ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 65-3 งานแต่งงานที่จบลงด้วยความล้มเหลว
เยี่ยหลีนวดหน้าผากอย่างคิดไม่ตก ก่อนถามขึ้นด้วยความสิ้นหวังว่า “จะต้องเกิดสงครามขึ้นแน่หรือ”
“ไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น” ม่อซิวเหยาถอนใจเบาๆ “ต้าฉู่กดแคว้นอื่นๆ ไว้นานเกินไปแล้ว เกือบทุกคนต่างพากันเฝ้ารอวันที่ต้าฉู่จะล่มสลาย ส่วนพวกเรา…ดูเหมือนจะเคยชินเสียแล้วกับความคิดที่ว่าตนนั้นแข็งแกร่งที่สุด” อันที่จริงหากเขาไม่พ่ายแพ้อย่างเมื่อเจ็ดปีก่อน แม้แต่เขาเองก็คงคิดเช่นนั้นเช่นกัน แต่เมื่อเขาได้พาร่างอันบอบช้ำพร้อมเถ้ากระดูกของพี่ชายและกองทหารฝีมือดีของตระกูลม่อที่ล้มตายไปกว่าครึ่งออกมาจากสนามรบ ถึงได้รู้ว่า ความทระนงตนของตนก่อนหน้านี้ช่างน่าขันนัก ไม่ว่าแคว้นซีหลิงหรือเป่ยหรง อาจสู้ต้าฉู่ไม่ได้ก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งกาจกว่าพวกเขาขนาดนั้น กองทัพตระกูงม่อและหน่วยเมฆาทมิฬที่เคยกวาดล้างดินแดนทั่วหล้ามาแล้วนั้น ใช้ซากศพของพวกเขาหลายแสนคนในการพิสูจน์เรื่องนี้ “อาหลี…ตำหนักติ้งอ๋องเป็นคนทำลายต้าฉู่…” ผ่านไปครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาจึงได้พูดประโยคนี้ขึ้นมาเบาๆ หากไม่ใช่เพราะตำหนักติ้งอ๋องแสดงความแข็งแกร่งของตนออกมามากเกินไป ต้าฉู่อาจมีแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่และทหารที่เก่งกาจมากกว่านี้ หากไม่มีทหารตระกูลม่อคอยปกป้องชายแดนมาเป็นร้อยปี ในสถานการณ์คับขัน ต้าฉู่อาจจะไปได้ไกลกว่านี้
เยี่ยหลีนิ่งเงียบไปไม่ได้พูดอะไร นางไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด มีใครบ้างที่สามารถปกป้องต้าฉู่จากรุ่นต่อรุ่นมาได้เป็นร้อยปีด้วยความภักดีอย่างตำหนักติ้งอ๋องบ้าง พวกเขาทำผิดหรือ ย่อมไม่ใช่ เช่นนั้นเป็นคนที่พวกเขาปกป้องหรือที่ผิด ก็ย่อมไม่ใช่ เพราะพวกเขาต่างไม่รู้อะไรเลย ครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงได้เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “พวกท่านไม่ผิดหรอก จะผิดก็ที่ใจคน” ไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ที่จะมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญที่เท่าเทียมกัน และไม่ใช่ฮ่องเต้ทุกพระองค์ที่จะมีความสามารถและบารมีมากพอที่จะให้ทั่วหล้าสวามิภักดิ์ได้ เมื่อในสายตาฮ่องเต้เห็นว่าขุนนางไม่ใช่คนที่คอยช่วยเหลือค้ำจุนตนเอง แค่เห็นว่าเป็นภัยร้ายนั้น ความเก่งกาจและสามารถของขุนนางนั้นจะกลายเป็นความท้าทายและภัยร้ายของพระองค์ทันที
เมื่อได้ยินสิ่งที่เยี่ยหลีพูดแล้ว ม่อซิวเหยาเหม่อมองเยี่ยหลีอยู่เป็นนาน ก่อนจะยิ้มบางๆ ออกมา “ขอโทษด้วยอาหลี ข้าพูดเรื่องพวกนี้ทำให้เจ้าตกใจหรือไม่”
เยี่ยหลีกวาดตามองเขาอย่างสุขุม นางเป็นคนขวัญอ่อนเช่นนั้นเชียวหรือ ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “จะมาทุกข์ใจด้วยเรื่องพวกนี้เอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สู้อาหลีลองเดาดูดีกว่าว่าเรื่องทางตำหนักหลีอ๋องจะจัดการอย่างไร”
เยี่ยหลียักไหล่อย่างเบื่อหน่าย “จะจัดการอย่างไรได้ ฮ่องเต้บันดาลโทสะสั่งประหารองค์หญิงซีสยาแล้วลดขั้นหลีอ๋อง หรือไม่พอท่านอ๋องผู้เฒ่าทั้งหลายเอ่ยโน้มน้าวใจฝ่าบาทได้แล้ว ก็สั่งให้ขังองค์หญิงซีสยาไว้พร้อมลงโทษสถานเบา หรือไม่อีกที…เปลี่ยนฐานะองค์หญิงซีสยาแล้วให้แต่งเข้าตำหนักหลีอ๋อง” เยี่ยหลีรู้สึกว่าไทเฮาผู้เป็นมารดานั้นยอมรับองค์หญิงซีสยาได้เร็วเกินไป นางกำลังจะเป็นพระสนมของบุตรชายคนโตในอนาคตแต่กลับมีสัมพันธ์กับบุตรชายคนรอง แต่พระนางกลับด่าว่าเพียงไม่กี่ประโยคก็เริ่มคิดหากทางให้รับนางเข้าตำหนักเสียแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้คำนึงถึงท่าทีของฝ่าบาทเลยแม้แต่น้อย หากเป็นมารดาของคนในยุคนี้ เกรงว่าคงได้จัดการเอาชีวิตผู้หญิงที่อาจทำให้เกิดกำแพงระหว่างลูกชายทั้งสองของตนเสียก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันเสียแล้ว
“อาหลีคิดว่าแบบใดเป็นไปได้มากกว่ากันหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
เยี่ยหลีคิดเล็กน้อย “แบบที่สาม” นางพูดพร้อมขมวดคิ้ว เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นเพราะถูกผู้อื่นเล่นงานก็ว่าต้องการที่จะเล่นงานผู้อื่นกันแน่ ดูท่า…ม่อจิ่งหลีคงจะต้องใช้สมองไตร่ตรองให้ดีเสียแล้ว หรือว่าจะเป็นสมองของคนที่อยู่เบื้องหลังเขาอีกทีกันแน่นะ
“อาหลี ต่อไปนี้เจ้าอยู่ห่างม่อจิ่งหลีไว้หน่อยเถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยเตือน เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างเหม่อลอย ในหัวกำลังคิดคำถามเมื่อสักครู่อยู่ “องค์หญิงจากแคว้นหนานจ้าวมีประโยชน์อย่างไรกับม่อจิ่งหลีหรือ”
ม่อซิวเหยาดูเหมือนอึ้งไปเล็กน้อย หันมองเยี่ยหลีก่อนยิ้มน้อยๆ “นางเป็นน้องสาวแท้ๆ ของบุตรสาวรัชทายาทแคว้นหนานจ้าว ย่อมมีประโยชน์กว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นมากนัก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปอีก “หากม่อจิ่งหลีมีสมองคิดการเช่นนั้นจริง มีหรือที่ข้าจะด้อยกว่าเยี่ยอิ๋งถึงเพียงนั้น”
ม่อซิวเหยาดูจะหัวเราะอย่างเป็นสุขมากกว่าเดิม “เชื่อข้าเถิด หากม่อจิ่งหลีมีสมองจริง เขาคงยอมที่จะแต่งงานกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นเสียดีกว่าแต่งงานกับเจ้า”
เยี่ยหลีหน้าบึ้งลงทันที นี่นางถูกคนรังเกียจจนกลายเป็นอะไรไปแล้วนี่
“เพียงแต่…แผนการณ์ที่พวกเขาคิดไว้คงจะผิดทั้งหมด ม่อจิ่งฉีคนนี้…ดูเหมือนจะไม่เคยทิ้งไพ่ตามกฎมาก่อน” ถึงแม้ฮ่องเต้องค์นี้จะไม่ได้วางกลยุทธ์เก่งกาจดังที่ตัวเขาคิด แต่ไพ่สังหารที่เขาทิ้งลงมาเป็นครั้งคราวนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับได้
ดังนั้น เมื่อพวกเขากลับถึงตำหนัก ก็มีข่าวจากในวังแพร่ออกมาว่า…องค์หญิงซีสยาป่วยจนถึงแก่ชีวิต แน่นอนว่า อีกสองสามวันข่าวนี้จึงจะถูกปล่อยออกมา เพราะถึงแม้ฮูหยินของขุนนางใหญ่จะรู้เรื่องนี้ก่อนและต่างก็รู้กันดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพียงแต่ยังต้องคิดหาข้ออ้างมาหลอกประชาชนทั่วไปอยู่ดี วันนี้ที่ตำหนักหลีอ๋องเกิดเรื่องขึ้น องค์หญิงซีสยาก็มาสิ้นชีพลงในวันนั้น ขอเพียงไม่ใช่คนหัวทึบก็สามารถนำเรื่องสองเรื่องนี้มาผูกกันเป็นเรื่องเป็นราวได้ แล้วเรื่องการแต่งงานระหว่างหลีอ๋องกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นนั้นเล่า ในเมื่อในวังหลวงไม่มีท่าทีอะไร เช่นนั้นทุกคนก็ยินดีที่จะทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ฝ่าบาทไม่ได้พระราชทานงานสมรสนี้ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยนำของขวัญไปให้ที่ตำหนักหลีอ๋อง ถึงอย่างไรตอนที่หลีอ๋องจะแต่งงานกับองค์หญิงซีสยาอีกครั้ง พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องนำของขวัญไปให้อีกแล้ว ถือเสียว่าส่งไปให้ล่วงหน้าก็แล้วกัน
ในวังหลวง ภายในตำหนักที่ตกแต่งอย่างหรูหราและดูเย็นเยียบนั้น ม่อจิ่งฉีกำลังระบายโทสะร้อนในใจตนออกมา นางในและขันทีทั้งหลายต่างหลบกันออกไปด้วยความตกใจหมดแล้ว คนที่หลบออกไปไม่ได้ก็ทำได้เพียงยืนตัวลีบตัวสั่นหลบมุมอยู่เท่านั้น ภาพวาดและภาพเขียนอักษรโบราณต่างๆ ถูกฉีกทิ้งไม่เหลือชิ้นดี บนโต๊ะอันวิจิตรงดงามที่มีข้าวของวางอยู่ ก็ถูกถีบเสียจนข้าวของกระจุยกระจายไปหมด หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้สลักสลายข้างๆ ด้วยแววตาเยือกเย็น มองบุรุษที่กำลังบ้าคลั่งด้วยสายตาเรียบเฉย มีเด็กสาวคนหนึ่งในชุดและเครื่องประดับหรูหรา อายุประมาณเจ็ดแปดขวบ กำลังจ้องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสายตาตื่นตระหนกในอ้อมกอดของนาง ดูเหมือนจะถูกทำให้ตกใจกลัวจนอึ้งไป แม้แต่ร้องไห้ก็ยังไม่กล้าส่งเสียงออกมา
หลิ่วกุ้ยเฟยยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาเด็กคนนั้นไว้ ก่อนมองไปทางบุรุษที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ในตำหนัก “ฝ่าบาทพอได้แล้วหรือยังเพคะ”
ม่อจิ่งฉีอึ้งไป ก่อนค่อยๆ หยุดมือลงแล้วหันมองใบหน้าอันงดงามที่เยือกเย็นประดุจหิมะของหลิ่วกุ้ยเฟย ในดวงตาที่มืดครึ้มฉายแววดุร้าย
“ใครก็ได้ มาพาตัวองค์หญิงออกไปที” หลิ่วกุ้ยเฟยออกคำนสั่ง บรรดานางกำนัลที่คุกเข่าอยู่มุมหนึ่งเหมือนได้ยินเสียงสวรรค์ รีบลุกขึ้นมาพาตัวเด็กหญิงที่ตกใจจนนิ่งไปมาจากหลิ่วกุ้ยเฟย ก่อนพาเดินออกไปด้วยกายที่สั่นระริก
“สนมรัก เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือ” น้ำเสียงของม่อจิ่งฉีไม่เหลือความห้าวหาญอย่างเวลาอยู่ในท้องพระโรงอยู่เลย แต่กลับเต็มไปด้วยความมืดครึ้มและความเกลีดยชัง
หลิ่วกุ้ยเฟยเหลือบสายตาขึ้นมองเขา “ฝ่าบาทอยากให้หม่อมฉันพูดอะไรหรือเพคะ”
“เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าในใจใช่หรือไม่” ม่อจิ่งฉีคว้าคางได้รูปของหลิ่วกุ้ยเฟยไว้มั่น ก่อนเอ่ยกระซิบเสียงต่ำที่ข้างหู เสียงกระซิบอันเรียบเย็นประหนึ่งงูกำลังพ่นพิษอย่างไรอย่างนั้น “ข้ารู้ เจ้าก็เหมือนกับคนอื่นๆ! ไม่…เจ้าดูถูกข้าเสียยิ่งกว่าพวกมันอีกใช่หรือไม่ เห็นคนอื่นเป็นปฏิปักษ์กับข้า ในใจเจ้านึกยินดีใช่หรือไม่”
“ฝ่าบาทว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเพคะ” หลิ่วกุ้ยเฟยพูดขึ้นเรียบๆ
เพียะ! ม่อจิ่งฉีสะบัดมือตบเข้าที่ใบหน้าอันงดงามประหนึ่งหยกของหลิ่วกุ้ยเฟยทันที ใบหน้านางปรากฏรอยแดงรูปฝ่ามือขึ้นทันที หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้น มองสบตาเขานิ่งๆ ม่อจิ่งฉีอึ้งไป “ฉางเอ๋อร์…” เขาตะลึงมองรอยแดงบนใบหน้าของหลิ่วกุ้ยเฟย ม่อจิ่งฉียื่นมือออกไปหมายจะลูบรอยนั้นด้วยความสงสาร “ฉางเอ๋อร์…ข้าไม่ดีเอง ข้าไม่ควรตบเจ้า…เจ็บหรือไม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังข้า…ไม่มีเรื่องอะไรก็มักหาเรื่องข้าเสมอ! เหตุใดจึงต้องคอยยุ่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ เหตุใดจึงต้องข่มขู่ข้า ข้าเกลีดยการที่ถูกคนอื่นข่มขู่ที่สุด!” ยิ่งพูดม่อจิ่งฉียิ่งดูร้อนใจ ก่อนลืมความรู้สึกสงสารเมื่อครู่ไปอย่างรวดเร็ว สองมือยกขึ้นจับหัวไหล่หลิ่วกุ้ยเฟยเขย่าพร้อมตะโกนเสียงดังขึ้น
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ท่านเข้าใจพระสนมผิดแล้วเพคะ!” จู่ๆ ก็มีนางในคนหนึ่งวิ่งออกมาตำหนักด้านข้าง รีบเอ่ยกับม่อจิ่งฉีด้วยความร้อนใจว่า “ฝ่าบาท ท่านได้โปรดปล่อยพระสนมเถิดเพคะ…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพระสนมเลยจริงๆ นะเพคะ…”
เมื่อเห็นว่าม่อจิ่งฉีไม่ได้สนใจคำพูดของคนเลยแม้แต่น้อย นางกำนัลผู้นั้นมองไปรอบๆ ก็เห็นแจกันดอกไม้โบราณอันหนึ่งที่พอนำมาเป็นอาวุธได้และยังไม่ถูกทำให้แตก ก็รีบกัดฟันเดินไปอุ้มแจกันดอกไม้นั้นขึ้น แล้วคิดจะทุ่มมันใส่แผ่นหลังของม่อจิ่งฉี หลิ่วกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสีทันที รีบยกมือขึ้นดึงมุกดอกไม้บนศีรษะออกขว้างไปทางนางกำนัลผู้นั้นทันที เกิดเสียงเพล้งดังขึ้น แจกันดอกไม้ใบนั้นร่วงลงแตกอยู่ที่พื้นพร้อมเสียงแตกเป็นเสี่ยงๆ
ม่อจ่อฉีที่กำลังคุ้มคลั่งอยู่นั้นดูจะได้สติขึ้นมาทันที นางกำนัลคนนั้นตกใจจนหน้าขาวซีดไปหมด ก่อนลงไปคุกเข่าร้องไห้อยู่ที่พื้น ที่นางอุ้มแจกันดอกไม้ขึ้นเมื่อครู่ ในหัวนางขาวโพลนไม่ทันได้คิดอะไร เมื่อได้สติจึงได้คิดว่าหากเมื่อครู่ตนขว้างแจกันนั้นไปจริง จะเกิดอะไรขึ้น
ในที่สุดม่อจิ่งฉีก็สงบสติอารมณ์ลงได้ กวาดตามองไปทางนางกำนัลที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ก่อนค่อยๆ ปล่อยหลิ่วกุ้ยเฟยแล้วลุกยืนขึ้น
พอเขายืนขึ้น หลิ่วกุ้ยเฟยก็กลับนั่งลงทันที นางยังคงสุขุมและเยือกเย็น หากไม่มีรอยแดงบนใบหน้า คงทำให้ผู้คนเข้าใจไปว่าเมื่อสักครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “ฉางเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนก่อนเถิด อีกเดียวข้าจะให้คนมาเปลี่ยนของให้เจ้าใหม่ทั้งหมด” ม่อจิ่งฉีเหลือบตามองหลิ่วกุ้ยเฟยเพียงแวบเดียว แล้วหมุนตัวไปถีบนางกำนัลผู้นั้นให้หลีกทาง ก่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องมองร่างที่จากไปอย่างรวดเร็ว แววตาเยือกเย็นมีความคับแค้นใจและเยาะหยันเจืออยู่