ตอนที่ 648
เลือกอย่างไร (1+2)
เจ้าของที่นี่วางแผนใส่เฉินเกอ แต่ใครจะพูดได้ว่าเฉินเกอไม่ได้วางแผนใส่อีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน? สามคนในสี่คนนั้นติดกับดักไปแล้ว ด้วยจำนวนที่มากกว่า คุณเจ้าของย่อมคิดว่าพวกเขาสามารถลงมือได้แล้ว เขาไม่รู้เลยว่าในกลุ่มคนที่เขาได้รับเข้ามาในคืนนี้นั้น ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์นั้นมาจากเฉินเกอคนเดียว
เฉินเกอก็ไม่ได้วู่วามตอนที่เขาเข้ามาในโรงแรมตอนแรกเพราะว่าเขาเองก็ระแวงไพ่ตายของเจ้าของที่นี่อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นปืนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและวิญญาณสีเลือดที่ในตู้เย็น ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายเชื่อว่าพวกเขาต่างเป็นฝ่ายได้เปรียบ ดังนั้นใบหน้าของพวกเขาทุกคนจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ผู้ชายคนนี้อาจจะมีปืนซ่อนเอาไว้ และในเมื่อกระสุนมีจำกัด เขาก็คงไม่ใช้มันออกมานอกเสียจากจะฉุกเฉินจริง ๆ ดังนั้น ฉันต้องจับเขาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉันต้องทำลายมือของพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะทันได้ทำอะไร– นั่นเป็นทางเดียวที่ฉันจะหยุดเขาจากการใช้ปืนได้
วิธีการที่เฉินเกอรับมือกับปัญหานั้นตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการจัดการกับต้นตอ
“เลิกต่อต้านพวกเราได้แล้ว พวกเรามาอย่างสันติ พวกเราแค่ต้องการให้พวกแกเล่นเกมกับเรานิดหน่อยเท่านั้น” เจ้าของที่นี่คิดว่าเขามีอำนาจเหนือกว่าดังนั้นสีหน้าของเขาจึงดูผ่อนคลายมาก “ฉันเชื่อว่าแกคงเห็นแล้วว่าเก้าอี้มีปัญหา พิษบนนั้นจะค่อย ๆ ทำให้แกอ่อนแรงและเคลื่อนไหวไม่ได้ไปอย่างช้า ๆ ในที่สุดแกก็จะตายอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส”
เจ้าของที่นี่ดึงขวดแก้วที่มีของเหลวใสออกมาจากในกระเป๋า ในนั้นยังมีเส้นเลือดบิดตัวไปมาอยู่ “ฉันมียาถอนพิษอยู่กับตัวขวดหนึ่ง ในพวกแกสี่คน มีคนเดียวที่จะรอดชีวิตไปได้”
“คำขู่ของแกไม่มีผลกับฉันเพราะว่าฉันไม่ได้ถูกพิษนั่น” เฉินเกอรูดซิปกระเป๋าเปิดแล้วเอื้อมมือเข้าไปข้างในนั้น
“ในไม่ช้า แกก็จะจบลงแบบพวกมัน ฉันแนะนำให้แกอย่าได้ดิ้นรนต่อไป มันไร้ประโยชน์และไร้ความหมาย นี่จะช่วยให้แกไม่ต้องเสียแขนหรือขาไป เพราะนั่นอาจจะทำให้แกเสียเปรียบในเกมที่กำลังจะเริ่มขึ้น” ไขมันเป็นชั้นบนใบหน้าของคุณเจ้าของกระเพื่อมอย่างรุนแรงจากความตื่นเต้น เขาดูสนุกที่ให้แต่ละคนต้องสู้กันเอง ความรู้สึกที่ได้กระชากสิ่งงดงามทั้งปวงบนโลกขว้างทิ้งลงกับพื้นและยังได้เหยียบย่ำซ้ำนั้นทำให้เขารีบร้อนอย่างไม่ควร
“เกม? เกมแบบไหนที่แกอยากเล่น?” เฉินเกอสนใจในคำว่า ‘เกม’ ที่ถูกพูดถึง บ้านผีสิงของเขานั้นต้องการความสนุกมากขึ้นอีก เกมธรรมดานั้นไม่เข้ากับบรรยากาศในบ้านผีสิง แต่เกมที่เป็นพวกคนบ้าคิดขึ้นมา? นั่นน่าจะเข้ากันได้เป็นอย่างดี
บ้านผีสิงหลอน ๆ คู่กับเกมโปรดของฆาตกร เสียงกรีดร้องของผู้เข้าชมนั้นก้องอยู่ในใจเฉินเกอเสียแล้ว
“มีเกมตั้งมากอย่างเกมแบ่งเค้ก เกมเก้าอี้ดนตรี และเกมซ่อนหา” เจ้าของร่างอ้วนคิดว่าเขาควบคุมสถานการณ์ได้อยู่มือแล้ว ดังนั้นเขาจึงอธิบายเกมกับเฉินเกออย่างอดทน
กติกาอันโหดร้ายของเกม และประสบการณ์การเล่นเกมนั้นหมายถึงเสียงกรีดร้องสุดเสียงของผู้เข้าร่วม เพียงแค่ได้ยินคำอธิบายก็ทำให้เฉินเกอรู้สึกไม่ดีแล้ว “ถ้าฉันเลียนแบบกติกาทั้งหมดไป ผู้เข้าชมคงได้ส่งตัวเองไปโรงพยาบาลแน่แล้ว แต่ว่ากฏพื้นฐานของเกมพวกนี้ก็ไม่ได้แย่”
“ผู้เข้าชม? แกกำลังพูดถึงอะไรอยู่น่ะ?” เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวนั้นอยู่ห่างจากเฉินเกอไปหลายเมตร
“โอ้ ขอโทษที ฉันเคยชินกับการมีเพื่อนอยู่กับฉันเยอะ ๆ น่ะ ดังนั้นก็เลยมีนิสัยพูดสิ่งที่คิดออกมาดัง ๆ” เฉินเกอไม่ได้อธิบายมากนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างการมีเพื่อนเยอะและการพูดสิ่งที่คิดออกมาดัง ๆ เขาใช้ประโยชน์จากเจ้าของร่างอ้วนหมดแล้ว และเฉินเกอก็วางแผนจะเลิกเสแสร้งด้วยเหมือนกัน
“พวกแกสองคนรังแกฉันคนเดียว และพวกแกยังมีอาวุธมีคม ถึงแม้ว่าฉันจะอ่อนแอกว่า ฉันก็ไม่ได้ถูกล้มได้ง่าย ๆ หรอกนะ” เฉินเกอกัดฟันและขู่ออกไปอย่างอันตราย
“อันที่จริง เทียบกับการใช้พิษแล้ว พวกเราชอบฆ่าสด ๆ มากกว่า ยิ่งแกดิ้นรนเท่าไหร่ พวกเราก็ยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น!” เจ้าของร่างอ้วนนั้นหยุดหัวเราะไม่ได้ ร่างของเขาสั่น เปลี่ยนเขาไปเป็นภูเขาเนื้อสั่นระริกก้อนหนึ่ง
“ยิ่งเหยื่อดิ้นรนเท่าไหร่ พวกแกก็ยิ่งตื่นเต้น?” เฉินเกอรอให้เจ้าของร่างอ้วนเดินเข้ามาหาเขาก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมา “อย่างนั้นมันก็คงจะยอดเยี่ยมเลยเพราะว่าแกจะได้ตื่นเต้นมากแน่ ๆ คืนนี้!”
เฉินเกอโยนกระเป๋าสะพายหลังไปทางหนึ่ง เขากำด้ามค้อนที่หน้าตาเหมือนกระดูกสันหลังของมนุษย์เอาไว้ เขายกค้อนขึ้นสูงและเหวี่ยงมันใส่หน้าอกของเจ้าของร่างอ้วนอย่างแรง
ปัง!
เฉินเกอแน่ใจว่าเจ้าของร่างอ้วนนั้นเป็นคนเป็นคนหนึ่งเพราะว่าเลือดที่สาดออกมานั้นยังอุ่น “ไง แกตื่นเต้นพอไหม?”
เมื่อคิดถึงว่าเนื้อบนร่างของเขาอาจจะทำให้เลือดจางลง เฉินเกอก็ยกค้อนขึ้นอีกครั้งแล้วทุบลงไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามี ร่างใหญ่โตของเจ้าของร่างอ้วนนั้นก็ไม่สามารถทนรับแรงทุบตีครั้งนี้ได้และล้มกลิ้งไปบนพื้น ก่อนที่พ่อครัวที่ด้านหลังจะทันได้ทำอะไร เฉินเกอก็พุ่งเข้าไปทุบแขนสองข้างและขาอีกข้างของเจ้าของหักโดยไม่รั้งรอ
ถึงแม้ว่าเขาจะได้เปรียบอยู่ เฉินเกอก็ไม่คิดจะประมาท เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าของร่างอ้วนนี้จะพกปืนอยู่หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีการที่ปลอดภัยที่สุด ตอนนี้ที่เขาสูญเสียแขนทั้งสองข้างไปแล้ว ต่อให้เขามีปืนกระบอกนั้นอยู่ เจ้าของที่นี่ก็ยากที่จะใช้งานมันได้
เหี้ยมโหด เจ้าเล่ห์ ระมัดระวัง และมุ่งมั่น– นั่นเป็นความประทับใจที่เฉินเกอทิ้งไว้ให้กับพ่อครัว เขาเองยังคิดถึงเมนูอาหารที่สามารถประกอบขึ้นได้จากแขกเหล่านี้ตอนที่เขาเห็นเจ้านายของตนถูกค้อนทุบจนกระอักเลือดออกมา!
คนผู้หนึ่งต้องหน้าด้านและโหดร้ายเพียงไหนถึงได้ซ่อนค้อนใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ในกระเป๋าสะพายหลังและแบกติดตัวเอาไว้?
ดวงตาของพ่อครัวกระตุกอย่างไม่แน่ใจ มีดปังตอที่เขาถืออยู่ในมือนั้นดูเหมือนของเด็กเล่นไปเลยเมื่อเทียบกับค้อนเหล็ก เขากำลังคิดหาวิธีการแก้ไข ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็บังเอิญสบตากับเฉินเกอ
สายตาน่ากลัวและโหดร้ายนั่นทำให้เขาตัวสั่น แค่เขาคิดว่าเฉินเกอกำลังจะพูดอะไรสักอย่างกับเขา เฉินเกอก็กลับยกค้อนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่เขา ผู้ชายคนนี้ไม่เสียเวลาพูด และเขาก็ระมัดระวังมากพอที่จะไม่ปล่อยให้พ่อครัวจับตัวเขาได้
ทุกอย่างเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ก่อนที่สมองของเขาจะทันได้คิดถึงวิธีการแก้ไข ความเจ็บปวดก็แผ่ไปทั่วร่างของเขาแล้ว มีดปังตอในมือของเขาหล่นลงพื้นดังเคล้ง พ่อครัวมองแขนตัวเองอ่อนแรงและปลายนิ้วก็คลายออก มันเป็นประสบการณ์อันยากอธิบาย
“ฉัน…” พ่อครัวต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินเกอไม่ให้โอกาสเขา เขาระมัดระวังเกินกว่าจะปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนั้นได้ ก่อนที่เขาจะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ เขาจะไม่เสียเวลาพูดคุยและปล่อยให้ศัตรูของเขารบกวนเขาด้วยถ้อยคำของพวกมันเช่นกัน แค่เหวี่ยงค้อนอีกไม่กี่ครั้ง กระทั่งพ่อครัวก็ล้มลงกับพื้น
“เอาละ ตอนนี้ได้เวลาพวกแกพูดแล้ว บอกฉันสิ ยาต้านพิษที่ช่วยให้พวกเขากลับมาควบคุมร่างกายได้อยู่ที่ไหน?” เฉินเกอคว้ายาต้านพิษออกมาจากมือของเจ้าของร่างอ้วนก่อน มองไปยังเส้นเลือดที่บิดเร่าอยู่ในขวดแล้วเขาก็นึกถึงการต่อสู้กับสมาคมเล่าเรื่องผีที่หมู่บ้านโลงศพเมื่อนานมาแล้ว ตอนนั้น อู๋เฟยก็ถือขวดของหลอดเลือดที่คล้ายกับขวดนี้
“ฉัน…”
พ่อครัวกำลังจะพูดบางอย่างตอนที่เจ้าของร่างอ้วนตะโกนเสียงดังใส่เขา “อย่าถูกมันหลอก!”
“ฉันยังไม่ได้ให้สัญญาอะไรกับแกเลย และยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่ใช่คนที่จะกลับคำพูด” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงตรงหน้าเจ้าของร่างอ้วนและเริ่มค้นตัวเขา พ่อครัวยั้งคำพูดเอาไว้ทำให้หน้าเริ่มแดงก่ำขึ้น แต่ในที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรที่มีประโยชน์
“ถ้าฉันเป็นแกนะ ฉันจะไม่ป้อนยาในขวดนี้ให้พวกเขาแน่ ๆ” ถึงแม้ว่าแขนของเจ้าของที่นี่จะใช้การไม่ได้แล้ว กระดูกอกยังยุบเข้าไป เลือดยังซึมออกจากปากของเขา แต่ท่าทีของเขาก็ยังคงเดิม
“ทำไม?” เฉินเกอรู้ไพ่ตายของเจ้าของร่างอ้วน เขาน่าจะกำลังรอให้ชายชราใช้ฟันพวกนั้นเรียกวิญญาณสีเลือด
“แกเชื่อคำพูดของศัตรูของแกได้จริง ๆ น่ะเหรอ? อันที่จริง นี่เป็นยาพิษ ฉันอยากจะได้เห็นความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดของแก ฉันจะให้พวกแกสี่คนฆ่ากันเองและให้รางวัลผู้ชนะคนสุดท้ายด้วยยาถอนพิษที่อันที่จริงแล้วเป็นยาพิษขวดหนึ่ง จากนั้น ฉันก็จะได้รื่นรมย์ไปกับความสิ้นหวังที่ระบายเต็มใบหน้าของคนผู้นั้นขณะที่เขาถูกพรากไปจากโลกนี้ช้า ๆ” คำพูดเพ้อเจ้อของเจ้าของร่างอ้วนนั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาของเขาคอยแต่จะเหลือบมองไปยังประตูห้องที่หนึ่ง
“บังเอิญจังเลยนะเพราะว่าฉันเองก็ชอบเห็นสีหน้าสิ้นหวังบนใบหน้าของผู้คนเหมือนกัน” เฉินเกอยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าและดึงผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมา เขากางมันออกต่อหน้าเจ้าของที่นี่ และที่ด้านในผ้านั่นก็คือฟันเรียบลื่นมากมายเหล่านั้น “แกเอาแต่มองไปที่ห้องนั้น เป็นเพราะว่าที่นั่นซ่อนของพวกนี้เอาไว้สินะ?”
เจ้าของร่างอ้วนเงียบกริบลงทันที เขาพยายามปกปิดความตระหนกที่แล่นไปทั่วร่าง แต่สีหน้าของเขาก็ทรยศเขาแล้ว
“บอกฉัน ยาถอนพิษอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอเหวี่ยงค้อนไปมา “ความอดทนของฉันมีจำกัด”
ทั้งเจ้าของที่นี่และพ่อครัวเงียบ หลังจากนั้นนาทีหนึ่ง เจ้าของที่นี่ก็เปิดปากพูดช้า ๆ “ฉันบอกแกได้ว่ายาถอนพิษจริง ๆ อยู่ที่ไหน แต่แกต้องสัญญาจะปล่อยพวกเราทั้งคู่ไป พาเพื่อนของแกออกไปจากที่นี่หลังจากได้ยาถอนพิษแล้ว”
“ไม่มีปัญหา ที่จริงแล้วฉันก็ไม่ได้สนใจแกสองคนเลยสักนิด” เฉินเกอกำลังพูดความจริง ทั้งหมดที่เขาทำไปนั้นก็เพื่อวิญญาณสีเลือดที่อยู่ในโรงแรมนี้
“ยาถอนพิษถูกเก็บเอาไว้ในที่ที่ลับมาก ฉันจะพาแกไปที่นั่นเอง” ใบหน้าของเจ้าของที่นี่นั้นเต็มไปด้วยความเสียดายและเศร้าใจ เขามีท่าทางเหมือนคนที่ยอมแพ้แล้ว “ส่งมือให้ฉันหน่อยได้ไหม?”
เฉินเกอทุบแขนทั้งสองข้างและขาอีกข้างของเขาไป เขาทำได้แค่เขย่งแล้วตอนนี้
“อย่าได้เล่นแง่กับฉัน บอกสถานที่มา และฉันจะลองคิดดูว่าจะพาแกไปที่นั่นดีหรือไม่” เฉินเกอค้นตัวพ่อครัวและพบว่าเขาเองก็มียาถอนพิษอยู่อีกขวดหนึ่ง บางทีทั้งสองขวดนี่อาจจะเตรียมไว้ให้กับพวกเขาเอง
“ได้ ฉันบอกแก พวกมันอยู่ในลิ้นชักในห้องที่สามทางด้านซ้ายหลังจากแกขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง” เจ้าของร่างอ้วนให้ความร่วมมือเต็มที่ พ่อครัวที่ข้างเขานั้นมีสีหน้าเฉยเมยเหมือนเขาตั้งใจทำหน้าอย่างนั้นป้องกันไม่ให้เฉินเกอได้ข้อมูลอะไรจากเขา
“อยู่ที่ชั้นสอง?” เฉินเกอคิดกลับไปยังเกมของเสี่ยวปู้ และเขาก็ไม่คิดว่าเขาต้องเสี่ยงขึ้นไปที่ชั้นสอง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุอะไรลับหลังเขา เฉินเกอจึงทำให้พ่อครัวหมดสติไปก่อนที่จะพยุงเจ้าของที่นี่ขึ้นไปที่ชั้นสอง ห้องที่เจ้าของพูดถึงนั้นอันที่จริงก็คือห้องของเขาเอง ห้องนั้นตกแต่งด้วยรูปเก่า ๆ มากมาย แต่น่าแปลก รูปทั้งหมดเป็นรูปของเจ้าของที่นี่กับผู้หญิงคนหนึ่ง
“นั่นแม่แกเหรอ?”
“ใช่ ฉันมีความสัมพันธ์กับพ่อไม่ดีนัก ดังนั้นฉันจึงเก็บไว้แค่รูปถ่ายกับแม่” รอยยิ้มมีความสุขปรากฏบนใบหน้าของเจ้าของร่างอ้วน “แม่ของฉันสวยมาก เป็นคนที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันรู้จัก บางทีถ้ามีโอกาส ฉันจะพาแกไปเจอเธอ”
ประโยคนั้นฟังดูปกติธรรมดาอย่างที่สุดเหมือนเพื่อนสักคนจะพูด แต่เฉินเกอก็ไม่ได้ใกล้ชิดพอที่เจ้าของที่นี่จะเชิญเขาไปพบแม่ อีกอย่าง เฉินเกอบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่เจ้าของที่นี่พูดนั้นเป็นจริงหรือไม่– ผู้หญิงที่ในรูปอาจจะไม่ใช่แม่ของเขาก็ได้
“ยาถอนพิษอยู่ตรงนี้” เจ้าของให้เฉินเกอเปิดลิ้นชัก ด้านในนั้นมีขวดสามใบและข้างในขวดก็มีตะกอนสีเทา ๆ
“แกแน่ใจ?” เฉินเกอเก็บขวดทั้งสามเข้าไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขาและพยุงเจ้าของร่างอ้วนกลับไปที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง เขาเดินไปที่โต๊ะทานอาหารและวางขวดทั้งสามลงบนโต๊ะ “คุณเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังพูดไหม?””
“เข้าใจ สมองผมยังทำงานปกติดีอย่างที่สุด ผมแค่ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้” ชายขี้เมาเพิ่งเห็นเฉินเกอจัดการกับศัตรูสองคนด้วยตัวเองไป ท่าทีของเขาจึงเป็นมิตรมากขึ้น
“ขวดทั้งสามนี่เอามาจากห้องของเจ้าของที่นี่ เขาบอกว่ามันเป็นยาถอนพิษ แต่ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะเรียบง่ายอย่างนั้น” จากนั้นเฉินเกอก็ดึงขวดสองใบที่เขาพบบนร่างของคนที่นี่ออกมาและวางมันลงไปที่โต๊ะด้วย “พวกเราไม่สามารถมองข้ามความจริงที่เจ้าของที่นี่อาจจะโกหกไปได้ และสองขวดนี้น่าจะเป็นยาถอนพิษของจริง โชคร้ายที่มันมีแค่นี้ ฉันหาขวดอื่น ๆ ไม่เจอ ถ้าพวกเราใช้มันทดลองดู พวกเราก็จะมียาถอนพิษเหลือไม่พอสำหรับทุกคน”
จากนั้นเฉินเกอก็วิ่งไปอุ้มเจ้าแมวขาวที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่จากมุมไกล ๆ มาก เขาอุ้มให้หน้าเล็ก ๆ ของเจ้าแมวโผล่มาจากในอ้อมแขน “แกกินเลือดที่คล้าย ๆ กันนี้เข้าไปในตอนอยู่ที่หมู่บ้านโลงศพ ฉันจะเปิด ‘ยาถอนพิษ’ ที่ต่างกันสองอย่างนี้ และฉันอยากให้แกช่วยระบุว่าอันไหนเป็นยาถอนพิษของจริง”
เฉินเกอไม่รู้ว่าเจ้าแมวขาวจะเข้าใจเขาหรือไม่ เขาเปิดขวดหนึ่งที่บรรจุตะกอนสีเทา ๆ ก่อนแล้ววางมันลงตรงหน้าเจ้าแมวขาว กลิ่นเน่าจาง ๆ ลอยออกมาจากด้านในขวด และเจ้าแมวขาวก็พยายามดิ้นหนี พอปิดฝาขวดแล้ว เฉินเกอก็เก็บมันลงไปแล้วคว้าขวดที่มีหลอดเลือด
แค่เปิดฝาขึ้น เจ้าแมวขาวก็ดูเหมือนจะได้กลิ่นบางอย่าง หูของมันตั้งขึ้น และม่านตาสองสีก็จับจ้องไปยังขวดในมือเฉินเกอ เมื่อเฉินเกอเปิดขวดเสร็จ ก็มีเสียงคร่ำครวญลอยออกมาจากในขวด และเส้นเลือดที่ด้านในก็เริ่มขยับเหมือนพวกมันพยายามดิ้นรนหาทางออก ตอนที่สายตาของเข้าแมวขาวกลายเป็นสีแดงเลือดเหมือนบางอย่างในเลือดของมันถูกกระตุ้น มันพยายามกระโจนออกมาจากมือเฉินเกอ
เฉินเกอรีบปิดขวดกลับไป และจากนั้นเจ้าแมวก็สงบลง
“หลอดเลือดพวกนี้นั้นสามารถดึงดูดความสนใจของเจ้าแมวขาวได้ ดังนั้นพวกมันย่อมไม่ปกติ พวกมันอาจจะคล้ายของที่สมาชิกสมาคมเล่าเรื่องผีได้มาจากด้านหลังประตู” เฉินเกอหมุนฝาปิดให้แน่นก่อนจะวางทุกขวดเอาไว้ด้วยกัน “แมวของฉันนั้นมีปฏิกริยารุนแรงกับขวดที่มีเลือด ถ้าให้ฉันพูดละก็ ฉันคิดว่าขวดที่มีเลือดน่ะเป็นยาต้านพิษของจริงและเจ้าของที่นี่โกหกพวกเรา”
เฉินเกอพูดสิ่งที่เขาคิดออกมาและผู้โดยสารทั้งสามคนต่างมีปฏิกริยาต่างกันไปซึ่งเขาเห็นอย่างชัดเจน “ทางเลือกอยู่ในมือพวกคุณแล้ว ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ผมหวังว่าคุณจะคิดให้ดีก่อนที่จะเลือก”
“ฉันเชื่อแก” คนแรกที่เลือกคือมือกรรไกร เขาใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่คว้าขวดที่มีเลือดไป
“ยิ่งสีสันสดใสยิ่งไม่ปลอดภัย นั่นคือกฏแห่งธรรมชาติ ผมเรียนเภสัชศาสตร์และการแพทย์มาก่อน และไม่มีทางที่ผมจะโน้มน้าวให้ตัวเองกินเลือดที่ดูมีชีวิตได้แน่ ๆ” หลังจากลังเลอยู่บ้าง ในที่สุดหมอก็หยิบขวดที่มีตะกอนสีเทาอยู่ด้านในไป
ผู้โดยสารสองคนเลือกแล้ว ดังนั้นชายขี้เมาเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ เขาเชื่อในตัวหมอและเฉินเกออย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้ ความเห็นของพวกเขาแตกต่างกัน และเขาก็ไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี
ถ้าพูดตามใจแล้ว เขาก็เอนเอียงไปทางขวดสีเทา แต่เขารู้สึกเหมือนเจ้าของที่นี่อาจจะใช้อุบายจิตวิทยาย้อนกลับ จงใจทำยาถอนพิษให้เหมือนยาพิษ
สามนาทีผ่านไปขณะที่เขากำลังใคร่ครวญ เสียงเคาะที่ทางเข้าดังขึ้น เพราะกลัวว่าประตูจะพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ชายขี้เมาในที่สุดจึงเลือกได้ เขาหยิบขวดที่มีเลือดที่เหลืออยู่ไป
ตอนนี้ ใครจะลองมันก่อน? นั่นเป็นอีกหนึ่งบททดสอบธรรมชาติของมนุษย์ อย่างไรเสีย คนที่ลองเป็นคนแรกนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงกับการทดลองนี้
“ฉันว่าฉันคงต้องเป็นคนลองคนแรก” มือกรรไกรดิ้นรนลุกขึ้น “แกช่วยฉันเปิดฝาได้ไหม?”
“แน่นอน” เมื่อเฉินเกอเดินมาถึงข้างตัวชายคนนั้น มือกรรไกรก็ใช้โอกาสนี้กระซิบกับเฉินเกอ “โทรศัพท์ของฉันอยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านซ้าย ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับพี่ชายของฉันอยู่ในนั้น ถ้าฉันเลือกผิด ฉันก็หวังว่าเมื่อแกเจอเขา แกจะยื่นมือเข้าไปช่วยเขา แน่นอนว่าถ้าแกเกิดเจอเขาเข้าน่ะนะ ฉันไม่ได้ต้องการให้แกต้องตามหาเขา”
“ผมสัญญา” ความชื่นชอบที่เฉินเกอมีต่อมือกรรไกรเพิ่มขึ้น คนกล้าแท้จริงนั้นไม่ใช่คนที่บอกว่าพวกเขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แต่เป็นคนที่กล้าที่จะตัดสินใจว่าจะไม่เสียใจถึงแม้ว่าข้างในจะสั่นเป็นใบไม้ต้องลม
“ขอบคุณ” มือกรรไกรยกขวดขึ้นแตะริมฝีปากและกระดกขวด เลือดในขวดดูเป็นฝ่ายกระตือรือร้นที่จะไหลเข้าไปในลำคอของเขาตามมาด้วยเสียงร้องของใครบางคนจากที่ไกล ๆ
ตอนที่ 649
วิญญาณสีเลือดเต็มขั้น (1+2)
ในขวดมีเส้นเลือดไม่มากนัก บางทีอาจจะแค่หนึ่งในห้าของที่เจ้าแมวขาวเคยกินลงไปที่ในหมู่บ้านโลงศพ หลังจากกลืน ‘ยา’ ลงไป มือกรรไกรก็ถูกความเจ็บปวดโจมตี เขากุมหัวเอาไว้และล้มไปกับพื้น ใบหน้าโหยหวนของผีมากมายดูเหมือนจะปรากฏขึ้นในสายตาของเขา และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปตามใบหน้าของผีที่ปรากฏในสายตาของเขา
เพื่อรับมือกับความเจ็บปวด มือกรรไกรฉีกเปิดแผลสดบนร่างของตัวเองหลายแผล และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือภายใต้แผลสดใหม่เหล่านั้นนั้นเป็นหลอดเลือดเล็กบางมากมายคืบคลานไปรอบ ๆ ราวกับปลา
ความเจ็บปวดนั้นคงอยู่นานราวสิบนาที ทั้งร่างของมือกรรไกรชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากคลื่นความเจ็บปวดลูกสุดท้ายจางหายไป เขาก็ผละขึ้นจากพื้นกัดฟันแน่น แผลบนใบหน้าของเขามีเลือดซึมออกมาเรื่อย ๆ และเลือดก็ไหลเป็นทางไปตามใบหน้าของเขาย้อมคอเสื้อของเขา มันเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์ให้กับรูปลักษณ์ของมือกรรไกร
“ฉันยังมีชีวิตอยู่!” ตอนที่เขาค่อย ๆ กลับมาควบคุมร่างกายตัวเองได้ มือกรรไกรก็ตะกายลุกขึ้นจากพื้น นี่เป็นสัญญาณว่าขวดแก้วที่มีหลอดเลือดอยู่นั้นเป็นยาต้านพิษของจริง เขากำหมัดแน่นก่อนที่จะคลายออก ในที่สุด เขาก็เดินไปยืนตรงหน้าเฉินเกอ “ขอบคุณ”
“ผมไม่ได้ทำอะไร ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของคุณ” หลังจากพูดอย่างนั้นแล้ว เฉินเกอก็หันไปมองผู้โดยสารอีกสองคน หมอส่ายหน้าและวางขวดที่มีตะกอนสีเทาลงไป เขามีสีหน้าเสียใจ
ชายขี้เมาลังเลว่าเขาควรจะกินของในขวดลงไปหรือไม่เพราะว่าเขากลัวความเจ็บปวดสุดแสนเช่นนั้น สุดท้ายแล้ว ภายใต้การสนับสนุนของมือกรรไกร ชายขี้เมาก็ยกขวดเลือดเทลงคอ
“ดูเขาเอาไว้ ผมจะไปคุยกับเจ้าของที่นี่สักหน่อย” เฉินเกอหยิบขวดที่มีตะกอนสีเทาอยู่เดินไปยืนตรงหน้าเจ้าของร่างอ้วน เขาหมุนเปิดฝา “ข้างในนี่เป็นยาพิษใช่ไหม?”
“มันคือยาแก้พิษเหมือนกัน ฉันไม่ได้โกหกแก!” เจ้าของยังปฏิเสธที่จะยอมรับการหลอกลวงของตัวเอง เฉินเกอไม่ต้องการเสียเวลาเถียงกับผู้ชายคนนี้ เขาง้างปากชายร่างอ้วนเปิดออกและกำลังจะเทตะกอนสีเทาในขวดลงคอเขาไป
“เดี๋ยวก่อน! พวกแกสามคนถูกพิษ และมียาแก้พิษแค่สองขวด ฉันจะบอกแกว่ายาแก้พิษขวดที่สามอยู่ที่ไหน!” เจ้าของร่างอ้วนดิ้นอย่างแรงทั้งที่นอนอยู่บนพื้น
“ขวดที่สาม?” เฉินเกอสนใจ หลอดเลือดดูเหมือนจะมีผลทางบวกกับเจ้าแมวขาว ดังนั้นหากมีอีกขวดหนึ่ง เขาก็สามารถนำมันกลับไปยังบ้านผีสิงเพื่อศึกษามันช้า ๆ
“ใช่ คราวนี้ฉันจะไม่โกหกแกแล้ว!” หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็น ๆ ผุดพราย ดวงตายิบหยีมองไปยังเฉินเกอ
“ได้ ฉันจะเชื่อแกอีกครั้ง ยาแก้พิษขวดที่สามอยู่ที่ไหน?” เฉินเกอดึงเจ้าของร่างอ้วนขึ้นจากพื้นและทิ้งเขาลงบนเก้าอี้ ขณะที่ความเจ็บปวดถาโถมใส่เขา เจ้าของร่างอ้วนหน้าตาบิดเบี้ยวจากความเจ็บปวด “อันที่จริงแล้ว ฉันเก็บยาแก้พิษขวดสุดท้ายเอาไว้ในตู้เย็นในครัว มันอยู่ในชั้นด้านบน ช่องฟรีซน่ะ”
“ตู้เย็นในห้องครัว?” หากไม่เพราะว่าเขาเคยเล่นเกมของเสี่ยวปู้มาก่อน เฉินเกอก็อาจจะเชื่อคำพูดของเจ้าของร่างอ้วน แต่เขารู้เป็นอย่างดีเลยว่าในห้องครัวไม่มียาแก้พิษ แต่มีวิญญาณสีเลือด
“ถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณพาผมไปด้วยก็ได้” ดวงตาของชายร่างอ้วนเริ่มกลอกหลบ และมันก็มักจะชำเลืองมาทางกระเป๋าเฉินเกอที่ใส่ฟันพวกนั้นเอาไว้ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
“แกไม่เรียนรู้บทเรียนของแกเลย” เฉินเกอง้างปากเจ้าของร่างอ้วนเปิดและเริ่มเทพิษในขวดลงไปในปากเขา แขนทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้ เจ้าของร่างอ้วนที่สามารถใช้ขาได้เพียงข้างเดียวพยายามดิ้นรนสุดชีวิต เขายังไม่รู้เลยว่าแผนการของเขานั้นเฉินเกอมองออกหมดแล้ว
“ฉันไม่ได้โกหกแก! ฉันเก็บยาแก้พิษเอาไว้ในตู้เย็นจริง ๆ ถ้าแกไม่เชื่อฉัน แกไปดูเองก็ได้!”
“กระทั่งตอนนี้แกก็ยังต้องการทำร้ายฉัน หัวใจของแกมันดำมืดสิ้นดี ไม่มีการไถ่บาปสำหรับคนอย่างแกหรอกนะ” เฉินเกอยกค้อนขึ้นและทำลายขาข้างที่ยังดีอยู่ของเจ้าของร่างอ้วนไป จากนั้น เขาก็หาผ้าผืนหนึ่งมายัดปากเจ้าของร่างอ้วน เสียงเคาะจากทางเข้าโรงแรมยังดังอยู่ เป็นสัญญาณว่าเฉินเกอเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว
“พวกคุณสองคนดีขึ้นหรือยัง?” เฉินเกอมองมือกรรไกรและชายขี้เมาที่ดูเหมือนเพิ่งดึงร่างขึ้นจากน้ำมา ร่างกายของพวกเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ และพวกเขาก็ดูโทรมมาก
“ผมไม่เคยรู้สึกดีกว่านี้เลย ทั้งร่างของผมเต็มไปด้วยพลัง มันเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสักสิบปี” ชายขี้เมาลุกขึ้นจากพื้น เหวี่ยงหมัดตัดอากาศ
“ถ้าคุณรู้สึกดีขึ้นแล้วก็มาช่วยผม ไปหาเชือกจากในโรงแรมมามัดพวกเขาสองคนกับเก้าอี้ ถ้าไม่มีเชือก ก็ฉีกผ้าปูเตียงมาทำเชือกไปก่อน” หลังจากเฉินเกอมอบหมายงานให้สองคนแล้วเขาก็หันไปทางหมอ “ไม่ต้องห่วง ผมจะไปดูทุกซอกทุกมุมในโรงแรม มันต้องมียาแก้พิษอยู่อีกตรงไหนสักที่”
“ได้” หมอฟุบอยู่กับโต๊ะอย่างอ่อนแรง “คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่ไปดูในห้องครัว? ผมสงสัย คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าของโกหกคุณ? เห็นจากสีหน้าหรือว่าแค่จิตวิทยา?”
“ถ้าคุณอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในตู้เย็น ผมสามารถพาคุณไปดูที่นั่นด้วยตัวเอง” เฉินเกอมัดเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวเอาไว้กับเก้าอี้ จากนั้นเขาก็ลากทั้งสองคนไปทิ้งเอาไว้ที่ทางเข้าโรงแรม เมื่อผีไร้หัวพุ่งเข้ามาในตึก พวกเขาก็จะได้ต้อนรับเธอก่อนใคร เมื่อผีผู้หญิงลงมือกับพวกเขาสองคน เฉินเกอก็จะเริ่มก้าวต่อไปของแผนการของเขา– ปลดปล่อยผีที่กำลังกระหายในตู้เย็นออกมาและให้วิญญาณสีเลือดทั้งสองสู้กัน เขาจะรอเก็บเกี่ยวรางวัลในตอนจบ
“ยาแก้พิษไม่อยู่ในตู้เย็นแน่ ๆ พวกเราทางที่ดีใช้เวลาที่พวกเราเหลืออยู่ค้นที่อื่นที่ในโรงแรมนี้” เฉินเกอหาเจ้าแมวขาวและแกว่งขวดเปล่าที่เคยใส่หลอดเลือดเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปตรงหน้าจมูกของมัน จากนั้นเขาก็โยนขวดเปล่านั่นทิ้งและชี้ไปตามทางเดินในโรงแรม “จำกลิ่นนี้ไว้ แล้วก็ ไป!”
ดวงตาต่างสีมองเฉินเกออย่างงุนงง และทั้หงมดที่เจ้าแมวขาวทำก็คือนั่งลงและเริ่มหมอบ
“พี่ชาย ทำไมคุณถึงทำเหมือนแมวคุณเป็นหมา?” ชายขี้เมาช่วยแบกหมอขึ้นจากโต๊ะ เห็นการกระทำของเฉินเกอแล้วเขาก็ยากจะคิดว่านี่เป็นคนเดียวกับชายบ้าคลั่งที่ลากค้อนไปมาก่อนหน้านี้
“ผมแค่พยายามปลดล็อกศักยภาพเต็มที่ของมัน” เห็นเจ้าแมวขาวคลานอยู่ใต้โต๊ะหลังจากเฉินเกอพยายามเกลี้ยกล่อมมันอยู่นาน ฝ่ายหลังนั้นรู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมาเลย เจ้าแมวนั้นตื่นตกใจง่ายขึ้นมากเทียบกับตอนที่เขาได้มันมาในตอนแรก หลังจากจัดการเอาพวกขยะขวางทางออกไปแล้ว ทั้งกลุ่มก็ขึ้นไปที่ชั้นสอง
มีป้ายห้ามเข้าอยู่ที่กลางทางเดิน และยังมีคราบเลือดที่ยังไม่ได้ทำความสะอาดอยู่บนพื้น ตามรอยเลือดไปแล้วเฉินเกอก็ผลักเปิดประตูห้องหนึ่งเข้าไป ภาพข้างในนั้นสยดสยองเกินบรรยาย มันดูเหมือนมีการดิ้นรนต่อสู้อย่างรุนแรงเกิดขึ้นที่นี่ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยเลือด
“จากความหนืดของเลือดแล้ว เวลาการตายของเหยื่อน่าจะอยู่ภายในสามชั่วโมงที่ผ่านมา หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ก่อนที่พวกเราจะมาถึงโรงแรมนี้ ก็เกิดการฆาตกรรมขึ้นที่นี่แล้ว” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงกับพื้น เขาชินกับภาพเช่นนี้แล้ว
ชายขี้เมาพยักหน้าอย่างชื่นชม และจากนั้นเขาก็กระทบไหล่หมอที่อยู่ด้านหลังเขาเบา ๆ “คุณแน่ใจนะว่าเขาเป็นพนักงานที่สวนสนุกน่ะ? เขาอาจจะเป็นสายลับจากหน่วยรักษาความปลอดภัยที่วางเอาไว้ในสวนสนุกหรือเปล่า?”
เจอคำถามจากชายขี้เมาแล้วหมอก็ทำได้แค่ยิ้มประหลาด มีแต่พระเจ้านั่นแหละที่รู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มคนนี้ถึงคุ้นเคยกับกระบวนการที่ต้องทำในสถานที่เกิดเหตุ ทั้งกลุ่มค้นทั่วชั้นสองอย่างละเอียด กลายเป็นว่าชั้นสองนั้นไม่ต่างไปจากโรงงานบรรจุเนื้อมนุษย์เลย หากเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวเคยมีความเป็นมนุษย์อยู่ ตอนนี้มันก็คงหายไปแล้ว ชีวิตคนนั้นไม่ต่างไปจากของเล่นและอาหารในสายตาพวกเขา
“กลับไปดูที่ชั้นหนึ่งกัน” พวกเขาค้นทั่วตึกแต่ก็ยังไม่เจอยาแก้พิษ หลอดเลือดที่ในขวดดูเหมือนเป็นสิ่งที่หายากอย่างไม่น่าเชื่อกระทั่งในโลกด้านหลังประตู
“ต้องขอโทษด้วยที่กลายเป็นภาระไปแล้ว พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนไหม?” หมอที่เคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างยากลำบาก แต่ว่าสมองของเขาก็ยังแจ่มใสและมีสติ “ผีผู้หญิงตามเรามาถึงประตูหน้า ดังนั้น ถ้าพวกเราแอบออกไปทางประตูหลัง เธอก็น่าจะไม่รู้ตัว”
“ผีตนนั้นเล็งพวกเราเอาไว้แล้ว หนทางเดียวที่จะออกไปจากที่นี่ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดของเธอก็คือการเบี่ยงเบนความเกลียดชังของเธอไปที่คนอื่น” เฉินเกอนำผู้โดยสารทั้งสามคนกลับไปที่ชั้นล่าง เขามองเจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวที่ถูกมัดเอาไว้ที่ทางเข้า สายตาคมกริบของเขาทำให้เจ้าของและพ่อครัวตัวสั่นเป็นใบไม้ต้องลม “นี่ยังไม่พอที่จะรับรองความปลอดภัย ผมต้องหาวิธีการอื่นให้แน่ใจว่าผู้หญิงไร้หัวจะโจมตีพวกเขา หรือไม่อย่างนั้นแผนการขั้นต่อไปของผมก็จะเริ่มต้นไม่ได้”
ภายใต้การเขม้นมองอย่างสิ้นหวังของ ‘เหยื่อ’ ทั้งสอง เฉินเกอเดินเข้าไปในห้องครัวหาอ่างใบใหญ่ที่ปกติใช้ล้างผักออกมา เขาเติมน้ำประปาลงไปประมาณครึ่งหนึ่งก่อนที่จะเอาออกมาข้างนอก
“คุณกำลังจะทำอะไร?”
ความรู้สึกเลวร้ายขดรอบหัวใจของพ่อครัวและเจ้าของร่างอ้วน เฉินเกอไม่สนใจพวกเขาและดึงเอาขวดสามใบที่มีตะกอนสีเทาออกมาจากกระเป๋าหลัง เขาเปิดฝาและเทของข้างในทั้งหมดลงไปในอ่าง หลังจากคนผสมมันแล้ว เฉินเกอก็พังโต๊ะและใช้ขาโต๊ะเป็นคานเทินอ่างไว้เหนือกรอบประตู เมื่อผีผู้หญิงเปิดประตูเข้ามา อ่างก็จะหล่นลงมาและของข้างในก็จะสาดใส่คนด้านล่าง นี่เป็นการกลั่นแกล้งกันแบบพื้นฐานมาก ๆ แต่เป้าหมายครั้งนี้คือวิญญาณสีเลือด
“ผมแน่ใจว่าของสีเทานั่นไม่ใช่ของดี เมื่อเธอเปียกชุ่มไปด้วยของนั่น ผีผู้หญิงน่าจะคลั่งเลือดและพุ่งเข้าใส่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้เธอที่สุด” เฉินเกอหันไปมองพ่อครัวและเจ้าของร่างอ้วน ความสิ้นหวังในใจของพวกเขานั้นปรากกขึ้นที่ดวงตาของพวกเขา หากพวกเขามีโอกาสครั้งที่สอง พวกเขาคงไม่รับกลุ่มของเฉินเกอเข้ามาพักคืนนี้
“ถ้าบนโลกนี้มีปิศาจ ผมแน่ใจเลยว่ามันต้องดูเหมือนแบบนี้” ชายขี้เมาพยุงหมอให้ออกห่างจากฉากนองเลือด เขาแอบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นกับดักที่เฉินเกอวางไว้ “ขอบคุณที่ตอนนี้พวกเราอยู่ข้างเดียวกัน…”
หลังจากเฉินเกอจัดการกับกลไกเสร็จ เขาก็โบกมือให้มือกรรไกรและคนที่เหลือ “ตามผมมา”
เขาอุ้มเจ้าแมวขาวขึ้นจากพื้นและนำทุกคนไปยังชั้นสอง เขาเลี้ยวเข้าไปในห้องแรกทางซ้ายและใช้ค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกทำลายแผ่นกระดานไม้ที่ปิดอยู่บนกรอบหน้าต่าง “พวกคุณที่เหลือควรอยู่ในห้องนี้และพยายามทำเชือกจากวัสดุที่ในห้องนี่ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น ให้หนีออกไปทางหน้าต่างให้เร็วที่สุดเท่าที่คุณทำได้”
“คุณวางแผนจะทำอะไรอีก?” มือกรรไกรสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงประหลาดของเฉินเกอ เขาอธิบายไม่ได้จริง ๆ แต่มันเหมือนกับเป็นความกังวลผสมตื่นเต้น
“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ พวกคุณช่วยอะไรผมไม่ได้มากนัก ดังนั้นพยายามเอาชีวิตรอดให้ดีที่สุด” เฉินเกอมองออกไปทางหน้าต่าง “เขตที่พักอาศัยที่พวกเราอยู่ตอนแรกตอนนี้น่าจะสะอาดแล้ว พอผมให้สัญญาณพวกคุณวิ่ง ก็กระโดดออกจากหน้าต่างนี่แล้วมุ่งหน้าไปที่นั่น ไปที่นั่นแล้วรอผม”
“ได้ คุณก็ระวังด้วย”
“ไม่ต้องห่วง อ้อ แล้วก็ เอาแมวผมไปกับพวกคุณด้วย” เฉินเกอวางเจ้าแมวขาวไว้ในห้องนอน เขากำลังจะหันออกไปจากห้องตอนที่รู้สึกถึงแรงกดทับหนัก ๆ บนไหล่ เขาหันไปมอง และเจ้าแมวขาวก็กระโดดขึ้นมาอยู่บนไหล่ของเขาแล้วและนั่งอยู่บนนั้น ดวงตาของเจ้าแมวมองเฉินเกออย่างสงสัย เหมือนกับมันกำลังถาม นายกำลังจะทิ้งฉันเรอะ?
“ถ้าแกอยากไป อย่างนั้นก็ไปด้วยกัน แต่ถ้าเจอกับวิญญาณสีเลือดเข้าก็ระวังอย่าวิ่งสะเปะสะปะไป” เฉินเกอแบกกระเป๋าของเขาแล้วกลับลงไปที่ชั้นล่าง เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องครัว มองแวบแรก มันก็เหมือนห้องครัวปกติ– ไม่มีอะไรสะดุดตา
“ถ้าที่นี่เป็นเหมือนที่ในเกมของเสี่ยวปู้ ก็ต้องมีห้องลับอยู่ด้านหลังตู้เย็น หัวของผีหิวโหยตนนั้นอยู่ที่ชั้นบนของตู้เย็น และร่างกายใหญ่โตของเธอก็ติดอยู่ในห้องลับ” เดินไปที่ตู้เย็น เฉินเกอพบว่าตู้เย็นไม่ได้เสียบปลั๊กเอาไว้ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง มันเป็นแค่เครื่องตกแต่งเท่านั้นเอง
“มันน่าจะอีกไม่นานแล้วก่อนที่ประตูโรงแรมจะถูกพังลง” เฉินเกอเอื้อมมือไปจับที่จับประตูตู้เย็น และเขาก็ใช้ดวงตาหยินหยางมองไปยังทางเข้าโรงแรม หญิงไร้หัวนั้นระมัดระวัง แต่ความโกรธและการถูกยั่วยุก็ทำให้เธอสูญเสียความมีเหตุมีผลไปอย่างช้า ๆ เธอสัมผัสได้ว่าคนที่เธอตามหานั้นอยู่แค่ในตึกนี่แล้ว หลังจากรออยู่สิบนาทีเต็ม ความอดทนของหญิงไร้หัวในที่สุดก็เหือดแห้ง หลอดเลือดคืบคลานอยู่เหนือประตูทางเข้าเหมือนพืชสักชนิดและในเวลาเดียวกัน เฉินเกอก็รู้สึกได้ว่าตู้เย็นตรงหน้าเขาสั่นเหมือนบางอย่างด้านในกำลังจะตื่นขึ้น
ปัง!
เมื่อหลอดเลือดปกคลุมทั่วพื้น ทางเข้าโรงแรมในที่สุดก็พังทลายลง ผีผู้หญิงอุ้มหัวของเธอไว้ในอ้อมแขนและเข้าโรมแรมมาดวงตาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
เมื่อเธอก้าวเท้าก้าวแรก อ่างที่เหนือประตูก็ย่อมหล่นลงมาตามแรมโน้มถ่วง หลอดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนถักทอเป็นตาข่ายและเหวี่ยงอ่างเหล็กไปข้าง ๆ ผีผู้หญิงประหลาดใจที่มีใครกล้าเล่นเป็นเด็ก ๆ กับเธอ แต่ปฏิกริยาตอบสนองของเธอก็รวดเร็วราวสายฟ้า
อ่างถูกผลักทิ้งไป แต่ว่าของที่ด้านในที่เป็นส่วนผสมของตะกอนสีเทาสาดลงไปบนหลอดเลือด และบางอย่างน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น ตะกอนสีเทานั้นดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควบคุมพลัง สามารถควบคุมเหนือกระทั่งหลอดเลือดของวิญญาณสีเลือด มันละลายผ่านตาข่ายเลือดและหัวที่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้นก็กรีดร้องโหยหวน เธอฉีกกระชากเส้นเลือดสีดำทิ้ง
เมื่อไม่มีอะไรรองรับ อ่างที่เหนือประตูก็หล่นใส่ผีผู้หญิงโดยตรง มันคว่ำใส่ตรงลำคอที่ถูกตัดและยังมีเสียง ‘ปัง’ ดังชัด
“ตะกอนสีเทานั่นมันอะไร? เป็นไปได้ไหมว่ามันเกี่ยวข้องกับเลือดสีดำที่สมาคมเล่าเรื่องผีใส่ไว้ในกล่องไม้นั่น?” หลังจากได้รับการรับรองจากคุณหมอเกา เฉินเกอนั้นก็นับได้ว่ารับหน้าที่ประธานคนใหม่แล้ว โชคร้าย เพื่อที่จะจัดการกับเขานั้น สมาคมใช้เกือบทุกอย่างที่พวกเขามี เฉินเกอนั้นมีข้อมูลมากมาย แต่ว่าข้อได้เปรียบจากการฝึกฝนเป็นศูนย์
การผจญภัยในเมืองหลี่ว่านของเขานั้นต่างออกไป เงานั่นเตรียมการหลายปีฟูมฟักผีทารก ดังนั้นมันต้องมี ‘ผลผลิตอันพิเศษ’ มากมายถูกพบที่ด้านหลังประตู!
“ฉันประมาทเกินไป โรงแรมสร้างไว้ที่กลายเมืองหลี่ว่านและยังเป็นที่อยู่ของวิญญาณสีเลือดเก่งกาจอย่างผีหิวโหยนั่น ดังนั้น ฉันควรจะรู้ว่าสิ่งที่เจ้าของนั่นสะสมเอาไว้ย่อมต้องมีค่าอย่างมาก” เฉินเกอสรุปบทเรียนในใจ “ถ้าฉันมีโอกาสเข้าไปในตึกหลังอื่น ตราบใดที่มีอะไรที่น่าศึกษา ฉันก็จะเอามันไปด้วย”
ที่ทางเข้า หญิงไร้หัวยืนอยู่กลางประตูมีอ่างใบหนึ่งครอบเอาไว้บนไหล่ หัวในอ้อมแขนเธอบิดเบี้ยวอย่างโกรธแค้น ดวงตาแดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดมากมายไม่จบสิ้น
ไม่ถึงวินาที หลอดเลือดที่มากกว่าก่อนหน้าเป็นสิบเท่าก็พุ่งออกมาจากคอของเธอ พวกมันเจาะผ่านวัตถุทุกชิ้นรอบตัวเธอ ทั้งที่มีชีวิตที่และที่ตายไปแล้ว! มันใช้เวลาเพียงไม่นานหลอดเลือดก็ปกคลุมไปครึ่งหนึ่งของโรงแรม!
มันเร็วเกินไป เพียงแค่กะพริบตา เจ้าของร่างอ้วนและพ่อครัวก็ไร้สัญญาณชีวิตไปแล้ว
ฉันปล่อยให้เธอรู้ว่าฉันแอบอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้าฉันติดอยู่ในห้องครัวก็จบกันพอดี!
เฉินเกอดึงประตูตู้เย็นเปิดออก ตู้เย็นนั้นเชื่อมอยู่กับผนังด้านหลัง และกรามที่อ้ากว้างอยู่ก็เผยตัวอยู่ตรงหน้าเฉินเกอ
เพราะไม่มีเวลาดูมันใกล้ ๆ เฉินเกอก้าวถอยไปสองก้าวแล้วโยนฟันที่ในกระเป๋าพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปในปากที่เปิดอยู่ หลังจากนั้น เฉินเกอก็ถอยออกมาจากห้องครัว
ความเกรี้ยวกราดของหญิงไร้หัวที่ทางเข้ายังพวยพุ่ง เมื่อสายตาของเธอจับมาที่เฉินเกอ เธอก็กรีดร้องอีกครั้ง ศัตรูของเธอยืนอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เธอทำลายกฎของเมืองหลี่ว่านและก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรมเต็มตัว
ถูกวิญญาณสีเลือดตนหนึ่งจับจ้องเป็นเป้าหมายไม่ใช่ความรู้สึกที่ดี เฉินเกอวิ่งพรวดไปยังห้องที่หนึ่ง เขาเพิ่งออกจากห้องครัวตอนที่เขาได้ยินเสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังมาจากด้านหลังเขา หันกลับไปมองก็พบว่ากำแพงห้องครัวนั้นเต้นตุบไปด้วยหลอดเลือดมากมาย ผนังที่ติดอยู่กับตู้เย็นเริ่มถล่มลงไป ปิศาจสีเลือดน่าเกลียดในที่สุดก็ปรากฏตัว
ตอนที่ 650
ได้เวลามื้อเย็นแล้ว!
“ปิศาจตัวใหญ่ขนาดนี้?” ความประทับใจแรกของฟางหยวนต่อวิญญาณสีเลือดในตู้เย็นก็คือขนาดตัวของเธอ ศีรษะของเธอนั้นดูค่อนข้างปกติ ใหญ่กว่าคนทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าตัวของเธอนั้นใหญ่จนเต็มห้องห้องหนึ่งได้เลย
เฉินเกอนั้นเคยเห็นวิญญาณสีเลือดมาก่อนหน้านี้ตั้งมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวิญญาณสีเลือดที่มีขนาดใหญ่โตเช่นนี้
“นี่ยังน่าเกลียดที่สุดในบรรดาวิญญาณสีเลือดที่ฉันเคยเจอ” ทำงานที่บ้านผีสิง เฉินเกอนั้นเคยชินกับการแต่งหน้าให้ดูน่ากลัวดังนั้นเขาจึงมีความทนทานต่อภาพไม่น่าดูและน่าเกลียดสูง แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเขาเห็นวิญญาณสีเลือดที่ในห้องครัว เขาก็ยังต้องเบนสายตาหลบหลังจากมองไปแวบหนึ่ง
แค่ความน่ากลัวและน่าเกลียดดูจะไม่เพียงพอที่จะใช้บรรยายผู้หญิงคนนี้ สีหน้าบ้าคลั่งบนศีรษะขนาดเท่าลูกบาสเกตบอล และยังละอองเลือดที่ซึมออกมาจากร่างกายมหึมานั่น ถึงเขาจะอยู่ห่างออกมา เขาก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าที่ละอองเหล่านั้นนำมา เฉินเกอไม่กล้าหันหลังกลับไปดูอีกครั้ง ความน่าเกลียดอย่างที่สุดของวิญญาณสีเลือดทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายอย่างร้ายแรง ผู้หญิงคนนี้น่าจะอยู่ในระดับเดียวกันกับผีในบ่อที่ในหมู่บ้านโลงศพ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง วิญญาณสีเลือดตนนี้นั้นทรงพลังมากพอที่จะแบกฉากระดับสามดาวนี้เอาไว้คนเดียว
“เมืองหลี่ว่านเองเป็นฉากระดับสามดาวครึ่ง ถ้าไม่คิดถึงอิทธิพลจากประตูที่หลุดจากการควบคุม ปิศาจตนนี้ก็น่าจะเป็นวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองหลี่ว่าน ไม่แปลกใจเลยว่าโรงแรมนี้ถึงได้ตั้งอยู่กลางเมือง” สมองของเขาหมุนเร็วจี๋ เท้าของเฉินเกอก็ไม่ได้ชะลอลง และไม่ช้า เขาก็ไปถึงที่ประตูห้องที่หนึ่ง
เขาคว้าลูกบิดประตู แต่ก่อนที่เขาจะทันทำอะไรอื่น กะโหลกศีรษะที่ห้อยหลวม ๆ อยู่กับหลอดเลือดมากมายก็พุ่งมาที่เขาจากที่ไกล ๆ ดวงตาของมันเป็นประกายสีแดงก่ำ– ผู้หญิงไร้หัวสาบานว่าจะฆ่าเฉินเกอให้ได้!
เฉินเกอร้องเรียกซู่อินอยู่ในใจ เขาเตรียมการถอยเอาไว้หมดแล้ว แต่ตอนนี้ ประตูห้องครัวแง้มเปิดออกช้า ๆ และผนังที่รอบด้านก็ราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา หลอดเลือดเส้นหนามากมายผุดขึ้นที่บนผนัง และพวกมันก็เต้นตุบอย่างน่ากลัวราวกับมีเลือดไหลเวียนอยู่ข้างใน
ประตูไม้แง้มออกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด หญิงไร้หัวหยุดการโจมตีใส่เฉินเกอ หลอดเลือดลากหัวกลับไปยังอ้อมแขนที่คอยปกป้องของเธอ
“ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าเธอมองหัวเธอเป็นว่าวสักตัวล่ะเนี่ย?” เฉินเกอใช้โอกาสนี้หนีออกมา วิญญาณสีเลือดสองตนเจอกันแล้ว– เป้าหมายของเขาสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงเหลือสิ่งสุดท้ายให้ทำ เขาตั้งสมาธิ เฉินเกอมองเข้าไปในหัวใจของตนเอง
“จางหยา? เธอรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?”
“จางหยา? เธอได้ยินฉันไหม?”
“จางหยา? ฉันมีอาหารมื้ออร่อยเตรียมให้เธอนะ!”
“พี่สาว! ได้เวลาตื่นแล้ว! ได้เวลามื้อเย็นแล้วนะ!”
เฉินเกอ ที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้จะเผชิญหน้ากับวิญญาณสีเลือดเริ่มตัวสั่นในเหงื่อเย็นเยียบ หากความสามารถในการต่อสู้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของผู้โดยสารสี่คนขึ้นอยู่กับเฉินเกอแล้วละก็ ความมั่นใจเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของเฉินเกอก็มาจากจางหยานี่แหละ
วิญญาณสีเลือดที่สามารถแบกฉากระดับสามดาวด้วยมือเดียวนั้นแข็งแกร่งกว่าซู่อินมากนัก กระทั่งมีความช่วยเหลือจากเหมินหนานก็ยังถ่วงเวลาได้อีกแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ขณะที่เขาเรียกชื่อจางหยา เฉินเกอก็ค้นไปทั่วกระเป๋าของเขา
เฉินเกอมีไพ่ตายมากมาย เขามีวิญญาณสีเลือดที่อ่อนแอที่สุด เหมินหนาน และกึ่งวิญญาณสีเลือดที่แข็งแกร่งที่สุด เอี๋ยนต้าเหนียน เขายังมีเพื่อนอีกตั้งมาก แต่ไม่มีใครที่ทรงพลังพอที่จะช่วยเขาหยุดผีหิวโหยนี่ ตอนที่เขาวางแผน เฉินเกอคิดถึงปัจจัยมากมาย เขายังแน่ใจว่าไม่ได้พลาดรายละเอียดใดไป แต่สิ่งเดียวที่เขาลืมไปก็คือสถานการณ์ที่จางหยาปลุกไม่ตื่น
“เมื่อวิญญาณสีเลือดกินเข้าไปเยอะเกิน พวกเขาก็จะต้องจำศีล ด้วยระดับพลังของจางหยาตอนนี้ ต่อให้เธอกินวิญญาณสีเลือดทั่วไปสักตนเข้าไป เธอก็ไม่ต้องจำศีล นี่หมายความว่าเลือดสองสามหยดที่ออกมาจากคุณหมอเกาตอนที่พวกเราอยู่ในประตูนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มากกว่าวิญญาณสีเลือดทั่วไป?” ตอนที่เฉินเกอไล่ตามผีในน้ำ เขาบังเอิญเข้าไปในตึกที่ถูกไฟไหม้ ด้านหลังประตูบานหนึ่งของที่นั่น เขาบังเอิญเจอคุณหมอเกาที่หายตัวไป
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่แวบเดียว เขาก็แน่ใจว่า ‘ปิศาจ’ นั่นคือคุณหมอเกา เพื่อขัดขวางแผนการของเงานั่น เฉินเกอยังทิ้งข้อความให้คุณหมอเกาบอกให้เขามาที่เมืองหลี่ว่าน จิ่วเจียงตะวันออก ตอนนี้ที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าหากโลกที่ด้านหลังประตูนั้นเชื่อมถึงกัน ฝันร้ายครั้งใหญ่นั้นเกิดจากฝันร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน อย่างนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่คุณหมอเกาจะมาที่เมืองหลี่ว่านนี่
แผนที่ของจิ่วเจียงปรากฏขึ้นในใจเฉินเกอ คุณหมอเกาทำลายประตูที่ในห้องเก็บศพใต้ดินในวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียง เขาหายตัวไปด้านหลังประตูที่ตำแหน่งนั้น และครั้งที่สองที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็เป็นที่เขตที่พักอาศัยติดกับโรงเรียนเด็กพิเศษ และเมืองหลี่ว่าน ทั้งสามตำแหน่งนี้บังเอิญเป็นเส้นตรงเดียวกันที่บนแผนที่เมืองจิ่วเจียง
“คุณหมอเกาเคลื่อนไหวอยู่ในโลกด้านหลังประตู ดังนั้นสิ่งที่เขาตามหาน่าจะอยู่ในจิ่วเจียงตะวันออกเช่นกัน” หลังจากตระหนักถึงเรื่องนี้ เฉินเกอก็ไม่รู้สึกผ่อนคลายอีกต่อไป และยังกระสับกระส่ายมากขึ้น
ผีหิวโหยนั้นมีพลังมากถึงขนาดที่สามารถรองรับฉากระดับสามดาวได้ด้วยตัวเอง แต่ตอนที่คุณหมอเกายังมีชีวิตอยู่ เขายังสามารถใช้กฎมากมายของโลกที่ด้านหลังประตูสร้างฉากระดับสามดาวได้ ตอนนี้ หลังจากที่เขาตายแล้ว เขาย่อมเปลี่ยนไปเป็นบางอย่างที่ทรงพลังยิ่งกว่าวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง พวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันโดยสิ้นเชิง
ประตูในเมืองหลี่ว่านหลุดออกจากการควบคุม และเพราะอย่างนั้น ฉากนี้จึงกลายเป็นภารกิจระดับสามดาวของโทรศัพท์เครื่องดำ
ที่ห้องเก็บศพใต้ดิน คุณหมอเกาใช้ร่างเป็น ๆ ของเขารองรับความสิ้นหวังทั้งมวลในฉากและกลืนกินประตูทั้งบานลงไป ประตูถูกทำลายด้วยวิธีอันไม่อาจจะจินตนาการได้ แต่ในฐานะผู้เปิดประตู คุณหมอเกานั้นเกินจะควบคุมได้ เฉินเกอนั้นรู้สึกว่าตัวคุณหมอเกาเองนั้นก็เหมือนกับฉากระดับสามดาวครึ่งที่เคลื่อนที่ได้
“คุณหมอเกาน่าจะปรากฏตัวในเมืองหลี่ว่าน และเงานั่นยังเลี้ยงดูผีทารกซึ่งทำให้เกิดเป็นฉากระดับสี่ดาวที่อาจจะนับได้ว่าเป็นไพ่ตายของเขา นั่นยังไม่นับผู้เปิดประตูที่เมืองหลี่ว่าน– เสี่ยวปู้ ถึงฉันจะมีจางหยาและพนักงานของฉันมาทำภารกิจนี้ด้วยกัน ฉันก็อาจจะไม่ได้เปรียบอะไร ตอนนี้ ไม่มีทางบอกได้เลยว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร”
เฉินเกอนั้นไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือคุณหมอเกาและเสี่ยวปู้ได้ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพยายามแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีโอกาส วิญญาณสีเลือดทั้งสองนี้ก็คงไม่สามารถคุมเชิงกันได้นานนัก ตามที่เฉินเกอคาดเอาไว้ เมื่อผีหิวโหยเห็นสองร่างที่ประตูแล้ว เธอน่าจะคลั่งขึ้นมาได้
วิญญาณสีเลือดทรงพลังเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งโหดร้ายและป่าเถื่อนเท่านั้น วิญญาณสีเลือดน่าเกลียดที่ออกมาจากห้องครัวนั้นมีร่างกายใหญ่โตที่เชื่อมต่อกับทั้งโรงแรม หมอกเลือดที่นำเอากลิ่นเหม็นเน่าน่าคลื่นเหียนซึมผ่านผนัง เพดาน และพื้น หลอดเลือดที่เต้นตุบเริ่มปรากฏขึ้นทุกแห่ง
ภาพตรงหน้าทำให้เฉินเกอนึกถึงโลกด้านหลังประตูที่ห้องเก็บศพใต้ดิน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกลืนลงไปในท้องของสัตว์ประหลาด
“นี่ดูไม่ดีแล้ว…” เฉินเกอพยายามเรียกจางหยาอีกครั้ง แต่เธอไม่ตอบสนองอะไรกลับมาเลย มันเหมือนว่าเธอจะปรากฏตัวขึ้นเฉพาะตอนที่เขาอยู่ในอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตจริง ๆ เท่านั้น
“การต่อสู้ระหว่างเสือสองตัวนำไปสู่การบาดเจ็บมากมาย– นี่เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยม! แต่ในฐานะของคนเป็นคนหนึ่ง มันยากเกินไปที่ฉันจะสามารถฉวยโอกาสจากวิญญาณสีเลือดได้” เฉินเกอกลั้นหายใจขณะถอยไปยังบันได แต่ว่า เขาก็ไม่ยินยอมจากไปเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะรออีกครู่หนึ่ง
ตอนที่ 651
ในฐานะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหลี่ว่าน หญิงไร้หัวย่อมรู้ว่าโรงแรมนี้นั้นเป็นอาณาเขตของปิศาจหิวโหย แต่ว่า เธอก็อาจจะไม่ได้คาดว่าผีตนนั้นจะถูกปลุกขึ้นจากการจำศีลในวินาทีที่เธอก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรม
จากการประเมินแล้ว ถ้าพวกเขานั้นอยู่ห่างจากเหยื่อของพวกเขาไม่มากนัก วิญญาณสีเลือดย่อมต้องการเวลาแค่วินาทีเดียวในการสังหารคนธรรมดาคนหนึ่งได้ถึงสิบวิธี และนั่นเป็นเหตุผลให้เธอไม่ยินดีก้าวเท้าเข้ามาในโรงแรม จากมุมมองของเธอ เธอสามารถจัดการคนพวกนี้และถอยออกไปจากที่นี่ก่อนที่ผีผู้หญิงหิวโหยจะตื่นขึ้นมา เธอสู้ผีหิวโหยนั่นไม่ได้ แต่ว่าผีหิวโหยตนนั้นก็ต้องยากลำบากอยู่เหมือนกันหากจะไล่ล่าเธอข้ามเมือง
แผนการดูสมบูรณ์แบบจริง ๆ แต่โชคร้าย ศัตรูของเธอคือเฉินเกอ วินาทีที่เธอคิดว่าเฉินเกอเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งก็คือวินาทีที่เธอพ่ายแพ้แล้ว ในสายตาของวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง คนธรรมดา ๆ นั้นไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าอาหารที่สามารถมอบความอาฆาตแค้นให้พวกเขาได้ และในสายตาของเฉินเกอ วิญญาณสีเลือดธรรมดา ๆ ก็คืออาหารที่สามารถเพิ่มระดับพลังของพนักงานของเขาได้ ความคิดตรงกันทั้งสองฝ่ายและนั่นก็คือความยุติธรรมในสายตาของเฉินเกอ
ด้วยการจับจังหวะเวลาอย่างยอดเยี่ยม หญิงไร้หัวนั้นเพ่งสมาธิอยู่กับเฉินเกอและเธอก็พุ่งมายังจุดที่ห้องครัวเชื่อมต่อกับทางเดิน และนั่นก็คือวินาทีที่ผีหิวโหยเลือกที่จะออกมาจากห้องครัว
พวกเธออยู่ใกล้กันมากจนหญิงไร้หัวไม่มีโอกาสหลบหลีกได้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรับการโจมตีแรกจากผีหิวโหย จากนั้นเธอก็พยายามหนีสุดชีวิต
ผีหิวโหยดูเหมือนจะมองแผนการของหญิงไร้หัวออก ร่างกายใหญ่มหึมาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและหิวโหยก็พุ่งไปข้างหน้าเหมือนช้างตัวมหึมาที่กำลังแตกตื่น หมอกเลือดสลายไป และทั้งอาคารก็เขย่าราวกับมันมีชีวิตขึ้นมา หลอดเลือดที่บนผนังเต้นด้วยจังหวะพิเศษของมัน และพวกมันก็ผละออกจากผนังเหมือนโซ่เป็นสาย พวกมันถักทออยู่เหนือทางเข้าโรงแรม ปิดทางหนีของหญิงไร้หัว
ในดวงตาที่ไม่ได้พยายามปิดบังความอาฆาตแค้นของเธอ เลือดทะลักออกมาจากลำคอของหญิงไร้หัว เธอรู้ว่าเธอไม่ได้เปรียบ ดังนั้นเธอจึงไม่ตรงเข้าไปสู้กับผีหิวโหยอย่างมืดบอด กลับกัน เธอรวบรวมพลังและให้หลอดเลือดมาออกันอยู่รอบตัวเธอ
หัวที่ถูกตัดออกมาของเธอถูกเย็บกลับเข้าไปกับร่างของเธอ นี่น่าจะเป็นรูปลักษณ์ของเธอก่อนที่เธอจะตาย เธอสวมชุดนอน ทุกตารางนิ้วของเสื้อผ้านั้นย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด
หลอดเลือดตวัดฟาดมาทางเธอ เธอพยายามหลบ แต่ว่าเลือดพวกนั้นเคลื่อนไหวเร็วเกินไปสำหรับเธอ เมื่อหนีไม่ได้ เธอก็ใช้เลือดตัวเองห่อหุ้มร่างของเธอเอาไว้เหมือนเป็นเกราะป้องกันเธอจากแรงกระแทก
ผีหิวโหยนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแม้แต่ปลายนิ้ว เพียงแค่ควบคุมโซ่หลอดเลือดเส้นหนาก็ทำให้หญิงไร้หัวรับมือได้ลำบากแล้ว
“ความแตกต่างของพลังช่างกว้างนัก!” ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้สำหรับเฉินเกอก็คือสถานการณ์ที่เสมอกัน จะดีที่สุดถ้าวิญญาณสีเลือดทั้งสองตนนั้นอ่อนแอลงหลังจากต่อสู้กัน แต่ว่า จากที่เขากำลังมองอยู่นี้ ผีหิวโหยนั้นกำลังจะชนะอย่างง่ายดาย เธอสามารถทรมานและสังหารหญิงไร้หัวได้อย่างง่ายดายโดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
ในเกมของเสี่ยวปู้ เฉินเกอควบคุมตัวเสี่ยวปู้ออกไปจากที่นี่ตอนที่วิญญาณสีเลือดทั้งสองตนเริ่มสู้กัน เขาไม่รู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่หลังจากนี้
“ฉันควรจะพยายามช่วยให้หญิงไร้หัวนั่นให้ตีตื้นขึ้นมาหน่อยไหม?” ตอนนี้ มีตัวเลือกสามข้ออยู่ตรงหน้าเฉินเกอ หนึ่งคือช่วยหญิงไร้หัวสู้กับผีหิวโหยนี่ หลังจากผีหิวโหยถูกจัดการ เขาก็หันกลับไปจัดการกับหญิงไร้หัว แผนการนี้มีปัจจัยให้เกิดเรื่องผิดพลาดมากเกินไป อย่างเช่น หญิงไร้หัวอาจใช้เฉินเกอเป็นโล่และหนีไปตอนที่เขาสู้ติดพันอยู่กับผีหิวโหย อย่างไรเสีย ก็ไม่มีสัญญาณอะไรว่าเธอจะยินดีร่วมมือกับเฉินเกอ
ตัวเลือกที่สองคือไม่ต้องทำอะไรเลย หลังจากผีหิวโหยทำให้หญิงไร้หัวบาดเจ็บสาหัส เขาก็จะให้จางหยาจัดการกับผีหิวโหย นั่นเป็นแผนการที่ปลอดภัยที่สุด แต่เงื่อนไขใหญ่ที่สุดก็คือจางหยานั้นไม่ได้มีอะไรบอกเลยว่าเธอยินดีจะปรากฏตัวออกมา ไม่ว่าเฉินเกอจะพยายามเรียกเธอออกมาเท่าไหร่ เธอก็ไม่ตอบสนองอะไรเขาเลย
ทางเลือกที่สามคือหันหลังกลับออกไปจากที่นี่ นอกจากจางหยา เฉินเกอก็ไม่มีวิญญาณสีเลือดที่สมบูรณ์เลย เขาไม่สามารถอาศัยจำนวนที่มากกว่ารับมือกับวิญญาณสีเลือดสักตนได้ แต่เมื่อศัตรูคือวิญญาณสีเลือดร่างใหญ่นี่ ทางเลือกเดียวนี้ก็หวนกลับมา
“บางที ฉันอาจจะมาถึงเร็วเกินไป หากฉันมีเวลาสักสัปดาห์หนึ่ง ฉันอาจจะได้ช่วยซู่อินตามหาหัวใจของเขา และไป๋ชิวหลินก็อาจจะย่อยหัวใจของสยงฉิงสำเร็จ ถึงตอนนั้น ฉันก็จะมีวิญญาณสีเลือดสองตนอยู่ข้าง ๆ และตัวเลือกที่ฉันมีก็จะมากกว่านี้” เฉินเกอคร่ำครวญถึงจำนวนชั่วโมงที่น้อยเกินไปในแต่ละวันถึงแม้ว่าเขาจะใช้เวลาทั้งหมดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้วก็ตาม เขาทำงานทั้งวันทั้งคืน– ถ้าเป็นคนอื่นมาแทนที่เขาก็คงจะล้มพับลงไปแล้ว
เฉินเกอหยุดคิดอยู่หนึ่งหรือสองนาที แต่สถานการณ์ด้านในโรงแรมเริ่มเปลี่ยน ร่างใหญ่โตของปิศาจนั่นเริ่มแยกออกเผยให้เห็นช่องเล็ก ๆ คล้ายปากมากมาย และเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังมาจากด้านใน
“หิว…” มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจำแนกว่าเสียงออกมาจากช่องไหนเป็นช่องแรก เดิมที เสียงนั้นแผ่วเบามาก แต่ว่าเมื่อทุก ๆ ปากเริ่มส่งเสียงพร้อมกันขึ้นเรื่อย ๆ ปากจำนวนนับไม่ถ้วนอ้าและหุบพร้อมกันอยู่บนร่างใหญ่โตนั่น มันเป็นภาพที่ยากจะบรรยาย หญิงไร้หัวรู้สึกกดดัน และเธอก็เริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้น ตั้งแต่แรก เธอไม่เคยคิดถึงการต่อสู้เลย– เป้าหมายของเธอตลอดเวลานี้ก็คือพยายามหนี
“หิว หิว ฉันหิวมาก!” ผีหิวโหยกรีดร้อง และปากบนร่างก็ฉีกเปิด หลอดเลือดจำนวนมากถักทอเข้าด้วยกัน และมันก็ดูราวกับเป็นลิ้นลื่น ๆ จำนวนมากยื่นออกมาจากปากมากมายเหล่านั้น
“เจ้าสิ่งนี้ทรงพลังเกินไป” ด้วยดวงตาหยินหยาง เฉินเกอจึงมองเห็นความแตกต่างเล็กน้อยของปากมากมายบนร่างปิศาจนั่นได้ มันเหมือนว่าจะเป็นปากของคนละคนกัน “เธอเก็บ ‘ปาก’ ของ ‘อาหาร’ เหล่านั้นที่ถูกส่งเข้าท้องเธอเอาไว้? ปากบนร่างของเธอเป็นของเหยื่อของเธอ?”
ลิ้นสีแดงเลือดเลื้อยไปทางหญิงไร้หัว พื้นที่ให้หญิงไร้หัวหลบหนีนั้นเล็กลงเรื่อย ๆ แล้ว เธอถูกบีบให้ต้องขยับเข้าไปที่มุมด้านซ้ายของห้องโถง แต่ในที่สุด หนึ่งในลิ้นเหล่านั้นก็พันรอบขาของเธอได้จนได้
“นี่ไม่ดีแล้ว!” เฉินเกอลุกขึ้นยืน ระดับพลังระหว่างวิญญาณสีเลือดสองตนนี้นั้นแตกต่างกันเกินไป การต่อสู้อาจจะจบลงในพริบตาเดียว ได้เวลาที่เขาต้องเลือกแล้ว “ถ้าฉันช่วยผีไร้หัว เธอก็อาจจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือของฉัน แต่ว่า ถ้าฉันหนี ปิศาจหิวโหยก็มีแต่จะกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นหลังจากกินหญิงไร้หัวเข้าไป”
วิญญาณสีเลือดปกตินั้นอาจจะต้องจำศีลยาวนานหลังจากกินวิญญาณสีเลือดอีกตนเข้าไป แต่ฟางหยวนรู้สึกว่าผีหิวโหยนี้อาจจะม่ความสามารถในการลดระยะเวลาจำศีลลงให้เหลือน้อยที่สุดได้ เธอบอกว่าเธอหิว ร่างปิศาจนั้นคล้ายกับหลุมดำที่ไม่เคยเต็ม ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องบ้าที่จะสันนิษฐานว่าเธออาจจะครอบครองความสามารถในการย่อยที่เหนือกว่าวิญญาณอื่น ๆ มากอยู่
“ผีหิวโหยนั้นมีหน้าที่ปกป้องโรงแรม และโรงแรมก็ถูกสร้างเอาไว้ที่กลางเมืองหลี่ว่าน เห็นได้ชัดเจนว่า เงานั่นเชื่อถือเธอมาก– นั่นคือเหตุผลเดียวที่เขามอบตำแหน่งสำคัญให้เธอดูแล เธอจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นหลังจากกินหญิงไร้หัวเข้าไป และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับฉันเมื่อฉันสู้กับเงานั่นในอนาคต” เฉินเกอมองการณ์ไกลไปถึงอนาคต เขาไม่ได้จำกัดสายตาตัวเอาไว้แค่สถานการณ์ตรงหน้าเขาเท่านั้น “ถ้าแค่จางหยาอยู่ที่นี่ เรื่องมันก็จะไม่ซับซ้อนอย่างนี้แล้ว”
เฉินเกอหันกลับไปมองไปที่เงาของตัวเอง เขาเดิมทีนั้นตั้งใจแค่จะชำเลืองมองเท่านั้น แต่เขาก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเงาของเขานั้นเปลี่ยนไปด้วยความเร็วที่ช้าจนไม่น่าเชื่อ
“จางหยาซ่อนตัวอยู่ในเงาของฉัน เธอกำลังทำอะไรอยู่?” เฉินเกอไม่มีเวลาหยุดและคิดเพราะว่าเสียงกรีดร้องของหญิงไร้หัวนั้นก้องไปทั่วห้องโถง เฉินเกอหันกลับไปดูการต่อสู้และเขาก็เห็นหญิงไร้หัวตัดขาตัวเองที่ถูกลิ้นพันเอาไว้ทิ้งด้วยตัวเอง หลังจากมันหลุดออกจากร่างเธอ ขาก็สลายกลายไปเป็นหลอดเลือดกลุ่มหนึ่ง และพวกมันก็ถูกลิ้นนั่นลากกลับเข้าไปในร่างของปิศาจหิวโหย
เมื่อได้รสชาติของเลือดสด ๆ ปิศาจก็บ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งร่างของเธอสั่นด้วยความตื่นเต้นล้วน ๆ ริมฝีปากยังเปิดอ้าและหุบเมื่อลิ้นเลือดมากมายยื่นออกไปทางหญิงไร้หัว
เมื่อถูกบีบจนมุม หญิงไร้หัวก็รู้ว่าไม่มีทางที่เธอจะหนีได้แล้ว หลอดเลือดบนร่างของเธอเริ่มหดและขยับไปอยู่บริเวณรอบลำคอของเธอ มันดูเหมือนเธอพยายามจะทิ้งร่างตัวเองและหนีไปพร้อมกับหัวของเธอเท่านั้น
ปัง!
ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดนี้ ทางเข้าโรงแรมที่ถูกล็อกเอาไว้โดยผีหิวโหยจู่ ๆ ก็ถูกผลักเปิดออก เด็กชายเล็ก ๆ ในชุดผู้ป่วยวิ่งเข้ามาในห้องโถง ร้องไห้และตะโกน เขาดูอายุราวสี่ขวบ และเสื้อที่เขาสวมอยู่นั้นก็ขาดกะรุ่งกะริ่ง เขาดูน่าสงสารมาก
เฉินเกอกำลังจะลงมือ แต่พอเขาเห็นเด็กชาย เขาก็หยุด กระทั่งในสถานการณ์เช่นนี้ ฟางหยวนก็ยังคงรักษาความใจเย็นเหนือมนุษย์ของตนเอาไว้ได้ เพียงชำเลืองมองแวบเดียว เฉินเกอก็พบว่าเด็กชายสวมชุดผู้ป่วยที่ต่างไปจากที่เขาเห็นที่โรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน ดังนั้น เด็กชายคนนี้น่าจะเป็นผู้ป่วยที่ถูกส่งมายังเมืองหลี่ว่านจากโรงพยาบาลต้องสาปนั่น ตัวตนที่น่ากลัวที่สุดในโรงพยาบาลเมืองหลี่ว่าน
“มีเลือดเปื้อนอยู่บนร่างเขา อย่างนั้นเขาคงเป็นกึ่งวิญญาณสีเลือดตนหนึ่ง แต่ในเมื่อเด็กชายปรากฏตัวขึ้นมาตอนนี้ มันก็หมายความว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นก็คงอยู่ไม่ไกลแล้ว!”
โรงแรมนั้นอันตรายที่สุดแต่ก็เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองหลี่ว่านด้วย สามารถผลักดันให้กึ่งวิญญาณสีเลือดอยู่ในสภาพนี้ได้ นั่นแสดงให้เห็นถึงระดับพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น
หลังจากทางเข้าโรงแรมถูกพังเปิด เด็กชายวิ่งเข้าไปในห้องโถงโดยไม่หยุดดูอะไรเลย จากมุมมองของเขา สิ่งที่อยู่ด้านหลังเขานั้นเป็นตัวตนที่น่ากลัวที่สุด แต่ด้วยความสิ้นหวังของเขา หลังจากเขาพุ่งเข้าไปในตึก ความเข้าใจเกี่ยวกับความสยองของเขาก็เปลี่ยนไป
หลอดเลือดเส้นหนาใหญ่เชื่อมต่อกัน และไม่ไกลจากเขานัก ปิศาจที่มีปากมากมายกำลังอาละวาด ลิ้นมากมายเลื้อยออกมาจากหลอดเลือดคราวกับพยายามที่จะกลืนกินสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในตึกเข้าไป ใบหน้าเด็กชายเผือดขาวทันที เขาอยากจะถอยกลับออกไป แต่โอกาสนั้นกลับถูกยึดไป รองเท้าส้นสูงสีแดงคู่หนึ่งนั้นมาอยู่ด้านนอกทางเข้าโรงแรมแล้ว
เทียบกับหลอดเลือดที่เต้นตุบอยู่และปิศาจที่น่าสะอิดสะเอียนที่ด้านในโรงแรม รองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นดูสง่างามและน่ารักไปเลย
เฉินเกอไม่คิดว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงจะปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้ แต่ว่า เขาก็ต้องประหลาดใจอย่างยิ่ง แม้ว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นจะเห็นผีหิวโหยตนนั้นแล้วรองเท้านั่นก็ยังก้าวเข้ามาในโรงแรมโดยไม่ลังเลนัก เขาไม่รู้ว่านี่เป็นเพราะว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นมั่นใจในพลังของตัวเองเป็นอย่างมากหรือเป็นเพราะว่าความต้องการข้อมูลบางอย่างจากเด็กชายเป็นอย่างยิ่ง ที่บีบบังคับให้เธอวู่วามเช่นนี้
ประตูโรงแรมนั้นเปิดอยู่ และนี่ก็ทำให้หญิงไร้หัวมีโอกาสหนี หลอดเลือดที่พันอยู่รอบตัวเธอระเบิด และส่วนหัวของเธอก็ลากร่างกายไร้ชีวิตของเธอออกไปทางประตู หญิงไร้หัวนั้นเก็บงำพลังเอาไว้ เธอไม่ได้แข็งแกร่งเท่าผีหิวโหยนั่นที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่มีข้อได้เปรียบในด้านพื้นที่ นี่เป็นหนทางเดียวที่เธอทำได้
หลอดเลือดเล็กบางราวเข็มมากมายแทงทะลุหลอดเลือดและลิ้นราวกับมีด ผีหิวโหยและเฉินเกอนั้นประมาทหญิงไร้หัวไปมาก มีดมากมายนั้นราวกับเป็นทัณฑ์ทรมานที่หญิงไร้หัวได้รับตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ และมีดมากมายเหล่านั้นยังเกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของเธอ ความเจ็บปวดและความเกลียดชังนั้นเผาไหม้อยู่ในดวงวิญญาณของเธออย่างรุนแรง กระทั่งตอนที่เธอตายไปแล้ว เธอก็ยังไม่สามารถลืมความรู้สึกนั้นได้ เธอส่งผ่านความรู้สึกนั้นไปยังหลอดเลือดของเธอและนั่นทำให้หลอดเลือดที่ระเบิดออกจากลำคอของเธอนั้นมีคุณภาพต่างออกไปเมื่อเทียบกับหลอดเลือดที่วิญญาณสีเลือดตนอื่นใช้ ของเธอนั้นคมกริบอย่างยิ่ง
นี่น่าจะเป็นไพ่ตายของเธอแล้ว หลอดเลือดและลิ้นถูกตัดออก และหญิงไร้หัวก็เตรียมบุกฝ่าออกไป
สำหรับผู้คลั่งไคล้ในอาหารแล้ว การถูกขัดจังหวะงานเลี้ยงนั้นเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเป็นอย่างมาก ผีหิวโหยเพิ่งได้ลิ้มรสเลือดแต่กลับมีคนเข้ามาขัดตอนที่เธอกำลังจะได้กินอาหาร จากมุมมองของเธอแล้ว คนที่กล้ามาขัดมื้ออาหารของเธอนั้นควรได้รู้ว่าตนเองในที่สุดแล้วจะกลายมาเป็นอาหารบนโต๊ะของเธอ เธอต้องการการปลอบใจเป็นพิเศษจากอาหารเพื่อปลอบประโลมหัวใจอันบิดเบี้ยวและน่าเกลียดของเธอ
“หิว! ฉันหิวมาก!” ผนังลอกออก และเฉินเกอก็ต้องตกใจที่พบว่าโรงแรมนี้ไม่ได้ต่างไปจากห้องเก็บศพใต้ดินของคุณหมอเกาเท่าไหร่เลย เพดาน ผนัง และพื้นล้วนทำมาจากเลือดเนื้อและกระดูก
“ผนังของห้องเก็บศพใต้ดินนั้นทำมาจากศพ และผนังของโรงแรมนี้ก็น่าจะสร้างขึ้นมาจากอาหารที่เหลืออยู่ของผีผู้หญิงนั่น” จากมุมมองหนึ่ง โรงแรมของปิศาจหิวโหยนั้นก็คล้ายกับห้องเก็บศพใต้ดินย่อส่วน หากเฉินเกอไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง หากมีใครสักคนมาเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังเขาก็คงไม่เชื่อ
ปิศาจหิวโหยนั้นครอบครองการควบคุมตึกนี้อย่างสมบูรณ์ ทั้งโรงแรมนั้นราวกับเป็นร่างที่สองของเธอ พื้นสั่นสะเทือน และบันไดก็ถล่มลงมา การตกแต่งทั้งหมดในห้องล้วนพลิกหงายพลิกคว่ำและประตูหน้าที่เด็กชายพังเข้ามาก็ปิดลงอีกครั้ง หลอดเลือดคืบคลานไปยังทางเข้าแล้วผนึกทางเข้าออกสนิท หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง หากพวกเขาไม่จัดการกับเธอ ก็ไม่มีใครที่จะออกไปจากที่นี่ได้
“ทางเลือกเดียวตอนนี้ก็คือบุกออกไป สถานการณ์ตอนนี้เข้าข้างฉันแล้ว!” เฉินเกอนั้นเป็นคนที่สามารถมองหาแสงสว่างริบหรี่ได้ในทุกสถานการณ์ ถ้ามีคุณสมบัติสักอย่างหนึ่งของผู้ชายคนนี้ที่ควรได้รับการยกย่อง มันก็คงเป็นการที่เขาสามารถมองหาความหวังได้ไม่ว่าเขาจะตกลงไปสู่หุบเหวดำมืดลึกเพียงใด “เมื่อรองเท้าส้นสูงสีแดงปรากกตัวขึ้น หากเธอร่วมมือกับหญิงไร้หัว มันก็เพียงพอที่จะรั้งปิศาจหิวโหยเอาไว้ หากฉันช่วยพวกเขาจากด้านข้าง ต่อให้ไม่ได้ยืมพลังของจางหยา ก็น่าจะพอมีโอกาสให้พวกเราจัดการกับปิศาจตนนี้ได้!”
เฉินเกอหวังว่าวิญญาณเหล่านี้จะยินดีกับการให้ความช่วยเหลือทันเวลาของเขา ไม่ว่าอย่างไร เฉินเกอก็จะไม่ปรากฏตัวออกไปทันที เขายืนขึ้นเตรียมตัว ซ่อนอยู่ในเงามืด รอที่จะลงมือเมื่อถึงเวลา
“มันก็ยังน่าแปลกใจอยู่ที่เมืองหลี่ว่านเป็นฉากระดับสามดาวครึ่ง เพียงแค่วิญญาณสีเลือดในแต่ละตึกก็ทรงพลังอย่างไม่น่าเป็นไปได้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าปิศาจที่แข็งแกร่งที่สุดที่นี่จะมีหน้าตาอย่างไร”
ไม่ว่าปิศาจหิวโหยจะเป็นพวกเดียวกับเงานั่นหรือไม่ เฉินเกอก็ตัดสินใจจะฆ่าเธอ ปิศาจตนนี้นั้นถูกความหิวโหยของเธอเองกลืนกินไปแล้ว เธอไม่สามารถสื่อสารด้วยได้เลย หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง โอกาสที่เธอจะมาเป็นพนักงานของเขาได้นั้นเท่ากับศูนย์ “ชีวิตของเธอน่าจะเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ ได้เวลาที่เธอจะได้รับการปลดปล่อยแล้ว”
หลังจากปิดตายโรงแรมแล้ว ปิศาจหิวโหยก็โจมตีเด็กชาย หญิงไร้หัว และรองเท้าส้นสูงสีแดงพร้อมกัน ร่างกายใหญ่โตเยื้องย่างไปข้างหน้า ทำให้ทั้งตึกสั่นสะเทือน ปิศาจและหัวที่เล็กอย่างไม่เข้ากันของเธอนั้นกรีดร้องพร้อมกัน ปากที่บนร่างของเธอนั้นฉีกเปิดพร้อมกัน เผยให้เห็นฟันที่เปื้อนไปด้วยเลือด
หลอดเลือดในโรงแรมเต้นตุบต่อเนื่อง ปิศาจหิวโหยเคลื่อนที่ไปข้างหน้า เธอดูเหมือนตั้งใจจะใช้ปากมากมายของเธอนั้นเคี้ยวกินอาหารตรงหน้า
สถานการณ์อันตรายขึ้นเรื่อย ๆ จากจุดที่เขาซ่อนอยู่ ดวงตาของเฉินเกอเป็นประกายขึ้น “ปิศาจตนนี้นั้นไม่ได้ไร้พ่ายอย่างแท้จริง จนถึงตอนนี้ เธอมีจุดอ่อนอย่างน้อยสองจุด อย่างแรกก็คือความเร็วในการเคลื่อนที่ของเธอนั้นช้ามาก และเธอไม่คล่องแคล่ว สอง ถึงแม้ว่าจะมีปากมากมายนับไม่ถ้วนบนร่างของเธอ ปากทั้งหมดก็ยังฟังคำสั่งจากปากที่บนหัวของเธอ เทียบกับร่างกายที่ใหญ่โตอย่างไม่น่าเป็นไปได้ หัวเล็ก ๆ นั่นดูเปราะบางเป็นอย่างมาก!”
เฉินเกอนั้นไม่แน่ใจว่าปิศาจหิวโหยจะยังมีไพ่ตายอะไรที่ยังไม่เปิดเผยออกมาหรือไม่ เขาเรียกซู่อินและไป๋ชิวหลินออกมาเงียบ ๆ วางแผนหาโอกาสโจมตีจุดอ่อนของปิศาจตนนี้
TL note: ผู้แปลล้มป่วยกะทันหันจึงไม่สามารถอัพนิยายได้อย่างต่อเนื่องและคาดว่าน่าจะอัพได้ไม่สม่ำเสมอต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง ต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านด้วย
ตอนที่ 652
ในโรงแรม ผีหิวโหยนั้นได้เปรียบอย่างเถียงไม่ได้– นั่นทำให้เธอมั่นใจพอที่จะโจมตีวิญญาณสีเลือดทั้งหมดในโรงแรมของเธอพร้อมกัน แต่ว่า เธอประมาทพลังของรองเท้าส้นสูงสีแดงและหญิงไร้หัวไปมาก เมื่อชีวิตของพวกเธอถูกคุกคาม วิญญาณสีเลือดทั้งสองก็เผยความแข็งแกร่งอันประเมินมิได้ออกมา
ด้วยความสามารถในการตัดด้วยเลือดของตน หญิงไร้หัวจึงไม่ได้ไร้การป้องกันเสียทีเดียวถึงแม้ว่าอันที่จริงแล้วเธอจะตกเป็นฝ่ายตั้งรับ เมื่อเลือดของเธอพุ่งผ่านไป เนื้อก็ถูกกรีดเปิด และเลือดก็กระจายออกมา จากทิศทางที่เธอขยับไปนั้น เธอพยายามอย่างที่สุดที่จะไปรวมตัวกับรองเท้าส้นสูงสีแดง
ศัตรูของศัตรูคือมิตร
หญิงไร้หัวนั้นยินดีจะไปร่วมมือกับรองเท้าส้นสูงสีแดงและเด็กชาย แต่ว่า มันก็ไม่ชัดเจนนักว่าเธอพยายามจะเฉลี่ยความเกรี้ยวกราดของผีหิวโหยกับพวกเขาหรือว่าต้องการร่วมมือกับพวกเขาเอาชนะปิศาจนั่น
กรงที่สร้างขึ้นจากลิ้นและหลอดเลือดค่อย ๆ หดแคบเข้า และพื้นที่ที่วิญญาณสีเลือดทั้งสามมีอยู่นั้นก็เล็กลงเรื่อย ๆ เดิมที ลิ้นและหลอดเลือดนั้นไม่ได้โจมตีรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้นตรง ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลอดเลือดนักต่อนักก็หันไปสนใจรองเท้าส้นสูงคู่นั้น พวกมันดูเหมือนกำลังจะกลืนกินรองเท้าคู่นั้นที่ติดคำสาปและโชคร้ายลงไป
หลอดเลือดหนาพุ่งออกมาจากทุกทิศทางเหมือนงูพิษฝูงหนึ่ง ในตอนนี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังก้องในห้องโถง เสียงหัวเราะนั้นชัดเจนและสดใส มันยังเย้ายวนและไพเราะน่าฟังราวกับจะวาดความงามของเจ้าของเสียงนั้นออกมาได้จากแค่ฟังเท่านั้น
“เสียงหัวเราะดูเหมือนจะมาจากรองเท้าส้นสูงสีแดง” ในเสียงหัวเราะยังเหมือนจะมีเวทมนต์อะไรสักอย่างแฝงอยู่ มันมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของผู้ฟัง หลังจากเสียงหัวเราะผ่านเข้าหูเฉินเกอ เลือดในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนเร็วขึ้น ผื่นเลือดสีแดงปรากฏขึ้นบนผิวของเขาราวกับเส้นเลือดบางส่วนของเขาแตกออกจากการที่จู่ ๆ เลือดก็ไหลเวียนเร็วขึ้น
เทียบกับเสียงคำรามของปิศาจหิวโหยแล้ว เสียงหัวเราะจากรองเท้าส้นสูงสีแดงดูเหมือนจะตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว
“หิว หิว… หิว!” ปิศาจหิวโหยเห็นได้ชัดเจนว่าได้ยินเสียงหัวเราะนั่นเช่นกัน บางทีมันอาจจะอิจฉาหรืออาจจะเป็นเหตุผลอื่น แต่ว่าเฉินเกอรู้สึกได้ถึงความโกรธที่แผ่ออกมาจากตัวปิศาจนั่น
“ทำไมมันถึงเหมือนกับรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นกำลังเยาะเย้ยปิศาจหิวโหยอยู่เล่า? นี่เป็นการท้าทายแบบหนึ่งหรือเปล่า?” เสียงหัวเราะสดใสก้องอยู่ในห้องโถงและมันก็ค่อย ๆ เปลี่ยนจากน้ำเสียงหวานใสไปเป็นเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งอย่างช้า ๆ ในตอนท้าย หญิงร่างสูงคนหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวขึ้นเหนือรองเท้าส้นสุงสีแดง
เธอค่อนข้างผอมและยังสูงกว่าเฉินเกอ ทุกตารางนิ้วบนร่างของเธอนั้นมีผ้าพันแผลชุ่มเลือดพันเอาไว้ ไม่มีผิวหนังส่วนใดเผยให้เห็น แต่ว่าความสง่างามของเธอนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ เธอน่าจะเป็นสาวงามคนหนึ่งตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ว่า จากวิธีการที่เธอปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ มันดูคล้ายกับเธอผ่านการปลูกถ่ายผิวหนังทั้งตัวก่อนที่จะตาย
เท้าที่มีผ้าพันแผลพันเอาไว้ยื่นไปที่รองเท้าส้นสูง เท้าคู่นั้นสอดเข้าไปในรองเท้า และเลือดก็ซึมออกมาจากรอยต่อของผ้าพันแผล มันกลายเป็นว่าบาดแผลบนร่างของเธอนั้นยังไม่หายดี
“นี่คือความบ้าคลั่งอย่างแท้จริง” เฉินเกอไม่กล้าคิดภาพเลยว่าภายใต้ผ้าพันแผลเหล่านั้นผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด “ถ้าฉันรู้อย่างนี้ ฉันจะไม่มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับเธอบนรถเมล์เลย”
หลอดเลือดและลิ้นพุ่งเข้าใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม ไม่แสดงท่าทีว่าจะขยับตัว ตอนที่หลอดเลือดเข้ามาใกล้ เธอก็ยกสองมือขึ้น ผ้าพันแผลที่พันกระชับรอบตัวเธอเผยให้เห็นสัดส่วนอันสมบูรณ์ แต่ไม่มี ‘ใคร’ ที่จะมีอารมณ์มาชื่นชมรูปร่างของเธอ เลือดซึมออกมาจากผ้าพันแผล และเสียงหัวเราะบ้าคลั่งก็ดังออกมาจากริมฝีปากของเธอ ความเจ็บปวดที่ถักทอเป็นความบ้าคลั่ง และเธอก็ฉีกกระชากลิ้นและหลอดเลือดทั้งหมดขาดลงอย่างง่ายดาย จากนั้นเธอก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
“เธอกำลังจะลงมือเองแล้ว?” เฉินเกอไม่เข้าใจว่ารองเท้าส้นสูงสีแดงกำลังจะทำอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะดูมีพลัง แต่เธอก็ยังอ่อนแอกว่าปิศาจหิวโหยในด้านความแข็งแกร่ง “หรือว่านี่จะเป็นเพราะเธอมีความสามารถพิเศษที่ร้ายกาจมาก?”
วิญญาณสีเลือดทุกคนนั้นมีพลังพิเศษที่แตกต่างกันไปขึ้นกับความทรงจำสุดท้ายในชั่ววินาทีก่อนตาย ตัวอย่างเช่น หญิงไร้หัวนั้นบังคับเลือดตัดผ่านสิ่งต่าง ๆ ได้ ซู่อินนั้นตรงกันข้าม ยิ่งทรงพลังมากขึ้นเมื่อบาดแผลบนร่างเพิ่มขึ้น ซยงฉิง ที่ป่วยด้วยภาวะละเลยกึ่งปริภูมินั้นมีร่างกายซีกหนึ่งสร้างขึ้นจากหลอดเลือด และเขาก็สามารถเปลี่ยนมันไปอยู่ในรูปใด ๆ ที่เขาต้องการได้
ด้วยรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว เฉินเกอนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าพลังพิเศษของรองเท้าส้นสูงสีแดงคืออะไร แต่ในเมื่อพวกเขานั้นโดยทางเทคนิคแล้วอยู่บนเรือลำเดียวกัน ยิ่งรองเท้าส้นสูงสีแดงมีพลังแค่ไหน ก็ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบที่เฉินเกอสามารถฉกฉวยได้
ถูกกักอยู่ในกรงที่ทำจากหลอดเลือดและลิ้นที่แลบเลื้อย หญิงไร้หัวและเด็กชายจึงไม่สามารถหนีออกไปได้ถึงอยากจะหนีก็ตาม ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถสู้กับปิศาจหิวโหยได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกเขาก็ปกป้องด้านหลังให้รองเท้าส้นสูงสีแดง เมื่อมีหญิงไร้หัวและเด็กชายช่วยรับมือกับการโจมตีจากด้านหลัง ความกดดันของรองเท้าส้นสูงสีแดงก็ลดลง เธอฉีกทึ้งหลอดเลือดและลิ้นขณะคืบหน้าไปเรื่อย ๆ
“เธอกำลังวางแผนจะทำอะไร?” ภาพตรงหน้าเขานั้นสามารถอธิบายได้ว่าแดงเถือกไปทุกหย่อมหญ้า ขณะที่รองเท้าส้นสูงที่ดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับศัตรูนั้นเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อย ๆ
มีหลอดเลือดมากมายที่ทะลวงผ่านการป้องกันของรองเท้าส้นสูงสีแดงเข้าไปได้ แต่น่าแปลก เฉินเกอพบว่าถึงหลอดเลือดจะกระทบถูกร่างของรองเท้าส้นสูงสีแดง มันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ทิ้งร่องรอยทำร้ายรุนแรงเอาไว้
มันเหมือนกับว่าผ้าพันแผลนั้นไม่ได้พันอยู่รอบร่างกาย แต่เป็นน้ำเลือดกองหนึ่ง ภายใต้การควบคุมของรองเท้าส้นสูงสีแดง เมื่อหลอดเลือดโจมตีร่างของเธอ เธอก็จะขยับโครงสร้างร่างกายของเธอเพื่อลดความเสียหายที่ได้รับให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด
การโจมตีของเธอนั้นไร้ผล ปิศาจหิวโหยจึงยิ่งกระวนกระวาย ปากบนร่างของเธอยื่นยาวออกมาเหมือนพยายามจะเอื้อมไปหารองเท้าส้นสูงสีแดงและฉีกทึ้งเธอด้วยฟันมากมาย ปิศาจหิวโหยนั้นปกติจะจำศีลอยู่ในโรงแรมในเมืองหลี่ว่านนี้ และเพราะขนาดของเธอ เธอจึงเคลื่อนที่ได้ช้ามาก วิญญาณสีเลือดตนอื่น ๆ รู้ว่าเธอนั้นไม่ควรตอแยด้วย ดังนั้นพวกเขาน้อยนักที่จะเข้ามาในอาณาเขตของเธอ นี่จึงหมายความว่าปิศาจหิวโหยไม่ค่อยจะมีโอกาสกลืนกินวิญญาณสีเลือดตนอื่น ๆ
เพราะตื่นเต้นกับอาหารอันหาได้ยาก ร่างกายของปิศาจหิวโหยจึงขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอกลายไปเป็นภูเขาเนื้อกองหนึ่งและหลอดเลือดที่ยื่นยาวออกมาจากร่างของเธอก็เพิ่มมากขึ้น และพวกมันยังตั้งอกตั้งใจโจมตีใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง จู่ ๆ เธอก็คลั่ง และเธอก็ควบคุมหลอดเลือดของเธอบังคับแยกรองเท้าส้นสูงสีแดงออกจากหญิงไร้หัวและเด็กชาย เธอใช้พลังสามในสี่ของตัวเองกับรองเท้าส้นสูงสีแดงขณะที่พลังอีกหนึ่งในสี่ที่เหลือนั้นโจมตีใส่หญิงไร้หัวและเด็กชาย
หญิงไร้หัวตัดหลอดเลือดขาดมากเท่าใด ก็มีลิ้นมาแทนที่พวกมันมากเท่านั้น นี่เป็นการต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรม ถึงแม้ว่าเธอจะตัดและเฉือนหลอดเลือดจนมันระเบิดออก มันกลับไม่ก่อความเสียหายให้กับปิศาจหิวโหยเลย แต่ว่า เมื่อเธอถูกลิ้นหนึ่งจับตัวได้ เธอกลับเสียโอกาสที่จะสู้กลับ เธอถูกลากไปทางปิศาจหิวโหยและกำลังจะถูกส่งเข้าไปในท้องขนาดยักษ์ของมัน
“ปิศาจหิวโหยนี่ใช้พลังเพียงแค่หนึ่งในสี่ก็กีดกันหญิงไร้หัวออกไปจากการต่อสู้ได้ และยังดูไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกด้วย” ฝ่ามือของเฉินเกอลื่นไปด้วยเหงื่อ เขายังมองหาโอกาสอันดีอยู่
การคุกคามจากรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นรุนแรงกว่าหญิงไร้หัวมาก ถึงแม้ว่าเธอจะถูกล้อมเอาไว้ด้วยพลังส่วนใหญ่ของปิศาจหิวโหย รองเท้าส้นสูงสีแดงก็ยังสามารถลดระยะห่างระหว่างพวกเธอได้ช้า ๆ
เดิมที ปิศาจหิวโหยยังคงหวาดระแวงรองเท้าส้นสูงสีแดงอยู่บ้าง แต่ว่าตอนหลังมานี้ เธอน่าจะถูกความปรารถนาในอาหารนี้ทำให้ใจมืดบอด ดวงตาของเธอแดงก่ำ และเธอก็ทิ้งความหวาดระแวงก่อนหน้านี้ไป เธอกรีดร้องแล้วพุ่งเข้าหารองเท้าส้นสูงสีแดง ปากทั้งหมดบนร่างของเธออ้ากว้างราวกับเธอต้องการฉีกผู้หญิงตรงหน้าออกเป็นชิ้น ๆ แล้วยัดชิ้นส่วนเหล่านั้นเข้าไปในปากของเธอ
เสียงหัวเราะกังวานใสก้องขึ้นในห้องโถงโรงแรมอีกครั้ง เธอกางแขนออก ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของเธอนั้นขัดกับร่างอันไม่น่าดูของปิศาจหิวโหย ผ้าพันแผลรอบตัวของฝ่ายแรกเริ่มหลุดออกตั้งแต่ศีรษะของเธอไล่ลงมา
“แกคิดว่าฉันสวยใช่ไหมล่ะ?” คำถามง่าย ๆ นี้ราวกับคำสาปอันน่ากลัวที่สุด สีแดงในดวงตาของปิศาจหิวโหยจางหายไปทันที ร่างใหญ่โตเซถอยหลังแต่มันก็สายไปแล้ว
ผ้าพันแผลหลุดออกจนหมด เลือดทุกหยดบนร่างของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง เลือดเหล่านั้นสาดใส่ร่างของปิศาจหิวโหย เลือดนั้นราวกับเปลวไฟลุกโชติช่วง ละอองโลหิตแทรกเข้าไป และทุกปากบนร่างของปิศาจหิวโหยก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“เลือดทุกหยดนั้นคือคำสาป เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงคนนี้ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่กัน? เธอสั่งสมความเกลียดชังลึกล้ำเช่นนี้เอาไว้ได้อย่างไร?” เฉินเกอดีใจที่เขาไม่ได้ล่วงเกินเธอ บางที แค่เลือดของเธอเพียงหยดเดียวก็สามารถสาปคนคนหนึ่งได้ไปตลอดชีวิตแล้ว
ควันสีดำและแดงพวยพุ่งออกมาจากร่างของปิศาจหิวโหย ร่างใหญ่โตของเธอหดเล็กลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ เปลวเพลิงคำสาปยังลุกโพลง และพวกมันก็ทิ้งรอยแผลน่าเกลียดเอาไว้
“หิว! หิว!” ตอนที่ร่างกายหดเล็กลง ปิศาจหิวโหยก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งใส่รองเท้าส้นสูงสีแดง มันดูเหมือนว่าการกินจะเป็นหนทางเดียวในการลดความเจ็บปวดของมันได้ เธอไม่สนใจว่าสิ่งที่เธอเพิ่งเอาเข้าท้องไปนั้นคืออะไร ต่อให้มันเป็นคำสาป เธอก็จะกินมันลงไปในคำเดียว
หลอดเลือดหลุดออกจากผนังและก่อตัวเป็นกรงรอบรองเท้าส้นสูงสีแดง ปิศาจหิวโหยชะโงกร่างใหญ่โตของมันมาทางรองเท้าส้นสูงสีแดง ปากของเธอยังอ้ากว้างขณะพุ่งเข้าไปหาเงาร่างมนุษย์ที่ตอนแรกนั้นมีผ้าพันแผลหุ้มเอาไว้
ร่างกายของปิศาจหิวโหยนั้นแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อเพราะว่าเธอสามารถทนคำสาปได้ ต่อให้คำสาปจะแผดเผา เธอก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
“คำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นโถมเข้าใส่ร่างของปิศาจหิวโหย มันต้องใช้เวลาก่อนที่ฝ่ายหนึ่งจะสามารถจัดการอีกฝ่ายได้” เฉินเกอจับตามองรอบตัวอย่างตั้งใจ เขาเป็นกังวลว่าเลือดของรองเท้าส้นสูงสีแดงจะบังเอิญกระจายมาโดนซู่อิน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สั่งให้ซู่อินเข้าไปร่วมวงด้วย
ปิศาจหิวโหยอ่อนแรงลง และหลอดเลือดบางส่วนก็เหี่ยวแห้งไป ผนังเริ่มลอกหลุดและของเหลวสีดำก็ซึมออกมา ควาดกดดันบนร่างหญิงไร้หัวลดลง เธอตัดสินใจละทิ้งรองเท้าส้นสูงสีเลือดอย่างไม่ลังเลและหนีในตอนที่ยังทำได้ เด็กชายที่สวมชุดผู้ป่วยที่ข้างกายเธอนั้นก็มีความคิดเช่นเดียวกัน
วิญญาณทั้งสองร่วมแรงกันฉีกทึ้งผนังที่ก่อตัวจากหลอดเลือดส่วนที่อ่อนแอที่สุด ลิ้นและเส้นเลือดหลายชั้นถูกกระชากออก ปิศาจหิวโหยกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความเจ็บปวดและความหิวอย่างควบคุมไม่ได้นั้นผสานรวมกัน ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนร่างของปิศาจหิวโหย
ร่างกายใหญ่โตเริ่มหดเล็กลง แขนขาที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยเลือดและเนื้อก็เริ่มปรากฏให้เห็น กลายเป็นว่าปิศาจตนนี้นั้นคลานอยู่บนพื้น แขนขาทั้งสี่นั้นมีโซ่สีดำพันธนาการเอาไว้ บางทีโซ่พวกนี้คงอยู่มานานแล้วจนบาดเข้าไปในเนื้อของเธอ และพวกเขาก็ถอดมันออกไม่ได้นอกเสียจากจะตัดแขนขาทิ้ง
“เดี๋ยวก่อนนะอันที่จริงปิศาจนี่ถูกกักขังเอาไว้ที่นี่เหรอ?” ปิศาจนั่นเงยหน้าขึ้นกู่ร้องขึ้นฟ้า โซ่ที่เชื่อมอยู่กับห้องลับในครัวนั้นถูกรั้งจนตึง เมื่อไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ความรู้สึกด้านลบต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นในใจของเธอ เธอบ้าคลั่งไปโดยสมบูรณ์แล้ว
ผิวหนังของเธอปริออก หลอดเลือดนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างของเธอ หลอดเลือดเส้นหนาบนผนังเองก็เปิดออกเป็นปาก คนทั่วไปคงนึกภาพเช่นนี้ที่ทุกแห่งหนล้วนแดงฉานไม่ออก และท่ามกลางสีแดง ยังมีปากจำนวนนับไม่ถ้วนอ้ากว้าง
“หิว! หิว!” อย่างที่เฉินเกอสงสัย ปิศาจหิวโหยนั้นมีความสามารถในการย่อยที่ยอดเยี่ยม หลอดเลือดสีแดงที่เธอสั่งสมเอาไว้นานนับหลายปีนั้นก็ไปถึงระดับที่แทบเป็นไปไม่ได้ เธอปล่อยพวกมันออกมาในครั้งเดียวและพริบตานั้น คลื่นสีแดงก็กวาดผ่านและกลืนกินทั้งโรมแรมลงไป
คลื่นหลอดเลือดนั้นฉีกทึ้งร่างครึ่งหนึ่งของหญิงไร้หัว และกะโหลกอันสำคัญที่สุดของเธอก็ถูกริมฝีปากมากมายที่ปรากฏอยู่บนหลอดเลือดกัดแทะ เด็กชายที่สวมชุดผู้ป่วยนั้นเหมือนล่องหนไป เขาอาจจะสลายไปได้ด้วยกระแสลมอันแผ่วเบาที่สุด
กระทั่งมีซู่อินและไป๋ชิวหลินขวางอยู่ด้านหน้าเฉินเกอ ตอนที่คลื่นที่แดงโถมมาถึงตัวเขา อากาศในปอดของเขาก็ถูกสูบออกจากร่าง มันเหมือนกับว่าหากคลื่นนั่นจะอยู่นานอีกสักหลายวินาที เขาก็คงตายจากการขาดอากาศหายใจ
“นี่เป็นศัตรูที่น่ากลัวมาก” เฉินเกอกัดปลายลิ้น ใช้ความเจ็บปวดกระตุ้นจิตใจ เฉินเกอหันไปมองรองเท้าส้นสูงที่อยู่ใกล้กับปิศาจหิวโหยที่สุด เธอบาดเจ็บมากที่สุดตอนที่คลื่นสีแดงกระทบถูก
รองเท้าส้นสูงสีแดงโซเซไปบนพื้น และผ้าพันแผลชุ่มเลือดก็หายไป เงาร่างพร่ามัวล้มอยู่กับพื้น มีหลอดเลือดมากมายขดรอบอยู่ ถึงอย่างนั้นหลอดเลือดที่กล้าเข้าไปใกล้เธอก็เน่าเปื่อยไปด้วยความเร็วราวกับแค่กะพริบตา ปิศาจหิวโหยไม่สนใจเรื่องนี้ ความหิวเข้าครอบงำจิตใจของเธอ และเธอก็สาบานว่าจะส่งทุกอย่างเข้าไปในกระเพาะของตน
“หิว! ฉันหิวมาก!” หลังจากปลดปล่อยเลือดทั้งหมดที่เธอสะสมมาเป็นเวลาหลายปี ร่างของปิศาจหิวโหยก็เริ่มหดราวกับลูกโป่งที่แฟบลง
“เธอคงจะไม่โจมตีอะไรออกมาอีกเป็นการชั่วคราว” เฉินเกอมองไปยังปิศาจหิวโหยที่สนใจอยู่กับการจับรองเท้าส้นสูงสีแดงและเขาก็พบว่าตอนนี้นี่แหละคือโอกาสของเขา
เขาพลิกหน้าหนังสือการ์ตูนที่ถือเอาไว้ “เหมินหนาน!”
เด็กชายอายุราวห้าขวบสวมเสื้อสีแดงปรากฏขึ้นที่ข้างตัวฟางหยวน ในดวงตาปรากฏร่องรอยเกลียดชังไร้ที่สิ้นสุด
“มีวิญญาณสีเลือดที่บาดเจ็บสาหัสอยู่สามตน– กินพวกเขาลงไปสักคนหนึ่งน่าจะทำให้เธอต้องย่อยนานมากทีเดียว! ฉันใจกว้างกับเธอมากใช่ไหมล่ะ?” เฉินเกอรู้ว่าเหมินหนานจะพูดอะไร ดังนั้นจึงชิงพูดออกมาก่อน
“วิญญาณสีเลือดสามตน?” ตอนที่เหมินหนานปรากฏตัวออกมา เขาก็พบว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง แต่ตอนที่เขาชะโงกหน้าออกไปจากด้านหลังเฉินเกอ เขาก็แทบจะล้มก้นกระแทกพื้นด้วยความตกใจและหวาดกลัว ”วิญญาณสีเลือดยิ่งใหญ่? คุณบ้าไปแล้วหรือไง? ทำไมถึงไล่ตามสิ่งเช่นนี้?”
“หลังจากเธอกินเขาลงไป เธอก็จะกลายไปเป็นวิญญาณสีเลือดยิ่งใหญ่เองเลยนะ!” โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว การลังเลจะนำไปสู่การเสียโอกาสไป เฉินเกอรู้ดี เขาคว้าตัวเหมินหนานเอาไว้แล้วเริ่มเดินไปข้างหน้า
“ปล่อยผม!”
ตอนที่เฉินเกอลุกขึ้น ปิศาจหิวโหยก็สังเกตเห็นเขาทันที เธอควบคุมหลอดเลือดกลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่เพื่อหยุดเหมินหนาน ในตอนนี้นั้น เธอต้องการการฟื้นฟูอย่างสุดใจ หลอดเลือดลากผู้หญิงในผ้าพันแผลตรงเข้าไปยังปากที่อ้ารออยู่ช้า ๆ
“ซู่อิน!” เหมินหนานขวางหลอดเลือดเอาไว้และในที่สุดเฉินเกอก็ปล่อยไพ่ตายออกมา ด้วยนิสัยของเขา เหมินหนานนั้นไม่ใช่ฝ่ายจู่โจมที่ดี ดังนั้นแผนการเดิมของเฉินเกอก็คือใช้เขาดึงดูดความสนใจของปิศาจหิวโหย และการโจมตีแท้จริงของเขาก็คือซู่อิน
“หัว! จุดอ่อนของเธออยู่ที่หัว!” เสียงแทรกแกรกกรากดังอยู่ข้างหูเขา เลือดหยดติ๋ง และซู่อินที่ดูโศกเศร้าก็พุ่งผ่านหลอดเลือดที่พันกันอยู่เป็นก้อนราวกับดาบเล่มหนึ่ง เขากระโจนสูงขึ้นกลางอากาศก่อนที่จะไปตกลงที่ตรงไหล่ของปิศาจหิวโหย เขาแทงนิ้วทั้งสิบที่คมราวกับใบมีดเข้าไปที่ลำคอของปิศาจหิวโหย!
หลุบตามองเหยื่อของตนเอง ในดวงตาของปิศาจหิวโหยนั้นเต็มไปด้วยความตะกลามและความเกลียดชัง แขนของเขาเริ่มถูกดึงเข้าไปแล้ว!
“มันเจ็บไหม?” เลือดสาดกระจาย และทันใดนั้น ฝนเลือดก็เริ่มตกลงมาขณะที่หลอดเลือดทั้งหมดเริ่มเหี่ยวแห้งไป การต่อสู้ของวิญญาณสีเลือดทั้งสอง และหากรวมเหมินหนานและซู่อินเข้าไปด้วยนั้น ก็จะกลายเป็นวิญญาณสีเลือดสี่ตนสู้กับปิศาจหิวโหย
“เหมินหนาน ไปดูที่วิญญาณสีเลือดที่หัวกับตัวแยกกัน ไป๋ชิวหลิน ฉันต้องการให้นายจับเด็กชายในชุดผู้ป่วยที่กำลังจะสลายไปนั่นเอาไว้!”
ปิศาจหิวโหยตายแล้ว ดังนั้นเฉินเกอจึงเริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ ร่างครึ่งหนึ่งของหญิงไร้หัวเริ่มมีรอยแตก บาดแผลปกคลุมอยู่บนร่างและศีรษะที่ยังเหลืออยู่ของเธอ สถานการณ์ของรองเท้าส้นสูงสีแดงก็ไม่ดีไปกว่ากัน ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลในผ้าพันแผลนั้นหายไปอย่างช้า ๆ และรองเท้าที่ครั้งหนึ่งสีสันสดใสก็สูญเสียประกาย
ปัง!
ร่างกายมหึมาของปิศาจหิวโหยล้มลงกับพื้น เลือดคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงยังคงลุกโชน ซู่อินหลบคำสาปและกลับไปที่ข้างตัวเฉินเกอ
เขาแบมือออกตรงหน้าเฉินเกอ และที่อยู่บนฝ่ามือก็เป็นหัวใจสีแดงเลือดที่ยังเต้นตุบอยู่
ตอนที่ 653
ผีหิวโหยตนนั้นร่างกายใหญ่โต แต่หัวใจของเธอกลับเล็กอย่างไม่เป็นสัดส่วนกัน มันเป็นประกายและสะท้อนแสงราวกับทับทิมสีแดงเลือด มันไม่ได้เปลี่ยนสีหรือว่าแปดเปื้อนแต่อย่างใด “ใครจะคิดว่าปิศาจน่าเกลียดเช่นนั้นกลับมีหัวใจบริสุทธิ์เช่นนี้?”
เฉินเกอเอื้อมมือออกไปแตะหัวใจของปิศาจหิวโหย เขาอยากจะศึกษามันและหาดูว่าหัวใจของวิญญาณสีเลือดที่แท้แล้วคือสิ่งใด แต่ว่า ตอนที่ปลายนิ้วของเขาแตะลงที่หัวใจ ความรู้สึกด้านลบก็กวาดผ่านร่างของเขาราวกับคลื่นลูกหนึ่ง กระแสเลือดพลุ่งพล่านไปทั่วร่างของเขา และความปรารถนาอันอธิบายไม่ได้ก็ก้องอยู่ในสมองของเขา เขารู้สึกหิวจนแทบจะกัดกินตัวเอง
“หิวมาก!” เสียงครวญอย่างสิ้นหวังหลุดออกจากปากเฉินเกอ เขาผงะถอยห่างจากหัวใจนั้นไปหลายก้าวก่อนที่จะรู้สึกกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง
“สิ่งนี้กินคนเป็นและผีเข้าไปมากมายเท่าใดกัน?” เขาอ้าปากฮุบอากาศอย่างกระหาย แผ่นหลังของเฉินเกอชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขารั้งมือกลับและสาบานว่าจะไม่จับสิ่งใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณสีเลือดง่าย ๆ อีกแล้ว
“หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นความปรารถนาที่จะกินเพียงอย่างเดียว มันเป็นความต้องการอันไร้สิ้นสุดที่จะทำให้พึงพอใจได้ด้วยการกินอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น” เฉินเกอเข้าใจว่าทำไมซู่อินจึงไม่รับเอาหัวใจของปิศาจหิวโหยเข้าไปโดยตรง นี่เป็นสิ่งที่วิญญาณร้ายทั่วไปไม่สามารถจัดการได้ “ตอนนั้นที่พวกเราสังหารซยงฉิง ซู่อินมอบหัวใจของซยงฉิงให้แก่ไป๋ชิวหลิน ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าไป๋ชิวหลินได้รับผลกระทบจากซยงฉิงหรือไม่”
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของเฉินเกอที่มองเขา ไป๋ชิวหลินก็คิดว่าได้เวลาที่ตัวเองต้องรายงานหน้าที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงลากเด็กชายที่เหลือชีวิตอยู่เสี้ยวเดียวไปด้วย ตรงกันข้ามกับซู่อิน ไป๋ชิวหลินนั้นมีหัวใจที่ย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด
“เหล่าไป๋ดูปกติเป็นที่สุด บางทีมันอาจจะเป็นเพราะว่าซยงฉิงนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะทิ้งผลกระทบอะไรกับเขาได้” เฉินเกอเปิดหนังสือการ์ตูนดึงเด็กชายเข้าไป เขาวางแผนจะค่อย ๆ สอบถามเด็กชายและเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโรงพยาบาลกลางซินไห่จากเขาช้า ๆ หลังจากที่ภารกิจทดลองนี้สิ้นสุด หลังจากจัดการกับเด็กชายแล้ว เฉินเกอก็หันกลับไปมองหัวใจในมือซู่อิน
เขามองเห็นได้เลยว่าเพียงแค่ถือหัวใจนี่เอาไว้ก็เป็นความกดดันมหาศาลต่อซู่อินแล้ว หากกินหัวใจนี่ลงไปเขาคงต้องประสบกับปัญหาแน่แล้ว นอกจากนี้ ซู่อินยังไม่เคยแสดงความตั้งใจที่จะกินหัวใจของใคร กลับกัน เขาต้องการหาหัวใจที่เป็นของเขาเอง
“อย่างนั้น ฉันควรจะทำอะไรกับสิ่งนี้ดี?” หัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเป็นรางวัลอันมีค่า โดยทางเทคนิคแล้วนั้นมันเต็มไปด้วยทุกอย่างที่เกี่ยวกับปิศาจหิวโหย เมื่อสิ่งนี้มาอยู่ในความครอบครองของเฉินเกอ เขาก็ยังอาจจะมีโอกาสชุบเลี้ยงวิญญาณสีเลือดตนอื่นที่ควบคุมความหิวได้ดีกว่าในอนาคต!
สิ่งนี้นั้นมีค่าเกินไป กระทั่งเงานั่นและคุณหมอเกาก็อาจจะสนใจในหัวใจนี่ด้วย
“หากซู่อินรับหน้าที่เป็นผู้เก็บหัวใจดวงนี้เอาไว้ เขาก็จะต้องแบ่งพลังส่วนหนึ่งไปต่อต้านความรู้สึกด้านลบที่หัวใจนี้จะนำมาด้วย นั่นก็ย่อมต้องกระทบกับความสามารถในการต่อสู้ของเขา” ในสถานการณ์อันตราย ซู่อินนั้นเป็นกำลังรบหลักของเฉินเกอ ดังนั้นให้ซู่อินจัดการกับหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นเรียกได้ว่าเป็นความสูญเสียอย่างมาก
“แต่นอกจากเขาแล้ว ใครจะสามารถต้านทานคลื่นความรู้สึกด้านลบรุนแรงนี่ได้?” เฉินเกอให้ไป๋ชิวหลินทดลองดู แต่เขากลับทนอยู่ได้เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยว เขาตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความหิวโหย และก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังจะหลุดจากการควบคุมอย่างช้า ๆ
“มีวิธีอื่นนอกจากทิ้งมันไปหรือเปล่านะ? ถ้าทิ้งก็นับว่าเป็นความสูญเสียอย่างมากเลย” รองเท้าส้นสูงสีแดงน่าจะอยากได้หัวใจของปิศาจหิวโหยนี่ ยกมันให้เธอนั้นอาจจะทำให้เฉินเกอได้พรรคพวกที่มีประโยชน์ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรนี้อย่างไม่สมควร
“วิญญาณอาฆาตธรรมดานั้นอ่อนแอเกินกว่าจะกลืนกินหัวใจที่ทรงพลังเช่นนี้ พวเขาอาจจะสลายไปหลังจากกินหัวใจนี่เข้าไปก็ได้ มีเพียงวิญญาณสีเลือดเท่านั้นที่จะสามารถต้านทานความต้องการกลืนกินของหัวใจนี่ได้” เฉินเกอเหลือบมองหัวใจในมือซู่อินแวบหนึ่ง หัวใจสีแดงเลือดนั้นฝังลึกอยู่ในก้อนเนื้อใหญ่เท่าภูเขาและยังมีผลกระทบต่อคำสาปเลือด
“ทิ้งมันไว้ให้ซู่อินนับว่าเป็นการสร้างภาระแล้ว ทางเลือกเดียวที่ฉันเหลืออยู่ก็คือจางหยา” เฉินเกอเรียกซู่อินเข้ามาใกล้ ๆ กับแสงเทียนเพื่อให้ซู่อินวางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงไปที่เงาของเขา ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน เงาของเฉินเกอนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เขาเพิ่งมาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ตอนที่เขาพยายามเรียกจางหยาซ้ำ ๆ ก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้ว่าทำไมจางหยาถึงทำอย่างนี้ แต่เขาเชื่อว่าจางหยาจะไม่ทำร้ายเขา
แสงเทียนส่องสว่างไปยังร่างของเฉินเกอ แต่น่าแปลกที่เงาของเขานั้นกลับอยู่ในรูปร่างของผู้หญิงคนหนึ่ง เฉินเกอมองเงาตัวเองเงียบ ๆ ซู่อินนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้ หลังจากได้รับอนุญาตจากเฉินเกอ ในที่สุดเขาก็วางหัวใจของปิศาจหิวโหยลงที่เงาของเฉินเกอ
จากนั้นก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น เมื่อหัวใจที่ส่องประกายราวกับทับทิมพ้นมือของซู่อิน มันก็เริ่มกระเด้งตัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ในไม่ช้า เงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวใจดวงนั้น เฉินเกอรู้สึกว่าเธอดูคุ้นตามาก ในที่สุด เขาก็นึกได้ว่าเธอดูคล้ายกับผู้หญิงที่เขาเห็นในห้องของเจ้าของโรงแรม ผู้หญิงที่ในรูป ผู้หญิงที่เจ้าของโรงแรมเรียกว่าแม่ นั่นน่าจะเป็นรูปลักษณ์แท้จริงของผีทับทิม
“งั้นเธอก็ยังมีไม้ตายนี่ซ่อนอยู่สินะ” เหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผากเฉินเกอ หากเขาให้พนักงานของเขากินหัวใจนี้เข้าไป พนักงานคนนั้นก็จะกลายไปเป็นปิศาจหิวโหยตนที่สอง
เสียงร้องโหยหวนของผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ แผ่วเบาลงก่อนที่จะสลายไปเป็นหยดเลือดมากมายพรมลงที่เงาของเฉินเกอ เงาของเขานั้นราวกับทะเลสาบล้ำลึก หยดเลือดที่หล่นลงบนเงานั้นทำให้เกิดคลื่นเล็ก ๆ ก่อนที่จะหายวับไป
หลังจากหัวใจของปิศาจหิวโหยนั้นละลายไปหมดแล้ว เงาของเฉินเกอก็ดูเข้มขึ้น และเงาของผู้หญิงคนหนึ่งก็เห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะอะไรไม่รู้ หัวใจของเฉินเกอเริ่มเต้นรัว เขามองไปยังเงาของตัวเองและรู้สึกว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังโบกมือให้เขาอยู่ที่อีกด้านของเงานั้น หากเขาเอื้อมมือไปหาเธอ เขาก็จะถูกลากเข้าไปในเงาและอยู่กับเธอที่นั่นไปจนนิรันดร์
“จางหยา?” ชื่อนั้นลอยขึ้นมาในใจเฉินเกอ เส้นผมที่ในเงาสะบัดราวกับมีสายลมพัดผ่าน– นี่ เฉินเกอนับว่าเป็นการตอบสนองแบบหนึ่ง
“เธอดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้น…” เฉินเกอนั้นพยายามเพิ่มระดับพลังของพนักงานของเขา แต่หลังจากดิ้นรนเป็นนาน เขาก็พบว่าการร่วมมือกันของพนักงานทั้งหมดของเขานั้นกลับเทียบกับจางหยาไม่ได้ และที่แย่ไปกว่านั้น ความแตกต่างระหว่างระดับพลังยังมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น “บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าพรสวรรค์”
ที่ห้องเก็บศพใต้ดินวิทยาลัยแพทย์จิ่วเจียงนั้น ถึงแม้ว่าจางหยาจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้เหมือนกัน เธอก็ยังเก็บเกี่ยวบางอย่างจากภรรยาของคุณหมอเกาได้ มันเป็นสิ่งเดียวกับตอนที่เธอประมือกับเงานั่น จากนั้น เธอก็ยังขโมยเลือดจากคุณหมอเกาได้หลายหยด ตอนนี้ เธอยังได้กลืนกินหัวใจของปิศาจหิวโหย จางหยาจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงใดนั้น กระทั่งตัวเฉินเกอเองก็บอกไม่ได้
“ฉันไม่ใช่คนที่ชอบพึ่งพาคนอื่น แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ ก็เหมือนว่าฉันจะมีตัวเลือกเดียว” ริมฝีปากของเขาเชิดขึ้นด้านบนอย่างไม่รู้ตัว เฉินเกอมองไปยังหญิงไร้หัวและรองเท้าส้นสูงสีแดงคู่นั้น “ถ้าพวกคุณยังดื้อดึงอยู่อีก ผมจะให้เธอกินพวกคุณซะ”
รองเท้าส้นสูงสีแดงล้มไปกับพื้น และพวกมันยังดูไม่ต่างไปจากรองเท้าธรรมดา ๆ คู่หนึ่ง เธอดูเหมือนจะหมดพลังไปมากจนไม่สามารถรักษารูปร่างเดิมไว้ได้ อย่างไรเสีย ระหว่างการต่อสู้กับปิศาจหิวโหย เธอคนเดียวก็รับมือกับความเสียหายถึงสามในสี่ส่วน และก็เป็นเธอที่เป็นคนลงมือสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ปิศาจหิวโหยซึ่งทำให้เฉินเกอมีโอกาสที่เขาต้องการ
“คุณช่วยผมครั้งหนึ่ง ดังนั้นผมจะปฏิบัติกับคุณอย่างดี ผมจะไม่เอาเปรียบคุณ เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ผมจะพาคุณกลับไปยังสถานที่ปลอดภัยและยังอาจจะสร้างบ้านให้คุณด้วย” เฉินเกอนั้นได้เห็นความน่ากลัวของคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงกับตา เขาเก็บรองเท้าขึ้นมาด้วยผ้าปูโต๊ะที่เหลืออยู่และวางรองเท้าคู่นี้เอาไว้บนเคาน์เตอร์
“ทีนี้ก็ตาคุณแล้ว คุณไล่ล่าผมมาทั้งถนนเฮงซวยนี่และผมก็คิดว่าคุณติดหนี้คำขอโทษผมอยู่” เฉินเกอให้ซู่อิน ไป๋ชิวหลินและเหมินหนานจับหญิงไร้หัวเอาไว้ก่อนเขาถึงจะกล้าเข้าไปใกล้เธอ หญิงไร้หัวดูเหมือนจะมีอคติกับพวกผู้ชาย และเธอก็ไม่มองพวกเฉินเกอด้วยซ้ำ
“ถ้าคุณไม่อยากคุยกับผู้ชายก็ไม่เป็นไร ผมมีลูกจ้างที่เป็นผีผู้หญิงอยู่เหมือนกัน” เฉินเกอเรียกต้วนเยว่ออกมาคุยกับหญิงไร้หัว หลังจากคุยกันอยู่นาน ต้วนเยว่ก็กลับมาบอกเรื่องราว สภาพของหญิงไร้หัวนั้นไม่ดีนัก เธอสูญเสียร่างกายครึ่งหนึ่งไป และศีรษะของเธอยังได้รับความเสียหายรุนแรง แค่เธอกำลังพยายามรักษาสภาพร่างเอาไว้ไม่ให้สลายไปก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่จะสู้เลย
“ถึงแม้ว่าคุณจะไล่ตามผมตั้งนาน ผมก็ยังเป็นคนใจกว้างพอที่จะไม่เอาเรื่อง หลังจากพวกเราออกไปจากที่นี่แล้ว ผมจะหาสถานที่ปลอดภัยให้คุณพักฟื้น” เฉินเกอดึงหญิงไร้หัวเข้าไปในหนังสือการ์ตูน
“เฮ้! ผมรู้ว่าคุณมีพื้นที่จำกัดที่บ้านผีสิงของคุณ ทำไมคุณไม่เอาเธอมาแทนที่ผมล่ะ?” เหมินหนานพูดด้วยน้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ เขาวิ่งเหยาะ ๆ ด้วยขาสั้น ๆ ของเขามายืนด้านหลังเฉินเกอ “ผมไม่ได้กลับบ้านตั้งนานแล้ว มีปัญหาบางอย่างที่หอผู้ป่วยสาม เมื่อประตูหลุดออกจากการควบคุม ผลที่ตามมาก็เลวร้ายเกินจินตนาการได้”
“ฉันสัญญากับเธอ หลังจากพระอาทิตย์ขึ้น ฉันจะพาเธอกลับไปที่หอผู้ป่วยสามทันที” เฉินเกอนั่งยอง ๆ ลงและยื่นมือออกไปด้วยท่าทางจริงจัง “อ่ะ เกี่ยวก้อยสัญญาเลย”
“พระเจ้า คุณจะเป็นเด็กน้อยไปไหม?” ถึงแม้ว่าปากเขาจะบ่นพึมพำแต่เหมินหนานก็ยังยื่นนิ้วออกมาเกี่ยวก้อยสัญญากับเฉินเกอ “แต่ทำไมจู่ ๆ คุณถึงเปลี่ยนใจล่ะ? ผมสาบานได้เลยว่าคุณต้องมีอะไรสักอย่างถึงได้รับปากผมง่ายขนาดนี้”
“ฉันก็แค่เพิ่งตระหนักได้ว่ามันอันตรายแค่ไหนเวลาที่ประตูหลุดออกจากการควบคุม ดังนั้นฉันถึงเข้าใจว่ามันจะเป็นการดีที่สุดถ้าฉันส่งเธอกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” เฉินเกอลุกขึ้นและบอกความคิดในใจของเขาออกมา
“ใช่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมกำลังบอกคุณตั้งแต่ต้นแล้ว แต่คุณก็ไม่ยอมเชื่อผม ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ มันก็สายไปแล้วที่จะเริ่มต้นแก้ไขความผิดพลาด” หลังจากได้รับสัญญาจากเฉินเกอ ในที่สุดเหมินหนานก็ถอนหายใจโล่งอกได้ “เห็นว่าคุณจริงใจหรอกนะ ผมจะช่วยคุณอีกสักครั้ง แล้วก็ พวกเราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย? ทำไมมันถึงมีวิญญาณสีเลือดเยอะขนาดนี้ในโรงแรมเล็ก ๆ นี่?”
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม ที่นี่คือเมืองหลี่ว่าน จิ่วเจียงตะวันออก” เฉินเกอพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนพูดเรื่องทั่วไป เขารออยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินคำตอบรับอะไรจากเหมินหนาน เขาหันกลับไปดู “มีอะไรหรือ?”
เหมินหนาน ที่ตัวสูงกว่าเข่าเฉินเกอแค่นิดเดียว ตัวแข็งอยู่กับที่ไปแล้ว เขาดูเหมือนจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “พวกเราอยู่ในประตูที่หลุดออกจากการควบคุม?”
“ใช่”
“ในโลกด้านหลังประตู?”
“ถูกต้อง”
หลังจบบทสนทนาสั้น ๆ นี้ เหมินหนานก็ฟุบไปกับพื้น เขามองเฉินเกอด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่มีคำพูดใดหลุดจากริมฝีปาก เหมือนจิตใจของเด็กชายนั้นจู่ ๆ ก็ลัดวงจรไปเสียแล้ว
“เธอเป็นอะไรไป?” เฉินเกอรีบนั่งลงไปตรวจดูเด็กชาย เขายังเป็นห่วงเหมินหนานอยู่เหมือนกัน
“ไม่มีอะไร” เหมินหนานโบกมือ “ผมแค่อยากจะสัมผัสกับพื้นดินที่ใต้เท้า ผมกลัวว่าเร็ว ๆ นี้จะไม่มีโอกาสทำแบบนี้อีกแล้ว”
“เลิกดราม่าได้แล้ว ไม่มีอะไรให้กลัว ฉันก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เหรอ?”
“เพราะคุณอยู่ที่นี่แหละผมถึงได้กลัวขนาดนี้! ถ้าไม่เพราะว่าผมเอื้อมมือไม่ถึงคอของคุณละก็ ผมก็คงจะบีบคอคุณตายไปอย่างน้อยก็สองครั้งแล้ว! นี่คุณเสียสติไปแล้วหรือยังไงฮะ? คุณเข้ามาด้านหลังประตูนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่คุณยังเลือกประตูที่หลุดออกจากการควบคุมไปแล้วซะอย่างนั้น! ผมสงสัยนักว่าคุณหาที่ที่อันตรายอย่างนี้เจอได้ยังไง! มันยากนักหรือไงที่คุณจะอยู่อย่างสงบ? มันมีอะไรผิดเหรอที่อยากจะเป็นตัวตนที่สงบสุขน่ะ?” ในที่สุดเหมินหนานก็ทำตัวเหมือนอายุของเขา เขาน้ำตาไหลพรากขณะโวยวายออกมา
“เข้าใจแล้ว ฉันรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร ไม่ต้องห่วง ถ้าเรารอดไปจากที่นี่ได้ ฉันส่งเธอกลับบ้านแน่ ๆ” เฉินเกอรีบปลอบเหมินหนาน หลังจากนั้นเป็นครู่ใหญ่ อารมณ์ของเด็กชายถึงได้คงที่ขึ้น เฉินเกอพยายามถาม “มันอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอที่ด้านในประตูที่หลุดออกจากการควบคุมน่ะ?”
“ใช่สิ! ลองคิดดูนะ ด้านหลังประตูแต่ละบานคือสิ่งก่อสร้างปิดมิดชิดหลังเดียว ดังนั้นจำนวนวิญญาณสีเลือดและปิศาจที่คุณต้องรับมือนั้นจึงมีจำกัด แต่เรื่องมันต่างออกไปเมื่อประตูสักบานหลุดออกจากการควบคุม มันจะดึงเอาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดรอบ ๆ พื้นที่นั้นเข้าไปในโลกแห่งฝันร้าย และไม่มีใครบอกได้ว่ามีวิญญาณสีเลือดและปิศาจซ่อนตัวอยู่ในนั้นมากเท่าใด” เหมินหนานโบกมืออย่างอ่อนแรงและใบหน้าของเขามีความเจ็บปวดที่เห็นได้ชัดเจน “ผมสู้ไม่เก่ง และผมก็ถูกสมาคมเล่าเรื่องผีหลอกมาแล้วอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง พลังของผมนั้นอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ และนั่นเป็นเหตุผลที่ผมต้องการซ่อมหน้าต่างในหอผู้ป่วยสามให้เร็วที่สุด ถ้ามีอะไรที่ด้านนอกแทรกซึมเข้ามาในหอผู้ป่วยสาม อย่างนั้นบ้านของผมก็จะถูกทำลาย”
“แต่ว่านั่นก็ดีออกไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นฉันก็สามารถเตรียมบ้านใหม่…” เฉินเกอชะงักกลางประโยคเมื่อเห็นว่าเด็กชายกำลังจะคลั่งอีกแล้ว ดังนั้นจึงรีบหยุดตัวเองไว้ “เธอพูดก็มีเหตุผล หลังจากออกจากเมืองหลี่ว่าน ฉันจะไปส่งเธอกลับหอผู้ป่วยสามทันที”
หลังจากดึงเหมินหนานเข้าไปในหนังสือการ์ตูนแล้ว เฉินเกอก็เรียกพนักงานทั้งหมดของเขาออกมาเพื่อเก็บกวาดโรงแรมเร็ว ๆ ครั้งหนึ่ง คำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงนั้นทรงพลังและน่ากลัวกว่าที่เขาคาดเอาไว้ หลอดเลือดและส่วนที่ยังเหลืออยู่ของปิศาจหิวโหยที่สัมผัสเข้ากับคำสาปนั้นสลายกลายเป็นเถ้าและปลิวหายไปในสายลม เหลือเอาไว้เพียงแค่โซ่เหล็กสี่เส้น
“ยังมีเรื่องน่าสงสัยเกี่ยวกับปิศาจหิวโหยอีกหลายอย่าง ฉันต้องขุดลงไปให้ถึงก้นบึ้ง” เฉินเกอเข้าไปในห้องที่หนึ่งและแก้มัดชายชรา “คุณเห็นโซ่เหล็กที่บนพื้นไหม? คุณเป็นคนที่ขังผู้หญิงคนนั้นเอาไว้หลังตู้เย็นใช่ไหม?”
ประสบการณ์นั้นเพิ่มตามอายุ ตอนที่ชายชราเห็นสภาพของโรงแรม เขาก็สรุปทุกอย่างได้ในใจ ดังนั้น เขาจึงอธิบายทุกอย่างให้เฉินเกอฟัง
ครอบครัวสามคนนี้ไม่ใช่คนเมืองหลี่ว่าน พวกเขาดูแลอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่ในเมืองจิ่วเจียงตะวันออก ชั้นบนของอพาร์ทเม้นท์นั้นให้เช่าขณะที่ชั้นล่างนั้นทำเป็นร้านอาหาร
จากนั้น วันหนึ่ง จู่ ๆ ภรรยาของชายชราก็ป่วยโรคประหลาด เธอไม่อิ่มไม่ว่าจะกินเข้าไปมากเท่าใด และเมื่อพวกเขาห้ามเธอกินต่อ เธอก็จะเจ็บปวดและตื่นตระหนกเหมือนพวกเขากำลังทรมานเธอ พวกเขาพาเธอไปพบหมอหลายคน แต่ว่าไม่ได้ผล อาการป่วยของภรรยารุนแรงขึ้น และเมื่อหิวถึงที่สุด เธอก็กัดกินคนอื่นด้วย
พวกเขาใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับการรักษาอาการป่วยของเธอ จนกระทั่งวันหนึ่ง ภรรยาและชายชราที่เพิ่งกลับมาจากการพบหมออีกคนก็ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 และพวกเขาก็มาถึงที่เมืองหลี่ว่าน
ชายชรานั้นขี้ขลาดเกินกว่าจะลงจากรถ แต่ว่าภรรยาของเขานั้นถูกเงาลางเลือนเงาหนึ่งชักนำไปยังอพาร์ทเม้นท์ผี ตอนที่เธอกลับมา อาการป่วยของเธอนั้นก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน เขาดีใจมาก คิดว่าพวกเขาคงจะเจอเข้ากับผู้ช่วยชีวิตแล้ว แต่ว่านั่นกลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนี้
ภรรยานั้นมักจะเดินออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน และในที่สุดชายชราก็พบว่าภรรยาของเขานั้นออกไปหา ‘อาหาร’ เพื่อไม่ให้ตำรวจรู้เข้า ทั้งครอบครัวจึงย้ายมายังเมืองหลี่ว่าน และสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นก็เข้ากันได้กับรายละเอียดในเกมของเสี่ยวปู้
“ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เป็นฉันเองที่ขังเธอเอาไว้ ถ้าฉันไม่ทำอย่างนั้น เธออาจจะกินเนื้อตัวเองด้วยซ้ำ หลังจากเธอตาย ก็เป็นเงานั่นที่ขังเธอเอาไว้…” ชายชรามองเฉินเกอและพูดต่อ “เงานั่นคล้ายกับคุณ เขาเอา ‘อาหาร’ มาให้ภรรยาของฉันกินเป็นประจำจนกระทั่งเธอกลายเป็นสิ่งที่คุณเห็น”
“เงานั่นดูคล้ายผม?” เฉินเกอพยักหน้า เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว ปิศาจหิวโหยนั้นเป็นเงานั่นสร้างขึ้นมา ความหมายของการคงอยู่ของเธอก็เพื่อดูแลศูนย์กลางเมืองหลี่ว่าน
“ฉันไปดูทุกที่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงแล้ว ได้เวลาไปที่เขตที่พักอาศัยของฟ่านฉงแล้ว” เป้าหมายของเฉินเกอนั้นสำเร็จแล้ว เขาดึงพนักงานทั้งหมดของเขาเข้าไปในหนังสือการ์ตูนและใช้เชือกมัดชายชราเอาไว้อีกครั้งแล้วทิ้งเขาเอาไว้ในห้องที่หนึ่ง
“ได้เวลาไปจากที่นี่แล้ว” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องที่หนึ่งและวางแผนจะลงบันไดไปพบกันผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตอนที่เกิดบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้น ทางเข้าของโรงแรมจู่ ๆ ก็ถูกผลักเปิด และชายสองคนก็พุ่งเข้ามาในห้อง
“ห้ามพูด และห้ามทำอะไรทั้งนั้น! เข้าใจไหม?”
“ครับ ผมเข้าใจดี! แต่ปัญหาก็คือคุณจับคนผิด! เชื่อผม! เขาออกไปจากร่างผมแล้ว!”
ได้ยินเสียงคุ้น ๆ เฉินเกอก็เงยหน้าขึ้นตามนิสัย ตอนที่เขาเห็นสองคนที่ประตู ม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงทันที
“หลี่เจิ้ง? เจียหมิง? ทำไมพวกคุณมาอยู่ที่นี่?”
ตอนที่ 654
เมื่อเฉินเกอเห็นหลี่เจิ้งและเจียหมิง สองคนที่ประตูก็เห็นเขาด้วยเหมือนกัน
“เฉินเกอ?” หลี่เจิ้งและเจียหมิงพูดพร้อมกัน ไม่มีใครในพวกเขาคิดว่าจะมาเจอกับเฉินเกอที่นี่
“ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หลี่เจิ้งนั้นวางมือข้างหนึ่งไว้ด้านหลังเจียหมิง ถึงแม้ว่าเขาจะประหลาดใจมากกับการปรากฏตัวออกมาของเฉินเกอ มือของเขาก็ไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว
“อย่าเข้าไปใกล้เขามากเกินไป เขาอาจจะไม่ใช่เฉินเกอ” เจียหมิงกระซิบเตือน เขาดูค่อนข้างหวาดกลัว “คุณลืมไปแล้วเหรอว่าผมบอกอะไรคุณก่อนหน้านี้? เงานั่นดูเหมือนเฉินเกอเลยนะ!”
เมื่อยืนอยู่ในมุมของคนนอกคนหนึ่ง ก็ไม่มีอะไรผิดที่เจียหมิงจะพูดอย่างนั้น คนเป็น ๆ คนหนึ่งปรากฏตัวที่โรงแรมในตอนกลางดึกในเมืองเล็ก ๆ ที่มีหมอกสีเลือดโอบล้อม… ย่อมต้องมีความลับบางอย่างในเรื่องนี้
“คุณตั้งคำถามกับผมตั้งมากมาย แต่บังเอิญว่า ผมเองก็มีคำถามมากมายจะถามคุณ” เฉินเกอเองก็ไม่กล้าประมาทเมื่อเห็นเจียหมิงและหลี่เจิ้ง ก่อนที่เขามายังเมืองหลี่ว่าน หลี่เจิ้งส่งข้อความให้เขาเป็นชุด บอกเขาว่าเจียหมิงนั้นหนีจากการควบคุมตัวของตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดก็กำลังพยายามจับตัวคนร้ายอีกครั้ง
แต่ว่า แค่สองชั่วโมงถัดจากนั้น หลี่เจิ้งและเจียหมิงทั้งคู่กลับปรากฏตัวที่เมืองหลี่ว่าน ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ก็มีบางอย่างแปลกประหลาดในเรื่องนี้ หลี่เจิ้งนั้นซ่อนมือหนึ่งไว้ด้านหลังเจียหมิง ดังนั้นปากกระบอกปืนของเขาอาจจะแนบอยู่กับแผ่นหลังของเจียหมิงป้องกันไม่ให้เจียหมิงทำอะไรวู่วาม ในเมื่อพวกเขาตัวติดกันอย่างนั้น เฉินเกอจึงไม่กล้าทำอะไรวู่วามเช่นกัน ปืนนั้นใช้กับวิญญาณไม่ได้ แต่ว่ามันใช้กับเขาได้อย่างแน่นอน
“ไม่ว่ายังไง พวกเราทุกคนก็ควรจะใจเย็นก่อน” ยืนคุมเชิงกันอยู่ในห้องโถงนี้มีแต่จะเสียเวลาเปล่า เฉินเกอตัดสินใจยกมือขึ้นมาก่อน เขาดึงเอาโทรศัพท์ของเขาออกมาเปิดให้หลี่เจิ้งเห็นบันทึกการโทรของเขา “สารวัตรหลี่ ผมคือเฉินเกอ เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ผมมาที่นี่เพราะว่าได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ”
เฉินเกอชี้ไปที่บันทึกการโทรระหว่างฟ่านฉงกับตัวเขาเอง “ผู้ชายคนนี้เคยเป็นผู้เข้าชมบ้านผีสิงของผม และช่วงนี้เขาก็ทำตัวแปลกไป เขาเล่าเรื่องประหลาดหลายอย่างให้ผมฟัง และเพราะความสงสัย ผมจึงทิ้งหมายเลขติดต่อของผมไว้ให้เขา แต่ผมก็ต้องประหลาดใจ คืนนี้เขาหายตัวไป และผมก็ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ผมเป็นคนสุดท้ายที่เขาติดต่อ ดังนั้นเพื่อสืบการหายตัวไปของเขาให้กระจ่าง ผมก็เลยรีบมาที่เมืองหลี่ว่านนี่เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
หลี่เจิ้งถามเฉินเกออีกหลายคำถาม เห็นเฉินเกอตอบคำถามทั้งหมดของเขาได้ถูกต้อง เขาก็ถอนหายใจโล่งอก “หลังจากเจียหมิงหนีจากโรงพยาบาล พวกเราก็ค้นหาเขาไปทั่วเมืองและในที่สุดทีมก็ยืนยันเส้นทางการหนีของเขาได้ว่ามุ่งหน้ามายังทางตะวันออกของเมือง
“เดิมที พวกเราคิดว่าเขาพยายามหนีขึ้นเขาไปซ่อนตัว แต่หลังจากขยายขอบเขตการค้นหา ผมก็พบสิ่งประหลาดในกล้องวงจรปิด ตอนที่เขาเดินผ่านแยกแยกหนึ่ง เจียหมิงปิดหน้าเอาไว้ ถึงแม้ว่าเขาจะยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิมของเขา ฝีเท้าของเขากลับไม่เป็นธรรมชาติอย่างประหลาด ผมเทียบกับกล้องวงจรปิดตัวอื่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะสรุปได้ว่าเจียหมิงอาจจะหาใครสักคนมาแทนตัวเขาที่แยกนั่น
“หลังจากสั่งให้คนที่เหลือในทีมค้นหาต่อไปในทิศทางเดิม ผมก็หันกลับไปยังอีกด้านของแยกและเริ่มค้น ฝนตกหนักทำให้การตามหายากขึ้น มองผ่านสายฝนไปก็ยังยาก แต่ความพยายามย่อมให้ผลตอบแทน ในที่สุด ผมก็จับไอ้คนเฮงซวยนี่ได้ที่ปลายถนน หลังจากวิ่งไล่กันรอบหนึ่ง ผมก็เพิ่งจับเขาได้หลังจากที่พวกเราเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลี่เจิ้งพูด เจียหมิงก็รีบโบกไม้โบกมือ “ทุกอย่างที่ผมทำก็เพราะว่าถูกเงานั่นบังคับ ถ้าผมไม่ทำตามที่เขาสั่ง เขาก็มีกว่าร้อยวิธีให้ชีวิตของผมเหมือนตกอยู่ในนรก”
“คุณถูกบังคับงั้นเหรอ? แต่ทำไมมันถึงเหมือนกับว่าคุณจงใจพยายามล่อผมมาที่นี่ล่ะ? แผนการของคุณกับเงานั่นคืออะไร? ยอมรับสารภาพออกมาตรง ๆ นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่คุณมี” หลี่เจิ้งเข้ามาในเมืองหลี่ว่านเพราะพยายามจับตัวเจียหมิง นี่เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ แต่สำหรับเฉินเกอ มันเหมือนเป็นการบีบบังคับให้เชื่ออยู่บ้าง เขามีความรู้สึกว่ายังมีบางอย่างแปลกไปเกี่ยวกับเจียหมิงและหลี่เจิ้ง แต่เขาก็ไม่สามารถบอกได้จริง ๆ ว่าอะไรกันที่แปลกไปในตัวพวกเขา
“สารวัตรหลี่ นี่เป็นที่ที่อันตรายมาก เข้ามาในนี้ก่อน อย่าอยู่ที่ทางเข้านานเกินไป” เฉินเกอเปิดเครื่องเล่นเทปและเป็นฝ่ายเดินตรงไปยังทางเข้าโรงแรมก่อน “พวกคุณเจออะไรน่ากลัวเข้าบ้างไหมระหว่างมาที่นี่?”
“ที่บ้า ๆ นี่ประหลาดอยู่นะ ด้านนอกฝนกำลังตกหนักมาก แต่ว่าในเมืองเล็ก ๆ นี่กลับไม่เปียกเลยสักหย่อมหนึ่ง ผมเชื่อว่ามันจะต้องเกี่ยวข้องกับหมอกสีแดงนี่” หลี่เจิ้งไม่ได้ตอบคำถามเฉินเกอ เขาใช้มือที่วางอยู่ด้านหลังเจียหมิงผลักชายคนนั้นเข้าไปในโรงแรม
เฉินเกอนั้นคุ้นเคยกับความน่ากลัวของเมืองหลี่ว่าน ที่นี่นั้นเต็มไปด้วยผีและฆาตกรคืบคลานเต็มไปหมด พูดตามเทคนิคแล้ว สารวัตรหลี่สามารถรับมือกับเหล่าฆาตรกรได้ด้วยปืนของเขา แต่คนธรรมดาอย่างเขาจะจัดการกับพวกผีและสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้อย่างไร?
จากท่าทีของพวกเขา เจียหมิงและหลี่เจิ้งนั้นไม่แม้แต่จะตื่นตระหนก– ไม่มีกระทั่งร่องรอยของความสยองขวัญในดวงตาของพวกเขา
“เป็นไปได้ไหมว่าเงานั่นซ่อนอยู่ในพวกเขาสักคนหนึ่ง? ทำให้สัตว์ประหลาดและพวกผีในเมืองหลี่ว่านเป็นฝ่ายอยู่ห่างจากพวกเขาเอง?” คนหนึ่งนั้นเป็นตำรวจ อีกคนเป็นคนร้าย แต่เฉินเกอก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นสถานที่หลบซ่อนตัวของเงานั่น “ฉันไม่สามารถลองเสี่ยงดูได้ในเร็ว ๆ นี้ พวกเขาทั้งคู่อาจจะเป็นคนที่พวกเขาบอกว่าเป็น และเงานั่นอาจจะซ่อนตัวอยู่ที่อื่น”
ตั้งแต่ได้รับโทรศัพท์เครื่องดำมา เงานั่นก็เป็นศัตรูที่จัดการยากที่สุดที่เฉินเกอเคยเผชิญหน้าด้วย เขาเชื่อว่าเงานั่นพาทั้งเจียหมิงและหลี่เจิ้งมาที่นี่พร้อมกันก็เพื่อทำให้เขาสับสน เฉินเกอนั้นระแวดระวังทั้งเจียหมิงและหลี่เจิ้งแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้เชื่อเฉินเกอทั้งหมดเช่นกัน พวกเขารู้แล้วว่าเงานั่นมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างและปลอมตัวเป็นคนอื่น บางทีจากมุมมองของพวกเขา มันก็ไม่ยากที่จะเชื่อว่า ‘เฉินเกอ’ ตรงหน้าพวกเขาอาจจะเป็นตัวปลอมของเงานั่นก็ได้
“เชิญนั่งตามสบาย รอสักประเดี๋ยวได้ไหม? ผมมีเพื่อนสองสามคนที่กำลังรอผมอยู่ที่ชั้นบน” เฉินเกอมุ่งหน้าขึ้นบันไดไป
หลังจากเขาหันหลังกลับเขาก็ได้ยินเจียหมิงกระซิบเบามาก ๆ กับหลี่เจิ้ง “ผมบอกคุณทุกอย่างที่ผมรู้เกี่ยวกับเงานั่นแล้ว และตอนนี้คุณก็เจอตัวเขาแล้ว นี่พิสูจน์ว่าผมไม่ได้โกหก! เฉินเกอคือเงานั่น! พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่มันจะสายเกินไป! เขาต้องฆ่าพวกเราเพื่อปิดปากแน่ ๆ!”
“แกพยายามอย่างหนักเพื่อล่อฉันมาที่นี่เพื่อให้ฉันเห็นอะไรแบบนี้เนี่ยนะ?” หลี่เจิ้งแย้งด้วยน้ำเสียงเย็น ๆ “ในเมื่อแกสามารถล่อฉันมาที่นี่ได้ อย่างนั้นแกก็คงมีสักวิธีล่อเฉินเกอมาที่นี่ด้วยเหมือนกัน แล้วมันก็ยังตัดสินไม่ได้ว่าเขาเป็นเงานั่นจริง ๆ หรือเปล่า”
“มันชัดไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว และคุณก็ยังจะสงสัยผมเนี่ยนะ?” เจียหมิงพูดดังขึ้น “ลองคิดกลับไปถึงสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำมาในอดีตสิ คุณคิดเหรอว่าสิ่งเหล่านั้นคนธรรมดาทั่วไปจะทำได้น่ะ? เขาก็แค่กำลังหลอกใช้คุณและกองกำลังตำรวจทั้งหมด เขากำลังใช้พวกคุณทุกคนกลบเกลื่อนบาปของเขา”
“กลบเกลื่อนบาปของเขา? แกยังเข้าใจคำว่าบาปด้วยเหรอ?” หลี่เจิ้งกดเจียหมิงนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะกินข้าม “อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ หยุดรบกวนฉันด้วยข้อมูลผิด ๆ ของแกและอย่าทำอะไรที่แกไม่ควรทำ ฉันมีวิธีตัดสินแบบของฉัน”
หลี่เจิ้งและเจียหมิงคุยกันเบา ๆ ขณะที่เฉินเกอเดินห่างออกไป ตอนที่เขาไปถึงบันไดขั้นบนสุด ก็มีเสียงเคาะดังมาจากประตูหน้าของโรงแรม
“มีใครอยู่ที่นี่ไหม?” เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีดำเอาไว้ยืนอยู่ที่ทางเข้า เขาดูสุภาพและอ่อนแอ ”ผมอยากจะขอพักที่นี่สักคืนหนึ่ง”
เด็กหนุ่มนั้นอยู่ในวัยกำลังโต และเสียงของเขาก็แตกหนุ่ม นอกจากนั้นแล้ว เขาก็ดูเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมทั่วไปที่อาจจะกำลังหนีออกจากบ้าน เด็กหนุ่มดันแว่นบนดั้ง เขาเดินอ้อมหลี่เจิ้งและเจียหมิงไปห่าง ๆ เขาขยับไปที่เคาน์เตอร์อย่างระมัดระวัง “มีใครอยู่ที่นี่ไหม? เจ้าของอยู่หรือเปล่า?”
เฉินเกอที่ยืนอยู่บนชั้นสองเห็นทุกอย่างชัดเจน “เด็กชายคนนี้ดูคล้ายกับเด็กชายที่ฉันเห็นบนโทรศัพท์ของเด็กมัธยมคนนั้นที่บนรถเมล์ ดังนั้น เขาอาจจะเป็นเป้ยเหวินหรือเป้ยเยี่ยก็ได้”
ตอนที่เขาอยู่บนรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 นั้น เฉินเกอเจอกับเด็กมัธยมที่ไม่เหมือนเด็กมัธยม เขาขึ้นมาบนรถเมล์เพราะว่ากำลังตามหาเพื่อนร่วมชั้นที่หายไป และเขาก็ให้เฉินเกอดูรูปของเพื่อนของเขา เพราะโชคดีล้วน ๆ เด็กมัธยมที่เขาพูดถึงนั้นดูเข้ากันได้กับเด็กมัธยมที่ช่วยกู่เฟยอวี้เอาไว้ตอนที่เขาอยู่บนรถเมล์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องอะไรกับเด็กมัธยมคนนั้น เฉินเกอจึงไล่เขาลงจากรถและสัญญากับเขาว่าจะค้นหาความจริงเรื่องนี้และช่วยเพื่อนของเขาถ้ามีโอกาส
“ตอนที่ฉันเล่นเกมของเสี่ยวปู้ ฉันก็เจอเข้ากับเด็กมัธยมที่ในโรงแรม” เฉินเกอกำราวบันไดเอาไว้และสายตาของเขาก็เลื่อนไปมาระหว่างเด็กนักเรียนกับหลี่เจิ้ง “ในเกมของเสี่ยวปู้ มีแขกที่โรงแรมนี้สี่คน ผู้หญิงคนหนึ่ง เด็กมัธยม เจ้าหน้าที่ตำรวจและเสี่ยวปู้ ตอนนี้ตำรวจและเด็กมัธยมปรากฏตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าจะได้เวลาที่ผู้หญิงที่ถอดเปลี่ยนผิวหนังของเธอได้จะปรากฏตัวขึ้นแล้วเหรอ?”
โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของผู้ผลักประตู โลกที่ในเกมนั้นบันทึกประสบการณ์ส่วนตัวของเสี่ยวปู้ ตอนนี้ที่ประตูหลุดออกจากการควบคุม ฝันร้ายทั้งหมดที่เธอเคยเผชิญก็กลายมาเป็นความจริง
“ทำไมเสี่ยวปู้ถึงให้คนอื่นเล่มเกมนี้? เธอแค่ต้องการพิสูจน์ว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? เพื่อเรียกร้องความสงสารจากคนอื่น? หรือว่านี่คือเครื่องมือที่จะช่วยเธอหนี? เกมนั้นมีกุญแจที่สามารถปลดปล่อยเธอจากฝันร้ายอย่างนั้นใช่ไหม?”
ด้วยความช่วยเหลือของเฉินเกอ ฟ่านฉงสามารถเคลียร์เกมได้ และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่เกิดเรื่องขึ้นกับเขา เงานั่นทำร้ายครอบครัวทั้งหมดของเขา ตอนนี้ฟ่านฉงหายตัวไป และยังมีโอกาสมากด้วยที่เงานั่นจะควบคุมพี่ชายของเขา ฟ่านต้าเตอ เอาไว้
“เงานั่นน่าจะรู้เรื่องเกมของเสี่ยวปู้ ไม่อย่างนั้นเขาจะทำลายมันทำไม? นี่เป็นไปได้ใช่ไหมว่าจะมีบางอย่างที่เขาต้องการในเกมของเสี่ยวปู้?
“ประตูในเมืองหลี่ว่านนั้นเป็นเสี่ยวปู้เปิด และเพื่อควบคุมประตูได้อย่างเต็มที่ คนผู้นั้นจะต้องควบคุมเสี่ยวปู้ให้ได้โดยสมบูรณ์ ถ้าฉันลองคิดแบบนี้แล้ว เงานั่นก็น่าจะวางกับดักไว้ในเกมเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือหาตัวฟ่านฉงและช่วยเขาให้ได้– เขาเป็นคนที่มีข้อมูลเรื่องนี้”
เฉินเกอนั้นนับว่าเป็นครอบครองโรงแรมนี้แล้ว หลังจากจัดการกับปิศาจหิวโหย โรงแรมนี้ก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าเปลือก ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลให้เขาอยู่ที่นี่อีกต่อไป
เขาผลักเปิดประตูเข้าพักแขก มือกรรไกรและชายขี้เมานั้นเบียดตัวอยู่ข้างหน้าต่าง พวกเขามัดเชือกเอาไว้รอบตัวหมอ ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะส่งหมอออกไปก่อน
“สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่นี้มันเหมือนกับทั้งตึกสะเทือน มันเหมือนเกิดแผ่นดินไหว” ตอนที่ชายขี้เมาเห็นเฉินเกอเดินเข้ามา เขาก็พุ่งเข้าไปหาและถามข้อมูลด้วยสีหน้ากังวล
“คุณเจ้าของกับพ่อครัวถูกหญิงไร้หัวฆ่า และจากนั้นเธอก็ตายจากการเผชิญหน้ากันอย่างสูสีกับผีในโรงแรมนี้”
“ผีในโรงแรมนี่ก็ตายแล้วเหรอ?” ชายขี้เมาผ่อนลมหายใจออกยาวเหยียด “อย่างนั้นพวกเราก็ควรจะพักอยู่ที่นี่ พอพระอาทิตย์ขึ้นและหมอกเลือดสลายไป พวกเราก็คงออกไปจากสถานที่สยองขวัญนี่ได้อย่างไม่มีปัญหา”
“โรงแรมนี้ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คุณคิด ไม่มีผีคอยเฝ้าระวังที่นี่แล้ว ทั้งคนและผีก็จะถูกดึงดูดมาที่นี่มากขึ้น” เฉินเกอเดินไปหาคุณหมอและก้มหน้าลงตรวจดูร่างกายของเขา “ตอนนี้คุณเดินได้หรือยัง?”
หลอดเลือดบนลำคอของหมอเต้นตุบ เขาใช้พลังทุกหยาดหยดที่มีเพื่อส่ายหน้า “ผมรับสัมผัสได้มากขึ้น แต่ว่ายังไม่สามารถยกแขนขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” มือกรรไกรที่ข้าง ๆ เขาดูจะเข้าใจว่าหมอกำลังจะทำอะไร เขาเอื้อมมือไปยกชายกางเกงที่ขาดของหมอขึ้น ตรงน่องของคุณหมอนั้นมีผิวหนังที่เปลี่ยนไปเป็นสีเทาปื้นใหญ่
“ก่อนที่ผมจะมาที่เมืองหลี่ว่าน ผมเคยได้ยินคนพูดกันว่าเมื่อคุณอยู่ในประตูนานเกินไป คุณจะเริ่มมีปื้นสีเทา ๆ นี่บนผิวหนัง และถ้าคุณมีผิวหนังที่เปลี่ยนสีไปนี่แล้ว คุณก็จะไม่สามารถออกไปจากเมืองนี้ได้อีกต่อไป” หมอดูเครียด “ผมจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล”
“ขางอกอยู่บนตัวของคุณ– ไม่มีใครสามารถหยุดคุณไว้ได้ตราบใดที่คุณอยากจะไปจากที่นี่” แผนการเดิมของเฉินเกอนั้นก็คือขับรถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 ตรงไปยังบ้านของฟ่านฉงและใช้รองเท้าส้นสูงสีแดงและชายหน้ายิ้มบุกผ่านกับดักของเงานั่นไป เห็นได้ชัดเจนว่า แผนการนี้ต้องเปลี่ยนแล้ว หมอกเลือดกลืนกินเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เอาไว้ ประตูก็ถูกเปิดออกตั้งแต่ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง เฉินเกอทำได้แค่เปลี่ยนแผนการไปตามสถานการณ์ เขาใช้ความรู้ที่ได้จากเกมของเสี่ยวปู้จัดการผีหลายตนเท่าที่จะทำได้และใช้ศัตรูจัดการกับพวกมันเอง
เมื่อไปเยือนสถานที่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงครบแล้ว เฉินเกอรู้สึกว่ามันได้เวลาที่จะทำภารกิจหลักให้สำเร็จ
“พวกเรามีแขกสองสามคนที่ชั้นล่าง ผมสังสัยว่าพวกเขาจะเป็นคนที่นี่ ดังนั้นพวกเขาอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดและผีปลอมตัวมา ตอนที่ลงไป ระวังตัวด้วย ไม่ว่าอย่างไร ระวังเอาไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
หลังจากสั่งการอีกสองสามอย่าง เฉินเกอก็ให้ชายขี้เมาแบกหมอเอาไว้ และพวกเขาก็ออกจากห้อง ตอนที่พวกเขากลับลงไปที่ชั้นล่าง เฉินเกอก็สังเกตเห็นแล้วว่านอกจากตำรวจ เจียหมิง และเด็กมัธยม มีหน้าใหม่อีกคนหนึ่ง
เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีส่วนโค้งส่วนเว้าและสวยหยาดเยิ้ม ใบหน้าหวานฉ่ำ แต่ว่า เธอแต่งกายอย่างคนหัวเก่าด้วยเสื้อแขนยาวและเสื้อคลุมที่ปกปิดร่างกายทั้งหมดของเธอ เธอยังสวมถุงมือคู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผิวกายสักตารางนิ้วเผยออกมา
“เจ้าของที่นี่อยู่ที่ไหน? ฉันต้องการห้องสักห้อง” ผู้หญิงคนนั้นลากกล่องใบใหญ่มาด้วย เธอไม่สนใจคนอื่นที่ในห้อง เธอหันไปทางห้องครัวและยิ้ม “ฉันเอาสิ่งที่คุณต้องการมาด้วยคราวนี้”
ตอนที่เธอเดินผ่านกลุ่มของเฉินเกอไป เฉินเกอก็ไม่ได้กลิ่นน้ำหอมจากร่างของเธอ กลับกัน เขาได้กลิ่นเน่าจาง ๆ
“เจ้าของที่นี่ไม่อยู่ เขาออกจากโรงแรมไป และไม่มีใครอยู่ในครัวเลย” เฉินเกอเอื้อมมือออกไปขวางเธอเอาไว้
“คุณเป็นใคร? คุณเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของที่นี่เหรอ?” จมูกเป็นสันสูงงดงามของเธอขยับเข้ามาใกล้เฉินเกอเหมือนเธอได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจากร่างของเฉินเกอ ตอนที่เธอเอนตัวเข้ามาใกล้ขึ้น เฉินเกอก็มองเห็นลึกลงไปในคอเสื้อของเธอ มีบาดแผลพาดสลับซับซ้อนอยู่รอบลำคอของเธอจนดูราวกับเป็นรอยสัก มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าผิวหนังที่ด้านใต้เสื้อผ้าของเธอนั้นถูกเย็บเข้าด้วยกัน
“ผมไม่ได้คุ้นเคยเจ้าของที่นี่ แต่ผมหวังว่าคุณจะระวังตัวกว่านี้ ตอนนี้ผมเป็นคนดูแลที่นี่ชั่วคราว” เฉินเกอตอบพร้อมยิ้มอย่างสุภาพ อันที่จริงแล้ว หากไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ เขาก็คงเรียกพนักงานของเขาออกมาจับตัวผู้หญิงคนนี้ไว้และเริ่มสอบถามเธอเกี่ยวกับเมืองหลี่ว่าน
เธอยืนเขย่งปลายเท้ามองเข้าไปในห้องครัว ถึงแม้ว่าเฉินเกอจะให้พนักงานของเขาทำความสะอาดที่นี่แล้ว แต่เมื่อมองใกล้ ๆ ก็ยังเห็นสิ่งที่น่าสงสัยมากมาย
“ใครจะดูแลที่นี่ก็ไม่สำคัญ ฉันแค่อยากจะรู้ว่าที่นี่ยังเปิดให้บริการอยู่ไหม” เธอลากกล่องไปข้างหน้า “ช่วงหลังมานี่มีคนมาจากข้างนอกน้อยลงเรื่อย ๆ และคุณรู้ไหมว่าฉันลำบากขนาดไหนถึงรวบรวมของทั้งหมดนี่ได้?”
เฉินเกอนั้นรู้คร่าว ๆ แล้วว่าในกล่องมีอะไรอยู่ “แน่นอน พวกเรายังเปิดให้บริการ ทิ้งกล่องนั่นไว้ให้ผม และคุณสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่คุณต้องการ”
“ขอบคุณ คุณจะว่าอะไรไหมถ้าฉันจะเข้าไปหาอะไรกินที่ในครัวเสียหน่อย? หมอกเลือดคราวนี้หนากว่าปกติ และฉันก็รู้สึกยินดีอยู่นิด ๆ” เธอหาเหตุผลมากมายเพื่อเข้าไปในห้องครัว
“ถ้าอย่างนั้นคุณนั่งก่อนดีกว่า อาหารจะยกมาเสิร์ฟเร็ว ๆ นี้” เฉินเกอโบกมือให้ชายขี้เมาและบอกเขาพามือกรรไกรเข้าไปในครัว หาวัตถุดิบและทำอะไรมากิน
หลังจากทั้งสองคนเข้าไปในห้องครัว ประตูของโรงแรมก็ถูกผลักเปิดอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มประหลาดบนใบหน้าเดินเข้ามา มีรอยเลือดหย่อมใหญ่อยู่บนเสื้อของเขา เขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาไม่ได้พูดอะไรสักคำเมื่อเดินเข้ามาแต่หามุมเงียบ ๆ ลงนั่ง
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีเสียงของเหลวหยดดังมาจากประตูหน้า และรอยยิ้มบนใบหน้าของชายผู้นั้นก็แข็งทื่อ
หลายวินาทีต่อมา ประตูเปิดออก และผู้หญิงคนหนึ่งในเสื้อกันฝนสีแดงก็ก้มหน้าต่ำและก้าวยาว ๆ เข้ามาในโรงแรม
TL note: อาการป่วยก่อนหน้านี้ของผู้แปลดีขึ้นแล้ว แต่ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ต่อ ตอนนี้ต้องพักผ่อนอีกสักระยะ ขออภัยผู้อ่านทุกท่านจากใจจริงที่อัพนิยายได้ช้ามาก ๆ
ตอนที่ 655
กลิ่นเลือดฟุ้งในอากาศ ข้างนอกฝนไม่ได้ตก แต่เสื้อกันฝนสีแดงที่ผู้หญิงคนนี้สวมอยู่กลับเปียกชุ่ม เธอเข้ามาในโรงแรมพร้อมก้มหน้าต่ำ— เธอไม่ได้มองไปที่ใครเลยขณะตรงไปยังที่นั่งว่าง ๆ แล้วนั่งลง
“พวกเราควรจะอยู่ให้ห่างจากเธอ” เจียหมิงเปิดปากกระซิบขณะลุกขึ้นแล้วขยับไปยังอีกด้านของโต๊ะ เขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับหลี่เจิ้งไว้ก่อน ดังนั้นตอนที่เขาลุกขึ้นและขยับห่างออกไปจากหลี่เจิ้ง คนอื่นจึงเห็นได้ชัดเจนว่าหลี่เจิ้งนั้นถือปืนกระบอกหนึ่งอยู่ในมือ
“นั่งตรงนี้ดี ๆ และอย่าขยับ!” หลี่เจิ้งกดหลังเจียหมิงลงที่เดิม เขาใช้หางตากวาดตามองผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีเลือดเงียบ ๆ และจากนั้นก็ลดเสียงลงถามเจียหมิง “แกรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ?”
“เธอเป็นคนบ้า ทุกคนที่สวมชุดสีแดงที่นี่ล้วนเป็นคนบ้า ถ้าคุณอยากมีชีวิตอยู่ ก็อยู่ให้ห่างจากพวกเขาเท่าที่คุณทำได้ พยายามอย่าไปพูดคุยกับพวกเขา” ร่างของเจียหมิงสั่นนิด ๆ “นี่คือสิ่งที่เงานั่นบอกผม ถ้าคุณอยากตาย งั้นก็เชิญเลย แต่อย่าลากผมไปกับคุณด้วย!”
“สีแดงที่นี่นั้นแทนความหมายพิเศษบางอย่างงั้นหรือ?” หลี่เจิ้งมีคำถามมากมายที่อยากจะถาม ตั้งแต่เขาเข้ามาในเมืองเล็ก ๆ นี่ เขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลก ๆ มากมาย แต่เพราะว่าเขามีข้อมูลน้อยเกินไป มันจึงยากที่เขาจะบอกว่าเจียหมิงกำลังโกหกเขาหรือไม่
“สีแดงแทนอันตรายร้ายแรง แค่อยู่ให้ห่างจากพวกเขา นั่นเป็นกฎที่คุณต้องทำตามที่ด้านในประตูนี่” เสียงของเจียหมิงนั้นเบาลงเรื่อย ๆ “เงานั่นออกไปจากร่างของผม แต่เขาใช้ร่างนี้ทำเรื่องต่าง ๆ มากมาย ดังนั้นผมจึงยังรู้ความลับของเขาอยู่บ้าง”
“ในประตู?” หลี่เจิ้งจดทุกประโยคที่ออกมาจากปากเจียหมิงเอาไว้ “มีกฎอื่นที่ฉันต้องระวังเมื่ออยู่ที่นี่อีกไหม?”
บางทีอาจจะเพราะรู้ว่าตัวเองหนีไม่พ้น หรือบางทีเขาจะตัดสินใจเปลี่ยนแผนเพราะเจอเข้ากับเฉินเกอ เจียหมิงจึงกลายเป็นซื่อตรงและให้ความร่วมมือมากขึ้น “อย่าเข้าไปในตึกไหนที่ประตูปิดอยู่ และอย่าเดินผ่านตึกไหนที่ประตูเปิดอยู่ สีเทาแทนความปลอดภัยที่มีอยู่บ้าง และสีแดงแทนอันตราย แต่ว่า ถ้าคุณเห็นสีดำ อย่าเสียเวลาพยายามหนีเลย มันจะดีกว่าที่จะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายที่คุณมีหาคำพูดสั่งเสียซะ”
ตอนที่เจียหมิงและหลี่เจิ้งคุยกัน เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากที่ทางเข้าโรงแรมอีกครั้ง ทุกคนหันไปมองพร้อม ๆ กัน
“ที่นี่ดูจะพลุกพล่านทีเดียวคืนนี้” ผู้ชายคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำลากกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาในห้อง บนแขนของเขาสลักรูปกะโหลกศีรษะของผู้หญิงเป็นสีแดงเลือดเอาไว้ถึงห้ากะโหลก และเขายังคาบนกหวีดทำจากกระดูกไว้ที่ริมฝีปาก ไม่มีใครในโรงแรมตอบรับคำทักทายของเขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์เสีย เขาทักทายทุกคนในโรงแรมทีละคน แต่เมื่อเขาเห็นผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดง ร่างของเขาก็แข็งทื่อก่อนที่จะเดินผ่านเธออย่างรวดเร็วไปที่เคาน์เตอร์ “บอส ผมอยากพักที่นี่คืนนี้”
เสียงของเขาลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกำลังกังวลว่าจะไปรบกวนผู้หญิงในชุดกันฝนสีแดงเข้า
“แขกอีกคนหรือ?” เฉินเกอเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมรถเข็น พวกเขาค้นไปทั่วห้องครัว แต่นอกจากเนื้ออะไรไม่รู้ที่ถูกหั่นและเตรียมเอาไว้ อาหารที่เหลืออยู่ก็มีแค่เค้ก แน่นอนว่า บอสไม่ได้เตรียมเค้กนี่ไว้ให้แขก จากในรายการอาหารที่ในห้องครัว เห็นได้ชัดเจนว่าของทั้งหมดบนเมนูนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของผู้หญิงชื่นชอบ หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง รายการอาหารในภัตตาคารนี้นั้นเตรียมไว้ให้แขกเพียงคนเดียว ก็คือผีผู้หญิงหิวโหย เค้กนั้นยังต้องตกแต่งเพิ่มเติมก่อนที่จะสมบูรณ์ อย่างเช่น เพิ่มซอสมะเขือเทศหรือซอสราสเบอร์รี่ในห้องครัว แต่เค้กนั้นก็มีสีแดงไปส่วนหนึ่งแล้ว
“วิญญาณสีเลือดที่ชอบกินขนมหวาน? นั่นดูเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจ” เฉินเกอผลักรถเข็นออกไป เขาตัดสินใจเปลี่ยนโรงแรมนี้เป็นฉากสยองขวัญที่เกี่ยวข้องกับอาหารหลังจากภารกิจสำเร็จ เขาอยู่ในห้องครัวอยู่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ตอนที่เขาออกมา เขาก็พบว่าจำนวนแขกในห้องโถงนั้นเพิ่มขึ้น จากพวกเขาทั้งหมดนั้น การปรากฏตัวของผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดงนั้นทำให้เขาประหลาดใจที่สุด
พูดก็พูดเถอะ หลังจากประตูในเมืองหลี่ว่านหลุดออกจากการควบคุม มันก็เปลี่ยนไปเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งพิเศษที่คนเป็นนั้นสามารถนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับวิญญาณสีเลือดได้
“บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุการณ์จริงด้านหลังประตู มีผีที่เกิดจากเจตนารมณ์แน่วแน่และมนุษย์ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่กับฝันร้าย” เฉินเกอยกเค้กที่ไม่ได้ถูกย้อมสีมาไว้ที่โต๊ะอาหาร “ทานให้อร่อยครับ ผมไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผมแค่ต้องการให้พวกคุณตอบคำถามผมสองสามข้อหลังจากนี้”
“คุณแน่ใจเหรอ? คุณจะไม่เปิดดูนี่หน่อยเหรอ? บางทีคุณอาจจะเจออะไรที่คุณจะสนใจ?” ผู้หญิงที่ห่อเสื้อผ้ารอบตัวแน่นหนามิดชิดพูด เธอลากกล่องของเธอเดินตรงไปหาเฉินเกอ หลังจากยืดตัวขึ้น เธอก็ขยับนิ้วของเธอจากที่กล่องไปวางเอาไว้ใต้ตะเข็บเสื้อผ้าของเธอ ‘สิ่งนี้’ ที่สามารถเปิดได้นั้นอาจจะหมายถึงสองอย่างที่ต่างกัน
“ไม่จำเป็น ถ้าจำเป็น ผมจะทำเอง” เฉินเกอถือกระเป๋าสะพายหลังหนัก ๆ เอาไว้ด้วยแขนข้างเดียว ค้อนของเขาเพิ่งได้ลิ้มรสลิ้นและหลอดเลือดของปิศาจหิวโหย ดังนั้นกลิ่นเลือดหนาหนักบนค้อนจึงยังไม่สลายไป
“ได้ ตามใจคุณ” เธอลากกล่องถอยกลับไปหลายก้าว ความเย้ายวนบนใบหน้าของเธอนั้นสลายไปหมดแล้ว และเธอยังเปลี่ยนสีหน้ารวดเร็วเหมือนพลิกหน้าหนังสือ
“เฮ้ บอสอยู่ที่ไหน? ฉันต้องคุยกับเขา เกี่ยวกับสิ่งที่เขาบอกให้ฉันไปหามาเมื่อครั้งก่อน ฉันเจอเงื่อนงำบางอย่างแล้ว” ชายหนุ่มที่มีรอยสักกะโหลกศีรษะหญิงสาวเดินมาทางเฉินเกอ และยังลากกล่องของตนมาด้วย
“เขาออกจากโรงแรมไปและทิ้งที่นี่ให้อยู่ในการดูแลของผมชั่วคราว ดังนั้นตอนนี้ผมเป็นผู้ตัดสินใจทุกอย่าง มีอะไรให้ผมช่วยครับ?” เฉินเกอมีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้า ในด้านการให้บริการแล้ว เขาทำได้ดีกว่าเจ้าของคนก่อนแน่นอน
“บอสไม่อยู่?” ชายที่มีรอยสักนั้นฉลาดมาก ดังนั้นเขาจึงจับประเด็นปัญหาได้ในทันที เขายิ้มอย่างอาย ๆ ให้เฉินเกอ “อย่างนั้นผมคิดว่าผมค่อยกลับมาใหม่วันหลัง ขอโทษที่รบกวน ค่อยพบกันใหม่นะครับ”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับออกไปโดยไม่เอากล่องของเขาไปด้วย
“เดี๋ยวก่อนครับ บางทีคุณอาจจะไม่เข้าใจความหมายของผมก่อนหน้านี้” เฉินเกอให้มือกรรไกรหยุดชายที่มีรอยสักเอาไว้ “โดยทางเทคนิคแล้วผมเป็นเจ้าของที่นี่ตอนนี้ ในเมื่อก่อนหน้านี้เจ้าของที่นี่มอบหมายงานให้คุณ คุณก็แค่รายงานผลให้ผม จากนั้นผมจะถ่ายทอดข้อมูลให้เขาเอง”
ชายที่มีรอยสักยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาของเขากลอกไปทางห้องครัวอย่างไม่รู้ตัว ยิ่งมอง เขาก็ยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น “คุณแน่ใจเหรอว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดี?”
“ทำไมคุณถึงคิดว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีล่ะ?” เฉินเกอเอนตัวไปข้าง ๆ นิด ๆ ปล่อยให้ชายที่มีรอยสักเหลือบมองไปยังกำแพงที่ถล่มลงมาด้านในห้องครัว
“ในเมื่อคุณเป็นเพื่อนของบอส อย่างนั้นคุณก็เป็นเพื่อนของผมเหมือนกัน ในเมื่อพวกเราล้วนเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าไม่มีความคิดอื่นที่ดีไปกว่านี้แล้ว” ชายที่มีรอยสักเปลี่ยนท่าทีไปในทันใด ความซื่อตรงและจริงใจบนใบหน้าของเขานั้นขัดกับรอยสักกะโหลกศีรษะที่ดูชั่วร้ายบนแขนของเขาเป็นอย่างมาก “มีคนนอกอยู่ที่นี่เยอะเกินไป คุณจะว่าอะไรไหมถ้าพวกเราจะไปที่ที่เงียบกว่านี้?”
เขาหันกลับมุ่งหน้าไปยังชั้นสอง มันดูเหมือนเขาคุ้นเคยกับโรงแรมนี่ เขาน่าจะมาที่นี่เป็นประจำ
“มือกรรไกร มากับผม” เฉินเกอให้มือกรรไกรตามเขามา– เขาไม่ได้ทำเหมือนชายคนนี้เป็นคนนอกแต่อย่างใด
“ฉัน?” มือกรรไกรอึ้งไป เขาไม่คิดว่าเฉินเกอจะพาเขาไปด้วยตอนที่เขากำลังจะพูดคุยความลับอันมีค่าบางอย่าง เฉินเกอเชื่อถือเขามากแค่ไหนกัน?
“เร็ว เพื่อนเรากำลังรอ” เฉินเกอและมือกรรไกรตามชายที่มีรอยสักขึ้นไปที่ชั้นสอง
“เมื่อกี้ ผมเห็นห้องลับในครัวถล่ม แต่ปิศาจผู้หญิงกลับไม่ได้อยู่ในนั้น” ชายที่มีรอยสักสูดลมหายใจเย็นเยียบ “เธอถูกขังเอาไว้ในโรงแรมนี้ แต่ตอนนี้ เธอไม่อยู่ในที่ที่เธอควรอยู่– คำอธิบายเดียวก็คือเธอหายตัวไป”
“คุณเป็นคนฉลาดมาก” เฉินเกอพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผมไม่ชอบพูดคุยกับคนที่ฉลาดเกินไปยกเว้นว่าจะคนผู้นั้นจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่ามีประโยชน์กับผม”
“พี่ชาย อย่าทำอย่างนี้สิ! ผมรับรองกับคุณได้ว่าผมมีประโยชน์ต่อคุณ และคุณจะต้องประหลาดใจกับประโยชน์ที่ผมอาจจะมีให้” ชายที่มีรอยสักถือนกหวีดกระดูกเอาไว้ในมือและเขาก็หยุดไปนานก่อนจะพูดต่อ “ผมรู้วิธีการออกไปจากที่นี่ มันเกี่ยวข้องกับประตูบานหนึ่ง”
“นี่ก็อาจจะนับได้ว่าเป็นความลับ พวกเราทั้งหมดมาจากด้านนอกประตู ดังนั้นเมื่อเจอประตู ก็ย่อมสามารถผ่านออกไปได้ตามปกติ” เฉินเกอใช้ประโยคเดียวทำให้ชายมีรอยสักสะอึก “หยุดพยายามเล่นเล่ห์ ผมรู้มากกว่าที่คุณเชื่อว่าผมจะรู้ ผมแนะนำให้คุณเริ่มบอกผมได้แล้วว่าทำไมคุณถึงมาที่นี่”
“นอกจากนั้นแล้ว ผมรู้ตำแหน่งของประตู” ปลายนิ้วของชายมีรอยสักกำรอบนกหวีดกระดูกแน่น “ทุกคนถูกพามาที่นี่โดยถูกผีทารกเอาผ้าสีดำคลุมหัว เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น พวกเขาก็มาอยู่กลางถนนแล้ว ผมถามหลายคน และตำแหน่งที่พวกเขาตื่นขึ้นหลังจากปลดผ้าสีดำออกไปก็ต่างกันไปทุกครั้ง”
“เดี๋ยวก่อนนะ คุณถูกพามาที่นี่โดยผีทารก? ผีทารกนั้นไม่ใช่เงาดำนั่น? ทำไมคุณถึงไม่เรียกเขาว่าเงาแต่เรียกว่าทารก?” เฉินเกอดูจะไม่สนใจวิธีการออกไปจากที่นี่แต่กลับสนใจในรายละเอียดเล็ก ๆ
“พี่ชาย สิ่งที่คุณสนใจช่าง… แตกต่าง คุณคงได้เจอเงานั่นแล้วในเมื่อคุณมาที่นี่ อย่างไรซะ ตอนที่คุณถูกถามให้เลือกตอนที่อยู่ในอพาร์ทเม้นท์ผี…” ชายมีรอยสักชะงักกลางประโยค และเขาก็มองเฉินเกอและมือกรรไกรอย่างไม่อยากเชื่อ “เดี๋ยวก่อนนะ! อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง? คุณไม่ได้ผ่านประตูนั่นมาเหรอ?”
“ถ้าคุณไม่อยากตาย ผมแนะนำให้คุณแค่ตอบคำถามของผม” เฉินเกอดึงค้อนคุณหมอนักเจาะกะโหลกออกมาให้เห็นว่าเขาเอาจริง
“พี่ชาย ใจเย็นนะ ผมแค่ตกใจ แน่นอนว่าบางครั้งก็มีไอ้คนดวงซวยเดินหลงเข้ามาในหมอกเลือดเพราะเหตุผลต่าง ๆ แต่พวกเขาน้อยนักที่จะรอดชีวิตอยู่ได้นานกว่าหนึ่งชั่วโมง” ชายมีรอยสักมองเฉินเกอที่ถือค้อนอยู่ และมือกรรไกรที่ดูน่ากลัว “สถานการณ์อย่างของพวกคุณนั้นหาได้ยากมาก”
“ตอนนี้คุณจะบอกผมมากกว่านี้เกี่ยวกับอพาร์ทเม้นท์ผีและผีทารกได้หรือยัง?” เฉินเกอลดเสียง และสายตาของเขาก็คมกริบขึ้น
“ความอดทนเป็นสิ่งที่ดี ในเมื่อพวกคุณเป็นคนนอก ผมจะบอกกฎบางข้อของที่นี่ให้ เชื่อผม นี่ก็เพื่อประโยชน์ของคุณเอง” ชายมีรอยสักมองไปข้างนอก และหลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครสนใจพวกเขา เขาก็พูดต่อ “มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกินขึ้นทั่วไปในโลกในทุก ๆ วัน และนี่ก็ก่อกำเนิดผู้โชคร้ายขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ บางคนนั้นเอาชีวิตรอดจากอุปสรรคที่ยากที่สุดในชีวิตได้ด้วยความหวังและศรัทธาในหัวใจ แต่บางคนกลับจมลึกลงไปในความสิ้นหวังยิ่งกว่าเดิม
“ผมเคยเจออย่างน้อยก็สิบคนที่มาจากที่ด้านนอก พวกเขาเจอเข้ากับเงาตอนที่ชีวิตของพวกเขาตกต่ำถึงขีดสุด ทุกอย่างเกินขึ้นคล้าย ๆ กัน เดิมที พวกเขาได้ยินเสียงของตัวเองดังมาจากเงาของตน ด้วยการชี้นำจากเงา พวกเขาก็จะถูกบอกให้ขึ้นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 มุ่งหน้ามายังเมืองหลี่ว่าน เมื่อพวกเขาเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีก็จะมีหนทางรอดไปจากเรื่องเลวร้ายรอพวกเขาอยู่
“เจ้าของอพาร์ทเม้นท์ผีก็คือเงาเงาหนึ่ง แต่ไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าจริงของเขามาก่อน ในสายตาของพวกเรา เขามักจะเป็นเงา เงาที่อาจจะปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายคุณในตอนไหนก็ได้และเปลี่ยนไปเหมือนตัวคุณ เขาเหมือนสัตว์ประหลาดที่มาจากความมืดดำที่สุดในหัวใจของพวกเรา เพราะว่าเขาคุ้นเคยกับจุดอ่อนที่สุดและความปรารถนาของพวกเราอย่างไม่น่าเชื่อ
“เงานั่นเรียกตัวเองว่าเป็นผีทารก ตามที่เจ้าของโรมแรมนี้คนก่อนบอก เงานั่นอันที่จริงแล้วเป็นเงาของคนเป็นคนหนึ่ง แต่ว่ามันถูกคนผู้นั้นทอดทิ้ง ผมรู้ว่ามันฟังดูน่ากลัวแค่ไหน แต่นี่คือความจริง เมืองหลี่ว่าน อพาร์ทเม้นท์ผี และสิ่งแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในจิ่วเจียงตะวันออกล้วนเป็นการกระทำของเงานั่น เขาจะไม่หยุดจนกว่าจะเป้าหมายเดียวของเขาจะประสบความสำเร็จ– เปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นมนุษย์ และจากนั้นก็เปลี่ยนมนุษย์คนนั้นที่เคยทอดทิ้งมันมาเป็นเงา
“ความแค้นบ่มเพาะจนเป็นหนองและเน่าเปื่อย เดิมที เงานั่นก็เป็นแค่เงา แต่เมื่อมันกลืนกินความสิ้นหวังและความแค้นเข้าไปมากเข้า เขาก็เปลี่ยนไปเป็น…” ชายมีรอยสักคิดอยู่พักหนึ่งแต่หาคำที่เหมาะสมไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเก็บร่างกายส่วนใหญ่และความรู้สึกด้านลบเอาไว้ในตัวเด็กที่ยังไม่ถือกำเนิด และนั่นก็คือร่างจริงของผีทารก เขาทิ้งส่วนเล็ก ๆ ของร่างกายเอาไว้ที่ข้างกายทารกนั่นเพื่อปกป้องมันขณะที่ส่วนที่เหลือของเขานั้นทำตามแผนต่อ”
“คุณรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้ยังไง?”
เงานั่นระมัดระวังและจับตามองเขาทุกฝีก้าว เฉินเกอรู้ว่ามันย่อมไม่ยอมแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้กับคนนอกนอกเสียจากว่าข้อมูลที่เงานี้ยินดีเผยออกมานั้นเป็นกับดักหรืออะไรประเภทนั้น
“เจ้าของโรงแรมนี้กับผมนั้นเป็นคนเป็นกลุ่มแรกสุดที่เข้าประตูมา พวกเราอาศัยอยู่ที่นี่มานานแล้วและพบความจริงจากถ้อยคำและการกระทำของเงานั่น” ผู้ชายคนนั้นถอดเสื้อคลุมออกเผยให้เห็นเชือกสีแดงดำที่มัดอยู่รอบท้องของเขา เชือกนั้นดูเหมือนจะถูกผูกเอาไว้นานมากแล้ว และมันก็ไม่เคยถูกถอดออก อันที่จริง เชือกนั่นรัดเข้าไปในเนื้อในตัวของเขา ที่แปลกก็คือ เชือกนั้นราวกับเป็นอาณาเขตอะไรสักอย่าง ร่างกายท่อนบนของชายที่มีรอยสักนั้นปกติดีเป็นที่สุด แต่ถัดลงไปจากเชือกแล้ว ผิวของเขาเป็นสีเทา
“เชือกนี่สร้างจากหลอดเลือดที่ได้มาจากแม่ของเจ้าของโรมแรม ถ้าไม่มีมันอยู่ ผมก็คงตายไปแล้ว”
“แต่นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณกำลังบอกความจริงผม” เฉินเกอนั้นมีวิธีการตัดสินสิ่งต่าง ๆ แบบของตัวเอง เขาจะไม่เชื่อทุกอย่างที่คนอื่นบอกเขา และนั่นเป็นเหตุผลให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดจากภารกิจทดลองมากมายมาได้
“ผมพิสูจน์ความจริงของคำพูดของผมไม่ได้ ผมก็แค่บอกทุกอย่างที่ผมรู้แก่คุณ ผมหวังว่าคุณจะรู้สึกได้ถึงความจริงใจของผม และพวกเราก็สามารถร่วมมือกันหนีออกจากที่นี่ไปได้” ชายมีรอยสักสวมเสื้อผ้ากลับ เขาเข้าใจความระแวงของเฉินเกอ อันที่จริง ถ้าเฉินเกอเชื่อเขาโดยง่าย เขาก็คงต้องคิดหนัก “ต่อจากเรื่องเมื่อกี้ ผมถามไปทั่ว ๆ และในที่สุดก็เจอหนึ่งในความลับของเงานั่น
“ทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นถูกเอาผ้าดำคลุมหัวเอาไว้ตอนอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่ว่า พวกเขาต้องผ่านประตูเพื่อเข้ามาในโลกนี้หลังจากเวลาผ่านไป” ดวงตาของชายมีรอยสักหรี่ลงเหมือนเขากำลังจะพูดบางอย่างที่สำคัญ “อพาร์ทเม้นท์ผีนั้นเป็นสถานที่ที่ติดยึดอยู่กับเมืองหลี่ว่าน มันเป็นโครงการที่พักอาศัยร้างที่รู้จักกันในชื่อเขตที่พักอาศัยหมิงหยาง
“หลายคนที่ถูกส่งไปที่นั่นนั้นไม่พึงพอใจ พวกเขาต้องการหนี และพวกเขาก็ออกไปสำรวจที่ชายขอบเมืองหลี่ว่าน แต่ว่า พวกเขาไม่มีใครกลับมา เดิมที ผมเองก็คิดว่าประตูน่าจะอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ผี แต่หลังจากถามคนที่นี่หลายคน ผมก็พบว่า ประตูน่าจะอยู่ในเมืองหลี่ว่าน”
ชายมีรอยสักรู้สึกเหมือนตัวเองค้นพบความลับยิ่งใหญ่ “หลังจากเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ผีแล้ว สติส่วนใหญ่ของพวกเขาจะถูกนับเป็นความชั่วร้ายในใจและถูกดึงออกไป แต่ว่า มีบางคนที่ยังสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้เป็นปกติได้ พวกเขาไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป และพวกเขาก็จำได้ว่าพวกเขาไม่ได้ถูกผลักเข้าประตูแต่ถูกบอกให้เดินไปตามทิศทางหนึ่งอยู่เป็นเวลานาน หลังจากสืบถามอยู่หลายปีโดยไม่กระตุ้นความสงสัยของเงานั่นขึ้นมา ผมก็เชื่อว่าผมพบที่ตั้งของประตู”
“มันอยู่ในเขตที่พักอาศัยที่ชานเมืองหลี่ว่านใช่ไหม? ถ้าผมเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นห้องใดห้องหนึ่งในตึกแรกชั้นแรก” ชายมีรอยสักตกใจมาก เฉินเกอเผยตำแหน่งที่ตั้งที่เขาใช้เวลาหลายปีกว่าจะค้นพบออกมา “ไม่เป็นไร ผมเดาว่านั่นเป็นข้อมูลที่ใช้การได้ทีเดียว อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าอพาร์ทเม้นท์ผีนั่นอยู่ที่เขตที่พักอาศัยหมิงหยางและเงานั่นเก็บ ‘ร่าง’ ส่วนใหญ่ของมันเอาไว้ในเด็กทารกที่ยังไม่ถือกำเนิด”
เฉินเกอถามชายมีรอยสักอีกสองสามคำถาม เขาตระหนักว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดาเลย เขามีความใกล้ชิดกับเหล่าผีและวิญญาณโดยธรรมชาติ คือฟ่านอวี้แบบที่เป็นผู้ใหญ่แล้วและมีความสามารถอ่อนกว่า
ตอนที่ 656
ชายมีรอยสักบอกเฉินเกอทุกอย่างที่เขารู้ แต่ไม่ว่าเขาจะเชื่อถือได้หรือไม่นั่นก็ขึ้นอยู่กับการกลั่นกรองของเฉินเกอเอง เฉินเกอหรี่ตาขณะกวาดมองกะโหลกศีรษะผู้หญิงทั้งห้าที่บนแขนของเขา ด้วยดวงตาหยินหยาง เขาพบว่าศีรษะเหล่านี้กำลังกรีดร้องโหยหวน และพวกมันก็น่าจะเป็นตัวแทนของดวงวิญญาณห้าดวง
“ผมไม่ใช่คนที่ฆ่าพวกเธอ ผมแค่เป็นหลอดเลือดหล่อเลี้ยงพวกเธอเท่านั้น” ชายมีรอยสักรีบโบกมือ “เพราะร่างกายที่พิเศษของผม ผมสามารถมองเห็นผีได้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ว่าพลังนั่นอ่อนลงเมื่อผมโตขึ้นมา แต่ว่า มันก็ยังคงอยู่ที่นั่น บางทีอาจจะเพราะอย่างนั้น เงาจึงมาหาผมและใช้ร่างของผมเก็บดวงวิญญาณที่พิเศษออกไปเหล่านี้เอาไว้”
ผู้ชายคนนั้นชี้ไปที่แขนตัวเอง “ผู้หญิงทั้งห้าคนนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นแม่ของผีทารก– พวกเธอถูกเงานั่นเลือกด้วยตัวมันเอง พวกเธอเป็นคนเป็นที่มีร่างกายที่ต่างไปจากคนอื่น แต่อาจจะเพราะว่ามีความรู้สึกด้านลบมากเกินไปในตัวผีทารก มันตายในครรภ์ไปห้าครั้ง ความแค้นของมันเพิ่มพูนมากขึ้นจนผมสามารถสัมผัสได้ด้วยตัวผมเอง ไม่ว่าจะเป็นแม่หรือเงานั่น พวกเขาก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวผีทารก”
“กระทั่งเงายังหวาดกลัวผีทารก?” เฉินเกอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีคนหวาดกลัวผลงานที่ตัวเองสร้างขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น “ผมยินดีร่วมมือกับคุณ แต่ในเงื่อนไขว่าคุณจะเชื่อฟังคำสั่งของผม”
“เป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก อันที่จริง ผมยังรู้ความลับอื่นของเงานั่น หลังจากพวกเราหนีไปจากที่นี่ได้ ผมจะบอกคุณ” ชายมีรอยสักกลัวว่าเฉินเกอจะฆ่าเขาหลังจากหมดประโยชน์ ดังนั้นจึงรีบอธิบายว่าตัวเองยังมีประโยชน์ที่ยังไม่ได้บอกออกไป
“ได้” เฉินเกอยิ้มจาง เขาไม่ได้สนใจมากนัก อย่างไรเสีย เป้าหมายของเขากับชายมีรอยสักก็ต่างกัน ชายมีรอยสักต้องการหนีออกไป และคนที่นี่ส่วนใหญ่ก็น่าจะมีเป้าหมายเช่นเดียวกันในใจ แต่เป้าหมายของเฉินเกอคือการหาโอกาสสังหารเงานั่น แน่นอนว่ามันจะดีกว่าถ้าเขาสามารถจับตัวเงานั่นได้ทั้งเป็น
ทุกคนเข้าใจอันตรายของประตูที่หลุดออกจากการควบคุม กระทั่งคุณหมอเกายังอยู่ให้ห่างจากที่นี่ แต่สำหรับเฉินเกอ เมื่อเขาเตรียมการเสร็จแล้ว กระทั่งประตูที่ควบคุมไม่ได้ก็จะเปลี่ยนไปเป็นสมบัติขุมใหญ่
เมื่อกลับลงมาที่ชั้นล่าง ชายมีรอยสักก็ผลักกล่องไปที่มุมหนึ่ง นกหวีดกระดูกที่เขาถือเอาไว้ก่อนหน้านี้หายไปแล้ว– เขาน่าจะเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋า พอเห็นว่าเขามีท่าทีเชื่อฟัง เดินตามหลังเฉินเกอมา ผู้หญิงที่ห่อเสื้อผ้ามิดชิดก็ดูสับสน เธอเคยเจอชายมีรอยสักมาก่อนและเข้าใจว่าเขามีพลังเพียงใด “พวกคุณสองคน…”
เธอโน้มตัวมาข้างหน้าจงใจปัดผ่านชายมีรอยสักตอนที่เขาเดินผ่านเธอ เธอดูเหมือนจะมีบางอย่างจะพูดแต่ว่าชายมีรอยสักไม่สนใจเธอและเดินผ่านไป เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของเขาตอนนี้ เขาย่อมไม่คิดจะทำอะไรที่จะก่อความสงสัยของเฉินเกอขึ้นมา
“มือกรรไกร ไปดูที่ทางเข้า ดูซิว่ามีใครอยู่บนถนนอีกไหมแล้วก็ปิดประตูซะ” มือกรรไกรฝืนเดินไป– เขาเชื่อในตัวเฉินเกอ มีเงาวูบไหวอยู่ในหมอก และยังมีคนโบกมือมาให้พวกเขา แต่ว่าเงาเหล่านั้นรักษาระยะห่างเอาไว้ไม่กล้าเข้ามาใกล้เกินไป
“มีเงาอยู่บนถนน– ฉันไม่เห็นคนเป็น ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ปิดประตู ถ้าพวกเขาจะไม่เข้ามาที่นี่แล้ว” ความวุ่นวายใหญ่โตที่ในโรงแรม คนในเมืองหลี่ว่านนี้ย่อมต้องสังเกตเห็น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่พวกเขาจะมาตรวจดูสถานการณ์
หลังจากปิดประตู เฉินเกอก็กวาดตามองทุกคนในห้อง “เพราะเหตุผลต่าง ๆ ที่ต่างกันไป แต่พวกเราทุกคนก็มารวมตัวกันที่นี่คืนนี้ ผมคิดว่าคุณจะบอกว่าเป็นโชคชะตาก็ได้ ผมจะไม่ทำร้ายใครและไม่ทำอะไรให้พวกคุณเสียหาย ผมแค่อยากจะให้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้วปรึกษาปัญหาบางอย่าง อย่างเช่นจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ยังไง”
เมื่อเฉินเกอพูดจบ ชายมีรอยสักก็เริ่มกระวนกระวาย เขาพยายามสบตากับเฉินเกอ “ยิ่งพวกเราพาคนไปด้วยมากเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะสำเร็จได้ยากขึ้น เงานั่นสามารถปลอมเป็นคนไหนในพวกเราก็ได้ และถ้าเขารู้แผนการของพวกเรา พวกเราก็ล้มเหลวแน่ ๆ หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!”
“ใช่ เงานั่นสามารถปลอมเป็นใครก็ได้ในพวกเรา และยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ผมอยากจะบอกทุกคน ผมหวังว่าจะไม่มีใครในนี้คิดจะทำอะไรโดยไร้เหตุผล– ผมจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ทำร้ายเงานั่น” เฉินเกอลุกขึ้นและเดินไปยังโต๊ะทานอาหาร ถือกระเป๋าสะพายหลังไปด้วย
“นี่มันก็เป็นตัวตนของคุณนั่นแหละ…” ชายขี้เมาพึมพำเบา ๆ ตั้งแต่เขาเชื่อฟังเฉินเกอและเลือกยาถอนพิษที่ถูกต้อง ชายขี้เมาก็เริ่มจงรักภักดีต่อเฉินเกออย่างไม่สามารถสั่นคลอนได้ ถึงแม้ว่าผู้ชายคนนี้จะน่ากลัวมาก เขาก็นับว่าเชื่อถือได้ในหมู่เพื่อนฝูง
“ผู้ชายคนนี้อยู่ในหลี่ว่านมานานมาก– เขารู้ว่าประตูอยู่ที่ไหนและจะนำพวกเราออกไปจากที่นี่ พวกเราทุกคนจะตามเขาไป และผมจะพยายามดูแลความปลอดภัยของพวกคุณให้ดีที่สุดและพาพวกคุณทุกคนออกไปจากที่นี่” เฉินเกอนั้นพูดอย่างจริงใจ ถ้าเป็นไปได้ เขาก็ต้องการช่วยเหลือคนให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ อย่างไรเสีย สำหรับภารกิจจากโทรศัพท์เครื่องดำแล้ว ยิ่งจำนวนผู้บริสุทธิ์ถูกช่วยเอาไว้ได้มากเท่าไหร่ รางวัลที่เขาจะได้รับก็เพิ่มมากเท่านั้น
“ผมขอโทษทีนะครับ แต่ว่าผมไม่ได้คิดจะออกไปจากที่นี่ชั่วคราว ผมรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร” นักเรียนมัธยมปลายสวมแว่นพูดขึ้นอย่างอาย ๆ
เฉินเกอมองไปยังเด็กนักเรียนและสังเกตเห็นว่าแม้ว่าฝ่ายหลังจะสวมแว่นอยู่แต่เขาก็หรี่ตาเหมือนสายตาของเขาแย่ลงหลังจากสวมแว่น “ถ้าฉันคิดไม่ผิด แว่นอันนั้นน่าจะเป็นของน้องชายของเธอ เป้ยเหวิน และชื่อของเธอก็คือเป้ยเยี่ย ใช่ไหม?”
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไรอยู่– คุณน่าจะจำคนผิดแล้ว” เด็กนักเรียนพยายามรักษาความใจเย็นเอาไว้ แต่ว่าเขาก็ยังเด็กเกินไป เฉินเกอสามารถเจอจุดบกพร่องในการแสดงของเขาได้อย่างง่ายดาย
“บนรถเมล์มาที่นี่ ฉันเจอเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งของเธอ และเขาก็บอกฉันทุกอย่าง” เฉินเกอคว้าแขนเด็กนักเรียนมัธยมเอาไว้แน่น “เธอบังเอิญฆ่าพ่อของเธอ แต่เพื่อหนีจากการตัดสินของกฎหมาย เธอก็เลยฆ่าน้องชายของเธอที่ดูเหมือนเธอเปี๊ยบอย่างเลือดเย็นและทำให้ดูเหมือนว่าเธอตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ว่า อันที่จริงแล้ว เธอยังมีชีวิตอยู่และใช้ชีวิตและตัวตนของน้องชายของเธอแทน”
แต่ละคำของเฉินเกอนั้นทำให้ใบหน้าของเด็กนักเรียนชายซีดขาวลงไประดับหนึ่ง
“เดิมที มีแค่ฉันที่รู้เรื่องนี้ แต่ตอนนี้ ทุกคนที่นี่รู้ความลับของเธอแล้ว ฉันสงสัยนัก ด้วยนิสัยของเธอ เธอจะฆ่าพวกเราทั้งหมดเพื่อรักษาความลับใหญ่หลวงของเธอเอาไว้ไม่ให้เปิดเผยสู่โลกภายนอกหรือเปล่า?”
ก่อนที่เฉินเกอจะทันพูดจบ ชายมีรอยสักที่ข้าง ๆ เขาก็พูดขึ้น “ถ้าเขาไม่ยอมไป อย่างนั้นเขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในอุปสรรคของพวกเรา ตอนนี้พวกเรารู้ความลับของเขาแล้ว เขาย่อมหาทางแก้แค้นพวกเรา เขาจะรายงานการเคลื่อนไหวของพวกเราให้เงา ผมแนะนำให้พวกเราจัดการกับเขาก่อนที่เขาจะมีโอกาสหักหลังพวกเรา”
เขาแตะที่รอยสักบนแขนตัวเอง แล้วหันไปหามีดที่ถูกทิ้งเอาไว้บนรถเข็นอาหาร “กำจัดอันตรายทั้งหมดก่อนที่มันจะมีโอกาสขยายใหญ่ พวกเรามีแค่โอกาสเดียวตอนนี้– พวกเราต้องไม่ประมาทถ้าอยากจะหนีออกไปให้ได้”
“ทุกคนที่นี่มีความลับของตัวเอง ฉันเข้าใจที่เธออยากจะอยู่ แต่ในเมื่อเธอได้ยินความลับของพวกเรา ทางเลือกก็หลุดออกไปจากมือเธอแล้ว” โทรศัพท์เครื่องดำให้เฉินเกอช่วยชีวิตเหยื่อผู้บริสุทธิ์เพิ่มเพิ่มรางวัลตอบแทนของเขา แต่ว่าเป้ยเยี่ยนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ใช่เหยื่อ ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่คิดจะปล่อยเด็กนักเรียนคนนี้ไปง่าย ๆ
เมื่อถูกลูกค้าส่วนใหญ่ภายในโรงแรมจ้องมอง เป้ยเยี่ยในที่สุดก็ยอมคล้อยตาม “เอาละ ผมจะไปกับพวกคุณทุกคน”
ตอนที่ 657
เฉินเกอพอใจมากกับปฏิกริยาของเป้ยเยี่ย เขาหันไปหาคนที่เหลือ “มีใครคัดค้านอีกไหม?”
คนครึ่งหนึ่งที่นี่นั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับเฉินเกอ ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่มีปัญหากับการจัดการของเขา คนส่วนน้อยที่คัดค้านนั้นก็หวาดกลัวเกินกว่าจะบอกความคิดที่แท้จริงของตนเองออกมา ต่อให้พวกเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินเกอ พวกเขาก็อ่อนแอเกินกว่าจะขัดแย้งเรื่องนี้
“ในเมื่อไม่มีใครคัดค้านอะไร พวกเราก็จะไม่เสียเวลาเปล่าและเริ่มลงมือได้แล้ว ถ้าพวกเรารอนานกว่านี้ สิ่งประหลาดต่าง ๆ ก็จะถูกดึงดูดมาที่นี่มากขึ้น” หลังจากเฉินเกอพูดอย่างนั้น เขาก็ดึงรองเท้าส้นสูงสีแดงที่บนเคาน์เตอร์ลงมาและเก็บลงไปในกระเป๋าสะพายหลังของเขา จากนั้นเขาก็เรียกเจ้าแมวขาวและมือกรรไกรก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางประตู
“คุณไม่สังเกตเห็นความสบายใจของเขาเวลาอยู่ที่นี่เหรอ? ตอนที่พวกเราทุกคนรู้สึกไม่ดีอยู่ เขากลับราวกับปลาได้น้ำ มันเหมือนกับว่าเมืองที่วุ่นวายและเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดนี้เป็นสถานที่ที่คล้ายกับบ้านของเขา” เจียหมิงกระซิบกับหลี่เจิ้ง
“แกกำลังพยายามจะพูดอะไร?” หลี่เจิ้งขมวดคิ้วแน่น
“มันชัดเจนออกไม่ใช่เหรอ? เขาคือเงานั่น ที่นี่คือที่ที่เขาอาศัยอยู่ ที่นี่คือบ้านของเขา!” เจียหมิงพยายามโน้มน้าวหลี่เจิ้งต่อ “ผมรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังพาเราไปที่ทางออก– เป้าหมายแท้จริงของเขาก็คือฆ่าพวกเราทั้งหมด คุณอาจจะไม่เชื่อผมตอนนี้ แต่เวลาจะพิสูจน์ว่าผมพูดถูก ผมหวังว่าคุณจะระวังตัวเอาไว้จะได้ไม่ทำให้ผมต้องตายไปด้วย”
“ก่อนที่แกจะชี้นิ้วใส่คนอื่น แกควรจะดูตัวเองให้ดีก่อน เงานั่นหนีออกไปจากร่างของแก ดังนั้นในบรรดาทุกคนที่นี่ แกน่ะน่าสงสัยที่สุดแล้ว” หลี่เจิ้งนั้นเคยพูดคุยกับอาชญากรตัวร้ายมาก่อนหลายคน เขาเข้าใจอย่างหนึ่ง– ยิ่งคนผู้หนึ่งมีจิตใจบิดเบี้ยวไปมากเท่าใด มุมมองโลกของพวกเขาก็ไร้ซึ่งเหตุผลมากเท่านั้น ส่วนหนึ่งในสมองของพวกเขามีปัญหา และอาจจะพูดได้ว่า ความสามารถในการศึกษาและเรียนรู้ของพวกเขานั้นดีกว่าการควบคุมอารมณ์ตนเอง คนที่เสียสติไปแล้วจริง ๆ คนหนึ่งนั้นสามารถถักทอสร้างเรื่องโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มที่โดยไม่แสดงท่าทีเสียใจหรือรู้สึกผิด
เห็นได้ชัดเจนว่าเจียหมิงและเงานั้นเคยกระทำผิดมากกว่าความผิดมามากกว่าแค่สองหรือสามครั้ง
“สักวันคุณจะต้องเสียใจที่เชื่อถือผู้ชายคนนั้น และเชื่อผมนะ วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้าแล้ว” เจียหมิงไม่หยุดโน้มน้าว เขาพบว่ามันยากอย่างไม่น่าเชื่อที่จะสั่นคลอนความเชื่อมั่นของหลี่เจิ้ง– สารวัตรคนนี้นั้นเชื่ออย่างเด็ดเดี่ยว และยังบุกทะลวงได้ยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
ฉันเคลียร์จุดอันตรายส่วนใหญ่ที่โทรศัพท์เครื่องดำพูดถึงไปแล้ว ได้เวลาไปตามหาประตูแล้ว
เฉินเกอนำผู้โดยสารออกจากโรงแรม และชายมีรอยสักก็ตามหลังพวกเขามาติด ๆ
“คุณแน่ใจเหรอว่าต้องการพาพวกเขาทั้งหมดไปด้วย?” ชายมีรอยสักมองกลุ่ม ‘คน’ กลุ่มใหญ่ที่ด้านหลังพวกเขาแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ผมมีทางเลือกอื่นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณจะแนะนำให้ผมฆ่าพวกเขาทั้งหมดที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือเหรอ?” เฉินเกอปัดคำถามกลับไปที่เขา
“คุณพูดก็ถูก ถ้าพวกเราเก็บพวกเขาเอาไว้ใกล้ ๆ พวกเราสามารถใช้พวกเขาเป็นทัพหน้าได้ตอนที่มีอันตราย” ชายมีรอยสักโน้มน้าวตัวเอง เขาเริ่มสงสัยการตัดสินใจร่วมมือกับเฉินเกอของตัวเอง แต่ว่า ลูกศรก็ถูกปล่อยออกจากแล่งไปแล้ว ทางเลือกเดียวของเขาตอนนี้ก็คือตามเฉินเกอไปจนสุดทาง
“เดินให้เร็วขึ้นหน่อย อย่าเสียเวลาอยู่ เสียเวลาอยู่ที่นี่หนึ่งวินาที ความหวังในการหนีออกไปของพวกเราก็ลดลงหนึ่งเปอร์เซ็นต์” ชายมีรอยสักหันกลับไปตะโกนใส่คนที่เหลือ ดวงตาของเขานั้นจับจ้องอยู่ที่หลี่เจิ้ง มีคนบ้ามากมายอยู่ในเมืองหลี่ว่าน แค่หยิบขึ้นมาสักคนก็ได้ตัวคนร้ายแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเผชิญเข้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ “ไม่ว่าอดีตระหว่างพวกคุณจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าคุณจะมาอยู่ที่นี่เพราะอะไร ผมหวังว่าคุณจะสามารถปล่อยวางเรื่องเหล่านั้นเอาไว้จนกว่าพวกเราจะออกไปจากที่นี่ ตอนนี้พวกเราก็เหมือนลงเรือลำเดียวกัน และถ้ามีใครคิดจะเป็นตัวถ่วง พวกเราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากกำจัดคนผู้นั้นเสีย”
ตอนที่ชายมีรอยสักพูด กะโหลกผู้หญิงทั้งห้าที่บนแขนของเขาก็ดูเหมือนจะฉีกยิ้มอย่างน่าสยองเหมือนพวกเธอคาดหวังให้เกิดฝนโลหิต ทุกคนออกจากโรงแรม เด็กนักเรียนมัธยมเดินอยู่ด้านหลัง– เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
“ครบแล้วเหรอ?” เฉินเกอหันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงในชุดเสื้อกันฝนสีแดงหายตัวไป คนที่เหลือ รวมทั้งชายหน้ายิ้มนั้นเดินตามมาข้างหลัง “ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งแข็งแกร่ง ผมจะพาพวกคุณออกไปจากที่นี่ถ้าไม่มีใครในพวกคุณทำอะไรโง่ ๆ”
ถ้าไม่เพราะว่าเขากำลังเป็นห่วงความปลอดภัยของฟ่านฉง เฉินเกอก็คงกวาดล้างเมืองเล็ก ๆ นี่ทั้งเมืองไปแล้ว ไม่ทิ้งเอาไว้แม้สักห้องเดียว ถ้าเขาทำเช่นนั้น เขาก็มั่นใจได้ว่าจะสามารถโน้มน้าวคนในเมืองนี้ให้มาร่วมกับเขา
โชคไม่ดี ฉันไม่มีเวลา ฉันทำได้แค่เฉพาะเรื่องทำสำคัญต้องทำ แต่เท่าที่เห็น ฉันยังนับว่าได้เปรียบอยู่ เฉินเกอลอบมองไปที่ด้านหลังตัวเอง เงาของเขานั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หลังจากกลืนกินหัวใจของปิศาจหิวโหยลงไป บาดแผลบนแขนของจางหยาก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูขึ้น ถ้าเธอได้ยินเสียงฉัน อย่างนั้นทุกอย่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน
เฉินเกอนั้นมีความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่เข้าต้องเจอ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขามั่นใจเกินไป หลังจากปิศาจหิวโหยถูกกินแล้ว สมดุลพลังก็สูญเสียไป มันเป็นธรรมดาที่เงานั่นจะทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงสมดุลกลับมา ในเมื่อเงานั่นจะไม่ทำอันตรายเฉินเกอชั่วคราว อย่างนั้นมันก็มีเหตุผลที่จะคาดว่าสิ่งที่เงานั่นจะทำก็คือทำร้ายผู้ช่วยเหลือของเฉินเกอ
หลังจากทั้งกลุ่มออกจากโรงแรม ในที่สุดพวกเขาก็เป็นที่สะดุดตา มีเงาในหมอกเลือดหลายเงาจับตามองพวกเขา แต่ในเมื่อกลุ่มของเฉินเกอนั้นใหญ่มาก จึงไม่มีใครในพวกมันกล้าเข้ามาใกล้
“เฮ้ ดูนั่นสิ” ตอนที่พวกเขาผ่านแยกแรก ชายขี้เมาที่แบกคุณหมอเอาไว้ก็ชี้ไปข้างหน้าและกระซิบกับเฉินเกอ ที่อีกฟากของถนนนั้นมีร่างมนุษย์คนหนึ่งที่ดูคล้ายกับชายขี้เมามากกำลังโบกมือให้พวกเขา
“เจ้าสิ่งนั้นอีกแล้ว ฉันก็อยากจะปล่อยแกไปนะ แต่แกกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าฉันเอง” เฉินเกอไม่ออมมือคราวนี้และเปิดเครื่องเล่นเทป ตอนที่เสียงแทรกดังขึ้น เฉินเกอก็ชี้ไปที่เงาที่อีกฝั่งถนนและพูด “ซู่อิน”
กลิ่นเลือดรวยรินอยู่ปลายจมูกของเขา และซู่อินก็ยืนระวังอยู่ข้างกายเฉินเกอ เขาไม่ได้รีบร้อนพุ่งตรงไปเมื่อสัมผัสได้ถึงอันตราย หลังจากผ่านไปหลายวินาที เงาพร่ามัวอีกเงาก็ปรากฏขึ้นที่ฝั่งตรงข้ามถนน เงาใหม่ที่ปรากฏนี้ดูคล้ายกับมือกรรไกรอย่างน่าสงสัย
“อีกตนหนึ่งเหรอ? ไม่ เดี๋ยวก่อน! มีอีก!” ชายขี้เมานั้นทรมานกับการรับมือกับปิศาจพวกนี้ที่โบกมือให้เขามาก่อนแล้ว ตอนที่เขาเห็นเงาร่างมนุษย์ปรากฏขึ้นทีละเงา เขาก็อดรู้สึกขาอ่อนยวบไม่ได้ แค่พริบตาเดียว เงาร่างมากมายก็ปรากฏขึ้นที่อีกฟากถนน นอกจากเฉินเกอแล้ว ทุกคนในกลุ่มล้วนถูกเลียนแบบ
“ปิศาจพวกนี้มันอะไรกัน?” ชายขี้เมาที่แบกคุณหมออยู่หลบด้านหลังเฉินเกอ
“นี่เรียกว่าปิศาจดึงวิญญาณ พวกมันสามารถลอกเลียนแบบรูปร่างของเงาพวกเราได้ พวกมันเกิดขึ้นมาจากความรู้สึกด้านลบที่มากเกินไปที่ไหลมาจากผีทารก จำเอาไว้ อย่ามองพวกมันนานเกินไป ไม่อย่างนั้นพวกมันก็จะดึงวิญญาณออกจากร่างของพวกคุณ และถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว…” ชายมีรอยสักก้มหน้า “ถ้าพวกมันปรากฏตัวออกมามากขนาดนี้พร้อมกัน มันก็หมายความว่าการเคลื่อนไหวของพวกเราน่าจะถูกเงานั่นพบเข้าแล้ว”
“ดึงวิญญาณ? เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก แต่ว่า…” ชายขี้เมาหันไปหาเฉินเกออย่างสงสัย “ทำไมถึงไม่มีใครในพวกมันลอกเลียนแบบเงาของคุณล่ะ?”
ตอนที่ 658
คำถามของชายขี้เมาทำให้ชายมีรอยสักงุนงง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดึงวิญญาณถึงไม่ลอกเลียนแบบเงาของเฉินเกอ– นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาแอบมองเฉินเกอ คำถามติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่เขากลัวเกินกว่าจะถามออกไป ในที่สุดเขาก็หัวเราะกระอักกระอ่วนและเปลี่ยนเรื่อง “แค่พยายามอย่ามองพวกมันนานเกินไป ปิศาจดึงวิญญาณน้อยนักที่จะปรากฏตัวออกมาเยอะ ๆ และพอพวกมันทำแบบนั้น ก็หมายความว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่บางอย่างขึ้น”
ตอนที่พวกเขาสองคนคุยกัน เฉินเกอไม่ได้ขัด เขาหรี่ตาลงช้า ๆ ขณะมองไปยังเงาหลายเงาที่ฝั่งตรงข้ามถนน ถ้าฉันจับเงาพวกนี้ทั้งหมดเอาไว้แล้วให้พวกมันอยู่ในบ้านผีสิงของฉัน ฉันก็จะสามารถสร้างฉากที่พิเศษเฉพาะขึ้นมาได้? ให้ผู้เข้าชมได้เห็นตัวเองในฉากและใช้พลังของเงาพวกนี้ทำให้พวกเขาสับสน ถ้าฉันสามารถใช้งานพวกเขาได้ ยิ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ ผลของความสยองขวัญจากความจริงและความปลอมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น และไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นั้นเป็นผีหรือว่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเอง
ชายมีรอยสักดูกังวล และเขาก็เอาแต่กระตุ้นให้เฉินเกอออกเดิน “มันจะดีกว่าถ้าพวกเรารีบไป สิ่งนี้นั้นสลัดทิ้งยากและฆ่ายาก ก่อนที่พวกมันจะทำอะไร พวกเรารีบไปจะดีกว่า”
“รีบอะไรกัน? ความสามารถของพวกมันนั้นเหมาะสมที่จะสั่งสอนอย่างช้า ๆ ฉันจะสอนให้พวกมันกลายเป็นคนดีที่รู้จักมีส่วนรับผิดชอบกับสังคม ฉันจะช่วยพวกมันค้นหาคุณค่าของการดำรงอยู่และให้เข้าใจถึงความสุขที่ตนเองควรได้รับและกลายเป็นผู้ที่คนอื่นนับถือ”
คนอื่นล้วนไม่รู้ว่าทำไมปิศาจดูดวิญญาณถึงไม่กล้าลอกเลียนแบบเฉินเกอ แต่เขานั้นรู้เหตุผลเป็นอย่างดี จางหยานั้นซ่อนอยู่ในเงาของเขา แทนที่จะพูดว่าปิศาจดูดวิญญาณพวกนั้นหวาดกลัวเฉินเกอ ควรจะบอกว่าพวกมันกลัวที่จะล่วงเกินจางหยามากกว่า
“ฟังคำแนะนำของผมเถอะนะ มันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่– ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องยุ่งกับพวกมัน พวกมันก็แค่ลิ่วล้อที่เงานั่นใช้ถ่วงพวกเราให้ช้าลง อันตรายแท้จริงจะตามมาหลังจากนี้ ยิ่งพวกเราอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ พวกเราก็เท่ากับว่าให้เวลาเงานั่นวางกับดักมากเท่านั้น คุณเข้าใจหรือเปล่า?” ชายมีรอยสักเริ่มรู้สึกเสียใจที่ร่วมมือกับฟางหยวนมากขึ้นทุกวินาที ผู้ชายคนนี้ฉลาด หัวไว และมีความพยายาม แต่ตอนนี้ เขากลับกลายเป็นเหี้ยมโหด ไร้เหตุผล และป่าเถื่อนไปได้
เขาไม่เคยปฏิบัติตามจริยธรรมที่ผูกมัดคนทั่วไปเอาไว้ เขามีวิถีทางของตนเองในการทำสิ่งต่าง ๆ แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ดูเหมือนจะควบคุมการกระทำของตนเองไม่ได้ เขาหลงใหลและรักในความตื่นเต้น ในดีเอ็นเอของเขานั้นราวกับมีพันธุกรรมของความโหดร้ายฝังอยู่
ชายมีรอยสักนั้นเคยดูหนังฆาตกรบ้าคลั่งหลายเรื่อง และในฐานะผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง เขารู้ว่าในภาพยนตร์เหล่านั้นล้วนเกินความเป็นจริง คนร้ายที่โหดเหี้ยมส่วนใหญ่นั้นไม่เคยแสดงความบ้าคลั่งในที่สาธารณะ
ฆาตกรบ้าคลั่งที่แท้จริงนั้นเป็นคนอย่างเฉินเกอ ตอนที่เดินสวนกันบนถนน คุณจะไม่เคยรู้และไม่เคยมองเห็นความไม่ปกติในจิตใจของเขา พวกเขาไม่สามารถควบคุมความก้าวร้าวของตนเอาไว้ได้ตั้งแต่เกิดมาและน้อยครั้งที่จะรู้สึกเห็นอกเห็นใจหรือว่าสำนึกผิดกับการกระทำรุนแรงที่พวกเขาได้ลงมือไป นี่เป็นสิ่งที่มีร่วมกันในเหล่าคนร้ายที่ป่วยทางจิตส่วนใหญ่ บังเอิญว่าชายมีรอยสักก็พบความคล้ายคลึงกันนี้ในตัวเฉินเกอ และที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะไม่ตระหนักเลยว่าตนเองนั้นอันตรายเพียงใด
ชายมีรอยสักไม่เคยสบตากับเฉินเกอมาก่อนเลยสักครั้ง และเขาก็ไม่ได้ผิดปกติอะไรในเรื่องนั้น– เขาก็แค่ไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเฉินเกอ เขาเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ย้ายเข้ามาในเมืองหลี่ว่าน ดังนั้นเขาจึงเคยพบเจอเงานั่นมาหลายครั้งแล้ว บางทีมันอาจจะเป็นจินตนาการของเขาเองก็ได้ แต่เขาเอาแต่รู้สึกว่าความรู้สึกที่เขาได้รับจากเงานั่นเหมือนกับตอนที่เขาพูดคุยกับเฉินเกอ
“คุณพูดถูก มันไม่ใช่เวลา พวกเราต้องหาประตูที่หลุดจากการควบคุมบานนั้นก่อน” เฉินเกอนำทั้งกลุ่มตรงไปยังบ้านของฟ่านฉง
หลายนาทีให้หลัง หลังจากพวกเขาผ่านแยกอื่นอีกแยกหนึ่ง เสียงของหลี่เจิ้งก็ดังมาจากด้านหลังกลุ่ม ”รอก่อน! มีคนหายไป”
หลี่เจิ้งนั้นเป็นตัวตนที่พิเศษที่สุดในกลุ่มนี้ ดังนั้นทุกคนจึงตัวแข็งอยู่กับที่เมื่อได้ยินเสียงเขา
“ใครหายไป?” ชายมีรอยสักหันกลับไปมองและพบว่าผู้หญิงที่ลากกล่องใบใหญ่อยู่ก่อนหน้านี้หายตัวไปในหมอกสีเลือด “เธอหนีไปแล้ว?”
“ไม่จำเป็นต้องตามหาเธอ เธอจะไม่กลับมาหาพวเราหรอก” เป้ยเยี่ยพูดเบา ๆ เขาชี้ไปที่อีกฟากของทางแยก “เธออยู่ตรงนั้น”
มองตามปลายนิ้วของเด็กนักเรียนไปแล้ว พวกเขาก็เห็นผู้หญิงคนนั้น กล่องที่เธอลากอยู่นั้นหายไป และร่างของเธอก็เหลือแค่เพียงครึ่งเดียว มีร่องรอยฝีเข็มเย็บอยู่บนร่างของเธอ และผิวหนังทั้งหมดที่เหลืออยู่ของเธอนั้นก็ดูปกติ มันเหมือนเธอมีนิสัยกรีดผิวตัวเองที่เปลี่ยนเป็นสีเทาทิ้งและแทนที่มันด้วยผิวปกติของเหยื่อของเธอ
“เธอออกจากกลุ่มไปตั้งแต่เมื่อไหร่? เธอเตรียมหนีอยู่ก่อนแล้ว?” เพื่อรักษาขวัญและกำลังใจของพวกเขา ชายมีรอยสักจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปยืนยันสถานการณ์ของเธอ
“ผมไม่รู้ ผมไม่ได้สนใจเธอมากนัก เธออยู่ด้านหลักกลุ่มและมันก็เหมือนกับว่ามีบางอย่างลากเธอไป” เด็กนักเรียนสะพายกระเป๋านักเรียนเอาไว้ ในมือมีมีดพก ตั้งแต่เฉินเกอเปิดเผยตัวตนของเขาออกไป เขาก็ถอดแว่นออกแล้วก็เลิกเสแสร้ง
“พวกเราถูกบางอย่างในหมอกเลือดเพ่งเล็ง พวกเราต้องอยู่ด้วยกันเข้าไว้ โดยเฉพาะคนที่ด้านหลัง” เฉินเกอนั้นไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นและเป้ยเยี่ย แต่เขาก็เป็นห่วงหลี่เจิ้ง อย่างไรเสีย นักสืบคนนี้ก็เคยช่วยเขามาหลายครั้ง
“เป็นไปได้ไหมว่าคนร้ายจะเป็นผู้หญิงที่สวมเสื้อกันฝนสีแดง?” เจียหมิงกระซิบเบา ๆ “ตอนที่พวกเราออกจากโรงแรมผมเห็นกับตาว่าเธอเดินอยู่ด้านหลังพวกเรา แต่ตอนที่พวกเรามาถึงทางแยกแรก เธอก็หายตัวไป ผมว่านี่น่าสงสัยมาก”
เฉินเกอรู้ว่าคนร้ายนั้นไม่ใช่ผู้หญิงในเสื้อกันฝนสีแดง แต่เขาก็ไม่ต้องการเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอออกมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถาม และเพียงแค่เร่งให้ทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้น หมอกเลือดรอบตัวพวกเขานั้นหนาหนักราวกับเมืองเล็ก ๆ น่าหวาดกลัวนี้กำลังตื่นขึ้น ดวงตาสีแดงเลือดที่ซ่อนอยู่ในหมอกเลือดนั้นตามพวกเขามาอย่างมุ่งร้าย
พวกเขาก้าวยาว ๆ ไปตามถนนอยู่ยี่สิบนาทีก่อนที่จะไปถึงเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอาศัยอยู่ หมอกเลือดที่ที่นั้นหนากว่าที่อื่น ๆ ในเมืองเล็ก ๆ นี่ แม้จะยืนอยู่ห่างไปไม่กี่เมตร พวกเขาก็บอกรูปร่างของตึกได้คร่าว ๆ เท่านั้น
“มันราบรื่นกว่าที่ผมคาดเอาไว้– ทางออกอยู่ตรงหน้าพวกเราแล้ว!” ชายมีรอยสักนั้นพูดรัว ๆ อย่างตื่นเต้น
“ใจเย็น ยิ่งพวกเราใกล้ทางออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น” ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงปลายทาง เฉินเกอนั้นดูประหลาดใจ เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่าหมอกนั้นหนาเกินกว่าที่เขาจะมองทะลุไปได้แม้จะใช้ดวงตาหยินหยาง
ทั้งฟ่านฉงและฟ่านต้าเตอล้วนหายตัวไป และน่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับคอมพิวเตอร์ที่มีเกมของเสี่ยวปู้อยู่ด้วยเหมือนกัน เดาได้ว่าเงานั่นน่าจะวางกับดักไว้ที่นั่น ไม่ว่าพวกเราจะทำอะไรต่อไป ฉันต้องระวังให้มากเป็นพิเศษ
“เร็ว! ดูนั่นสิ! มีข้อความเลือดอยู่ตรงนั้น! มีคนรู้ว่าพวกเราจะมาที่นี่!” ชายขี้เมาหยุดที่ทางเข้าเขตที่พักอาศัย บนประตูทางเข้านั้นมีประโยคที่เขียนด้วยเลือดประโยคหนึ่ง “ฉันคือหนึ่งในพวกแก?”
เลือดยังไม่แห้ง และมันก็ไหลเยิ้มลงมาตามประตูเหล็ก
ตอนที่ 659
ประโยคที่เขียนไว้ที่ประตูนั้นต้องการเห็นความวุ่นวาย ประโยคนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ได้ แต่ว่ามันได้ฝังเมล็ดพันธ์ุแห่งความสงสัยเอาไว้ในใจของพวกเขา ค่อย ๆ ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวชั่วคราวของพวกเขาลงจากภายใน
“นี่ดูเป็นวิธีการของเงานั่น ดังนั้นเขาน่าจะเป็นคนทำเอาไว้” เจียหมิงกระแทกไหล่กับหลี่เจิ้ง “เขาชอบปิดบังความจริงเอาไว้ในความโกหก และซ่อนคำโกหกไว้ในความจริง– เงานั่นเก่งในเรื่องจิตวิทยาอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่คนที่บอกคุณว่ามันจะออกอะไรเวลาเป่ายิงฉุบ เงานั่นชอบทำสงครามจิตวิทยา เขาเข้าสิงร่างคนมานับไม่ถ้วน เห็นความมืดดำในหัวใจของคนมากมาย และมีชีวิตมาแล้วนานจนนับไม่ได้ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยาที่ไม่มีใครเหนือไปกว่า”
“อย่างนั้นแกคิดว่าเงานั่นตอนนี้อยู่ในกลุ่มพวกเราหรือเปล่า?” หลี่เจิ้งกำปืนตัวเองแน่น ในสภาพแวดล้อมที่ไม่รู้จักเช่นนี้ มีแค่ปืนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกถึงความปลอดภัย
“จากความเข้าใจในเงานั่นของผมแล้ว เขาอาจจะปลอมเป็นหนึ่งในพวกเราแล้ว” เจียหมิงพูดช้าลง “ทุกคนที่นี่อาจจะเป็นเขาก็ได้ รวมทั้งคุณและผม และผมก็บอกคุณได้อย่างแน่ใจเลยว่าคนที่จะเป็นเขาได้นั้นเป็นคนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด”
“คนที่ฉันสงสัยน้อยที่สุดงั้นเหรอ?” หลี่เจิ้งมองไปทั่ว ๆ กลุ่มคนตรงหน้าและสายตาของเขาก็ไปจับจ้องอยู่ที่เฉินเกอ ในทุกคนที่นี่ เขารู้จักเฉินเกอดีที่สุด และเขาก็แน่ใจได้ว่าเฉินเกอไม่มีทางเป็นเงานั่นได้
“พอคุณคิดว่ามันน่าจะเป็นเขา มันก็จะไม่ใช่เขา แต่พอคุณคิดว่าคงไม่ใช่เขา อย่างนั้นเขาก็จะจัดการกับคุณตอนที่คุณคาดไม่ถึง เขาจะไม่ให้โอกาสคุณได้ต่อต้านด้วยซ้ำ” เจียหมิงพูดอย่างลึกลับ
“แกพูดมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีประโยชน์เลย ทำไมมันเหมือนกับแกแค่พยายามทำให้ฉันสับสนอยู่?” หลี่เจิ้งขมวดคิ้ว “แกเพิ่งพยายามปัดข้อสงสัยออกจากตัวเองใช่ไหม? เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แกตัดสินใจลากคนอื่น ๆ เข้ามาร่วมบ่อน้ำขุ่น”
“ผมบอกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว ว่าเงานั่นออกไปจากร่างผมแล้ว ทำไมคุณถึงไม่เชื่อผม? ที่นี่ไม่มีคนดี ๆ หรอกนะ พวกเราสองคนมาจากโลกด้านนอก ดังนั้นพวกเราคุ้นเคยกันและกัน ดังนั้น ในสถานการณ์อย่างนี้ พวกเราควรจะทิ้งอคติก่อนหน้านี้แล้วทำความรู้จักกันใหม่อีกครั้ง” เจียหมิงนั้นไม่เชื่อคนอื่นนอกเหนือจากหลี่เจิ้ง เขาเคยถูกเงานั่นสิงร่างมาก่อนและรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเงานั่นน่ากลัวได้เพียงใด
“อย่าลืมว่าแกคือเหตุผลให้ฉันต้องมาที่นี่ ดังนั้น นี่อาจจะเป็นแผนการของแกตั้งแต่แรก และแกยังเผยเรื่องเหล่านี้ให้ฉันรู้อย่างจงใจ แกต้องการให้ฉันคิดว่าเฉินเกอคือเงานั่นและจากนั้นก็ให้ฉันเป็นพยานให้แก” หลี่เจิ้งตอบอย่างเยือกเย็น
“ผมไม่มีทางเลือกตอนที่ลวงคุณมาที่นี่ ถ้าผมไม่ทำตามที่เงานั่นสั่ง ผมก็คงไม่มีชีวิตอยู่คุยกับคุณตอนนี้แล้ว เงานั่นน่ากลัวกว่าที่คุณจะจินตนาการได้และยังเหี้ยมโหดกว่ามาก ใครที่ไม่มีประโยชน์กับมันแล้วก็จะถูกฆ่าอย่างไม่ลังเล คุณก็รู้นี่? จากมุมมองของเขา ทุกอย่างที่เขาใช้งานไม่ได้ในโลกนี้ล้วนนับเป็นสิ่งกีดขวางทาง ดังนั้นฆ่าทิ้งเสียก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด”
“ฉันก็ยังไม่เชื่อแกอยู่ดี นอกเสียจากแกจะช่วยให้ฉันได้เจอเงานั่น” หลี่เจิ้งลดเสียงลง “เงานั่นเคยอาศัยอยู่ในร่างแกหลายปี ดังนั้นแกน่าจะเป็นคนที่เข้าใจเงานั่นที่สุดแล้ว แกคิดว่ามันปลอมตัวเป็นใครอยู่?”
“ที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือเฉินเกอ ลองคิดดู มันจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง? พวกเราบังเอิญมาที่นี่ และพวกเราก็บังเอิญเจอเขาเข้า? เขาพยายามอย่างมากที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาก่อนหน้านี้ และเขาก็ให้ผมล่อคุณมาที่นี่เพื่อเป็นพยานให้เขา มันชัดเจนไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เจียหมิงยักไหล่ “เฉินเกอผู้นี้เป็นตัวปลอม เขาวางแผนที่จะเปลี่ยนเฉินเกอตัวปลอมไปเป็นตัวจริง เพราะว่าหลังจากที่ฆ่าเฉินเกอตัวจริงแล้ว เขาก็จะเป็นผู้เดียวที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงเข้าใช้ตัวตนของเฉินเกอตัวจริง”
ด้วยการโน้มน้าวซ้ำ ๆ จากเจียหมิง สายตาของหลี่เจิ้งเริ่มเปลี่ยนไป
“อันที่จริง คุณคงจะรู้ตัวเร็วกว่านี้แล้ว คุณไม่เคยคิดถึงคำถามนี้เหรอ– ทำไมเงานั่นถึงมีรูปลักษณ์คล้ายเฉินเกอ และเขาทำเรื่องทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร?” เจียหมิงถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าความเชื่อมั่นของหลี่เจิ้งเริ่มสั่นคลอน “ในทุกคนที่นี่ พวกเราเป็นสองคนที่เข้ามาที่นี่ด้วยกัน ดังนั้นพวกเราจึงเชื่อถือได้แค่พวกเรากันเอง นอกจากตัวคุณแล้ว คนอื่นอาจจะเป็นเงานั่นได้หมด”
“ฉันก็ยังไม่เชื่อคำพูดของแกง่าย ๆ แต่ฉันจะหาโอกาสทดสอบเขาดู” หลี่เจิ้งมองเฉินเกอ และสายตาของเขาก็ซับซ้อน
“คุณทำสอบเขาได้ทั้งหมดตามที่ต้องการเลย แต่ผมหวังว่าคุณจะจำเอาไว้ เงานั่นเปลี่ยนไปเป็นคนที่พวกเราคิดว่าเป็นไปได้น้อยที่สุด เขามุดผ่านช่องว่างในใจคน พวกเราไม่ใช่คู่มือเขา และทางเดียวที่จะรอดอยู่ได้ก็คือไม่เป็นศัตรูกับเขา” เจียหมิงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเฉินเกอและหลี่เจิ้ง เขาพยายามโน้มน้าวหลี่เจิ้งตอนที่ดวงตาของเขาบังเอิญมองไปยังเงาของหลี่เจิ้ง
“คนที่คุณสงสัยน้อยที่สุด…” ดวงตาของเจียหมิงจู่ ๆ ก็เบิกกว้าง เขารีบหันหน้าไปทำเป็นมองทางอื่นเพื่อซ่อนความตระหนกในใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับแก? อะไรอีกล่ะคราวนี้?” หลี่เจิ้งกระแทกปากกระบอกปืนเข้าที่แผ่นหลังเจียหมิง
“ไม่มีอะไร ผมคิดว่าผมเห็นบางอย่างวิ่งผ่านตึกนั่นไปเมื่อกี้นี้” ตอนที่เจียหมิงพูด เขาไม่ได้หันหน้าไป หัวใจของเขาสั่นด้วยอารมณ์มากมายท่วมโถม
ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เหมือนกับเงานั่นจะยิ่งเป็นคนผู้นั้น ฉันเป็นคนล่อหลี่เจิ้งมาที่นี่ และจากมุมมองของฉัน เขาเป็นคนเดียวที่ฉันเชื่อถือได้ แต่มองจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเขาจงใจงับเหยื่อ? ใช้ฉันเป็นโล่มนุษย์ในการปลอมตัว? อันที่จริง เขาคือเงาตัวจริง และฉันก็เป็นเหยื่อที่เขาสามารถทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครเชื่อคำพูดของคนร้าย โดยเฉพาะตอนที่เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกล่าวโทษ
ยิ่งเจียหมิงคิด เขาก็ยิ่งหวาดกลัว มันเหมือนเขาถูกกรอกปูนแห้ง ๆ ลงไปในคอและมันก็ไม่ไหลไปไหน ตอนนี้ เขาไม่กล้ากระทั่งมองหลี่เจิ้ง– เขากลัวว่าเขาอาจจะบังเอิญเผยจุดอ่อนออกไปและทำลายแผนการของเงา
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพูดคุยกันเอง เข้าไปข้างใน ต่อให้เงานั่นเป็นหนึ่งในพวกเรา มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก” เฉินเกอไม่ชอบเกมคาดเดาแบบนี้ ถ้าไม่เพราะมีคนคุ้นเคยอยู่ด้วย เขาก็คงใช้วิธีการตัดตัวเลือกที่เขาคุ้นเคยที่สุดในการหาความจริง เฉินเกอเป็นคนแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตที่พักอาศัยโดยไม่สนใจประโยคที่ประตู
“ผมรู้แค่ว่าประตูอยู่ที่ชั้นแรก แต่ว่าห้องไหน พวกเราต้องค้นหาเอาเอง” ชายมีรอยสักตามหลังเฉินเกอไป ตอนที่เขาเข้าไปในเขตนั้น กะโหลกศีรษะที่บนแขนของเขาก็แสดงสีหน้าหวาดกลัว
เฉินเกอนั้นเคยมาที่บ้านฟ่านฉงหลายครั้ง แต่แผนผังของตึกที่นี่นั้นต่างไปจากที่เขาจำได้
“ที่นี่ดูเหมือนจะรักษารูปแบบจากเมื่อหลายปีก่อนเอาไว้” เฉินเกอมองไปที่ด้านนอกตึกซึ่งถูกหมอกสีเลือดกัดกร่อน เขาอ่านบางคำออก “อพาร์ทเม้นท์สวัสดิการโรงพยาบาลหลี่ว่าน? เขตที่พักอาศัยนี้ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อนั้นใช่ไหม? โรงพยาบาลหลี่ว่านหมายถึงโรงพยาบาลเอกชนในเมืองใช่ไหม?”
“โรงพยาบาลเอกชนนั้นสร้างขึ้นทีหลังจากนั้นมาก– โรงพยาบาลหลี่ว่านจริง ๆ แล้วปิดตัวไปเมื่อกว่าสิบปีก่อน” ชายมีรอยสักอธิบาย ”เมืองหลี่ว่านครั้งหนึ่งเคยมีโรงพยาบาลเฉพาะทางโรคติดต่อ แต่ว่ามันปิดตัวลงด้วยเหตุผลอันลึกลับ ห้องทดลองสำคัญบางอย่างนั้นย้ายไปรวมกับโรงพยาบาลเมืองจิ่วเจียงและโรงพยาบาลในซินไห่”