ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 136-1

ตอนที่ 136-1

ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 136-1 พูดไม่ได้
“สุดท้ายแล้ว เจ้าต้องการอะไรถึงซ่อนตัวตนของเจ้ากับนาง ถ้าเจ้าไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจน อย่าโทษข้าที่ปลิดชีวิตเจ้า!”

ฉินซีเงียบอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะพูดอย่างแผ่วเบา “ถ้าข้าไม่ปิดบังตัวเองกับนาง นางก็จะไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”

“อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง?” จงมู่หลิงประหลาดใจเล็กน้อยแต่ถามต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เจ้าคิดจะทำอะไรต่อหลังจากที่นางตัดสินใจอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”

ถึงแม้ฉินซีจะยิ้มออกมาได้อย่างบิดเบี้ยว แต่เขาก็ยังคงตอบออกมาอย่างขวานผ่าซาก “แล้วจะทำอย่างไรถ้านางไม่อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง”

หัวใจของจงมู่หลิงตกวูบ เขาเข้าใจได้ทันทีถึงความหมายแฝงในคำพูดของฉินซี ผู้ฝึกตนหญิงระดับการหลอมรวมพลังวิญญาณกับสภาพร่างกายที่พิเศษและไม่มีคนคอยอุปถัมภ์อยู่เบื้องหลัง นางจะมีชีวิตรอดได้นานแค่ไหนกันในโลกแห่งการฝึกตนนี้? ความคิดถัดมา เขายังเข้าใจอีกหนึ่งความหมายจากคำพูดของฉินซี ถ้าโม่เทียนเกอไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิง เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ก็จะไม่สามารถช่วยนางได้

น้ำเสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “เจ้ากำลังหมายความว่า เจ้าทำทั้งหมดนี้ด้วยเจตนาดีงั้นรึ?”

ครั้งนี้ฉินซีไม่ได้ตอบในทันที หลังจากครู่หนึ่งเขาก็พูด “ข้าไม่ทราบว่าท่านพี่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างข้ากับพ่อของนางหรือไม่”

โม่เทียนเกอคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นจงมู่หลิงจึงเปล่งเสียง “ฮึ่ม” และพูด “ข้าได้ยินมาแล้ว”

ฉินซีหัวเราะเบาๆ “มันมีเรื่องบางเรื่องที่นางเข้าใจไม่ชัดเจนนัก คาดว่าท่านพี่ก็คงยังไม่ทราบเช่นกัน” เขาหยุดเว้นระยะหนึ่งก่อนที่จะพูดต่ออย่างช้าๆ “เมื่อยี่สิบปีก่อน ก่อนที่พ่อของนางจะตาย เขาช่วยให้ข้าหนีรอดและบอกให้ข้าดูแลเมียและลูกสาวของเขา ในเวลานั้น เขาให้สัญญากับข้าอย่างหนึ่ง”

ด้วยความประหลาดใจ จงมู่หลิงถาม “สัญญาอะไร”

ฉินซีอธิบายอย่างช้าๆ ทีละคำพูด “ในอนาคต ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนร่วมสัมพันธ์ของนาง ข้าจะต้องเป็นคนตัดสินใจให้”

เมื่อเขาพูดจบ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ล้วนเงียบสงัดจนน่าขนลุก

ทันใดนั้น ก็เกิดความผันผวนของพลังวิญญาณ จงมู่หลิงมาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของฉินซีอย่างเงียบเชียบ ดูซีดเผือดอย่างที่สุด “ตัดสินใจจากเจ้า?”

ด้วยการสะบัดแขนเสื้อ แรงกดของพลังวิญญาณถูกปล่อยออก ฉินซีตกลงสู่พื้นอีกครั้ง เพิ่มอาการบาดเจ็บที่มีอยู่มากเข้าไปอีก

ท่าทางของจงมู่หลิงดูเซื่องซึม “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าพ่อของนางมอบนางให้กับเจ้างั้นรึ”

แม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส ฉินซีก็ยังคงยิ้มและตอบด้วยความเด็ดเดี่ยว “ท่านพี่จะแปลความเช่นไรก็ได้ตามที่ท่านต้องการ”

“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าตีความหมายว่าอย่างไร”

“ข้า?” ฉินซีเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ตรงมุมปากพร้อมลุกขึ้นนั่ง “ก่อนที่ท่านอาของนางจะตายจากไป ข้าได้ตกลงไว้แล้วว่าจะไม่บังคับหากนางไม่ยินดี”

จงมู่หลิงไม่พูดอะไรอีก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางครั้งเขาดูเข้มงวด และบางครั้งเขาดูผ่อนคลาย เขายังคงจ้องมองไปยังใบหน้าของฉินซีซึ่งแทบจะไร้ซึ่งสีเลือดแล้ว

ฉินซีไม่ได้มองที่เขา เขาไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อยและมีเพียงท่าทางที่สงบนิ่งบนใบหน้าของเขา

“อาหลิง!” ภายในกระท่อมเกิดการผันผวนของพลังวิญญาณอีกครั้ง หยวนเป่าผู้ซึ่งปรากฏขึ้นทันทีมองไปยังฉินซีด้วยท่าทางที่สนใจและพูดกับจงมู่หลิง “เจ้าไม่คิดหรือว่า… การฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้นเป็นความคิดที่ดี?”

ท่าทางของจงมู่หลิงเปลี่ยนไปอย่างไม่น่าดู เขาจ้องมองที่หยวนเป่าด้วยความโกรธ

หยวนเป่าเพียงแค่ยักไหล่ไม่สนใจและพูดด้วยท่าทางไร้เดียงสา “ก็ได้ การฝึกตนร่วมสัมพันธ์ไม่ใช่ความคิดที่ดี อย่างไรก็ตาม เจ้าเด็กคนนี้มีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่ในร่างและรากวิญญาณสองธาตุคือทองกับไฟ พลังหยางของเขาช่างน่าเกรงขามนัก ถ้าจะให้เขากลายเป็นมนุษย์ผู้หลอมละลายของเทียนเกอก็ไม่เลวเช่นกัน”

เมื่อได้ยินที่หยวนเป่าพูด ท่าทางของฉินซีเปลี่ยนไปในทันที เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังชายสองคนที่อยู่เบื้องหน้า

ท่าทางของจงมู่หลิงค่อยๆ สงบลง หลังจากพึมพำด้วยความลังเลครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยๆ พยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็ค่อนข้างมีเหตุผล”

หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงมองที่ฉินซีเหมือนกับว่าพวกเขากำลังตัดสินใจว่าเขาจะดีพอตามมาตรฐานของพวกเขาหรือไม่

พลังวิญญาณภายในร่างกายของฉินซีคลุ้มคลั่ง เพราะความโกรธกำลังก่อเกิดอยู่ภายในหัวใจของเขา เขากระอักเลือดออกมาทันที

หยวนเป่าส่งเสียง “จิ๊จ๊ะ” หลังจากนั้นจึงก้มลงจับมือของฉินซี พลังลมปราณจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างกายของฉินซี “มันคงจะไม่เหมาะที่มนุษย์ผู้หลอมละลายจะอ่อนแอเช่นนี้ อาหลิงให้ข้าดูแลเจ้าเด็กนี่เองดีไหม ฮิฮิ เขามีลูกประคำวิญญาณพลังหยางอยู่ในร่างกาย มันไม่ได้แตกต่างนักกับการมีร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์ เขาค่อนข้างเหมาะกับการเรียนไปจากข้า”

จงมู่หลิงส่งเสียง “ฮึ่ม” และสะบัดแขนเสื้อ เขาหายไปในทันใดจากภายในกระท่อมทิ้งไว้เพียงแต่เสียง “ถ้าเจ้าต้องการก็พาเขาไป จะมาขอข้าก่อนเพื่ออะไร”

“ร่างเตาหลอม…”

ฉินซีพูดพึมพำคำสองคำนั้นอย่างเงียบๆ และลืมตาขึ้น

เขาไม่เคยผ่านความอัปยศขนาดนี้มาก่อนในชีวิตนี้!

เขารู้ว่าถึงแม้ว่าชายทั้งสองคนนั้นจะทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะอันตราย แต่พวกเขาก็ได้มอบผลประโยชน์ให้กับเขามากมายเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีความซาบซึ้งใจระหว่างพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความเป็นปรปักษ์ศัตรูระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนั้นไปได้!

มนุษย์ร่างเตาหลอม… พวกเขาต้องการให้เขากลายเป็นร่างเตาหลอมจริงๆ!

ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก เขาก็ได้ฝึกปฏิบัติวิถีการฝึกตนด้านจิตใจของโรงเรียนลัทธิเต๋า ดังนั้นความคิดที่จะต้องใช้มนุษย์เตาหลอมนั้นไม่เคยผ่านเข้ามาในความคิดของเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวันที่ใครบางคนต้องการเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเตาหลอม!

ฉินซีหลับตาลงและพยายามที่จะสงบจิตใจ

ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาที่ภูเขาไท่คังตอนแปดขวบ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่จิตใจของเขาจะปะทุเดือดดาลได้เท่ากับในตอนนี้ ด้วยการอยู่กับผู้อาวุโสระดับจิตวิญญาณใหม่ ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วและไม่มีใครที่จะกล้าแสดงความเห็นต่อเขา แม้กระทั่งตอนที่เขาออกไปจากโรงเรียนด้วยตัวเอง เขาก็มักจะมีสิ่งของทรัพยากรทุกอย่างเพียงพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้

ในช่วงเวลาไม่กี่วันนั้น เทพผู้ฝึกตนเป็นที่รู้จักในนามหยวนเป่าส่งมอบคาถาและป้อนสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ให้เขามากมาย บางอย่างส่งผลทำให้เขาเจ็บปวดจนเขารู้สึกเหมือนจะตาย ในขณะที่บางอย่างส่งผลให้ระดับการฝึกตนของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเหมือนกับเป็นของเล่นที่จะถูกเล่นจนตาย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาจากมา หยวนเป่าหัวเราะคิกคักอย่างคึกคะนองและบอกเขาอีกว่าให้รีบก่อจิตวิญญาณใหม่เพื่อที่จะได้เป็นเตาหลอมที่ดีได้

การเรียกคืนถึงความทรงจำเหล่านั้น ฉินซีกำหมัดของเขาแน่นอีกครั้ง ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น

เตาหลอมมนุษย์! ความทะนงตนของเขาทำให้เขาไม่สามารถบอกท่านอาจารย์ของเขาได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงแค่ฝังมันเอาไว้ให้ลึกสุดในหัวใจ

คาถาที่หยวนเป่ามอบให้เขาส่งผลให้ร่างกายของเขาเหมือนร่างกายที่มีพลังหยางบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นในการข้ามผ่านแต่ละดินแดนของเขานั้นก็จะง่ายที่จะต่อกรด้วย สำหรับเขานี่เป็นข้อได้เปรียบมหาศาล หากพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ทำให้เจ็บแค้นใจ เขาคงจะรู้สึกขอบคุณพวกเขาอย่างมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ทำให้เขาอับอาย แต่ทำให้เขาต้องเป็นกังวลด้วย ถ้าทั้งสองคนนั้นต้องการที่จะทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ผู้หลอมละลายหลังจากที่การฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้น เขาควรจะทำอย่างไรดี

เขาไม่ได้ไม่ชอบโม่เทียนเกอ และเขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเขาเคยมีความคิดความรู้สึกที่แตกต่างเกี่ยวกับนาง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาอันสั้น ก่อนที่เขาจะบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่ เขาไม่สามารถมีจิตใจที่ว่อกแว่กในสิ่งอื่นได้ เรื่องการฝึกตนร่วมสัมพันธ์นั้นก็อยู่นอกเหนือความคิดเขา แต่เพียงแค่หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาจะต้องรู้สึกเขินอายอย่างที่สุดทุกครั้งที่เขาเจอนาง! ความรู้สึกน่าละอายนี้ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับนาง แต่มันทำให้เขาไม่อยากเจอนาง

เขาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานานว่าจะแก้ปัญหาได้อย่างไร ถ้าเขาฝึกคาถาต่อ พลังหยางของเขาก็จะพัฒนาจนร่างกายของเขาเข้าใกล้ร่างหยางบริสุทธิ์ และนั่นก็คงหมายถึง… เขาก็จะยิ่งเหมาะกับการเป็นเตาหลอมที่พวกเขาพูดถึง อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาไม่ฝึกมัน ความเร็วในระดับการฝึกตนของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นเร็วเท่านี้ เขาอาจจะติดอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่ ไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้ไปตลอดชีวิต…

ดังนั้นในที่สุดเขาจึงตัดสินใจว่าไม่เพียงแต่เขาจะฝึกคาถาต่อ แต่เขาจะรีบทำมันอย่างรวดเร็ว เขาจะก่อจิตวิญญาณใหม่ของเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากนั้นจะต้องเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพ มันจะต้องหลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเทพได้แล้วและสามารถควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองจึงจะลบความละอายใจนี้ไปได้!

ฉินซีหายใจเข้าลึก ยืนขึ้น และเดินออกจากถ้ำไป

บาดแผลของเขาหายดีหมดแล้ว ในสองปีที่ผ่านมา ระดับการฝึกตนของเขาพัฒนาขึ้นมาก หลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาสามารถเริ่มเตรียมตัวเพื่อที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง เขาเข้าใจในความสามารถของตัวเองดี เขาจะต้องใช้เวลาอีกประมาณยี่สิบถึงสามสิบปีในการเข้าถึงขั้นสูงสุดของดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง หลังจากนั้นเขาจึงจะพยายามก่อจิตวิญญาณใหม่ของตัวเอง ตอนนี้เขาอายุหนึ่งร้อยสี่สิบสามปี ด้วยการคาดคะเนว่าเขาจะใช้เวลาทั้งหมดอีกห้าสิบปี มันมีโอกาสอย่างมากที่เขาจะสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เมื่อเขาอายุราวๆ สองร้อยปี

จะอีกกี่ปีที่เขาจะต้องใช้หลังจากการเข้าสู่ระดับดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่นั้น เขาเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน

ประมุขแห่งเต๋าจิ้งเหอเข้าสู่ดินแดนแห่งจิตวิญญาณใหม่เมื่อเขาอายุสี่ร้อยปี และในตอนนี้เขาอายุมากกว่าแปดร้อยปีแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนจิตวิญญาณใหม่มามากกว่าสี่ร้อยปีเขาก็ยังคงอยู่แค่ขั้นกลางของดินแดนจิตวิญญาณใหม่ แม้กระทั่งตอนนี้ เขายังไม่สามารถเข้าถึงประตูแห่งขั้นสุดท้ายได้เลย

ความสามารถของฉินซีนั้นแย่กว่าอาจารย์ของเขามากนัก เขาสามารถเข้าถึงดินแดนในการฝึกตนระดับปัจจุบันได้เพราะมีลูกประคำวิญญาณพลังหยางในร่างกายของเขาและหัวใจที่มุ่งมั่น แต่หลังจากที่เขาเข้าสู่ดินแดนจิตวิญญาณใหม่ สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรกับเขาเพิ่มเติม…

เขายังคงเดินอย่างเลื่อนลอยเมื่อได้ยินเสียงดังข้างหน้าเขา เขาตกใจหยุดฝีเท้า ที่นี่คือ…

ลำนำสตรียอดเซียน

ลำนำสตรียอดเซียน

Status: Ongoing

โม่เทียนเกอ สาวน้อยผู้อาภัพ มารดาตายจากไปแต่ยังเยาว์ บิดาหายตัวไปแต่ก่อนที่นางจะลืมตาดูโลก วันหนึ่งพบว่าตนได้รับสืบทอดพลังปราณหยินจากบรรพบุรุษอันจะช่วยให้ฝึกตนจนบรรลุเป็นเซียนได้ ด้วยความกำพร้าแต่ยังเยาว์สอนให้นางมีจิตใจมุ่งมั่นหาญกล้า ทุกเมื่อเชื่อวันนางจึงไม่เคยปล่อยผ่านไปเปล่า เพียรฝึกตนอย่างไม่หยุดหย่อน

ทว่าอุปสรรคที่ผู้ฝึกตนหญิงต้องฝ่าฟันข้ามไปนั้นมีมากมายเหลือคณานับ ต้องมิขาดซึ่งพรสวรรค์วิชาฝึกตน ต้องมียาและศาสตราวิเศษ หาไม่แล้วก็จะฝึกตนให้สำเร็จได้อย่างล่าช้า อนึ่ง ต้องปราศจากซึ่งอารมณ์อ่อนไหว ใจเมตตา ความโลภโมโทสัน หากมีสิ่งเหล่านี้อยู่มากแล้วก็จะพบกับความตาย เหนืออื่นใดคือห้ามงามเกินไป ห้ามอัปลักษณ์เกินไป อย่าโง่งมเกินไป อย่าฉลาดเกินไป

โม่เทียนเกอเป็นหญิง ไหนเลยจะไม่ประสบปัญหาเหล่านี้ แม้หนทางจะโหดเหี้ยมไร้ปรานี แต่นางเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดเหนือไปกว่าความเพียรพยายาม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน