วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 1022 ก่อนไปทะเลทราย

บทที่ 1022 ก่อนไปทะเลทราย

บรรยากาศรอบๆรู้สึกโดดเดี่ยวกับทิวทัศน์ทะเลทราย

ทุกหนทุกแห่งล้วนเต็มไปด้วยพื้นที่สีเหลือง น้อยมากที่จะเห็นสีเขียว นานๆทีจะเห็นสักครั้ง นั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งเท่านั้น หากไม่ดูอย่างละเอียดก็คงจะไม่เห็นจริงๆ

จิ่งหนิงถอนหายใจอยู่ภายในใจ ที่แท้หลายปีที่ผ่านมานี้ แม่ของเธออาศัยอยู่ในสถานที่แบบนี้

เธอไม่ได้คิดว่าที่นี่ไม่ดี แต่รู้ภายในใจว่า แม่ของเธอตั้งแต่เล็กจนโต ในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโม่ มีเมื่อไหร่บ้างที่ไม่สูงส่งราวกับเงินและสวยราวกับหยก?

ต่อมาเมื่อได้แต่งงานกับจิ่งเซี่ยวเต๋อ จิ่งเซี่ยวเต๋อก็ไม่ได้ให้ใจหล่อนเต็มร้อยแต่ก็ไม่กล้าที่จะตัดญาติขาดมิตรกับเธอ

อย่างน้อยในการดำเนินชีวิต หล่อนก็ไม่เคยต้องลำบากใดๆ

แต่ว่าในสภาพทะเลทรายแบบนี้ แม้ว่าจะมีเงินมากมายขนาดไหน ต่อให้มีเงินมากกว่านี้ ทรัพยากรบางอย่างก็ยากที่จะซื้อหามาอยู่ในมือได้

แม่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก่อนหน้านี้สองสามปี คงจะยังไม่คุ้นชิน คงจะปรับตัวอยากอยู่

เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ความรู้สึกของเธอก็อดที่จะหดหู่ไม่ได้

ลู่จิ่งเซินราวกับพอรู้ความคิดของเธออยู่บ้าง จึงยื่นมือออกไปจับมือของหล่อนไว้ พลางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า:“อย่าคิดเพ้อเจ้อ อ่า?”

จิ่งหนิงหันไปมองที่เขา ครู่หนึ่งก็พยักหน้า

ผ่านไปอยู่นาน เด็กน้อยทั้งสองคนก็เล่นจนเหนื่อยแล้ว ทะเลาะจนเหนื่อยแล้ว พวกเขารู้สึกแปลกใหม่แค่ตอนเริ่มแรกเท่านั้น ต่อมาเมื่อเห็นรถวิ่งไปข้างหน้าไม่ยอมหยุด และหน้าต่างนอกจากทะเลทราย ก็เป็นเพียงดินสีเหลือง ไม่มีของอย่างอื่นแลยแม้แต่น้อย

ทำให้จู่ๆก็ขาดความสนใจ อีกทั้งอากาศที่ร้อนอบอ้าวคืบคลานเข้ามา ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งอย่างเซื่องซึมอยู่ในรถ

ลู่จิ่งเซินให้พวกเขามานั่งข้างๆตนเอง อุ้มเด็กหนึ่งคน และให้พวกเขานอนหลับในอ้อมกอดของตน

จิ่งหนิงก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

ในเมื่อเธอเป็นคนท้อง แม้แต่หลายปีมานี้หากมีพื้นฐานทางสุขภาพที่แข็งแรงสักเท่าไหร่ แต่ก็คงไม่สามารถทนต่อเส้นทางที่คลอนแคลนในระยะเวลาที่นานได้

ดังนั้น หลังจากประมาณครึ่งชั่วโมง สีหน้าของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป

ที่จริงแล้วลู่จิ่งเซินก็แอบสังเกตเธออยู่เงียบๆ เมื่อเห็นสีหน้าของค่อยๆซีดขาวขึ้น จึงพูดขึ้นอย่างเป็นกังวลว่า:“หนิงหนิง คุณเป็นยังไงบ้าง?ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

จิ่งหนิงส่ายศีรษะ

“ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่อยากอาเจียน”

เมื่อคีริมที่อยู่ด้านหน้าได้ยิน จึงหยิบน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมาจากตู้เย็นเล็กที่อยู่ข้างๆเขา พลางพูดขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า:“คุณหน้ามืดเพราะถูกแดดร้อนจัด ไม่เป็นไร ดื่มน้ำเย็นสักหน่อย เดี๋ยวอีกสักพักก็หาย เมื่อสักครู่นี้เพิ่งขึ้นมาจากทะเลทราย คนส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ ผ่านไปสักสองสามวันก็จะคุ้นชินไปเอง”

ลู่จิ่งเซินรับน้ำเย็นมาดื่ม รู้สึกเพียงว่าเมื่อถือขวดน้ำนั้นในมือ รู้สึกเย็นยะเยือกอย่างตกใจ

เขาเป็นกังวลว่าจิ่งหนิงมีอาการร้อนมาโดยตลอด หากจู่ๆดื่มน้ำเย็นเข้าไปจำนวนมาก ก็จะทำให้ลำไส้ของเธอถูกกระตุ้นได้

ดังนั้น จึงไม่ได้เปิดฝาขวดน้ำออกให้เธอดื่ม แต่กลับให้เธอน้ำขวดน้ำไปอิงที่หน้าผากเพื่อรับความเย็น

เมื่อคีริมเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงค่อยๆปรับอุณหภูมิลงเล็กน้อย

ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ไม่เห็นทรายสีเหลืองที่อยู่ด้านนอกหน้าต่างแล้ว

ในที่สุดรถก็วิ่งเข้าเมืองที่เต็มไปด้วยสีเขียว

คีริมบอกว่า เมืองนี้แม้ว่าจะเป็นเมืองใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้วด้านนอกเป็นทะเลทราย และมีเพียงพื้นที่เล็กๆเท่านั้นที่จะมีคนอาศัยอยู่

เนื่องจากสถานที่ๆอยู่ใกล้ๆนี้มีแม่น้ำอยู่หนึ่งสาย แม่น้ำสายนั้นมีประวัติความเป็นมากว่าสองพันกว่าปี บริเวณรอบๆมีผืนหญ้าเล็กๆอยู่ผืนหนึ่ง สีเขียวสวยงามเป็นอย่างมาก หากพวกเขามีเวลาว่าง และมีใจที่เอ้อระเหย ก็สามารถแวะไปดูได้

จิ่งหนิงและลู่จิ่งเซินไม่ได้พูดจาอะไร ตอนนี้จิ่งหนิงไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น นับตั้งแต่ที่เธอตั้งครรภ์ สถานการณ์ก็ไม่ดีมาโดยตลอด

เด็กน้อยทั้งสองที่อยู่ในท้องของเธอก็เงียบมาโดยตลอด ไม่เคยสร้างความวุ่นวายให้กับเธอ แม้แต่อาการอยากอาเจียนก็ไม่เคยมีมาก่อน

แต่ว่าการออกมาในครั้งนี้ กลับไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ความรู้สึกอยากอาเจียนถึงได้เกิดขึ้นตลอด อย่าพูดถึงว่าให้เธอต้องพูดคุยเลยแม้แต่แรงที่จะลืมตาก็ยังไม่มี

เนื่องจากลู่จิ่งเซินเป็นห่วงเธอ และก็ไม่ได้อยากที่จะพูด

เด็กน้อยทั้งสองคนที่อยู่ในท้องของเขาก็นอนหลับแล้ว อีกด้านหนึ่งเขาก็โอบกอดอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะสังเกตอาการของจิ่งหนิง ทำให้เขาต้องทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

แท้ที่จริงแล้ว ครั้งนี้โม่หนานก็อยากจะตามมาด้วย

แต่เป็นเพราะเป็นห่วงท่านปู่และท่านย่า ดังนั้นจึงให้โม่หนานอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลพวกเขา

แม้ว่าตระกูลจิ้นและท่านย่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ก็คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอก

แต่ถึงยังไงก็เป็นคนนอก และอยู่ในสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย หากข้างกายท่านย่าไม่มีคนที่สามารถไว้ใจได้ บางครั้งก็ลำบากพอสมควร

โม่หนานมีฝีมือในการต่อสู้ที่ไม่เลว ละเอียดอ่อน และที่สำคัญที่สุดก็คือซื่อสัตย์ ดังนั้นการที่ให้เขาอยู่ที่นั่นถือเป็นตัวเลือกที่ดี

รถได้วิ่งมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุด ก็มาจอดอยู่ที่ด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

จิ่งหนิงรู้สึกได้ว่ารถได้หยุดลง จึงเริ่มมีแรง และค่อยๆลืมตาขึ้น

เบื้องหน้าเห็นเพียงปราสาทสีขาว ซึ่งคล้ายกับปราสาทในยุคกลางของยุโรป มีหลังคาแหลม สวยราวกับในรูปวาด

ในเวลานี้เธอจึงได้พยายามทำตัวให้มีชีวิตชีวา และค่อยๆนั่งลงพลางเปิดผ้าม่านดูบรรยากาศภายนอก

เห็นเพียงพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่บริเวณด้านหน้าประตูที่สลักรูปดอกไม้ คีริมใช้ป้ายอะไรบางอย่าง เพื่อแสดงตัวตน คนพวกนั้นจึงได้เปิดประตูให้รถผ่าน ในเวลานี้คีริมจึงได้ค่อยๆขับรถเข้าไป

เมื่อขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ ก็เห็นบรรยากาศด้านในที่แตกต่าง

ในสถานที่แบบนี้ แน่นอนว่าดอกไม้ที่อ่อนแอก็คงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้

แต่ว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กระทบต่อทิวทัศน์ของที่นี่

เห็นเพียงพื้นที่สีเขียว ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และพืชไม้เตี้ย แต่ละต้นดูเหมือนว่าจะมีการออกแบบอย่างประณีต แม้แต่ที่ตั้งก็จัดวางไว้อย่างเรียบร้อย

พื้นที่ตรงกลางปูด้วยหินอ่อนที่มีความแวววาว และรถที่วิ่งอยู่ด้านบนนั้นก็ราวกับวิ่งอยู่บนกระจกสีขาว เปล่งประกายแสงที่กระทบจากพระอาทิตย์จนแสบตา

ในใจของจิ่งหนิงอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคหนึ่งว่า หลุมหลบภัย!

ที่นี่ราวกับหลุมหลบภัยจริงๆ!

คนที่ทราบก็คงรู้ว่าเธอมายังบ้านของหมอ ส่วนคนที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าที่นี่คือพระราชวัง

ไม่ผิดที่สไตล์ของที่นี่ ในใจของจิ่งหนิงก็รู้สึกว่าที่นี่เป็นเหมือนพระราชวังยุคกลางของตะวันตก

เมื่อรถขับตรงไปข้างหน้าประมาณห้าหกนาที สุดท้ายจึงหยุดอยู่ที่สิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่เบื้องหน้า

คีริมกระโดดลงจากรถ และเปิดประตูรถให้กับพวกเขา พลางยิ้มและพูดขึ้นว่า:“คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง พวกเรามาถึงแล้วครับ เชิญลงจากรถครับ”

ในเวลานี้ลู่จิ่งเซินจึงได้อุ้มเด็กลงจากรถ จิ่งหนิงเดิมตามอยู่ข้างหลัง คีริมเขยิบขึ้นมาข้างหน้าพลางโอบไหล่เธอ

หลังจากลงจากรถจิ่งหนิงจึงได้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งก่อสร้างที่อยู่เบื้องหน้าเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปของยุคเก่า เสาหินที่อยู่เบื้องหน้า ทุกการแกะสลักเหมือนของจริงเป็นอย่างมาก ราวกับเข้าไปอยู่ในแดนสวรรค์

คีริมเดินนำทางอยู่ข้างหน้า ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า:“เชิญตามผมมาครับ”

กลุ่มคนสองสามคนก็เดินตามเขาไปข้างหน้า

สถาปัตยกรรมเบื้องหน้าเป็นบันไดสูงประมาณยี่สิบสามชั้น

พวกเขาเดินได้เพียงครึ่งทาง ยังไม่ทันได้เดินขึ้นไปจริงๆ ก็ได้ยินเสียงเชิญของผู้หญิงดังออกมา

“หนิงหนิงมาถึงแล้วทำไมไม่บอก?ทำไมไม่รีบบอกฉัน?ฉันจะได้ออกไปรับพวกคุณ”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท