ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 61-1 อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยา
“อาหลี ระวัง!”
ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเอง อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาดังขึ้น จนทำให้เยี่ยหลีตกใจหันไปมอง ก็เห็นลูกธนูเหล็กกำลังพุ่งตรงมาที่นาง เยี่ยหลีขว้างกริชในมือออกไปทันที เมื่อเห็นมีเงาคนขยับ ก็มีร่างร่างหนึ่งพุ่งมาผลักนางลงกับพื้น
“ม่อ…ซิวเหยา…” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกด้วยความไม่มั่นใจ ยกมือขึ้นประคองแผ่นหลังของม่อซิวเหยา แล้วก็รู้สึกว่ามีบางอย่างซึมออกมา
ม่อซิวเหยาล้มลงข้างกายเยี่ยหลีอย่างหมดแรง พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร…”
“ท่านอ๋อง!” อาจิ่นรีบเข้ามาประคองม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว ใบหน้าซีดขาว “ข้าไม่เป็นไร ลองดูว่ายังมีใครรอดชีวิตอยู่หรือไม่”
เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งมองไปข้างหน้า คนที่ยิงลูกธนูเหล็กเมื่อครู่ร่วงลงมานอนตายอยู่ที่พื้น หน้าอกมีกริชของนางปักอยู่ และคนนี้เอง…เป็นคนที่เยี่ยหลีจัดการจนสลบไป ไม่รู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร เยี่ยหลียิ้มขื่นๆ ในใจ นี่นางห่างหายจากสนามรบไปนานเสียจนลืมไปแล้วหรือว่าอะไรที่เรียกว่าไม่ประมาท นางถึงขั้นปล่อยให้คนรอดชีวิตอยู่ได้ตั้งหลายคนในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่…อันที่จริงนอกจากคนสุดท้ายคนนี้แล้ว นางไม่ได้ทำให้ใครตายเลยสักคน หากคนเหล่านั้นฟื้นขึ้นมาได้…นางอดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้
มือใหญ่อุ่นๆ วางลงบนมือของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยามองหน้านางแล้วยิ้มน้อยๆ “อาหลี ข้าไม่เป็นไร”
เยี่ยหลีกัดริมฝีปาก พูดเสียงดุว่า “บาดเจ็บแล้วยังว่าไม่เป็นอะไรอีกหรือ เช่นนั้นแล้วต้องอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นอะไร” นางให้อาจิ่นประคองม่อซิวเหยาไว้ เยี่ยหลีดึงกริชของตนกลับมาเช็ดทำความสะอาด จากนั้นพลิกดูเสื้อด้านหลังเขาเห็นว่าเลือดที่ออกมาสีดูปกติดี ลูกธนูนั้นคงไม่ได้อาบยาพิษไว้ จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ได้ยินเสียงม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงต่ำๆ ว่า “ไม่ตายก็ถือว่าไม่เป็นอะไร”
เยี่ยหลีกัดฟัน โบกมือให้อาจิ่นและองครักษ์อีกคนมานำตัวเขากลับสำนักชีอู๋เย่ว์ ไม่ต้องรอให้นางสั่ง ก็มีองครักษ์คนหนึ่งกระโดดลอยขึ้นไป คงไปเชิญท่านหมอมาเป็นแน่
เมื่อกลับไปถึงสำนักชีอู๋เย่ว์ ก็เป็นอย่างที่ม่อซิวเหยาบอกไว้ ในสำนักชีอู๋เย่ว์ไม่มีนักฆ่าเข้ามาโจมตีจริงๆ เมื่อเวินซื่อทราบข่าว นางก็ออกมารอพวกเขาที่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นคนกลุ่มหนึ่งกลับมาก็รีบเข้ามาพาพวกเขาไปยังห้องพักแขกที่จัดเตรียมไว้ ถึงแม้อาการบาดเจ็บของม่อซิวเหยาดูจะไม่สาหัสมาก แต่เยี่ยหลีสังเกตดูแล้วว่าธนูเหล็กดอกนั้นมีตะขออยู่ด้วย ตอนเอาลูกธนูออกคงจะมีเลือดทะลักออกมามากพอดูทีเดียว เยี่ยหลีกลัวว่าจะทำให้เวินซื่อตกใจ จึงได้เชิญให้เวินซื่อกลับไปพักผ่อนที่ห้องเสียก่อน เวินซื่อมองหน้านางก่อนที่จะออกไปเตรียมอาหารให้พวกเขาด้วยสีหน้าไม่วางใจ
ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนเตียง ขมวดคิ้วเป็นพักๆ เพราะบาดแผลที่หลัง เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า “เจ็บมากหรือ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”
ม่อซิวเหยาฝืนยิ้ม “หมอมาแล้วก็เพียงเอาลูกธนูออกเท่านั้น ให้อาจิ่นจัดการเลยเถิด เขาน่าจะคล่องแคล่วกว่าหมอเสียอีก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว หันหน้าไปมองอาจิ่น “เขาเอาลูกธนูออกเป็นหรือ ลูกธนูเหล็กดอกนั้นมีตะขออยู่ด้วยนะ” หากเป็นลูกธนูทั่วไปและไม่ได้ปักเข้าที่ส่วนสำคัญ ดึงออกมาธรรมดาก็ได้แล้ว แต่ลูกธนูที่มีตะขออยู่ด้วยนั้นดึงออกยากนัก หากฝืนดึงออกมา เกรงว่าคงกระชากเนื้อติดออกมาด้วยชิ้นใหญ่เป็นแน่ อาจิ่นส่ายหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ม่อซิวเหยาไม่สนใจ “หากยิงทะลุไปเลยคงประหยัดเวลาไปมาก”
เยี่ยหลีมองเขานิ่ง อดที่จะพูดประชดออกไปไม่ได้ “หากยิงทะลุต่ำไปสักสองชุ่น[1] คงได้ประหยัดเวลาไปได้จริงๆ”
“อาหลี…เจ้าโกรธหรือ” ม่อซิวเหยาถอนใจ มองนางด้วยสายตาอบอุ่นประหนึ่งคนที่ถูกลูกธนูปักเข้าที่หลังไม่ใช่เขาเสียอย่างนั้น
“ข้า! …” เยี่ยหลีก้มหน้าลงอย่างหัวเสีย ครู่ใหญ่จึงจะสงบลงได้ “ขอโทษด้วย ข้ากำลังโกรธตัวเองอยู่” หากไม่ใช่เพราะนางประมาทศัตรูเกินไป หากนางไม่ได้กำลังคิดอะไรจนเหม่อลอย ม่อซิวเหยาคงไม่บาดเจ็บ นางใช้ชีวิตที่สงบสุขเกินไปมาหลายปี จนทำให้ความระแวดระวังของนางลดถอยลง หากอยู่ในสนามรบอย่างเมื่อก่อน นางคงได้ตายไปสักสิบเจ็ดสิบแปดรอบแล้ว
แล้วท่านหมอก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เพราะถูกคนยกคอเสื้อลากเข้ามา หมอคนนี้ดูจะมีความกล้าอยู่หลายส่วน โดนหิ้วคอเสื้อรีบวิ่งมาตลอดทางเช่นนี้แล้วเมื่อถูกปล่อยตัวลงกับพื้นยังเข้ามาตรวจบาดแผลม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิด เมื่อดูแผลเสร็จแล้ว หมอยังได้หยิบเอาลูกธนูเหล็กที่เยี่ยหลีเก็บกลับมาดูอยู่พักใหญ่ ก่อนพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้าจะใช้มีดเปิดปากแผลให้กว้างขึ้นแล้วค่อยดึงออกมา หรือไม่ก็…แทงลงไปอีกหน่อยแล้วดึงออกทางข้างหน้า พวกท่านเห็นว่า…”
“อย่างหลังก็แล้วกัน”
“ดึงออกทางข้างหน้า”
เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาพูดขึ้นพร้อมกัน พูดจบยังอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองอีกฝ่าย เยี่ยหลีเลื่อนสายตากลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเอ่ยถามว่า “ท่านหมอ ท่านเห็นว่าอย่างไร” ท่านหมอพยักหน้าด้วยความพอใจ “ทั้งสองท่านเลือกได้หลักแหลมนัก การเอาธนูออกด้วยวิธีนี้ ถึงจะฟังดูเจ็บมาก แต่ก็เจ็บเพียงแค่ตอนนั้น แต่การใช้มีดค่อยๆ กรีดเนื้อกลับจะค่อยๆ ทรมาน อีกทั้งยังหายช้าอีกด้วย”
“ท่านหมอดูจะเชี่ยวชาญกับบาดแผลจากธนูเช่นนี้” เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้น ระหว่างที่ประคองม่อซิวเหยาง นางก็มองท่านหมอที่เตรียมพร้อมอย่างคล่องแคล่วไปด้วย
ท่านหมอตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองว่า “แต่ก่อนข้าเป็นหมอทหาร”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
ท่านหมอทำความสะอาดปลายลูกธนู จากนั้นจึงได้จับปลายธนูไว้มั่นก่อนดันไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นร่างของม่อซิวเหยาแข็งเกร็งขึ้น มือข้างหนึ่งจับแขนของเยี่ยหลีไว้แน่น เยี่ยหลีประคองเขาไว้โดยไม่ได้พูดอะไร มองท่านหมอใช้เชือกที่มัดไว้เป็นปมเกี่ยวเข้าส่วนหัวของธนูที่โผล่พ้นออกมาพร้อมกับตะขอแล้วจึงออกแรงดึง ลูกธนูเหล็กทั้งดอกก็หลุดออกจากหน้าอกของม่อซิวเหยาพร้อมกับเลือดจำนวนหนึ่งกระเด็นตามออกมา ท่านหมอรับสุราที่มาทำความสะอาดแผลให้เขา จากนั้นจึงทายาพร้อมกับนำผ้าขาวมาพันแผลให้เขาอย่างชำนาญ เสร็จแล้วจึงเงยหน้าขึ้นซับเหงื่อที่หน้าผาก “เสร็จแล้ว ไม่ได้ถูกส่วนที่เป็นอันตราย และไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก ใส่ยาใหม่วันละครั้ง แล้วรักษาตัวให้ดีก็เป็นอันใช้ได้แล้ว”
เยี่ยหลีมองอ่างน้ำที่แดงด้วยสีเลือด แล้วยังมีผ้าสีขาวที่เต็มไปด้วยเลือดอีกกองใหญ่ “ต้องกินยาอะไรหรือไม่ อย่างพวกยาบำรุงเลือด”
ท่านหมอเบ้ปากอย่างดูแคลน “ท่านอ๋องอายุยังน้อย สุขภาพก็ไม่แย่ พักผ่อนให้ดีเป็นใช้ได้ แต่หากพระชายาไม่วางใจจริงๆ จะตุ๋นน้ำแกงซื่ออู้ทัง[2] น้ำแกงตังกุยบำรุงเลือด หรือพวกน้ำแกงพุทราแดงก็ได้” เยี่ยหลีมองใบสั่งยาใช้ภายนอกพร้อมท่านหมอที่กอดกระเป๋ายา เยี่ยหลีก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ทำไมนางถึงรู้สึกว่าน้ำแกงที่ท่านหมอพูดถึงนั้นดูเป็นน้ำแกงที่ให้ผู้หญิงกินเสียมากกว่า “ท่านหมอท่านนี้…ดูมีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”
ม่อซิวเหยายิ้ม “นั่นเป็นหมอประจำตำหนักของเรา เมื่อก่อนเป็นหมอทหารประจำหน่วยเฮยอวิ๋นฉี”
ม่อซิวเหยาบาดเจ็บ เวินซื่อจึงให้ทั้งสองพักฟื้นอยู่ที่สำนักชีอู๋เย่ว์ก่อน ค่อยยังชั่วแล้วค่อยกลับเมืองหลวง แต่กลับถูกม่อซิวเหยาปฏิเสธ เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร ในเมื่อนักฆ่าพวกนั้นกล้าลอบสังหารม่อซิวเหยาอย่างอุกอาจทั้งๆ ที่อยู่ใกล้เมืองหลวงเพียงเท่านี้ได้ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่ล้มเลิกเพียงเพราะความล้มเหลวในครั้งนี้ เวินซื่อเองก็ลตัดสินใจที่จะละทิ้งทางโลกไปแล้ว หากพวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไป รังแต่จะนำพาอันตรายมาให้นางเปล่าๆ จนเมื่อองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องมาถึง ม่อซิวเหยาจึงสั่งให้ทิ้งคนจำนวนหนึ่งไว้คอยอารักขาเวินซื่อ แล้วจึงได้พาอาหลีกลับเมืองหลวง
เรื่องที่ท่านติ้งอ๋องถูกโจมตีจนบาดเจ็บใกล้เมืองหลวงนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะสั่งให้คนปิดข่าวนี้ไว้ เมื่อพวกเขากลับถึงเมืองหลวง บรรดาผู้มียศศักดิ์ในเมืองหลวงดูจะยังไม่รู้ว่าม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างไรม่อซิวเหยาก็ไม่ต้องไปราชการทุกวันเหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว อย่างไรเขาก็ว่างอยู่ ถือโอกาสพักฟื้นอยู่ที่ตำหนักเสียเลย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไรดี เมื่อกลับถึงตำหนักมาได้ไม่เท่าไร ซุนหมัวมัวก็อาศัยข้ออ้างที่ว่าม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บต้องมีคนคอยดูแลใกล้ชิด จับม่อซิวเหยาส่งเข้ามาอยู่ที่เรือนของเยี่ยหลีเสียอย่างนั้น แน่นอนว่าหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวรวมถึงหัวหน้าพ่อบ้านม่อต่างเห็นดีด้วย สั่งการให้บ่าวขนข้าวของของม่อซิวเหยาไปห้องใหม่ด้วยความยินดี ท่าทางตื่นเต้นยินดีนั้น ดูเหมือนจะลืมเรื่องที่เจ้านายของตนถูกลอบสังหารจนบาดเจ็บหนักไปเสียสนิท
ด้วยความพยายามอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนทั้งตำหนัก ทำให้เยี่ยหลีต้องจำใจรับหน้าที่ใส่ยาให้ม่อซิวเหยาทุกวัน ถึงแม้เยี่ยหลีเคยเป็นทหารที่เห็นการบาดเจ็บและการตายมามาก แต่เมื่อได้เห็นบาดแผลบนตัวของม่อซิวเหยาแล้ว ก็ยังรู้สึกหวาดเสียวอยู่ดี ไม่เพียงบาดแผลบริเวณหน้าอกและแผ่นหลังเท่านั้น แต่ยังมีรอยแผลจากกระบี่ และรอยแผลอื่นๆ อีกเต็มไปหมด ทำให้คนยากที่จะนำร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลนี้รวมเข้ากับภาพลักษณ์คุณชายผู้แสนสุภาพของม่อซิวเหยาได้ บัดนี้เยี่ยหลีเข้าใจแล้วว่า ที่ม่อซิวเหยาพูดว่า “ไม่ตายก็ถือว่าไม่เป็นอะไร” นั้น หมายความว่าอย่างไร คนที่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนั้นแล้วยังสามารถรอดชีวิตมาได้ ย่อมเคยผ่านเหตุการณ์เหมือนตายแล้วเกิดใหม่มาอย่างที่คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้เป็นแน่ ทุกครั้งที่นางมาใส่ยาให้แล้วเห็นเขาส่งยิ้มให้นางอย่างสงบเช่นนี้ ในใจเยี่ยหลีอดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นไม่ได้ แต่นางไม่ใช่คนที่ชอบคิดยอกย้อน จึงรีบสรุปว่าที่นางรู้สึกแปลกๆ เช่นนี้เป็นเพราะม่อซิวเหยาต้องบาดเจ็บก็เพราะนาง พร้อมทั้งพยายามที่จะชดเชยและแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว
[1] ชุ่น หน่วยนิ้วของจีน หรือประมาณ 3.3 เซนติเมตร
[2] ซื่ออู้ทัง ต้นตำรับยาบำรุงเลือดของจีน