คนผู้นั้นเข้าใจทันทีกรอกยาสลายกำลังให้นาง
ภายใต้สายตาขุ่นเคืองของจงรั่วปิง จงซานสั่งให้คนปล่อยนางและกล่าวนิ่งๆ ว่า “เมื่อดื่มยาสลายกำลังไปแล้ว ภายในสิบสองชั่วยามจะไม่อาจใช้กำลังวรยุทธ์ ภายในสามชั่วยามไม่อาจขยับได้ พาคุณหนูไปพักผ่อน”
“ขอรับ” บ่าวพาตัวจงรั่วปิงไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้าคนที่แอบอยู่ก็หายไปแล้ว
รอจนคนผู้นั้นจากไป คนที่ช่วยจงซานจับจงรั่วปิงก็เอ่ยปากว่า “ใต้เท้า ทั้งๆ ที่ท่านมีวรยุทธ์สูงส่งกว่าพวกเราทั้งสอง เหตุใดถึงบอกคุณหนูว่า ท่านไม่มีแรงแม้แต่จะฆ่าไก่เล่า”
จงซานปลายตามองเขา เดิมกลับเข้าห้องโถงหยิบตำราขึ้นอ่าน “ข้าทำเช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลของข้า พวกเจ้าอาจคิดเสียว่า ข้าผู้เป็นเจ้านายเป็นคนถ่อมตนแล้วกัน”
คนทั้งคู่ “…”
ก็ได้
สี่ปีที่ผ่านมานี้ ท่านก็ถ่อมตนจริงๆ
……
ระหว่างที่ลั่วซิงเฉินเดินทางกลับด้วยความลนลานก็ได้รับข่าวจากเชียนซินตอบรับว่ากลับไปรายงานเรื่องนี้เยี่ยเม่ยรับรู้ด้วยความฉงนใจ
ชั่วขณะนี้เซียวชินที่มองส่งลั่วซิงเฉินกลับจวนองค์ชายสี่ก็ปรากฎตัวออกมา
อันที่จริงตลอดทางที่ผ่านมาเซียวชินอยากอัดคนยิ่งนัก คิดจับเจ้าหน้าเหม็นลั่วซิงเฉินมาสั่งสอนแรงๆ สักยกหนึ่ง จับมันตอนซะ
ต้องเป็นลั่วซิงเฉินใส่ร้ายซือหม่าหรุ่ยอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น…อยู่ดีๆ ในห้องนอนของซือหม่าหรุ่ยจะค้นหลักฐานออกมาได้อย่างไร
เซียวชินย่อมรู้ว่าซือหม่าหรุ่ยไม่มีทางขโมยของ เขายังแปลกใจว่าเรื่องเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เหตุใดถึงค้นของกลางออกมาได้ ยามนี้เมื่อพบลั่วซิงเฉิน เซียวชินก็เข้าใจแล้ว…
ผู้สืบทอดของราชาพิษเป็นระดับใด? ยามเขาลงมือวางยาพิษ ไม่มีทางปล่อยให้ผู้อื่นจับได้
ดังนั้นเมื่อคิดลอบวางข้าวของในห้องผู้อื่นโดยไม่มีใครรู้ ให้ร้ายผู้อื่น โอกาสสำเร็จก็มีมาก
เขาพอจะคาดเดาได้และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าลั่วซิงเฉินคือตัวการ
ต่อให้อยากสังหารเจ้านี่มาแค่ไหน เขาก็ต้องอดทนไว้
เพราะทันทีที่เขาเผยโฉมออกไปปะทะกับลั่วซิงเฉิน หากไม่ระวังอาจถูกวางยาพิษส่งผลกระทบต่อการช่วยซือหม่าหรุ่ย หากคิดอีกแง่หนึ่ง ต่อให้เขาไม่ถูกพิษ สังหารลั่วซิงเฉินสำเร็จ เจ้าหนุ่มออกมาทำงานให้เยี่ยเม่ย หากอีกฝ่ายไม่กลับไปเยี่ยเม่ยจะเกิดความระแวงสงสัยได้
เมื่อนางเกิดความสงสัยไม่แน่จะเพิ่มการคุ้มกันคุก หากเป็นเช่นนี้โอกาสที่เขาจะทำสำเร็จในคือนี้ก็จะน้อยลง
ดังนั้น ต่อให้เขาสังหารลั่วซิงเฉินอยู่ในใจไปแล้วเป็นร้อยรอบ แต่เซียวชินก็ยังไม่อาจลงมือได้แต่มอง ‘เจ้าตัวการ’ กลับจวนองค์ชายสี่
ในเวลาเดียวกัน มีคนสองคนกุลีกุจอวิ่งมาอยู่หน้าเซียวชิน พวกเขาก็คือคนที่เซียวชินส่งไปสืบสถานการณ์ในจวนองค์ชายสี่และจวนจงซาน
พวกเขาทั้งคู่รายงานสิ่งที่ได้พบเห็นออกไป สีหน้าเซียวชินเคร่งเครียดลง ดูท่าเยี่ยเม่ยคิดสังหารซือหม่าหรุ่ยจริงๆ ซินเยว่เยี่ยนถูกจับตัว จงรั่วปิงก็ถูกจงซานขวางและจับตัวไว้ การไปปล้นคุกคืนนี้ก็มีแค่เขาคนเดียวแล้ว
เมื่อคิดได้ เซียวชินรู้สึกทั้งปวดหัวทั้งผ่อนคลาย ก็ดี อย่างน้อยก็ทำให้ซือหม่าหรุ่ยรับรู้ว่าเขายังไม่ตาย ก็ดีเหมือนกัน
เวลานี้คงได้แต่คิดเช่นนี้แล้ว
……
ยามอวี้เหว่ยเห็นลั่วซิงเฉินกลับมาก็ตะลึงไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าหนุ่มนี่จะไม่ถูกเซียวชินฆ่าตายระหว่างทาง
ดูท่าเยี่ยเม่ยผู้นี้ดูแล้วเหมือนคนเถรตรง แต่เรื่องที่นางคาดการณ์ไว้แม่นยำนัก
ลั่วซิงเฉินเห็นอวี้เหว่ยมีทางท่าผ่อนคลาย รวมถึงสายตายินดีที่เห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัยก็อึ้งไป รู้สึกฉงนใจ เรื่องอะไรกัน เขาแค่ออกไปส่งข่าวเท่านั้น หรือว่า…
ขณะคิดไป อวี้เหว่ยก็เดินกลับเข้าห้องพร้อมกับลั่วซิงเฉิน
อวี้เหว่ยถามว่า “ตลอดทางกลับมาราบรื่นดีใช่หรือไม่ ได้พบเรื่องพิเศษอะไรหรือเปล่า”
“ราบรื่นดี” ลั่วซิงเฉินตอบกลับทันควัน ทั้งเอ่ยถามว่า “ไม่รู้ว่าข้าเข้าใจผิดไปหรือเปล่า มักรู้สึกว่ามีคนแอบจ้องข้ามาจากที่ลับ ทำเอาข้าขนลุกไปทั้งตัว แทบไม่กล้าเดินเลย ไม่สิ ก็ไม่ถึงกลับไปไม่กล้าเดิน ต้องเรียกว่าตกใจจนต้องรีบเผ่นกลับมามากกว่า”
อวี้เหว่ยกลืนน้ำลายเอื๊อกแสดงออกด้วยสีหน้า ‘ข้ารู้อยู่แล้ว’
ลั่วซิงเฉินเห็นสีหน้าอวี้เหว่ยกล่าวออกมาด้วยความฉงน “เจ้าเป็นอะไรไป ดูสีหน้าเจ้าสิ หรือเจ้ารู้ว่าระหว่างทางข้าพบเรื่องอะไรเข้า หรือว่าเจ้ารู้ว่ามีคนแอบจับตาดูข้า”
“ไม่มี เจ้าคิดไปถึงไหนกัน ข้าก็แค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น ข้าทำนายทายทักไม่เป็น จะไปรู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะเจอปัญหาอะไรระหว่างทาง” อวี้เหว่ยรีบปฏิเสธคำของลั่วซิงเฉิน
ล้อเล่นหรือไร เขาจะบอกเจ้านี่ได้อย่างไรว่าความจริงตัวเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่า พระชายาแอบวางกับดักไว้
คิดถึงความใจเ**้ยมของพระชายา หากนางรู้ว่าเขาแอบไปฟ้องลับหลัง ดีไม่ดีคนที่ถูกเล่นงานคนถัดไปก็คือเขาแล้ว ที่ว่าอะไรนะ…คุณธรรมสูงส่ง แต่เพื่อตัวเองแล้ว ยอมวางไว้ก่อนจะดีกว่า
อวี้เหว่ยตอบเช่นนี้ ลั่วซิงเฉินก็ไม่รู้สึกว่ามีปัญหา ก็จริง อยู่ดีๆ อวี้เหว่ยจะคิดได้อย่างไรว่าตัวเขาจะถูกลอบทำร้ายระหว่างทาง อีกอย่าง เรื่องนี่ก็เป็นแค่ความรู้สึกเขาคนเดียว ไม่เห็นแม้แต่เงาคน หากเขาระแวงอวี้เหว่ย นั่นไม่ใช่ว่าเขาสมองมีปัญหาหรือไง
เขาคิดได้เช่นนี้ ก็ไปหาเยี่ยเม่ยเพื่อถ่ายทอดคำพูดของจงซาน
เพียงแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก เหตุใดจู่ๆ จงซานถึงให้เขาบอกเยี่ยเม่ยว่า ไม่ให้สังหารเซี่ยชูมั่ว อยู่ดีๆ เยี่ยเม่ยจะฆ่าเซี่ยชูมั่วเพราะเหตุใดกัน
ลั่วซิงเฉินเพิ่งเดินเข้ามาในห้องโถง
ในเวลานี้ เสี่ยวกวนก็วิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน หลังจากนั้นก็คุกเข่า “เตี้ยนเซี่ย พระชายา ข้าน้อยจับตัวคนที่กระจายภาพพวกนี้ออกไปมาจนหมดแล้ว หลังจากลงทัณฑ์ไต่สวน พวกเขายังไม่ยอมพูด ภายหลังข้าถึงรู้ว่ามีคนจับตัวครอบครัวของพวกเขาไว้ ตอนนี้ทุกคนสารภพาออกมาหมดแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ เซี่ยชูมั่วเป็นคนสั่งการให้พวกเขาทำ นางก็คือท่านหญิงที่สนิทสนมกับมู่หรงเหยาฉือ”
เยี่ยเม่ยพยักหน้า เรียวนิ้วของนางเคาะที่โต๊ะเบาๆ ถามด้วยเสียงสบาย ๆ ว่า “ดังนั้น ตอนนี้พวกเราก็ลงมือ สั่งสอนสตรีนางได้แล้วสินะ พวกเจ้าว่า ข้าไปหานางเองหรือว่าจับตัวนางมาจะดีกว่ากัน ตอนนี้ก็ใกล้จะกลางวันเต็มที ออกไปข้างนอกอากาศร้อยยิ่งนัก”
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ ลั่วซิงเฉินถึงเข้าใจว่าคงจะลงมือกับเซี่ยชูมั่วแล้วจริงๆ ถึงเขาฟังไม่เข้าใจว่า เซี่ยชูมั่วทำอะไรกันแน่เยี่ยเม่ยจึงจะฆ่าอีกฝ่าย แต่ลั่วซิงเฉินก็รีบถ่ายทอดคำพูดของจงซานออกมา
“ไม่ได้นะ ใต้เท้าเยี่ยเม่ย หลังจากข้าเพิ่งออกมาจากจวนจงซาน เขาก็ส่งคนไล่ตามมาบอกข้าว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องห้ามไม่ให้ท่านสังหารเซี่ยชูมั่วเด็ดขาด เขาบอกว่านางเป็นหมากตัวสำคัญ หากสังหารนางแล้ว เรื่องก็จะยากจัดการได้”
ระหว่างที่ลั่วซิงเฉินถ่ายทอดคำพูด เขาก็นึกเลื่อมใสจงซานอยู่บ้าง จงซานนับว่าทำนายได้ล่วงหน้าว่าเยี่ยเม่ยจะลงมือ หากช้าอีกสักนิด เกรงว่าเซี่ยชูมั่วคงจะจบชีวิตแล้วเป็นแน่
เยี่ยเม่ยย่อมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร ทั้งไม่มีอารมณ์จะมาใส่ใจ
นางมองลั่วซิงเฉินถามว่า “พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือไง ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของราชาพิษถึงกลับเรียกข้าว่าท่าน เท่านั้นยังไม่พอยังเรียกข้าว่าใต้เท้าเยี่ยเม่ยอีกด้วย”
ลั่วซิงเฉินกระตุกมุมปาก เอ่ยตามสัตย์ว่า “บอกเจ้าก็ได้ ตอนข้าเพิ่งออกมารู้สึกว่ามีคนสะกดรอยตามข้า แต่ข้าไม่เห็นตัวคน นั่นก็หมายความว่าหากข้าไม่รู้สึกผิดไปเอง เช่นนั้นคนผู้นี้ก็มีวรยุทธ์สูงส่งกว่าข้า คือว่า…อย่างไรข้าก็เป็นคนในจวนของเจ้าแล้วใช่ไหม เจ้าก็สมควรคุ้มครองความปลอดภัยของข้า”
เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อให้คนหนุ่มมีความสามารถอย่างเขามีชีวิตอย่างมั่นคงไปจนถึงวัยหกสิบปีได้ เกรงอกเกรงใจเยี่ยเม่ยสักหน่อยจะเป็นอะไรไป
อวี้เหว่ยได้ฟัง สายตาก็กลอกไปทั่วรอบด้าน ไอ้หยา เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้นนะ
เยี่ยเม่ยยิ้มน้อยๆ ทั้งยังไม่เปิดโปงเรื่องนี้ออกไป หันไปมองเป่ยเฉินเสียเยี่ยนและถามว่า “ท่านเห็นว่าอย่างไร”
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะหึงจงซานไป หากนางเห็นด้วยกับคำพูดของจงซานทันที เกรงว่าเขาจะคิดเล็กคิดน้อยกับนางอีกแล้ว
ดังนั้นเยี่ยเม่ยถึงถามเขาก่อน แสดงออกว่าคิดปรึกษาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกวาดตามองนาง จงใจกล่าวว่า “นางผู้นี้เหิมเกริมนัก เยี่ยนคิดว่าสมควรฆ่านางซะ ไม่ว่าจะเป็นหมากที่สำคัญอย่างไรก็สามารถวางแผนใหม่ได้”
เยี่ยเม่ยย่อมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางไม่โต้แย้ง ยิ้มพลางพยักหน้า “อืม ข้าคิดว่าท่านพูดถูก อย่างนั้นอวี้เหว่ย เจ้าไปเถอะ ไปเด็ดหัวเซี่ยชูมั่วมาให้ข้า”
“หา?” อวี้เหว่ยตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ต้องฟังคำพูดของจงซานเลยหรือ
จงซานตั้งใจถ่ายทอดคำพูดผ่านลั่วซิงเฉินก็มากพอที่ทำให้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้แล้ว อีกทั้งยังเอ่ยอย่างจริงจัง ไม่เหมือนล้อเล่นเลยสักน้อย พระชายาไม่สนใจเหตุผลเลย เตี้ยนเซี่ยก็ไม่สนใจเหตุผลด้วยหรือ
อวี้เหว่ยอึ้งไม่ขยับ
เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงเย็น “ยังยืนนิ่งทำอะไรอยู่อีก ไม่รีบไปเล่า”
“อ้อ ขอรับ” อวี้เหว่ยตระหนักได้ จากไปทันที
คราวนี้องค์ชายสี่วางถ้วยน้ำชาในมือลงจ้องมองแผ่นหลังอวี้เหว่ยเอ่ยเสียงนุ่มว่า “หยุดก่อน”
อวี้เหว่ยชะงักฝีเท้า
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนมองเยี่ยเม่ย น้ำเสียงไพเราะถึงแฝงไปด้วยความเบาสบาย แต่เมื่อฟังแล้วกลับรู้สึกอันตรายมาก “เยี่ยเม่ย เจ้าคิดจะยั่วโมโหเยี่ยนหรือ”
เขาจงใจไม่เห็นด้วยกับจงซาน แน่นอนว่าเขาทำไปเพื่อให้เยี่ยเม่ยยอมพูดคำหวานสักหน่อย บอกให้เขาเห็นแก่หน้านาง เห็นแก่สถานการณ์ส่วนรวม ไม่ว่าคำพูดของจงซานร้ายแรงแค่ไหน แต่เขาอยากรับรู้ถึงความรู้สึกที่ว่าสตรีของตนต้องปรึกษาสามี ได้รับคำอนุญาตจากสามีก่อนจะกระทำการใดๆ เพื่อสลายความหึงหวงของเขา
คิดไม่ถึงว่า…นางถึงกับเห็นด้วยกับคำพูดเขา
เยี่ยเม่ยจงใจแสร้งโง่มองเขา “อะไรกัน ข้าเชื่อฟังความเห็นท่านก็ผิดหรือไร”