หน้าประตูเมืองชายแดน
เหล่าทหารต่างยืนประจำอยู่ที่ตำแหน่งของตน ล้อมสตรีที่ลอบโจมตีเยี่ยเม่ยเอาไว้
ในวงล้อม เยี่ยเม่ยกับสตรีนางนั้นกำลังต่อสู้
พัดในมือเยี่ยเม่ยยังไม่แตกออก อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หรืออาจบอกว่าการประมือกับสตรีเบื้องหน้าในยามนี้ ยังไม่ถึงขั้นที่นางต้องกระจายตัวพัดเพื่อต่อกร
ทุกกระบวนท่าของสตรีนางนั้น ท้ายที่สุดถูกเยี่ยเม่ยควบคุมไว้ได้ เป็นดั่งที่เยี่ยเม่ยบอกเอาไว้ ขอเพียงมีอีกฝ่ายอยู่ ตัวนางคิดจะฝ่าวงล้อมออกไปได้ยากมาก
บนกำแพงเมือง
มีคนสองคนยืนไหล่ชนไหล่ ปีนขึ้นบนกำแพงเมือง มองสถานการณ์การต่อสู้เบื้องล่าง
คนทั้งสองกลืนน้ำลายโดยพร้อมเพรียง
คนทั้งสองนี้ก็คือ ซือหม่าหรุ่ยและซินเยว่เยี่ยน
ซือหม่าหรุ่ยหันหน้ามอง ซินเยว่เยี่ยน เอ่ยปากว่า “ดีที่ข้าฉลาดพอ มองออกว่าปิงปิงแฝงเจตนาร้าย ไม่อย่างนั้นยามนี้เราสองคน ต่อให้โดดแม่น้ำเหลืองก็ล้างความผิดไม่หมด”
“นั่นสิ ดูท่าพวกเราสองคนมอบเงินทั้งหมดให้กับจงรั่วปิง เพื่อแลกเปลี่ยนความสบายใจและความปลอดภัยนั้นคุ้มค่ามาก” ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำตาคลอ
ความจริงหลังจากมอบเงินทั้งหมดของตนให้กับจงรั่วปิง ในใจนางก็สับสน เจ็บปวด และเสียใจ
เพราะว่านางเอาเงินที่นำมาด้วยทั้งหมดมอบให้อีกฝ่าย ความหมายก็คือนางเริ่มใช้ชีวิตอย่างไม่มีเงิน ชีวิตที่ไม่มีเงินทองจะรู้สึกอุ่นใจได้อย่างไร
แต่ยามนี้เห็นจงรั่วปิงออกมาหาเรื่องเยี่ยเม่ยจริงดังคาด ยามนี้นางไม่เสียใจอีกแล้ว อีกทั้งรู้สึกว่าที่ตัวเองทำไปนั้นคุ้มค่ามาก ฉลาดเหลือเกิน ปราดเปรื่องจนแทบขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว
ซือหม่าหรุ่ยคลึงหว่างคิ้วของตน “เจ้าว่าจงรั่วปิงทำไปเพราอะไร นางมีความแค้นกับเยี่ยเม่ยตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ดูจากท่าทางนาง ก็เหมือนเพิ่งถึงชายแดนต้ามั่ว หากบอกว่ามีความแค้น ข้ารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้” ซินเยว่เยี่ยนมอง ซือหม่าหรุ่ย เริ่มวิเคราะห์ตามเหตุผล
เพราะว่านางได้ฟังว่า เยี่ยเม่ยปรากฏตัวขึ้นที่ชายแดนอย่างกะทันหัน ช่วงเวลาที่ผ่านมาการกระทำที่กำเริบเสิบสานก็อยู่ที่ชายแดนทั้งสิ้น
ซือหม่าหรุ่ยเอ่ยปาก “หรือเมื่อก่อนเคยล่วงเกินกัน”
ซินเยว่เยี่ยนส่ายหน้า กลับโพล่งขึ้นว่า “ดูไม่คล้าย ข้ากลับรู้สึกว่า บางทีจงรั่วปิงอาจจะชอบองค์ชายสี่ รู้ว่าวันนี้องค์ชายสี่กับคนที่เรียกว่าเสี่ยวจิ่วต่อยตีกัน เกี่ยวพันกับเยี่ยเม่ย ถึงได้หึงหวง”
“นี่ก็เป็นไปไม่ได้ เจ้าลองคิดดู สีหน้าของจงรั่วปิงตอนเดินทาง ก็ไม่ถูกต้องแล้ว ตอนนั้นนางยังไม่เห็นสองคนนั้นต่อยตีกันด้วยซ้ำ” ซือหม่าหรุ่ยย่นคิ้วโต้แย้ง
ซินเยว่เยี่ยนยืดบ่าตั้งตรง ส่ายหัว “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าก็เดาไม่ออกแล้ว เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อน”
ซินเยว่เยี่ยนพลันฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
มองซือหม่าหรุ่ยอย่างไม่อยากเชื่อ “คือว่า…พวกเราสองคนใช่ลืมรายละเอียดสำคัญอะไรบางอย่างไป ไม่สิ ไม่นับว่าเป็นรายละเอียด เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเชียว”
“รายละเอียดอะไร” ซือหม่าหรุ่ยมอง ซินเยว่เยี่ยนด้วยแววตาแปลกใจ
แต่ไม่ช้า สีหน้าของ ซือหม่าหรุ่ยก็เคร่งขรึมลง นางตระหนักอะไรบางอย่างได้ มุมปากกระตุก “ไม่ใช่ล่ะมั้ง…”
“ดูจะจริง” ซินเยว่เยี่ยนพยักหน้า
ซือหม่าหรุ่ยกลืนน้ำลาย พลันไม่พูดจา หันหน้ามองลงไปที่ใต้กำแพง “ดูจากเรื่องนี้ พวกเราคงช่วยอะไรไม่ได้ อย่างนั้น…ก็เฝ้าดูเงียบๆ เถอะ”
“หวังว่าอย่าได้ถึงชีวิตเลย”
ซินเยว่เยี่ยนเอ่ยคำขอของตนออกมาอย่างจริงใจ
……
สายตาของ จงรั่วปิงยิ่งตื่นเต้นขึ้นทุกที
เยี่ยเม่ยมองนาง เอ่ยปากเตือนด้วยเสียงเย็นชา “พวกเราต่อสู้กันมานานแล้ว หากเจ้ายังหนีออกไปจากวงล้อมไม่ได้ ข้าเสนอว่า การยอมแพ้เหมาะกับเจ้ามากกว่า”
คำพูดนี้…
จงรั่วปิงเดือดดาล
นางเลิกคิ้วสูงมองเยี่ยเม่ย กระบี่ในมือร่ายรำเข้าหาอีกฝ่ายอย่างดุดัน ไอกระบี่ในมือนางแบ่งเป็นสองส่วน กระบี่ยาวในมือพลันเปลี่ยนไปเป็นกระบี่สองเล่ม
ที่แท้ในกระบี่ยังซ่อนกลไกไว้ให้แยกออกได้เป็นสองเล่ม
สายลมพัดชายชุดจงรั่วปิงพลิ้วไหว ผ้าขาวโบกพลิ้ว นำพาซึ่งพลังของจอมยุทธหญิง
กระบี่สองเล่มในมือจงรั่วปิงพุ่งใส่เยี่ยเม่ยในเวลาเวลาเดียวกัน
ส่วนกระบวนท่าของนางก็ว่องไวขึ้นมาก ทุกกระบวนท่าแฝงไปด้วยกำลังภายใน ตวาดใส่เยี่ยเม่ยอย่างโกรธเคือง “ไม่ช้าเจ้าจะรู้ว่า การท้าทายข้าเป็นการกระทำที่ไร้ความคิดมากแค่ไหน”
นางจงรั่วปิงเป็นจอมยุทธหญิงอันดับหนึ่ง ไม่อยากถูกคนกล่าวหาว่ารังแกคนไม่มีกำลังภายใน ดังนั้นทุกกระบวนท่าจึงไม่แฝงกำลังภายใน ล้วนเป็นการปะทะกันด้วยความเร็ว และอาวุธ
คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายจะเป็นศึกที่หน่วงเหนี่ยวไว้ก็ช่างเถอะ ตัวเองยังถูกสตรีนางนี้เยาะเย้ยอีกด้วย
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ
หลังจากนางเริ่มตั้งใจลงมือ เยี่ยเม่ยกลับไม่ลนลาน ทั้งยังยกยิ้มมุมปาก มองจงรั่วปิง “ดีมาก ในที่สุดก็เอาจริงแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะเอาจริงด้วยเช่นกัน”
จงรั่วปิงพลันอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าตลอดการต่อสู้ คนที่ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด ไม่เพียงแค่ตัวเอง อีกฝ่ายเองก็ ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเช่นกันหรือ
ในขณะที่นางแปลกใจ
พัดในมือของเยี่ยเม่ย พลันก่อเกิดลมหมุน แตกออกท่ามกลางอากาศ “พันอิงทลาย”
ชิ้นส่วนเล็กๆ ราวกลีบดอกอิง รุนแรงคล้ายกับพายุฝนก็ไม่ปาน พุ่งใส่จงรั่วปิง
ยามนี้จงรั่วปิงตะลึงงัน เดินกำลังภายใน ถอยหลังไปสองเมตรอย่างว่องไว เพื่อหลบหลีกการโจมตีคร่าชีวิต แต่ทว่ายังมีเกล็ดเล็กน้อยจำนวนมาก พุ่งเข้าโจมตีนางจากทั่วสารทิศ
นางรีบโคจรพลังให้กระบี่สองเล่มในมือนางหมุนควงอย่างรวดเร็ว
ความเร็วในการหมุนวนคล้ายกับมือของนางปรากฏกงล้อไฟสองอัน ขัดขวางชิ้นส่วนเล็ก ๆ ไว้ด้วยความเร็ว
เห็นความสามารถขั้นนี้ของนาง สายตาของเยี่ยเม่ยปรากฎแววชื่นชม
แต่เยี่ยเม่ยหาอ่อนข้อให้เพราะเหตุนี้
นางยื่นมือออก รับพัดที่หมุนกลับมารวมตัวกลับเป็นพัดสมบูรณ์แบบอีกครั้ง ยังไม่รอให้จงรั่วปิงทันโต้ตอบ ก็โยนออกไปอีกครั้งหนึ่ง
“ร้อยอิงทะลวง”
คราวนี้ ชิ้นส่วนเล็กๆ มีจำนวนมากกว่าเมื่อครู่มากมายไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด
จงรั่วปิงในอารามตกตะลึง ยกกระบี่ในมือขึ้นหมุนควงอีกครั้ง ที่น่ากลัวก็คือ การหมุนครั้งนี้กลับขวางชิ้นส่วนเล็กๆ ไม่ได้แล้ว พลังโจมตีของมันมากกว่าเมื่อครู่ประมาณสิบเท่าได้
ทุกครั้งที่ปะทะกับกระบี่ยาว เกิดเสียงดัง “ปัง”
ความเร็วของกระบี่หมุนก็ลดลงเพราะเหตุนี้ ดังนั้นชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านั้นก็มุ่งตรงมาที่ตัวนาง
ใบหน้าเย็นชาของจงรั่วปิงเปลี่ยนไปตะลึงตะลาน
คิดถอยร่นลงไปก้าวหนึ่ง แต่ไม่ทันการณ์แล้ว พัดชิ้นเล็กพุ่งโจมตีหน้านาง นางถอยจนหมดหนทางถอยได้อีก
กระบี่หมุนคว้าง ครั้งนี้สกัดการจู่โจมได้แค่สามในสี่ส่วนเท่านั้น ที่เหลืออีกสามสิบกว่าชิ้นพุ่งใส่จงรั่วปิง ก็มีอานุภาพมากพอสร้างความบาดเจ็บให้นางเป็นจำนวนมาก
จงรั่วปิงหลับตาปี๋ ไม่ดิ้นรน ยืนมั่นอยู่ที่เดิม รอชิ้นส่วนเล็กๆ พวกนั้นพุ่งทะลุร่าง