วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 993 ปกป้องคนรักเสมอ

บทที่ 993 ปกป้องคนรักเสมอ

“นั่นสิ ตราบใดที่คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ครอบครัวของเราไม่ขาดเงินพวกนั้น”

ในเวลานี้ อย่างน้อยแล้วลู่หลันจือก็ได้พูดคำพูดที่คนพูดกัน ก็ได้ตามไปปลอบเขา

แท้จริงแล้วโม่ไฉ่เวยก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเงินหรอก

หลายปีที่ผ่านมานี้ แม้ว่าเชวซู่จะพาเธอไปซ่อนตัวอยู่ที่ทะเลทรายตลอด เขาเป็นคนที่ไม่แยแสต่อชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่อยู่ในสถานที่ที่แม้แต่นกก็ไม่วางไข่อย่างนั้นหรอก ด้วยความสามารถของเขา เงินเป็นสิ่งเดียวที่เขามีไม่ขาดมือเลย

แม้แต่ปราสาทในทะเลทราย ก็ยังมีกลุ่มคนรับใช้ ราวอย่างกับใช้ชีวิตอยู่ในสรวงสวรรค์

ฉะนั้นแล้ว คนอย่างโม่ไฉ่เวยจะไม่มีวันใส่ใจกับเงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้แน่นอน

เธอเพียงแต่ว่าตกใจกลัวเท่านั้นเอง บวกกับการที่เชวซู่ได้ไล่ตามออกไป เธอถึงเป็นห่วงเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล

แน่นอนว่าจิ่งหนิงก็ได้นึกถึงจุดนี้แล้ว

เธอหันไปมองลู่จิ่งเซิน “จิ่งเซิน คุณตามไปดูหน่อย อย่าปล่อยให้คุณอาเชวไปคนเดียว เกิดอะไรขึ้นคงไม่ดีแน่ ”

วันนี้พวกเขาออกมาเที่ยวกัน เพราะไม่อยากดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น จึงไม่ได้พาบอดี้การ์ดมาด้วย

ลู่จิ่งเซินพยักหน้าตอบรับ และได้สั่งให้ เจ้านายหยูคอยดูแลผู้หญิงทั้งสามไว้ก่อน แล้วจึงจะไล่ตามเขาไป

ก่อนวิ่งไล่เขาอย่างไม่คาดคิดได้ไม่ไกล จู่ๆ เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยอยู่ข้างหน้าเขา

กู้ซือเฉียนได้พาเฉียวฉีมาด้วย ทันทีที่มาถึงที่นี่ ก็เห็นใครบางคนรีบวิ่งไล่ตามมา ยังผลักเฉียวฉีล้มอีก

กู้ซือเฉียนนั้นเป็นคนที่คอยปกป้องคนรักอยู่เสมอ เกิดเรื่องแบบนี้แล้วใครจะไปทนได้

ดังนั้น เขายื่นมือออกมาโดยตรง แล้วฝ่ายตรงข้ามก็ถูกยับยั้ง

ในขณะนี้ เชวซู่ก็ได้ไล่ตามมาทันแล้ว และกำลังเจรจาอะไรกับกู้ซือเฉียนอยู่ที่นั่น

กู้ซือเฉียนได้ยินเขาพูดว่าชายคนนี้เป็นขโมย และเห็นว่าเขากำลังถือกระเป๋าเงินของผู้หญิงอยู่ในมือ หน้าของเขาก็ทรุดลงทันที และเขาก็เตะขาของฝ่ายตรงข้ามโดยตรง ทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง

อีกฝ่ายคงคาดไม่ถึง ว่าวันนี้ตัวเองจะเจอคนหน้าเย็นแบบนี้ ด้วยสถานการณ์ที่รีบร้อนอย่างนี้ จึงรีบโยนกระเป๋าในมือเข้าไปในฝูงชน

หลายคนประหลาดใจ

เชวซู่รีบวิ่งไปตามกระเป๋าในฝูงชนนั้น แต่ขโมยคนนั้น พอเห็นสายตาของพวกเขาเพ่งไปที่กระเป๋าใบนั้นกันหมด

ก็ได้ตั้งสติแล้ววิ่งหนีไป

แต่แค่เพียงยืนขึ้นมาเท่านั้น ยังไม่ทันได้วิ่งถึงสองก้าว ก็เจอกับการโดนเตะเข้าแล้ว เตะเข้าหาโดยตรงที่หน้าอก ทันใดนั้นเขาก็กระเด็นออกไปและร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างหนัก

ขโมยไอครั้งสองครั้ง สีหน้าเริ่มซีดเผือด แล้วลุกขึ้นไม่ไหวอีกเลย

กู้ซือเฉียนตกตะลึง และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาเห็นลู่จิ่งเซินกำลังเดินจากทางฝูงชนเข้ามาหา

ดวงตาเป็นประกาย

“ลู่จิ่งเซิน คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

ลู่จิ่งเซินก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

ไม่คาดคิดว่าแค่การที่ออกมาวิ่งไล่ขโมย และยังได้พบพวกเขาอีก

ขายกขโมยขึ้นจากพื้นดินแล้วยิ้มและพูดว่า:“ทำไมพวกคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”

กู้ซือเฉียนตอบกลับ:“ผมกับอะเฉียวมาทำธุระหน่อยน่ะ”

ขณะที่เขาพูด ก็ได้ส่งซิกด้วยนัยน์ตาของเขา

ลู่จิ่งเซินรู้ทันทีว่าเขากำลังจะทำเรื่องอะไรกัน

เพราะมีคนนอกอยู่ด้วย เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย และขณะนี้เชวซู่ก็ได้กระเป๋าคืนแล้ว เดินเข้ามา แล้วมองดูขโมยคนนั้นด้วยสีหน้าที่ไม่หวังดี

“ช่างกล้าฉกฉวยของอย่างเปิดเผยในตอนกลางวันแสก ๆเหรอ หึ!ผมว่าคุณคงเบื่อกับการใช้ชีวิตแล้วละสิ。”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ก็ยกกำหมัดขึ้นเพื่อจะซัดหน้าหัวขโมยคนนั้น

ขโมยสะดุ้งถอยหลังด้วยความตกใจ และถูกลู่จิ่งเซินหยุดเอาไว้

“คุณเชว ให้ผมแนะนำคุณก่อน นี่คือเพื่อนของผมกู้ซือเฉียน และนี่เฉียวฉี”

กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีก็ต่างทักทายเขากันหมด

เชวซู่มองดูพวกเขาอย่างว่อกแว่ก

แม้ว่าเขาจะซ่อนอยู่ในทะเลทรายก็ตาม แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับโลกภายนอกเลยสักนิดเดียว

ในทางตรงกันข้าม เขาผู้มีขนานนามว่าเป็นหมออัจฉริยะ จริงๆ แล้วคุ้นเคยกับกองกำลังสังคมอิทธิพลมืดมากกว่า

พอเห็นกู้ซือเฉียน และทันใดที่เขาได้ยินชื่อ ก็นึกขึ้นได้ทันทีกับบุคคลชื่อนี้

นัยน์ตานั้นเริ่มเย็นชาลง

เขาก็ไม่ซัดหน้าขโมยอีก บางหมัดลง และพูดอย่างเงียบ ๆ ว่า:“ที่แท้ก็เป็นหัวหน้ากลุ่มมังกรนี่เอง ช่วงนี้กลุ่มมังกรช่างมีชื่อเสียง และได้ชื่นชมมาช้านาน”

กู้ซือเฉียนยิ้มจางๆ “ถ้าเทียบกับหมออัจฉริยะแล้ว พวกเราก็แค่หาเช้ากินค่ำคุณเชวก็ถ่อมเนื้อถ่อมตัวเกินไป”

เมื่อลู่จิ่งเซินเห็นว่าทั้งฝั่งนั้นรู้จักกัน ก็ไม่ได้อธิบายอะไรมาก จับขโมยคนนั้น แล้วพูดว่า:“ในเมื่อคนนี้เป็นคนขโมยของของแม่ เอาเป็นว่าพาเขาไปด้วย ให้พวกเธอเป็นคนจัดการเลย”

เชวซู่พอได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว

แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ เขาพยักหน้าเห็นด้วย

กู้ซือเฉียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเกี่ยวกับแม่ของลู่จิ่งเซิน

อันที่จริง เขารู้ ว่าพ่อแม่ของลู่จิ่งเซินนั้นได้เสียชีวิต และไม่อยู่บนโลกนี้นานแล้ว

ถ้าเป็นเช่นนี้ คนที่ถูกเขาเรียกว่าแม่ได้อีก หรือว่า……

แต่มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะเป็นโม่ไฉ่เวยหรือว่ากวนจี้หวั่น ก็น่าจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาเรียกใครกัน?

ด้วยความสงสัย กู้ซือเฉียนและเฉียวฉีก็ได้เดินตามพวกเขาไปที่ตรงหน้าโรงละครกัน

ในที่โล่งข้างประตูนั้น จิ่งหนิงพวกเขาได้ยืนรออยู่ตรงนั้นอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่รอเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของทั้งสองคนเดินมาแต่ไกล

พวกเธอนั้นดีใจกันใหญ่ และรีบวิ่งเข้ามาทักทายพวกเขา

“เป็นยังไงบ้าง?ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

“จับขโมยได้แล้วหรือยัง?”

ลู่จิ่งเซินขว้างหัวขโมยที่เหี่ยวแห้งหมดเรี่ยวแรงไปต่อหน้าพวกเธอ“จับได้แล้ว”

เชวซู่ก็ได้นำกระเป๋าคืนให้กับโม่ไฉ่เวย“คุณลองเช็กดู ว่ามีอะไรขาดหายไปไหม?”

โม่ไฉ่เวยรับมา ได้ตรวจเช็กดูอย่างคร่าวๆ แล้วพยักหน้า

“ไม่มีอะไรขาดหายไป”

“งั้นก็ดี”เขานิ่งไปพักหนึ่ง แล้วมองดูขโมยคนนั้น สายตาช่างอำมหิต“ในตอนแรกผมจะซัดหน้าเขาสักทีหนึ่ง แต่ว่าลู่จิ่งเซินได้พูดว่า ของที่เขาขโมยเป็นของของคุณ จะให้ผมจับเขามาให้คุณลงโทษ คุณดูเลยว่าจะจัดการกับมันยังไงดี!”

โม่ไฉ่เวยได้ยินเช่นนี้ มองไปทางลู่จิ่งเซินอย่างซาบซึ้ง

เธอรู้ ว่าเชวซู่นั้นเป็นจิตใจดี แต่เป็นคนหัวดื้อเวลาทำเรื่องอะไรก็ตาม แล้วยังเป็นคนที่เกลียดคนชั่ว เสมือนเกลียดศัตรู

พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คือ เป็นคนที่IQสูง แต่EQต่ำนั่นเอง

เขาก็ไม่คิดดูดีๆ ด้วยที่ว่าสถานะเป็นหมออัจฉริยะของเขาเองนั้น ถ้าหากเกิดเรื่องลงมือทำร้ายคนที่เมืองTขึ้นมาจริงๆละก็ พอถึงเวลาแล้วก็จะเป็นปัญหากันอีก

แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวปัญหา แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงดีที่สุดใช่ไหม?

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่มีความผิดถึงตาย

โม่ไฉ่เวยมองดูขโมยคนนั้น เห็นว่าอีกฝ่ายอายุไม่มาก และดูเหมือนว่าเขากำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่น

รูปร่างค่อนข้างผอม ผิวคล้ำ และมองดูเธอด้วยสายตาที่ขี้อาย เพราะตัวเขาถูกลู่จิ่งเซินยกไว้ ในใจยังกล้าๆกลัวๆอยู่ และร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย

โม่ไฉ่เวยถามเขาด้วยเสียงที่นุ่มนวลว่า:“คุณชื่ออะไร?ทำไมถึงต้องมาขโมยของหรือ?”

อีกฝ่ายผวา และไม่ได้ตอบกลับ

เจ้านายหยูยิ้มและพูดว่า:“เด็กคนนี้ดูไปก็เป็นคนท้องถิ่น และผมเดาว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด เอาอย่างงี้ แล้วผมจะแปลให้คุณ”

เจ้านายหยูท่องทั่วพื้นที่ สำหรับภาษาของเมืองTแล้วก็คุ้นเคยมากพอสมควร

ในไม่ช้า ก็ได้ถามเขา

เด็กคนนี้ค่อยเข้าใจขึ้นมา แล้วพูดออกมาสองสามคำ

เจ้านายหยูพูดว่า:“เขาบอกว่าเขาชื่อข่าจา เขาไม่มีเงินแล้ว อยากได้เงิน ก็เลยไปขโมยของ”

โม่ไฉ่เวยขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อยากได้เงิน แล้วทำไมถึงไม่ทำงานล่ะ?หรือไม่ก็คนที่บ้านคุณอยู่ที่ไหน?ดูเหมือนคุณยังอยู่ในวัยรุ่น ไม่ได้ไปโรงเรียนหรือ?”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน