สัญญาร้ายของประธานปีศาจ – ตอนที่ 283

ตอนที่ 283

ตอนที่ 283 เพื่อนร่วมรบในสนามเพลาะเดียวกัน

ได้ยินเสียงในสายโทรศัพท์ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็สูดน้ำมูกเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “ฉันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ค่ะ”

เธอกำลังจะบอกว่าจะออกไปรอเขาข้างนอก แต่ใครจะรู้ว่าน้ำเสียงของลู่เหยาอยู่ๆก็ซีเรียสขึ้นมาเล็กน้อย รีบเอ่ยปากถามอย่างเร่งด่วนว่า “เสว่เอ๋อร์ นี่คุณร้องไห้หรอ?”

ได้ฟังประโยคนี้ของเขา น้ำตาที่แต่เดิมไม่ง่ายเลยที่จะหยุดลงของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็พรั่งพรูออกมาอย่างไม่อาจจะควบคุมได้อีกครั้ง

ได้ยินเสียงเล็กๆ ลู่เหยาก็มั่นใจในคำตอบ เอ่ยปากขึ้นมาในทันทีว่า “คุณรอผม ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้”

พูดจบ ก็วายสายโทรศัพท์ลง ไป๋เสว่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่เดิมอย่างเหม่อลอย ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไปชั่วขณะ

ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยตระหนักถึงมาก่อนเลยว่าตัวเองมีความใส่ใจเผยลี่เชินมากแค่ไหนกัน แต่เมื่อสักครู่นี้เธอมองเห็นฉากนั้นด้วยตาของตนเอง ไม่สบายใจ น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงสถานะของเผยลี่เชินที่อยู่ในใจของเธอแล้ว

แต่ว่า ในท้ายที่สุดเขาก็ยังคงทำให้เธอผิดหวัง

กำลังตกอยู่ในภวังค์ อยู่ๆก็มีเสียงๆหนึ่งดังสะท้อนเข้ามา “เสว่เอ๋อร์!”

หันหน้าไปตามต้นเสียง ก็เห็นลู่เหยาที่ก้าวขาเดินมาหาเธออย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าที่เร่งรีบ ไป๋เสว่เอ๋อร์ตะลึงงันไปชั่วขณะ ในใจเผยความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

ลู่เหยาเดินเข้ามาใกล้ เห็นตาทั้งสองข้างที่บวมแดงของเธอ ก็รีบเอ่ยปากถามขึ้นมาในทันทีว่า “คุณเป็นอะไรไป? ทำไมถึงร้องไห้?”

ไป๋เสว่เอ๋อร์โบกมือเล็กน้อย ไม่อยากนำเรื่องที่เป็นส่วนตัวมากจนเกินไปไปบอกกับผู้อื่น เธอจึงไม่พูดอะไรเลย

เห็นเธอไม่อยากจะพูดอะไรมาก ลู่เหล่าก็ไม่ได้ฝืนบังคับ เขาล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวใหญ่ ยื่นส่งให้กับเธอ “เช็ดน้ำตาสักหน่อย ผมพาคุณไปทานข้าว”

ไป๋เสว่เอ๋อร์ยื่นมือออกไปรับเอาไว้ พยักหน้าเล็กน้อยพลางเอ่ย “ค่ะ”

ตลอดทางไปยังร้านอาหาร ไป๋เสว่เอ๋อร์ต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่เหยาที่อยู่ข้างๆก็นิ่งเงียบตามไปด้วย รอจนกระทั่งมาถึงร้านอาหาร อารมณ์และความรู้สึกของไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงได้สงบลงมาอย่างมากมาย

ในขณะที่ลงจากรถ เดิมทีลู่เหยาคิดอยากจะเอ่ยให้กำลังใจสองสามประโยค แต่เห็นสีหน้าที่น่าสงสารเหมือนได้รับความไม่เป็นธรรมของไป๋เสว่เอ๋อร์ รู้ว่าในเวลานี้เธอไม่ยอมที่จะเอ่ยถึงเรื่องเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมาอีกอย่างแน่นอน เขาจึงได้เบรกต้นประโยคเอาไว้อย่างกะทันหัน

“อาหารไทยร้านนี้ได้ยินมาว่าเหมือนกับอาหารในท้องถิ่นมากๆ เพื่อนของผมคนนึงแนะนำมา วันนี้มีเวลาว่างพอดี พวกเรามาลองชิมด้วยกัน”

“ค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อย เดินตามลู่เหยาเข้าไปในร้านอาหาร

ทั้งสองคนสั่งอาหารเสร็จ รอจนกระทั่งบริกรเดินจากไป ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า “รุ่นพี่คะ มาพบกับฉันตามลำพังในคราวนี้ มีเรื่องอะไรต้องการจะพูดหรอคะ?”

ลู่เหยาค่อนข้างตกใจที่เธอสามารถปรับโหมดได้รวดเร็วขนาดนี้ เริ่มพูดคุยเรื่องที่เป็นทางการ “เรื่องนี้…ก็ไม่รีบร้อนอะไรมาก อีกสักพักค่อยพูดกันก็ได้”

“พูดเถอะค่ะ ฉันอยากฟังดูสักหน่อย”

เห็นท่าทีที่หนักแน่นของไป๋เสว่เอ๋อร์ ลู่เหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยปากออกมาอย่างช้าๆว่า “ก็ยังคงเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นที่พวกเราสองบริษัทให้ความร่วมมือกัน คุณก็รู้ว่า ตอนนี้ก้าวแรกพวกเราก็ได้ก้าวออกไปแล้ว หนังสือแผนการถูกส่งมอบ แต่กลับไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการบรรลุผลสำเร็จของการร่วมมือในครั้งนี้ เห็นอยู่ว่าใกล้ที่จะถึงเหตุการณ์ของการประกาศผลการแข่งขันประมูล ในเวลานี้ พวกเราควรจะต้องมีการเคลื่อนไหวอะไรหน่อยใช่หรือเปล่า?”

ความหมายในคำพูดของลู่เหยาไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ฟังอย่างเข้าใจดีแล้ว เธอจงใจเอ่ยถามต่อไปว่า “เช่น?”

ลู่เหยากดน้ำเสียงให้ต่ำลงพลางเอ่ย “การแข่งขันประมูลโครงการที่ใหญ่เหมือนกับแบบนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีการสร้างความสัมพันธ์และการใช้อำนาจทางตำแหน่งงานอย่างลับๆ เรื่องนี้คุณผมต่างก็เข้าใจเป็นอย่างดี ดังนั้นจะขาดการติดต่อและการฟังเสียงในเรื่องของความสัมพันธ์ไม่ได้ แต่พวกเราทางนี้ไม่เคยมีการจัดการเช่นนี้มาก่อน พูดในมุมมองของผู้ร่วมธุรกิจแล้ว ตอนนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจในวิธีการคิดของพวกคุณ”

ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าเต็มปอด คำถามนี้เธอก็ได้เคยถามเผยลี่เชินแล้ว แต่คำตอบของเขาก็คือเขาจะหาวิธีจัดการด้วยตนเอง ให้เธอไม่ต้องแทรกมือเข้าไปยุ่ง แต่ตอนนี้ เรื่องได้ขยายและพัฒนาจนมาถึงจุดนี้แล้ว ต่อให้เธอไม่อยากแทรกมือก็คงจะยาก

เห็นไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่พูดอะไรอยู่นาน ลู่เหยาจึงเอ่ยขึ้นต่อไปว่า “ผมรู้ว่าระหว่างประธานเผยและรองประธานเผยทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันแบบผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ดังนั้นเผยซื่อบริษัทเดียวถึงได้ค้นหาบริษัทร่วมลงทุนสองแห่งที่ไม่เหมือนกันจากภายนอกผมได้ยินมาว่าช่วงนี้รองประธานเผยกับประธานเสิ่นต่างก็กำลังติดต่อสร้างความสัมพันธ์กัน พวกเราจะไม่ต้องการใช้มาตรการการเคลื่อนไหวอะไรเลยจริงๆน่ะหรอ?”

ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “เรื่องนี้ฉันก็เคยปรึกษาหารือกับเผยลี่เชินเอาไว้ตั้งนานแล้วค่ะ แต่ว่าเขากลับไม่อยากให้ฉันแทรกมือเข้าไปยุ่งมาก เขาบอกว่าเขามีวิธีจัดการเป็นของตนเอง”

ได้ฟังดันนั้น ลู่เหยาก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีที่จริงจังว่า “แต่นี่ไม่ใช่การแข่งขันของบริษัทพวกคุณเพียงบริษัทเดียว ต้องรู้ว่าตอนนี้อสังหาริมทรัพย์หลินวู่ของพวกเราเป็นเพื่อนร่วมรบในสนามเพลาะเดียวกันกับบริษัทเผยซื่อของพวกคุณ เขาไม่สามารถใช้ความคิดของตัวเองไปกำหนดเรื่องหนึ่งว่าควรหรือไม่ควรทำ”

ที่เขาพูดนั้นก็ ไม่ผิดจริงๆ ตอนนี้พวกเขามีความสัมพันธ์แบบร่วมธุรกิจกัน ควรจะทำอย่างไร ที่แน่ชัดจะทำอย่างไรต่างก็ต้องมาปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน…

หยุดชะงักไปเล็กน้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงได้เอ่ยปากออกมาว่า “เรื่องนี้ฉันจะฟีดแบคความคิดของคุณไปยังท่านประธานเผย พยายามให้คำตอบกับพวกคุณอย่างรวดเร็วที่สุดค่ะ”

“ครับ งั้นก็ฝากคุณด้วย” ลู่เหยาเอ่ยปากขึ้นเบาๆ “หากประธานเผยมีวิธีอะไรที่ดีกว่า งั้นผมก็ยินดีที่จะตั้งใจรับฟังด้วยความเคารพ”

“ค่ะ ฉันจะบอกกับเขาให้”

ในระหว่างที่พูดคุยกันนั้น อาหารก็ได้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ลู่เหยาเปลี่ยนแปลงใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังเมื่อสักครู่นี้ ส่งยิ้มให้กับเธอเล็กน้อย “เสว่เอ๋อร์ รีบทานกับข้าว ไม่งั้นเดี๋ยวจะเย็นหมด”

ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ”

ทานไปสองคำ อยู่ๆไป๋เสว่เอ๋อร์ก็คิดถึงเรื่องที่ไม่น่ายินดีที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงคราวก่อนขึ้นมาได้ เธอเงยหน้ามองลู่เหยา เอ่ยปากขึ้นเบาๆอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “รุ่นพี่ลู่คะ เรื่องในงานเลี้ยงคราวก่อน…”

เธอยังไม่ทันจะพูดจบ ลู่เหยาก็ยิ้มแล้วตัดบทพูดของเธอเบาๆว่า “เรื่องในคราวก่อนก็มีความผิดของผมเช่นเดียวกัน ก็ไม่ต้องเอ่ยขึ้นมาอีกแล้ว พวกเราต่างก็อย่าเอามาใส่ใจ”

เห็นเขาสบายๆใจกว้างเช่นนี้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยกมุมริมฝีปากยิ้มด้วยความดีใจ พยักหน้าเล็กน้อยส่งไปให้กับเขา “ค่ะ งั้นฉันก็จะไม่เอ่ยขึ้นมาอีก”

อาหารทานไปถึงครึ่งหนึ่ง อยู่ๆก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามา พอไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มศีรษะลงไปมอง เห็นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือกำลังกระพริบ “เผยลี่เชิน” สามคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดชะงักลงไปในทันที สีหน้าก็ค้างเอาไว้เช่นเดียวกัน

โทรศัพท์มือถือยังคงกำลังสั่น ไป๋เสว่เอ๋อร์กลับไม่มีท่าทีที่จะรับเลยแม้แต่น้อย ลู่เหยากวาดตามองไปบนหน้าจอโทรศัพท์แวบหนึ่ง จากนั้นก็หันมามองเธอพลางเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงไม่รับล่ะ?”

ไป๋เสว่เอ๋อร์ยื่นมือออกไป กดไปที่ปุ่มล็อคหน้าจอหนึ่งที จากนั้นนำโทรศัพท์มือถือวางคว่ำไปบนพื้นโต๊ะ เอ่ยปากขึ้นอย่างราบเรียบว่า “ไม่ต้องรับค่ะ”

ลู่เหยาได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก ไม่นานนัก เขาก็ถือโอกาสหาข้ออ้างเดินออกไปจากโต๊ะ เหลือพื้นที่ว่างไว้ให้กับไป๋เสว่เอ๋อร์

ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ความโมโหที่อยู่ในใจก็เพิ่มสูงขึ้นมาอีกครั้ง เธอปรับโทรศัพท์เป็นโหมดปิดเสียงไปในทันที มองไม่เห็นจิตใจก็ไม่รู้สึกรำคาญ

ลู่เหยาเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินหันหน้ามาทางด้านนี้ รูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่เสื้อผ้าที่ประณีต ลู่เหยาเงยหน้าขึ้นไปอย่างไม่ทันได้ระวัง แววตาผ่านไปบนใบหน้าของคนๆนั้น สายตาอดไม่ได้ที่จะหยุดชะงักลง

ผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเห็นได้ชัดว่าก็มองเห็นเขาเช่นเดียวกัน เริ่มที่จะหยุดฝีเท้าลงไปก่อน แล้วเอ่ยปากขึ้นทักทายอย่างเป็นกันเองว่า “ประธานลู่ บังเอิญจริงๆ มาเจอกันที่นี่ได้ !”

ลู่เหยาส่งยิ้มไปให้กับเสิ่นหรูเฟิงเล็กน้อย “นั่นสิครับ ประธานเสิ่น ที่ผ่านมาสบายดีนะครับ”

เสิ่นหรูเฟิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วเอ่ยถามชึ้นว่า “มาทานช้าวในสถานที่แบบนี้ คงจะไม่ใช่งานเลี้ยงสังสรรค์ล่ะมั้งครับ? มากับแฟน?”

ลู่เหยาตอบกลับแบบนิ่งๆว่า “มาคุยธุระกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งก็เท่านั้นเองครับ”

“เพื่อนเก่า?” เสิ่นหรูเฟิงราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ บนใบหน้ายังคงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม “ทำไมไม่แนะนำให้กับผมสักหน่อยล่ะครับ? บางทีทุกคนอาจจะเป็นเพื่อนกันหมดเลยก็ได้?”

สีหน้าของลู่เหยาอึมครึมลงไปเล็กน้อย “วันนี้ไม่ค่อยสะดวก คราวหน้าแล้วกันครับ”

“งั้นก็ได้ครับ ฟังท่านประธานลู่” เสิ่นหรูเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ใช่แล้ว อยากจะหาโอกาสพูดคุยกับประธานลู่เป็นการส่วนตัวมาตั้งนานแล้ว ไม่อย่างงั้นวันหลังเรานัดเวลากัน?”

ลู่เหยากลับไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับเขามากนัก จึงเอ่ยปากปฏิเสธแบบอ้อมๆไปในทันที “ขอโทษทีนะครับ ช่วงนี้งานยุ่งมาก เกรงว่าจะไม่มีเวลา”

เสิ่นหรูเฟิงมองลู่เหยาด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้ง เอ่ยถามย้อนกลับขึ้นมาว่า “งั้นหรอ? ประธานลู่ไม่ยินดีที่จะร่วมลงทุนกับผมจริงๆหรอครับ?

สัญญาร้ายของประธานปีศาจ

สัญญาร้ายของประธานปีศาจ

Status: Ongoing

บริษัทไป๋ซื่อเกิดเรื่องใหญ่ในด้านการเงิน พ่อของเธอถูกตำรวจพาไป แม่ของเธอก็ป่วย ร่างกายยิ่งอ่อนแอขึ้น เธอต้องการเงิน ต้องการหลักฐาน นอกจากเผยอี้แล้ว เธอนึกไม่ออกว่ายังมีใครที่จะสามารถช่วยเธอได้ แต่สุดท้าย เธอเพียงแค่ได้รับความเยาะเย้ยจากเขา ยังดีที่เผยลี่เชินออกมาช่วยเธอตอนที่เธอสิ้นหวัง ไป๋เสว่เอ๋อร์มอบตัวเองให้กับเขา แต่ความสัมพันธ์ของสองคนกลับยังไม่จบ พวกเขาจะมีเรื่องอะไรกันต่อนะ? คำแนะนำนวนิยาย

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท