ลำนำสตรียอดเซียน – ตอนที่ 140-1 ผู้สืบสกุลแห่งตระกูลเยี่ย
ทันใดนั้นความคิดก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของโม่เทียนเกอ นางถาม “บ้านของเจ้าอยู่ที่ไหน”
เยี่ยเจินจีจ้องนางอย่างเหม่อลอย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร “บ้านของข้า?”
โม่เทียนเกอพูดซ้ำ “บ้านของเจ้าในโลกมนุษย์น่ะ”
ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าเจตนาของปรมาจารย์ผู้นี้คืออะไร เขาก็ยังตอบอย่างซื่อตรง “บ้านของข้าอยู่ในเขตถงอันในแคว้นเว่ย ท่านปรมาจารย์เคยได้ยินไหมขอรับ”
“เขตถงอัน แคว้นเว่ย…” โม่เทียนเกอพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้ว นางคิดว่ามันเหมือนจะเป็นที่ที่ท่านอาที่สองเคยพูดถึงมาก่อน ดังนั้นนางจึงลองถามอีกคำถาม “เจ้าเคยได้ยินชื่อเยี่ยเฉิงหรือไม่”
เยี่ยเจินจีดูงุนงง “ชื่อนี้…เหมือนจะเป็นชื่อของอากงหัวหน้าตระกูล แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ…”
อากงหัวหน้าตระกูล… ท่านอาที่สองย้ายตระกูลเยี่ยลงจากเขาชิงเหมิงประมาณยี่สิบปีมาแล้ว ในตอนนั้นหัวหน้าของตระกูลเยี่ยในโลกมนุษย์ เยี่ยเฉิงอยู่ในช่วงอายุสี่สิบปีและมีรากวิญญาณห้าธาตุที่อ่อนแอ เขาน่าจะอยู่ในช่วงอายุประมาณหกสิบแล้วในตอนนี้
“ก่อนอื่นเล่าให้ข้าฟังเกี่ยวกับตระกูลของเจ้าหน่อย”
ความระแวงเล็กน้อยปรากฏขึ้นในสายตาของเยี่ยเจินจี “ท่านปรมาจารย์ ท่านอยากรู้เรื่องอะไรขอรับ”
โม่เทียนเกอจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ระแวงนาง นางยิ้มและพูดว่า “เอาน่า อย่างกับว่าข้าจะอยากได้อะไรจากครอบครัวเจ้าอย่างนั้นล่ะ อย่าคิดมากไป ข้าแค่อยากให้เจ้าบอกข้าเกี่ยวกับพวกเขา”
หลังจากไตร่ตรองอยู่พอสมควร เยี่ยเจินจีคิดว่าที่โม่เทียนเกอพูดก็มีเหตุผล ปรมาจารย์ท่านนี้เป็นศิษย์ภายในชั้นสูงของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ ตระกูลที่กำลังตกต่ำของเขาจะมีอะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจนางได้? ดังนั้นเขาจึงถามต่อ “ท่านปรมาจารย์อยากรู้อะไรขอรับ”
“… เจ้าบอกอะไรข้ามาก็ได้ ตัวอย่างเช่น สถานการณ์ของตระกูลเจ้า ตระกูลเจ้ามาจากคุนอู๋เหมือนกันหรือไม่”
“อืม” เพราะพวกเขาพูดกันถึงอดีตของตระกูล รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยี่ยเจินจี เขาพูดอย่างภูมิใจ “ท่านพ่อข้าบอกว่าตระกูลเราเคยอยู่ในคุนอู๋มาก่อนและมีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังหลายคนในหมู่บรรพบุรุษของเรา ท้ายที่สุดเรามีพี่ชายของอากงที่ก่อขุมพลังของเขาได้สำเร็จในช่วงอายุร้อยปี ในตอนนั้นชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งคุนอู๋ฝั่งตะวันตก!” หลังจากเขาพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าเสียใจของเขาก็ปรากฏขึ้น “โชคร้ายที่พี่ชายของอากงท่านนี้ตายไปเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นเราก็ไม่มีคนในตระกูลมากมายขนาดนั้นตั้งแต่แรก คนที่มีรากวิญญาณก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ และเป็นเช่นนั้นเองตระกูลของเราก็เริ่มตกต่ำ”
“งั้นก็หมายความว่า… ไม่มีผู้ฝึกตนในตระกูลเจ้า? “
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น…” เยี่ยเจินจีเอียงหัวอย่างไม่รู้ตัวขณะที่พูด “ที่จริงข้าก็ไม่แน่ใจนัก ท่านพ่อข้าบอกว่าตอนนั้นเรายังมีพี่ชายของอากงที่เป็นผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลัง พี่ชายอากงคนนั้นส่งเรามาที่โลกมนุษย์แต่หลังจากนั้นก็จากไปในทันที ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายอากงท่านนั้นก็แก่มากแล้ว ตลอดหลายปีมานี้เขาไม่เคยติดต่อพวกเราเลย ดังนั้นเราจึงไม่มั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“พี่ชายอากงท่านนั้นของเจ้าไม่ได้ทิ้งเครื่องรางเรียกขานหรืออะไรไว้เลยหรือ”
“คือ… ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก่อนข้าจะเกิดและท่านพ่อข้าก็ไม่ได้บอกรายละเอียดให้ข้าฟังมากมาย”
เป็นธรรมดาที่เด็กจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่ว่ากรณีใด โม่เทียนเกอก็ค่อนข้างแน่ใจเกี่ยวกับตระกูลของเด็กคนนี้แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไรอีก นางเพียงแค่ชูนิ้วขึ้นและบีบหยดเลือดออกมา ด้วยพลังวิญญาณของนาง นางเล็งหยดเลือดให้ไปทางเด็กคนนั้น
“ท่านปรมาจารย์ ท่าน…” เยี่ยเจินจีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดจบประโยค หยดเลือดนั้นก็ได้พุ่งเข้าหาเขาและหายไปในช่วงหว่างคิ้วเขา
โม่เทียนเกอรู้สึกได้ถึงเลือดสกัดที่เข้าสู่หว่างคิ้วเขาได้โดยไม่มีอะไรขัดขวาง ยิ่งไปกว่านั้นมันยังสามารถรวมเข้ากับเลือดของเขาได้อย่างง่ายดาย เด็กคนนี้…เป็นเครือญาติของนางอย่างแท้จริง
“ท่านปรมาจารย์…” ทันทีหลังจากที่เขาได้สติ เยี่ยเจินจีจ้องมองนางด้วยความกลัว “นั่นคืออะไร…”
โม่เทียนเกอเองก็มองเขาเช่นกัน ที่จริงแล้วตัวนางก็ค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกัน คุนอู๋นั้นกว้างใหญ่ แต่เด็กจากตระกูลเยี่ยก็ยังบังเอิญมาอยู่ที่โรงเรียนเสวียนชิงได้อย่างไม่น่าเชื่อ!
“หยดเลือดแบบนั้นใช้เพื่อยืนยันญาติของเจ้า”
“หา?” เยี่ยเจินจีสับสนอย่างที่สุด หยดเลือดใช้เพื่อยืนยันญาติ?
“ความจริงที่เลือดสกัดของข้าเข้ากันได้กับเลือดของเจ้าและไม่ถูกร่างกายของเจ้าต้านทานก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราเกี่ยวดองกันทางสายเลือด”
ครั้งนี้เยี่ยเจินจีตกตะลึงถึงที่สุด
โม่เทียนเกอมองเขา “ข้าไม่รู้ว่าเราควรจะเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไรดี แต่พี่ชายอากงที่อยู่ระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังที่เจ้าบอกว่าตายไปเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นน่าจะเป็นพ่อของข้า”
…
“อาจารย์ลุง ท่าน…” เมื่อโม่เทียนเกอเข้าไปที่โถงด้านข้างของตำหนักซ่างชิง ซิ่วฉินถึงกับงุนงงที่เห็นนางพาเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาด้วย
ตั้งแต่โม่เทียนเกอให้บทเรียนกับพวกนาง ฉิน ฉี ซู และฮว่าก็ประพฤติตัวดีขึ้นมาทันที หลังจากได้ยินเกี่ยวกับความสามารถของนาง แม้แต่สาวใช้อีกสิบสองคนก็ยังยั้งความยโสของพวกนางเอาไว้ พวกนางไม่ซุบซิบต่อหน้านางและยังพูดกับนางด้วยท่าทีที่มีความเคารพขึ้นมาก
โม่เทียนเกอชำเลืองมองนางด้วยหางตา “นี่คือเหลนชายของข้า ข้าตั้งใจพาเขามาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อท่านอาจารย์”
“เหลนชาย!?” ซิ่วฉินพูดไม่ออก ปรมาจารย์โม่คนนี้แค่ไปที่โถงเหมิงเสวีย แต่นางกลับพาเหลนชายกลับมาด้วยน่ะรึ? ถึงอย่างนั้นนางก็ยั้งไว้ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดและเพียงแค่โค้งให้โม่เทียนเกอ “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านปรมาจารย์อยู่ในโถงหลัก อาจารย์ลุงเชิญไปทำความเคารพเขาได้เจ้าค่ะ”
“อืม” ไม่อยากจะเสียเวลาของนางที่นั่น โม่เทียนดึงเยี่ยเจินจีไปด้วยและเดินผ่านซิ่วฉินไปทันที
เยี่ยเจินจีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขามองกลับไปที่ซิ่วฉินและเมื่อพวกเขาเดินห่างออกมาค่อนข้างไกล เขากระซิบกับโม่เทียนเกอ “ท่านปรมาจารย์ ท่านน่าทึ่งจริงๆ! ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นอาจารย์ลุงที่มักจะอยู่ข้างกายท่านผู้มีอำนาจจิ้งเหอที่โถงเหมิงเสวียเพื่อมาส่งข้อความ นางไม่แม้แต่จะมองผู้จัดการของเราด้วยซ้ำ!”
โม่เทียนเกอเพียงแค่เผยรอยยิ้มบางๆ ผู้จัดการของโถงเหมิงเสวียเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนการสร้างฐานแห่งพลังขั้นต้นธรรมดา เพราะงั้นทำไมผู้หญิงพวกนี้จะต้องให้ความเคารพเขามากมายด้วย พวกนางอยู่ข้างกายผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่มานานเสียจนแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังธรรมดาก็ยังไม่สามารถทำให้พวกนางประทับใจได้ ยิ่งผู้ฝึกตนระดับการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาก็ยิ่งแล้วใหญ่
เยี่ยเจินจียังคงมองรอบตัวเขาต่อไป เขารู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก ตั้งแต่เขามาถึงที่โรงเรียนเสวียนชิง เขาเพิ่งเคยมาที่โถงหลักของยอดเขาหลักแค่ครั้งเดียวและใช้เวลาที่เหลือของเขาอยู่ที่โถงเหมิงเสวีย ไม่ต้องพูดถึงถ้ำเซียนของผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่เลย เขายังไม่เคยเห็นถ้ำเซียนของอาจารย์ลุงระดับการสร้างฐานแห่งพลังธรรมดาด้วยซ้ำไป
เมื่อมองเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและร่าเริงเบื้องหน้านาง โม่เทียนเกออดที่จะหัวเราะไม่ได้ ตั้งแต่พวกเขาเริ่มรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นญาติของตน เด็กคนนี้ก็อยู่ในสภาวะตื่นเต้นมาก เดิมเขาคิดว่าเขาไม่มีคนหนุนหลังและถูกคนอื่นรังแกอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ต้องแปลกใจ จู่ๆ เขาก็มีโชคชะตาที่ดีได้เป็นญาติของท่านปรมาจารย์ เมื่อเขาพบว่าผู้สนับสนุนของเขาดีกว่าของพวกเด็กที่รังแกเขามาก เขาก็ยิ่งสุขใจมากจนไม่รู้จะพูดอะไร พอนึกถึงการที่เยี่ยเจินจียืนตัวตรงอย่างภูมิใจเมื่อนางอธิบายเรื่องนี้ให้กับศิษย์ผู้ดูแลที่โถงเหมิงเสวียฟัง โม่เทียนเกอคิดว่ามันค่อนข้างน่าขันและน่าสงสารไปด้วยพร้อมๆ กัน
“เจินจี เราไม่สามารถยืนยันตำแหน่งของข้าและความสัมพันธ์ของพวกเราในลำดับชั้นของตระกูลได้ และข้าก็อายุมากกว่าเจ้าสิบกว่าปีเท่านั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้าควรเรียกข้าว่าอาดีกว่า เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าปรมาจารย์อีกแล้ว”
“โอ้…” เยี่ยเจินจีเงยหน้าจ้องนาง ไม่นานจากนั้น เขาเรียกนางด้วยเสียงเบา “ท่านอา…”
โม่เทียนเกอลูบหัวเขาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกร็งนักหรอก ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”
พอโม่เทียนเกอพูดเช่นนี้ ในที่สุดเยี่ยเจินจีก็กล้าขึ้นเล็กน้อย “ข้าเข้าใจท่านอา ในอนาคตข้าไปอยู่กับท่านได้ไหม”
“… อืม นั่นไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่สำหรับตอนนี้เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้ผู้มีอำนาจทราบก่อน” อันที่จริงโม่เทียนเกอก็ไม่ค่อยแน่ใจกับเรื่องนี้เช่นกัน ตัวตนของนางตอนนี้แตกต่างไป ว่ากันตามเหตุผล มันไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไรนักหากนางอยากจะดูแลใครสักคนจากรุ่นหลังของตระกูลนาง แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้นางก็อาศัยอยู่ในถ้ำเซียนของประมุขเต๋าจิ้งเหอ ท่านอาจารย์คนนี้ของนางไม่ใช่คนที่จะทำอะไรตามตำรา ดังนั้นมันจึงยากที่จะบอกได้
“ท่านอา…” เยี่ยเจินจีเงยหน้าอีกครั้ง มองนางและถามด้วยความกังวล “นี่จะทำให้เรื่องต่างๆ มันยากขึ้นสำหรับท่านหรือเปล่า”
“เอ๋?” โม่เทียนเกอค่อนข้างประหลาดใจ เด็กคนนี้ฉลาดขนาดนี้เลยหรือ ข้าแค่ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น…
เยี่ยเจินจีพูด “ท่านอา ถ้าท่านมีปัญหาก็ไม่เป็นไรจริงๆ ถ้าท่านจะไม่ดูแลข้า ตอนนี้พวกเขารู้กันหมดแล้วว่าท่านคือผู้อาวุโสของข้า เพราะงั้นพวกเขาไม่กล้ารังแกข้าอีกแน่นอน”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาก็ทำให้โม่เทียนเกอยิ้มได้ จากนั้นนางตอบด้วยท่าทางจริงจังแบบเดียวกัน “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เดี๋ยวเราก็รู้หลังจากเราได้เจอท่านผู้มีอำนาจแล้ว”
“อืม”
ขณะที่คุยกันไปพวกเขาก็มาถึงที่โถงหลักโดยไม่รู้ตัว
ในตำหนักซ่างชิงทั้งหมด มีเพียงสาวใช้พวกนั้นที่อยู่รอบๆ นอกเหนือจากตัวท่านประมุขเต๋าจิ้งเหอเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องผ่านคนอื่นๆ อีกถ้าพวกเขาต้องการเข้ามารายงานตัว
เมื่อนางเดินนำเยี่ยเจินจีเข้าไปในโถง นางเห็นประมุขเต๋าจิ้งเหอยังคงเอนหลังอยู่บนตั่งมังกรของเขา เพลิดเพลินกับการดูแลจากสาวใช้และกำลังอ่านหนังสือที่ไม่รู้จัก พร้อมกับพึมพำบางอย่างไปด้วย
“ท่านอาจารย์”
ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ละสายตาจากหนังสือของเขาด้วยซ้ำตอนที่เขาตอบว่า “โอ้ เจ้ากลับมาแล้ว ทำไมเจ้าพาตัวเล็กนั่นกลับมาด้วยล่ะวันนี้”
โม่เทียนเกอปล่อยมือเยี่ยเจินจีและบอกใบ้เขาด้วยสายตา เด็กคนนี้ฉลาดมาก เขารีบคุกเข่าและก้มหัวคำนับทันที “เยี่ยเจินจีขอคารวะท่านผู้มีอำนาจ”
โม่เทียนเกอกล่าว “ท่านอาจารย์ เด็กคนนี้เป็นญาติของข้า ข้าจึงอยากจะพาเขามาด้วยและสอนเขาด้วยตัวเอง ข้าหวังว่าท่านอาจารย์จะอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้”
“เอ๋?” รู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ประมุขเต๋าจิ้งเหอละสายตาจากหนังสือของเขาในที่สุดและจ้องมองพวกเขา เขาโบกมือไปที่เยี่ยเจินจีเพื่อส่งสัญญาณให้เขาลุกขึ้นจากนั้นหันมามองโม่เทียนเกอ “เกิดอะไรขึ้น เด็กคนนี้มาจากไหน”
โม่เทียนเกอเล่าเรื่องอย่างใจเย็น “ตอนข้าไปที่โถงเหมิงเสวียวันนี้ ข้าบังเอิญเห็นเด็กคนนี้กำลังถูกเด็กคนอื่นรังแก ข้าจึงผ่านไปช่วยเขา หลังจากเราได้คุยกันข้าก็รู้ว่าเด็กคนนี้มาจากตระกูลของข้าในโลกมนุษย์อย่างไม่น่าเชื่อ”
“โอ้? บังเอิญจริง” ประมุขเต๋าจิ้งเหอไม่ได้สนใจในรายละเอียดเล็กน้อยไม่สำคัญพวกนี้เท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าเยี่ยเจินจียืนขึ้นและไปหลบหลังโม่เทียนเกออย่างเหนียมอายทันที ความสนใจของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา “เด็กน้อย มานี่สิ มาให้ข้าดูหน่อย”
เยี่ยเจินจีเงยหน้าขึ้นและมองโม่เทียนเกอ หลังจากที่เขาเห็นนางพยักหน้าเขาจึงเดินไปทางข้างๆ ประมุขเต๋าจิ้งเหออย่างระมัดระวัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่ ช่างเป็นคนที่ยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้…
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้ดูดีทีเดียว เขาดูค่อนข้างคล้ายเจ้า” ขณะที่ประมุขเต๋าจิ้งเหอพูด เขาคว้าข้อมือเยี่ยเจินจี “ต้นทุนของเขาด้อยไปหน่อย รากวิญญาณสามธาตุ… อืม โชคดีที่รากวิญญาณแต่ละธาตุมีคุณภาพค่อนข้างดี ดังนั้นการพัฒนาสู่ดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังก็ไม่น่ามีปัญหา ถ้าเจ้าขยันมากพอ การก่อขุมพลังของเจ้าก็ไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้”
ดวงตาของเยี่ยเจินจีเบิกกว้าง เมื่อท่านผู้มีอำนาจพูดว่าต้นทุนของเขาค่อนข้างด้อย เขาไม่ได้เจ็บปวดแม้แต่นิดเดียวเพราะเขารู้ว่าศิษย์ทุกคนที่เข้าโรงเรียนเสวียนชิงล้วนมีต้นทุนที่ยอดเยี่ยม ด้วยรากวิญญาณสามธาตุของเขา เขาเกือบจะไม่มีคุณสมบัติผ่านเข้าโรงเรียนได้ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ท่านผู้มีอำนาจบอกว่าเขาอาจจะก่อขุมพลังของเขาได้ถ้าขยันมากพอ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยนึกคิดในจิตใจมาก่อนเลยสักครั้งเดียว!
“เท่านี้ก็พอล่ะ สำหรับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ เจ้าทำได้ตามที่เจ้าเห็นสมควร” ประมุขเต๋าจิ้งเหอปล่อยข้อมือเยี่ยเจินจีและนอนเอนลงบนตั่งอีกครั้ง “เจ้ายังไม่ได้ก่อขุมพลังของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะรับศิษย์ แค่ให้เขาอยู่ข้างๆ เจ้าไปก่อนแล้วกันสำหรับตอนนี้”
เมื่อได้รับอนุญาต โม่เทียนเกอรู้สึกมีความสุข “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์”
“หึหึ ขอบคุณข้า? แต่เจ้าน่ะก็สบถด่าข้าอยู่ลับหลังเหมือนกันไม่ใช่รึ ลืมมันซะ!” ประมุขเต๋าจิ้งเหอโบกมือ “กลับไปได้แล้ว”
แม้ว่าจะถูกเปิดโปงต่อหน้าทุกคน แต่โม่เทียนเกอก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรืออับอาย อย่างไรเสีย มันก็เป็นความจริงที่ท่านอาจารย์ขี้งกของนางเป็นชายแก่ไร้เหตุผลที่ทำตัวไม่รู้จักโต นางเพียงแค่ทำความเคารพครั้งสุดท้ายและขอตัวออกมาพร้อมกับเยี่ยเจินจี
“เจินจี ท่านผู้มีอำนาจตกลงแล้ว ดังนั้นเจ้าอยู่กับอาได้นับแต่นี้ไป ข้าจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้าก็ต้องขยันด้วยนะ เข้าใจไหม”
“อืม!” ใบหน้าของเยี่ยเจินจีแดงจากความตื่นเต้น ผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่! ข้าได้เห็นผู้มีอำนาจระดับจิตวิญญาณใหม่จริงๆ! ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงบางสิ่งขึ้นมา เขาจึงถามว่า “ท่านอา ในวันข้างหน้าข้ายังต้องไปที่โถงเหมิงเสวียอีกไหม”
“แน่นอน ต้องไปสิ” โม่เทียนเกอบอก “เจ้ายังไม่ได้ศึกษาคัมภีร์แห่งเต๋าจนครบเลย เจ้าต้องไปต่อ เป็นอะไร เจ้าไม่อยากไปงั้นหรือ”
“ไม่ๆ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เยี่ยเจินจีโบกมือไปมา รอยยิ้มอายๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เขาพูดอย่างเขินๆ “ท่านอา ความจริงแล้วข้าอยากไป ข้ามีท่านอยู่ด้วยแล้วตอนนี้ เพราะงั้นจี้อันและคนอื่นๆ ก็จะไม่กล้ามารังแกข้าอีกแล้วแน่นอน! ข้าอยากไปเห็นว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างไร!”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด โม่เทียนเกอก็ระเบิดหัวเราะออกมา เป็นไปตามคาด เด็กหนอเด็ก ก่อนหน้านี้เขามักจะถูกรังแกเสมอ เพราะฉะนั้นตอนนี้เขาจึงอยากจะเดินชูคออย่างผึ่งผายบ้าง
นางพยักหน้า “การแก้แค้นไม่ผิดแต่เจ้าต้องไม่หมกมุ่นกับมันเกินไป เข้าใจไหม”
“อืม!”