บทที่ 42 มีปัญหาทางด้านความสามารถ
“อะไรนะ?!”
ฟังที่หวางเยี่ยพูดแล้ว ม่านตากลมของหลินฉ่ายเวยหดตัวลงทันที โจวเหม่ยหยูนตกใจจนมือสั่น แก้วชาที่ถือไว้ในมือเกือบถือไม่อยู่ สีหน้าดูไม่ได้เลย
ไอ้คนไร้ประโยชน์นั้น พาคนไปทุบบริษัทของพ่อหวางเยี่ยงั้นเหรอ?
เป็นไปได้ยังไง?เขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?
หลังการตกใจ โจวเหม่ยหยูนรู้สึกว่าเรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ กล่าวโดยใบหน้าที่ยิ้มว่า: “เสี่ยวเยี่ย เอาอย่างนี้ไหม นายไปถามให้ละเอียดกว่านี้หน่อย ว่ามีอะไรเข้าใจผิดระหว่างนี้หรือเปล่า?”
“ใช่ใช่ ไอ้คนไร้ประโยชน์บ้านฉันคนนั้นแม้แต่งานยังไม่มีเลย แล้วจะกล้าพาคนบุกไปที่บริษัทของพวกคุณได้ไง แล้วยังจะทุบบริษัทของพวกคุณอีก?”หลินฉ่ายเวยก็พูดด้วยสีหน้าที่ดูกังวล
ณ เวลานี้ ในใจหลินฉ่ายเวยเกิดอยากฆ่าคนขึ้นมาเลย
หลังเกิดเหตุการณ์นี้ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหวางเยี่ยจะดูเกลียดพวกเธอ เรื่องที่ขอร้องหวางเยี่ยเชิญดารามาเป็นตัวแทนนั้น ก็จะศูนย์เปล่าเหมือนกัน
“เข้าใจผิดงั้นเหรอ?”
หวางเยี่ยลุกขึ้นอย่างรุนแรง จ้องไปที่คู่แม่ลูกหลินฉ่ายเวยอย่างเย็นชา หัวเราะเย็นชาออกมาทีหนึ่ง:“ไอ้นักเลงที่บุกเข้าไปบริษัทของพ่อฉันบอกว่าตัวเองชื่อถังเฉา นอกจากไอ้คนไร้ประโยชน์บ้านคุณที่ชื่อถังเฉาแล้ว ยังมีใครอีกที่ชื่อถังเฉา?”
“เขาไม่เพียงแต่พาคนไปทุบบริษัทของพ่อฉัน ยังต่อยตีผู้ระดับสูงของบริษัทไปอีกท่าน จนหน้าเสีโฉมไปแล้ว。”
“อะไรนะ?ยังทำร้ายคนอีก?”
ทันใดนั้นใบหน้าของโจวเหม่ยหยูนก็ซีดลง หน้าสีเทาราวกับศพ
“หวางเยี่ย ฟังฉันอธิบายก่อน เขาไม่ใช่คนในตระกูลหลินเรา……”
หลินฉ่ายเวยรีบร้อนลุกขึ้นเพื่ออธิบายให้หวางเยี่ยฟัง ด้วยท่าทางที่ต่ำรู้สึกผิด
เธอเพิ่งสานสัมพันธ์กับคุณชายตระกูลหวางอย่างไม่ง่าย จะให้ปล่อยต้นเงินตระกูลหวางนี้ไปได้ยังไง?
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ ก็คือกล่าวคำขอโทษต่างๆนานา หวังว่าหวางเยี่ยจะให้อภัยกับตัวเอง
สุดท้าย หลินฉ่ายเวยเพิ่งจะลุกขึ้น ก็ถูกหวางเยี่ยผลักจนเอนไปมา:“แม่งเอ๊ย เขาก็คือคนตระกูลหลินของพวกคุณ!”
“น่าเสียดายที่ผมยังอุตส่าห์ช่วยเหลือพวกคุณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริง!”
หวางเยี่ยพูดอย่างเย็นชาว่า: “นับแต่นี้ไป ตระกูลหวางเรา ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยเหลือพวกคุณ ยังจะข่มพวกคุณ รอหนังสือจากทนายความได้เลย”
พูดจบ หึ่มเสียงหนักทีหนึ่ง หยิบเอาเอกสารศิลปินที่ตระกูลหวางมาเสนอ หมุนตัวแล้วก็จากไป
หลินฉ่ายเวยกับโจวเหม่ยหยูนทั้งสองดูเหมือนโง่ไปเลย นั่งโง่ๆอยู่กับที่
“หมดกัน หมดกัน ทีนี้หมดกันแน่……”
หลินฉ่ายเวยใช้มือทั้งสองข้างกุมที่หัว ใช้แรงดึงไปที่ทรงผมที่ตั้งใจทำมาแต่เช้า สีหน้าดูเศร้า: “เดิมไม่เพียงแต่จะร่วมงานกับลี่จิงกรุ๊ปอย่างราบรื่นอยู่แล้ว ยังจะได้เงินทุนจากตระกูลหวาง ตอนนี้ศูนย์เปล่าหมดแล้ว”
“ทั้งหมดนี้ต้องโทษไอ้คนไร้ประโยชน์นั้น!เขาทำไมไม่ไปตายซะที?”
เวลาต่อมา ท่าทางสีหน้าของหลินฉ่ายเวยก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นอย่างรุนแรง
“เมื่อ5ปีก่อนฉันก็เคยบอกแล้ว ว่าไอ้หนุ่มนี้ก็คือตัวซวย จะนำแต่ความหายนะมาให้พวกเรา คุณยังไม่เชื่ออีก”
ในใจโจวเหม่ยหยูนก็อารมณ์เสียไม่น้อยเหมือนกัน มองไปที่หลินฉ่ายเวยที่เต็มไปด้วยความโมโหไปแวบหนึ่ง กล่าว:“ดูดูในตอนนี้ เมื่อ5ปีก่อนเขาทำให้ตระกูลหลินเราถูกตระกูลซ่งข่ม ตอนนี้เพิ่งจะดีขึ้นมาหน่อย ก็ถูกไอ้หนุ่มนี้ทำลายอีกละ”
“ตอนนั้นใครจะไปรู้ว่าเขาจะเป็นคนเนรคุณอย่างนี้ล่ะ?”
หลินฉ่ายเวยรู้สึกโกรธและละอายใจเล็กน้อย
โจวเหม่ยหยูนนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า:“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องให้ตระกูลหวางเห็นความจริงใจของเรา บอกกับตระกูลหวาง ตระกูลหลินกับไอ้ตัวซวยนั่นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน ควรที่จะไล่เขาให้ออกไปจากตระกูลหลิน และตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาทุกอย่าง!”
“และยังจะดักห้ามทุกทางของเขา!”หลินฉ่ายเวยกล่าวอย่างโกรธแค้น:“ฉันจะทำให้เขาอยู่ในเมืองหมิงจูนี้ไม่สงบสุขอีกต่อไป”
เสียงหัวเราะดังขึ้น—-
ตอนนี้ มีเสียงรองเท้าส้นสูงดังมาจากทางเดิน เห็นแค่ผู้หญิงผมสั้นในชุดยูนิฟอร์มเดินมาอยู่ตรงหน้าของหลินฉ่ายเวยแม่ลูก
ไม่มีมารยาทที่มีต่อลูกค้าเลยแม้แต่น้อย ถามอย่างเย็นชาว่า:“พวกคุณก็คือตัวแทนของตระกูลหลินเหรอคะ?”
“ใช่พวกเรา”
โจวเหม่ยหยูนลุกขึ้นอย่างรีบร้อน จัดการอารมณ์เสร็จ บีบใบหน้าที่มีรอยยิ้มออกมา: “ถามหน่อยค่ะการประชุมเริ่มตอนไหนคะ?”
“ฉันคือผู้ช่วยของเลขาหลี่ ก็จะมาแจ้งเรื่องนี้ให้พวกคุณค่ะ”
ผู้หญิงกล่าวอย่างเย็นชา: “ได้รับแจ้งมาเมื่อสักครู่ว่า ท่านประธานหลินมีธุระด่วนต้องไปจัดการ การพูดคุยทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดให้เลขาหลี่เป็นตัวแทนในการพูดคุย พวกคุณไปคุยกับเลขาหลี่เถอะค่ะ”
“ทำไมถึงกลายเป็นเลขาหลี่ไปได้?ท่านประธานหลินล่ะ?”ได้ยินอย่างนั้น สีหน้าโจวเหม่ยหยูนเปลี่ยนทันที
“พวกคุณไม่จำเป็นต้องทราบค่ะ แค่ทำตามที่บอกก็พอ”
สุดท้าย ผู้หญิงไม่พูดแม้แต่คำเดียว มีเพียงคำสั่งที่หนักแน่นเป็นคำพูด
และพฤติกรรมที่แสดงนี้ มันเหมือนที่มีต่อคู่ร่วมงานไหม?ถึงแม้จะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง มันยังไม่ขนาดนี้เลย
หลินฉ่ายเวยกับโจวเหม่ยหยูนรู้สึกโกรธมากแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยคำใด อาคารกั๋วจี้ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจการเงินชั้นนำของเมืองหมิงจู ลี่จิงกรุ๊ปนั้นยิ่งเป็นผู้นำของหลายบริษัท สามารถเป็นแหล่งรวบรวมหลักของโลกธุรกิจเมืองหมิงจู ยังไม่ต้องพูดท่านประธานเลขาหรือผู้ช่วยเลย แม้กระทั่งพนักงานระดับกลางคนใดคนหนึ่งของลี่จิง พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะมีปัญหาด้วย
ภายใต้ความโกรธที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ พวกเธอได้แต่เดินตามหลัง เข้าไปในห้องทำงานของหลี่ถาว
หลี่ถาวรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา แต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้น กลับจัดการกับเอกสารอยู่
จนกว่าจัดการเสร็จเรียบร้อย เธอถึงได้เงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ จ้องไปที่หลินฉ่ายเวยกับโจวเหม่ยหยูนแวบหนึ่ง กล่าว: “ฉันจำได้ว่า คนที่เป็นตัวแทนเซ็นสัญญาการร่วมมือกับลี่จิงเรานั้น น่าจะเป็นคุณถังเฉานะ ทำไมถึงกลายคุณสองคนล่ะ?”
โจวเหม่ยหยูนกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“เสี่ยวถังมีธุระกะทันหัน ก็เลยให้เราสองคนมาทำหน้าที่แทน”
“อย่างงั้นเหรอ……”
หลี่ถาวยิ้มแปลกๆเล็กน้อย จากนั้นก็เข้าสู่หัวข้อหลักเลย: “แล้ว รูปแบบโครงการบรรจุภัณฑ์ล่ะ?”
หลินฉ่ายเวยรีบเอาโครงการยื่นไปตรงหน้าของหลี่ถาว จากนั้น หนังสือโครงการที่แลดูอัดแน่นหนาไปหมดนั้น หลี่ถาวแค่พลิกดูไม่กี่หน้า ก็หมดอารมณ์ซะงั้น กล่าวอย่างเย็นชาว่า:“คุณหลิน คุณโจว ฉันว่าพวกคุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ขั้นตอนการบรรจุภัณฑ์ที่ดีที่สุดของผลิตภัณฑ์นั้น ก็คือผ่านการรับรองของดาราที่เป็นตัวแทน แล้วภาพถ่ายของดาราล่ะ?”
“คือ……”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา หลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนได้รู้ว่ายากขึ้นมาทันที
ภาพถ่ายของดารานั้น เมื่อสิบนาทีก่อนก็ยังมีอยู่ เพียงพอถังเฉาที่สร้างปัญหาความวุ่นวาย เลยแตกแยกกับตระกูลหวางโดยสิ้นเชิง……
ดูจากสีหน้าของหลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนแล้ว หลี่ถาวก็ได้เข้าใจอะไรบางอย่าง ท่าทางบนใบหน้า ก็ค่อยๆถอยหนี
“เวลาที่ลี่จิงเราให้พวกคุณก็น่าจะมากพอแล้วไหม?พวกคุณดันไม่มีคำตอบที่น่าพึงพอใจให้พวกเรา ฉันคิดได้เพียงว่า—-พวกคุณมีปัญหาทางด้านความสามารถ”
หลี่ถาวหลับตาแล้วพูดว่า:“ดูเหมือนว่า ลี่จิงต้องประเมินการร่วมมือกับตระกูลหลินใหม่อีกครั้งแล้ว”
ปั้ง—-
หลังคำพูดนี้ออกมา สีหน้าหลินฉ่ายเวยกับโจวเหม่ยหยูนเปลี่ยนไปทั้งคู่ ร้องขอว่า:“คุณเลขาหลี่ อย่ายกเลิกการร่วมงานของทั้งสองตระกูลเลย นี่เป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ ให้เวลาพวกเราอีกหนึ่งอาทิตย์ พวกเราจะต้องให้คำตอบอย่างพึงพอใจแก่บริษัทของคุณ”
จากนั้น หลี่ถาวกลับได้แค่ส่ายหัว กล่าวอย่างใจเย็นว่า:“ต้องขอโทษด้วย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินของฉัน เรื่องที่ว่าจะร่วมหรือไม่ร่วมมือ มันขึ้นอยู่กับท่านประธานหลินเท่านั้น”
“กลับไปรอข่าวที่บ้านละกัน ให้คำตอบพวกคุณก่อนเลิกงานพรุ่งนี้”
ช่างเถอะ หลินฉ่ายเวยและโจวเหม่ยหยูนที่ไม่คำนึงถึงใบหน้าที่หดหู่และซีด ได้เอารูปแบบโครงการของตระกูลหลินมุ่งไปยังห้องท่านประธาน
จากนั้น เพิ่งเปิดประตู ก็เห็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความซึมเศร้าสองคนมุ่งหน้าเดินมา
ถือสัญญาอยู่ในมือ บนสัญญามีสี่ตัวอักษรใหญ่ๆเขียนว่า:รายงานการลาออก!
หลี่ถาวถอนหายใจเบาๆ สองคนนี้ ก็คือหัวหน้างานเมื่อก่อนที่แอบร่วมมือกับทางบริษัทการบันเทิงฮุยหวง
ท่านประธานหลินได้ยื่นคำขาด ภายในหนึ่งอาทิตย์ต้องทวงหนี้กลับมาหนึ่งร้อยล้าน หากทวงกลับมาไม่ได้ ก็ต้องไสหัวไปให้หมดๆ
มันก็ชัดเจนแล้วว่าบริษัทการบันเทิงฮุยหวงไม่ยอมจ่าย ตามทวงมาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่ได้คืน ระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งอาทิตย์จะทวงคืนได้ยังไงล่ะ?
ฉะนั้น หัวหน้างานสองคนนี้ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจดี เลยยื่นรายงานการลาออกเอง
ธุระที่ว่าเร่งด่วน ก็คือเรื่องที่ต้องจัดการรายงานการลาออกของหัวหน้างานสองคนนี้
พวกเขาเดินจากไปโดยไม่มีความรับผิดชอบ ทิ้งเรื่องวุ่นวายยากที่จะสะสางนี้ไว้ให้หลินชิงเสว่จัดการ หลินชิงเสว่ก็ต้องโกรธมากเป็นธรรมดา เกรงว่าสองคนนี้จะต้องถูกดักห้ามในวงการธุรกิจแล้ว
ในเมื่อพวกเขาลาออกแล้ว ภารกิจสำคัญทวงหนี้นี้ ก็ตกที่หนึ่งในคนสนิทของท่านประธานหลิน ฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่สามารถพูดได้ดี เก่ง มีวิธีการเก่งที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมทำสิ่งต่างๆก็คือประธานฟาง
“หวังว่าทุกอย่างจะดำเนินการไปได้ดี……”
หลี่ถาวพูดอยู่คนเดียว จากนั้นก็เดินไปยังห้องทำงานของหลินชิงเสว่ รายงานผลสรุปของการเจรจากับตระกูลหลินแล้ว
……
ฟางหย่ายืนอยู่ใต้ตึกบริษัทการบันเทิงฮุยหวงเพียงคนเดียว ใบหน้าอันสวยเขียนเต็มไปด้วยความลำบากใจ
แม้เธอจะเป็นถึงหัวหน้าเจรจาของลี่จิงกรุ๊ป หนึ่งในสามของท่านรองประธาน แต่หนึ่งร้อยล้านที่จะทวงคืนมาจากบริษัทการบันเทิงฮุยหวงนั้น เธอก็รู้สึกถึงความกดดันที่สูงละใหญ่มาก
ไม่เพื่ออะไรทั้งนั้น เพียงแค่เบื้องหลังของบริษัทการบันเทิงฮุยหวง มีพื้นฐานที่ไม่สะอาด ก็เพียงพอที่จะทำให้เธอลำบากใจแล้ว
ใช่ ฟางหย่าถึงจะถนัดที่จะเจรจาต่อรองกับโลกภายนอก แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นนักธุรกิจมืดที่ไม่มีเหตุผล เธอได้มีอาการที่ว่าคนเก่งพบเจอกับทหาร มีเหตุผลแต่อธิบายไม่ได้ความ ความรู้สึกแบบไร้เรี่ยวแรง
แต่ว่า ในเมื่อเป็นภารกิจที่ประธานหลินมอบให้ไปจัดการ งั้นก็ต้องทำให้มันเต็มที่ที่สุด
“ฟางหย่า สู้ๆ!”
ฟางหย่าหายใจเข้าลึกๆ ให้ภายในใจตัวเองใจเย็นลง ถึงได้เดินเข้าไปอาคารฮุยหวงอย่างช้าๆ
ตรงหน้า ชายสองหญิงหนึ่งเดินกระทบไหล่ผ่านฟางหย่า
ชายหนึ่งหญิงหนึ่งในสามคนนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้ชายตรงกลางนั้นเป็นแกนหลัก ได้เดินออกไปจากอาคารฮุยหวงช้าๆ
ทีแรกฟางหย่าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เดินไปไม่กี่ก้าวนั้น เหมือนเธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง มองย้อนกลับไปโดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายคนนั้นกลับหายไปไม่เจอแล้ว
สีหน้าฟางหย่าได้แสดงท่าทางเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มีความสงสัย ยังมีร่องรอย……ที่โศกเศร้า
เป็นคนในความทรงจำหรือเปล่า?
เหมือนมากเลยนะ?
ส่ายหัวไปมา ไม่นานฟางหย่าก็หาห้องทำงานของหวางหมิ่นเหมินเจอ ได้เคาะประตูไป: “เถ้าแก่หวาง ฉันคือฟางหย่าแผนกการเจรจาต่อรองของบริษัทลี่จิงกรุ๊ป ก็คืออยากคุยเรื่องหนี้หนึ่งร้อยล้านที่ยังคงค้างทางเราไว้”
ตู้ม—-
หลังที่ฟางหย่าได้แจ้งประวัติตัวเองไป จู่ๆในห้องทำงานก็มีเสียงเหมือนมีใครล้มลงลอยมา
จากนั้น ฟางหย่าก็ได้ยินเสียงประตูที่ถูกล็อก ดั่งเธอเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่นำภัยพิบัติมาอย่างนั้นแหละ
ต่อมาก็ได้มีเสียงคำด่าเกรี้ยวกราดมาจากหวางหมิ่นเหมิน
“พวกลี่จิงคุณจะรังแกคนมากเกินไปแล้วนะ ฉันก็ยอมคืนเงินแล้วไง พวกคุณยังจะส่งคนมาอีก คิดว่าตระกูลหวางเรารังแกง่ายๆงั้นเหรอ?”
“?”
ฟางหย่าหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอเพิ่งจะมาครั้งแรกเท่านั้น
ในเมื่อไม่ใช่เธอ แล้วจะเป็นใครกันล่ะ?