วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 911 มีทุกข์ร่วมต้าน

บทที่ 911 มีทุกข์ร่วมต้าน

แม้ว่าตอนนี้ชีวิตของเขากำลังตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย ส่วนด้านนอกจะมีคนล้อมไว้มากขนาดไหน เขาก็รู้จักกู้ซือเฉียนดี

เขาไม่สงสัยเลยว่า คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เหมือนคนบ้าไปแล้วขนาดไหน

ถ้าได้ยั่วโมโหกู้ซือเฉียนจนถึงที่สุด บางทีวันนี้เขาอาจจะต้องสารภาพจริงที่นี่เลยก็ได้

ดังนั้น เขาจึงค่อนข้างลังเล แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ทำได้เพียงข่มอารมณ์เอาไว้ พร้อมกับพูดโน้มน้าวว่า “ฉันไม่รู้เรื่องจริง ๆ ซือเฉียน ใจเย็น ๆ ก่อน นายต้องรู้ไว้นะว่าฉันเป็นถึงคนในตระกูลหนาน นายเคยคิดบ้างไหมว่าถ้านายแตะต้องฉัน ผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง?”

“ถึงแม้ฉันจะเป็นแค่คนธรรมดาในตระกูล แต่ถ้ามาตายใต้ปากกระบอกปืนนาย ถึงจะแค่ทำเพื่อหน้าตาของตระกูล แต่ยังไงตระกูลหนานก็คงไม่ปล่อยนายไปแน่”

“พอถึงตอนนั้น ด้านหน้าก็มี กลุ่มชาวจีนส่วนด้านหลังก็มีตระกูลหนาน ศัตรูควบคู่ทั้งสองด้าน นายแน่ใจเหรอว่านายจะกล้าเอาชีวิตของคนในกลุ่มมังกรทั้งหมดมาเป็นเดิมพัน?”

พอเขาพูดจบ ทั่วทั้งห้องรับแขกก็ตกอยู่ในความเงียบทันที

กู้ซือเฉียนไม่ได้ปล่อยเขาไปเพราะคำพูดของเขา แต่ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปอีกเช่นกัน

และในตอนนั้นเอง หลินเยว่เอ๋อร์ก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง

เธอจ้องมองชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาตื่นตระหนก ก่อนจะพูดโน้มน้าวขึ้นว่า “คุณกู้ ถ้ามีเรื่องอะไรเรานั่งลงแล้วค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จากันดีกว่าไหม? คุณกับคุณหนานไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนกันเหรอ? มีอะไรก็ค่อย ๆ อธิบายกันไม่ได้รึไง? ปืนนี่…”

เธอพูดขึ้น พร้อมกับเตรียมเอื้อมมือออกไปจับมือข้างที่ถือปืนของเขา

ทว่า เธอกลับถูกสายตาเย็นชาของกู้ซือเฉียนหยุดไว้เสียก่อน

กู้ซือเฉียนจะปฏิบัติต่อเขายังไงก็ได้ แต่พอเขาเห็นสายตากู้ซือเฉียนที่มองไปทางหลินเยว่เอ๋อร์แบบนั้น ความรู้สึกที่หนานมู่หรงอดกลั้นเอาไว้มันก็เริ่มจะทนไม่ไหวขึ้นมา

เขารีบดึงหลินเยว่เอ๋อร์เข้าหาตัวเอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “กู้ซือเฉียน นี่มันเป็นเรื่องระหว่างเราลูกผู้ชาย นายอย่าไปดึงผู้หญิงที่ไม่รู้เรื่องมาเกี่ยวข้องด้วย”

กู้ซือเฉียนมองไปทางเขา พร้อมกับยิ้มออกมาอย่างเย็นชา

“คุณหลินกับสามีอันเป็นที่รักของคุณ รักกันลึกซึ้งขนาดนี้ ถ้ามีสุขก็ต้องร่วมเสพ มีทุกข์ก็ต้องร่วมต้านเป็นธรรมดาใช่ไหม?”

เขาพูดขึ้น จากนั้นก็หันปลายปืนไปทางหลินเยว่เอ๋อร์

ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันว่า “นายพูดถูก ฉันแตะต้องนายไม่ได้ก็จริง เพราะถึงยังไงฉันก็ยังไม่อยากเป็นศัตรูกับตระกูลหนานในตอนนี้”

“แต่เธอไม่เหมือนกัน ถ้าฉันเดาไม่ผิด เธอคงยังไม่ได้รับการยอมรับจากผู้นำตระกูลเราสินะ? ถ้าฉันฆ่าเธอตอนนี้ เชื่อเถอะว่าตระกูลหนานคงไม่อยากมาเป็นศัตรูกับกลุ่มมังกร เพื่อผู้หญิงที่ไม่มีความสำคัญเพียงคนเดียวหรอกใช่ไหม?”

นัยน์ตาของหนานมู่หรงหดลง

ใบหน้าที่หล่อเหลา แม้ว่าจะมีสีหน้าเรียบเฉยเมื่ออยู่ตรงหน้าศัตรู แต่อยู่ ๆ มันก็มีความโกรธเข้ามาแทนที่

เขาพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “กู้ซือเฉียน อย่าให้มันมากเกินไปนะ!”

กู้ซือเฉียนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับเขาต่อ จึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ฉันจะถามนายเป็นครั้งสุดท้าย ตอบ! คนพวกนั้นเป็นคนของใคร”

หนานมู่หรงกำหมัดแน่น

หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจจนใบหน้าซีดเผือด

ยิ่งพอเห็นท่าทีลำบากใจของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คุณหนาน คุณไม่ต้องสนใจฉันหรอก คนบ้าคนนี้ คุณให้คนมาจับเขาเลย อย่าบอกอะไรกับเขานะ”

ทว่า ยิ่งเธอพูดแบบนี้ หนานมู่หรงก็ยิ่งแข็งใจทำไม่ลง

หลินเยว่เอ๋อร์หันหน้ามาทางกู้ซือเฉียนอีกครั้ง พร้อมกับพูดต่อ “กู้ซือเฉียน คุณบุกเข้ามาในบ้านของคนอื่นกลางวันแสก ๆ แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมยังมาถามเรื่องไม่เป็นเรื่องอีก คุณเป็นบ้าไปแล้วรึไง? มีอำนาจหน่อยจะยิงใครก็ได้เหรอ งั้นก็ลองฆ่าฉันดูสิ แล้วดูสิว่าวันนี้คุณจะออกไปจากที่นี่ได้รึเปล่า!”

กู้ซือเฉียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ดูไม่ออกเลยนะ ว่า คุณนายหนานจะมีความกล้าถึงขนาดนี้”

เขาพูดขึ้น พร้อมกับลากสายตามองไปยังหนานมู่หรงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

“แต่น่าเสียดาย ที่ต้องมาอยู่กับผู้ชายที่ไม่รู้จักเห็นใจเธอเลย ถ้าเกิดใหม่ในชาติหน้า ก็ขอให้เธอเจอคนที่ดูแลเธอดี ๆ นะ”

เขาพูด พร้อมกับกระชับปืนในมือ จากนั้นก็เสริมต่อว่า “ฉันจะนับถึงสาม ถ้าแกยังไม่ยอมบอก ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจนะ”

เขาพูดพร้อมกับนับ “หนึ่ง!”

“สอง!”

“สาม!”

“ฉันบอก!”

เสียงของทั้งสองคนดังขึ้นพร้อมกัน หลินเยว่เอ๋อร์ตกใจจนต้องหลับตาปี๋ พอสติของเธอกลับคืนมา เธอถึงได้รู้ว่าปืนที่อยู่บนหัวเธอไม่ได้ถูกลั่นไก แต่เป็นหนานมู่หรงที่ตอบตกลงออกไป

เธอแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เธอเห็นสีหน้าของหนานมู่หรงที่หม่นแสงลง พร้อมกับจ้องไปที่กู้ซือเฉียน แล้วพูดขึ้นว่า “ในเมื่อนายอยากรู้มากขนาดนี้ ฉันก็จะบอกให้! พวกนั้นมาจากสำนักงานใหญ่ ส่วนใครเป็นคนบงการฉันก็ไม่แน่ใจ ถ้านายอยากรู้จริง ๆ ก็เข้าไปถามดูสิ ยังไงนายก็เก่งมากอยู่แล้วนี่ ไม่มีที่ไหนที่บุกเข้าไปไม่ได้ แถมยังไม่มีใครที่ข่มขู่ไม่ได้ด้วย”

ประโยคสุดท้ายที่พูดขึ้น เต็มไปด้วยความประชดประชัน

แต่กู้ซือเฉียนขี้เกียจที่จะสนใจเขาแล้ว

ได้ยินดังนั้น กู้ซือเฉียนก็รักษาคำพูดโดยการลดปืนลง

พร้อมกับพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ทางที่ดีอย่าโกหกฉันแล้วกัน”

พูดจบ เขาก็ปล่อยหลินเยว่เอ๋อร์ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจากไป

การ์ดที่ยืนเผชิญหน้ากับ ฉินเยว่และคนอื่น ๆ อยู่ที่หน้าประตู พอเห็นแบบนั้นต่างก็พากันหันหน้าไปมองทางหนานมู่หรง

เมื่อเห็นเขาโบกมือเป็นเชิงให้ปล่อยพวกเขาไป การ์ดเหล่านั้นก็ก้าวออกไปด้านข้าง เหลือตรงกลางไว้เป็นทางให้เดิน

กู้ซือเฉียนพาพรรคพวกของเขาก้าวยาว ๆ ออกไป

ซึ่งตั้งแต่ต้นจนจบหนานมู่หรงกลับนั่งอยู่แค่บนโซฟา

มองไปยังทิศทางที่คนกลุ่มนั้นเดินจากไป นัยน์ตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันให้เบาะแสนายไปแล้ว ขั้นต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วว่านายจะเดินต่อยังไง”

เขาพูดพร้อมกับค่อย ๆ ยืนขึ้น

ทันใดนั้น เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หลินเยว่เอ๋อร์ยังคงมีท่าทีตกใจไม่หาย

พอคิดถึงท่าทางที่ทั้งกลัวทั้งกล้าหาญของเธอ ตอนที่พยายามจะช่วยเขานั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นมาเบา ๆ

เขายื่นมือออกไปก่อนจะพูดขึ้นว่า “ยังไม่ลุกอีก?”

หลินเยว่เอ๋อร์ชะงักไปชั่วครู่ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น มองไปที่มือนั้น ก่อนจะลากสายตามองไปยังใบหน้าอันสงบนิ่งของเขา พอสติกลับมา เธอก็รีบยื่นมือตัวเองออกไปให้เขาทันที

หนานมู่หรงออกแรงเบา ๆ ก็สามารถดึงเธอให้ลุกจากโซฟาได้

หลินเยว่เอ๋อร์ถลาเข้าไปในอ้อมแขนเขาทันที ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่า กู้ซือเฉียนไม่มีทางฆ่าเธอแน่ ๆ

แต่เมื่อครู่ที่เธอถูกรังสีความน่าเกรงขามและความเย็นชาของเขาทำให้ตกใจกลัว ตอนนี้เหมือนวิญญาณเธอยังไม่ได้กลับเข้าร่างด้วยซ้ำ แม้กระทั่งเวลานี้เธอก็ยังผ่อนคลายได้ไม่เต็มที่

หนานมู่หรงพอเห็นใบหน้าบอบบางของเธอซีดเซียวกว่าเดิม เขาก็ยิ่งเห็นใจเธอมากขึ้นไปอีก

เขาเอื้อมมือออกไป เกลี่ยผมเธอขึ้นทัดหูเบา ๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อครู่ตกใจมากเลยใช่ไหม?”

หลินเยว่เอ๋อร์เงยหน้ามองเขา จากนั้นน้ำตาที่กลั้นไว้ก็ค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย

แต่ทว่า เธอกลับไม่ได้ส่งเสียงร้องไห้ออกมา เพียงแค่เม้มปากแน่น ก่อนจะส่ายหน้าให้เขาเบา ๆ

“ฉันไม่ได้กลัว ฉันแค่……”

ปากของเธอพูดออกมาแบบนั้น แต่มือที่จับแขนเขาอยู่ กลับมีอาการสั่นเล็กน้อย

หนานมู่หรงรู้ในทันทีว่าลึก ๆ ในใจเธอคิดอะไรอยู่ เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงอุ้มเธอในท่าเจ้าหญิง พร้อมกับเดินขึ้นไปชั้นบน

ส่วนอีกด้าน

หลังจากที่กู้ซือเฉียนออกจากคฤหาสน์ของหนานมู่หรงแล้ว เขาก็ตรงไปที่รถ จากนั้นก็กลับไปที่ปราสาททันที

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท