บทที่171 ผู้หญิงดุเด็ดเผ็ดร้อน
คนจำนวนนับสิบอาวุธปืนครบมือปืนจ่อไปที่หัวถังเฉา ยิ่งไปกว่านั้นมีคนหนึ่งยืนด้านข้างคอยหาจังหวะเข้าจัดการ กลยุทธ์เช่นนี้ เป็นเส้นสนกลในทั้งหมดของตระกูลระดับต้น ๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ถังเฉากลับหัวเราะเบา ๆสามครั้ง โดยไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็คิดว่าถังเฉาคงเป็นบ้าไปแล้ว
“เพื่อนพ้องทุกท่าน เรื่องราวเปลี่ยนแปลงกะทันหัน งานมงคลเปลี่ยนมาเป็นงานศพเสียแล้ว ผมแซ่เจิ้งต้องขอโทษทุกท่านด้วย!”
ทันใดนั้น เจิ้งเทียนเฉิง หันหลังกลับมา มองไปที่ผู้ร่วมงานตระกูลต่าง ๆ ที่เชิญมา โค้งคำนับเล็กน้อย: “วันข้างหน้าผมแซ่เจิ้งจะต้องหาโอกาสไปเยี่ยมทุกท่านด้วยตนเอง วันนี้ขอเชิญทุกท่านกลับไปก่อน”
“ที่ไหน ที่ไหน”
“นายท่านเจิ้ง ต้องดูแลสุขภาพด้วย อย่าโมโหจนเสียสุขภาพกับคนประเภทนี้”
“หากต้องการให้ตระกูลพวกเราช่วยเหลืออะไร เอ่ยปากออกมาได้ทันที”
คนในตระกูลอื่น ๆ ต่างก็เอ่ยคำบอกลา ประเดี๋ยวเดียว ภายในบ้านตระกูลเจิ้งก็เปลี่ยนมาเงียบสงัด เหลือเพียงแค่บอร์ดี้การ์ดตระกูลเจิ้ง คนตระกูลโจวทั้งหมด และตระกูลเย่ บรรยากาศคุกรุ่นไปด้วยไอสังหาร
เจิ้งเทียนเฉิงมองไปที่เย่เทียนหลงอีกครั้ง หรี่สายตาดุดัน: “เถ้าแก่เย่ยังไม่กลับเหรอ?”
เย่เทียนหลง ยกสุราขึ้นมาดื่มจอกหนึ่ง หัวเราะเสียงดังพูดว่า: “นายท่านเจิ้ง ไม่ต้องสนใจผม คิดเสียว่าพวกผมเป็นเหมือนความว่างเปล่าก็ได้”
คำพูดประโยคนี้ ได้แสดงจุดยืนของตระกูลเย่ ส่งผลให้เจิ้งเทียนเฉิงแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย
แต่ว่าเมื่อคิดถึงอิทธิพลของตระกูลเย่ เจิ้งเทียนเฉิงก็ไม่คิดจะไปหาเรื่องใส่ตัว ทำได้เพียงรับแบบขอไปที จากนั้นจับจ้องสายตาไปที่ตระกูลโจวทุกคนด้วยท่าทางไม่พอใจ
“ดูไปแล้ว ตระกูลโจวอย่างพวกคุณ ตัดสินใจแน่แล้วว่าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเจิ้ง”
“ไม่กล้า!”
โจวฉวนกั๋วตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดเสียงดัง รีบผลักโจวเหม่ยหยูนแล้วพูดว่า: “พวกคุณก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ยังไม่รีบหาวิธีแก้ปัญหาอีกเหรอ!”
โจวเหม่ยหยูนร้อนใจเหมือนมดน้อยอยู่บนกระทะร้อน ๆ ทันใดนั้นเธอรีบหันไปมองถังเฉาด้วยท่าทีโกรธเคือง: “เจ้าคนไร้ประโยชน์ ยังไม่รีบคุกเข่าต่อหน้า นายท่านเจิ้งอีก!”
ถังเฉายังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดสักคำ เขาไม่ปรารถนาที่จะพูดกับโจวเหม่ยหยูน
แต่หลินเจิ้นสง ได้ดึงตัวโจวเหม่ยหยูนที่ร้อนรนจนเหงื่อท่วมตัว เอ็ดไปว่า: “พอได้แล้ว เจ้ามันเป็นภรรยาที่บ้าไปแล้วอย่าวุ่นวายอยู่แถวนี้ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเจิ้งฮ่าวทำเรื่องพวกนั้นอย่างไร?”
“แม่ ครั้งนี้ลูกขอเข้าข้างคุณพ่อ”
หลินฉ่ายเวยก็พูดด้วยเสียงเรียบเฉย ถึงแม้ว่าจะมีปืนจ่ออยู่หลายกระบอก เธอเองก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด
“เจิ้งฮ่าววางแผนทำร้ายพ่อของฉัน หากฉันอยู่กับเขา คงต้องเป็นคนตาบอดแล้วล่ะ ยังมี ตระกูลเจิ้งอีก ไม่เห็นว่าจะดีอะไรนักหนา!”
“ไม่มีเหตุผลที่จะรัก และก็ไม่มีเหตุผลที่จะเกลียดชัง ทำไมตระกูลเจิ้งถึงยื่นมือเข้ามาช่วยตระกูลโจว ก็เพื่อต่อไปคิดจะฮุบตระกูลโจวทั้งหมด คุณปู่ เหตุผลตื้น ๆ อย่างนี้คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?”
คนในตระกูลโจวทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจวฉวนกั๋วเอง ที่มีสีหน้าเดี๋ยวก็แดง เดี๋ยวก็ขาว
ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลโจว เขาย่อมรู้ดีทุกอย่าง หมูต้องเลี้ยงให้อ้วนพีถึงจะจับไปเชือด ดังนั้นตระกูลเจิ้งลงทุนซื้อหุ้นตระกูลโจวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ว่าตระกูลโจวเพราะอะไรถึงไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากตระกูลเจิ้ง เพื่อให้ตนเองยิ่งใหญ่ขึ้นมาล่ะ?
พูดตามความจริง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน แต่ว่าตอนนี้ ตระกูลเจิ้งกับตระกูลโจวแตกหักจนมองหน้ากันไม่ติด ต้องดูว่าโจวฉวนกั๋วจะตัดสินใจเลือกอย่างไร?
เขานิ่งสงบอยู่พักใหญ่ จากนั้นหายใจลึก ๆ พูดว่า: “ฉ่ายเวย สิ่งที่หลานพูดปู่เข้าใจทั้งหมด แต่ว่าตอนนี้ตระกูลโจวพัฒนาอย่างรวดเร็วจนมาอยู่จุดนี้ได้ จะขาดตระกูลเจิ้งไม่ได้เลย”
ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ม่านตาหลินฉ่ายเวยหดเล็กน้อย เจิ้งเทียนเฉิงเองก็เผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาพูดว่า: “เหล่าโจว ดูไปแล้วผมมองคนไม่ผิดจริง ๆ การตายหลานชายของผม แม้ตระกูลโจวพวกคุณจะไม่เกี่ยวข้อง แต่เรื่องนี้ จะต้องมีคำอธิบายให้ได้!”
พูดจบ เขามองถังเฉาด้วยสายตาเย็นชา พูดต่ออีกว่า: “คน ๆ นี้ ผมจะตัดแขนตัดขาของมัน เรื่องที่จะฆ่ามันนั้น ให้ตระกูลโจวพวกคุณเป็นคนจัดการ เพื่อให้ผมได้เห็นถึงความจริงใจของตระกูลโจว”
“ได้”
โจวฉวนกั๋วพยักหน้าตอบรับคำโดยไม่มีทีท่าลังเลแม้แต่นิดเดียว
หลินฉ่ายเวยกับหลินเจิ้นสงรีบหันไปทางถังเฉา พูดกระตุ้นว่า: “คุณรีบหนีไป ตระกูลเจิ้งกับตระกูลโจวร่วมมือกันจะจัดการคุณ คุณไม่มีทางรอดได้เลย!”
ท่าทีหลินฉ่ายเวยที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ทำให้ถังเฉาประหลาดใจเล็กน้อย
แต่ในเวลาอันรวดเร็ว เขาก็หัวเราะเล็กน้อย เดินมาด้านหน้าหลินฉ่ายเวย พูดเบา ๆว่า: “ความหวังดีของคุณ ผมขอรับไว้ วันนี้ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ ดูสิใครกล้าแตะต้องผม!”
คำพูดเช่นนี้ดูแล้วทะนงตนสุดจะเปรียบ แต่หลินฉ่ายเวยกลับตัวสั่นเล็กน้อย นึกย้อนกลับไปเรื่องต่างๆ นานา ถังเฉา เขาเหมือนจะไม่เคยยอมแพ้สักครั้ง
ขณะนั้นเอง เฟิ่งหวงค่อย ๆเดินมาข้างหน้า เย่เทียนหลงเองก็หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ ท่าทีนิ่งเงียบ
“ฮ่าฮ่าฮ่า……”
ตระกูลเจิ้ง กลับหัวเราะเสียงดังด้วยท่าทีเหยียดหยาม
เจิ้งหลินหัวเราะพร้อมกับขยับเท้าไปข้างหน้า ชี้หน้าถังเฉาพูดว่า: “เจ้าคิดว่าเจ้ายังทำอะไรได้ตามอำเภอใจโดยไม่ต้องเกรงกลัวใครเหมือนเมื่อครู่งั้นเหรอ? อยู่ต่อหน้าตระกูลเจิ้งของข้า เจ้าก็เป็นแค่เศษสวะ!?
เจิ้งเทียนเฉิงเหลือบไปมองโจวฉวนกั๋วพูดว่า: “พวกคุณกลับไปก่อน อีกเดี๋ยว ผมจะส่งตัวมันไปที่ตระกูลโจว พรุ่งนี้ ก็หิ้วหัวของมันส่งมาหาผม”
มีเพียงเจิ้งหลินเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดคุณปู่ถึงทำเช่นนี้ วันนี้เป็นวันเกิดครบ70ปีของคุณปู่ ไม่สะดวกที่จะฆ่าคน ดังนั้นจึงให้ตระกูลโจวเป็นฝ่ายลงมือแทน
โจวฉวนกั๋วรีบออกไปจากตระกูลเจิ้งอย่างเลี่ยงไม่ได้ รีบกล่าวขอบคุณในน้ำใจ: “ขอบคุณนายท่านเจิ้งที่ใจกว้างให้อภัย ขอบคุณนายท่านเจิ้งที่ใจกว้างให้อภัย…..”
“รีบไปเถอะ”
โจวฉวนกั๋วรีบพาคนตระกูลโจวออกไป โจวเหม่ยหยูนดึงตัวหลินฉ่ายเวยพูดว่า: “พอได้แล้ว รีบไป”
“แต่ว่า ถังเฉา เขา—-”
“อย่าไปยุ่งเจ้าคนไร้ประโยชน์นี้เลย วันนี้ต้องตายแน่ ๆ!”
หลินฉ่ายเวย มองถังเฉาด้วยท่าทีเป็นห่วง โจวเหม่ยหยูนกลับลากตัวเธอให้รีบออกไป
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ถังเฉาไม่รั้งใครไว้ ทุกคนไปกันหมดย่อมเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา
“เอาล่ะ เจ้ายังมีอะไรจะสั่งเสียอีกหรือไม่?”
เจิ้งเทียนเฉิงใช้สายตาอาฆาตแค้นจ้องมองถังเฉา
มุมปากถังเฉาเผยรอยยิ้มประหลาด พูดเบา ๆว่า: “ข้าว่า พวกเจ้ามั่นใจกันมากใช่มั้ยที่จะสังหารข้าให้ได้?”
“ถังเฉา เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าความเชื่อมั่นของเจ้ามาจากที่ไหน!”
จู่ ๆ เจิ้งหลินขยับมาข้างหน้าหนึ่งก้าว พูดเสียงดังว่า: “ห้าปีก่อนเจ้าอยู่กับหลินชิงเสว่ เจ้ามีทั้งหมดก็มาจากหลินชิงเสว่ทั้งสิ้น ไม่มีเขาแล้ว เจ้าก็ไม่มีอะไร!”
ตึ่ง—-
ได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าถังเฉาเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที ไอสังหารค่อย ๆ แผ่ซ่าน ออกมา
เย่เทียนหลงตื่นตระหนก ถึงแม้ว่าจะเตรียมการไว้พร้อมแล้ว แต่ก็ยังตกใจกับข้อมูลนี้มาก
ภรรยาของคุณถัง……คือประธานบริษัทลี่จิงกรุ๊ป?
ในแววตาของจ้าวเย็นหรานก็นึกประหลาดใจเช่นกัน แต่ประเดี๋ยวเดียว ทั้งสองพี่น้องสบตากัน เห็นพ้องต้องการบางอย่าง
เผยให้เห็นแววตาสังหาร ถังเฉายิ้มเล็กน้อยพูดว่า: “ไม่ว่าข้อมูลที่คุณได้มาจะเป็นอย่างไร คุณก็ไม่สามารถไปบอกกับคนอื่นได้อีกแล้ว”
“ใกล้จะตายอยู่แล้วยังทำปากแข็งอีก!”
เจิ้งหลินเดือดดาล มองไปที่เจิ้งเทียนเฉิงพูดว่า: “คุณปู่ สั่งให้บอร์ดี้การ์ดยิงแขนขาของมันให้ทะลุ อย่าเพิ่งฆ่ามัน ผมต้องการให้มันได้ลิ้มรสว่าการตายทั้งเป็นเป็นอย่างไร!”
เจิ้งเทียนเฉิงไม่พูดพล่ามอีกแล้ว ส่งสัญญาณมือสั่งการ: “ยิงมัน!”
ปัง ปัง ปัง —-
พริบตาเดียว ตระกูลเจิ้งทั้งหมดต่างได้ยินเสียงปืน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……”
เจิ้งหลินอดรนทนไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง: “เจ้ามันก็แค่คนไร้ประโยชน์ที่เกาะคนอื่นกินไปวัน ๆ กล้าดีมาต่อกรกับข้า…..”
“เจ้าเบิกตามองดูด้านหลังให้ดี ๆ สิ”
มีเสียงเบา ๆ ดังมาจากด้านหลัง เสียงหัวเราะของเจิ้งหลินพลันต้องหยุดลงในทันที มองไปดูถังเฉายังอยู่ดีไม่มีอะไรบุบสลาย สีหน้าเปลี่ยนทันที “ทำไมเจ้าไม่เป็นอะไร?
เหมือนจะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เจิ้งหลินและเจิ้งเทียนเฉิง กับคนในตระกูลเจิ้งทั้งหมดล้วนหันหลังกลับไปโดยสัญชาตญาณ มองเห็นภาพที่น่าหวาดกลัว
บอร์ดี้การ์ดตระกูลเจิ้งทุกคนไม่ทันได้ยิงปืนออกมา กลับถูกยิงตายไปเสียก่อนแล้ว เลือดสด ๆ ไหลนองไปทั่ว
มองเห็นแต่เพียงด้านนอกตระกูลเจิ้ง มีคนสวมสูทถือปืนครบมือราว40-50คนยืนเรียงแถวกันด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
เจิ้งเทียนเฉิงรีบหันไปมองเย่เทียนหลงด้วยสีหน้าขุ่นเคือง: “เย่เทียนหลง คุณกล้ายื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของตระกูลเจิ้งเหรอ?!”
“ตาแก่เลอะเลือน แกมองดูให้ละเอียดสิ คนของข้า ลงมือซะที่ไหน” เย่เทียนหลงยิ้มอย่างมีนัย
“อะไรนะ?!”
ในเวลานั้นเอง สีหน้าเจิ้งเทียนเฉิงเปลี่ยนทันที
“เป็นคนของฉันเอง”
มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น จ้าวเย็นหรานก้าวเท้าเดินออกมาด้วยท่วงท่าสง่างาม
“คุณคือ—-”
มองเห็นจ้าวเย็นหราน เจิ้งหลินเบิกตาโพลง
“แนะนำตัวเองหน่อยสิ”
จ้าวเย็นหรานใบหน้ายิ้มดั่งบุปผาแรกแย้มพูดว่า: “ฉันเป็นบุตรสาวคนโตตระกูลจ้าว”