใจได้ยากที่อีกฝ่ายพึมพำต่อเงียบๆ อินซอบมองอีอูยอนพร้อมกับพูดว่า ‘แล้วก็’
‘ถ้ามะเขือเทศออกผลแล้ว ผมอยากให้คุณอูยอนน่ะครับ’
‘ทำไมล่ะ’
อีอูยอนไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศขนาดนั้น ถ้ามันปนอยู่ในอาหาร เขาก็แค่กินโดยไม่คิดอะไรมาก
อินซอบไม่มีทางไม่รู้เรื่องนั้น
‘เพราะแค่อยากให้ครับ’
อินซอบยิ้มพลางเอ่ยตอบ
เพราะแค่อยากให้
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เขาก็คิดว่ามันน่ารักสมกับเป็นชเวอินซอบ
‘งั้นให้ปีหน้านะครับ’
อินซอบพยักหน้า ปีถัดไปต้นไม้ก็ออกผลอีกครั้ง อินซอบรอให้ผลเล็กๆ สุกจนเป็นสีแดงทุกวัน ในวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก อินซอบก็มองออกไปนอกหน้าตาโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงอะไร
ดอกไม้ที่ผลิบานกับต้นไม้ในสวนสั่นไหวด้วยลมฝน การที่ของพวกนั้นมีชีวิตและตายลงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่อินซอบกลับสงสารของพวกนั้นราวกับเป็นสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอด
‘รีบนอนเถอะครับ’
วันนั้นอีอูยอนกอดอินซอบไว้ เขาตบหลังและกล่อมอีกฝ่ายให้หลับ เขาได้ยินเสียงลมฝนทั้งคืน
วันต่อมาอินซอบที่ตื่นก่อนเขาออกไปที่สวน เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายขยับในระหว่างที่นอน พอลืมตาขึ้นมา ผลมะเขือเทศเล็กๆ ก็วางอยู่ข้างหมอนแล้ว
‘ของขวัญครับ’
เป็นมะเขือเทศลูกกลมๆ สีแดง และมีขนาดประมาณเล็บนิ้วโป้ง
‘กินได้ครับ ผมล้างมาแล้ว’
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะออกไปเก็บผลที่ยังเหลืออยู่มาตั้งแต่เช้า นี่เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์และสูญเปล่า อีอูยอนยิ้มและหยิบมะเขือเทศเข้าปาก
‘อร่อยไหมครับ’
อินซอบทำสายตาคาดหวังและเอ่ยถาม
‘อืม’
อีอูยอนกลืนมะเขือเทศลงไป ผลผลิตที่เติบโตจากต้นไม้ที่อ่อนแอไม่มีทางอร่อย มีเพียงรสชาติดั้งเดิมของเปลือกที่กระด้างและเหนียวกับเนื้อที่มีกลิ่นเหม็นเขียวเท่านั้น
พออีอูยอนไม่พูดอะไร อินซอบก็ขอโทษอย่างหงอยๆ ว่า ‘ขอโทษครับ’
‘ปีหน้าผมจะปลูกให้ดีกว่านี้ครับ’
เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเลี้ยงดีอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบกับสินค้าที่ใส่ปุ๋ยและปลูกอย่างเหมาะสมจากฟาร์มได้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไป
เพราะการกระทำของอินซอบที่วุ่นวายเล็กน้อยและไม่สามารถเข้าใจได้นั้นสวยและน่ารักเกินกว่าจะห้าม
อีอูยอนค่อยๆ หันไปมองที่สวน ดอกไม้กับต้นไม้ที่อินซอบปลูกกำลังโอ้อวดถึงการมีชีวิตที่งอกงาม
ทั้งดอกหอมหมื่นลี้ ไลแลค รูดเบ้กเกีย[1] มินิกีวี่ คาเมลเลีย และดอกกุหลาบหลากสี
สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยสนใจก่อนหน้านี้กลับติดตา เขารู้สึกถึงแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วอย่างกะทันหัน อีอูยอนลูบแหวนเงียบๆ ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกว่ารำคาญและไม่ชินในตอนแรก เพราะไม่เคยใส่เครื่องประดับนานๆ พอสมควร
ตอนนั้นเองอินซอบที่รับรู้ว่ามีคนอยู่ก็เปิดประตูราวกับรออยู่ เขามองคนรักของตัวเองที่กลับมาจากทางไกลและยิ้มกว้าง
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
วินาทีที่เห็นรอยยิ้มที่สดใส อีอูยอนก็รู้ว่าความยุ่งยากที่เขายินดีทนต่อไปในอนาคตคืออะไร
ช่วงเวลาต่างๆ ที่เล็กน้อย ไม่ยิ่งใหญ่ และยากจะหาความหมายเจอหากไม่สังเกตอย่างละเอียด
“กลับมาแล้วครับ”
อีอูยอนเดิมข้ามสวนไปอย่างช้าๆ
[1] รูดเบ้กเกีย เป็นดอกไม้ที่อยู่ในวงศ์ของทานตะวัน
<ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ จบบริบูรณ์>