“เรียนมาจากที่ไหนเหรอครับ อ้อ หรือว่าของแบบนี้เป็นความลับครับ”
“ไม่เคยเรียนเลยครับ”
“ไม่เคยเรียน แต่เรียนรู้ได้อย่างแตกฉานเองเหรอครับ”
“เปล่าครับ จริงๆ แล้ว…”
อินซอบหันไปมองอีอูยอน อีกฝ่ายหรี่ตาลงพลางยกน้ำขึ้นดื่มและยิ้มด้วยใบหน้าที่ราวกับเด็กหนุ่มแรกรุ่น
อินซอบถอนหายใจ ในเวลาแบบนี้ห้ามอีอูยอนไปก็เปล่าประโยชน์
“ลุกกันไหมครับ”
อีอูยอนวางแก้วน้ำลงพลางเอ่ยถาม
“…ผมขอไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะครับ”
อินซอบพึมพำด้วยเสียงเบาๆ
“ผมจะไปสตาร์ทรถรอนะครับ”
คิมคังอูว่าพลางลุกขึ้น อินซอบถอนหายใจก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดิน เขาหยิบน้ำยาบ้วนปากออกมาจากกระเป๋าก่อนจะบ้วนปากและล้างมือ หลังจากนั้นเขาก็มองใบหน้าที่สะท้อนในกระจก
ยอดฝีมือที่ถูกซ่อนไว้งั้นเหรอ
เขาไม่เข้าใจเลยว่าพอเห็นใบหน้าซีดๆ แบบนี้แล้วเชื่อคำพูดแบบนั้นไปได้อย่างไร ถ้าเขาเป็นผู้มีพลังวิเศษที่มีความสามารถซุกซ่อนไว้จริง เขาก็น่าจะไปหาคังยองโม และเตือนว่าถ้าไม่อยากมีปัญหาก็อย่าพูดพล่ามไปเรื่อยมากกว่า
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีสิ”
“อะไรดีเหรอครับ”
อินซอบสะดุ้งตกใจ เพราะเสียงที่ได้ยินหลังจากที่พึมพำคนเดียว อีอูยอนปิดประตูห้องน้ำก่อนจะเดินเข้ามาด้านใน
“ผมจะออกไปแล้วครับ”
อีอูยอนตอบว่า ‘อย่างนั้นเหรอครับ’ พร้อมกับล็อกประตูห้องน้ำ เสียงโลหะที่กระทบกันดัง กริ๊ก ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายของอินซอบเกร็งขึ้นทันที
“กินข้าวอร่อยไหมครับ”
“อร่อยมากครับ”
“แต่ดูเหมือนคุณจะกินไม่ลงมากกว่าปกติซะอีกนะครับ ไม่อยากอาหารเหรอครับ”
อินซอบคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า อีอูยอนถอนหายใจ
“ไม่ต้องสนใจมากก็ได้ครับ ผมคงเป็นแบบนั้นเพราะเป็นฤดูร้อนน่ะครับ”
“งั้นหมดฤดูร้อนแล้วมาอีกครั้งกันไหมครับ”
อินซอบลังเลกับคำพูดของอีอูยอนไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณจงใจออกเดินทางเร็วเพื่อที่จะมาที่นี่เหรอครับ”
พวกเขาออกเดินทางไวกว่าปกติ แม้จะแปลกใจ แต่อินซอบกลับทำตามคำพูดของอีกฝ่ายง่ายๆ เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเหตุผล
“เปล่าครับ”
อีอูยอนก้าวเข้ามาหนึ่งก้าวก่อนจะพูดต่อ
“ผมบอกให้ออกเดินทางไวๆ เพราะผมอยากจะเจอคุณอินซอบเร็วขึ้นอีกนิดน่ะครับ”
พออยู่ด้วยกันตามลำพังในสถานที่ปิดแคบๆ เขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศค่อยๆ แปลกขึ้นเรื่อย อินซอบเดินไปด้านข้างของอีอูยอน แต่อีอูยอนกลับยิ้มและยืนขวางหน้าอินซอบไว้
“ถูกใจคุณคิมคังอูไหมครับ”
อินซอบคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผมไม่รู้หรอกครับ เพราะเพิ่งเจอกันได้ไม่นาน แต่เขาดูจะเป็นคนดีนะครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับที่คุณอินซอบถูกใจ”
“ต้องถูกใจคุณอีอูยอนสิครับ ไม่ใช่ผม”
“ผมมีผู้จัดการส่วนตัวที่ถูกใจอยู่แล้วคนหนึ่งนี่ครับ”
“ขอบคุณครับ…ผมออกไปก่อนนะครับ”
อินซอบพูดด้วยน้ำเสียงบางเบา ระยะห่างระหว่างเขากับอีอูยอนใกล้มาก แม้จะพยายามเลี่ยงสถานการณ์แบบนี้ แต่เขากลับรับรู้ได้จนขนลุกไปทั้งตัว เขานึกอายเพราะกลัวว่าตัวเองจะรับรู้ไปเองคนเดียว และตีตนไปก่อนไข้เหมือนก่อนหน้านี้
“เชิญครับ”
อีอูยอนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อินซอบพยายามจะเดินผ่านไปโดยที่ไม่โดนตัวอีกฝ่าย วินาทีที่กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูที่ล็อกอยู่ อีอูยอนก็เป็นฝ่ายจับลูกบิดประตูไว้ก่อน
“เดี๋ยวครับ”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกอินซอบไว้ เขาไม่สามารถขยับได้ราวกับมีโซ่พันอยู่ที่เท้า
“มีผมติดตรงไหนอีกเหรอครับ”
อินซอบพยายามทำเป็นใจเย็น เขาลูบต้นคอของตัวเองพลางเอ่ยถาม
“ผมขอถามอะไรอย่างหนึ่งครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนแนบชิดอยู่ด้านหลัง อินซอบไม่กล้าหันกลับไปมอง เขาแค่พยักหน้าสองสามครั้ง
“ที่อเมริกาเป็นยังไงเหรอครับ”
“ครับ?”
คำถามที่ไม่อาจทำความเข้าใจเรียกให้อินซอบหันหน้าไปโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของอีอูยอนที่ยืนอยู่ในระยะที่โดนตัวกันอย่างน่าหวาดเสียวเข้ามาในสายตา
“จู่ๆ ผมก็สงสัยน่ะครับว่าที่อเมริกาคุณใช้ชีวิตอยู่ยังไง พวกอาหารที่กินในชีวิตประจำวันอะไรทำนองนั้น”
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยังติดใจกับคำที่คิมคังอูพูดเมื่อสักครู่นี้
“ผมกินอาหารเกาหลีบ้างครับ เพราะพ่อมีเชื้อสายเกาหลี ถึงแม้อาหารเผ็ดๆ จะยังยากสำหรับผมอยู่ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมคุ้นเคยขึ้นเยอะแล้ว”
“แล้วรู้สึกลำบากกับเรื่องอื่นหรือเปล่า”
อินซอบส่ายหน้า
“ไม่มีครับ ผมสบายดี”
“แล้วทำไมถึง…”
อีอูยอนเดาะลิ้นเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่สบายใจเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่าง แต่แล้วเขาก็ยิ้มอย่างสบายๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นและพูดต่อ
“โอเคครับ ถ้าไม่สบายใจหรือมีปัญหาอะไรก็บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ ผมจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างเอง”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนโยน แต่คำพูดที่ว่าจะช่วยแก้ปัญหาให้กลับฟังดูน่าหวาดกลัวเป็นพิเศษ ราวกับว่าถ้าเกิดเรื่องแบบนั้น เขาจะทำให้ปัญหาเหล่านั้นหายไปให้หมด อินซอบตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่พูดเรื่องคังยองโมเด็ดขาด
“งั้นผมออกไปก่อนนะครับ”
อีอูยอนเปิดประตูให้ด้วยตนเอง หลังจากอินซอบออกไป รอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่ริมฝีปากของอีอูยอนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
***
“ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักครับ”
พอมาถึงลานจอดรถ คิมคังอูก็หันกลับมาพูด
“คุณคิมคังอูสิครับที่ทำงานหนัก นี่เป็นการทำงานครั้งแรก คงจะเหนื่อยแย่เลยนะครับ”
วันนี้อีอูยอนต้องขึ้นไปทักทายบนเวทีเป็นสิบงานในหนึ่งวัน
“ไม่เลยครับ ผมแข็งแรงน่ะครับ”
บนใบหน้าของคิมคังอูไม่ปรากฏร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อยราวกับจะยืนยันคำพูดนั้น คิมคังอูเป็นคนที่มีปัจจัยที่ดีที่จะช่วยสนับสนุนอินซอบได้ในหลายๆ อย่าง
“งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ ส่วนตารางงานคุณอินซอบจะเป็นคนบอกครับ”
“ครับ เมื่อกี้เขาส่งตารางงานของสัปดาห์นี้มาให้ทางโทรศัพท์แล้วครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
คิมคังอูเอ่ยลาด้วยน้ำเสียงกระปรี้กระเปร่า
“เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
อินซอบค่อยๆ ปลดเข็มขัดและกำลังจะลงจากรถ
“บ้านของฮยองนิม[1]อยู่ที่ไหนเหรอครับ เดี๋ยวผมจะใช้รถคันนี้ไปส่ง”
คิมคังอูเรียกอินซอบว่าฮยองนิมไม่หยุดตั้งแต่เมื่อกี้ เพราะคิดว่าอินซอบเป็นพวกยอดฝีมือ
“ไม่ต้องเรียกแบบนั้นก็ได้ครับ”
“งั้นจะให้เรียกว่าอะไรดีครับ จะเรียกพี่ก็ดูไม่เป็นทางการเกินไป”
อินซอบผู้ไม่มีภูมิคุ้มกันด้านนี้มองอีอูยอนด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“แค่เรียกว่าคุณผู้จัดการส่วนตัวเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ก็พอครับ”
อีอูยอนตอบ
“ผมรู้สึกว่ามันห่างเหินไปน่ะครับ เราต้องสนิทกันไวๆ สิครับ งั้นผมจะเรียกว่าฮยองนิมก็แล้วกันครับ แล้วก็พูดธรรมดากับผมเถอะครับ ผมเด็กกว่าตั้งสามปี”
“ครับ ผมจะค่อยๆ ลดระดับความสุภาพลงนะครับ”
อินซอบตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“ผมจะใช้รถคันนี้ไปส่งครับ ได้หรือเปล่าครับ”
คิมคังอูมองอีอูยอนพลางเอ่ยถาม
“นี่เป็นรถที่บริษัทจัดหามาให้ครับ ไม่ใช่รถผม ใช้ตามสบายได้เลยครับ”
พออินซอบได้ยินคำตอบของอีอูยอนก็รีบส่ายหน้า
“นี่เป็นรถของบริษัท ห้ามใช้ในเรื่องส่วนตัวเด็ดขาดเลยนะครับ เอาไปคืนบริษัททันทีที่คุณอีอูยอนเสร็จงานจะดีกว่าครับ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นรถใหญ่ ไม่มีที่ที่เหมาะจะจอดด้วยครับ”
คิมคังอูปิดปากสนิทและพยักหน้ารับคำตักเตือนที่จริงจังของอินซอบ อีอูยอนมองคนสองคนที่เข้าใจกันได้อย่างรวดเร็วพลางเอียงคอ
“ผมเดินไปก็ได้ครับ คุณคังอูเอารถไปคืนแล้วกลับบ้านเถอะครับ”
มันไม่ใช่ระยะทางที่เดินไปได้ แต่อินซอบผู้มีจิตใจดีก็จงใจพูดออกไปเช่นนั้นเพราะนึกถึงคิมคังอู แม้จะรู้ความจริงข้อนั้น แต่อีอูยอนกลับไม่พูดอะไรสักคำ
“เข้าใจแล้วครับ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะครับ”
คิมคังอูก้มหัวปลกๆ อีอูยอนลงจากรถและตามด้วยชเวอินซอบ ทันทีที่รถเคลื่อนตัวออกไป อีอูยอนก็ตบไหล่อินซอบ
“ขึ้นไปข้างบนสักครู่ได้ไหมครับ ผมมีของจะให้”
“ตอนนี้เหรอครับ”
“ถ้าไม่อยากขึ้นก็กลับเลยก็ได้ครับ ผมไม่บังคับอยู่แล้ว”
“ปะ เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
อินซอบเดินตามหลังอีกฝ่ายไปโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ขณะที่เข้าไปในลิฟต์และขึ้นไปด้านบน อินซอบก็รู้สึกหวาดผวา เพราะไม่รู้ว่าอีอูยอนจะพูดอะไร เขาจะพูดอะไรดีถ้าอีกฝ่ายบอกให้นอนค้าง พรุ่งนี้คิมคังอูน่าจะเอารถมา และเขาก็ไม่รู้ว่าต้องกุเรื่องอย่างไร เหนือสิ่งอื่นใดคือเขายังจัดการความคิดที่ว่าต้องคุยเรื่องของแชยอนซออย่างไรไม่ได้เลย
“คือ…”
ขณะที่เขากำลังจะพูด ประตูลิฟต์ก็เปิดพอดี อีอูยอนที่รีบก้าวออกไปก่อนกระดิกนิ้วสั่งให้อินซอบลงตามมา อินซอบออกจากลิฟต์ตามอีอูยอนไปอย่างไม่รู้ตัว
“รอตรงนี้สักครู่นะครับ”
อีอูยอนเอากันชนตรงประตูหน้าบ้านลงก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน อินซอบยืนเหม่อลอยให้กับสถานการณ์ที่ไม่ทันได้คาดคิด อีอูยอนถือถุงกระดาษสีน้ำตาลออกมา
“นี่เป็นหนังสือเสียงที่ผมอัดเสียงคราวก่อนครับ ถึงจะเป็นเวอร์ชันที่ยังอีดิทไม่สมบูรณ์ แต่เพราะผมรบกวนว่าขอเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ก็เลยได้รับมาเมื่อวานน่ะครับ”
อีอูยอนยื่นถุงให้ อินซอบใช้มือทั้งสองข้างรับถุงมาถือไว้
“ผมเห็นว่าตอนนั้นพอผมอ่านหนังสือให้ฟัง คุณอินซอบก็หลับทันทีน่ะครับ แล้วเมื่อวานคุณบอกว่าคุณนอนไม่หลับ ผมก็เลยคิดว่ามันอาจจะช่วยได้”
“เอ่อ ครับ…ขอบคุณ…ครับ”
ใบหน้าของชเวอินซอบเห่อร้อน เขารู้สึกอับอายขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะตีตนไปก่อนไข้เสียยกใหญ่
“งะ งั้นผมขอตัวนะครับ”
อีอูยอนพิงประตูหน้าบ้านและเอ่ยเรียกเขาไว้ว่า ‘คุณอินซอบครับ’ อินซอบกอดถุงพลางหันกลับไปมอง
“มีเรื่องที่อยากให้ผมทำให้หรือเปล่าครับ”
“ครับ?”
“ถ้ามีอะไรที่อยากได้ ก็ลองบอกมาได้นะครับ”
อีอูยอนเป็นคนอ่อนโยน อย่างน้อยๆ สำหรับเขา อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงความอ่อนโยนที่ปั้นแต่งขึ้นให้เห็น แต่ตอนนี้มันต่างไปจากปกติเล็กน้อย อินซอบกะพริบตาและมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า คนเรามักจะรู้สึกคลื่นไส้และเวียนหัวถ้ากินของหวานมากเกินไป ตอนนี้อีอูยอนที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เป็นแบบนั้น คืออ่อนโยนมากเกินไป
“…ไม่มีครับ”
อินซอบเบือนหน้าพลางเอ่ยตอบ แม้เขาจะพยายามไม่คิด แต่ความคิดที่ไม่ดีกลับผุดขึ้นมาในหัวอยู่เรื่อยๆ เพราะท่าทีที่ต่างไปจากปกติของอีอูยอน
“ถ้าคิดออกแล้วก็บอกนะครับ บอกได้ทุกเมื่อเลย”
“ขอบคุณครับ เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
อินซอบก้มหัวปลกๆ เขาเปิดถุงออกดูในลิฟต์ ข้างในมีซีดีอยู่อย่างที่อีอูยอนบอก เขารู้สึกว้าวุ่นใจ เขาควรต้องดีใจ เพราะนี่เป็นของขวัญที่อีกฝ่ายให้เพราะคิดถึงเขา แต่เขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลยจนรู้สึกผิด
แล้วทำไมต้องเป็นวันถัดจากที่เราเห็นฉากนั้นด้วยล่ะ…
“ไม่หรอกน่า”
อินซอบส่ายหัว การเข้าใจความหวังดีของคนอื่นผิดแบบนี้เป็นการกระทำที่ขี้ขลาด อินซอบลงจากลิฟต์และส่งข้อความหาอีอูยอนในระหว่างที่เดินไปที่ป้ายรถเมล์
[ขอบคุณสำหรับของขวัญนะครับ ผมจะฟังอย่างดีเลยครับ ถ้าคุณอีอูยอนอยากได้อะไร ก็สามารถบอกผมได้ทุกเมื่อเลยนะครับ]
ผ่านไปไม่นานก็มีข้อความตอบกลับกลับมา
[งั้นช่วยฝันถึงผมทีนะครับ]
อินซอบยืนเหม่อและลองอ่านข้อความที่มาจากอีอูยอน ความเจ็บแปลบแพร่ไปทั่วบริเวณอกทุกครั้งที่เขาทบทวนข้อความแสนหวานนั้นอย่างละเอียด
[1] ฮยองนิม (형님) ฮยอง (형) แปลว่าพี่ชาย เป็นคำที่ผู้ชายใช้เรียกพี่ชาย หรือพี่ที่สนิท นิม (님) เป็นคำยกย่อง เนื่องจากคำว่าฮยองนิมไม่มีคำแทนในภาษาไทย หากจะแทนด้วยคำว่า ‘พี่’ ก็จะซ้ำกับคำว่า ฮยอง ที่แปลว่า พี่ เหมือนกัน ผู้แปลจึงใช้การทับศัพท์แทน