ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 119-2 ปฏิเสธการแต่งงานกลางท้องพระโรง
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเอาแต่จ้องหน้าของตนอย่างไม่ลดละ ม่อซิวเหยาจึงได้แต่ยกมือนวดหน้าผาก “ถ้าเช่นนั้น อาหลีระวังตัวด้วย อีกอย่าง อยู่ห่างๆ เยียหลี่ว์เหยี่ยนั้นไว้สักหน่อย”
เยี่ยหลีกะพริบตาด้วยความประหลาดใจ หันมองม่อซิวเหยาด้วยความไม่เข้าใจ
ม่อซิวเหยาถูกนางมองจนรู้สึกละอาย จึงส่งเสียงเหอะเบาๆ ก่อนกอดนางเข้ากับอกแล้วก้มหน้าลงกัดปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อของนางเบาๆ “สรุปก็คือ เจ้าอยู่ห่างๆ เขาไว้หน่อยนะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “ท่านอ๋องหึงหรือ”
ม่อซิวเหยาเองก็ไม่ปิดบัง พยักหน้าพร้อมเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ดังนั้นเจ้าต้องเว้นระยะห่างกับเขา เข้าใจหรือไม่”
เยี่ยหลีผละออกจากอกเขาพร้อมลอบหัวเราะ “ท่านอ๋อง หึงหวงจนเกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพนะเพคะ” นางไม่รอดูปฏิกิริยาของม่อซิวเหยา หมุนตัวเดินเร็วๆ จากไปทันที
ม่อซิวเหยาได้แต่หัวเราะเสียงต่ำ มีศรีภรรยาที่เก่งกาจเช่นนี้ จะไม่ให้หึงหวงบ่อยๆ ได้เช่นไร หากเป็นไปได้ เขาก็หวังว่าอาหลีจะไม่ต้องไปที่ใดและไม่ต้องทำอันใด วันๆ อยู่แต่กับตำหนักเป็นเพื่อนเขาเท่านั้นก็พอ น่าเสียดายที่เขารู้ว่านั่นคงเป็นไปไม่ได้ ไม่เพียงเพราะสถานการณ์และฐานะของตำหนักติ้งอ๋องไม่อำนวย แต่อาหลีก็มิใช่คนที่จะให้ผู้ใดมาคอยควบคุมได้
เขามองแผ่นหลังของเยี่ยหลีเดินหายไปตามระเบียงทางเดิน ก่อนรอยยิ้มบนใบหน้าของม่อซิวเหยาจะค่อยๆ จางลง และค่อยๆ กระด้างขึ้น แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ พระราชทานงานสมรสอย่างนั้นหรือ เยียหลี่ว์เหยี่ยคิดว่าตนไม่รู้หรือว่าเขาคิดจะทำอันใด เยียหลี่ว์เหยี่ย ล่วงเกินข้ามิใช่ความคิดที่ดีเลยนะ ดูท่าบทเรียนที่สอนเยียหลี่ว์เหยี่ยไปนั้นคงไม่เพียงพอให้เขาจำขึ้นใจสินะ
“มีผู้ใดอยู่บ้าง”
“ท่านอ๋อง”
“ตอบคนที่เยียหลี่ว์หงส่งมาไปว่า สิ่งที่เขาเสนอมาข้ารับปาก”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
ตำหนักจางเต๋อยังคงงดงามหรูหราดังเก่า แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่า ตั้งแต่หลีอ๋องก่อการกบฏ อิทธิพลภายในวังหลวงของไทเฮานั้นถูกกดลงไปมาก อิทธิพลของพระนางจึงลดลงกว่าแต่ก่อนมากนัก แต่ถึงแม้ไทเฮาจะเอนเอียงไปทางหลีอ๋อง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นพระมารดาผู้ให้กำเนิดของฮ่องเต้ ต้าฉู่ให้ความสำคัญกับความกตัญญูเป็นอันดับแรก ถึงแม้มารดาจะมีใจออกห่าง แต่ฮ่องเต้ก็ยังจำเป็นต้องให้ความเคารพ
เมื่อได้ก้าวเข้ามาในตำหนักจางเต๋ออีกครั้ง สภาพจิตใจของเยี่ยหลีสงบขึ้นกว่าครั้งก่อนมากนัก
“เยี่ยหลีถวายพระพรไทเฮา ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” เมื่อก้าวเข้าไปภายในตำหนัก เยี่ยหลียอบเข่าลงเล็กน้อย เป็นการคารวะไทเฮาและฮองเฮา
“ชายาติ้งอ๋องไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เยี่ยหลีเอ่ยขอบคุณก่อนเดินไปนั่งลงยังเก้าอี้ตัวที่อยู่หน้าสุด นางเหลือบมองบรรดาคุณหญิงคุณนายชนชั้นสูงรวมถึงเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่นที่นั่งอยู่ภายในตำหนักด้วยสายตาสงสัย อย่างไรเยี่ยหลีก็ต้องยอมรับสตรีผู้นี้ ยามนี้บนใบหน้าของนางไม่เหลือแววย่ำแย่และโกรธแค้นอย่างเมื่อยามอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องอยู่เลย สายตาที่มองนางก็ดูสงบนิ่งและสง่างาม
“วันนี้เป็นวันอันใดหรือเพคะ เหตุใดทุกท่านถึงได้รวมตัวอยู่กันที่นี่ หม่อมฉันมาช้าไปแล้วหรือ”
เมื่อฐานะสูงขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง การพูดการจาของนางก็ไม่จำเป็นต้องอ่อนน้อมสักเท่าไรอีกต่อไป ด้วยฐานะของเยี่ยหลี ขอเพียงนางไม่สติไม่ดีจนเอ่ยอันใดที่เป็นการล่วงเกินออกไป ต่อให้นางพูดอันใดผิด พวกคนที่อยู่ว่างๆ ก็ไม่กล้าบอกว่านางทำผิดได้
ฮองเฮาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ช้าหรอก ข้าอยู่ในวังแท้ๆ แต่ก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน หลายวันก่อนคณะทูตจากเป่ยหรงส่งของขึ้นชื่อของเป่ยหรงมาให้เสด็จแม่ เสด็จแม่จึงอยากให้ทุกท่านได้มาลองชิมด้วยกัน เพียงแต่เจ้าไม่ค่อยอยู่ในเมืองหลวง พอเห็นว่าวันนี้เจ้ากลับมาแล้ว เสด็จแม่ถึงได้มีรับสั่งเรียกพวกเราให้มารวมกันที่ตำหนักจางเต๋อเท่านั้นเอง”
เยี่ยหลีอมยิ้ม “ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงนึกถึงเพคะ หม่อมฉันไปพักอยู่กับเสด็จป้าเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเพคะ” ฮองเฮาดูเหมือนไม่ได้พูดอันใด แต่เยี่ยหลีกลับเข้าใจความหมายของพระองค์เป็นอย่างดี จึงเพียงพยักหน้ารับเล็กน้อยจนเกือบไม่ทันสังเกตเห็น
ฮองเฮาระบายยิ้มเล็กน้อย ก่อนหันไปพูดกับบรรดาสนมทั้งหลายที่นั่งอยู่ด้านข้าง
ไทเฮาเอ่ยยิ้มเรียบๆ ว่า “ตามปกติเจ้าก็ไม่ค่อยชอบเข้าวัง ข้าจึงจำต้องอาศัยโอกาสนี้เชิญเจ้าเข้ามาพบปะกับทุกคน องค์หญิงสบายดีหรือไม่”
“เสด็จป้าสุขภาพแข็งแรงดีเพคะ ลำบากไทเฮาต้องทรงเป็นห่วงแล้ว” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมเอ่ยขอบคุณ
สายตาอบอุ่นคู่หนึ่งมองมาทางเยี่ยหลี เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ปลอบโยนสวีฮูหยินที่มองนางด้วยสายตาเป็นห่วง ในใจนึกยิ้มเยียบเย็น คนพวกนี้ช่างวางแผนกันไว้ได้ดีจริงเชียว คิดว่าวันนี้ท่านป้าสะใภ้อยู่ด้วย แล้วจะทำให้ตนนึกถึงฐานะของนางจนต้องตกลงตามที่พวกนางขออย่างนั้นหรือ
นางเก็บสายตากลับมาเรียบๆ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นหันไปประสานกับสายตาอีกคู่หนึ่งที่มองมายังนาง ซึ่งแตกต่างจากสายตาเป็นห่วงเป็นใยของสวีฮูหยิน สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสับสนและโกรธแค้น ไม่ต้องมองนางก็รู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างไทเฮาอีกข้างหนึ่งก็คือหลิ่วกุ้ยเฟย
หลายวันนี้ ไม่เพียงไทเฮาเท่านั้น ที่ดูอ่อนหล้าและดูชราภาพไปไม่น้อย แม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยเองก็ดูเปลี่ยนไปมากเช่นกัน เดิมทีที่เคยเย็นประหนึ่งหิมะน้ำแข็ง ดูเหมือนจะมีบางอย่างเพิ่มเข้ามา ทำให้สตรีที่เย็นชาประหนึ่งดอกหลีเปลี่ยนไป จนทำให้คนรู้สึกคาดเดาไม่ถูก เยี่ยหลีเพียงพยักหน้าเรียบๆ ให้นาง แต่นางกลับนั่งนิ่งมองเยี่ยหลีประหนึ่งไม่เห็นเสียอย่างนั้น สายตาเช่นนั้นทำให้เยี่ยหลีขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก
“ชายาติ้งอ๋อง อีกหน่อยคุณหนูเฮ่อเหลียนก็จะเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว คุณหนูเฮ่อเหลียนเดินทางไกลมาจากเป่ยหรง ชายาติ้งอ๋องต้องดีกับนางหน่อยนะ” นางนั่งลงยังไม่ทันได้พูดคุยกับผู้ใด ไทเฮาก็เอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นเสียแล้ว ท่าทางและน้ำเสียงเช่นนั้นทำประหนึ่งเรื่องที่ติ้งอ๋องเอ่ยปากปฏิเสธไปในท้องพระโรงไม่เคยเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
เยี่ยหลีก็ไม่คิดจะเกรงใจ นางไม่นึกอยากเอ่ยปากไล่อนุทั้งหลายที่มีคนคิดจะส่งเข้ามาในตำหนักอยู่เรื่อยๆ หรอกนะ นางวางถ้วยชาในมือลง เยี่ยหลีกะพริบตาพร้อมเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “คุณหนูเฮ่อเหลียนหรือเพคะ ไทเฮากำลังจะบอกว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนยินดีที่จะไปเป็นสาวใช้ปัดกวาดในตำหนักติ้งอ๋องหรือเพคะ ไทเฮาโปรดวางใจ ตำหนักติ้งอ๋องมิเคยรังแกบ่าวไพร่ในตำหนักมาก่อน ข้าเองก็มิใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยกับบ่าวไพร่เพคะ”
“สาวใช้ปัดกวาดหรือ!” ถึงแม้จะเป็นไทเฮาที่ผ่านโลกมามากก็อดอึ้งไป ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เข้าใจไม่ได้
เยี่ยหลียิ้มหันมองเฮ่อเหลียนฮุ่ยหมิ่น เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “หรือว่ามิใช่ ก่อนหน้านี้ท่านอ๋องได้เอ่ยต่อหน้าองค์ชายเยียหลี่ว์และคุณหนูเฮ่อเหลียนอย่างชัดเจนแล้ว ว่าท่านยินดีให้คุณหนูเฮ่อเหลียนเข้าตำหนักมาเป็นสาวใช้ปัดกวาดนี่เพคะ ที่ไทเฮาเอ่ยขึ้นมานั้นมิใช่เรื่องเดียวกันหรอกหรือ หรือว่าข้าเข้าใจอันใดผิดไป”
ไทเฮาถึงกับสะอึก เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ชายาติ้งอ๋องล้อเล่นแล้ว ฐานะอย่างคุณหนูเฮ่อเหลียนจะเป็นสาวใช้ปัดกวาดได้อย่างไร”
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “ฐานะหรือเพคะ เป็นบุตรบุญธรรมของท่านแม่ทัพเฮ่อเหลียนใช่หรือไม่ ฐานะเช่นนี้ให้มาเป็นสาวใช้ปัดกวาดก็น่าเสียดายไปหน่อย แต่ท่านอ๋องของข้าบอกไว้เช่นนี้ ถึงแม้ฐานะของข้าจะเป็นชายาติ้งอ๋อง แต่ก็มิอาจขัดการตัดสินใจของท่านอ๋องได้ เกรงว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนกับตำหนักติ้งอ๋องของพวกเราคงจะไม่มีวาสนาต่อกันแล้ว”
ไทเฮาย่อมมองอกว่านี่เป็นการบ่ายเบี่ยงของเยี่ยหลี จึงขวมดคิ้วเอ่ยว่า “ชายาติ้งอ๋อง ฝ่าบาทได้พระราชทานงานสมรสไปแล้วในท้องพระโรง เจ้าพูดเหลวไหลเช่นนี้ได้หรือ เมื่อครู่ฝ่าบาทยังได้ให้ข้าสอบถามเรื่องนี้กับชายาติ้งอ๋อง ว่าตำหนักติ้งอ๋องคิดที่จะจัดงานมงคลกันเมื่อใด ให้ดีให้เร่งจัดงานก่อนที่คณะทูตรับตัวเจ้าสาวจะเดินทางกลับ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม เอ่ยเรียบๆ ว่า “ทูลไทเฮา ตำหนักติ้งอ๋องไม่คิดที่จะจัดงานมงคลเพคะ”