เคธี่เห็นเจียงหยุนเอ๋อเงียบอยู่นาน เธอก็สบถออกมา แล้วเริ่มรู้สึกหงุดหงิด
เธอไม่ได้มาเพื่อเสียเวลากับเจียงหยุนเอ๋อหรอกนะ
“นานแล้วนะ เธอยังตัดสินใจไม่ได้อีกเหรอ? ตกลงจะยอมแลกเปลี่ยนกันหรือเปล่า เธอพูดออกมาให้ฉันรู้สึกดีจะดีกว่า ฉันจะได้ไม่ต้องมัวเร่งรัดเธออยู่ตรงนี้”
“หยุนเอ๋อไม่มีทางตอบตกลงแน่ อย่าว่าแต่หยุนเอ๋อเลย ฉันเองก็ไม่มีทางตกลงแน่นอน ทำไมเธอถึงทำลายครอบครัวคนอื่นได้อย่างนี้นะ? นี่มันเกินไปแล้ว! หยุนเอ๋อ เธอห้ามตอบตกลงหล่อนเด็ดขาดนะ ฉันไม่มีทางให้ผู้หญิงที่ไม่มีความละอายใจอย่างนี้มาเป็นน้องสะใภ้ของฉันเด็ดขาด!”
ลี่จุนซินหน้าบึ้งตึง แสดงความไม่พอใจ
“นี่ลี่จุนซิน คนที่ฉันถามคือเจียงหยุนเอ๋อ เธอเอาแต่พูดอยู่ได้ หมายความว่ายังไงห๊ะ? ทัศนคติของเธอมันไม่สำคัญหรอกนะ สิ่งที่สำคัญคือการตัดสินใจของเจียงหยุนเอ๋อ ไม่ใช่เหรอ? เอาล่ะ เจียงหยุนเอ๋อ พูดมาได้แล้ว ว่าเธอจะตอบตกลงหรือเปล่า!”
เคธี่เอามือกอดอก เอ่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“เธอ!”
“พอเถอะ พวกเธอไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว!”
เจียงหยุนเอ๋อพูดขัดลี่จุนซิน เธอเงยหน้าขึ้นมองไปยังเคธี่ที่อยู่ตรงข้ามด้วยความสงบนิ่ง แล้วเอ่ยพูดอย่างเรียบเฉย “เรื่องที่เธอเมื่อครู่นี้ ฉันยังไม่ได้คิดดูให้ดี ให้เวลาฉันคิดหน่อยแล้วกัน ไว้ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะบอกเธอเอง”
ได้ยินคำพูดของเจียงหยุนเอ๋อ เคธี่ก็เลิกคิ้ว แล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“ก็ได้ ฉันเคารพความคิดของเธอ ยังไงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ งั้นฉันให้เวลาเธอคิดทบทวนแล้วกัน แต่ฉันเตือนเธอไว้นะว่า กาลเวลาไม่รอคอยใคร! หวังว่าเธอจะให้คำตอบที่ฉันพอใจ!”
พูดจบ เคธี่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น แล้วมองต่ำไปที่เจียงหยุนเอ๋อแวบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบกระเป๋าของตัวเองแล้วเดินออกไปจากห้องทำงานอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากเธอออกไปแล้ว ลี่จุนซินก็มองไปยังเจียงหยุนเอ๋ออย่างร้อนใจ
“หยุนเอ๋อ ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอเป็นห่วงสถานการณ์ของบริษัทมาก แต่เธอห้ามทำเรื่องงี่เง่าเด็ดขาดนะ! ถ้าเธอตอบตกลงหล่อนไปอย่างนั้น แล้วจุนถิงกลับมาจะไม่เสียใจตายเหรอ?”
“แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ของบริษัทกำลังแย่นะคะ! ผู้ถือหุ้นหลายคนต่างก็หันไปหาลี่หุยหมดแล้ว พนักงานในบริษัทก็ไม่เชื่อมั่นพวกเรา ธุรกิจที่ใหญ่โตขนาดนี้ แก้ไขปัญหาได้ยากมากเหลือเกิน ถ้าไม่ตอบตกลงหล่อนไป แล้วพวกเราควรทำยังไงล่ะคะ?”
เจียงหยุนเอ๋อถอนหายใจเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เอนพิงเก้าอี้
ลี่จุนซินกลับยิ้มออกมาด้วยความมองโลกในแง่ดี : “ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออกไม่ใช่เหรอ? อุปสรรคครั้งนี้หนักหนามากก็จริง แต่ฉันเชื่อว่าพวกเราสามารถผ่านมันไปได้ ยังไงซะพวกเราก็ผ่านเรื่องมากมายมาด้วยกัน ไม่ใช่เหรอ? และคุณปู่ก็คอยสนับสนุนพวกเราอยู่เสมอ!”
“คุณปู่อายุมากแล้ว ฉันไม่อยากให้เขาต้องกังวลใจกับเรื่องบริษัท ยกจุนถิงให้หล่อน ฉันก็ทำใจไม่ได้หรอกนะ แต่ถ้ามันเป็นวิธีเดียว ฉันก็……”
“นี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่เหลืออยู่แน่นอน! พวกเราต้องเชื่อมั่นในตัวเองว่าต้องสามารถผ่านวิกฤตินี้ไปได้ ฉันยังรู้จักผู้ถือหุ้นอยู่จำนวนหนึ่ง ไว้ฉันจะไปเจรจากับพวกเขา ค่อย ๆ คิดว่ามีวิธีอะไรที่ทำให้พวกเขาหันมาสนับสนุนพวกเรา ไม่หันไปหาลี่หุย”
ลี่จุนซินพูดขัดเจียงหยุนเอ๋อไว้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เจียงหยุนเอ๋อเห็นท่าทางเด็ดเดี่ยวของลี่จุนซิน ก็ไม่อยากพูดอะไรอีก เธอจึงได้แต่พยักหน้าเล็กน้อย
“เอาล่ะ ไว้รอดูไปก่อนแล้วกัน หวังว่าผู้ถือหุ้นพวกนั้นจะแยกแยะถูกผิดได้ ไม่หันไปซบพวกลี่หุย”
หลังจากที่ลี่จุนซินออกไปแล้ว เจียงหยุนเอ๋อก็มองรูปถ่ายครอบครัวที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วถอนหายใจออกมา
แม้ลี่จุนซินพูดว่าจะไปเจรจากับผู้ถือหุ้นพวกนั้นดู แต่เธอกลับคิดว่าคนพวกนั้นไม่มีทางตอบตกลงลี่จุนซิน ไม่แน่อาจจะยิ่งซ้ำเติมอีกด้วย!
ถ้าสุดท้ายบริษัทเข้าขั้นวิกฤติ แล้วเคธี่สามารถช่วยให้บริษัทผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ เธอก็ไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ยอมตอบรับข้อเรียกร้องของเคธี่
“จุนถิง นายอยู่ที่ไหนกันแน่? ฉันกลัวเหลือเกิน ถ้าฉันแบกรับไม่ไหวแล้ว ฉันควรทำยังไงดี?”
……
หลังจากที่เคธี่ออกมาจากห้องทำงานแล้วยังไม่ได้กลับไปในทันที เธอหันไปมองห้องทำงานที่อยู่ด้านหลัง แล้วคิดในใจ
นิสัยอย่างเจียงหยุนเอ๋อ เธอกล้าฟันธงว่าเจียงหยุนเอ๋อต้องยอมทำเพื่อลี่จุนถิง ตอบรับเงื่อนไขของตัวเองแน่นอน
“ให้เวลาหล่อนคิดทบทวนอะไรกันล่ะ ก็แค่ถ่วงเวลาออกไปเท่านั้น เจียงหยุนเอ๋อ ฉันจะคอยดูว่าสุดท้ายเธอจะตัดสินใจยังไง ฉันตั้งหน้าตั้งตารอดูอยู่ล่ะ!”
เคธี่เลิกคิ้ว แล้วพึมพำเสียงเบา ๆ
พูดจบ เธอก็เชิดหน้าขึ้น เดินย้ำเท้าด้วยรองเท้าส้นสูงเข้าลิฟต์ไปอย่างหยิ่งผยอง
คิดไม่ถึงว่าขณะที่ลิฟต์มาถึงชั้นจอดรถใต้ดิน เธอเพิ่งเดินออกมาก็ได้เจอกับโม่เสี่ยวฮุ่ยที่มาคอยดูสถานการณ์บริษัทพอดี
เมื่อนึกถึงความลำเอียงที่โม่เสี่ยวฮุ่ยมีต่อเจียงหยุนเอ๋อมาโดยตลอด เคธี่จึงเลิกคิ้วขึ้น แล้วเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณแม่คะ เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ คิดไม่ถึงว่าจะเจอคุณแม่ที่นี่ พรหมลิขิตจริง ๆ!”
โม่เสี่ยวฮุ่ยเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “เคธี่ เธอมาที่บริษัททำไมน่ะ? ไม่ใช่บอกว่าช่วงนี้มีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการเหรอ?”
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ คุณแม่ ก่อนหน้านี้งานยุ่งมาก เลยไม่มีเวลามาเยี่ยมเลย หนูชดเชยให้คุณแม่ที่นี่เลยแล้วกัน วันนี้หนูมาที่นี่เพื่อจัดการอะไรนิดหน่อย กำลังจะกลับพอดี แล้วเจอคุณแม่เข้า เลยเข้ามาทักทายค่ะ!”
เคธี่ยิ้มอย่างได้ใจ แล้วเอ่ยพูด
“อย่างนี้นี่เอง แล้วเธอมาจัดการเรื่องอะไรล่ะ?”
โม่เสี่ยวฮุ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อนึกถึงที่โม่เสี่ยวฮุ่ยไม่ชอบเจียงหยุนเอ๋อมาโดยตลอด เคธี่จึงยิ้มอย่างมีเลศนัย
เธอเข้าไปใกล้โม่เสี่ยวฮุ่ย แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ เสียงเบา ๆ ว่า : “คุณแม่คะ ไม่ชอบเจียงหยุนเอ๋อมาตลอด อยากให้หนูเป็นลูกสะใภ้ไม่ใช่เหรอคะ? ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดี หนูได้พูดกับเจียงหยุนเอ๋อไปแล้ว ว่าจะช่วยแก้ไขวิกฤติของบริษัท แต่หล่อนต้องยกจุนถิงให้หนู แม่ว่าหนูฉลาดมากไหมคะ?”
ได้ยินดังนั้น โม่เสี่ยวฮุ่ยก็มองเคธี่ด้วยความตกตะลึง ไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเมื่อครู่นี้
“แล้วเจียงหยุนเอ๋อล่ะ? หล่อนรักจุนถิงมากขนาดนั้น หล่อนตอบตกลงเหรอ?”
“ถึงแม้ตอนนี้หล่อนยังไม่ได้ให้คำตอบหนู บอกว่าขอเวลาคิดสักกี่วัน แต่หนูคิดว่าหล่อนต้องตอบตกลงหนูแน่นอน ยังไงซะหล่อนก็ต้องการช่วยจุนถิงรักษาบริษัทนี้ไว้ แต่กลับไม่มีความสามารถและอำนาจอะไรเลย สิ่งที่หล่อนไม่มีแต่หนูกลับมี ดังนั้นหนูฟังธงว่าท้ายที่สุดหล่อนต้องตอบตกลงแน่นอน!”
เคธี่หน้าตามุ่งมั่นว่าต้องชนะแน่นอน
สีหน้าโม่เสี่ยวฮุ่ยดูไม่ดีนัก
หน้าเธอค่อย ๆ ขรึมขึ้น แล้วเอ่ยพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เคธี่ ฉันคิดว่าเธอทำอย่างนี้ไม่ค่อยดี ตอนนี้เป็นช่วงยากลำบากที่สุดของบริษัท เธอฉวยโอกาสยามคนอื่นเดือดร้อน เอาชะตากรรมของบริษัทไปข่มขู่เจียงหยุนเอ๋อได้ยังไง? ทำอย่างนี้มันเสียมารยาทเกินไปแล้ว!