ครั้นเห็นว่าเป่ยเฉินเสียงดื่มจนเมาได้ที่แล้ว
เยี่ยเม่ยรับรู้ว่าโอกาสมาถึงเสียที นางเอ่ยปากว่า “พูดไปแล้ว ต้องยินดีกับเสด็จพี่ที่แต่งกับมู่หรงเหยาฉืออัจฉริยะหญิงอันดับหนึ่ง สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง อีกทั้งนางยังยอมเป็นพระชายารอง เรื่องเช่นนี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริง ๆ !”
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ย
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนแค่นหัวเราะคราหนึ่ง เสริมด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “ก่อนหน้านี้สตรีนางนี้แสร้งเป็นหลงใหลในตัวเยี่ยน คิดไม่ถึงเลยว่าคนในใจนางจะเป็นเสด็จพี่! เวลานี้เสด็จพี่ไม่เพียงแต่ได้สาวงามมาครอง ซ้ำยังมีทรัพย์สินของตระกูลมู่หรงอีกด้วย เยี่ยนรู้สึกยินดีแทนท่านนัก!”
เป่ยเฉินเสียงได้ฟังคำพูดของเป่ยเฉินเสียเยี่ยนที่ไม่มีแววกล่าวโทษตนหรือว่าไม่ยินยอมเลยสักน้อย เหมือนอีกฝ่ายยินดีกับตนจากใจจริง ดังนั้นจึงดื่มมากเป็นพิเศษ หลังจากเรอออกมา ก็พิงไปที่ข้างกายเป่ยเฉินเสียเยี่ยน กล่าวว่า “น้องสี่ เจ้าบอกความในใจออกมาเถิด เจ้าไม่สนใจมู่หรงเหยาฉือเลยสักนิดหรือ”
“ครึ่งหนึ่งก็มิมี!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนถอนหายใจเบาๆ คล้ายไม่อยากเอ่ยถึง ยังกล่าวต่อไปว่า “นางได้แต่งกับเสด็จพี่ ก็คงยอมปล่อยเยี่ยนไป ตั้งแต่บัดนี้จะไม่มาทำให้เยี่ยนรำคาญใจอีก เยี่ยนดีใจเหลือเกิน! หากเยี่ยนรู้ว่าใครกล้าทำให้นางคิดตกตัดสินใจแต่งงานกับเสด็จพี่ได้ เยี่ยนจะสำนึกบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง !”
เมื่อเห็นว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่สนใจมู่หรงเหยาฉือเลยสักน้อย ซ้ำยังเอ่ยว่าจาถึงขั้นว่าขอบคุณที่ตนเองที่แอบวางแผนการลับหลัง เป่ยเฉินเสียงเกิดความอยากโอ้อวดขึ้นในใจทันที
คนเมามายไร้สติอย่างเขา เพื่อจะกลายเป็นผู้มีบุญคุณต่อเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ก็อดไม่ไหวเอ่ยปากว่า “งั้นพี่ใหญ่จะบอกความลับหนึ่งให้เจ้าฟัง ความจริงเรื่องเป็นเช่นนี้…เดี๋ยวก่อน แต่หากข้าเล่าไปแล้ว เจ้าอย่าได้โทษข้าเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องเป็นคนครอบครัวเดียวกัน แค่สตรีนางหนึ่งนับเป็นตัวอะไรกัน เจ้าว่าใช่หรือเปล่า”
สตรีนางหนึ่งนับเป็นตัวอะไรกัน?
องค์ชายสี่หันไปมองเยี่ยเม่ยโดยสัญชาตญาณ การยอมรับว่าสตรีนางหนึ่งไม่นับเป็นตัวอะไรต่อหน้าเยี่ยเม่ย ก็คือเขาสมองมีปัญหา ทั้งยังเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่คิด ยั่วนางโมโหขึ้นมา อีกอย่างในสายตาเขาเรื่องอื่นๆ ไม่นับเป็นตัวอะไรทั้งนั้น นอกเสียจากเยี่ยเม่ยเท่านั้นที่สำคัญ
ดังนั้นคำพูดของเป่ยเฉินเสียง เขาไม่กล้าตอบรับเลยจริงๆ
เยี่ยเม่ยเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางราวกับอนุภรรยาตัวน้อยปรายตามองนาง สายตาฉายแววว่าไม่กล้าตอบรับ เพื่อเป็นการลวงให้เป่ยเฉินเสียงพูดออกมา เยี่ยเม่ยจึงช่วยตอบรับ “เสด็จพี่พูดถูกแล้ว พี่น้องเห็นมือเท้า สตรีนางหนึ่งจะนับเป็นตัวอะไรได้ ท่านเล่ามาเถอะ องค์ชายสี่ไม่มีทางเก็บไปใส่ใจแน่!”
“เช่นนั้นข้าจะเล่าแล้ว!” คราวนี้เป่ยเฉินเสียงก็วางใจอย่างเต็มที่
“เรื่องจริงเป็นเช่นนี้ ก็คือว่าหลังจากน้องสี่กับน้องสะใภ้สี่แต่งงาน ข้าใช้หน้ากากปลอมใบหนึ่ง ปลอมตัวเป็นน้องสี่ไปนอนกับสตรีนางนั้นแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงตบเข่าฉาดใหญ่ด้วยความสะใจ หัวเราะเสียงดัง
ถึงแม้เยี่ยเม่ยจะไม่ค่อยชอบมู่หรงเหยาฉือ แต่เมื่อฟังเรื่องเล่าก็ยังรู้สึกว่าเป่ยเฉินเสียงน่ารังเกียจนัก ไม่ใช่แค่น่ารังเกียจทั้งยังต่ำช้า ใช้ลูกไม้โฉดชั่วเช่นนี้ล่อลวงร่างกายของสตรีนางหนึ่งมาได้
หัวเราะไปได้ครู่หนึ่ง เป่ยเฉินเสียงคล้ายรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำไปโดยไม่ถูกต้อง จึงตบบ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยว่า “แต่ว่าการปลอมเป็นเจ้าต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ แต่เมื่อเจ้าไม่ชอบสตรีนางนี้ สุดท้ายก็ไม่ต้องแต่งงานกับนาง ดังนั้นเจ้าคงไม่โทษพี่หรอก ใช่หรือเปล่า”
“แน่นอนอยู่แล้ว เยี่ยนมีเหตุผลอันใดไปโทษเสด็จพี่กัน” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยิ้มพลางส่ายหัว ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
ครั้นเห็นเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทีไม่ใส่ใจเลยสักน้อย เป่ยเฉินเสียงก็เริ่มเล่าต่อ “ดังนั้นหลังจากข้าได้ยินว่าเจ้าออกจากจวนไปสามวัน ข้าก็เล่นสนุกกับมู่หรงเหยาฉือถึงสามวันเต็มๆ ทั้งยังได้ยินว่าเยี่ยเม่ยไม่ยินยอมตั้งครรภ์ลูกของเจ้า เพื่อให้มู่หรงเหยาฉือเชื่อใจ วันที่สองตอนนางตื่นขึ้นมาถามข้าว่าทำไมถึงเปลี่ยนความคิด ข้าจึงตอบนางไปว่า เพราะเยี่ยเม่ยไม่ยอมคลอดลูกให้ ดังนั้นจึงให้นางตั้งครรภ์แทน…”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง!
มิน่าตอนนั้นมู่หรงเหยาฉือถึงเล่าออกมาได้อย่างกระจ่างแจ้งนัก
ก็ถูก
ก่อนหน้าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนปฏิเสธมู่หรงเหยาฉือหลายครั้งหลายครา ทำให้นางเชื่อว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนยินยอมมีความสัมพันธ์กับนางจริงๆ หาใช่เรื่องง่ายเลย จำเป็นต้องมีเหตุผลเพื่ออธิบาย ส่วนเรื่องยาป้องกันบุตรก็เป็นคำอธิบายที่เป่ยเฉินเสียงใช้กับมู่หรงเหยาฉือได้พอดี
ดังนั้นมู่หรงเหยาฉือถึงได้เอ่ยคำพูดนี้ให้นางฟังเพื่อทำให้นางเกิดความสงสัยเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมากขึ้น เมื่อคิดถึงตรงนี้เยี่ยเม่ยพลันคิดได้ว่านางโทษเป่ยเฉินเสียเยี่ยนผิดไปแล้ว ความจริงคำพูดของมู่หรงเหยาฉือนางฟังเข้าหัวไปไม่น้อยเลย นางไม่เชื่อเขาเช่นนี้…เป็นนางไม่ถูกต้องจริงๆ
เป่ยเฉินเสียงเล่าเรื่องพวกนี้ออกมา ความจริงก็กลัวว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนจะโทษเขาอยู่ไม่น้อย
แต่คิดไม่ถึงว่า
เพื่อเป็นกำลังใจให้เป่ยเฉินเสียงเล่าเรื่องทั้งหมดต่อไป เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเอ่ยด้วยเสียงน่าฟังว่า “เยี่ยนช่วยให้เสด็จพี่ครอบครองสาวงามได้ รู้สึกยินดีเหลือเกิน! เช่นนั้นยังมีอีกไหม หลังจากนั้นมู่หรงเหยาฉือเห็นว่าเยี่ยนเย็นชาใส่นาง อาจจะระแวงแล้วก็ได้!”
“ข้าก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน!” ระหว่างเล่าเป่ยเฉินเสียงก็ยิ่งมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแกมขอโทษ “แต่ว่าดีที่วันที่เจ้ากลับจวน คนของข้าบังเอิญออกไปพบแล้ว จากนั้นสะกดรอยจากเส้นทางกลับจวนของเจ้า รู้ว่าเจ้าไปดื่มสุราเมามายอยู่ที่ชานเมือง ที่นั่นยังบังเอิญมีเศษผ้าของเจ้าอีกด้วย ข้าจึงนำมันกลับมาทำเป็นว่าไม่ระวังขาดอยู่ที่จวนมู่หรงเหยาฉือ เช่นนั้นหลังจากเรื่องผ่านไป ไม่ว่านางจะสืบลึกลงไปอย่างไร เรื่องนี้ก็ไม่อาจสืบได้กระจ่างชัด!”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนรีบชมว่า “เสด็จพี่ละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ เยี่ยนสู้ท่านไม่ได้จริงๆ !”
ทันทีที่ได้ฟังว่าเขาไม่โทษตนเอง ซ้ำยังชื่นชมในความรอบคอบของเขา เป่ยเฉินเสียงก็อดรนทนไม่ไหวโอ้อวดต่อไปอีกว่า “ที่รอบคอบกว่านั้นอยู่ต่อจากนี้ ข้ากลัวว่านางจะไปถกกับเจ้า ดังนั้นจึงให้คนขนเอาไหสุราที่ชานเมืองออกไปจนหมด ดังนั้นต่อให้เจ้าไปถึงที่นั่นก็ไม่อาจอธิบายได้ แต่ว่าเจ้าต้องไม่ยอมแต่งงานกับนางแน่ อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับเจ้าเลย ดังนั้นสุดท้ายยังไงนางก็ต้องแต่งกับข้า!”
ด้วยเหตุนี้เรื่องทุกอย่างก็อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียงก็ตบบ่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนอีกครั้ง “น้องสี่ เรื่องนี้เป็นพี่ใหญ่ที่ผิดต่อเจ้า แต่ว่าพวกเราล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ระหว่างพี่น้อง…ใช้ชื่อเจ้าช่วยพี่ทำงานเรื่องหนึ่ง เจ้าคงไม่โกรธพี่นะ เจ้าวางใจเถอะ รอข้าแต่งงานกับมู่หรงเหยาฉือแล้ว ข้าต้องเล่าความจริงของเรื่องนี้ให้นางฟัง เพื่อไม่ให้นางตามรบเร้าเจ้าไม่เลิกอีก!”
“อืม! เยี่ยนย่อมไม่โทษเสด็จพี่แน่!” เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีสีหน้าราบเรียบ กลับตอบไปอีกว่า “แต่ภายหน้าพี่ใหญ่อย่าได้ทำเช่นนี้อีกแล้ว เยี่ยนไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ แต่หากทำให้เยี่ยเม่ยเข้าใจผิด น้องชายของท่านก็ไม่มีวันสงบสุขแล้ว!”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยังใช้สายตาล้ำลึกมองจนเยี่ยเม่ยรู้สึกอึดอัดใจ