ตอนที่ 392 หายไปตั้งหกปี
ใบหูของเธอนั้นชาไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้ากำลังวิ่งไปทั่วร่างกายของเธอ
เผยลี่เชินไม่รอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์โต้ตอบกลับมา เขาก็จับมือของเธอและพาเธอเดินออกไปยังข้างนอกทันที เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว ในตอนนั้นเองที่หญิงสาวอยากที่จะทำความเข้าใจในคำพูดที่ชายหนุ่มเพิ่งพูดออกมา
สิ่งที่เผยลี่เชินต้องการจะบอกก็คือ ภายในหนึ่งเดือนนี้ เขาสามารถที่จะทำอะไรกับเธอ เหมือนที่คนรักกันทำได้ทั้งหมด และนั่นก็รวมไปถึง…….
“ไม่ได้!” ทันใดนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เอื้อมมือออกมา และผลักประตูออกไปเพื่อที่จะลงจากรถ “ฉันรู้สึกเสียใจแล้ว!”
แม้ว่าหญิงสาวจะยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปมากนัก มือของเธอก็ถูกมือขนาดใหญ่ของชายหนุ่มคว้าเอาไว้ จากนั้น ร่างกายของเธอก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของเขาเสียแล้ว
เผยลี่เชินรีบจับมือทั้งสองข้างของหญิงสาวมามัดไว้ที่ด้านหลังตัว แล้วใช้ร่างกายของตัวเองในการกดและหยุดเธอไม่ได้ดิ้นไปมา ทำให้ทั้งสองคนก็สบสายตากันอย่างพอดี “เสียใจตอนนี้ มันก็สายไปแล้วล่ะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ เธอถูกกดตัวและถูกควบคุมเอาไว้ด้วยสภาพที่ไม่สามารถขัดขืนหรือทำอะไรได้เลยแม้แต่นิดเดียว ในช่วงเวลานั้น เธอรู้สึกอยากที่จะร้องไห้ออกมา
ความโกรธจัดทั้งหมดได้พัฒนาและแปรเปลี่ยนไปเป็นคำพูดที่ระเบิดออกมาจากปากของเธอ ไป๋เสว่เอ๋อร์กัดฟัน พร้อมกับตะโกนด้วยความโมโหจัดออกไปว่า “คุณ….เผยลี่เชิน คุณมันเลวสิ้นดี!”
ชายหนุ่มไม่รู้สึกโกรธเธอเลยแม้แต่นิดเดียว เขากลับฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ และพูดว่า “ใช่ ผมยอมรับ”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ยกคางขึ้นเล็กน้อย และจูบเข้าให้ที่ริมฝีปากของหญิงสาวด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย
ในเมื่อตอนนี้เขาได้กลายเป็นคนเลวไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะเลวให้เต็มที่และมากขึ้นกว่าเดิม
ไป๋เสว่เอ๋อร์หายใจถี่ ร่างกายของเธอนั้นถูกกดเพื่อไม่ให้ดิ้นเอาไว้ มือทั้งสองข้างของเธอถูกจับไพล่หลังเอาไว้ เธอจึงทำได้เพียงอ้าปากและกัดเข้าที่ริมฝีปากของเขาอย่างเต็มแรง
คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงโอดโอยที่แฝงไปด้วยความหมายบางอย่างดังขึ้นมาจากที่มุมปากของเขา……
เมื่อดึงศีรษะของตัวเองกลับมาได้ ภายในดวงตาของเผยลี่เชินก็ปรากฏความขุ่นเคืองขึ้นมา “คุณ…เป็นหมาเหรอไง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์โต้ตอบกลับอย่างไม่ไว้หน้าว่า “คุณต่างหากที่เป็นหมา!”
เจิงหงที่นั่งอยู่ด้านหน้ามองดูทั้งสองคนที่กำลังทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ อย่างไม่จบสิ้น แม้ว่าเขาจะไม่กล้ามองดูเท่าไรนัก แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ในที่สุด เมื่อรถยนต์เดินทางไปได้ครึ่งทางแล้ว “สงคราม” ของทั้งสองคนก็สิ้นสุดลงเสียที
ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ยอมหันกลับไปมองอีกฝั่งหนึ่ง เธอเอาแต่มองออกไปยังนอกหน้าต่าง มีความรู้สึกบางอย่างติดอยู่ที่ภายในใจของเธอ และที่บริเวณหูของเธอนั้นก็กลายเป็นสีแดงก่ำด้วย
เผยลี่เชินพิงไปที่ด้านข้างเล็กน้อย และมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่เขากำลังมองสีหน้าด้านข้างของหญิงสาวนั้น เขาก็นึกย้อนไปถึงความไม่ยอมแพ้ของเธอเมื่อสักครู่นี้ ทันใดนั้น สายตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขาก็รู้สึกลึกซึ้งมากขึ้น
ถ้าหากว่าเธอสามารถอยู่ข้างกายเขาตลอดไปได้แล้วล่ะก็ มันคงจะดีมากทีเดียว
ครู่ต่อมา รถยนต์ก็เคลื่อนมาถึงยังจุดหมายปลายทางเรียบร้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ผลักประตูออกไปและลงจากรถ เมื่อเธอได้เห็นคฤหาสน์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ซึ่งให้ทั้งความรู้สึกคุ้นเคยและความรู้สึกแปลกหน้าในคราวเดียวกัน ทันใดนั้น ภายในหัวใจของเธอก็รู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นมาทันที
เผยลี่เชินเดินมาหยุดอยู่ที่ข้างกายของเธอ และค่อยๆ งอข้อศอกไปทางหญิงสาวเล็กน้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เธอก็ยกมือขึ้นมาและคล้องแขนของชายหนุ่ม
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินเข้าไปยังภายในคฤหาสน์ เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไปแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงผู้คนกำลังพูดคุยบางอย่างดังขึ้นมาจากทางห้องนั่งเล่น
เมื่อเผยลี่เชินเดินก้าวเข้าไปยังบริเวณห้องนั่งเล่น เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองตามไป ทันทีที่เธอได้เห็นบรรดาหน้าตาของผู้คนที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟานั้น มันก็ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะประหม่าขึ้นมาในทันที
นอกจากคุณพ่อเผยแล้ว ยังมีเผยอี้ จินจิงจิง และเย่ชิวหรง ทุกคนต่างกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นทั้งหมด ในครู่หนึ่งนั้นเอง พวกเขาทุกคนต่างมองมาที่เผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าเวลากลับหยุดลงเสียดื้อๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์จับมือของเผยลี่เชินและบีบมือของเขาแน่นโดยไม่รู้ตัว
“หนูไป๋เหรอ” คุณพ่อเผยมีสีหน้าที่ดูประหลาดใจ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ร่างกายของเขาดูสั่นเทิ้มเล็กน้อย “หนู……”
ไป๋เสว่เอ๋อร์รีบฉีกยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก และโต้ตอบเขากลับไปว่า “สวัสดีค่ะ คุณลุง ไม่เจอกันเสียนานเลยนะคะ”
ดวงตาของคุณพ่อเผยเปล่งประกายแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ เขารีบเอ่ยปากต้อนรับทันทีว่า “กลับมาก็ดีแล้วล่ะ กลับมาก็ดีแล้ว!”
ทั้งสามคนที่นั่งอยู่บริเวณข้างๆ และกำลังรู้สึกหวาดกลัวนั้น ในที่สุด ก็ได้สติและมีปฏิกิริยาบางอย่างโต้ตอบกลับมา เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เย่ชิวหรงก็ยืนขึ้นและร่วมต้อนรับเธอกลับมาเช่นกัน “คุณหนูไป๋ ไม่ได้พบกันมาสักพักแล้วนะคะ!”
พวกเขาที่อยู่ตรงหน้าต่างถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเธอ ไม่รู้ว่าคำพูดใดจริงใจ หรือว่าคำพูดใดแค่พูดออกมาตามหน้าที่กันแน่ แต่ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เลือกที่จะยิ้มโต้ตอบกลับไปทั้งหมด
คุณพ่อเผยเอ่ยปากพูดด้วยความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยมออกไปว่า “หนูไป๋! อย่าหาว่าลุงพูดมากเลยนะ ตอนที่หนูหายไปช่วงหนึ่ง ลี่เชินเปลี่ยนไปอย่างกับเป็นคนละคน ถ้าตอนนี้หนูกลับมาแล้ว พวกเราทุกคนล้วนดีใจและมีความสุขอย่างมากเลยล่ะ!”
เมื่อจินจิงจิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคุณพ่อเผยพูดออกมาเช่นนี้ เธอก็เบ้ปาก ตาทั้งสองข้างของเธอเหลือบขึ้นมองบนในทันที
ไป๋เสว่เอ๋อร์ร่วมยิ้มไปกับคุณพ่อเผย เธอนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกไป คุณพ่อเผยเรียกให้พวกเขาไปนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข จากนั้นเขาก็มองไปที่เผยลี่เชินและไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับยิ้มและถามออกมาว่า “ในเมื่อกลับมาคบกันอีกครั้งแบบนี้ ทั้งสองคนวางแผนจะแต่งงานกันเมื่อไรล่ะ”
เมื่อถูกถามด้วยคำถามนั้นเข้า เธอรู้สึกเหมือนโดนใครบางคนตบหน้าเข้าให้อย่างจัง ไป๋เสว่เอ๋อร์หันหลังกลับไปมองที่เผยลี่เชินด้วยความสับสนเล็กน้อย จากนั้น ก็รีบพูดออกไปว่า “พวกเรายังไม่มีแผนที่จะแต่งงานกันตอนนี้ค่ะ”
เมื่อได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้น รอยยิ้มที่เคยปรากฏอยู่บนใบหน้าของคุณพ่อเผยก็กลับแข็งทื่อและหายไป แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา “หนูไป๋ ก็ตามที่หนูว่าแล้วกัน แต่ไม่ว่าเมื่อไร ยังไงครอบครัวเผยของเราก็ต้อนรับหนูเสมอ! ไว้รอให้ถึงตอนที่หนูแต่งงานกับเผยลี่เชิน ลุงจะเตรียมของขวัญชิ้นโตไว้ให้อย่างแน่นอน!”
เมื่อคุณพ่อเผยพูดจบ เย่ชิวหรงและจินจิงจิงที่นั่งอยู่บนโต๊ะอีกฟากหนึ่ง ก็มีสีหน้านิ่งและดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เมื่อทั้งสองคนมองหน้ากัน ก็สามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันของกันและกัน
เผยลี่เชินที่นั่งอยู่ข้างๆ และยังคงนิ่งเงียบมาตลอด ทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็โพล่งพูดออกมาว่า “พ่อ ทานข้าวกันก่อนเถอะครับ”
“ได้! มาทานข้าวกัน!” เมื่อคุณพ่อเผยพูดเสร็จ เขาก็ไอออกมาเล็กน้อย เขาหันหน้าไปอีกทาง พร้อมกับไอออกมาอย่างรุนแรงมากขึ้น และทั่วทั้งร่างกายของเขานั้นก็เริ่มสั่นเทิ้มไปทั้งตัว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย และเริ่มรู้สึกประหลาดใจ
เธอยังจำได้ดีว่าเมื่อหกปีก่อนนั้น คุณพ่อเผยมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดีมาก แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้มาเห็นเขาเข้า เธอสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ถึงความชราที่เพิ่มขึ้นในตัวเขาอย่างชัดเจน
เผยลี่เชินขมวดคิ้ว และเอ่ยปากถามออกไปว่า “พ่อครับ พ่อได้ดื่มยาตามที่หมออานสั่งไว้ตรงเวลาหรือเปล่าครับ”
คุณพ่อเผยพยักหน้า ขณะที่เขายังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปนั้น เย่ชิวหรงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กลับพูดโพล่งออกมาก่อนว่า “คุณท่านดื่มยาตรงเวลาตลอดค่ะ ทุกวันวันละสามครั้ง ฉันคอยอุ่นยาให้คุณท่านดื่มด้วยตัวเองตลอด คุณหมออานบอกไว้แล้วค่ะว่ายาประเภทนี้ออกฤทธิ์ช้าสักหน่อย ต้องใช้เวลาดื่มสักระยะหนึ่งถึงจะเห็นผลค่ะ!”
“ใช่” คุณพ่อเผยพยักหน้า “ลูกไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ทานข้าวกันดีกว่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เผยลี่เชินก็ไม่คิดอะไรมากตามที่คุณพ่อเผยกล่าว
ทว่าไป๋เสว่เอ๋อร์กลับรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมากโดยบังเอิญ ก็เหลือบไปเห็นเย่ชิวหรงกำลังถอนหายใจด้วยความโล่งใจอย่างลับๆ
เธอขมวดคิ้ว ขณะที่เธอยังไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปนั้น เธอก็สัมผัสได้ว่าที่ด้านข้างของเธอนั้น มีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองไปตามความรู้สึกนั้น สายตาของเธอก็สบเข้ากับสายตาของเผยอี้ที่ดูมีลับลมคมในอย่างพอดี หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ชายหนุ่มก็ยิ้มให้กับเธอ และเอ่ยปากถามออกไปว่า “คุณไป๋ คุณหายไปตั้ง 6 ปี ผมไม่รู้ว่า 6 ปีที่ผ่านมานี้ คุณไปทำอะไรที่ไหนมาบ้างล่ะครับ”
เมื่อสักครู่ ตอนที่เธอกำลังคุยกับคุณพ่อเผยและเย่ชิวหรงนั้น เผยอี้กับจินจิงจิงคอยนั่งอยู่ข้างๆ และไม่พูดแทรกขัดจังหวะอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เธอรู้สึกสงสัย และนึกไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่นาที เขาก็ทนไม่ไหวที่จะต้องถามเรื่องนี้ขึ้นมาเสียแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มขึ้นที่มุมปาก และตอบกลับไปอย่างเบาๆ ว่า “ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ ก็แค่อยากแยกกันอยู่สักพักก็เท่านั้นค่ะ”
“แยกกันอยู่สักพักอย่างนั้นเหรอ” เผยอี้ยิ้มขึ้นที่มุมปาก น้ำเสียงของเขาดูสนุกขึ้นมาเล็กน้อย “สักพักที่ว่ามันนานมากเลยนะครับ”
คุณพ่อเผยขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยปากพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เผยอี้! กินข้าว!”
ดวงตาของเผยอี้เต็มไปด้วยความรู้สึกไม่พอใจ แต่ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ก้มศีรษะและลงมือกินข้าวต่อไป
การทานอาหารในมื้อนี้นั้น เต็มไปด้วยความไม่พอใจและไร้ซึ่งความสุข บรรยากาศแวดล้อมต่างเต็มไปด้วยความอึดอัดและความเย็นชา ขณะที่ไป๋เสว่เอ๋อร์นั่งอยู่ที่นั่น เธอกลับได้แต่รู้สึกไม่สบายใจเท่านั้น
ในที่สุด มื้อค่ำนี้ก็จบลงอย่างไม่ราบรื่น ทันใดนั้น คุณพ่อเผยก็เอ่ยปากออกมาว่า “หนูไป๋ หนูมาดูนี่สิ หนูคิดว่าตัวอักษรที่ลุงเขียนวันนี้เป็นยังไงบ้าง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์เดินตามคุณพ่อเผยไปยังบริเวณโต๊ะหนังสือที่ตั้งอยู่ข้างๆ เพื่อดูตัวอักษรที่ชายชราเขียน และที่อีกฟากหนึ่งนั้น เผยลี่เชินก็เดินไปหาเผยอี้ สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด จากนั้น เขาก็เอ่ยปากออกมาว่า “นายมากับฉันหน่อย”
เผยอี้ยิ้มขึ้นที่มุมปาก และเดินตามเผยลี่เชินไปยังห้องเก็บของที่ตั้งอยู่ด้านข้างอย่างไม่แยแส จากนั้น เขาก็พูดออกมาด้วยท่าทีล้อเล่นว่า “ผมก็แค่ถามอะไรเธอเล็กน้อยแค่นั้นเอง พี่ชาย ทำไมจะต้องจริงจังนักด้วยล่ะ