ฟ้าววว!
สนามบินหมิงจู เครื่องบินลำหนึ่งค่อย ๆ ลงจอด
นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่แห่กันออกมา ชายหนึ่งหญิงหนึ่งในนั้นเดินอยู่หลังสุดของกลุ่มคนนั้น จังหวะฝีเท้าว่องไว ดูเหมือนจะเสพสุขกับการเดินทางกลับเมืองหมิงจูมาก ๆ
ผู้หญิงถอดแว่นกันแดดออก มองผู้ชายอย่างไม่พอใจอยู่บ้างครั้งหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เชื่อถือว่า “ทำไมต้องเป็นฉันที่กลับเมืองหมิงจูเป็นเพื่อนนายด้วย?”
ถังเฉาปล่อยให้แว่นกันแดดที่อยู่บนดั้งจมูกลื่นไหลลงมาเล็กน้อย มองหลินฉ่ายเวยพลางเอ่ยว่า “เธอไม่ยินดี?”
“ไม่ใช่ไม่ยินดี แต่ว่าไม่ง่ายเลยกว่าฉันจะมาเยี่ยนจิง อยู่ด้วยกันทั้งครอบครัว เตียงยังไม่ทันอุ่นนายก็แกล้งตายซะแล้ว ยังต้องไปหลบความสนใจที่เมืองหมิงจูอีก…”
หลินฉ่ายเวยเอ่ยอย่างเป็นทุกข์
ได้ยินอย่างนั้น ถังเฉาก็หัวเราะออกมา “นี่เป็นการคิดเพื่อสถานการณ์โดยรวมทั้งนั้น ถ้าหากฉันไม่ไป ถูกอิทธิพลของตระกูลหลวงในเยี่ยนจิงค้นพบเข้า จะต้องจบเห่ตอนท้ายแน่”
หลินฉ่ายเวยไม่รู้ว่าถังเฉาคิดจะทำอะไร แต่เธอรู้ว่า ถ้าหากเรื่องที่ถังเฉาแกล้งตายถูกคนของตระกูลหลวงในเยี่ยนตูพบเข้า เช่นนั้นแผนการจะต้องถูกเปิดโปงแน่
คิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็ออกเสียงเอ่ยว่า “ฉันยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่นิดหน่อย ทำไมนายถึงได้มีชีวิตอยู่ภายใต้อุณหภูมิติดลบยี่สิบองศาได้กันนะ?”
“เธอลืมไปแล้วหรือว่าฉันเป็นผู้ชำนาญด้านการต่อสู้? เธอไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ไม่เข้าใจในสิ่งนี้”
หลินฉ่ายเวยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา การมีชีวิตอยู่นี้ถึงแม้จะพูดอย่างสบาย ๆ แต่เธอก็เข้าใจแจ่มแจ้งดีว่านั่นเป็นถึงอุณหภูมิติดลบยี่สิบองศาเชียวนะ ต่อให้เป็นผู้ชำนาญด้านการบู๊อีกก็เถอะ ก็จะต้องมีสภาพเหมือนเฉียดความตายมาแน่ ๆ
“นายกลับเมืองหมิงจูครั้งนี้ตั้งใจจะอยู่กี่วัน?”
เธอเอ่ยถามอีก
“อย่างนานก็หนึ่งสัปดาห์ อย่างสั้นก็สองสามวัน…”
ถังเฉาให้คำตอบที่คลุมเครือ ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน
พอมองดูชื่อที่ปรากฏที่หน้าจอ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเข้มงวดในทันที ทำท่าทางให้หลินฉ่ายเวยเงียบเสียง จากนั้นก็เริ่มรับสาย
เป็นสายที่ท่านเจ้ามังกรโทรมา
เขาพูดเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในฐานทัพกองทัพปราณมังกรรอบหนึ่ง
พูดจบ ถังเฉาก็หัวเราะ “ถูกฉันทายถูกจริง ๆ เสียด้วย”
“แล้วต่อไปนายคิดจะทำอย่างไร?”
หลงไป่ชวนเอ่ยถาม “ในเมื่อตอนนี้ฉันปลดเกษียณแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะบัญชาการกองทัพปราณมังกรด้วยตัวเองได้ตลอด ก็ต้องกลับตระกูลหลง”
ถังเฉาไตร่ตรองอยู่นาน เอ่ยว่า “ยังไม่ต้องรีบหรอกครับ เราวางแผนขึ้นมาได้ ถ้าหากค้างคาวอยากจะทำลายกองทัพปราณมังกรก็จำเป็นจะต้องได้รับคำสั่งล้มเลิก พวกเราคอยก่อกวนอยู่ตรงนี้ก็พอแล้วล่ะครับ”
ถังเฉาวางสายอย่างรวดเร็ว หลินฉ่ายเวยที่อยู่ข้าง ๆ ฟังอย่างชัดเจน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“กองทัพปราณมังกร… นายเป็นทหารอยู่ในกองทัพปราณมังกร?”
เธอโพล่งออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ถังเฉากำลังคิดว่าความพัวพันนี้ผ่านมานานแล้ว ควรจะให้เธอได้รู้แล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้า
ทันใดนั้นใบหน้าของหลินฉ่ายเวยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีอย่างคาดไม่ถึง
เมื่อก่อนเธอรู้แต่เพียงว่าที่ถังเฉาหายไปห้าปีคือไปเป็นทหาร นึกไม่ถึงว่าจะไปเป็นทหารที่กองทัพปราณมังกร
“อย่างนั้นตอนนั้นที่นายพูดว่าเกี่ยวข้องกับคดีความระหว่างประเทศคดีหนึ่งนั่น…”
หลินฉ่ายเวยกำลังจะพูดแล้วก็หยุดอีกครั้ง
ถังเฉาห่างหายไปห้าปี ช่วงที่กลับมาตระกูลหลินใหม่อีกครั้ง พบกับซ่งหมิงเวย จะให้เขาลงมือ กลับถูกผู้หญิงชุดดำลึกลับคนหนึ่งขวางเอาไว้
ตอนนั้นญาติ ๆ ในบ้านล้วนแต่เอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบของถังเฉาคือเกี่ยวข้องกับคดีความระหว่างประเทศคดีหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้ปกป้องเขา
คำตอบของถังเฉาไม่ผิด
“นั่นเป็นลูกน้องของฉันจริง ๆ”
ถังเฉาเอ่ยยิ้ม ๆ
ด้วยเหตุนี้ หลินฉ่ายเวยจึงคลั่งไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความสั่นสะเทือน
ในใจนอกจากความตื่นเต้นแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีความเสียดายเล็ก ๆ
ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ชายคนนี้ก็อยู่ในฐานะสูงสุดที่เพียงพอจะให้พวกเขาแหงนคอมอง แต่พวกเขาก็ยังคงเห็นเขาเป็นคนต่ำต้อย
“ทั้งหมดนั้นผ่านไปแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
ดูเหมือนถังเฉาจะมองทะลุความคิดในใจของหลินฉ่ายเวยอย่างทะลุปรุโปร่ง เผชิญหน้ากับแสงสว่าง ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
หลินฉ่ายเวยได้ยินก็มึนงงไป จากนั้นก็ผุดรอยยิ้มขึ้นเหมือนกับโดนแพร่เชื้อ
“ไปกันเถอะ เดินไปให้ทั่ว”
สำหรับทั้งสองคนแล้ว เมืองหมิงจูเป็นเมืองที่พวกเขาผูกพันเป็นพิเศษ
สำหรับหลินฉ่ายเวย นั่นคือบ้านเก่าของเธอ
เธอเป็นคนเมืองหมิงจู
แต่สำหรับถังเฉาแล้ว นั่นเป็นเมืองที่ให้กำเนิดเขา เลี้ยงดูเขา มีความรักและความแค้น
มนุษย์เอ๋ย สุดท้ายก็ต้องกลับบ้านเกิด ถึงจะสามารถหาเจอว่าความหมายของการมีชีวิตอยู่คืออะไร
พอถึงตอนบ่าย ทั้งสองคนไม่ได้ไปโรงแรม แต่กลับไปดูยังอนุสรณ์ที่มีความหมายมากมาย
อย่างเช่นโรงเรียนมัธยมของพวกเขา รวมถึงที่ที่พวกเขาเล่นด้วยกันตอนเด็ก ๆ
ยืมเวลาช่วงนี้ที่เขาแกล้งตาย ถังเฉาสามารถผ่อนคลายได้สักพัก
สถานที่เหล่านี้ล้วนเป็นสถานที่ที่เขากับหลินฉ่ายเวยทั้งสองคนมีความทรงจำร่วมกัน
เมื่อก่อนพวกเขาเข้าเรียนโรงเรียนมัธยมเดียวกัน ถึงขั้นอยู่ห้องเดียวกัน
ความทรงความทรงจำในตอนวัยรุ่นนั้นจึงจะเป็นความทรงจำที่คุ้มค่าที่จะจารึกที่สุด
“ผ่านมาตั้งนานขนาดนี้แล้ว โรงเรียนมัธยมที่สองยังเป็นอย่างนี้อยู่ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก”
หลินฉ่ายเวยยืนอยู่หน้าประตูโรงเรียนมัธยมที่สอง มองโครงสร้างด้านใน พูดอย่างปลง ๆ
ถังเฉายิ้ม “ไม่เคยบูรณะ แต่บุคลากรครูข้างในกลับค่อย ๆ ไปแล้วหลายรุ่น ตอนนี้ดูเหมือนจะเหลือแค่ครูใหญ่คนเก่าแล้วล่ะ”
ที่ประตูของโรงเรียนมัธยมที่สองมีหินก้อนใหญ่ที่ให้ความรู้สึกของยุคสมัยก้อนหนึ่งตั้งอยู่ ด้านบนเขียนตัวอักษร ‘โรงเรียนร้อยปี’ ไว้สี่ตัว
ด้านล่างเป็นชื่อคนแน่นขนัด ล้วนแต่เป็นครูใหญ่ในอดีต
ชื่อหนึ่งด้านล่างสุดก็คืออดีตครูใหญ่ที่รับตำแหน่งในรุ่นของถังเฉากับหลินฉ่ายเวย
หวังหยาง
นี่คือของของเขา
เพราะท่าทีของตระกูลหลิน ถังเฉาจึงไม่ได้รับการตอบรับจากในโรงเรียนสักเท่าใดนัก ครูใหญ่หวังช่วยเหลือเขาเอาไว้เยอะ
ในที่สุดแล้วโลกใบนี้ก็มีคนดีอยู่เยอะ
“ไปกันเถอะ เข้าไปดูสักหน่อย”
ถังเฉาพูดกับหลินฉ่ายเวยยิ้ม ๆ
หลินฉ่ายเวยหยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนก้าวช้า ๆ ไปในสวนหย่อมใบเมเปิ้ลที่มีชื่อเสียงที่สุด
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกงงงวยก็คือ เมื่อก่อนมีนักเรียนมากมายรวมถึงนักท่องเที่ยวที่ได้ยินชื่อเสียงก็มาที่นี่ แต่วันนี้กลับเงียบเชียบเป็นอย่างมาก ไม่มีใครเดินไปเดินมาโดยสิ้นเชิง
กลุ่มคนรวมตัวกันทั้งหมดที่สนามกีฬา ได้ยินเสียงดนตรีได้อย่างเลือนราง
“ดูเหมือนวันนี้โรงเรียนจะจัดกิจกรรมอะไรสักอย่างนะ”
ถังเฉามองไปตามเสียง เห็นเพียงคนไปรวมตัวกันอย่างหนาแน่นที่สนามกีฬา ดูเหมือนจะจัดพิธีอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่
ฮึ่ม ๆ ๆ!
ในตอนนี้เอง ตรงประตูโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลก็มีรถยนต์หรูที่มีมูลค่าไม่น้อยหลายคันขับเข้ามาอย่างฉับพลัน ไลน์ดริฟต์ที่สวยงาม รถยนต์ค่อย ๆ จอดอยู่ในโรงจอดรถอย่างมั่นคง
รถยนต์เหล่านี้มีรถสปอร์ต และมีรถอเนกประสงค์ แต่ก็มีจุดร่วมที่เหมือนกันนั่นก็คือมีชื่อเสียงและล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง แค่มองดูก็รู้ว่าต้องเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จึงจะขับรถพวกนี้ได้
ประตูรถเปิดออก ชายหญิงที่สวมชุดแวววาว สวมเครื่องประดับราคาแพงหลายคนเดินลงมา บ้างก็พูดบ้างก็ยิ้ม
พวกเขาเดินเข้าไปในสวมหย่อมใบเมเปิ้ล หัวข้อสนทนาไม่ใช่หุ้นก็เป็นธุรกิจ
“ที่แท้พวกเธอก็ได้รับเชิญเหมือนกันหรือ? ดีจริง ๆ ฉันยังคิดว่าคนที่ได้รับเชิญมีไม่มากเสียอีก?”
“ฮ่า ๆ นี่หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่ารุ่นที่พวกเราจบมานั้นไปได้ดี! ได้ดีกว่าคนอื่นอยู่มากโข สามารถใช้โฆษณาให้กับโรงเรียนได้ดีมาก!”
“ไปกัน ๆ ปาฐกถาใกล้จะเริ่มแล้ว”
“…”
พวกเขามีทั้งที่พูดกันและหัวเราะกันเดินเข้ามา ตอนที่กำลังจะเร่งจังหวะฝีเท้าเร่งไปทางสนามกีฬานั้น ทันใดนั้นก็มองเห็นถังเฉากับหลินฉ่ายเวยที่อยู่ข้างหน้า ก็อึ้งไปในทันใด
“พวกเธอคือ…”
“ถังเฉา!”
“หลินฉ่ายเวย!”
คนเหล่านี้มองพิจารณาถังเฉากับหลินฉ่ายเวยหลายครั้ง ทันใดนั้นก็จำพวกเธอได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์
“ต่งเฟย หลิวเซียน หวางเหวินหย่า เป็นพวกเธอ?”
หลินฉ่ายเวยเองก็จำคนเหล่านี้ได้ ทันใดนั้นก็ประหลาดใจนิดหน่อย
ได้ยินชื่อที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยเหล่านี้แล้ว ถังเฉาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าคนพวกนี้ไม่ใช่เพื่อนร่วมห้องในสมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่หรอกหรือ?”
แป๊บเดียวก็ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว พวกเขาก็ไปได้ดีกันมาจนอยู่เหนือคนอื่น ๆ ได้
“ฮ่า ๆ เป็นพวกเราเอง ฉ่ายเวย พวกเราไม่ได้เจอกันเป็นสิบปีแล้วสินะ? นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอพวกเธอที่นี่ เป็นพรหมลิขิตจริง ๆ”
หลิวเซียนดัดผมเป็นลอนเซ็กซี่ สวมชุดทำงานสีขาวทั้งชุด ในมือถือโน๊ตบุ๊คคุณภาพสูงขนาดพกพาเครื่องหนึ่ง ในหน้าจอสะท้อนภาพแนวโน้มหุ้นสีเขียวแดง
“ฉ่ายเวย เธอเองก็เหมือนกันนะ อยู่ดี ๆ ออกจากกลุ่มห้องพวกเราในวีแชททำไมล่ะ?”
ผู้หญิงใบหน้างดงามคนหนึ่งที่สวมแก้วแหวนเงินทองอยู่ข้าง ๆ คนหนึ่งพูดแล้ว ถึงแม้ว่าจะใช้น้ำเสียงสนิทสนมมาก ๆ พูดอยู่ แต่ว่าคำพูดที่พูดออกมาก็ยังทำให้หลินฉ่ายเวยรู้สึกไม่ผ่อนคลาย
หวางเหวินหย่า เป็นสาวสังคมในชั้นเรียน แต่งงานกับเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์คนหนึ่ง
หลินฉ่ายเวยอยากจะหันหลังกลับมา แต่ก็ติดอยู่ที่เพื่อนร่วมห้อง ทำได้เพียงยิ้มให้
“ช่วงก่อนหน้านี้งานยุ่ง ไม่มีเวลาเข้าสังคม ฉันออกจากทุกกลุ่มแล้ว”
หลินฉ่ายเวยพูดอธิบาย
“ถึงอย่างนั้นก็ห้ามออกจากกลุ่มห้องเรียนของพวกเรานะ แต่ฟังความหมายของเธอแล้ว ดูเหมือนว่าช่วงนี้จะไปได้ดีเลยนี่?”
คนไม่น้อยล้วนแต่รุมล้อมกันเข้ามา
“ฉ่ายเวย นี่คงไม่ใช่แฟนของเธอใช่ไหม? ฉันยังนึกว่าเป็นคนขับรถของเธอแหนะ?”
ทักทายอยู่พักหนึ่ง สายตาของหวางเหวินหย่าก็ทอดลงบนร่างกายของถังเฉา ทำเป็นประหลาดใจพลางพูดขึ้น
“ไม่ใช่… เขาคือถังเฉา”
หลินฉ่ายเวยปาดเหงื่อเย็นบนศีรษะ อธิบายอย่างขัดเขิน
ไหนเลยจะรู้ว่าพูดแบบนี้แล้ว เหล่าเพื่อนเก่าโดยรวมก็มีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างใหญ่หลวง
“ถังเฉา? คงไม่ใช่ถังเฉา ลูกเลี้ยงของตระกูลหลินของพวกเธอคนนั้นหรอกนะ?”
“โอ้ว เป็นเขาจริง ๆ… พวกเธอคงไม่ได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ หรอกใช่ไหม? พระเจ้า?”
พวกผู้หญิงพูดกันเจี๊ยวจ๊าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
บนใบหน้าของหวางเหวินหย่ามีรอยยิ้ม แต่ว่ารอยยิ้มแบบนั้นบนใบหน้าเสียดสีเป็นอย่างยิ่ง
“ฉ่ายเวย ไม่ใช่ว่าฉันว่าเธอนะ การแต่งงานของผู้หญิงก็คือการเกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง ทำไมเธอถึงได้เอาลูกเลี้ยงที่มีฐานะต่ำต้อยของตระกูลของพวกเธอคนนั้นกันล่ะ? ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด”
“ใช่ เมื่อก่อนตงเฟยของพวกเราชอบเธอมากเลยนะ ยังไม่เสียดายที่ทิ้งแฟนในตอนนั้นไป เธอชื่ออะไรนะ…”
“หวังวี่ วันก่อตั้งโรงเรียนครั้งนี้ดูเหมือนเธอจะไม่ได้มา”
“เธอไม่ได้เป็นซูเปอร์ไวเซอร์ในลี่จิงกรุ๊ปหรอกหรือ? ไปได้ดีขนาดนั้น นึกไม่ถึงว่าจะไม่ได้รับเชิญ?”
“…”
พวกผู้หญิงรู้สึกประหลาดใจต่อการไม่ได้มาของหวังวี่มาก
สายตาของถังเฉาประหลาดใจอยู่บ้าง มองไปยังหลินฉ่ายเวย
สีหน้าของหลินฉ่ายเวยอึดอัด กดเสียงต่ำอธิบายว่า “หวังวี่ คนที่ถูกนายไล่ออกจากซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายบุคคล แฟนสมัยเรียนของเธอก็คือต่งเฟย”
ว่าแล้วสายตาของหลินฉ่ายเวยก็มองไปยังชายหนุ่มรูปงามที่ไม่พูดไม่จาตั้งแต่ต้นจนจบที่ยืนอยู่ตรง
ตอนนี้ถังเฉาจึงได้คิดออก เมื่อก่อนเขาเคยไล่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อหวังวี่ออก”
หวังวี่มองหลินฉ่ายเวยไม่น่ามองเป็นอย่างมาก เหตุผลส่วนใหญ่ก็คือแฟนเมื่อตอนสมัยเรียนทิ้งเธอไปจีบหลินฉ่ายเวย โกรธแค้นอยู่ในใจ
นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ชายคนนี้
ต่งเฟยยิ้มพลางเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าของหลินฉ่ายเวย เอ่ยว่า “ฉ่ายเวย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ
พวกเธอก็ถูกเชิญมาเป็นแขกผู้มีเกียรติที่เป็นนักเรียนดีเด่นที่จบไปแล้วขึ้นกล่าวสุนทรพจน์งานวันสถาปนาโรงเรียนเหมือนกันหรือ?”