“แม่งเอ๊ย อยากจะบ้าตาย”
หัวหน้าทีมชาฮยอนคยูนิ่วหน้าพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมาขณะที่ยังกางร่มอยู่
[ดูเหมือนจะเป็น ‘วันนั้น’ เลยครับพี่เขย]
ข้อความที่ได้รับเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนทำให้หัวหน้าทีมชารีบใส่เสื้อผ้าและวิ่งออกมาจากบ้าน เขาเป็นคนคัดค้านเรื่องการเอาคิมคังอูมาอยู่ในตำแหน่งนั้นตั้งแต่แรก การสร้างเรื่องเป็นหน้าที่ของกรรมการผู้จัดการคิมเหมือนอย่างที่เป็นมาเสมอ
“ตาแก่โง่เอ๊ย ลองกลับมาก่อนเถอะ”
หัวหน้าทีมชาเคืองกรรมการผู้จัดการคิมที่ไปดูงานที่จีนได้ถูกเวลา และดูดบุหรี่ที่เคราะห์ร้ายไปด้วย
เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมากที่คนโง่คนนั้นเรียกน้องชายของอดีตภรรยามาเป็นโร้ดเมเนเจอร์ของอีอูยอน ดังนั้นหัวหน้าทีมชาจึงอ้อนวอนคิมคังอูตั้งแต่ก่อนจะเริ่มงาน
อย่าทำตัวสนิทสนมกับอีอูยอน อย่าทำตัวสนิทกับอินซอบโดยไม่จำเป็นต่อหน้าอีอูยอน อย่าสนใจอีอูยอน หากเกิดปัญหาให้ติดต่อกรรมการผู้จัดการคิมก่อนโดยไม่มีข้อแม้ และอย่าเข้าไปยุ่ง พอเขาเรียบเรียงคำเตือนที่ต้องท่องจำนอกเหนือจากนั้น คิมคังอูก็ถามอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องทำถึงขนาดนั้นด้วย
‘ถ้าไม่เข้าใจก็แค่ท่องจำเอาไว้’
หัวหน้าทีมชาบอกว่าเดี๋ยวจะปริ้นท์คำเตือนมาให้พร้อมกับพูดต่อ
หากวันไหนอีอูยอนด่าพร้อมกับยิ้มไปด้วย ก็ไม่ต้องสงสัยในเหตุผล และให้ติดต่อมาทันที เขาใช้ชื่อลับว่า ‘วันนั้น’ และวันนี้เขาก็ได้รับข้อความนั้น หัวหน้าทีมชาถามว่าจะต้องไปที่ไหนทันทีที่ออกมาข้างนอก ผ่านไปไม่นานเวลาและสถานที่ก็ถูกส่งมาทางข้อความ
“หนาวจะตายอยู่แล้ว หมอนั่นอยู่ที่ไหนกันแน่เนี่ย”
นี่เป็นฝนในช่วงปลายฤดูร้อน หัวหน้าทีมชาตัวสั่นพร้อมกับมองไปรอบๆ แล้วเขาก็เห็นว่าคิมคังอูรีบวิ่งในลักษณะเดินจ้ำเข้ามาหาจากทางโน้น
“นี่! นาย!”
“พี่เขยยย”
คิมคังอูร้องเหมือนแพะและเกาะหัวหน้าทีมชาไว้
“เกิดอะไรขึ้น ไอ้อีอูยอนมันด่านายแล้วยิ้มไปด้วยเหรอ”
“ก็…คล้ายๆ กันมั้งครับ”
คิมคังอูลังเลและพูดพึมพำ
“พูดอะไรน่ะ”
คิมคังอูเหลือบมองด้านหลังก่อนจะลดเสียงลง
“พี่อาจจะคิดว่าผมสติไม่ดีก็ได้นะครับ แต่จะว่ายังไงดีล่ะ วันนี้คุณนักแสดงเขาใช้สายตา…”
“สายตา?”
“…เหมือนจะใช้สายตาด่าน่ะครับ”
“…”
สีหน้าของหัวหน้าทีมชานิ่งค้างเหมือนวุ้นลูกโอ๊คที่ทำไว้นานแล้ว
“ขอโทษครับ ผมอ่อนไหวไปหน่อย เพราะพวกพี่เขยเตือนไว้เยอะน่ะครับ โอ๊ย ทำไมผมถึงเป็นแบบนี้นะ ดูเหมือนผมจะกวนใจให้พี่เขยต้องมาโดยไม่จำเป็นสินะครับ ขอโทษครับ”
คิมคังอูที่เข้าใจความเงียบของหัวหน้าทีมในความหมายที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิงเกาหัวอย่างเก้อเขิน
“ไม่หรอก ดีแล้วล่ะ ดีมากเลย”
หัวหน้าทีมชาตบไหล่คิมคังอู มีแค่คนที่เคยเจอเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าการที่อีอูยอนใช้สายตาด่าให้ความรู้สึกแบบไหน
“อีอูยอนอยู่ที่ไหนล่ะ”
“ผมบอกว่าจะไปเอารถเลยออกมาก่อนน่ะครับ คงจะอยู่กับฮยองนิมแหละครับ”
“อยู่กับอินซอบเหรอ”
สีหน้าของหัวหน้าทีมชาเคร่งขรึมขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าอินซอบจะพักถึงวันนี้ เพราะอีอูยอนบอกว่าสภาพร่างกายของอีกฝ่ายไม่ดี
“ครับ ดูเหมือนสองคนนั้นจะทะเลาะกันเลย ไม่สิ อารมณ์ของคุณนักแสดงดูเหมือนโกรธอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่าทะเลาะกัน แต่บรรยากาศมันไม่ชอบมาพากลสุดๆ ไปเลยครับ เกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนถ่ายแบบหรือเปล่านะ”
หัวหน้าทีมชาถอนหายใจยาว เพราะแบบนี้ถึงได้ห้ามไม่ให้คบกันภายในบริษัทยังไงล่ะ
“เข้าใจแล้ว ขึ้นรถกันก่อนเถอะ ข้อเท้าฉันเย็นหมดแล้ว เพราะดามเหล็กกับกระดูกไว้”
“ขอโทษครับ”
คิมคังอูเปิดประตูรถ หัวหน้าทีมชานั่งตรงที่นั่งข้างคนขับรถก่อนจะนวดข้อเท้า ผ่านไปไม่นานอินซอบก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ
“หวัดดีคุณอินซอบ”
หัวหน้าทีมชาพยายามทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส อินซอบทำตาโต เพราะตกใจกับการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของหัวหน้าทีมชาก่อนจะก้มหัวให้
“สวัสดีครับหัวหน้าทีมชา มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”
“วันนี้ฉันมีธุระแถวนี้ก็เลยแวะมาน่ะ เพราะคังอูบอกว่าอยู่แถวๆ นี้พอดี”
“เท้าหายแล้วเหรอครับ”
“อื้อ ตอนนี้ก็เดินไปไหนมาไหนได้พอสมควรแล้วล่ะ”
“โล่งอกไปทีนะครับ”
อินซอบแสดงความโล่งใจจากใจจริงออกมาในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น
จิตใจดีขนาดนั้นได้ยังไงเนี่ย
หัวหน้าทีมชาชื่นชมทุกครั้งที่ได้คุยกับอินซอบ
ในทางกลับกัน
“…”
ก็ยังมีไอ้อีกคนที่ไม่ได้เจอกันนานอยู่ด้วยเช่นกัน แต่อย่าว่าแต่จะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบในตอนที่สบตากันเลย มันเข้ามาในรถโดยไม่แกล้งทักทายกันด้วยซ้ำ
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะอีอูยอน”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนตอบกลับเหมือนรำคาญ
“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถามอีอูยอนที่กำลังจะขึ้นรถ อีอูยอนเมินอินซอบที่ถามแบบนั้นและนั่งลง
“ถ้าป่วยเราก็ควรจะไปโรงพยาบาล…”
“เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้วครับ”
อีอูยอนพูดตัดบทอินซอบ
หัวหน้าทีมชาเห็นด้วยกับความคิดของอีอูยอนอย่างที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก เป็นคำพูดที่ไร้สาระจริงๆ ที่ว่าอีอูยอนป่วยน่ะนะ
“วันนี้คุณอินซอบนั่งข้างหลังนะ”
“เอ่อ วันนี้…”
อินซอบมองที่นั่งข้างคนขับสลับกับที่นั่งด้านหลังพร้อมกับทำตัวไม่ถูก แต่หัวหน้าทีมชาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ มีเพียงแค่การทำให้ทั้งสองคืนดีกันเท่านั้นที่จะทำลายบรรยากาศที่ไม่ดีแบบนี้ได้
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับโดยไม่สามารถทำอะไรได้ และเปิดประตูด้านหลังของรถตู้ เขานั่งให้ห่างจากอีอูยอนที่สุดเท่าที่จะห่างได้
“มานั่งตรงนี้ครับ”
อีอูยอนยื่นหน้าไปที่เบาะด้านข้างตน
“ไม่เป็นไรครับ ผมนั่งตรงนี้ได้”
“เข็มขัดนิรภัยตรงนั้นหลวมครับ”
อินซอบจับตัวล็อกของเข็มขัดนิรภัยและดึงลงมาเสียบกับช่องล็อกก่อนจะลองขยับดูสองสามครั้ง เขารู้สึกว่ามันหลวมนิดหน่อยอย่างที่อีอูยอนพูด
“คงไม่เป็นไรหรอกครับ”
พออีอูยอนเหลือบมองด้วยสายตาไม่พอใจ อินซอบก็ตอบว่า “เดี๋ยวผมก็ไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอกครับ” เขารู้สึกกระดากที่จะนั่งข้างอีอูยอน เพราะเรื่องที่เกิดวันนี้ พอเขาทำแบบนั้น อีอูยอนก็ไม่บังคับเขาอีก และเริ่มเปิดหนังสืออ่าน
“จะออกรถแล้วนะครับ”
คิมคังอูสตาร์ทรถ และความเงียบที่น่าหวาดกลัวก็ก่อตัวขึ้นในรถอีกครั้ง
“วันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
หัวหน้าทีมชาพยายามชวนคุยอย่างระมัดระวัง
“ไม่มีอะไรครับ”
หัวหน้าทีมชาตกใจไม่น้อย เขาคิดว่าอินซอบจะตอบ แต่อีอูยอนกลับพูดขึ้นมาก่อน ส่วนอินซอบก็คอยสังเกตอีอูยอนที่เป็นแบบนั้น และทำสีหน้าเหมือนลูกสุนัขที่ทำผิดและรอการลงโทษจากเจ้าของ
ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ
“เมื่อวานคุณอินซอบไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมานี่ มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
นี่เป็นคำถามเพื่อเตือนความจำให้อีอูยอนถึงความจริงที่ว่าชเวอินซอบเป็นคนป่วย
“ครับ ไม่มีอะไรผิดปกติครับ”
“…แล้ววันนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“ทำไมถึงถามคำถามเดิมๆ อยู่อีกล่ะครับ ผมจะทำให้เกิดเรื่องให้ดีไหมครับ”
อีอูยอนตอบโดยที่ไม่ละสายตาไปจากหนังสือ คิมคังอูรีบส่งสายตาสั่งให้หัวหน้าทีมชาดูการกระทำนั้น ถึงหัวหน้าทีมชาจะไม่ตกใจกับลักษณะการพูดที่โคตรจะไม่เคารพกันที่เขาคุ้นเคย แต่ดูเหมือนคิมคังอูที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของอีอูยอนจะตื่นตกใจ
“ฉันต้องขอปฏิเสธอย่างเกรงใจเลยล่ะ”
หัวหน้าทีมชาตอบกลับห้วนๆ และเหลือบมองอินซอบผ่านกระจกมองหลัง อินซอบกระสับกระส่ายและเอาแต่มองแต่อีอูยอนมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว แต่ในทางกลับกันอีอูยอนกลับไม่สนใจอินซอบที่เป็นแบบนั้นเลย
ถ้าถึงขนาดเป็นห่วงเรื่องเข็มขัดนิรภัย ก็ไม่น่าจะเลิกกันหรอกมั้ง ถึงจะบอกว่าทะเลาะกัน แต่ด้วยนิสัยของชเวอินซอบแล้วก็ไม่น่าจะทะเลาะกันสำเร็จตั้งแต่แรก…แค่ทำตัวไร้สาระหรือเปล่านะ
หัวหน้าทีมชาคิดว่าตนได้ตั้งสมมติฐานที่มีพลังในการโน้มน้าวใจเป็นอย่างมาก และเห็นอกเห็นใจอินซอบด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี
จิ๊ ไปตกหลุมพรางคนแบบนั้นได้ยังไงนะ
“ฟังวิทยุไหมครับ”
คิมคังอูที่ทนความเงียบที่น่าอึดอัดนี้ไม่ได้ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับเปิดวิทยุ และเพลงที่ได้รับความนิยมเมื่อนานมาแล้วก็ดังออกมา
“หนวกหูครับ”
คำพูดสั้นๆ ของอีอูยอนทำให้คิมคังอูหน้าจ๋อย และกดปิดวิทยุอีกครั้ง
“คังอู นอกจากวิทยุแล้ว ข้างล่างนั้นมีซีดีอยู่…”
“แล้วอันนั้นไม่หนวกหูเหรอครับ”
อีอูยอนก็ตัดบทคำพูดของอินซอบในดาบเดียวเช่นกัน อินซอบรู้สึกท้อแท้และไม่สามารถตอบอะไรได้ เขาจึงเอาแต่ลูบชายเสื้อ มีเพียงแต่เสียงอีอูยอนพลิกหน้าหนังสือเท่านั้นที่ดังในรถตู้
ถ้าจะให้ยืมคำพูดของอีอูยอนก็คือบรรยากาศตอนนี้มันเหี้ยมากจริงๆ มันแย่ถึงขนาดที่ไม่กล้าหายใจ หรือมองอะไรตามใจชอบ หัวหน้าทีมชาจึงเลือกที่จะปิดปาก เพราะเขารู้ว่าถ้าหากพูดอะไรที่ไร้สาระออกมาอีก ไอ้เวรนั่นจะได้ทำตัวป่าเถื่อนมากขึ้น อินซอบที่รู้ความจริงนี้ดีกว่าใครก็ปิดปากเงียบเช่นกัน ปัญหาก็คือคิมคังอู
“วันนี้ฝนตกหนักเลยนะครับเนี่ย เวลาแบบนี้ถ้าได้กินพาจอน[1] กับมักกอลี[2] ละก็ใช่เลยครับ”
คิมคังอูผู้ซึ่งไม่รู้จักนิสัยของอีอูยอนดีตั้งใจจะทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ และใส่ความพยายามของตัวเองลงไป
“มีร้านที่ทำพาจอนอร่อยมากจริงๆ อยู่ร้านหนึ่งในบรรดาร้านที่ผมรู้จักแหละครับ วันนี้พวกเราไปดื่มกันที่นั่นสักแก้วดีไหมครับ คนที่จะไปด้วยยกมือขึ้น!”
หากเป็นเรื่องที่อารมณ์เสียใส่กันในกลุ่มเพื่อนล่ะก็ แค่ดื่มเหล้ากันอย่างหนักทั้งคืนก็หายแล้ว คิมคังอูมักจะจบการโต้เถียงทั้งหมดของคนรอบตัวด้วยวิธีนั้น
อีอูยอนไม่แม้แต่จะทำเป็นได้ยิน และอินซอบก็ยกมือขึ้นมาไม่ได้ เพราะมัวแต่สังเกตอีอูยอน ส่วนหัวหน้าทีมชาก็ส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร
คิมคังอูเริ่มต้นใหม่ด้วยกลวิธีอื่น เพราะคิดว่ากลวิธีในคราวนี้ล้มเหลว
“จริงด้วย ฮยองนิมครับ เดทกับแฟนสาวตอนนั้นเป็นไปได้ด้วยดีไหมครับ”
เขานึกถึงคำแนะนำที่บอกให้คุยเรื่องอินซอบอย่างไม่มีข้อแม้ในตอนที่เห็นว่าอีอูยอนอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาได้
“หา?”
คำว่าแฟนสาวทำให้อินซอบสะดุ้งอย่างตกใจและยืดตัวขึ้นมา
“ก็วันที่ตารางงานเสร็จเร็วฮยองนิมบอกว่าจะไปเดทนี่ครับ เป็นไปได้ด้วยดีไหมครับ”
“…วันนั้นฉันไม่ได้ไป เพราะมีธุระน่ะ”
อินซอบพูดเสียงเบา เพราะเขาคงจะทำให้อีอูยอนรอเก้อโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฮ่าๆๆ อันที่จริงพอเมื่อวานนี้ฮยองนิมบอกว่ามาไม่ได้ ผมก็คิดแล้วล่ะครับว่าที่ออกมาไม่ได้ เพราะวันนั้นเดทอย่างถึงพริกถึงขิงหรือเปล่า ก็ฮยองนิมเป็นผู้ชายนี่นะ”
“ฉันออกมาไม่ได้ เพราะไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลต่างหาก”
การแซวเล่นของคิมคังอูทำให้อินซอบต้องรีบแสดงหลักฐานของตัวเอง แม้อีอูยอนจะไม่ละสายตาออกมาจากหนังสือ แต่เขาก็ไม่พลิกกระดาษสักหน้า
“งั้นวันนั้นฮยองนิมไปที่ไหนล่ะครับ ถ้าไม่ได้ไปเดท”
คิมคังอูเปลี่ยนเลนอย่างชำนาญพลางเอ่ยถาม
“ไปเยี่ยมแมวครับ”
คราวนี้คนที่ตอบไม่ใช่อินซอบ แต่เป็นอีอูยอน คิมคังอูทำเป็นรู้จักในทันที
“อ๋อ พวกที่พูดถึงตอนนั้นเหรอครับ ชื่ออะไรน้า ไอชิลด์? ไอบง? ชื่อพวกนั้นแหละ”
“ไอแซก อาเธอร์”
คราวนี้อีอูยอนก็เป็นคนตอบเช่นกัน
“ใช่แล้วๆ ทายเกือบถูกแล้วนะครับเนี่ย ว่าแต่ฮยองนิมไปเยี่ยมแมวแทนไปเดทเหรอครับ”
“เพราะวันนั้นเป็นวันสุดท้ายก่อนที่พวกเด็กๆ จะถูกรับไปเลี้ยงน่ะ…”
เสียงพูดของอินซอบแผ่วลง เขารู้สึกปวดร้าว เพราะนอกจากจะไม่ได้ไปเยี่ยมแมวทั้งๆ ที่เป็นวันสุดท้ายแล้ว เขายังโกหกอีกด้วย
[1] พาจอน แป้งทอดแผ่นบางๆ ที่ใส่ต้นหอมและอาหารทะเลลงไปด้วย
[2] มักกอลี เหล้าที่ทำจากการเอาข้าวไปหมัก