วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 973 เธอสูญเสียความจำแล้ว

บทที่ 973 เธอสูญเสียความจำแล้ว

จิ่งหนิงถามกลับประโยคหนึ่ง “ร่างกายไม่แข็งแรงเหรอ”

เธอมองลงไปข้างล่าง ดูโม่ไฉ่เวยที่หลบอยู่หลังเชวซู่

เห็นแต่เธอจับเสื้อตรงไหล่ของเชวซู่ไว้แรงๆ ทั้งคนขดอยู่ด้านหลังของเขา เหมือนกับแมวน้อยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มองเธออย่างหวาดกลัวและกระสับกระส่าย

อยู่ๆ จิ่งหนิงก็หัวเราะขึ้นมา

เธอหัวเราะอย่างเสียดสีและโศกเศร้า

“เธอ…กลัวฉันเหรอ”

โม่ไฉ่เวยไม่ได้พูดอะไร แค่จ้องตาคู่นั้นของเธอไว้ ยิ่งรู้สึกหวั่นเกรงกว่าเดิม

สีหน้าของเชวซู่ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ปกป้องโม่ไฉ่เวยไว้แน่นๆ เหมือนกลัวเธอจะอยู่ๆ ทำอะไรออกมา ทำให้โม่ไฉ่เวยถูกทำร้ายเช่นนั้น

ลู่หลันจือเห็นแล้ว เดินเข้ามาอย่างพะอืดพะอม พยายามจะดึงจิ่งหนิงกลับไป

“หนิงหนิง อย่ามาวุ่นวายเลย พวกเรากำลังคุยเรื่องสำคัญอยู่…”

“หุบปาก!”

จู่ๆ จิ่งหนิงก็ตะโกนออกมาอย่างโมโห

ลู่หลันจือตะลึงพรึงเพริด

หลายปีแล้ว ถึงแม้เธอกับจิ่งหนิงก็เคยเกิดความขัดแย้งไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกเธอตะโกนใส่ต่อหน้าคนนอก

ทันใดนั้นอารมณ์ขึ้นทันที

“จิ่งหนิง! นี่แกกำลังทำอะไร ออกมาเป็นแขกคุยเรื่องงานให้มีระเบียบหน่อยได้ไหม กลับไปนั่งให้ดีเลย!”

เธออยากแสดงท่าทีของผู้อาวุโสออกมาแน่นอนอยู่แล้ว แต่จิ่งหนิงในเวลานี้ ในหัวเต็มไปด้วยความคิดอย่างหนึ่งตั้งนานแล้ว จะไปฟังเข้าสักที่ไหน

เธอสะบัดลู่หลันจือออก สายตาจ้องมองโม่ไฉ่เวยที่หลบอยู่หลังเชวซู่ไม่หยุด

“เธอตายแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมยังไม่ตายอีก ทำไมเธอถึงอยู่ตรงนี้ ในเมื่อเธอยังมีชีวิตอยู่ทำไมไม่บอกฉัน ทำไมไม่มาหาฉัน ในเมื่อเธอเลี้ยงฉันแล้วทำไมยังแอบจากไปตัวคนเดียว ทิ้งฉันไว้ในบ้านที่มืดมนมองไม่เห็นแสงสว่างนั้นเป็นสิบกว่าปี ทำไม”

เธอพูดไปพูดมา น้ำตาก็ไหลลงมาดั่งลูกปัดที่ด้ายขาด

พอคำพูดนี้ออกมา ทันใดนั้นทุกคนต่างตกใจกันอย่างยิ่ง

เจ้านายหยูรู้สึกไม่น่าเชื่อ ลู่หลันจือก็อึ้งจนอ้าปากค้างเช่นกัน

มีแต่เชวซู่คนเดียวที่เปลี่ยนสีหน้า เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่างได้แล้ว สายตาที่มองไปทางจิ่งหนิงอีกครั้งก็ได้เพิ่มความยุ่งเหยิงเข้าไปอีกอย่าง

แต่โม่ไฉ่เวยยังคงเป็นสีหน้ามึนงงนั้นเหมือนเดิม

“คุณ…คุณพูดอะไรอยู่อ่า ทำไมฉันไม่เข้าใจเลย”

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม่กลัวมาก แต่ยังคงเป็นหน้าตาอันมีมารยาทนั้นอยู่ มองเธออย่างสงสัย

จิ่งหนิงส่ายหัวอย่างเสียดสี

“เธอฟังไม่รู้เรื่องเหรอ หรือว่าไม่อยากรู้เรื่อง โม่ไฉ่เวย! ฉันคือลูกสาวของเธอ ลูกสาวที่ถูกเธอทิ้งไว้ในตระกูลจิ่งสิบกว่าปี ทีนี้เธอรู้เรื่องยัง”

เจ้านายหยูกับลู่หลันจือต่างจ้องตาโตขึ้นมาอย่างตกอกตกใจ

ลู่หลันจือรู้สึกไม่น่าเชื่อ แม้แต่พูดยังติดอ่างเลย

“จิ่งหนิง ไม่ใช่…เธอบอกว่าหล่อน…หล่อนคือ…”

สายตาของจิ่งหนิงเย็นเยือก “ใช่! เธอก็คือแม่บุญธรรมของฉัน คุณหนูของตระกูลโม่แห่งเมืองจิ้นโม่ไฉ่เวย โม่ไฉ่เวยที่ควรเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนแล้ว! ตอนนี้พวกคุณเข้าใจหรือยัง”

สีหน้าของลู่หลันจือตกใจมาก

เธอรู้ประวัติของจิ่งหนิงอยู่แล้ว

สำหรับเรื่องที่เธอเป็นลูกสาวแท้ๆ ที่หายตัวไปของจี้หวั่นจุดนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้ว ตอนที่อยู่ในเมืองจิ้นก่อนหน้านี้ ลู่หลันจือก็เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับแม่บุญธรรมของเธอมาบ้าง

แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นเธอมีอคติกับจิ่งหนิงอยู่ตลอด จึงขี้เกียจไปทำความเข้าใจอย่างละเอียด

ดังนั้น ยิ่งกว่านั้นคือไม่ได้ติดตามชื่อแม่บุญธรรมของเธออะไรมาก เนื่องจากเวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว แม้แต่นามสกุลยังจำไม่ได้แล้ว

ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเคยเจอโม่ไฉ่เวยก่อนหน้านี้ เคยฟังเธอแนะนำตัวเอง แต่กลับไม่มีความทรงจำแม้แต่น้อยนิดเลย

ลู่หลันจือหันหน้ากลับไปดูโม่ไฉ่เวยอย่างตกตะลึง

ส่วนขณะนี้ สีหน้าของโม่ไฉ่เวยก็ขาวซีดทั้งหน้าเช่นกัน โบกมืออย่างตะลีตะลาน “ไม่…ฉันไม่ใช่…ฉันไม่ใช่…”

จิ่งหนิงค่อยๆ เดินเข้าใกล้ทีละก้าวๆ

เธอก้าวออกหนึ่งก้าว โม่ไฉ่เวยกับเชวซู่ก็ถอยหลังหนึ่งก้าว จนกระทั่งถูกบีบให้เข้ามุมผนัง

จิ่งหนิงยืนนิ่งๆ และถามอย่างเย็นชาว่า: “ทำไมไม่บอกฉันว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ ทำไมไม่กลับมา”

สีหน้าของโม่ไฉ่เวยตะลีตะลาน

ในที่สุดเชวซู่ก็อดอธิบายไม่ได้ “จิ่งหนิง คุณอย่ากดดันเธออีกเลย เธอจำอะไรไม่ได้แล้ว!”

จิ่งหนิงตะลึงหนักมาก เงยหน้าขึ้นมามองเธออย่างไม่น่าเชื่อ

คิ้วของเชวซู่ขมวดไว้แน่นๆ เหมือนตัดสินใจลงไปอย่างเด็ดขาดแล้วเช่นนั้น หายใจเข้าลึกๆ

“ถ้าคุณอยากรู้ว่าตกลงตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ลองนั่งลงมาเถอะ ผมสามารถเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหลายปีนี้ให้คุณฟังอย่างละเอียด”

หลังจากห้านาทีผ่านไป

ทุกคนนั่งลงมาแล้ว จิ่งหนิงทำหน้าเคร่งเคลิ้ม จ้องโม่ไฉ่เวยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา

ส่วนโม่ไฉ่เวยกลับนั่งอยู่ข้างเชวซู่อย่างตะลีตะลานและกระวนกระวายใจ ราวกับดึงฟางข้าวที่ช่วยชีวิตไว้ได้อย่างนั้น จับมือของเธอไว้แน่นๆ

เชวซู่ปลอบโยนเธอด้วยเสียงเบาอย่างอ่อนโยนและละเอียดรอยครอบกี่ประโยค จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา มองจิ่งหนิงที่อยู่อีกฝั่งตรงๆ

“ความจริงแล้วเรื่องนี้จะโทษคุณแม่ของคุณไม่ได้ ต้องโทษคุณพ่อที่ไร้จิตสำนึก ไร้มโนธรรมของคุณคนนั้น!”

เชวซู่พูดไปพูดมาก็ได้พูดเรื่องของตอนนั้นออกมาอย่างละเอียดแล้ว

จริงๆ แล้ว เมื่อจิ่งหนิงอายุมีแค่สิบเจ็ดปีในตอนนั้น โม่ไฉ่เวยได้เจอการมีชีวิตอยู่ของหยูซิ่วเหลียนกับจิ่งเสี่ยวหย่าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ

เธอกับจิ่งเซี่ยวเต๋อเป็นสามีภรรยากันเกือบยี่สิบปีแล้ว ก็นึกว่ารักกันดีมากมาตลอด สองคนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เธอก็เชื่อใจจิ่งเซี่ยวเต๋อมากมาตลอดเวลา ยิ่งกว่านั้นคือเอาธุรกิจทุกอย่างในบ้านส่งมอบให้เขาหมดเลย

แต่กลับคิดไม่ถึงเลย เขาหักหลังตัวเองมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พูดถึงเรื่องแอบนอกใจ ยิ่งกว่านั้นคือขนาดลูกยังโตเช่นนี้แล้วด้วย

โม่ไฉ่เวยรับแรงกระทบอันใหญ่หลวงนี้ไม่ไว้ ช่วงเวลานั้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่อยๆ ใช้แอลกอฮอล์ผ่านเวลาไปวันๆ

แต่ถึงแม้จะถูกโจมตีแรงแค่ไหน ด้วยนิสัยของเธอแล้วก็ไม่มีทางไปฆ่าตัวตายแน่นอน

ดังนั้น หลังจากเสื่อมโทรมได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว โม่ไฉ่เวยตัดสินใจทอดทิ้งการสมรสอันไร้ค่านี้ ขอหย่าร้างและให้จิ่งเซี่ยวเต๋อไปโดยไม่นำทรัพย์สินใดๆ ติดตัวออกไปในเวลาเดียวกัน

แต่คิดไม่ถึงเลย เมื่อเธอขอหย่าร้างกับจิ่งเซี่ยวเต๋อ จิ่งเซี่ยวเต๋อกลับไม่เห็นด้วย

และเขายังบอกเรื่องที่แอบโอนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทในหลายปีนี้ออกมาด้วย

ถ้าโม่ไฉ่เวยต้องหย่าร้างในเวลาแบบนี้ แล้วสิ่งที่โม่ไฉ่เวยจะได้ก็จะเป็นแค่เปลือกเปล่าอันหนึ่ง เธอจะไม่ได้ทรัพย์สินของบริษัทสักบาทเดียว ถึงตอนนั้นจิ่งเซี่ยวเต๋อยังสามารถพาหยูซิ่วเหลียนกับจิ่งเสี่ยวหย่ามาสร้างครอบครัวใหม่ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป

ส่วนเธอไม่เพียงแค่ไม่สามารถเอาทรัพย์สินก้อนที่เป็นของเธอกลับมาได้ และยังมีความเป็นไปได้ที่จะต้องแบกรับหนี้สินจำนวนเงินมหาศาล

เมื่อโม่ไฉ่เวยได้ฟังเรื่องเหล่านี้แล้วโมโหมาก

แต่บริษัทคืออุตสาหกรรมที่คุณพ่อเหลือไว้ให้เธอ เพราะเชื่อใจจิ่งเซี่ยวเต๋อจึงมอบให้เขาจัดการแทน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายกลับเป็นคนเนรคุณ กลืนทรัพย์สินของเธอไปแล้วไม่พอ ยังคิดจะให้เธอแบกรับหนี้สินห่วยแตกนั่นอีก

หลังจากโม่ไฉ่เวยผ่านความเจ็บปวดแล้วก็ได้ใจเย็นลง

เธอรู้สึกว่าจะให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตัวเองเป็นฝ่ายถูกกระทำมาตลอด เธอต้องเป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน หาหลักฐานที่จิ่งเซี่ยวเต๋อมีชู้และโอนย้ายทรัพย์สินให้ได้ ยื่นคำขออายัด จากนั้นเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเธอกลับคืนมาทั้งหมด

ดังนั้น ช่วงนั้นเธอได้เตรียมตัวไว้เยอะมาก จ้างคนสะกดรอยตาม และหาคนสืบสวนบัญชีส่วนตัวของจิ่งเซี่ยวเต๋อในหลายปีนี้

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท