บทที่ 21: ก็อยากจะใช้เธอหนะ
เผยอี้ได้ยินปุ๊บ รีบทำท่าทีเห็นด้วย “ใช่แล้วครับประธานเผย พวกเราเผยซื่อไม่เลี้ยงคนขี้เกียจหรอกครับ ไม่ต้องการพวกสวยแต่ข้างนอกเหมือนกัน ถ้าครั้งนี้เธอสามารถช่วยคุณได้งานโครงการหนานไห่มาหละก็ไม่มีคนจะมีความเห็นกับเธอแน่นอน แต่ถ้าเธอไม่สามารถจัดการงานให้ได้ ก็หมายความว่าเธอยังไม่มีความสามารถพอ”
ความสำเร็จของการเจรจาได้มาซึ่งงานโครงการ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้เจรจาทั้งสองฝ่าย ผู้ช่วยที่ดีคนหนึ่งถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ปกติโครงการพัฒนาของหนานไห่ก็ยากอยู่แล้ว จะให้เธอที่เป็นเลขามือใหม่ที่พึ่งเข้ามาบริษัทลงมือจัดการทำให้โครงการสำเร็จเสร็จสิ้นก็ดูฝืนใจไปหน่อย
ที่เผยอี้ทำแบบนี้ ก็เพราะอยากให้ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้ตัวแล้วถอยออกไป บังคับทำให้เธอลาจากเผยซื่อไป เผยลี่เชินรู้จุดประสงค์ของเผยอี้เป็นอย่างดี เขาหันหน้ามองไปทางไป๋เสว่เอ๋อร์ ไม่ได้พูดอะไร
ไป๋เสว่เอ๋อร์สังเกตเห็นสายตาของเผยลี่เชิน รีบลุกขึ้นยืน โน้มตัวเล็ก ๆ ให้กับทุกคน “ถ้าประธานเผยอนุญาต ฉันจะพยายามช่วยเขาเอางานโครงการหนานไห่มาให้ได้ แล้วก็ขอบคุณทุกท่านที่ให้โอกาสฉันในการพิสูจน์ตัวเอง” เผยอี้แสยะยิ้มถามกลับว่า “แล้วถ้าสมมุติว่าโครงการไม่สำเร็จเพราะความผิดพลาดของเธอหละ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันยอมรับผิดชอบทั้งหมดด้วยตัวเอง”
เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเผยอี้ตั้งใจทำให้เธอลำบากใจ แต่ว่าสิ่งที่เขาพูดก็ไม่ใช่ว่าจะมีไร้สาระ ขณะนี้เจ้านายระดับสูงอยู่ที่นี่หมด ถ้าเธอไม่ตกลง ก็เหมือนกับเธอยอมรับว่าตัวเองเป็นคนที่ดูดีแต่ข้างในกลวงไปโดยปริยาย ดังนั้นเธอจึงต้องตอบตกลง
“เยี่ยม!” เผยอี้ยืนขึ้น “ทุกคนได้ยินแล้วนะครับ นี่คือคำพูดที่ออกจากปากเธอ ถ้าเธอไม่สามารถคว้างานโครงการเพราะความผิดพลาดของตัวเอง เธอยอมรับผิดชอบทั้งหมด”
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ต่างแอบสอดส่องสีหน้าของเผยลี่เชิน เห็นเขาไม่ได้มีการตอบโต้อย่างไร ทุกคนล้วนแอบโล่งอกเบา ๆ
เรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ก่อนที่จะเริ่มประชุม ไม่นาน เผยลี่เชินสั่งให้คนชี้แจงรายละเอียดของโครงการ การประชุมได้เริ่มต้นขึ้น
ผ่านไปชั่วโมงกว่าการประชุมจบลง โครงการได้เริ่มต้นประสานงานอย่างเป็นทางการ ไป๋เสว่เอ๋อร์กอดเอกสารเกี่ยวกับโครงการพัฒนาหนานไห่หนาปึกเดินตามเผยอี้เชินออกจากห้องประชุม
พวกเขาเดินไปไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงคนเดินตามมา เผยอี้เดินไปข้าง ๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ ชำเลืองมองด้วยหางตาแล้วยัดเอกสารไว้บนสุดของกองเอกสารที่ไป๋เสว่เอ๋อร์กำลังกอดอยู่
“ส่งที่ห้องเอกสาร”
พูดจบ เขาเดินมุ่งหน้าไปต่อ
เผยลี่เชินหันมาสแกนอ่านเอกสารในมือไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยความเร็ว จากนั้นสายตาพุ่งไปทางเผยอี้ทันที “เดี๋ยวก่อน!”
เผยอี้หยุดเดิน หันหน้ามามอง “ทำไมหรอครับประธานเผย?”
“คุณแขนขาขาดหรือยังไงกัน” สีหน้าเผยลี่เชินบึ้งตึง
เผยอี้ชักสีหน้า รู้สึกไม่พอใจ “เธอเป็นเลขาไม่ใช่หรอครับ ผมให้เธอไปส่งเอกสารหน่อยจะเป็นอะไรไป”
“เธอเป็นเลขาผม คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งการ” เผยลี่เชินขยับตัวไปยืนอยู่ด้านหน้าเผยอี้ รูปร่างที่สูงกว่าเกือบครึ่งหัวเหมือนกำลังข่มอำนาจอย่างไม่มีเสียง
“ก็ผมอยากใช้เธอไง!”
เมื่อเผยลี่เชินได้ยิน เอื้อมมือไปดึงเอกสารที่อยู่ด้านบนสุดในมือไป๋เสว่เอ๋อร์ออกมา โยนใส่หน้าเผยอี้โดยไม่เกรงใจใด ๆ “เผยอี้ ถ้าคุณไม่ใช้เลขาของตัวเองหละก็ ผมไม่มายด์ที่จะไล่เขาออกแทนคุณนะ แล้วก็เอกสารชิ้นนี้ส่งไปที่ห้องเอกสารภายในสิบนาที ไม่งั้นจะถือว่ากระทำความผิดในข้อหานำข้อมูลภายในบริษัทไปเผยแพร่”
“นี่ คุณ…….”
เผยอี้กัดฟันไว้แน่น พูดอะไรไม่ออก
เผยลี่เชินไม่สนใจปฏิกิริยาของเขา หันมามองไป๋เสว่เอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ “ไป”
พูดจบเดินมุ่งหน้าต่อไป ไป๋เสว่เอ๋อร์ตั้งสติได้ก็รีบเดินตามไป
เผยอี้มองไปทางที่สองคนเดินไป กำมือไว้แน่น
ไป๋เสว่เอ๋อร์หอบกองเอกสารกลับมาที่ห้องทำงานประธาน มองไปทางผู้ชายที่กำลังนั่งทำงานตรงหน้า ครุ่นคิดสักพัก เอ่ยปากว่า “ประธานเผยคะ เรื่องเมื่อกี้ขอบคุณมากนะคะ”
เผยลี่เชินเงนหน้ามองเธอ เหมือนจะยิ้มแต่ก็เหมือนจะไม่ “ลำพังขอบคุณแบบนี้ไม่เห็นจะดูจริงใจเท่าไหร่เลย ต้องทำอะไรสักอย่างให้เห็นถึงจะเข้าท่าสิครับ”
“เอ่อ…คือ…” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกแปลก ๆ ขณะที่ผู้ชายตรงหน้าจ้องมาที่เธอ เห็นรอยยิ้มที่แขวนอยู่มุมปาก เธอจึงเข้าใจทันทีว่าแท้จริงแล้วเขาหมายถึงแบบนั้นนั่นเอง
ไป๋เสว่เอ๋อร์หน้าแดงก่ำ รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “งั้นเดี๋ยวฉันไปจัดการประเด็นในการประชุมให้คุณตอนนี้เลยนะคะ”
เธอพูดจบ รีบหันหลังสับเท้าเดินออกจากห้องประธาน
พูดตรง ๆ ว่า ผู้ชายอย่างเผยลี่เชิน เอาแน่เอานอนไม่ได้ เมื่อกี้ยังทำหน้าบึ้งตึงอยู่เลย วินาทีต่อไปกลับพูดจาที่แฝงไปด้วยความหมายแบบนั้นออกมา
แก้มของไป๋เสว่เอ๋อร์ทั้งสองร้อนวูบวาบ ขณะที่เธอก้าวขาเข้าไปที่ออฟฟิศตัวเอง มือถือก็ดังขึ้น
“แม่ ว่าไงคะ”
ตอนเธอออกมาจากบ้านเธอได้เขียนโน๊ตไว้ให้แม่แล้ว บอกแม่ว่าเธอออกมาทำงาน แต่แม่โทรมาตอนนี้แสดงว่ามีอะไรแน่นอน
“เสว่เอ๋อร์ นี่ลูกทำงานที่เผยซื่อหรอ”
“ใช่ค่ะ เมื่อวานหนูบอกแม่แล้วไงคะ”
แม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เสว่เอ๋อร์ลูก ตอนนี้แม่อยู่ข้างล่างอาคารเผยซื่อ ลูกลงมาหาแม่หน่อยได้มั้ย แม่ขอเงินหน่อยลูก”
“แม่ เกิดอะไรขึ้นคะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์ชะงัก “แม่จะเอาเงินไปทำอะไรคะ”
ไป๋ซื่อล้มละลาย ที่บ้านเหลือเงินไม่เยอะเท่าไหร่ แต่เธอเหลือไว้ให้แม่ไม่กี่พัน ออกไปกินข้าวซื้อของนิดหน่อยยังพอถูไถไปได้ แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่วันก็หมดแล้วหรอ
“แม่ไปเล่นไพ่นกกระจอกสองสามเกม ตอนแรกอยากจะหาเงินสักหน่อย แต่ดวงไม่เฮง แพ้หมดเลย”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินแม่พูดแบบนั้นขมวดคิ้วทันที
ก่อนหน้านั้นตอนที่ไป๋ซื่อยังไม่ล้มละลาย เวลาคุณแม่ไป๋เบื่อ ๆ ก็จะชวนเพื่อนสองสามคนมาดื่มชาพูดคุยกันที่บ้าน ตอนนั้นไป๋ซื่อยังพอมี เล่นเสียไปไม่กี่ตาก็ไม่ได้สะเทือนอะไร แต่ตอนนี้แค่จะประคองชีวิตให้อยู่รอดไปวัน ๆ ยังยากเลย จะเอาเงินที่ไหนมาให้คุณแม่ไปเล่นไพ่
“แม่ สถานการณ์บ้านเราแม่ก็ไม่ใช่ไม่รู้ ทำไมยังไปเล่นไพ่อีกหละคะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกปวดหัวตุบ ๆ แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี
“โถลูก แม่รู้สิจ๊ะ แม่ก็เห็นลูกเหนื่อยมาก ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า แม่สงสารลูกจริง ๆ แม่ก็เลยอยากไปเล่นให้ได้เงิน ลูกจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ไง”
พอไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินแม่พูดก็ใจอ่อน “แม่ หนูรู้ว่าแม่หวังดี แต่การพนันมันเสี่ยงอยู่ดี”
“แม่รู้ แต่พอแม่จะเฮงขึ้นมาก็ไม่มีเงินพอดี ลูกเอาให้แม่อีกสองพัน แม่เล่นสองตาสุดท้ายก็ไม่เล่นแล้ว”
ตอนแรกไป๋เสว่เอ๋อร์อยากจะปฏิเสธ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าแม่อยู่ตัวคนเดียว ส่วนพ่อถูกจับ แม่คนเดียวก็เหงาไม่มีที่พึ่งพา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “แม่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายนะคะ”
“โอเค มันจะเป็นครั้งสุดท้าย”
ไป๋เสว่เอ๋อวางสายด้วยความไม่เต็มใจ หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า เดินออกจากออฟฟิศ
ย้อนไปที่ตระกูลไป๋ยังไม่ล้มละลาย เธอคิดว่าเงินแค่ไม่กี่พันก็ไม่เท่าไหร่เอง แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยน เงินสองพันถือว่าเป็นเงินที่จะดำรงชีวิตได้ตั้งสองสามอาทิตย์
เธอถือเงินพึ่งจะเดินไปหน้าลิฟต์ก็ได้ยินคนเรียกชื่อเธอ
“ไป๋เสว่เอ๋อร์ คุณจะไปไหน”