ตอนที่86 ลาก่อนหยก
หลังจากซื้อของมาแล้ว ทั้งสองคนก็พูดคุยและรับประทาน กันอย่างสนุกสนาน แต่พึ่งกินไปได้เพียงไม่กี่คำ ทันใดนั้นเอง จ่ากระเพาะอาหารของจันวิภาก็เกิดอาการคลื่นไส้อย่างรุนแรง เธอวางกล่องข้าวลง แล้วรีบวิ่งไปอ้วกในห้องน้ำ
เดิมทีก็ไม่ได้กินอาหารมากมายอะไรขนาดนั้น จนแทบจะ เรอออกมา จันวิภารู้สึกว่ากระเพาะของตนเองหดตัวลงเกือบจะ เท่ากับกำปั้น ความเจ็บปวดจากการฉีกขาดที่รุนแรงทำให้ ร่างกายของเธอเย็นลง และใบหน้าขาวซีด
หลังจากอ้วกออกมาจนหมด จึงใช้น้ำทำความสะอวดรอบ หนึ่ง จันวิภานั่งลงอยู่ข้างๆเตียงของพัชรีอย่างงุนงง
“เธอเป็นอะไรไปอีกแล้วเนี่ย?” พัชรีเอ่ยถามด้วยความ วิตก “จันวิภา เธอไม่เป็นไรนะ?”
จันวิภาโบกสะบัดมือ มองไปยังอาหารที่อยู่ข้างๆแล้วพูด ขึ้น “เธอกินไปเถอะ จู่ๆฉันก็เกิดไม่อยากอาหารแล้ว เลยกินไม่ as! ”
พูดจบ หลังจากที่จันวิภาจัดเตรียมสิ่งของที่ต้องใช้พักอยู่ ที่โรงพยาบาลให้พัชรีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลุกขึ้นแล้วเตรียมที่
จะเดินออกไป
ถ้าจะต้องเดินออกจากโรงพยาบาลแล้วจึงจำเป็นที่จะต้อง ผ่านห้องผู้ป่วยของนวาระดังนั้นจันวิภาจึงกลัวอยู่เสมอ กลัวว่า จะไปพบเข้ากับสุมิตร แล้วถูกเขากลั่นแกล้งอีกครั้ง ดังนั้นจึงรีบ ก้าวเท้าเร็วขึ้น
ยังดีตอนที่ออกจากโรงพยาบาลเธอไม่ได้เจอกับสุมิตร ตอนที่กำลังหายใจเข้าออกลึกๆ ด้วยความโล่งอกอยู่นั้น จึงพบ ว่าสุมิตรกำลังยืนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ข้างรถที่จอดริมถนน
หัวใจของจันวิภาแน่นขึ้น หันตัวและเดินกลับไปโดยไม่รู้ ตัว แต่กลับถูกสุมิตรเรียกให้หยุดเอาไว้
สุมิตรยืนอยู่ตรงนั้น ดูราวกับพื้นที่ทั้งหมดจะถูกปกคลุม ด้วยน้ำแข็งเพราะการดำรงอยู่ของเขา จึงทำให้ร่างกายที่ บอบช้ำและเหนื่อยล้าของจันวิภาสั่นเทามากยิ่งขึ้น
“ทำไม? เธอแน่ใจหรอวะจะหนี?” คำพูดที่เยือกเย็นของสุ มิตรพุ่งออกมาได้อย่างแม่นยำราวกับลูกศร จันวิภาไม่อาจที่จะ หลบได้
เนื่องจากไม่จำเป็นที่จะต้องหลบอีกต่อไป จันวิภาจึงกัดฟัน หลับตาลง จากนั้นจึงยิ้มอย่างขมขื่นแล้วเดินไปทางด้านหน้า
ของสุมิตร
“เข้าไป” สุมิตรไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ แล้วพ่นสองคำนี้ออกมา
จันวิภาถูกสุมิตรพาตัวเข้าไปในรถอย่างขื่นขม แต่ทว่า ไม่นึกเลยว่าเขาจะไม่ได้ทำอะไรให้เธออึดอัตใจแค่เพียงแต่พาเธอกลับบ้านก็เท่านั้น
และเนื่องจากกระเพาะของจันวิภาไม่ค่อยสู้ดีนัก เธอจึง
หลับตลอดทาง
อย่างไรก็ตามในช่วงกลางดึก มันขมุกขมัว จันวิภารู้สึกว่า กำลังจมดิ่งลงไป เหมือนถูกสิ่งของอะไรบางอย่างกดทับเอาไว้
จันวิภาเบิกตากว้าง กลับเห็นว่าสุมิตรกำลังกตเรือนร่าง ของเธออยู่ในตอนนี้
“อ้า! ! ! ” จันวิภาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่เพราะการต่อต้านของเธอ ทำให้การรุกรานของสุมิตรราบ
รื่นยิ่งขึ้นไปอีก
หัวใจของจันวิภาแทบที่จะพังทลายลง เธอลืมไปว่านี่คือ บ้านของสุมิตร และสุมิตรก็ยังมีกุญแจห้องของทุกห้อง แม้ว่า เธอจะล็อคประตูไว้แล้วจะอย่างไรล่ะ
ดวงตาของสุมิตรส่องประกายแสงออกมาเล็กน้อยในตอน กลางคืน ดวงตาที่ราวกับหมาป่าที่ละโมบ ทำให้จันวิภารู้สึก หวาดกลัวและหนาวเย็นจนเข้ากระดูกดำ
การเชื่อฟังและขัดขืนต่างก็ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง จัน วิภาถูกทำอย่างทารุณเกือบจะหนึ่งคืนเต็ม..
ในตอนสุดท้าย ร่างกายของจันวิภาแทบที่จะซินชา ทว่าสุมิตรกลับปฏิเสธ โอกาสที่เธอจะได้ร้องขอ
คืนที่ยาวนาน ทรมานเหมือนนรก..
แต่
แต่ทว่า จันวิภาก็ไม่รู้ว่าตนเองโชคดีหรือไม่ เพราะว่า สุดท้ายแล้วก็ยังไม่ตายจากไป แต่ทว่าร่ายกายกลับอ่อนล้า จนถึงขีดสุด
แต่ถึงกระนั้น จันวิภาก็ยังตื่นขึ้นมาตอนเช้า ในเมื่อสุมิตร ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เธอถูกกักกัน จึงไม่ได้มีข้อจำกัดในการกระ ทำของเธอ เธอยังคงเตรียมพร้อมที่จะไปโรงพยาบาลเพื่ออยู่ เป็นเพื่อนกับพัชรี
พึ่งจะมาถึงชั้นล่าง จันวิภาก็ได้พบว่าสุมิตรได้ส่งนวาระ กลับบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นวาระเอนตัวพิงอยู่ในอ้อมกอด ของสุมิตรแล้วต้องมองไปที่จันวิภาอย่างทะนงตน
ทันใดนั้นจันวิภาก็รู้สึกว่าโลกทัศน์ของตนเองช่างวุ่นวาย เสียจริง ในใจไม่รับรู้รสอะไรทั้งสิ้น และเธอก็ไม่รู้ว่าสุมิตรคิด อะไรอยู่ เขาดูเหมือนว่าจะมีความรู้สึกต่อนวาระแต่กลับไม่ยอม ปล่อยตนเองไป..
นี่มันช่างน่า ขำเสียจริง!
ใช้ภาษาอะไรก็ได้มาเพื่ออธิบายความเลวร้ายของสุมิตรก็ คงจะไม่มากเกินไป
ยังดีที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมา วันรุ่งขึ้นจันวิภายังคงไป เยี่ยมเยือนพัชรีเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าตอนที่กำลังจะกลับบ้าน จันวิภาก็ได้ไปชนเข้ากับนวาระ
และนั่นจึงทำให้จันวิภาเหลือบไปเห็นก้อนหยกที่ห้อยอยู่ บนคอของนวาระโดยไม่ได้ตั้งใจ และหยกก้อนนั้นก็เคยเห็นมันอยู่บนคอของเวธัสมาก่อน มันเหมือนกับตนเองกำลังสูญเสียไป เฉกเช่นเดียวกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จันวิภาตกตะลึง และรู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องมีปัญหาอะไร บางอย่างอยู่ในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงตระโกนเรียก นวาระให้หยุด
นวาระหันตัวกลับมาแล้วมองไปที่จันวิภาอย่างใจร้อน พูด อย่างเยาะเย้ยถากถาง “คุณหญิง ท่านมีอะไรจะสอนสั่ง?”
จันวิภาไม่สนใจคำเยาะเย้ยถากถางของนวาระเธอชี้ไปที่ หยกก้อนนั้นที่ห้อยอยู่บนคอของเขาแล้วพูดขึ้น “หยกก้อนนี้เธอ เอามันมาจากไหน?”
ตอนที่จันวิภาพูดมันเอ่อล้นไปด้วยพลัง ปฏิกิริยาก็รุนแรง มากเช่นกัน นี่จึงทำให้นวาระครุ่นคิดอยู่ในใจของเขาครู่หนึ่ง : ที่แท้หยกนี่เป็นของจันวิภางั้นหรอ? เป็นไปไม่ได้น่า?
นวาระระงับความสงสัยที่อยู่ในใจของจันวิภา ก่อนอื่นเธอ ต้องบอกเป็นนัยกับตนเองว่าหยกก้อนนี้เป็นของเธอ เป็นของ เธอคนเดียวเท่านั้น
บนโลกใบนี้จะมีหยกที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันอยู่สอง สามอันก็นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อคิดเช่นนี้ นวาระก็ได้ สงบใจลง
เธอเงยหน้าแล้วพูดขึ้น “เอามาจากไหน? เรื่องนี้ฉันคงต้องไปถามบรรพบุรุษ? ทำไม? มีปัญหาอะไรหรือไง?””
จันวิภาขมวดคิ้วจนแน่น สงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ทว่ากลับ ส่ายหัวแล้วพูดออกไป “ไม่มีไร” จากนั้นจึงหันตัวแล้วเดินจาก ไป
“รอเดี๋ยว ไม่ใช่ว่าเธอมีหยกที่เหมือนกับหยกก้อนนี้อยู่งั้น หรอ?” นวาระเอ่ยถามขึ้นมาทันที
จันวิภายังคงคิดเกี่ยวกับรายละเอียดของหยกตนเอง แต่ นวาระพูดว่าเป็นของบรรพบุรุษที่ทิ้งเอาไว้ให้ เช่นนั้นก็ไม่รู้แล้ว ดังนั้นจึงพยักหน้า จากนั้นจึงเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
นวาระถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอมองดูหยกอย่าง ขุ่นเคือง คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ใส่เอาไว้วันแรกก็เกิดหายนะเข้าให้ แล้ว อีกแค่นิดเดียวความลับก็เกือบจะแตกออกมา
“มันเป็นลางสังหรณ์”
นวาระจ้องมองดูหยกก้อนนั้น แล้วครุ่นคิด บางทีจันวิภา อาจจะเป็นคนที่สุมิตรตามหามาโดยตลอด และตอนนี้ตนเองก็ เป็นคนที่สวมรอยอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นสุมิตร ธนภาค หรือแม้ กระทั่งจันวิภาก็อาจจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยก็ได้
นวาระไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างสุมิตรกับจันวิภา ทำไมสุมิตรจึงไม่รู้ว่าจันวิภาคือ “แมวป่าตัวน้อย” ที่ตนเอง กำลังตามหาอยู่กัน?
นวาระสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ในใจไม่สงบ ถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมา เช่นนั้นอย่าไปพูดถึงสุมิตรเลย เธอจะตายอย่างไรก็ ยังไม่รู้ จันวิภาจะโจมตีเข้ามาทันที แล้วตนเองจะต้องถูกเหยียบ ย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า
“จะต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้เป็นอันขาด มัน ต้องไม่เกิดขึ้น!
นวาระกำหยกจนแน่น ตัดสินใจจะตรวจสอบเรื่องราวใน วันนั้นให้ละเอียดถี่ถ้วน และการกำจัดจันวิภาก็จะสามารถรับ ประกันความผิดพลาดของตัวเองได้