ตอนที่ 396 จะหนีคุณไปได้ยังไงกันล่ะ
“ฉันได้ยินมาว่าคุณแม่ของเธอไปหาลูกนอกสมรสของเฝิงเจิ้นปางเข้า และตั้งใจจะมอบเงินก้อนหนึ่งเพื่อให้พวกเขาไปจากเขตไห่เฉิงนี่ซะ แต่ว่าอีกฝั่งไม่เห็นด้วย ทั้งสองฝ่ายก็เลยมีปากเสียงทะเลาะกัน……” เจียงหวั่นหวั่นเงียบไปครู่หนึ่ง และรีบเอ่ยปากพูดเพิ่มเติมออกมาอีกว่า “แล้วฉันก็ยังได้ยินมาอีกว่า เป็นเพราะว่าครอบครัวนั้นอาศัยอยู่ในเขตชุมชนของเราพอดี……”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันทีโดยไม่รู้ตัว
เธอรู้ดีว่าภายในใจของคุณแม่ไป๋นั้นกำลังกังวลในเรื่องอะไรอยู่ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกนอกสมรส แต่สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเฝิงเจิ้นปาง ถ้าเกิดถึงคราวที่พวกเขาคิดที่จะอาศัยสถานะของตนเองเพื่อขอแบ่งทรัพย์สินแล้วล่ะก็ เฝิงเจิ้นปางก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้อย่างแน่นอน ดังนั้น คุณแม่ไป๋จึงคิดที่จะใช้เงินก้อนหนึ่งเพื่อไล่ให้พวกเขาไปจากที่นี่เสีย แล้วค่อยจัดการแบ่งทรัพย์สินให้พวกเขาในภายหลังอีกที
แต่ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาไม่ใช่คนโง่ พวกเขาต่างรู้จักที่จะชั่งน้ำหนักถึงข้อดีข้อเสียของการกระทำเช่นนี้ และเป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงนี้
เจียงหวั่นหวั่นที่อยู่ปลายสายก็ยังคงพูดต่อไปอีกว่า “เสว่เอ๋อร์ ฉันคิดว่าเรื่องนี้คุณแม่ของเธอทำไม่ถูกเท่าไรนะ ฉันได้ยินมาว่ามีคนเอาข้าวของไปปาใส่บ้านของครอบครัวนั้นด้วย เรื่องมันแย่มากจนเพื่อนบ้านในละแวกนั้นต่างรู้กันหมดทุกคนเลยล่ะ……”
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เอ่ยปากถามกลับไปอย่างแผ่วเบาว่า “หวั่นหวั่น เธอพอจะรู้รายละเอียดที่อยู่ของพวกเขาไหม พรุ่งนี้ฉันอยากจะไปขอโทษพวกเขาแทนแม่ของฉันน่ะ”
“รู้สิ เดี๋ยวฉันจะส่งไปให้เธอนะ เธออยากจะให้ฉันไปเพื่อนเธอด้วยไหม”
“ไม่ต้องหรอก” ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดเบาๆ ต่อไปว่า “แค่เธอเอาเรื่องนี้มาบอกให้ฉันรู้ ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งมากแล้วล่ะ ยังไงพรุ่งนี้เธอก็ตั้งใจทำงานเข้านะ”
เจียงหวั่นหวั่นหัวเราะ “ทำไมพวกเราสองคนต้องคุยกันสุภาพขนาดนี้ด้วยล่ะ! นัดวันมาเจอกันหน่อยดีกว่า ฉันรู้จักร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อไม่นานนี้ รสชาติไม่เลวทีเดียว ไว้ฉันจะพาเธอไปกินนะ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มตามทันที “ได้เลย ไว้เธอค่อยโทรนัดฉันอีกทีก็แล้วกันนะ”
หลังจากวางสายแล้ว รอยยิ้มที่เคยปรากฏบนใบหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ เดิมทีนั้นเธอก็ไม่ได้รู้สึกง่วงนอนอะไรอยู่แล้ว และยิ่งตอนนี้เธอเพิ่งจะได้รู้เรื่องราวของคุณแม่ไป๋เข้า ทำให้เธอยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้คุณแม่ไป๋เป็นคนในครอบครัวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่เท่านั้น เธอจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปจัดการกับเรื่องนี้ให้ได้
เมื่อเหลือบไปมองยังนาฬิกา ตอนนี้เวลาก็ค่อนข้างดึกมากแล้วทีเดียว เธออดกลั้นความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะโทรหาคุณแม่ไป๋ของเธอเอาไว้ ไป๋เสว่เอ๋อร์ล้มตัวลงนอนบนเตียง ภายในหัวของเธอนั้นต่างคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้กลับไปกลับมา
อย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่เธอกลับมาถึงยังไห่เฉิง เธอก็ถูกลากเข้าไปให้มีส่วนร่วมในเรื่องราวต่างๆ มากมายโดยไม่ได้ตั้งใจในทันที
ขณะที่เธอกำลังพลิกตัวไปมาและรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นั้น สุดท้ายแล้ว เธอก็ผล็อยหลับไปในที่สุด
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อแสงแรกของวันส่องกระทบเข้ามายังภายในห้องนอน เผยลี่เชินก็มายืนอยู่ที่ข้างเตียงของไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับกำลังอุ้มห้าวเจ๋อน้อยอยู่ในอ้อมแขน
ห้าวเจ๋อน้อยพิงเผยลี่เชิน และลดเสียงของเขาลง พร้อมกับพูดออกมาว่า “คุณอาข้าวโอ๊ตฮะ คุณอาบอกว่าหม่าม้าจะตื่นเมื่อไรเหรอฮะ”
เผยลี่เชินขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยปากถามออกไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อยว่า “เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าเวลาอยู่กันสองคนให้เรียกอาว่าปะป๊าได้น่ะ”
ห้าวเจ๋อน้อยเบิกตาอันกลมโตที่เหมือนลูกองุ่นทั้งสองข้างของเขาขึ้นในทันที มืออันเล็กจิ๋วของเขาชี้ไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบๆ “หม่าม้าอยู่ ผมไม่กล้า……”
เมื่อได้ยินดังนั้น เผยลี่เชินไม่รู้ว่าจะดีใจหรือว่าเสียใจดี เขาจึงเอ่ยปากถามออกไปอย่างเรียบง่ายว่า “หนูอยากปลุกหม่าม้าให้ตื่นไหมครับ”
ห้าวเจ๋อน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น เขาก็กระซิบตอบกลับไปว่า “ให้คุณอาปลุกดีกว่าฮะ”
ทั้งสองหนุ่มน้อยใหญ่ต่างมองหน้ากัน และไม่มีใครกล้าพอที่จะปลุกหญิงสาวเลยสักคนเดียว
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำบางอย่างดังขึ้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็พลิกตัวกลับมา และค่อยๆ ลืมตาของเธอขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเธอเห็นว่าทั้งสองคนนั้นกำลังยืนอยู่ที่ข้างเตียง เธอก็อึ้งไปครู่หนึ่งอย่างช่วยไม่ได้
ไป๋เสว่เอ๋อร์ลุกขึ้นนั่ง และเอ่ยปากถามออกไปด้วยความประหลาดใจว่า “พวกคุณ…..มาทำอะไรที่นี่กันคะ”
ห้าวเจ๋อน้อยเอื้อมมืออันเล็กจิ๋วทั้งสองข้างออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณอาข้าวโอ๊ตบอกว่าต้องปลุกหม่าม้าให้ตื่นได้แล้ว ผมไม่ได้เป็นคนคิดนะฮะ จริงๆ ผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนหม่าม้าตอนกำลังหลับปุ๋ยอยู่แล้วด้วย!”
เผยลี่เชินมองห้าวเจ๋อน้อยด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวเจ๋อ หนู…….”
ในตอนแรกเริ่มนั้น เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูน้อยคนนี้ต่างหากที่เป็นคนแนะนำให้เขามาปลุกไป๋เสว่เอ๋อร์ แต่ทำไมเรื่องราวกลับตาลปัตรและกลายเป็นว่าชายหนุ่มต่างหากคือคนที่เป็นต้นคิดของเรื่องนี้ทั้งหมด!
เมื่อได้เห็นการแสดงออกของทั้งสองคนแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก “ก็ได้จ้ะ หม่าม้าตื่นแล้วก็ได้ พวกลูกสองคนออกไปก่อนนะ ขอแม่เปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย”
“หม่าม้า ผมอยากอยู่กับหม่าม้าต่อ” ห้าวเจ๋อน้อยดิ้นเล็กน้อย เพื่อให้เผยลี่เชินวางเขาลง จากนั้นเด็กน้อยก็เดินไปนั่งลงที่ข้างเตียง พร้อมกับหันไปมองเผยลี่เชิน และเอ่ยปากแนะนำออกไปว่า “คุณอาข้าวโอ๊ต คุณอาออกไปก่อนสิฮะ”
“อาเหรอ” เผยลี่เชินชะงักไปครู่หนึ่ง แววตาของเขาดูครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้น เขาก็มองไปที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ด้วยอารมณ์ทีเล่นทีจริง “อาก็ไม่ไปเหมือนกัน”
ขณะที่ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หยิบหมอนที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมา จากนั้น เธอก็ปาใส่เผยลี่เชินเข้าให้ในทันที
เผยลี่เชินมือไวตาไวคว้าหมอนเอาไว้ได้ในทันที จากนั้น เขาก็รีบเอ่ยปากพูดออกว่า “ก็ได้ ผมออกไปก็ได้!”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น เขาก็โยนหมอนที่อยู่ในมือกลับไปไว้บนเตียง ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับไป เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปหาห้าวเจ๋อน้อยและทำหน้าตาบูดบึ้งใส่เขา ทำให้ห้าวเจ๋อน้อยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจไม่หยุด
ไป๋เสว่เอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาที่มุมปาก ตอนนี้ เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมากทีเดียว
เธอนึกไม่ถึงมาก่อนเลยว่ามันจะมีวันหนึ่งที่เธอ เผยลี่เชิน และห้าวเจ๋อน้อย จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน พร้อมกับมาหยอกล้อเล่นกันอย่างสนุกสนานแบบนี้ได้……..
“หม่าม้า……”
ห้าวเจ๋อน้อยขยับเข้ามาใกล้เธอ พร้อมกับอ้าแขนและโอบกอดร่างของไป๋เสว่เอ๋อร์เอาไว้อย่างช้าๆ “วันนี้หม่าม้าพาผมออกไปเที่ยวด้วยได้ไหมฮะ เมื่อวานหม่าม้าไม่ได้พาผมไปด้วย……”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเด็กชายตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจเล็กน้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที เธอเอื้อมมือขึ้นมาและหยิกแก้มของเด็กชายตัวน้อย แต่แล้วทันใดนั้น เธอก็นึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เธอมีธุระบางอย่างที่จำเป็นจะต้องไปทำ
ห้าวเจ๋อน้อยไม่รอให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ทันพูดอะไรออกมา เขาก็ใช้ศีรษะอันเล็กจิ๋วของเขาซุกไปที่หน้าอกของเธอ “หม่าม้า วันนี้หม่าม้าจะไม่ทิ้งให้ผมต้องอยู่บ้านคนเดียวอีกแล้วใช่ไหมฮะ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง เมื่อเธอมองดูห้าวเจ๋อน้อยที่กำลังออดอ้อนเธอเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
หลังจากที่เธอคิดไปคิดมาสักพัก เธอก็กอดห้าวเจ๋อน้อยอย่างแนบแน่น พร้อมกับกระซิบพูดออกไปว่า “วันนี้หม่าม้ามีธุระต้องไปทำ หม่าม้าพาหนูไปด้วยได้นะ แต่ว่าหนูต้องสัญญากับหม่าม้าก่อนว่าหนูจะต้องเชื่อฟังหม่าม้า ตกลงไหมจ๊ะ”
“ตกลงฮะ!” ห้าวเจ๋อน้อยตกปากรับคำด้วยน้ำเสียงที่แสนมั่นใจ
ไป๋เสว่เอ๋อร์ยิ้มขึ้นที่มุมปาก แต่ภายในใจของเธอนั้นกลับรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็อุ้มห้าวเจ๋อน้อยกลับไปยังห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากที่เธอเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ตัดสินใจที่จะเดินทางออกจากบ้าน
เมื่อเผยลี่เชินที่นั่งอยู่ตรงโซฟาเห็นเข้า เขาก็รีบลุกขึ้นยืนและเดินไปหาพวกเขาทั้งสองคนในทันที “พวกคุณจะไปไหนกัน”
ไป๋เสว่เอ๋อร์โน้มตัวลงและจัดเสื้อผ้าของห้าวเจ๋อน้อยให้ดูเรียบร้อย พร้อมกับพูดออกไปอย่างเบาๆ ว่า “ฉันจะไปหาคุณแม่ค่ะ ตอนเที่ยงพวกเราคงไม่กลับมานะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เผยลี่เชินก็รีบเอ่ยปากทันที “เดี๋ยวผมไปกับพวกคุณด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” ไป๋เสว่เอ๋อร์เงยหน้าและสบตาเข้ากับดวงตาของชายหนุ่ม พร้อมกับเอ่ยปากถามกลับไปว่า “ฉันจะหนีคุณไปได้ยังไงกันล่ะคะ”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” สีหน้าของเผยลี่เชินดูจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย “ผม…….”
ขณะที่ชายหนุ่มยังพูดไม่จบนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็รีบเอ่ยปากต่อไปว่า “เดี๋ยวฉันจะพาเสี่ยวเจ๋อกลับมาที่นี่ตอนบ่ายค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ เธอก็เอื้อมมือออกไปและจับมือน้อยๆ ของห้าวเจ๋อน้อยเอาไว จากนั้นเธอก็จูงมือเด็กชายตัวน้อยเดินออกไปยังข้างนอกทันที
เมื่อเดินไปถึงยังบริเวณสวนในบ้าน ทันใดนั้น คนขับรถก็เดินตามมาในทันที “คุณหนูไป๋ครับ คุณผู้ชายให้ผมขับรถไปส่งพวกคุณ แบบนี้พวกคุณจะสะดวกมากกว่านะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก เธอหันหลังกลับไปมองเผยลี่เชินที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง จากนั้น เธอก็พยักหน้าให้กับคนขับรถ “ตกลงค่ะ”
สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีทางเชื่อใจกันได้เลยสินะ ถ้าเกิดว่าเขาเชื่อใจเธอแล้วล่ะก็ ทำไมจะต้องส่งคนมาคอยจับตาดูพวกเธอแบบนี้ด้วยล่ะ
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เธอไม่มีแผนที่จะหนีไปจากที่นี่เลยสักนิดเดียว ในเมื่อเซ็นสัญญาในข้อตกลง 30 วันนั้นเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่เคยคิดที่จะใช้วิธีการนี้เลย
เมื่อขึ้นรถแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา จากนั้นเธอก็ต่อสายโทรหาคุณแม่ไป๋ทันที
เมื่อโทรศัพท์ต่อสายติด จากนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นอยู่หลายครั้ง ก่อนที่จะมีคนกดรับสายเข้า “ฮัลโหล เสว่เอ๋อร์”
“แม่คะ แม่สบายดีนะคะ”
คุณแม่ไป๋นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรีบเอ่ยปากขึ้นมาว่า “แม่…แม่ต้องสบายดีอยู่แล้ว! ทุกอย่างเรียบร้อยดีจ้ะ”
เมื่อได้ยินคุณแม่ไป๋พูดแบบนี้เข้า ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แม่คะ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว แม่ไม่ต้องโกหกหนูอีกต่อไปแล้วล่ะค่ะ”
หลังจากที่ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดจบ ปลายสายโทรศัพท์ก็นิ่งเงียบและไม่พูดอะไรอย่างที่เธอคาดคิดเอาไว้
ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงพูดขึ้นมาในทันทีว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หนูรู้หมดแล้วล่ะค่ะ