ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 173

ตอนที่ 173

ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 173 หึงหวง
“เยียนเอ๋อร์เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” เยียลี่ว์เยียนก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิมแล้วเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ท่านพี่ตอนนี้ยังมีแผนการอื่นอีกหรือไม่เพคะ” วิธีการเช่นเดียวกับนางรำกลุ่มเมื่อครู่นี้ หากตอนแข่งขันเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก…?

“เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในแผ่นดินเยียลี่ว์รึ!” เยียลี่ว์เยี่ยนเม้มปากแน่น และเนื่องด้วยมือของเขากำจอกสุราเอาไว้จึงทำให้ตอนนี้บริเวณนิ้วมือของเขาสีขาวซีด “คนต้าชั่วเจ้าเล่ห์นัก ตรงกับข่าวลือที่เขาว่ากันไว้!”

การลงมือเช่นนั้นของเขา เขาต้องเสียแรงกายแรงใจและเงินทองไปเป็นจำนวนมาก แล้วจะให้ลงมือทำอีกครั้งงั้นรึ เยียลี่ว์เยียนคิดว่ามันง่ายอย่างนั้นเชียวรึ!

อีกอย่างการลงมือในครั้งนี้ของเขา หากพลาดเพียงนิดเดียวก็จะเป็นการเปิดเผยหมากของเขาที่แฝงอยู่ในวังหลวงแห่งนี้ และหากจะลงมืออีกครั้งจะต้องโดนเปิดโปงอย่างแน่นอน!

ผู้ที่เป็นหมากของเขาโดนเปิดเผยยังไม่เป็นไร แต่หากถูกเปิดโปงว่าเขาใช้ให้คนผู้นั้นลงมือทำอะไร และถูกเค้นให้เปิดโปงแผนการล่ะก็…พวกเขาชาวเยียลี่ว์คงกลายเป็นตัวตลกของเมืองอื่นๆ แน่นอน!

ไม่อยากแพ้จึงใช้เล่ห์กล? แต่ใช้เล่ห์กลแล้วดันถูกจับได้ต่อหน้าต่อตาอีก?

และเรื่องๆ นี้คงกลายเป็นรอยด่างในชีวิตของเยียลี่ว์เยี่ยนที่ลบไม่ออกไปตลอดชีวิต!

“เจ้าอย่าคิดเรื่องไม่เข้าท่าพวกนั้นแทนข้าได้หรือไม่ ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำไปเถิด!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้สีหน้าของเยียลี่ว์เยี่ยนก็ปรากฏแววอำมหิต “อีกอย่างหากข้าจำไม่ผิด เยียลี่ว์เยียน เจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในการร่ายรำของเมืองเยียลี่ว์!”

“ท่านพี่วางใจเถิด” เยียลี่ว์เยียนแกว่งไกวชายกระโปรงของตัวเองเพื่อปิดบังความกังวลลึกๆ ที่อยู่ในแววตาของนาง

ตอนนี้ไม่สามารถใช้วิธีการพวกนั้นได้อีกต่อไปแล้ว? ความจริงข้อนี้ทุบลงกลางใจของเยียลี่ว์เยียนอย่างแรง ทำให้ใจของนางรู้สึกปั่นป่วนยิ่งขึ้น

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเพคะ” ผ่านไปครู่หนึ่งม่านไข่มุกก็ถูกเปิดออกพร้อมเสียงเบาๆ ที่ลอดเข้ามา

ผู้ชมต่างหันไปมองด้านหลังผ้าม่าน ทว่ากลับพบว่าหลินเหวินเสี่ยวยังสวมใส่ชุดเดิมอยู่และกลายเป็นคนที่เดินตามซูเหลียนอวิ้นที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วออกมา และชุดที่นางใส่นั้นยังเป็นชุดของบุรุษเสียด้วย

“อวิ้นเอ๋อร์?” ด้านบนแท่นประทับ เกาอู่เตี๋ยส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ “หรือว่าการแสดงครั้งนี้จะเป็นเจ้า…?”

“ทูลฮองเฮา” หลินเหวินเสี่ยวชิงตอบตัดหน้าซูเหลียนอวิ้น “เมื่อครู่นี้หม่อมฉันยังมิได้กล่าวว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงสนามเลยเพคะ หม่อมฉันเป็นเพียงคนแนะนำเท่านั้น คนที่หม่อมฉันจะแนะนำก็คือซูเหลียนอวิ้นเพื่อนสนิทของหม่อมฉัน!”

“ฝ่าบาทคงไม่ถือสากระมังเพคะ” หลินเหวินเสี่ยวก้มหน้าราวกับเด็กที่ทำความผิด ทว่าจากสายตาที่เผยให้เห็นแม้จะปรากฏเพียงเสี้ยวเดียวก็ดูออกได้ไม่ยากว่ามีความเจ้าเล่ห์อยู่ในนั้น

“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” ลี่หยวนตี้กวาดตาไปมองเยียลี่ว์เยี่ยนแล้วยิ้ม “ถึงอย่างไรก็เป็นคนต้าชั่วของข้าทั้งนั้น จะมีอะไรแตกต่างกันเล่า”

ผู้ที่ลงสนามคือซูเหลียนอวิ้นงั้นหรือ กล่าวได้ว่าลี่หยวนตี้ประหลาดใจยิ่ง! เพราะตั้งแต่ที่ซูเหลียนอวิ้นเดินออกมาในช่วงจังหวะนั้น ซูเหลียนอวิ้นก็ก้มหน้าตลอดมาด้วยท่าทางที่ไร้ความมั่นใจ ดังนั้นจึงยากจะจินตนาการได้ว่าคนเช่นนี้หรือที่เป็นผู้กล้าท้าแข่งขันร่ายรำ!

“เป็นซูเหลียนอวิ้นหรือ” เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเยียลี่ว์เยียนเองก็ประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่พลิกผันเช่นนี้ เมื่อครู่นี้นางมัวแต่ขบคิดเกี่ยวกับหลินเหวินเสี่ยวว่านางจะร่ายรำอะไร แต่ผลสุดท้ายหลินเหวินเสี่ยวกลับมิได้ลงสนาม และผู้ที่ลงสนามกลับเป็นคนที่นางดูถูกมาตลอดอย่างซูเหลียนอวิ้น?

ซูเหลียนอวิ้นกล้าดีอย่างไรถึงได้ท้าทายนาง?! ตอนนั้นเองเยียลี่ว์เยียนพลันมีอารมณ์โกรธพลุ่งพล่านขึ้นมา

แต่นี่ก็ทำให้เยียลี่ว์เยียนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก เพราะนี่เปรียบเสมือนการที่นางเดินลัดเลาะไปตามภูเขาที่มืดสลัวโดยที่ตัวเองรู้ว่าข้างหน้าจะต้องมีสัตว์ดุร้ายโผล่ออกมา ในหัวของตนจึงคิดถึงความน่ากลัวทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ทั้งยังคิดถึงวิธีการรับมือต่างๆ ไว้เสร็จสรรพ ผลสุดท้ายเมื่อรอจนเหยื่อปรากฏตัวออกมากลับพบว่าเหยื่อนั้นอันที่จริงแล้วไม่ใช่สัตว์ดุร้ายที่ไหน แต่เป็นกระต่ายที่บอบบางไร้เรี่ยวแรง?

ยังมีเรื่องอะไรที่น่าขบขันกว่านี้อีกหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตลกยิ่งนัก

“เป็นนางนี่เอง…” เยียลี่ว์เยี่ยนเขย่าจอกสุราที่อยู่ในมือตนสายตาของเขาแสดงออกถึงการครุ่นคิด “น้องหญิง เจ้าอย่ายอมแพ้”

ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่ผลิกผันเช่นนี้ก็เกิดความรู้สึกสับสน แต่เมื่อเห็นลี่หยวนตี้มีสีพระพักตร์ประหลาดใจเช่นกัน ผู้ชมจึงเริ่มอยู่ในความสงบ

ดูท่าแล้วเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันแน่นอน! แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงไม่รู้ ดังนั้นพวกเขาไม่รู้…ก็ถือว่ามีเหตุผลอยู่!

“ซูเหลียนอวิ้น…!” ต้วนเฉินเซวียนกัดฟันพลางเอ่ยขึ้น ทุกครั้งที่ข้าพบเจ้า เจ้าต้องทำให้ข้าเกิดความรู้สึกที่แปลกใหม่ไปจากเดิมทุกครั้งเชียวรึ?

แต่ความรู้สึกนี้ทำให้เขารู้สึกเพียงผู้เดียวก็พอแล้วกระมัง ตอนนี้มีผู้คนตั้งมากมายเฝ้าดูอยู่! ซูเหลียนอวิ้นเจ้าช่าง…!

ต้วนเฉินเซวียนเอามือข้างหนึ่งของตนกุมศีรษะเอาไว้ จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเหนื่อยแทบขาดใจ! เพราะเขามีความสามารถในการได้ยินที่เฉียบคม ดังนั้นย่อมได้ยินเสียงซุบซิบรอบด้านอย่างชัดเจน

เหตุการณ์ตอนนี้มีบุรุษจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นซูเหลียนอวิ้นในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมเช่นนี้ก็เริ่มพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้น! และสายตาของพวกเขาก็จ้องจนแทบจะเอาหน้าไปติดซูเหลียนอวิ้นอยู่แล้ว

นี่ทำให้เขาหัวเสียยิ่ง!

เนื่องจากนี่คืองานเลี้ยงของวังหลวง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเดินเข้าไปหาคนที่กล้าวิจารณ์นางเรียงคนแล้วสั่งสอนให้พวกเขาหัดหุบปากและเลิกจ้องมองได้ ตอนนี้สิ่งที่ต้วนเฉินเซวียนพอทำได้ก็คือการส่งสายตากินเลือดกินเนื้อไปรอบๆ ตัว ให้ทุกคนที่กล้าวิจารณ์ซูเหลียนอวิ้นเกิดความตระหนักบางอย่างขึ้นในใจ

ตอนนี้พวกเจ้าวิจารณ์กันไปก่อนเถิด พูดกันให้มากๆ ไปเลย เพราะโอกาสเช่นนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ

“พี่ต้วน!” ด้านข้างหันชิงอวี่เอามือกอดอกตัวเองหลวมๆ “สายตาของพี่ต้วนตอนนี้น่ากลัวยิ่ง! ทำเช่นนี้จะทำให้แม่นางทั้งหลายตกใจกลัวกันหมด!”

เอ่อ ตอนนี้ดูท่าแล้วพี่ต้วนคงกำลังสนใจบางอย่างอยู่?

หันชิงอวี่พิจารณาอยู่เงียบ ผู้ชมที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรที่เกินจริงนัก! เพียงแค่เอ่ยปากชมว่าการแต่งกายของซูเหลียนอวิ้นตอนนี้แม้ว่าขาดเสน่ห์ดึงดูดบางอย่าง แต่ดูหล่อเหลาคมเข้มแบบนี้ก็ถือว่าดูดีอยู่ไม่น้อย แต่พี่ต้วนกลับมองพวกเขาอย่างกับพวกเขาพูดอะไรไม่ดีอย่างไรอย่างนั้น…อาการหึงหวงนี้น่ากลัวยิ่งนัก!

“เจ้ายังกล้ามองอีก?” ต้วนเฉินเซวียนหันตัวมา แล้วยิ้มมัวหม่นให้หันชิงอวี่ “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องลงมือเป็นรายคนอยู่แล้ว เช่นนั้นก็เริ่มจากคนที่ใกล้ตัวสุด…เจ้าก็แล้วกัน?”

ดูเข้าสิ รายคนอะไรกันเล่า! แค่มองยังไม่ได้! หากพูดคงยิ่งแล้วใหญ่!

ไม่ว่าจะอย่างไรซูเหลียนอวิ้นก็คือของเขาทั้งภายนอกและภายใน ชาติก่อนจนถึงชาตินี้ล้วนเป็นของเขาทั้งสิ้น!

หากผู้อื่นกล้าคิดไม่ดีกับนางหรือกล้าคิดเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว คนพวกนั้นคงอยากหาเรื่องใส่ตัวให้ตัวเองโดนสั่งสอนแน่นอน!

“ข้าแค่มองแวบเดียว แวบเดียวเท่านั้น!” หันชิงอวี่ค่อยๆ เลื่อนเก้าอี้ที่ตัวเองนั่งอยู่ “อีกอย่างพวกเรานั่งห่างขนาดนี้ ข้าเห็นไม่ชัดหรอก! ข้าไม่ดูแล้วก็ได้” บุรุษที่แอบรักเขาข้างเดียวนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง หันชิงอวี่แอบเบะปาก เขาเพียงแค่มองตามกระแสสายตาของคนอื่นไปก็เท่านั้น แม้แต่ใบหน้าเขายังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ! ต้วนเฉินเซวียนถึงกับกันตนออกราวกับว่าตนจะไปแย่งภรรยาของเขาอย่างไรอย่างนั้น!

ลิขิตกลกาล

ลิขิตกลกาล

Status: Ongoing
  ฉู่ชาติที่แล้วบุตรีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซูเหลียนอวิ้น มอบใจทั้งดวงให้คุณชายสืบทอดแห่งจวนโหว ต้วนเฉินเซวียน ผู้เป็นที่เลื่องลือด้านความเลือดเย็นไร้หัวใจมาตั้งแต่แรกพบเมื่อครั้งเยาว์วัย เพียรพยายามทำทุกวิถีทางให้เขารู้ว่านางมีใจ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท