วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 915 พบความผิดปกติ

บทที่ 915 พบความผิดปกติ

เธอยกมือขึ้น พร้อมกับเหยียดแขน เหยียดขาขณะเดินไปด้วย

ขณะที่เธอยืดเส้นยืดสาย เธอก็พูดว่า “ก็ดีนะ ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ”

จิ่งหนิงพูดขึ้นว่า “ฉันได้ยินกู้ซือเฉียนพูดว่า เมื่อคืนคุณหมอบอกว่าร่างกายของคุณยังมีฤทธิ์ยานอนหลับตกค้างอยู่ น่าจะใช้เวลาสองสามวันกว่าจะขับมันออกไปหมด”

“แบบนั้นเหรอ?” เธอคิดไปคิดมา ก่อนจะยิ้มขึ้น “อาจจะใช่แหละ แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษกว่าเดิม แค่รู้สึกง่วง แล้วก็อยากนอนตลอดเวลา”

“งั้นก็คงใช่”

จิ่งหนิงพูด ก่อนจะชะงักไป แล้วถามขึ้นว่า “ใช่สิ ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลย ช่วงที่เธอถูกพวกมันขังไว้ พวกนั้นไม่ได้รังแกอะไรเธอใช่ไหม? เธอถูกขังไว้ในนั้นตลอดเวลาเลยเหรอ?”

ในตอนที่กู้ซือเฉียนไปช่วยเธอ เขาก็โทรมาเล่าสถานการณ์คร่าว ๆ ให้ลู่จิ่งเซินกับจิ่งหนิงฟัง

อย่างแรกคือขอให้พวกเขาช่วยเตรียมหมอที่บ้านไว้ให้ทันที ส่วนอีกอย่างคือกู้ซือเฉียนบอกพวกเขาว่า ประสบการณ์ที่พวกเขามีนั้นไม่น้อยไปกว่าตัวเอง เขากลัวว่าคนพวกนั้นอาจจะใช้วิธีการบางอย่างจัดการกับเฉียวฉี เขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่แค่ได้บอกพวกเขาไว้ ก็อาจจะพอเป็นหลักประกันไว้ได้บ้าง

เพราะงั้น จิ่งหนิงก็เลยได้รู้ว่าตอนนั้นเฉียวฉีถูกช่วยออกมาจากห้องแปลก ๆ

เฉียวฉีพอได้ยิน ก็ตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครรังแกอะไรนะ แต่ฉันก็จำไม่ค่อยได้ เหมือนจะ….ไม่มีแหละ”

จิ่งหนิงเห็นท่าทีขมวดคิ้วครุ่นคิดของเธอ ก็รู้สึกแปลกใจ

“จำไม่ได้? ทำไมถึงจำไม่ได้ล่ะ?”

เฉียวฉีส่ายหน้าไปมา

“ฉันก็ไม่รู้”

เธอพูดขึ้น ราวกับอยู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับร่างกายของเธอมีอะไรไม่ถูกต้อง เธอจับไปที่หัวแล้วเขย่าเบา ๆ

“จะว่าไปแล้ว ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ตั้งแต่กลับมาก็รู้สึกตลอดเลยว่า ในหัวมันสับสนวุ่นวาย เหมือนเลอะเลือนอยู่เรื่อยเลย”

จิ่งหนิงขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง

“รู้สึกไม่สบายมากรึเปล่า? นอกจากเลอะเลือนแล้ว ยังมีอาการอะไรอีกไหม?”

“อาการอื่น ๆ….ก็ไม่มีนะ”

เธอพูดขึ้น แล้วอยู่ ๆ ก็หยุดเดิน

จิ่งหนิงเองก็หยุดเดินเช่นกัน ทันใดนั้นสีหน้าของเฉียวฉีก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ก่อนที่เธอจะเอามือกุมไว้ที่หัว จากนั้นก็คุกเข่าลงไปด้วยท่าทางเจ็บปวด

จิ่งหนิงตกใจขึ้นมาทันที

และเพราะว่าตกใจ แม้แต่เชือกในมือเธอก็ปล่อยออก สุนัขทั้งสองตัวจึงวิ่งไล่กันออกไปด้านหน้าทันที

ตอนนี้เธอไม่สนใจที่จะไล่ตามสุนัขแล้ว จิ่งหนิงคุกเข่าลงอย่างร้อนรน พร้อมกับถามขึ้นว่า “เฉียวฉี เกิดอะไรขึ้น? คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

เฉียวฉีไม่ได้ตอบอะไร เธอเม้มริมฝีปากตัวเองแน่น สองมือกุมอยู่ที่หัว ใบหน้าของเธอขาวซีดไร้ร่องรอยของสีเลือด

เมื่อจิ่งหนิงเห็นดังนั้น เธอก็ยิ่งตื่นตระหนก

“เฉียวฉี คุณอย่ามาทำให้ฉันตกใจนะ คุณไม่สบายตรงไหน?”

เธอพูดขึ้น พร้อมกับควักโทรศัพท์ออกมา เพื่อโทรหากู้ซือเฉียน

แต่ยังไม่ทันที่จะได้กดโทรออก เธอก็ถูกเฉียวฉียั้งมือเอาไว้เสียก่อน

จากนั้นก็ได้ยินเสียงเธอพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ฉันไม่เป็นไร อย่าบอกเขานะ”

จิ่งหนิงหยุดการกระทำของเธอไปชั่วขณะ พร้อมกับขมวดคิ้วมองเฉียวฉี

ผ่านไปสักพัก เฉียวฉีก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายลง

ขณะนี้ เหงื่อเย็น ๆ แผ่กระจายอยู่เต็มหน้าผากเธอ ร่างของเธอทั้งร่างดูอ่อนแรงราวกับว่าเธอเพิ่งถูกอุ้มขึ้นมาจากน้ำ

เธอมองไปที่จิ่งหนิง ก่อนจะบอกว่า “ฉันไม่เป็นไร คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

จิ่งหนิงยังคงขมวดคิ้วแน่น พร้อมกับค่อย ๆ ประคองเธอลุกขึ้น

“สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไร? เมื่อครู่คุณ….”

เธอตอบเสียงเรียบว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงวันนี้ อยู่ ๆ ฉันก็มีอาการปวดหัวขึ้นมาเป็นครั้งคราว แต่ว่าเวลาปวดแต่ละครั้งมันก็ไม่ค่อยนาน แค่ต้องปล่อยให้มันค่อย ๆ คลายไปเอง แค่นี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”

ขณะที่พูด เฉียวฉีก็สังเกตเห็นใบหน้าที่เป็นกังวลของจิ่งหนิง เธอเลยรีบยิ้มให้จิ่งหนิงอย่างอ่อนแรง

“คุณไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อคืนวานคุณหมอก็มาตรวจร่างกายให้ฉันแล้ว ร่างกายของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ ฉันเดาว่าอาการปวดหัวนี้ น่าจะเป็นผลมาจากการใช้ยาเกินตั้งแต่ก่อนหน้านี้เท่านั้น พอผ่านไปสักพัก ยาถูกขับออกไปจนหมดแล้วอาการฉันก็คงจะดีขึ้น”

จิ่งหนิงไม่รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นจริงรึเปล่า แต่เธอก็เลือกที่จะไม่บอกกู้ซือเฉียน เธอในตอนนี้จะเพิกเฉยต่อความต้องการของคนอื่นได้ยังไง

ดังนั้น จิ่งหนิงจึงพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า “เรื่องนี้จะละเลยไม่ได้ ฉันว่าคุณขอให้คุณหมอมาตรวจให้อีกรอบดีกว่าไหม?”

เฉียวฉีคิดไปคิดมา แล้วตอบว่า “ได้ งั้นตอนบ่ายค่อยเรียกคุณหมอมาตรวจ”

พอเห็นเธอรับปาก จิ่งหนิงถึงจะวางใจได้

ทั้งสองคนค่อย ๆ เดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง

พอเดินรอบสอนดอกไม้ไปได้สักพัก สองสาวจากที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกัน ตอนนี้ทั้งคู่สนิทสนมกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มิตรภาพระหว่างหญิงสาว มักจะรวดเร็วกว่ามิตรภาพระหว่างชายหนุ่มเสมอ ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ชั่วโมง ทั้งคู่ก็ดูเหมือนเพื่อนสนิทที่พร้อมจะคุยกันได้ทุกเรื่อง

อันที่จริง อาจเป็นเพราะทั้งสองมีบุคลิกที่คล้ายกันด้วย ซึ่งเป็นคนประเภทที่เห็นอะไรก็พูดไปอย่างนั้น ทั้งตรงไปตรงมาแล้วก็ไม่โอ้อวด

ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะเพิ่งรู้จักกัน แต่เวลาที่อยู่ด้วยกันกลับเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน

พอถึงตอนที่ทานข้าวกลางวัน ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันตามปกติ

กู้ซือเฉียนกับลู่จิ่งเซินสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก พวกเขาจึงพากันอดยิ้มไม่ได้

หลังจากทานข้าวเสร็จ จิ่งหนิงที่เคยชินกับการนอนกลางวัน ก็ดึงลู่จิ่งเซินกลับห้องทันที

ส่วนเฉียวฉีที่ก่อนหน้านี้นอนไปเยอะแล้ว ตอนนี้เธอเลยดูมีชีวิตชีวาขึ้น ทำยังไงก็นอนไม่หลับ

พอดีกับที่ช่วงนี้เธอไม่ค่อยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปราสาทสักเท่าไร ก็เลยขอให้กู้ซือเฉียนเข้ามาเล่าให้เธอฟังหน่อย

เมื่อเช้าวันนี้ตอนที่เธอตื่นขึ้นมา จิ่งหนิงเข้ามาเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแค่คร่าว ๆ เท่านั้น ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ เธอก็ยังไม่รู้

ดังนั้น เธอจะต้องถามเขาให้ชัดเจน

เดิมทีกู้ซือเฉียนก็ไม่ค่อยอยากจะพูด แต่พอเห็นเธอตั้งมั่นแล้วว่าจะฟัง เขาก็เลยทำได้แค่ตามเข้ามาอย่างจนปัญญา

เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเธออยู่แล้ว เพราะทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน ทั้งยังรู้จักนิสัยใจคอของกันดีเกินไป ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่สบายใจแล้วก็ความเข้าใจผิดมากมายที่ไม่จำเป็น

หลาย ๆ เรื่อง ถ้าพูดออกมายังไงก็ดีกว่าไม่พูด เพราะสุดท้ายแล้ว ถ้าพูดออกมาอีกฝ่ายก็อาจจะแค่กลัวสิ่งที่จะเกิดหลังจากนั้น แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย อีกฝ่ายก็จะจะคิดแล้วก็เป็นกังวลตลอดเวลา จนสุดท้ายมันอาจจะก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้

เขาเล่าเรื่องออกมาด้วยท่าทีนิ่งสงบ ส่วนเฉียวฉีที่อยู่อีกฝั่งก็นั่งฟังด้วยความสงบเช่นกัน

เธอเติมชาให้เขาบ้างบางครั้ง ก่อนจะรินชาให้ตัวเองด้วย ซึ่งก็ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเขาจะเล่าเรื่องทุกอย่างเสร็จ

กู้ซือเฉียนขมวดคิ้วมองเธอ พร้อมกับพูดว่า “คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ล่ะ ก่อนหน้านี้คุณยังไม่กลับมา พวกเราก็ทั้งห่วงหน้าพะวงหลัง ตอนนี้คุณกลับมาแล้ว สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ชัดเจนขึ้น คุณไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาวจีนหรือตระกูลหนาน ใครก็ตามที่กล้ามารังแกคุณ ผมจะเอาคืนพวกเขาทีละคน จะไม่มีทางปล่อยพวกมันไปง่าย ๆ แน่”

เธอมองไปยังชายหนุ่มกับท่าทางที่ให้คำมั่นต่อตัวเอง ให้ความรู้สึกเหมือนกับเห็นภาพในอดีตที่ผ่านมานาน ตอนเธอยังเป็นเด็กเธอถูกรังแกอยู่ข้างถนน ก่อนที่จะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาผลักอกอีกฝ่ายพร้อมกับให้คำมั่นว่าจะเอาคืนที่คนที่รังแกเธอ

เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างพูดไม่ถูก

“ฉันรู้ แต่เรื่องที่เกิดครั้งนี้ มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เกินไป ฉันรู้สึกเป็นห่วงนิดหน่อย……”

กู้ซือเฉียนเอื้อมมือมากุมมือเธอไว้

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน