ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 72-3 ตำหนักเหยาหวาไฟไหม้
“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง! ไม่ดีแล้ว…” ในตำหนักติ้งอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านม่อที่ขึ้นชื่อว่าสุขุมเยือกเย็นมาตลอด มาตอนนี้กลับกำลังวิ่งขาขวิดไปทางห้องหนังสือของเรือนข้างที่อยู่ในเขตเรือนประมุข
เฟิ่งจือเหยานั่งเอนไปข้างหนึ่งอยู่บนเก้าอี้ตรงมุมหนึ่งของห้องหนังสือด้วยสีหน้าประหนึ่งรอคอยดูเรื่องสนุก เขายิ้มอย่างเกียจคร้านแล้วกล่าวว่า “อาเหยา หากทำให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อตกใจได้ถึงเพียงนี้ ดูท่าจะเป็นเรื่องไม่ดีจริงๆ เสียแล้ว…” เขายังไม่ทันพูดจบดี หัวหน้าพ่อบ้านม่อก็วิ่งมาถึงที่หน้าประตูเสียแล้วพร้อมพูดกับม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าซีดขาวว่า “ท่านอ๋อง พระชายา…พระชายาหายตัวไปจากในวังพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป รีบกระโดดลุกขึ้นร้องถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร อยู่ดีๆ จะหายตัวไปจากในวังได้อย่างไร” ทั้งสองต่างหันหน้าไปทางม่อซิวเหยาพร้อมกัน ม่อซิวเหยาดูจะตกใจจนสติหลุดไป จนเมื่อทั้งสองหันมามองตนแล้วจึงได้ค่อยๆ วางหนังสือกลับลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “เกิดอันใดขึ้น” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยเสียงสั่นว่า “พระชายาไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท แต่ตอนออกมาเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ตำหนักเหยาหวาก็ให้คนมาเชิญพระชายาไปพบพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ามีเรื่องจะขอให้ช่วย แต่ตอนที่องครักษ์ลับไปถึงในวัง ตำหนักเหยาหวาก็ไฟลุกท่วมเสียแล้ว เยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายตายเสียในกองไฟ ส่วนพระชายา…พระชายาหายตัวไปพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอนหลังพิงเก้าอี้รถเข็น หลับตาลงเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ชิงหลวนกับชิงอวี้ไปอยู่ที่ไหนเสีย”
“ชิงหลวนกับชิงอวี้ก็ไม่รู้หายไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยตอบเสียงขรึม “ชิงหลวนกับชิงอวี้ไม่ได้ตามพระชายาเข้าไปในตำหนักเหยาหวาด้วย แต่ว่า…องครักษ์ลับในวังหาพวกนางไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงต่ำ โดยไม่เจือแววโกรธ แต่กลับทำให้คนฟังรู้สึกหนาวสั่น ห้องหนังสือทั้งห้องประหนึ่งถูกอาบไปด้วยน้ำแข็ง เย็นเยียบไปถึงกระดูก “พระชายาหายตัวไป สาวใช้สองคนก็ไม่รู้หายไปไหน องครักษ์ลับในวังก็ไม่มีใครรู้เรื่องเลยสักคน ดีจริงๆ…ข้าควรชื่นชมว่าองครักษ์นี้ยึดมั่นในหน้าที่ของตนได้ดีจริงๆ สินะ”
“ท่านอ๋องโปรดใจเย็นก่อน” สีหน้าเฟิ่งจือเหยาและหัวหน้าพ่อบ้านม่อต่างเปลี่ยนไป พร้อมกับคุกเข่าลงขออภัยอยู่ที่พื้น
ม่อซิวเหยาไม่แม้แต่จะมองทั้งสองคน เพียงโบกมือเรียบๆ “ไปเตรียมตัวที ข้าจะเข้าวังเดี๋ยวนี้ เฟิ่งจือเหยา ลอบปิดทางออกจากเมืองหลวงทั้งหมดไว้ ข้าไม่อยากเห็นใครก็ตามที่น่าสงสัยออกไปจากเมืองหลวง” เฟิ่งจือเหยาลุกขึ้น “ข้าน้อยรับคำสั่ง” หัวหน้าพ่อบ้านม่อลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านอ๋อง สุขภาพของท่านตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ…” เขายังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกม่อซิวเหยาปรายตามองมาทันที แววตาดุคมประหนึ่งคมมีดนั้น ทำให้หัวหน้าพ่อบ้านม่อสะดุ้งไปทันที คำพูดที่เหลือจึงติดอยู่เพียงในลำคอ เฟิ่งจือเหยามือไว รีบดึงหัวหน้าพ่อบ้านม่อให้เดินออกไปด้านนอกทันที หัวหน้าพ่อบ้านม่อขมวดคิ้วไตร่ตรองไปมา ก่อนเอ่ยว่า “สุขภาพของท่านอ๋องตอนนี้จะให้รับความลำบากไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…นี่…” เรื่องที่พระชายาหายตัวไปเป็นเรื่องด่วนก็จริง แต่หากท่านอ๋องล้มไปอีกคน เช่นนั้นตำหนักติ้งอ๋องคงไม่ต้องรอให้ใครมาเล่นงานแล้ว คงได้จบสิ้นลงโดยเร็ว เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “นิสัยของท่านอ๋องเจ้าก็รู้ดี ตอนนี้พูดอันใดไปก็ไม่มีประโยชน์ รีบไปเชิญท่านเสิ่นมาเร็วเข้า ให้ดีให้ท่านเสิ่นตามท่านอ๋องเข้าวังไปด้วย”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเองก็รู้ดีว่าที่เฟิ่งจือเหยาพูดมามีเหตุผล จึงได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วรีบเดินไปยังเรือนแขกที่ตอนนี้เสิ่นหยางอาศัยอยู่ชั่วคราว เฟิ่งจือเหยาหันกลับไปมองห้องหนังสือที่เงียบสงบไร้เสียงใดๆ ด้วยสายตาเป็นกังวล แต่ก็ได้แต่นึกทอดถอนใจและหวังว่าเยี่ยหลีจะปลอดภัยดี
ในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยานั่งก้มหน้ามองมือทั้งสองที่วางอยู่บนที่เท้าแขนเก้าอี้รถเข็นนิ่งอยู่ ด้วยเพราะเขาป่วยอยู่นาน ทำให้หลังมือที่ขาวซีดทั้งสองข้างมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่เป็นชั้นบางๆ ม่อซิวเหยามองมือตัวเองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ประหนึ่งไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของมือทั้งสองข้างของตน แล้วเกล็ดน้ำแข็งบนมือนั้น ก็ค่อยๆ ละลายกลายเป็นหยดน้ำ แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นควันอุ่นๆ ที่ลอยหายไปในอากาศของห้องหนังสือ เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลลงมาตามมุมปากของม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาก้มลงมองหยดเลือดที่หยดลงบนชุดสีฟ้าอ่อนของตน ก่อนค่อยๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวประดุจหิมะออกมาจากแขนเสื้อ แล้วค่อยๆ เช็ดเลือดออกจากมุมปาก “ม่อจิ่งฉี…เจ้า รน หา ที่ ตาย แล้ว!”
ในวังตอนนี้ต่างต่างวุ่นวายกันยกใหญ่ ม่อจิ่งฉีสีหน้าบึ้งตึง มองทุกคนด้วยสายตาบ้าคลั่งที่เต็มไปด้วยความระแวงสงสัยและน่าสยดสยอง เยี่ยเย่ว์กับพระโอรสที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่วันถูกไฟคลอกตายนั้น เขาจะไม่สนใจก็ได้ แต่หากหนึ่งในนั้นมีชายาติ้งอ๋องอยู่ด้วยอีกคน เขาคงไม่สามารถอยู่เฉยได้ ม่อจิ่งฉีคาดไม่ถึงมาก่อนว่า ในวังของตนจะถูกคนเจาะเข้ามาได้ ถูกต้อง ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้น สิ่งแรกที่เขาคิดคือมันจะต้องไม่ใช่การไฟไหม้จากอุบัติเหตุธรรมดาทั่วไป แต่เรื่องนี้จะต้องเป็นการวางแผนเพื่อเล่นงานตนอย่างแน่นอน หากชายาติ้งอ๋องเสียชีวิตอยู่ในวัง ทั้งยังเป็นตอนที่ตนเรียกให้เข้าเฝ้าด้วยแล้ว…ม่อจิ่งฉีไม่กล้าคิดเลยว่า หากกองทัพตระกูลม่อกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเกิดลุกฮือขึ้นมาด้วยเพราะเหตุผลนี้ จะมีคลื่นลูกใหญ่เพียงใดเกิดขึ้น ถึงแม้เขาให้คนที่ตนไว้ใจไปเตือนองครักษ์ที่ในเมืองหลวงไว้ตั้งแต่เกิดเรื่อง แต่ในใจก็ยังคงว้าวุ่น ไม่สามารถทำให้สงบลงได้
เมื่อมองเรื่อยไปถึงไทเฮาที่นั่งอยู่อีกด้าน สายตาของม่อจิ่งฉียิ่งดูซับซ้อนขึ้น หากถามว่าม่อจิ่งฉีนึกสงสัยใคร คนแรกที่เขานึกสงสัยก็คือเสด็จแม่ของตนเอง เขาเติบโตมาข้างกายไทเฮา เขาย่อมรู้นิสัยของนางดีว่าเสด็จแม่คนนี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งเป้าหมายแล้ว นางยอมทำทุกวิถีทาง ความรู้สึกของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนที่เคารพเลื่อมใส แต่ในตอนนี้กลับยากที่จะทานทน ม่อจิ่งฉีไม่อยากที่จะยอมรับว่า ตอนนี้เขายังนึกเกรงกลัวไทเฮาอยู่ด้วย
เมื่อมองเลยไปยังม่อจิ่งหลีที่นั่งเฉยอยู่ประหนึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ความโกรธในแววตาของม่อจิ่งฉีก็ค่อยๆ หายไป ตอนนี้เขาไม่อาจทำให้จิตใจของตนว้าวุ่นได้ เพราะหลังจากนี้ยังมีคนที่ยากจะรับมือด้วยยิ่งกว่าอยู่อีก แต่เขา…เป็นฮ่องเต้ เขาไม่อาจถอยหนีได้
“ติ้งอ๋องขอเข้าเฝ้า!”
ทุกคนในที่นั้น ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาได้พบม่อซิวเหยาเป็นช่วงเดือนหกปีที่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นนอกจากเขาไม่สามารถลุกเดินได้แล้ว ม่อซิวเหยาดูเหมือนคนปกติทั่วไปทุกอย่าง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยนึกเป็นกังวล แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน ก็มีข่าวว่าติ้งอ๋องป่วยหนัก และตำหนักติ้งอ๋องก็กลับไปปิดประตูตำหนักไม่ต้อนรับแขกดังเช่นที่ผ่านมา ซึ่งทำให้คนที่นึกหนักใจค่อยๆ วางใจลงได้ มาตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วยต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศในเมืองหลวงยังมีลมเย็นพัดอยู่ ม่อซิวเหยานั่งอยู่บนรถเข็น โดยมีอาจิ่นเป็นคนเข็นเข้ามา บนตัวมีเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนลายเมฆสีเงินห่มคลุมตัวมาด้วย บริเวณคอเสื้อที่โผล่พ้นออกมานั้นเห็นเป็นสีขาวปักลายมังกรสีเงิน เป็นชุดราชการของผู้มียศเป็นชินอ๋อง ถึงแม้ใบหน้าจะถูกหน้ากากบดบังไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ยังคงดูออกว่าสีหน้าของม่อซิวเหยาไม่สู้ดีนัก สีผิวที่ซีดขาวกว่าคนปกติทำให้ดูออกว่าเขายังป่วยอยู่
“กระหม่อมติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาถวายพระพรฝ่าบาท ฮองเฮา ถวายพระพรไทเฮา” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
บรรยากาศในตำหนักเป็นไปอย่างเคร่งขรึม ม่อจิ่งฉีปรับสีหน้าให้อ่อนลง ก่อนเอ่ยด้วยเสียงดังกังวานว่า “ติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี”
ม่อซิวเหยาพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท ขออภัยที่กระหม่อมเสียมารยาท แต่กระหม่อมขอถามว่าชายาของกระหม่อมอยู่ที่ใด”
ทุกคนในท้องพระโรงต่างหันมองหน้ากัน ม่อจิ่งฉีกวาดตามองไปทางไทเฮาและม่อจิ่งหลีที่สีหน้ายังคงคงเดิมและดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ แล้วแววตาเขาก็ขรึมลง แล้วจึงหันไปมองฮองเฮา ฮองเฮาหันมาสบตาม่อจิ่งฉีนิ่งๆ ก่อนจะนึกถอนใจในใจ แล้วเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ติ้งอ๋อง ตอนนั้นชายาติ้งอ๋องก็อยู่ในตำหนักเหยาหวาด้วยเช่นกัน เกรงว่าจะ…ขอท่านอ๋องอย่าได้เสียใจไป”
“อย่าได้เสียใจหรือพ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยากวาดตามองทุกคนในท้องพระโรงนิ่งๆ ก่อนเอ่ยถามเสียงขรึมว่า “ชายาของกระหม่อมรับพระบัญชาให้เข้าเฝ้า ตอนนี้ตัวนางหายไปไหนไม่รู้แต่พวกท่านมาบอกให้หระหม่อมอย่าเสียใจอย่างนั้นหรือ”
“ตำหนักเหยาหวาเกิดไฟไหม้ เยี่ยเจาอี๋ องค์ชายหก และนางในของตำหนักเหยาหวาเราต่างก็พบศพกันหมดแล้ว ขาดก็เพียงชายาติ้งอ๋องเท่านั้น ติ้งอ๋องพูดถูก บางทีชายาติ้งอ๋องอาจจะโชคดีหนีไปได้ก็เป็นได้” ไทเฮาประทับยืนขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เพียงแต่ตอนนี้…ชายาติ้งอ๋องหากยังมีชีวิตอยู่ก็ยังไม่พบตัว หากเสียชีวิตไปแล้ว ก็ยังไม่พบศพ ที่เกิดไฟไหม้ที่ตำหนักเหยาหวาคราวนี้…ดูแปลกอยู่มากจริงๆ”
เยี่ยอิ๋งนั่งอยู่ข้างม่อจิ่งหลี นางร้องไห้จนตาแดงไปหมดเสียนานแล้ว ที่นางรู้สึกริษยาเยี่ยเย่ว์และเกลียดเยี่ยหลีนั้นเป็นความจริง แต่ไม่เคยคิดเลยว่า จู่ๆ จะต้องมาเสียพี่สาวทั้งสองคนไปพร้อมๆ กันเช่นนี้ อีกทั้ง เมื่อครั้งยังอยู่บ้านท่านแม่ เยี่ยเย่ว์ก็ดีกับนางมาก และครึ่งปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเยี่ยหลีก็ดีขึ้นไม่น้อย ชีวิตชายาในตำหนักหลีอ๋องนั้นทำให้นางได้เข้าใจอันใดที่หวังซื่อไม่เคยสอนอีกมากมาย ดังนั้น นางจึงรู้ดีว่า การเสียชีวิตของเยี่ยเย่ว์และเยี่ยหลีนั้นไม่เป็นผลดีกับนางเลย “ไทเฮา ฝ่าบาท ตำหนักเหยาหวาของพี่รองเหตุใดจึงได้เกิดไฟไหม้ขึ้นได้เพคะ แล้วเหตุใดพี่สามจึงบังเอิญไปอยู่ที่นั่นได้ ขอให้ไทเฮาและฝ่าบาทช่วยออกหน้าจัดการเรื่องนี้ให้พี่สาวทั้งสองด้วยเถิดเพคะ”
ม่อจิ่งหลีปรายตามองเยี่ยหลี ก่อนส่งเสียงเหอะเบาๆ “จะโทษก็ต้องโทษที่เยี่ยหลีดวงไม่ดีเอง อยู่ในตำหนักอ๋องดีๆ ไม่ชอบ ดันออกมาเกะกะไปทั่ว ก็คงได้ฝังไปพร้อมกับเยี่ยเจาอี๋และองค์ชายหกพอดีมิใช่หรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ข้างม่อจิ่งฉี เมื่อได้ยินม่อจิ่งหลีพูดจึงเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยถามเสียงเย็นว่า “ความหมายของหลีอ๋องคือ มีคนต้องการทำร้ายเยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหก ส่วนชายาติ้งอ๋องนั้นเพียงตกกระไดพลอยโจรไปด้วยอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ “นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดามิใช่หรือ ใครจะใจกล้าและมีความสามารถที่จะวางเพลิงฆ่าคนในวังได้ ทั้งยังทำให้เยี่ยเจาอี๋กับองค์ชายหกเสียชีวิตคากองเพลิงไปได้อีก ใครจะไปรู้ เยี่ยหลีอาจไปเห็นอันใดเข้าแล้วอาจถูกฆ่าปิดปากไปด้วยก็เป็นได้มิใช่หรือ หากนางไม่ถูกไฟคลอกตาย ตอนนี้ก็น่าจะยังอยู่ในวังมิใช่หรือ”
ม่อจิ่งฉีหรี่ตาลงจ้องม่อจิ่งหลี “หลีอ๋องมีความเห็นเช่นไร”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะ “กระหม่อมไม่มีความเห็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังหาทั้งตัวคนหรือศพของชายาติ้งอ๋องไม่พบ พวกเราก็ควรต้องอธิบายเรื่องนี้กับบรรดาขุนนางและประชาชนให้รู้ คงไม่อาจพูดได้ว่าชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากในวังเช่นนี้กระมัง หากทำเช่นนั้น อีกหน่อยจะมีภรรยาของขุนนางในราชสำนักคนใดกล้าเข้าวังอีกหรือ” ฮองเฮาขมวดคิ้ว “เช่นนั้นความหมายของหลีอ๋องคือ”
“ทูลฮองเฮา ความหมายของกระหม่อมคือ ดีที่สุดคือให้เราลองหาในวังให้ทั่วก่อน หากชายาติ้งอ๋องยังมีชีวิตอยู่จริง ไม่แน่ว่าอาจจับมือคนวางเพลิงได้ด้วยอีกคนก็เป็นได้ คนของเรามีมากเช่นนี้ หากนั่งอยู่เฉยๆ มือวางเพลิงคงไม่ออกมาหาพวกเราหรอกจริงไหมพ่ะย่ะค่ะ คิดว่าติ้งอ๋องคงคิดเห็นเช่นเดียวกับข้า ม่อซิวเหยาเจ้าว่าจริงหรือไม่”
แน่นอนว่าม่อจิ่งฉีไม่นึกอยากให้ค้นวังหลังของตน แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เอ่ยเสนออย่างจริงจังของม่อจิ่งหลี กับสีหน้านิ่งเฉยอย่างเห็นด้วยของม่อซิวเหยาแล้ว ก็ทำให้เขาไม่อาจไม่เห็นด้วยได้ เขาคาดเดาได้เลยว่า ไม่ต้องรอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องน่าขันที่กระจายไปทั่วต้าฉู่อย่างแน่นอน ม่อจิ่งฉีลอบนึกแค้นใจ น้องชายที่เขาโปรดปรานที่สุดมาตั้งแต่เล็กๆ มาตอนนี้กลับมาทำให้เขาไม่พอใจทุกครั้งที่มีโอกาส
ม่อซิวเหยาไม่ได้ร่วมเข้าค้นหากับคนอื่นๆ ด้วย แต่ใช้เหตุผลที่ว่าตนสุขภาพไม่แข็งแรงขอพักอยู่ในตำหนักข้าง ในใจเขารู้ดีว่า คำว่าค้นหาของม่อจิ่งหลีนั้น ไม่มีทางหาเบาะแสอันใดที่เป็นประโยชน์เจออย่างแน่นอน แต่ที่ค้นออกมาได้คงมีแต่เรื่องเน่าเฟะภายในวังหลังของม่อจิ่งฉีอย่างแน่นอน หากเป็นเวลาปกติ เขาคงไม่รังเกียจที่จะตามไปดูด้วย แต่ตอนนี้เขากำลังอารมณ์ไม่ดีเอามากๆ ที่ฝืนข่มทำอารมณ์เย็นพูดคุยกับคนพวกนั้นไม่กี่ประโยคก็ถือว่าเป็นขีดสุดของเขาแล้ว
“ท่านอ๋อง สุขภาพของท่าน…” เสิ่นหยางและหัวหน้าพ่อบ้านม่อยืนอยู่ข้างหลังเขาซ้ายขวาคนละฝั่ง ก่อนเอ่ยถามด้วยความกังวล
ม่อซิวเหยายกมือขึ้นห้าม ก่อนส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร ไปบอกเฟิ่งจือเหยาให้เลิกค้นหาในวัง อาหลีไม่ได้อยู่ที่นี่”
เสิ่นหยางเลิกคิ้วขึ้นถามว่า “ท่านอ๋องมั่นใจว่าพระชายายังมีชีวิตอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่ออาหลีเข้าไปพบเยี่ยเจาอี๋ ตอนนี้ก็ควรอยู่กับเยี่ยเจาอี๋ด้วย แม้แต่เถ้ากระดูกขององค์ชายหกยังหาพบแล้ว แต่อาหลีกลับหายไป…ด้วยฝีมือของอาหลีไม่มีทางที่จะหนีออกจากตำหนักเหยาหวาไม่ได้ เช่นนั้น…” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วใคร่ครวญ ตำหนักเหยาหวาเกิดเพลิงไหม้ใหญ่ เผาทุกอย่างเสียจนราบคาบไปหมด ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอเงื่อนงำอันใด องครักษ์ลับไปถึงหน้าตำหนักเหยาหวาตั้งแต่ไฟเริ่มไหม้ แต่กลับไม่เห็นอาหลีออกมา อีกอย่าง ไฟที่ไหม้ตำหนักเหยาหวาลุกลามเร็วเกินไป…
“ใครก็ได้”
“ท่านอ๋อง” ประตูด้านข้างที่ไม่สะดุดตาของตำหนักข้าง มีขันทีอาวุโสคนนั้นที่หน้าตาท่าทางธรรมดาๆ ดูไม่มีอันใดผิดปกติปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ยืนรอรับคำสั่งม่อซิวเหยาด้วยความเคารพ
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ไปดูที ตำหนักเหยาหวามีทางลับหรือค่ายกลห้องลับอันใดหรือไม่ อีกอย่าง ก่อนที่เยี่ยเจาอี๋จะเสียชีวิต นางใกล้ชิดกับใครบ้าง สุดท้าย…ให้คนที่รู้เรื่องการแพทย์ไปดูศพของเยี่ยเจาอี๋และองค์ชายหกด้วย”
ขันทีอาวุโสดูจะไม่แปลกใจกับคำสั่งของม่อซิวเหยาเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยย่นยังคงราบเรียบ ก่อนเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ข้าน้อยรับคำสั่ง จะทำตามคำสั่งท่านอ๋องไม่ให้ตกหล่นพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียเหอะเล็กน้อย ก่อนพูดเรียบๆ ว่า “ครั้งนี้ข้าจะไม่สืบสาวหาความต่อ แต่หากเรื่องที่เหลือยังทำได้ไม่ดีล่ะก็ พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”
“ขอบคุณท่านอ๋อง ข้าน้อยขอตัวก่อน”
อาหลี ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่เป็นอะไร…ไม่มีทางเป็นอะไร!
…