ตอนที่ 203 ถ้าผมเห็นคุณไปอยู่ในอ้อมกอดของใครล่ะก็
ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเรื่องที่เผยลี่เชินต้องการจะคุยกับเผยอี้นั้น ต้องเกี่ยวข้องกับโครงการล่าสุดของสแควร์หั้นต๋าแน่นอน เธอเองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนัก เธอควรจะรอเผยลี่เชินอยู่ตรงนี้ ดีกว่าเดินเข้าไปพร้อมกับเขา
บริกรที่เดินผ่านไปมาส่งน้ำผลไม้ให้เธอดื่ม ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับดื่มน้ำผลไม้เข้าไปหนึ่งอึก และพลางคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ภายในหัวใจของเธอกลับโทษตัวเอง
วันนี้กลับเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ขึ้นเสียได้ เธอกลัวว่าคนที่อยู่ในห้องนี้จะกระจายข่าวของเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปทั่ว ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วล่ะก็ เธอเองก็ไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะพูดอะไรลับหลังบ้าง
ในตอนนั้นเอง ข้างกายเธอจู่ๆ ก็ปรากฏเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นมา เธอหันไปมองโดยบังเอิญ และก็เห็นเหอหย่าหานและหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้
เมื่อเธอเห็นเหอหย่าหาน ความโกรธจัดก็ปะทุขึ้นภายในหัวใจของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างบอกไม่ถูก ขณะที่เธอกำลังเลว่าเธอควรที่จะถามเหอหย่าหานดีไหมว่าทำไมถึงต้องทำแบบนั้นลงไป สายตาของเหอหย่าหานก็มองตรงมาที่ไป๋เสว่เอ๋อร์
เหอหย่าหานกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเธอนั้นเงียบไปครู่หนึ่งพร้อมๆ กัน พวกเธอทั้งคู่มองมาที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ และจากนั้นก็เดินตรงมานั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้ามกับไป๋เสว่เอ๋อร์ในทันที
เหอหย่าหานยิ้มและจ้องตรงไปที่หญิงสาว “คุณไป๋คะ บังเอิญจังเลยค่ะ ทำไมคุณถึงมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะคะ แล้วลี่เชินล่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเก็บความไม่พอใจเอาไว้ภายใน เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเย็นว่า “บังเอิญเหรอคะ จะบังเอิญหรือไม่บังเอิญ ภายในใจของคุณเหอยังไม่รู้อีกเหรอคะ”
เธอจงใจพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ ถ้าดูภายนอกก็เป็นการตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างธรรมดา แต่แท้จริงแล้ว เธอกำลังพูดถึงเรื่องกาน้ำชาดินเผาเรื่องนั้นอยู่
กาน้ำชาดินเผาที่แตกละเอียดใบนั้น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
เหอหย่าหานจงใจแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และยิ้มให้กับเธอ “คุณไป๋ ดูเหมือนว่าคุณจะหมายถึงฉันเหรอคะ”
เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น เธอก็ลดสายตาลง และไม่พูดอะไร
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเหอหย่าหานทนไม่ไหว เธออดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสนเย็นชาว่า “คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน แสร้งมาคบกับคนมีหน้ามีตาในสังคม ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเลย”
คำพูดของเธอนั้นตรงไปตรงมา เธอไม่ได้สนใจสักนิดเลยว่าเธออยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน เมื่อเธอเห็นว่าไป๋เสว่เอ๋อร์นิ่งเงียบ เธอก็ยิ่งสนุกที่จะพูดมากยิ่งขึ้น และยังคงพูดอย่างไม่สนใจใครต่อไป “ครอบครัวก็ล้มละลายแล้ว ยังจะคิดว่าตัวเองสูงส่งนักเหรอไง!”
เหอหย่าหานเริ่มอาศัยโอกาสนี้ในการเกลี้ยกล่อมเธอ “พอแล้ว ซวนซวน ไม่ต้องพูดแล้วล่ะ”
ซวนซวนยังคงพูดอย่างรุนแรงต่อไป “หย่าหาน ทำไมเธอไปพูดแทนมันล่ะ! ผู้หญิงคนนี้ใช้เต้าไต่ขึ้นไปยังที่สูง มีใครไม่รู้บ้าง!”
“ตึง!” ไป๋เสว่เอ๋อร์วางแก้วน้ำที่อยู่ในมือกระแทกลงกับโต๊ะ เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หญิงสาวที่ชื่อซวนซวนคนนั้น
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตอบเธอกลับไปอย่างไม่สุภาพว่า “ทำไมปากถึงได้เหม็นอย่างนี้คะ วันนี้ทานอะไรเข้าไปเหรอคะ”
“แก… แกพูดอะไรของแก!” ทันใดนั้น หน้าของซวนซวนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที เธอโกรธจัดจนลุกขึ้นยืนและชี้ไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์
ไป๋เสว่เอ๋อร์เข้าใจอย่างชัดเจนว่าทำไมเหอหย่าหานถึงได้พาเพื่อนของเธอเดินมาหาเธอถึงตรงนี้ นั่นก็เพื่อที่จะหาโอกาสด่าทอและโจมตีเธอนั่นเอง
ไป๋เสว่เอ๋อร์จ้องเขม็งไปที่เหอหย่าหาน และพูดด้วยเสียงที่จริงจังว่า “ถ้าคุณคิดที่จะทำให้งานเลี้ยงวันเกิดของคุณพ่อคุณในวันนี้มีแต่เรื่องน่าอับอายต่อหน้าทุกคนแล้วล่ะก็ ฉันก็จะร่วมด้วยจนถึงท้ายที่สุด”
เหอหย่าหานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอขมวดคิ้วแน่น และไม่พูดอะไรออกมา
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่รอให้พวกเธอตอบกลับ เธอหมุนตัวและเดินจากไปในทันที
เดิมทีเธอก็รู้สึกเสียใจมากเพราะเรื่องกาน้ำชาดินเผาที่แตกละเอียดนั่นอยู่แล้ว ไม่คิดเลยว่าเหอหย่าหานจะคอยมาหาเรื่องเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่หยุดหย่อนแบบนี้อีก
เธอระงับความโกรธจัดของเธอเอาไว้ เธอไม่อาจจะรับมือกับสายตาของผู้คนรอบข้างได้ เธอจึงเลือกเดินไปทางที่ไม่ค่อยมีคนนัก
อาจเป็นเพราะเธอเดินเร็วจนเกินไป ประกอบกับรองเท้าส้นสูงแหลมและเรียวบางที่เธอสวมใส่มาในวันนี้นั้น เมื่อเจอกับคราบน้ำเจิ่งนองบนพื้น ทำให้เธอไม่ทันระวัง เธอเกิดลื่นและเสียสมดุลร่วงล้มลงไปข้างหน้าในทันที
“ปัก!”
ศีรษะของเธอพุ่งไปชนเข้ากับแผงหน้าอกอันเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นในทันที หน้าผากของเธอที่ถูกชนนั้นรู้สึกเจ็บปวด ในตอนนั้นเองที่ทั้งร่างกายของหญิงสาวกลับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดแน่นของใครบางคนเข้าเสียแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนนิ่ง จิตใต้สำนึกของเธอบอกให้เธอรีบออกห่างจากคนคนนั้น แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น เธอก็มองเห็นเผยลี่เชินกำลังมองลงมาที่เธอ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลไปครู่หนึ่ง “คุณ… ทำไมถึงเป็นคุณไปได้ล่ะคะ”
เผยลี่เชินเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับถามกลับไปว่า “ผมต้องมองคุณไปชนคนอื่นอย่างนั้นเหรอครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เธอเดาได้ว่าเผยลี่เชินคงจะเห็นตอนที่เธอกับเหอหย่าหานอยู่ด้วยกันแล้วสินะ
ขณะที่เธอกำลังจะเอื้อมมือขึ้นมาสัมผัสตรงหน้าผากที่รู้สึกปวดนั้น ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาที่บริเวณนั้นในทันที เผยลี่เชินใช้ฝ่ามืออันอบอุ่นของเขาอังเข้าไปที่หน้าผากของเธอเข้าเสียแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆ นวดหน้าผากของหญิงสาว ความอบอุ่นของฝ่ามือของเขาค่อยๆ กระจายออกไป และแล้วความเจ็บปวดที่เธอเคยมีก็ค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้ตัว
ความโกรธจัดของไป๋เสว่เอ๋อร์ที่ถูกเก็บกดเอาไว้ในหัวใจก็ค่อยๆ ลดน้อยลงไปอย่างมาก เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่เธอกำลังจะกล่าวขอบคุณนั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของเผยลี่เชินดังขึ้น “ไป๋เสว่เอ๋อร์”
“คะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าขึ้น พร้อมกับมองเข้าไปในสายตาของเขาอย่างสงสัย
ชายหนุ่มพูดขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่แกมบังคับเล็กน้อย “ถ้าเกิดคราวหน้าคุณกล้าที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนอื่นแล้วล่ะก็ ผมจะไม่มีวันให้อภัยคุณแน่”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็ยิ้มตอบเขากลับไป
ทำไมเขาถึงรู้สึกหวงแหนฉันได้มากถึงขนาดนี้กันนะ
เผยลี่เชินสังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของหญิงสาวได้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถามเธอว่า “คุณยิ้มอะไรน่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรค่ะ”
ยิ่งเธอตอบปัดเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เผยลี่เชินอยากจะถามเพื่อให้รู้แน่ชัดถี่ถ้วนมากขึ้นเท่านั้น เขาโอบกอดเธอเอาไว้อย่างเบามือ ขณะที่เขากำลังจะถามเธอนั้น เขาก็ได้ยินเสียงอึกทึกดังขึ้นไม่ไกลจากที่พวกเขายืนอยู่นัก
เผยลี่เชินเงยหน้าและมองไปตามเสียงนั้น เขามองเห็นภาพเงาของคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ล้อมรอบเหอหลิงเฟิงไม่ไกลนัก เขาจ้องมองไปที่ภาพเงาของคนคนนั้น และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น
เขารู้จักผู้ชายคนนั้น เขาชื่อว่าเฝิงเจิ้นปาง เขาคือคนที่เคยถูกเห็นว่าอยู่กับคุณแม่ไป๋มานับหลายครั้งแล้วนั่นเอง!
ไป๋เสว่เอ๋อร์บังเอิญเงยหน้าขึ้น และมองตามไปทางนั้นเช่นเดียวกัน หัวใจของเผยลี่เชินบีบแน่น เขาจึงรีบเดินไปและใช้ตัวบังสายตาของไป๋เสว่เอ๋อร์โดยอัตโนมัติในทันที
ถ้าเกิดผู้ชายคนนั้นเดินมาทางนี้ล่ะก็ เป็นไปได้สูงมากว่าเขาจะพาคุณแม่ไป๋มาด้วย ถ้าเกิดไป๋เสว่เอ๋อร์เห็นเข้าล่ะก็ กลัวว่าเธอคงมีแต่ต้องเจ็บช้ำและยอมรับกับความจริงที่แสนโหดร้ายนี้!
เขาคิดอย่างรอบคอบ เรื่องนี้ยิ่งปิดบังไป๋เสว่เอ๋อร์ได้นานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น หรือจะพูดให้ง่ายก็คือ เขาไม่อยากที่จะต้องเห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ต้องมาเจ็บปวดและเศร้าสร้อยเพราะเรื่องนี้เลย
“คุณทำอะไรน่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกสับสนในการกระทำที่ไม่คาดคิดของเผยลี่เชิน
“เปล่านี่” เผยลี่เชินยืนยันตอบกลับไป
โชคดีที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ได้คิดอะไรมาก และเธอก็หันมองไปยังทางอื่น
ณ บริเวณนั้น หลังจากที่เฝิงเจิ้นปางนำของขวัญมอบให้กับเหอหลิงเฟิงแล้ว เขาก็เอ่ยคำกล่าวลา “เหอเพื่อนยาก ทั้งคำอวยพรและของขวัญฉันก็ส่งมอบให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนะ!”
เหอหลิงเฟิงถามกลับไปว่า “ไม่อยู่ทานข้าวปลาด้วยกันก่อนหน่อยเหรอ”
เฝิงเจิ้นปางโบกมือ “ไม่ล่ะ ฉันยังมีธุระ ครั้งหน้าถ้าฉันว่างเมื่อไร พวกเราค่อยมานัดเจอกันก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหอหลิงเฟิงก็ไม่ยื้อเขาไว้อีกต่อไป หลังจากที่คนทั้งคู่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเรียบร้อย เขาก็ปล่อยให้เฝิงเจิ้นปางกลับไป
เผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนัก ทำให้พวกเขาได้ยินทุกคำพูดที่ทั้งสองคนนั้นพูดคุยกันทั้งหมด
ขณะที่เผยลี่เชินได้ยินว่าเฝิงเจิ้นปางกำลังจะขอตัวกลับ หัวใจที่เคยกลัดกลุ้มก็รู้สึกโล่งขึ้นมาทีเดียว
ตราบใดที่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้มาที่นี่พร้อมกับคุณแม่ไป๋ เรื่องทั้งหมดก็ถือว่าผ่านไปด้วยดี
ทันใดนั้น มีบริกรคนหนึ่งเดินมาหาพวกเขาทั้งสองคน เธอมองไปที่เผยลี่เชิน และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณเผยคะ คุณเผยอี้กำลังตามหาคุณอยู่ เขาบอกว่ามีธุระด่วนค่ะ”
เมื่อเผยลี่เชินได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาเล็กน้อย เขาหันไปหาไป๋เสว่เอ๋อร์และบอกกับเธอว่า “คุณรอผมสักครู่นะ เดี๋ยวผมไปคุยธุระก่อน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับอย่างเหม่อลอย
หลังจากที่เผยลี่เชินเดินจากไปแล้ว เธอก็เดินตรงไปยังห้องน้ำในทันที
เธอยืนอยู่ท่ามกลางบรรดาแขกเหรื่อในงานที่มีเสียงอื้ออึงดังอยู่ตลอดเป็นเวลานาน ทำให้เธอรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
เธอเดินผ่านบรรดาแขกทั้งหลาย ขณะที่เธอยังไม่ถึงหน้าห้องน้ำดีนั้น เธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำไกลๆ ท่าทางการเดินของผู้หญิงคนนั้นช่างคุ้นตาเธอเสียเหลือเกิน
ในตอนแรก ไป๋เสว่เอ๋อร์คิดว่าตาของเธอฝาดไป เธอจึงตั้งใจเพ่งดูอีกครั้ง และพบว่าผู้หญิงคนนั้นคือคุณแม่ไป๋ของเธอนั่นเอง!
ไป๋เสว่เอ๋อร์รู้สึกดีใจในทันที ขณะที่เธอกำลังจะเรียกแม่ของเธอนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมาความสงสัยก็กลับผุดขึ้นมาอัดแน่นอยู่ภายในหัวใจของเธอแทน
คุณแม่… ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ