ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – Side Story < Love Historiette > 2-19 (จบ)

Side Story < Love Historiette > 2-19 (จบ)

กรรมการผู้จัดการคิมติดต่อมาในเย็นวันนั้น

[ถ้าเห็นข้อความแล้วโทรศัพท์กลับมาหาด้วย]

อีอูยอนโทรศัพท์หาทันทีที่เช็กข้อความ

[นายเป็นอะไร โทรศัพท์มาหาทันทีตามใจชอบเลยเหรอ]

“งั้นผมวางดีไหมครับ”

[ไม่! อย่าวาง!]

กรรมการผู้จัดการคิมตะโกนอย่างรีบร้อน อีอูยอนเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”

[แล้วนายมีเรื่องอะไรไหม]

“ไม่ครับ ไม่มีเรื่องอะไรครับ”

[ว่าแต่เมื่อวานดื่มเหล้าอะไรขนาดนั้นล่ะ นายรู้ไหมว่าค่าเหล้าตั้งเท่าไร]

“ผมควรจะรู้เหรอครับ”

[นี่ แก!]

“ขอโทษได้ไหมครับที่ผมไม่รู้ราคาเหล้าที่เดิมทีตัวเองก็ไม่ได้จ่ายอยู่แล้ว”

[ตอแหล มันก็ควรจะมีขอบเขตหน่อยสิ ทำไมถึงดื่มไวน์อย่างกับน้ำกันล่ะไอ้บ้าเอ๊ย…แล้วไอ้คนที่เมาก็สั่งแต่ไวน์แพงๆ อย่างกับมีตาทิพย์อีก!]

บนรายชื่อไวน์ของร้านที่ไปเมื่อวานไม่มีราคาเขียนไว้ อีอูยอนที่มีสายตาในการประเมินราคากับชื่อของไวน์คร่าวๆ จงใจสั่งแต่ไวน์ราคาแพงติดๆ กัน

แล้วจะเรียกไปให้รำคาญใจทำไมล่ะ

“งั้นคราวหน้าก็จัดในร้านที่มีตัวเลขเขียนไว้บนรายชื่อไวน์สิครับ”

อีอูยอนตอบด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ

[ช่างเถอะ ฉันจะส่งบทไปให้ รับด้วยล่ะ]

“บทอะไรเหรอครับ”

[บทละครเรื่องต่อไปที่จะเล่นไง]

อีอูยอนตอบกลับว่า “อ๋อ” อย่างไม่ใส่ใจ

[ฉันรู้ว่านายต้องเป็นแบบนี้เลยเตรียมอาวุธที่ไม่ธรรมดาไว้แล้ว]

“อะไรเหรอครับ”

[นายขอให้ช่วยหารายงานที่อินซอบเขียนนี่]

กรรมการผู้จัดการคิมพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

“อ๋อ อันนั้น”

รายงานที่อินซอบขอร้องด้วยใบหน้าที่แดงเถือกว่าห้ามอ่านเด็ดขาด เขาสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่อ่าน แน่นอนว่ามันเป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือ เขาคิดว่าอย่างไรก็จะขอให้กรรมการผู้จัดการคิมหาให้เจอต่อให้ต้องเผาบ้านก็ตาม

“เจอแล้วเหรอครับ”

[เปล่า ยัง]

“จะวางแล้วนะครับ”

[อย่าวาง! ฉันเจออย่างอื่นแทน!]

“อะไรเหรอครับ”

เขาเบื่อที่จะคุยโทรศัพท์กับกรรมการผู้จัดการคิมแล้ว เขาไม่ถนัดที่จะคุยโทรศัพท์กับผู้ชาย ไม่สิ เขาเบื่อและรำคาญการคุยโทรศัพท์ต่างหาก ถึงขนาดที่ตอนเด็กเขาคิดอยู่บ่อยๆ ว่า ไอ้โง่คนไหนมันประดิษฐ์ของแบบนี้ขึ้นมาแล้วทำให้คนที่อยู่ห่างไกลกันคุยกันได้นะ

[วันที่อินซอบมาสัมภาษณ์ ฉันอัดเสียงเอาไว้]

“ฮ่า” อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ

“เขายอมให้อัดเหรอครับ ผิดกฎหมายหรือเปล่าครับ”

[มะ ไม่ เพราะวันนั้นฉันมีธุระด่วนก็เลยให้ผู้ช่วยโจสัมภาษณ์แทนน่ะ ฉันขอให้อัดไว้สั้นๆ เพราะอยากรู้ว่าเป็นคนแบบไหน ฉันอยากลองฟังเสียงน่ะ]

กรรมการผู้จัดการคิมพยายามแก้ตัว

[อัดไว้สั้นจริงๆ ฉันทำแบบนั้นเพราะอยากฟังเสียงว่าเป็นคนแบบไหนน่ะ]

“ถ้าอย่างนั้น ก็ควรจะโทรศัพท์คุยสิครับ”

กรรมการผู้จัดการคิมตอบว่า “นั่นสินะ” และหัวเราะแหะๆ ให้กับการตำหนิของอีอูยอน ตอนนั้นเองอินซอบก็เคาะประตูและเดินเข้ามา

“คุณอูยอน ผมจะออกไปข้างนอกแป๊บหนึ่งนะครับ”

อินซอบที่รู้ว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่พูดเสียงเบา

“จะไปไหน”

อีอูยอนเดินไปตรงหน้าอินซอบ

[ปล่อยไปเถอะ ให้เขาออกไปหน่อย]

พอได้ยินคำพูดที่ไร้ประโยชน์จากปลายสาย อีอูยอนก็ยิ้มและปิดส่วนที่ใช้พูดคุยของโทรศัพท์ไว้

“ผมจะไปทิ้งขยะครับ”

“ของแบบนั้นทำไมคุณต้องเป็นคนทิ้งด้วยล่ะ”

อีอูยอนแย่งถุงขยะที่อยู่ในมือของอินซอบมาถือ

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะทำเองครับ มันอยู่ข้างหน้านี่เองครับ”

“อยู่นี่แหละครับ เดี๋ยวผมมานะครับ”

อีอูยอนยกหมวกของเสื้อฮู้ดขึ้นมาสวมและเดินไปตรงประตูหน้าบ้าน

“…ผมทำได้ครับ เดี๋ยวผมมา”

อินซอบที่ออกมาจนถึงหน้าประตูบ้านด้วยพึมพำต่ออีกหลายคำเพราะรู้สึกผิด

“ผมซื้อไอศกรีมให้ดีไหมครับ”

อินซอบครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าให้กับคำถามของอีอูยอน

“รสอะไร”

พออินซอบลังเล รอยยิ้มน้อยๆ ก็ปรากฏในดวงตาของอีอูยอนราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นแบบนี้

“ถ้าตัดสินใจได้แล้วโทรมานะครับ”

อีอูยอนใส่รองเท้าและเดินออกไปนอกประตูหน้าบ้าน

“พูดมาครับ”

[เวรเอ๊ย ให้ตายสิ ถุย ใครบอกว่าไม่เคยมีแฟนนะ ฉันคงฟังไม่ถนัดเพราะหูเย็นมากแน่ๆ]

“ถ้าฟังไม่ถนัดผมจะวางแล้วนะครับ”

[นี่!]

อีอูยอนตอบรับอย่างไม่ใส่ใจว่า “ครับ”

[แล้วจะไม่ฟังสัมภาษณ์ของอินซอบเหรอ]

“ส่งมาครับ”

[บทเหรอ เลิกพูดว่าจะลองคิดดูด้วยนะ เพราะครั้งนี้หลอกฉันไม่ได้แล้ว]

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าบทใช้ได้ ผมจะเล่นครับ”

[นี่! ฉันอัดเสียงไว้นะ! เพราะว่าอัดเสียงไว้ ถ้านายกลับคำพูดอีก…!]

อีอูยอนตัดสายไปทันที หลังจากวางถุงขยะไว้ในช่องขยะ เขาก็ล้างมือตรงก๊อกน้ำที่ติดตั้งไว้ข้างๆ จากนั้นก็เดินไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ และเลือกไอศกรีมที่อินซอบชอบมาหลายอัน พอพนักงานพาร์ทไทม์ในร้านสะดวกซื้อถามว่าใช่อีอูยอนหรือเปล่า เขาก็ตอบว่า “ไม่ใช่ครับ” และยิ้มอย่างหน้าไม่อาย

พอเขาเช็กในระหว่างทางกลับบ้าน อีเมลที่กรรมการผู้จัดการคิมส่งมาก็ถูกส่งมาถึงเรียบร้อยแล้ว เขาไม่อ่านเนื้อหาภายในอีเมลและกดเซฟแค่ไฟล์ที่แนบมาเท่านั้น เขานั่งลงบนม้านั่งแถวบ้านและเสียบหูฟัง พอได้ยินเสียงของอินซอบที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาก็เผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว การสัมภาษณ์เริ่มต้นด้วยการเอ่ยขอโทษที่มาสายเนื่องจากฝนตกรถติด ต่างจากที่กรรมการผู้จัดการคิมพูด การสัมภาษณ์นั้นยาวกว่าที่คิด

คำถามที่น่าเบื่อดำเนินต่อไปทีละคำถาม คิดยังไงกับนักแสดงอีอูยอน ทำไมถึงสมัครงานนี้ ปกติแล้วมนุษยสัมพันธ์เป็นยังไง และนิสัยเป็นยังไง อินซอบตอบอย่างจริงใจราวกับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี

คงจะตอบโดยทำสีหน้าประหม่าและนั่งตัวตรงสินะ

คนที่ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ก็น่ารักเหมือนเดิม

อีอูยอนยิ้ม เขานึกถึงสัมภาษณ์ที่ทำที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ นักข่าวถามคำถามที่เป็นที่นิยมในช่วงนี้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปในอดีตได้สิบนาที มีอะไรที่อยากจะบอกกับตัวเองไหม มันเป็นคำถามที่แสนจะไร้ประโยชน์ อีอูยอนครุ่นคิดและตอบว่า “ไม่มีครับ” นักข่าวจึงบอกว่า “คุณอีอูยอนดูจะพอใจกับความเป็นจริงมากเลยนะคะ” ก่อนจะยิ้มแล้วนิ่งไป ตัวเขาเองก็ทำตายิ้มให้อย่างพอประมาณเช่นกัน

หากได้กลับไปในอดีต เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดกับตัวเองที่โง่เง่าจนจำอินซอบไม่ได้ แม้จะเจอกันเกินสิบครั้ง แม่งไม่ใช่สำหรับเขาแน่ ถ้ามีเวลาแบบนั้น เขาจะไปหาชเวอินซอบด้วยตัวเองและมีอะไรด้วยทันทีที่เจอ เขาจะมีอะไรด้วยให้ครบสิบนาที

อีอูยอนยิ้มอย่างพอใจและเงี่ยหูฟังเสียงของอินซอบที่อยู่ในไฟล์เสียง

อินซอบที่ตอบคำถามอย่างใจเย็นเริ่มพูดตะกุกตะกักเพราะคำถามที่ว่าเคยเจอตัวจริงของอีอูยอนหรือเปล่า

[เอ่อ ผม ผมเห็นในโทรทัศน์บ่อยๆ และเห็นในภาพยนตร์บ่อยเช่นกัน ส่วนตัวจริงผมก็เคยเจอบ้างครับ]

แม้จะเจอตัวจริงบ่อย เพราะบอกว่าตามไปไหนมาไหนเพื่อให้ได้ข้อมูลของเขา แต่ก็ไม่สามารถพูดเรื่องนั้นไปตามตรงได้ สุดท้ายอีอูยอนก็หัวเราะให้กับคำตอบของอินซอบที่อธิบายเรื่องนั้นว่า ‘เจอบ้าง’

“ฮ่าๆๆๆ จะบ้าตาย”

พอเขาหัวเราะไปสักพัก การสัมภาษณ์ก็เกือบจะจบแล้ว คำถามข้อสุดท้ายที่ถามว่าอยากเป็นผู้จัดการส่วนตัวแบบไหนถูกส่งไปหา อินซอบลังเลก่อนจะเอ่ยตอบ

[ผู้จัดการที่ไม่สะดุดตาครับ]

ผู้ช่วยโจถามว่ามันหมายความว่าอะไรราวกับคาดไม่ถึง

[เอ่อ เพราะผมได้ยินมาว่านักแสดงอีอูยอนมีนิสัยเงียบๆ ในเวลาปกติ ผมเลยอยากทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดน้อยที่สุด ผมจะไม่ทำตัวยุ่งยากครับ]

จะไม่ทำตัวยุ่งยาก

อีอูยอนพูดคำตอบสุดท้ายของอินซอบซ้ำเบาๆ หลังจากที่เอ่ยร่ำลากันอย่างง่ายๆ ไฟล์เสียงก็จบลง อีอูยอนดึงหูฟังออกและเก็บใส่กระเป๋า จากนั้นก็โทรศัพท์หาอินซอบ

“ฮัลโหล”

อินซอบตอบว่า ‘ครับ คุณอูยอน’

“ผมโทรศัพท์หาเพราะอยากได้ยินเสียงน่ะครับ”

[ครับ? เสียงผมเหรอครับ?]

เขารู้สึกได้ว่าอินซอบที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์มึนงงกับคำพูดที่กะทันหัน อีอูยอนแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแอบยิ้มในใจ แล้วก็ถามว่าเลือกไอศกรีมได้หรือยัง

[อ้อ! ครับ ผมว่าจะโทรศัพท์ไปหาพอดีเลยครับ]

“รสอะไร”

อินซอบใช้เวลาและเอาใจใส่กับการเลือกไอศกรีม แม้จะเป็นการกระทำที่อีอูยอนไม่เข้าใจ แต่เขาก็มักจะปล่อยให้ทำเพราะชอบใบหน้าที่อินซอบครุ่นคิดอย่างจริงจัง

[ไอศกรีมที่เพิ่งออกใหม่ได้ไม่นานน่ะครับ]

“ส่งรูปมาให้ดูหน่อยครับ”

อินซอบส่งรูปให้ทันที พอดูแล้วว่าไม่มีอยู่ในบรรดาไอศกรีมที่ตัวเองเลือก อีอูยอนก็โยนถุงร้านสะดวกลงในถังขยะใกล้ๆ อย่างไม่ลังเล

[ถ้าไม่มี ผมกินอันไหนก็ได้ครับ]

“ผมเพิ่งคุยกับกรรมการผู้จัดการเสร็จและกำลังจะไปร้านสะดวกซื้อน่ะครับ ไปถึงแล้วจะดูให้นะครับว่ามีไหม”

[…ขอโทษนะครับ]

“เรื่องอะไรล่ะ”

[ผมรู้สึกเหมือนทำให้คุณยุ่งยากโดยไม่จำเป็น…]

“ไม่รู้เหรอครับ ว่าผมชอบความยุ่งยากมาก”

[ครับ?]

“คุณไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับผมเยอะเลยหรือเปล่าครับ ต้องเป็นสตอล์กเกอร์อีกรอบไหมครับ”

“…คุณอูยอน”

อีอูยอนหัวเราะสั้นๆ ให้กับเสียงเรียกที่เจือไปด้วยความขุ่นเคือง เขาเดินลงไปตามถนนใหญ่ เพราะร้านสะดวกซื้อที่ใกล้บ้านที่สุดไม่มีไอศกรีมที่อินซอบตามหา

“ว่าแต่ตอนนั้นคุณเขียนอะไรลงไปในรายงานนั้นกันแน่ครับ แปะรูปแอบถ่ายของผมไปด้วยหรือเปล่า”

[เปล่าครับ ผมไม่ได้แปะลงไปเด็ดขาดเลยครับ ผมจะแปะของแบบนั้นลงไปได้ยังไงล่ะครับ]

“งั้นแปะไว้ที่ไหนล่ะ ในไดอารี่เหรอ ว่าแต่ยังมีรูปที่ถ่ายตอนนั้นเหลืออยู่ไหมครับ”

[…]

พอไม่มีคำตอบกลับมา อีอูยอนก็พึมพำพลางหัวเราะว่า “มีอยู่สินะ”

ร้านสะดวกซื้อที่ไปเป็นครั้งที่สองก็ไม่มีไอศกรีมที่อินซอบตามหาเหมือนกัน อีอูยอนไม่ตอบคำถามของพนักงานในร้านที่ถามว่าใช่อีอูยอนหรือเปล่าและออกมาจากร้านสะดวกซื้อ

[คุณอูยอน ถ้าไม่มีอันนั้น คุณซื้ออะไรมาก็ได้ครับ]

“แต่ผมจะกินนะ?”

อีอูยอนตอบอย่างหน้าไม่อายและเดินไปทางร้านสะดวกซื้อที่อยู่อีกฝั่ง โชคดีที่เขาหาไอศกรีมที่อินซอบพูดถึงได้ที่นั่น อีอูยอนหยิบไอศกรีมหลายอันไปจ่ายเงิน จากนั้นก็เดินกลับบ้านพร้อมกับคุยโทรศัพท์ต่อ พอได้คุยเรื่องธรรมดาๆ และไร้สาระกัน เขาก็มาถึงหน้าบ้านโดยไม่ทันได้รู้ตัว

“กลับมาแล้วครับ”

คำพูดของอีอูยอนทำให้อินซอบถามว่า “วางไหมครับ”

“ครับ แล้วเจอกันครับ”

เขาเก็บโทรศัพท์มือถือที่ร้อนเล็กน้อยใส่กระเป๋า จากนั้นก็เปิดประตูรั้วและเดินเข้าไป เงาของยามบ่ายแก่ๆ กระทบกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งและต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นหญ้า นี่เป็นสวนที่เขาปลูกให้อินซอบ

ฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้วอินซอบปลูกเมล็ดมะเขือเทศเชอร์รี่ที่ได้มาจากไหนสักที่ไว้ตรงมุมสวน อินซอบแวะดูสวนทุกวันตั้งแต่ตอนที่แตกหน่อจนกระทั่งลำต้นเติบโต เขารดน้ำไม่ให้ดินแห้ง และทุ่มเทเวลาและจิตใจให้กับเศษหญ้าไร้ค่าด้วยความยินดี

ตอนที่ผ่านช่วงต้นฤดูร้อนไป และมีผลเล็กๆ ห้อยอยู่ที่ต้น อินซอบก็ทำตาเป็นประกาศและชอบมาก แต่ความยินดีนั้นกลับอยู่ได้ไม่นาน แมวที่ตามออกมาในระหว่างที่ออกมารดน้ำที่สวนกินผลทั้งหมด

‘เฮ้อ…’

อินซอบมองดูผลมะเขือเทศที่ตายเป็นส่วนๆ ไปครึ่งหนึ่งและรู้สึกเสียดายมากๆ

‘แมวทำเหรอครับ’

อีอูยอนกอดอกมองพลางเอ่ยถาม

‘ครับ จอห์น…’

‘คงต้องดุแล้วล่ะ’

‘มะ ไม่นะครับ จอห์นไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้นนะครับ มันตามออกมาในระหว่างที่ผมออกมารดน้ำ…แมวน่ะ ถ้าเห็นพวกพืชก็จะเคี้ยวกินน่ะครับ ผมจะเอาใจใส่จอห์นให้มากกว่านี้’

อินซอบพูดสนับสนุนต่อว่า ‘ยังไงก็ไม่ใช่ความผิดของจอห์นครับ’ ราวกับอีอูยอนจะดุแมวจริงๆ อีอูยอนจึงตอบว่า ‘โอเคครับ’

ไม่ใช่ความผิดของแมวอย่างที่อินซอบพูด นี่เป็นการกระทำที่ดีมากต่างหาก นี่เป็นการกระทำที่มีความหมายที่ในบรรดาสิ่งที่แมวทำหลังจากเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้

อินซอบเสียใจจริงๆ และดึงเศษเสี้ยวของผลที่มีรอยฟันออก อีอูยอนเกลียดมะเขือเทศเชอร์รี่ที่อินซอบปลูกอย่างเอาใจใส่ ถึงขนาดที่คิดว่าเขาจะแกล้งเหยียบมันให้หมดดีไหมทุกครั้งที่เดินผ่านสวน

ทำไมถึงทุ่มเทจิตใจขนาดนั้นล่ะ

‘อยากกินขนาดนั้นเลยเหรอครับ’

‘ครับ?’

อินซอบที่ดึงผลมะเขือเทศอยู่เงยหน้าขึ้นมา อีอูยอนนั่งลงข้างๆ อินซอบ เขาช่วยเด็ดมะเขือเทศที่เหลือออกพลางพูดต่อ

‘ถ้าอยากกินมะเขือเทศ ผมจะซื้อให้ครับ เป็นมะเขือเทศคุณภาพดี’

อินซอบยิ้มอย่างอายๆ

‘เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น คือ…’

มันน่าภูมิใจน่ะครับ ผมรู้สึกมหัศจรรย์ใจที่มันเติบโตและออกผลได้ในที่แบบนี้ แล้วสิ่งเล็กๆ พวกนี้ก็น่ารัก…อีอูยอนฟังเหตุผลที่เข้าใจได้ยากที่อีกฝ่ายพึมพำต่อเงียบๆ อินซอบมองอีอูยอนพร้อมกับพูดว่า ‘แล้วก็’

‘ถ้ามะเขือเทศออกผลแล้ว ผมอยากให้คุณอูยอนน่ะครับ’

‘ทำไมล่ะ’

อีอูยอนไม่ได้ชอบกินมะเขือเทศขนาดนั้น ถ้ามันปนอยู่ในอาหาร เขาก็แค่กินโดยไม่คิดอะไรมาก

อินซอบไม่มีทางไม่รู้เรื่องนั้น

‘เพราะแค่อยากให้ครับ’

อินซอบยิ้มพลางเอ่ยตอบ

เพราะแค่อยากให้

นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจอยู่ดี แต่เขาก็คิดว่ามันน่ารักสมกับเป็นชเวอินซอบ

‘งั้นให้ปีหน้านะครับ’

อินซอบพยักหน้า ปีถัดไปต้นไม้ก็ออกผลอีกครั้ง อินซอบรอให้ผลเล็กๆ สุกจนเป็นสีแดงทุกวัน ในวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก อินซอบก็มองออกไปนอกหน้าตาโดยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเป็นห่วงอะไร

ดอกไม้ที่ผลิบานกับต้นไม้ในสวนสั่นไหวด้วยลมฝน การที่ของพวกนั้นมีชีวิตและตายลงเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่อินซอบกลับสงสารของพวกนั้นราวกับเป็นสิ่งที่อยู่ในอ้อมกอด

‘รีบนอนเถอะครับ’

วันนั้นอีอูยอนกอดอินซอบไว้ เขาตบหลังและกล่อมอีกฝ่ายให้หลับ เขาได้ยินเสียงลมฝนทั้งคืน

วันต่อมาอินซอบที่ตื่นก่อนเขาออกไปที่สวน เขาได้ยินเสียงอีกฝ่ายขยับในระหว่างที่นอน พอลืมตาขึ้นมา ผลมะเขือเทศเล็กๆ ก็วางอยู่ข้างหมอนแล้ว

‘ของขวัญครับ’

เป็นมะเขือเทศลูกกลมๆ สีแดง และมีขนาดประมาณเล็บนิ้วโป้ง

‘กินได้ครับ ผมล้างมาแล้ว’

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะออกไปเก็บผลที่ยังเหลืออยู่มาตั้งแต่เช้า นี่เป็นการกระทำที่ไม่มีประโยชน์และสูญเปล่า อีอูยอนยิ้มและหยิบมะเขือเทศเข้าปาก

‘อร่อยไหมครับ’

อินซอบทำสายตาคาดหวังและเอ่ยถาม

‘อืม’

อีอูยอนกลืนมะเขือเทศลงไป ผลผลิตที่เติบโตจากต้นไม้ที่อ่อนแอไม่มีทางอร่อย มีเพียงรสชาติดั้งเดิมของเปลือกที่กระด้างและเหนียวกับเนื้อที่มีกลิ่นเหม็นเขียวเท่านั้น

พออีอูยอนไม่พูดอะไร อินซอบก็ขอโทษอย่างหงอยๆ ว่า ‘ขอโทษครับ’

‘ปีหน้าผมจะปลูกให้ดีกว่านี้ครับ’

เป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเลี้ยงดีอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบกับสินค้าที่ใส่ปุ๋ยและปลูกอย่างเหมาะสมจากฟาร์มได้ แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไป

เพราะการกระทำของอินซอบที่วุ่นวายเล็กน้อยและไม่สามารถเข้าใจได้นั้นสวยและน่ารักเกินกว่าจะห้าม

อีอูยอนค่อยๆ หันไปมองที่สวน ดอกไม้กับต้นไม้ที่อินซอบปลูกกำลังโอ้อวดถึงการมีชีวิตที่งอกงาม

ทั้งดอกหอมหมื่นลี้ ไลแลค รูดเบ้กเกีย[1] มินิกีวี่ คาเมลเลีย และดอกกุหลาบหลากสี

สิ่งต่างๆ ที่ไม่เคยสนใจก่อนหน้านี้กลับติดตา เขารู้สึกถึงแหวนที่สวมไว้ที่นิ้วอย่างกะทันหัน อีอูยอนลูบแหวนเงียบๆ ตอนนี้เขาคุ้นเคยกับความรู้สึกว่ารำคาญและไม่ชินในตอนแรก เพราะไม่เคยใส่เครื่องประดับนานๆ พอสมควร

ตอนนั้นเองอินซอบที่รับรู้ว่ามีคนอยู่ก็เปิดประตูราวกับรออยู่ เขามองคนรักของตัวเองที่กลับมาจากทางไกลและยิ้มกว้าง

“กลับมาแล้วเหรอครับ”

วินาทีที่เห็นรอยยิ้มที่สดใส อีอูยอนก็รู้ว่าความยุ่งยากที่เขายินดีทนต่อไปในอนาคตคืออะไร

ช่วงเวลาต่างๆ ที่เล็กน้อย ไม่ยิ่งใหญ่ และยากจะหาความหมายเจอหากไม่สังเกตอย่างละเอียด

“กลับมาแล้วครับ”

อีอูยอนเดิมข้ามสวนไปอย่างช้าๆ

[1] รูดเบ้กเกีย เป็นดอกไม้ที่อยู่ในวงศ์ของทานตะวัน

<ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ จบบริบูรณ์>

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท