หลิ่วเอ๋อเห็นความผิดปกติบนใบหน้าของอ๋องฉี จึงกล่าวกับสาวใช้: “เจ้านึกย้อนกลับไปหน่อย คนผู้นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะอะไร?”
สาวใช้กลับหัวเราะขึ้นมาแล้ว “ท่านชาย ท่านไม่ได้บอกว่าเป็นเพื่อนของท่านหรือเจ้าคะ? ทำไมแม้แต่ท่านก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครล่ะเจ้าคะ?”
อ๋องฉีหยิบป้ายคำสั่งของกรมการพระนครออกมา กล่าวอย่างเคร่งขรึม: “ข้าเป็นคนของกรมการพระนคร กำลังไล่ตามสืบจอมโจรผู้หนึ่ง ได้รู้มาว่าเขาเคยขึ้นเรือสำราญมาก่อน ดังนั้นข้าจึงมาตรวจสอบที่นี่สักหน่อยว่าได้ทิ้งเบาะแสหรือไม่ เจ้าสนใจเพียงแค่นึกย้อนไปดีๆหน่อยว่าคนผู้นี้มีอะไรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว”
ได้ยินว่าเป็นคนของที่ทำการปกครอง หลิ่วเอ๋อและสาวใช้ล้วนตกตะลึงทันที มีท่าทางนอบน้อมขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“หรือว่าจอมโจรผู้นี้ก็คือคนที่สังหารนางชุน?” หลิ่วเอ๋อสีหน้าซีดขาว กล่าวกับสาวใช้ว่า: “เจ้าต้องรีบคิด หากว่าสืบหาฆาตกรออกมาได้ ก็จะได้เป็นการล้างแค้นเพื่อนางชุนนะ”
หลิ่วเอ๋อพยายามนึกย้อนไป ยังคงนึกลักษณะเฉพาะตัวอะไรไม่ออก กล่าวด้วยความท้อใจ: “คนผู้นั้นอายุประมาณสี่ห้าสิบปี ท่าทางไม่ได้ดูแก่มาก จอนหูมีผมขาว บนมือสวมแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มือนิ้วหนึ่ง ที่เหลือ นึกไม่ออกแล้วจริงๆเจ้าค่ะ”
หลังจากที่อ๋องฉีกลับมาจากแม่น้ำซีซู ก็ตรงกลับกรมการพระนคร
เขานั่งขวัญหนีดีฝ่ออยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลานาน แค่บอกต่อคนด้านนอกว่า หากรัชทายาทกลับมา บอกรัชทายาทให้ไปหาเขาที่ห้องหนังสือ
เกือบห้าทุ่มถึงตีหนึ่งหยู่เหวินเห้าเพิ่งจะกลับถึงที่ทำการกรมการพระนคร ได้รู้ว่าอ๋องฉีรอเขาอยู่ในห้องหนังสือ จึงดื่มน้ำเหยือกหนึ่งแล้วไปหาเขาในห้องหนังสือ
เห็นอ๋องฉีสีหน้าซีดเผือด เขาเดินเข้าไปถาม: “เป็นอะไรหรือ?”
อ๋องฉีเงยหน้าขึ้น แม้แต่จะหายใจก็ค่อนข้างลำบาก “ท่านพี่ห้า วันนี้ข้าไปที่เรือสำราญทางนั้น เก็บของชิ้นนี้ได้จากด้านในเรือสำราญ ท่านดู”
มือที่สั่นเทาของเขา เอาป้ายเหล็กนิลชิ้นนั้นออกมาจากในหน้าอก วางบนโต๊ะ จากนั้นก็หดมือไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าป้ายเหล็กนั้นร้อนลวกคนเช่นนั้น
หยู่เหวินเห้าเหลือบไปมองแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนไปมาก เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาค้นหาอักษรสลักทันที ขณะที่เห็นอักษรสามตัวนี้ เขาตกใจมาก
“ป้ายเหล็กนิลนี้ เป็นตอนที่เสด็จทวดยังมีพระชนม์ชีพอยู่ได้พระราชทานไว้ รวมทั้งหมดก็ห้าชิ้น” หยู่เหวินเห้ามองดูอ๋องฉี “เจ้าหาได้จากในเรือสำราญหรือ?”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ที่แท้ในวันที่แปดของคืนเดือนแรกสาวใช้ของนางชุนป่วยไม่ได้ไปปรนนิบัติดูแล จึงเรียกให้สาวใช้อีกผู้หนึ่งไป สาวใช้ผู้นั้นบอกว่าเก็บป้ายเหล็กนิลชิ้นนี้ได้ในคืนวันนั้น”
อ๋องฉีมองดูหยู่เหวินเห้าด้วยความรู้สึกใจหวิวและงุนงง “ท่านพี่ห้า อักษรสามตัวบนป้ายเหล็กนิลนี้ นี่คือเสด็จพ่อนะพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าถามทันที: “เจ้าได้ให้ผู้ใดดูป้ายนี้มาก่อนหรือไม่?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องฉีส่ายหน้าทันที “ข้าจะกล้าให้คนอื่นดูที่ไหนกัน? หยิบป้ายแล้วข้าก็กลับมาทันที ข้ายังได้วาดรูปเหมือนของเสด็จพ่อออกมาให้สาวใช้ผู้นั้นดูอีกด้วย สาวใช้บอกว่าเหมือนมาก แต่ไม่มั่นใจ”
หยู่เหวินเห้าตำหนิด้วยความโกรธ “เจ้าเสียสติแล้วหรือ? วาดรูปเหมือนของเสด็จพ่อให้พวกนางดูได้อย่างไร? รูปเหมือนนั่นเจ้าได้เอากลับมาหรือไม่?”
“เอาแล้ว ฉีกทำลายแล้ว” อ๋องฉีสีหน้าซีดขาว “ท่านพี่ห้า ป้ายเหล็กนิลชิ้นนี้เป็นของที่เสด็จพ่อพกติดตัว แต่เสด็จพ่อจะไปขโมยแผนที่ทางการทหารได้อย่างไรล่ะ? เขาต้องการแผนที่ทางการทหาร เพียงแค่รับสั่งให้คนส่งเข้าพระราชวังก็ได้แล้วนี่พ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าส่ายศีรษะ “ไม่ใช่เสด็จพ่อ แต่คนผู้นี้สามารถเข้าใกล้เสด็จพ่อได้ตลอดเวลา ถึงกระทั่งขโมยป้ายเหล็กนิลติดตัวของท่านพ่อได้ เขารู้ว่าพวกเราจะไปตรวจสอบในเรือสำราญ ดังนั้นจึงบอกให้สาวใช้ผู้นั้นมอบป้ายให้พวกเรา เขาต้องการหยุดยั้งการตรวจสอบของพวกเรา ขณะเดียวกันก็เตือนพวกเราว่าเขาสามารถเข้าใกล้เสด็จพ่อได้ ถึงกระทั่งสามารถลงมือต่อเสด็จพ่อได้ นี่คือขู่ขวัญและข่มขู่”
“แต่ว่า ป้ายนี้คือสาวใช้ผู้นั้น……” อ๋องฉีคิดแล้วคิดอีก เข้าใจในพริบตาแล้ว “สาวใช้ถูกซื้อตัวแล้ว ไม่ได้ ข้าต้องไปหานาง”
“ไม่จำเป็นต้องไปเองแล้ว ส่งคนไปเถอะ เกรงแค่ว่าตอนนี้ คนบนเรือสำราญจะโดนฆ่าปิดปากแล้ว” หยู่เหวินเห้ามองดูเขาด้วยใบหน้าเฉยเมย “นี่คือหลุมพราง เจ้าเจ็ด เจ้ามีความยุ่งยากแล้ว”
อ๋องฉีทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอีก “สวรรค์เอ๊ย!”
ไม่ช้า ก็มีคนไปรายงานที่กรมอาญา บอกว่ามีเรือสำราญลำหนึ่งเกิดเพลิงไหม้บนแม่น้ำซีซู คนสามคนบนเรือสำราญไม่สามารถหนีรอดได้ ถูกเพลิงขนาดใหญ่ครอกตายอยู่ด้านใน
คนของกรมอาญาไปตรวจสอบที่แม่น้ำซีซูทันที และมีคนที่อยู่ใกล้ๆเรือสำราญจำอ๋องฉีได้ บอกว่าหลังจากที่อ๋องฉีจากไปครู่หนึ่ง เรือสำราญก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นแล้ว
คนขับเรือที่ส่งอ๋องฉีจากไปจากเรือสำราญก็เป็นพยานว่าขณะที่เขาจากไป ด้านในของเรือสำราญก็เริ่มมีควัน
คดีนี้ กรมอาญาส่งกลับให้กรมการพระนครไปจัดการ
เพราะกรมอาญาได้ติดต่อกับคดีนี้ก่อน ดังนั้น หยู่เหวินเห้าจึงไม่มีทางปฏิบัติหน้าที่โดยเห็นแก่ญาติพี่น้องได้เลย ทำได้เพียงจัดการไปตามพื้นผิวของหลักฐานที่เสนอมา เพียงแค่เขาลำเอียง ความลำบากก็จะย้ายจากตัวของอ๋องฉีมาอยู่บนตัวเขา
ในการไม่มีลางบอกเหตุใดๆ ฝ่ายตรงข้างเหมือนกับว่าจะจัดการพวกเขายกก๊วน แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าศัตรูเป็นผู้ใด
อ๋องฉีเป็นอ๋องชินของราชวงศ์ปัจจุบัน เป็นโอรสคนโตของฮ่องเต้และฮองเฮา ฐานะสูงส่ง ในเบื้องต้นขณะที่มีเพียงแค่พยานปากเปล่า ยังไม่จำเป็นต้องลงโทษกักขัง เพียงแค่ถูกถอดจากหน้าที่ในกรมการพระนครชั่วคราว กักบริเวณให้อยู่ด้านหลังในที่ทำการกรมการพระนคร เพื่อให้เรียกตัวได้ตลอดเวลา
อ๋องฉีรู้สึกล้มเหลวอย่างสุดซึ้ง เดิมทีเขาคิดจะหาฆาตกรออกมาเพื่อลู่หยวน คิดไม่ถึงว่าจะเอาตัวเองพ่วงเข้าไปด้วย
หยู่เหวินเห้าเข้าวังไปรายงาน ทูลถวายป้ายเหล็ก
ฮ่องเต้หมิงหยวนตะลึงงันแล้ว ป้ายเหล็กชิ้นนี้ อยู่บนตัวเขามาโดยตลอด หายไปเวลาใด ตัวเขาเองก็ไม่รู้
หยู่เหวินเห้ากล่าวด้วยความจนปัญญา: “เสด็จพ่อ ตอนนี้เจ้าเจ็ดถูกกักขังอยู่ในกรมการพระนคร แต่เขาไม่มีวิถีทางจะชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ยิ่งไม่สามารถมอบป้ายเหล็กชิ้นนี้ออกไปได้ ท่านว่าควรทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนสีหน้าโกรธจัด “ป้ายชิ้นนี้ ข้าพกติดตัวตลอด สามารถเข้าใกล้ข้าได้ นับอย่างละเอียดก็ไม่กี่คน เจ้าเห็นว่าผู้ใดน่าสงสัยที่สุด?”
“ป้ายนี้หายไปเมื่อไหร่ เสด็จพ่อก็ไม่รู้ ดังนั้น ต้องการจะคาดเดาคนผู้หนึ่งออกมาจริงๆ เกรงว่าก็ไม่ง่ายพ่ะย่ะค่ะ” หยู่เหวินเห้ากล่าว
สามารถเข้าใกล้เขาได้ในระยะใกล้ ปรนนิบัติเขา นอกจากนางข้าหลวงและมู่หรูกงกงที่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ในทุกวันแล้ว ก็ยังมีเหล่าพระสนมอีก กระทั่งขณะที่อภิปรายการบริหารราชการแผ่นดิน ก็จะมีขุนนางที่สามารถใกล้ชิดได้ ยื่นมือมาประคองเล็กน้อยหรือว่ายื่นเสื้อคลุมให้ด้วยความใส่ใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดอยู่นานก็หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ เพียงกล่าวด้วยความโกรธหนัก: “คนผู้นี้แอบซ่อนอยู่ข้างกายข้า เกรงว่าก็ไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว เจ้าจะต้องตรวจสอบดึงคนผู้นี้ออกมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะนอนหลับอย่างสงบได้อย่างไร?”
“เจ้าเจ็ดทางนั้น……” หยู่เหวินเห้ามองดูเขา
หยู่เหวินเห้ามีความคิดเห็นในใจเล็กน้อย แต่ว่า ยังต้องฟังความหมายของเสด็จพ่อสักหน่อย
ฮ่องเต้หมิงหยวนขมวดคิ้ว “ยังจะทำอย่างไรได้? ตรวจสอบและรับมือต่อ สุดท้ายหาข้ออ้างมายุติปัญหาที่ค้างคาก็ได้แล้ว กรมอาญาทางนั้นคนของเจ้าสี่ค่อนข้างมาก เจ้าร่วมกันคิดกับเจ้าสี่ บอกเขา ข้าต้องการให้เจ้าเจ็ดพ้นข้อกล่าวหาแล้วออกมาก็พอ จุดประสงค์ของคนที่ใส่ร้ายเขาคือเบี่ยงเบนความสนใจ กลับไม่ได้เจาะจงว่าต้องการจะทำให้เจ้าเจ็ดลำบาก ดังนั้นเรื่องนี้กรมอาญาและกรมการพระนครของเจ้าก็จัดการง่าย”
ขอความช่วยเหลือให้อ๋องฉี นี่ก็คือความคิดเห็นของหยู่เหวินเห้า ดังนั้นได้ยินคำพูดของฮ่องเต้หมิงหยวน เขาก็แอบโล่งใจ
ฮ่องเต้หมิงหยวนชะงักครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีก: “เจ้าบอกให้เจ้าเจ็ดอดทนหน่อย เรื่องนี้ในเมื่อเขาเกี่ยวโยงอยู่ด้านใน จำต้องได้รับความลำบากเล็กน้อย เจ้าทางนี้มีแผนการทรมานร่างกาย กรมอาญาก็จัดการเรื่องได้ง่าย”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันทราบแล้ว!” หยู่เหวินเห้ากล่าว