วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 934 ร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญ

บทที่ 934 ร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญ

ที่เรียกมันว่าแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ ไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นหยกจริงๆ แต่เป็นเพราะมันใสดุจคริสทัลและส่องสว่างเหมือนหยกมากกว่า แต่จริงๆ แล้วมันเป็นสสารสองชนิดที่รวมกับหยก บางคนเดาว่า สสารที่ไม่รู้จักและลึกลับนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่ผลลัพธ์อันน่ามหัศจรรย์ จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ข่าวลือไม่จำเป็นต้องเป็นเท็จเสมอไป

และวันนี้ คุณกู้ก็ยินดีที่จะนำสมบัติชิ้นนี้ออกมาแสดง ให้ทุกคนได้ศึกษาค้นคว้า เพราะว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยากที่จะทำด้วยกำลังของตัวเอง เพราะแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ทั้งสิบสองชิ้นนั้น กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมโลก ซึ่งหากต้องการหาทั้งสิบสองชิ้นนี้ด้วยตัวคนเดียว เกรงว่าแม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตที่เหลือนั้นก็ยังยากที่จะหาพบ

ทุกท่านที่เข้าร่วมงานในวันนี้ ล้วนเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่และมีหน้ามีตาในวงการ คุณกู้หวังจะเชิญทุกท่านร่วมค้นหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ และหากใครพบเห็น หรือให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ หรือแม้กระทั่งสามารถรวบรวมแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ได้ ในอนาคตก็จะได้เสพสุขในความสำเร็จด้วยกัน และได้ร่วมมือกันทำภารกิจสำคัญ! ”

เมื่อเสียงของพิธีกรดังขึ้น ทุกคนในสถานที่จัดงานยังคงตะลึงงัน และไม่ได้ตอบสนองเป็นเวลานาน

อะไรนะ?

ค้นหาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ด้วยกัน? เสพสุขในความสำเร็จด้วยกัน?

ร่วมมือกันทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่? เอาจริงเหรอเนี่ย?

มีคนในงานจำนวนไม่น้อยที่รู้จีกกู้ซือเฉียน และรู้ว่าสิ่งที่ออกจากปากของบุคคลนี้ โดยพื้นฐานแล้วไม่ใช่เรื่องโกหกแน่นอน

ดังนั้น ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น

ในเวลานี้ พิธีกรได้เชิญกู้ซือเฉียนขึ้นพูดบนเวที

กู้ซือเฉียนก้าวขายาวของเขา ขึ้นไปข้างบน

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่ยังไม่รู้จะพูดอะไร หนานกงจิ่นมอบหมายงานนี้ให้เขา เพียงอยากจะเห็นถึงศักยภาพความสามารถของเขาเท่านั้น

ตอนนี้กลุ่มชาวจีนไม่อยู่แล้ว และนอกจากตระกูลหนาน กลุ่มที่มีอิทธิพลที่สุดก็คือกลุ่มมังกร ถ้าเขาไม่มาพบกู้ซือเฉียน เขาก็ไม่รู้จะไปพบใครอีกแล้ว

เขามองไปยังผู้ชมที่เนืองแน่นด้านล่าง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “สิ่งที่พิธีกรพูดเมื่อครู่ คือสิ่งที่ฉันต้องการจะพูด เพื่อน ๆ ทุกคนที่อยากเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของสมบัตินี้ สามารถให้เบาะแสอันมีค่าแก่ฉัน หรือเพียงแค่เอาแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ตัวเองมีออกมา ทุกคนวางใจได้ ฉันรับรองด้วยเกียรติของฉันเองเลย ตราบใดผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้ ฉันจะไม่มีวันลืมชื่อเขา เฝ้ารอวันที่แผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์สิบสองชิ้นมารวมกัน และวันนั้นเขาจะเห็นเองว่างานเลี้ยงนี้แท้จริงแล้วคืออะไร”

มีคนถามขึ้นมาทันทีว่า “แค่ดูเท่านั้นเหรอ? ขอแบ่งผลประโยชน์ด้วยได้ไหม?”

“ใช่แล้ว ท้ายที่สุดแล้วมันก็คือสมบัติ ก็ควรจะแบ่งผลประโยชน์บางส่วนให้เราด้วยสิ จริงไหม?”

กู้ซือเฉียนมองไปที่คนเหล่านี้อย่างราบเรียบ มุมปากของเขายกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชา

เขาพูดเสียงดังว่า “หลังจากแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์รวมกันเป็นหนึ่งเดียวแล้ว รูปร่างที่แท้จริงของมัน เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงเช่นกัน ดังนั้นตอนนี้ฉันเลยรับรองไม่ได้เลยว่า เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนที่ให้เบาะแส หรือบริจาคแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์จะได้ลิ้มรสอิทธิฤทธิ์ของมัน ฉันเพียงรับรองได้ว่า พอถึงเวลานั้นทุกคนจะได้เป็นประจักษ์พยานของความสำเร็จ

ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าคุณจะไม่ได้เอาของออกมา แต่ความจริงแล้วแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ที่ยังไม่ถูกรวบรวมนั้น ก็เป็นเพียงของเล่นธรรมดา ซึ่งไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย มีแต่จะทำให้ตัวมันเองเสียคุณค่าไปเปล่าๆ เนื่องจากหากขาดไปเพียงแค่ชิ้นเดียว เป็นไปได้มากว่าความลับนี้จะถูกฝังกลบ และจะไม่มีใครไขความลับนี้ได้ไปตลอดกาล

ทุกคนล้วนแยกแยะถูกผิดได้ และยังเป็นผู้ที่หวงแหนทรัพย์สมบัติ ฉันเชื่อว่าทุกคนคงไม่ยอมให้ความลับนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก เพราะไม่อย่างนั้นสมบัตินี้จะค่อย ๆ จางหายไป ดังนั้นฉันจึงได้มาพบทุกคน และหวังอย่างยิ่งว่าทุกคนจะสามารถผนึกรวมปัญญาและพลัง ร่วมด้วยช่วยกันค้นหาสิ่งนี้ และมาร่วมเป็นสักขีพยานในสิ่งมหัศจรรย์นี้ด้วยกัน ว่ายังไงล่ะ? ”

เสียงพูดคุยลดลง เกิดความเงียบที่ด้านล่างนั่น

ไม่มีใครพูดอะไรจนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน

เมื่อมองไปที่บรรดาผู้คนที่เงียบงัน กู้ซือเฉียนก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าทุกคนไม่พอใจ ฉันขอให้คำมั่นสัญญาอีกครั้ง ว่าใครก็ตามที่มีส่วนช่วยในเรื่องนี้ สามารถขออะไรก็ได้หนึ่งอย่างกับฉัน ตราบใดที่ไม่เป็นการละเมิดหลักการ ฉันก็จะยอมทุกอย่าง โดยสัญญานี้จะมีผลจนกว่าจะพบสมบัติทั้งหมด และยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาแจ้งเบาะแส”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ บรรยากาศข้างล่างเวทีก็คึกคักขึ้นมา

หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบกัน ทำให้สถานการณ์ในงานเต็มไปด้วยเสียงดังอลหม่าน

หลังจากที่กู้ซือเฉียนพูดจบ เขาก็ไม่อยู่บนเวทีต่อแล้ว

เขาก้าวลงจากเวที และเดินไปนั่งข้างๆ เฉียวฉีในแถวแรก ทั้งสองมองหน้ากัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ พวกเขาก็รู้กันอยู่แก่ใจแล้ว

ในที่สุด พิธีกรก็ประกาศว่าทุกคนสามารถเข้ามาสังเกตชิ้นส่วนของแผ่นหยกคัมภีร์สวรรค์ได้อย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัย จึงขอความกรุณาเข้าดูทีละคน โดยห้ามสัมผัส และห้ามเปิดตู้กระจก ทำได้เพียงมองผ่านตู้ได้อย่างเดียวเท่านั้น

ในเวลานี้ ทุกคนต่างกระตือรือร้นที่จะลองดู

แม้แต่หลินซงเองหลังจากฟังคำพูดของกู้ซือเฉียนจบ ก็ยังแอบสงสัยอยู่เหมือนกัน

เขาไม่รู้ข้อตกลงระหว่างกู้ซือเฉียนและหนานกงจิ่นและเมื่อเห็นกู้ซือเฉียนเชื่อจริงๆ ว่าของสิ่งนี้จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้

เขาอดไม่ได้ที่จะสะกิดแขนเขาเบาๆ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “เอ๊ะ สิ่งนี้มันวิเศษจริงๆ เหรอ? รู้สึกเหมือนในเทพนิยายเลย ที่เมื่อเก็บดราก้อนบอลครบเจ็ดลูกจะสามารถอัญเชิญเทพเจ้าได้?”

กู้ซือเฉียนเหลือบมองเขาด้วยสายตาเมินเฉย

เขาพูดด้วยเสียงต่ำทุ้ม “ถ้านายไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดจาไร้สาระ”

หลินซงพูดตัดพ้อ ด้วยเสียงต่ำ “ฉันจะบอกนายว่า เราทุกคนล้วนเป็นคนหนุ่มสาวยุคใหม่ และความเชื่องมงายล้าสมัยเป็นสิ่งที่รับไม่ได้”

เฉียวฉีทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงขัดจังหวะเขา “สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะตามหา แต่คนจากตระกูลหนานขอให้เราค้นหามัน”

หลินซงตกตะลึง ที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา

ตระกูลหนาน?

สิ่งที่หนานมู่หรงพูดครั้งก่อน เขาก็อยู่ในที่เกิดเหตุ และแน่นอนว่าเขารู้ดีว่า ตราบใดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหนาน มันจะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างแน่นอน

คิ้วของเขาขมวดเป็นปม มองไปที่กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉี และถามว่า “หมายความว่าอะไร? พวกนายเคยไปเจอคนจากตระกูลหนานมาแล้วเหรอ? พวกเขาว่ายังไงบ้าง?

กู้ซือเฉียนไม่มีทางเลี่ยง เพราะรู้ว่าถ้าไม่ได้อธิบายให้เขาฟังอย่างชัดเจน เขาจะต้องซักไซ้ต่อไปแน่

จึงตัดสินใจเล่าเรื่องวันนั้นให้เขาฟัง ว่าพวกเขาทั้งสองคนไปพบหนานกงยวู่แห่งตระกูลหนาน และในตอนสุดท้ายพวกเขาก็ถูกหนานกงยวู่พาไปรู้ความลับที่อยู่เบื้องหลัง จากนั้นก็ได้พบกับ หนานกงจิ่น และทั้งสามคนก็ได้หารือกับเขาเกี่ยวกับการทำธุรกรรมร่วมกัน

หลังจากฟังจบ หลินซงก็นั่งตะลึงอยู่ตรงนั้น ไม่ตอบสนองอะไรอยู่พักใหญ่

เขากลืนกินน้ำลาย และมองซ้ายมองขวา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินพวกเขาทั้งสามคน จากนั้นก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “นายหมายถึง ความจริงแล้วตระกูลหนานไม่ได้ถูกดูแลโดยหนานกงยวู่แต่โดยอีกคนหนึ่งที่ชื่อหนานกงจิ่นอย่างนั้นเหรอ?”

กู้ซือเฉียนพยักหน้า

“ทำไมล่ะ? คนคนนั้นคือใคร? หนานกงยวู่ไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวของพวกเขาเหรอ? ทำไมอยู่ดีๆ ก็มีอีกคนโผล่มา?”

เฉียวฉีถึงกับปวดหัว

“เราก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน เรารู้แค่ว่าชายคนนั้นดูจะอยู่คนละระดับกับหนานกงยวู่เลย เพราะหนานกงยวู่ให้เกียรติเขามาก จะว่าไป ดูแล้วหนานกงยวู่คงอายุห้าสิบถึงหกสิบปีได้ แต่ชายคนนั้นดูแล้วอายุไม่น่าจะเกินสามสิบปีโดยประมาณ”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท