ตอนที่ 347 ไม่เคยคิดที่จะออกมาจากเขามาก่อน
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้สติกลับคืนมาอย่างช้าๆ “รุ่นพี่ หมายความว่าอะไรหรอคะ?”
“ความหมายตามตัวอักษร” น้ำเสียงของลู่เหยาจริงจังเป็นอย่างมาก “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณอยู่ข้างกายของเขาไม่ได้มีความสุข หากคุณยินดีล่ะก็ ผมยินดีที่จะดูแลคุณ”
ความรู้สึกที่ฝังลึกเอาไว้ในใจตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ในที่สุดก็ปิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว ในเวลานี้ ลู่เหยาอยากจะสารภาพ สารภาพทุกสิ่งทุกอย่างต่อหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ให้หมดเปลือก
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าเต็มปอด สังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง เธอเองก็เข้าใจแล้วเช่นเดียวกัน
เมื่อก่อนเธอรู้สึกมาโดยตลอดว่าลู่เหยาทำดีต่อเธอเหมือนรุ่นพี่ที่ทำดีกับรุ่นน้อง พี่ชายที่ทำดีกับน้องสาวแบบนั้น เพราะว่าในความทรงจำของเธอ ลู่เหยาในฐานะรุ่นพี่ดูเหมือนแทบจะดีกับทุกคนที่อยู่ในกลุ่ม
แต่หลังจากที่กลับมาเจอกันอีกครั้งในช่วงระยะเวลานี้ เขาแสดงออกอย่างมีบ้างไม่มีบ้าง บางทีก็ชัดเจนบางทีก็คลุมเครือ ได้นำใจดวงนั้นของเขาแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนหมดแล้ว
ลู่เหยาสูดหายใจเข้าเต็มปอด น้ำเสียงรอบคอบและจริงจัง “ผมชอบคุณมากมาโดยตลอด ตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนมาถึงตอนนี้ ชอบมาโดยตลอด”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอยู่นาน เสียงของชายหนุ่มสะท้อนออกมาจากด้านในหูโทรศัพท์อีกครั้ง
“เสว่เอ๋อร์ คุณยินดีไหม? ที่ผมจะมาดูแลคุณ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยปากขึ้นเบาๆ “ขอโทษค่ะ รุ่นพี่”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ดี แต่เธอมีคนที่อยู่ในใจ บรรจุใครลงไปไม่ได้อีกตั้งนานแล้ว
ถึงแม้ช่วงนี้เธอกับเผยลี่เชินจะผ่านเรื่องที่บางทีอาจจะดีบางทีอาจจะแย่มากมาย แต่เธอกลับไม่เคยมีความคิดที่จะออกมาจากเขามาก่อน
“งั้นก็ได้” เสียงของลู่เหยาแฝงไปด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “เสว่เอ๋อร์ คุณไม่ตอบรับ พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกัน จุดนี้ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลง”
น้ำเสียงของชายหนุ่มจริงจัง ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยแม้แต่น้อย
มือที่กุมโทรศัพท์มือถือเอาไว้บีบเข้าหากันแน่นขึ้นเล็กน้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “ค่ะ พวกเราคือเพื่อนกัน”
วางสายโทรศัพท์ลง ไป๋เสว่เอ๋อร์มาถึงยังห้องอาบน้ำ เห็นคุณแม่ไป๋ได้เตรียมน้ำร้อนให้เธอแช่อาบไว้เป็นที่เรียบร้อย ในวินาทีที่ได้แช่ลงไปในน้ำร้อน ความอ่อนเพลียทั้งหมดทั่วทั้งร่างกายต่างก็กระจายหายไปในวินาทีนั้น
โน้มสายตาลงอย่างไม่ทันระวัง เห็นรอยจางๆสีชมพูแถบนั้นที่อยู่ตรงไหปลาร้ารวมไปถึงบริเวณหน้าอก ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เหมือนถูกฟ้าผ่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน ร่างกายรู้สึกชา สีหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นมาในทันที
ทั้งอายทั้งโมโห ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากเล็กน้อย แอบทำการตัดสินใจว่า ช่วงสองสามวันนี้ เธอจะไม่เจอหน้ากับเผยลี่เชินโดยเด็ดขาด แม้แต่โทรศัพท์และข้อความก็จะไม่ตอบ!
แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ยังคงมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง รู้สึกว่าต่อให้เธอไม่โทรศัพท์ไม่ส่งข้อความ เผยลี่เชินก็จะต้องเริ่มติดต่อกับเธอก่อนอย่างแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่า คราวนี้สัญชาตญาณของผู้หญิงกลับไม่แม่นยำเข้าเสียแล้ว
สามวันเต็มๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ต่างก็ไม่ได้รับสายโทรศัพท์จากเผยลี่เชิน แม้กระทั่งข้อความหนึ่งในวีแชทก็ยังไม่มี หากไม่ใช่เพราะเธอยังสามารถรับข้อความและสายโทรศัพท์จากเจียงหวั่นหวั่นได้ เกรงว่าเธอคงจะรู้สึกว่าโทรศัพท์มือถือของตนเองได้พังลงไปแล้ว
ถึงตอนกลางคืนของวันที่สาม ในที่สุดไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ทนไม่ไหว คุยวีแชทกับเจียงหวั่นหวั่นอย่างไม่มีคำพูดก็หาเรื่องมาพูด เธอหุนหันพลันแล่น เอ่ยถามออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ว่า “หลายวันมานี้ชั้นสูงของบริษัทกำลังยุ่งอะไรกันอยู่?”
ไม่ช้า โทรศัพท์ก็สั่นขึ้น เจียงหวั่นหวั่นตอบกลับข้อความมาว่า “ชั้นสูง?เธอหมายถึงประธานเผยน่ะสิ? เขาออกไปทำงานนอกสถานที่ นี่ก็สองสามวันแล้ว ดูเหมือนจะไปเยอรมนีมั้ง หลายวันมานี้ก็ไม่ได้เห็นเขา”
เห็นข้อความที่เจียงหวั่นหวั่นส่งมา คิดไม่ถึงว่าไป๋เสว่เอ๋อร์จะถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ตัว ที่แท้เขาไม่ได้ติดต่อกับเธอ ก็เป็นเพราะเขาออกไปทำงานนอกสถานที่
“ใช่แล้วเสว่เอ๋อร์ เมื่อไรเธอจะกลับมาทำงานที่บริษัท?”
เห็นรอยยิ้มที่เจียงหวั่นหวั่นส่งมา ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าเต็มปอด ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี
เดิมทีคุณท่านเผยพูดแล้วว่ารอถึงวันจันทร์สัปดาห์นี้เธอก็กลับไปทำงานได้แล้ว แต่เป็นเพราะเธอยังอยู่ในช่วงสงครามเย็นกับเผยลี่เชิน จึงไม่ได้กลับไป
ชีวิตที่อยู่บ้านทุกๆวันแม้ว่าจะสบาย แต่ในท้ายที่สุดก็มีความเบื่อเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ไม่มีเผยลี่เชินอยู่ข้างกาย หลายวันมานี้ในใจของไป๋เสว่เอ๋อร์ต่างก็เคว้งคว้างว่างเปล่า
ช่างเถอะ ยังไม่ต้องรีบร้อนไปก่อน ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็ต้องรอเผยลี่เชินกลับมาจากทำงานนอกสถานที่ค่อยว่ากัน
ชั่วพริบตา ก็ผ่านพ้นไปอีกสองวัน
ทานอาหารเช้าเสร็จ ไป๋เสว่เอ๋อร์เพิ่งจะนำจานไปล้างแล้วเดินออกมาจากห้องครัว ก็เห็นคุณแม่ไป๋ที่สวมเสื้อโค้ทแบรนด์ดังรุ่นใหม่ล่าสุดเดินลงมาจากชั้นสอง ตกแต่งประดับประดาไปทั่วทั้งตัว ตั้งแต่ทรงผมถึงเครื่องประดับ เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเป็นอย่างมาก
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยถาม “แม่ จะไปไหนคะ?”
สายตาของคุณแม่ไป๋สะท้อนขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นเอ่ยปากขึ้นเบาๆว่า “แม่มีนัดรวมตัวกับป้าๆน้าๆทั้งหลายของลูกน่ะ”
ได้ยินดังนั้น คิ้วของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ขมวดกันแน่นขึ้นไปอีก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในใจของเธอชัดเจนเป็นอย่างมาก ตั้งแต่หลังจากที่บ้านตระกูลไป๋เกิดเรื่อง ไป๋ซื่อล้มละลายไปแล้วนั้น คุณหญิงคุณนายเหล่านั้นที่แต่เดิมไปมาหาสู่กับคุณแม่บ่อยๆต่างก็หัวสูง ดูถูกบ้านตระกูลไป๋ที่ตกอับเป็นธรรมดา ไม่ได้มีการคบค้าสมาคมกับคุณแม่ไปตั้งนานแล้ว
ตอนนี้คุณแม่ไป๋พูดเช่นนี้ออกมา เธอก็ต้องไม่เชื่อเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
หลายวันมานี้ที่เธอกลับมา คุณแม่ต่างก็ประพฤติตัวเรียบร้อยมาก อยู่บ้านปลูกดอกมงดอกไม้ ออกไปซื้อพงซื้อผัก ไม่ได้หยุดอยู่เฉยๆบ่อยนัก แต่นี่เพียงแค่ไม่กี่วัน ในที่สุดก็ทนไม่ไหว จะออกไปเจอหน้ากับเฝิงเจิ้นปางแล้ว
นึกถึงคุณพ่อที่เพิ่งจากโลกนี้ไปไม่ถึงเดือน สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อึมครึมลงมา เอ่ยถามย้อนกลับด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “แม่ จำเป็นจะต้องเป็นแบบนี้หรอคะ?”
ได้ยินดังนั้น สีหน้าของคุณแม่ไป๋ก็อึมครึมลงไปเล็กน้อย เอ่ยถามย้อนกลับว่า “แม่เป็นยังไง?”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่อุบให้รออีกต่อไป เอ่ยออกมาทีละคำทีละประโยคว่า “หากเปลี่ยนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ดูน่าเชื่อถือ หนูก็ไม่คัดค้านหรอกค่ะ แต่เฝิงเจิ้นปาง เขาไม่โอเค”
แม้ว่าเธอจะเคยติดต่อสื่อสารกับเฝิงเจิ้นปางเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง แต่กลับรู้สึกได้ถึงความลึกล้ำและความซับซ้อนของเขา คนที่เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ทางชีวิตที่โชกโชนดื่มด่ำอยู่กับกลุ่มคนที่มากมาย คนที่ทุกการกระทำทุกสายตาต่างก็ต้องผ่านอยู่ในสมอง ผ่านการคิดใคร่ครวญก่อนสักหนึ่งรอบแบบนั้น ซับซ้อนมากจนเกินไป
ได้ยินดังนั้น คุณแม่ไป๋ก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาแสดงความรู้สึกที่ซับซ้อนยากจะเข้าใจได้ออกมา “เสว่เอ๋อร์ ลูกคิดว่าสายตาที่ลูกมองผู้ชายนั้นดีมากเลยหรอ?”
พูดประโยคนี้จบ ก็ไม่ได้รอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ตอบกลับ คุณแม่ไป๋หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย อ้อมตัวเธอเดินออกไปทางด้านนอกในทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
คุณแม่ที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกแปลกหน้ามากขึ้นไปอีก
ในขณะที่เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ อยู่ๆโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น พอเธอหยิบขึ้นมาดู ก็เห็นเป็นเจียงหวั่นหวั่นที่โทรเข้ามา
ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอรับโทรศัพท์ขึ้นภายในทันที “ฮัลโหล?”
“เสว่เอ๋อร์ แย่แล้ว บริษัทเกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ในน้ำเสียงของเจียงหวั่นหวั่นแฝงไปด้วยความร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันได้ยินมาว่าวันนี้หลังจากเรียกประชุมผู้บริหารระดับสูง ผู้ถือหุ้นในบริษัทต่างรวมตัวกันเป็นหมู่คณะ ผู้ถือหุ้นคุณถานนำทีมซักถามข้อสงสัยในความสามารถของท่านประธานเผย ตอนนี้ในบริษัทข่าวลือต่างๆกระจายขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทุกทาง ในใจของทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกกันไปหมดแล้ว…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์แทบจะตึงเครียดขึ้นมาในทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เจียงหวั่นหวั่นรีบเอ่ยปากอธิบายออกมาว่า “สิ้นปีแล้วบริษัทไม่ใช่ว่าจะต้องสรุปรวบยอดหรอ? ประธานเผยก็เสนอแผนการเติบโตขึ้นมาใหม่ ช่วงนี้กำลังเตรียมปลดพนักงาน รอกรอกเลือดใหม่ให้กับบริษัทในปีหน้า พนักงานจำนวนไม่น้อยต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก ผู้ถือหุ้นคุณถานก็เลยใช้โอกาสนี้ ปลุกระดมพนักงานจำนวนมาก ยังจัดตั้งรวมกันเป็นหมู่คณะในการประชุมผู้ถือหุ้น วิพากษ์วิจารณ์การกระทำของท่านประธานเผย!”
ได้ยินดังนั้น มือที่ถือโทรศัพท์มือถือของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็กำแน่นขึ้นมาเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอยู่นาน
เธอรู้มานานแล้วว่าถานปินคนนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่านอกจากยืมหัวข้อมาก่อความวุ่นวายในวันปกติแล้ว ตอนนี้เขายังปลุกระดมพนักงาน ต่อต้านเผยลี่เชิน นี่เห็นได้ชัดว่าเขาได้เปิดโปงความทะเยอทะยานที่ชั่วร้ายของตนเองออกมาข้างนอกแล้ว!
เสียงของเจียงหวั่นหวั่นสะท้อนเข้ามาจากสายโทรศัพท์ฝั่งนั้นอีกครั้ง “เสว่เอ๋อร์ เธอฟังอยู่หรือเปล่า? เมื่อกี้มีพนักงานกลุ่มนึงไปทะเลาะวิวาทถึงห้องทำงานของท่านประธานแล้ว ยังทำให้การร่วมลงทุนกับบริษัทการค้าระหว่างประเทศล้มเหลว ฉันกลัวว่าเรื่องจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยคิดโทรศัพท์บอกกับเธอสักหน่อย เธอว่าตอนนี้ทำยังไงดี…”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดหายใจเข้าเต็มปอด เอ่ยปากขึ้นอย่างแทบจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “อย่าเพิ่งกังวลไป เธอเอาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบริษัทบอกกับฉันมาให้หมด ฉันจะคิดหาวิธี!”