ลิขิตกลกาล – ตอนที่ 187 ระยะห่าง
กลางดึกต้วนเฉินเซวียนใช้วิชาตัวเบามาถึงจวนตระกูลซูอย่างคุ้นเคย เมื่อหยุดฝีเท้าลงแล้วเห็นการวางกำลังขององครักษ์ของนางบริเวณลานบ้านก็รู้สึกดีใจ
เฮ้อ! นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคนรักกันใจจะสื่อถึงกันได้? ดูสิ นางกับเขาใจตรงกันแล้ว! ครั้งนี้ซูเหลียนอวิ้นเดาได้แล้วว่าคืนนี้เขาจะมาหา
“พี่หลานเย่ว์ ให้พวกเราซ่อนอยู่ตรงนี้หรือ ไม่ต้องเตะหมอนั่นออกไปจริงๆ หรือ” เมื่อหยาเอ่อร์เห็นต้วนเฉินเซวียนที่สวมชุดดำกระโดดลงมายืนนิ่งอยู่กลางลานบ้านอย่างนั้น ก็รู้สึกทนไม่ได้จึงเอ่ยปากขึ้น
“ไม่ต้อง พวกเราคอยอยู่ตรงนี้ก็พอแล้ว” หลานเย่ว์เอ่ยขึ้น “คุณหนูใหญ่ย่อมรู้จักแบ่งแยกดี! อีกทั้งตอนนี้ผูหลิวก็อยู่ในห้องด้วย ดังนั้นคุณหนูใหญ่จะต้องไม่พลั้งพลาดอย่างแน่นอน” แม้ว่าปากหลานเย่ว์จะเอ่ยแบบนี้ แต่การแสดงอารมณ์ออกมาเบื้องหน้าของเขากลับไม่ได้สงบเหมือนอย่างที่เขาพยายามจะแสดงออก
นั่นเป็นเพราะตอนนี้ในใจของหลานเย่ว์รู้สึกร้อนใจจะแย่ เขาร้อนใจจนแทบอยากจะปรากฏตัวออกไปเผชิญหน้ากับต้วนเฉินเซวียนให้รู้แล้วรู้รอด! เนื่องจากการลงมือครั้งที่แล้ว…เป็นเขากับผูหลิวสองคนช่วยกันลงมือ แถมเขายังออมมือไว้อีกต่างหาก! ดังนั้นครั้งนั้นจึงไม่อาจนับผลแพ้ชนะ!
ทว่าตอนนี้ต้วนเฉินเซวียนกลับมาเดินชูคออยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ หลานเย่ว์ถือว่าเป็นการท้าทายตนยิ่งนัก! และยิ่งทำให้คนอื่นอยากจะต่อยเขามากขึ้นไปอีก!
“เฮอะ” หยาเอ่อร์ถอนใจ “ข้าก็นึกว่าวันนี้คุณหนูใหญ่จะให้พวกเราจัดการเขาหนักๆ สักยก!” เพราะดูจากท่าทางการเดินเพียงอย่างเดียวก็พอรู้ได้แล้วว่าเขาเป็นพวกคนหยาบช้า! ไร้มารยาท! แม้ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหนก็ตาม!
“เฮ้อ” ต้วนเฉินเซวียนยืนอยู่หน้าประตู เดิมทีเขาอยากจะเคาะประตูก่อนแล้วค่อยเดินเข้าไป ทว่าเมื่อคิดดีๆ แล้วกลับรู้สึกว่าการทำเช่นนั้น…จะดูจงใจมากเกินไปหน่อยหรือไม่?
เพราะตอนนี้ก็เท่ากับว่านางเปิดช่องทางรอเขาไว้อยู่แล้ว หากตัวเขายังแสร้งทำเป็นส่งเสียงไปเช่นนั้นอีก…
ช่างเถิด ตะโกนเรียกนางเลยจะดีกว่า!
“ซูเหลียนอวิ้น ข้า ข้าจะเข้าไปแล้วนะ” ต้วนเฉินเซวียนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วจัดเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองเล็กน้อยเพื่อพยายามให้ตัวเองสงบลงกว่านี้ เพราะอันที่จริงแล้วใช่ว่าเขาจะไม่เคยมาที่นี่! เหตุใดเขาจึงทำตัวเองให้ตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าซูเหลียนอวิ้นเสียอีก?
“อื้ม” ครู่หนึ่งเสียงของซูเหลียนอวิ้นก็ดังออกมาจากด้านในห้อง “เข้ามาเถิด”
ฝ่ายซูเหลียนอวิ้นที่อยู่ด้านในห้อง ตอนนี้กำลังถือหนังสือที่เดิมทีตัวเองโยนทิ้งไว้ด้านข้างขึ้นมาพลิกอ่านไปมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาชายตามองต้วนเฉินเซวียนเลยแม้แต่น้อย “ท่านเข้ามาแล้วก็นั่งตรงนั้นเถิด มีเรื่องอะไรก็พูดมา หากไม่มีเรื่องก็ออกไปซะ”
ต้วนเฉินเซวียนมองไปยังเก้าอี้ที่ซูเหลียนอวิ้นบอก กล่าวได้ว่าเก้าอี้ตัวนั้นอยู่อีกฟากหนึ่งของห้องเลยทีเดียว! เขาจึงแอบกุมศีรษะในใจ นี่มัน…
“ซูเหลียนอวิ้น เจ้าตื่นเต้นหรือ” ต้วนเฉินเซวียนค่อยๆ เอ่ยออกมา “ตั้งแต่ตอนที่ข้าเข้ามา ข้าไม่เห็นเจ้าพลิกหนังสือในมือสักหน้า…ต่อให้เจ้าอ่านหนังสือช้า แต่นานขนาดนี้กลอนเพียงบทเดียวน่าจะอ่านจบได้แล้วกระมัง”
เมื่อซูเหลียนอวิ้นโดนเปิดโปงเช่นนี้ก็รู้สึกยั๊วะจัด “ข้าให้ท่านพูดแต่มิได้ให้ท่านพูดไร้สาระ! ข้าจะอ่านหลายรอบหน่อยมิได้เลยรึ เหตุใดท่านถึงต้องยุ่งขนาดนี้!” นางตื่นเต้นอย่างยิ่ง! เพราะสองสามครั้งก่อนหน้านี้ตอนที่ต้วนเฉินเซวียนมาล้วนเป็นการมาอย่างกระทันหันทั้งนั้น ทว่าครั้งนี้นางกลับรู้เห็นในการมาถึงของเขาด้วย?
เป็นฝ่ายเชื้อเชิญให้บุรุษเข้ามาที่ห้องของตัวเองกลางดึกเช่นนี้…แม้แต่นางเองก็ยังรู้สึกใจเต้นแรงตึกตัก! เพราะเรื่องนี้หากมีผู้ใดรู้เข้า ชีวิตนี้ของนางคงต้องแต่งกับต้วนเฉินเซวียนแล้วกระมัง ความคิดนี้ทำให้นางรู้สึกสยดสยองยิ่งนัก!
ต้วนเฉินเซวียนเห็นอาการยั๊วะจัดที่ยากจะได้เห็นของซูเหลียนอวิ้นเช่นนี้ เขาจึงอดรู้สึกว่าน่าขันไม่ได้จึงเดินเข้าไปสองสามก้าวแล้วเอ่ยว่า “ให้ข้านั่งไกลเสียขนาดนั้น เจ้ากลัวว่า…” หากฟังไม่ได้ยินขึ้นมาเล่า
คำพูดต่อจากนี้เขาไม่ทันจะได้พูดออกไป เพราะในขณะที่เขาเข้าใกล้ซูเหลียนอวิ้นจนมีระยะห่างเหลือเพียงแค่หนึ่งเมตรนั้น ผูหลิวที่ซ่อนอยู่ใต้คานก็ถลาตัวลงมา “คุณชายต้วน หากท่านมีธุระอะไรก็ยืนคุยกันแค่ตรงนี้จะดีกว่า เพราะระยะห่างตอนนี้ถือว่าใกล้มากพอแล้ว”
ต้วนเฉินเซวียนเพ่งมองสีหน้าไร้อารมณ์ของผูหลิวอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยายามใช้สายตาน่าสงสารของตัวเองทำให้คนตรงหน้าใจอ่อน หรือจะหมายถึงซูเหลียนอวิ้นก็ได้ นั่นเป็นเพราะว่า…เขาไม่ได้จะยกยอตัวเอง แต่เขารู้สึกว่าคนที่สามารถต้านทานเขาได้นั้น โดยเฉพาะสตรีน่าจะมีน้อยเต็มทีกระมัง
วิธีนี้เป็นวิธีที่เขาใช้มาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่เผชิญปัญหาแล้วไม่ว่าจะลองใช้วิธีใดก็ไม่ได้ผล!
น่าเสียดายที่ผูหลิวก้มหน้ามองรองเท้าอยู่ตลอดเวลาจึงไม่ได้สังเกตสีหน้าของต้วนเฉินเซวียนเลยสักนิดเดียว! เพราะคุณหนูใหญ่เคยบอกแล้วว่าคุณชายต้วนผู้นี้คือปีศาจที่ล่อลวงจิตใจของมนุษย์ได้อย่างยอดเยี่ยม! ดังนั้นจึงต้องระวังให้ดีอย่าหลงคำพูดของเขาเด็ดขาด
แล้วซูเหลียนอวิ้นที่นั่งอยู่บนเบาะรู้สึกอย่างไรอยู่? แน่นอนว่าเมื่อนางเห็นต้วนเฉินเซวียนเสียท่าไปเช่นนั้นก็รู้สึกพออกพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นอารมณ์อื่นๆ น่ะหรือ? วางทิ้งไว้ข้าหลังก่อนเถิด! รอให้นางหัวเราะจนเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน!
“ตกลง คุยตรงนี้ก็ได้” ต้วนเฉินเซวียนพยายามใช้สายตาเช่นนั้นจนตาเขาแทบจะแข็งไปทั้งดวงแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นความหวังใดๆ จึงต้องยอมแพ้ไปก่อน จากนั้นจึงหันไปย้ายเก้าอี้ตัวนั้นมาแล้วนั่งลงพร้อมเอ่ยว่า “นั่งตรงนี้ได้กระมัง”
องครักษ์นางนี้เพียงมองผ่านๆ ก็รู้แล้วว่าต้องเป็นพี่สะใภ้ใหญ่เลือกให้ซูเหลียนอวิ้นอย่างแน่นอน! เพราะนาง…ให้ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน อีกทั้งยังเหมือนกันมากเสียจนทั้งสองจะต้องรู้สึกเกลียดขี้หน้ากันและกันเลยทีเดียว!
ต้วนเฉินเซวียนแอบเบะปากในใจ ซูมั่วเยี่ยนี่จริงๆ เลย…อยู่รอบตัวได้ทุกที่ทุกเวลา! ต่อให้ตัวเป็นๆ ของเขาไม่อยู่แต่ยังอุตส่าห์ส่งคนมาเป็นตัวแทนได้อีก! ออกมาทำเสียแผนจริงๆ!
“ว่ามาสิ” หลังจากที่ซูเหลียนอวิ้นหัวเราะในใจจนพอแล้วจึงเอ่ยเรียบๆ ขึ้น “ไหนบอกว่ามีธุระ”
“เอ่อ…” จู่ๆ ต้วนเฉินเซวียนก็ไร้คำพูด “ไม่ใช่เจ้าเรียกข้ามาเพื่อจะคุยธุระหรอกหรือ” นางถอนกำลังองครักษ์ออกไปหมดแล้ว ที่ทำไปไม่ใช่เพราะจะรอเขารึ!
“ข้าส่งจดหมายไปเชิญท่านมาหรือ” ซูเหลียนอวิ้นไม่ยอมแพ้ “ไม่มีกระมัง ดังนั้นตอนนี้ถือว่าท่านเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญได้หรือไม่”
“เอาล่ะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า” เมื่อต้วนเฉินเซวียนเห็นท่าเชิดคางขึ้นเล็กน้อยของซูเหลียนอวิ้นก็รู้ทันทีว่านางไม่สบอารมณ์เสียแล้วจึงก้มหน้าลงแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนั้น เรื่องแม่ของเจ้า…อาการป่วยของท่านป้าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ลูกแมวขนพองกำลังจะกลายเป็นเม่นแล้วใช่หรือไม่ วันๆ เอาแต่ทำเข็มตั้ง!
“อาการป่วยของแม่ข้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” เมื่อเอ่ยถึงอันเพ่ยอิง ท่าทางชูคอของซูเหลียนอวิ้นเมื่อครู่นี้ก็อ่อนลงไปเสียครึ่งหนึ่ง เนื่องจากเขากุมจุดอ่อนนางไว้ได้แล้ว! ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าต้วนเฉินเซวียนได้ทำเรื่องดีๆ ให้แม่นางไปแล้วเรื่องหนึ่ง ทว่าซูเหลียนอวิ้นกลับถอนใจ “แต่แม่ของข้าคงรับตำแหน่งท่านป้าที่คุณชายเรียกไม่ได้”
เป็นป้าของคุณชายหรือ ตระกูลซูคงรับตำแหน่งนี้ไว้ไม่ไหว!
ต้วนเฉินเซวียนเพิกเฉยต่อคำพูดห่างเหินเพื่อตัดความสัมพันธ์ของซูเหลียนอวิ้นที่เอ่ยขึ้นตามมาทันที จากนั้นเขาจึงเอ่ยต่อไปว่า “ท่านป้าหายดีถือเป็นเรื่องดีมาก เพราะที่ข้าทำไปก็คงทำได้เพียงแค่เท่านี้ แน่นอนว่าหากยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีก ข้าจะต้องออกแรงของข้ามากขึ้นกว่านี้สิบสองเท่าเพื่อช่วยพวกเจ้าให้ได้”