ตอนที่ 399 คิดหาวิธีช่วยฉันหน่อย
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขมวดคิ้ว และมองไปที่เผยลี่เชิน จากนั้น เธอก็ลดเสียงลงและเอ่ยปากถามออกไปว่า “คุณจะทำอะไรน่ะ”
เผยลี่เชินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเบาๆ ว่า “พวกคุณมาทานข้าวกันที่นี่ ผมเองก็มาทานข้าวที่นี่เหมือนกัน ไม่ได้เหรอครับ”
เขาเลือกมาทานอาหารที่ร้านเดียวกันกับพวกเธอ แถมยังตัดสินใจเลือกมานั่งที่บริเวณโต๊ะข้างๆ พวกเธออีก ในขณะที่ตอนนี้ ภายในร้านอาหารก็มีที่นั่งว่างมากมายให้เลือกตั้งเยอะแยะ แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าจงใจจะให้เรียกว่าอะไรได้อีกกัน
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มเจตนาที่จะมาสร้างความวุ่นวาย แต่ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะเธอไม่ใช่เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้
สีหน้าของลู่เหยาไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาเอ่ยปากถามออกไปอย่างเบาๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้น ประธานเผยก็มาร่วมโต๊ะทานอาหารกับพวกเราดีไหมครับ”
ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการใครสักคนหนึ่งออกไป ถ้าอย่างนั้น ก็เรียกให้ทุกคนมาเผชิญหน้ากันบนโต๊ะนี้เลยดีกว่า
เผยลี่เชินยิ้มขึ้นที่มุมปาก “ในเมื่อประธานลู่เอ่ยปากชวนเองแบบนี้ ผมก็คงปฏิเสธไม่ได้ล่ะครับ”
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น เขาก็ลุกขึ้นยืน และเดินมานั่งลงที่ด้านข้างของไป๋เสว่เอ๋อร์อย่างไม่ลังเลในทันที พร้อมกับเอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวเจ๋อ ให้มานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองคน
การกระทำเช่นนี้ของเผยลี่เชินถือว่าเป็นการประกาศศักดาของความเป็นเจ้าของอำนาจอันสูงสุดอย่างเห็นได้ชัด ไป๋เสว่เอ๋อร์พูดอะไรไม่ออกไปชั่วครู่ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็มองเห็นว่าลู่เหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามนั้นมีสีหน้าที่ดูไม่ดีเอาเสียเลย
ในช่วงเวลานั้น เธอไม่สามารถที่จะไล่เผยลี่เชินออกไปได้เสียแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์จึงได้แต่ยกมือขึ้นเพื่อเรียกบริกรให้มาที่โต๊ะ จากนั้น เธอก็ส่งเมนูอาหารให้กับลู่เหยา พร้อมกับเอ่ยปากพูดออกไปอย่างเบาๆ ว่า “พวกเราสั่งอาหารกันเถอะค่ะ”
“ครับ” ลู่เหยายิ้มให้กับหญิงสาว พลางเปิดเมนูอาหาร และเอ่ยปากถามออกไปอย่างลอยๆ ว่า “กุ้งผัดกระเทียมไหมครับ ร้านนี้ทำได้รสชาติดี ไม่เลวทีเดียว”
“แล้วก็สั่งซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ของโปรดของเสี่ยวเจ๋ออีกที่ด้วยแล้วกัน”
“แล้วก็สั่งแกงจืดเต้าหู้ทะเลด้วย จานนี้พวกคุณต้องลองชิมดู ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยครับ”
การแนะนำเมนูอาหารของลู่เหยานั้น สามารถดูแลเรื่องรสชาติอาหารที่ทั้งไป๋เสว่เอ๋อร์และเสี่ยวเจ๋อสนใจทานได้อย่างครบถ้วนและให้ความรู้สึกถึงความใกล้ชิดเป็นอย่างมาก
เผยลี่เชินที่นั่งอยู่ด้านข้างมีสีหน้าที่ดูนิ่งขรึมมากขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับมองไปที่ลู่เหยาด้วยสายตาที่ดูเย็นชามากขึ้นทีเดียว
เมื่อเสี่ยวเจ๋อที่กำลังเล่นของเล่นในมือเงยหน้าขึ้น เขาก็มองเห็นเผยลี่เชิน จากนั้น เขาจึงเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “คุณอาข้าวโอ๊ตฮะ ทำไมตาของคุณอาถึงเป็นสีแดงล่ะฮะ”
เมื่อเผยลี่เชินตั้งสติได้ เขาก็ยิ้มให้เสี่ยวเจ๋อ “พอดีอาตื่นเต้นมากที่ได้เจอหม่าม้าของหนูน่ะ”
เมื่อไป๋เสว่เอ๋อร์ได้ยินดังนั้น จู่ๆ แก้มทั้งสองข้างของเธอก็ร้อนขึ้นมาในทันที เธอรู้สึกทั้งเขินอายและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายแล้ว เธอก็กลับไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรเพื่อตอบโต้กลับไป
ลู่เหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นเล็กน้อยของไป๋เสว่เอ๋อร์ ภายในหัวใจของเขารู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้น เขาก็เอ่ยปากถามออกไปเบาๆ ว่า “สั่งไปเยอะแล้วเหมือนกันนะ ไว้รออีกสักพัก พวกเราค่อยสั่งใหม่ดีกว่าครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้าตอบรับ “ได้ค่ะ”
หลังจากนั้นไม่นาน กุ้งกระเทียมก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ หลังจากที่เผยลี่เชินลองชิมดูหนึ่งคำ เขาก็เอ่ยปากพูดออกมาด้วยหน้านิ่งและน้ำเสียงจริงจังว่า “รสชาติแบบนี้……ก็ยังธรรมดานะครับ ประธานลู่ ครั้งหน้าคุณไปที่บ้านของพวกเราดีกว่า ฝีมือของแม่ครัวที่บ้านเราอร่อยกว่าเยอะใช่ไหมครับ เสี่ยวเจ๋อ”
สุดท้ายแล้ว ห้าวเจ๋อน้อยก็ยังคงเป็นเด็ก และไม่รู้ถึงความหมายแอบแฝงที่เผยลี่เชินซ่อนเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ฮะ อาหารบ้านคุณอาข้าวโอ๊ตอร่อยมากเลยฮะ”
ลู่เหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามมีสีหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาจับตะเกียบขึ้นมา และคีบอาหารให้ไป๋เสว่เอ๋อร์ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “กินเยอะๆ นะครับ”
ไป๋เสว่เอ๋อร์พยักหน้า และนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกไปครู่หนึ่ง
ไป๋เสว่เอ๋อร์อดทนและเก็บความโกรธเอาไว้ภายในใจจนจบมื้ออาหารที่เต็มไปด้วยความอึดอัดและแสนน่าอายนี้ลง ทันทีที่พวกเขารับประทานอาหารมื้อนี้เสร็จ และกล่าวคำอำลาที่บริเวณทางเข้าร้านอาหารเรียบร้อยแล้ว เธอจึงพาห้าวเจ๋อน้อยขึ้นรถไป จากนั้น เธอก็ทนไม่ไหวและเอ่ยปากถามออกมาในที่สุดว่า “เผยลี่เชิน คุณคิดจะทำอะไรกันแน่น่ะ”
เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขาเอนตัวเล็กน้อย และถามกลับไปว่า “คุณคิดว่าผมจะทำอะไรล่ะ หรือว่าผมต้องมาคอยนั่งดูภรรยากับลูกของผมไปทานข้าวกับผู้ชายคนอื่น”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ตะโกนออกไปด้วยความโกรธจัด “ใครเป็นภรรยาของคุณกัน!”
ทันใดนั้น เอวของเธอก็รู้สึกได้ถึงแรงกดขึ้นมาทันที จู่ๆ ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็ถูกใครบางคนดึงตัวเข้าไปใกล้ ทั้งร่างของเธอแนบชิดสนิทเข้ากับร่างกายของชายหนุ่ม เผยลี่เชินก้มศีรษะลง และพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ภรรยาของผมก็คือคุณ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและเด็ดขาดแน่วแน่ จนไม่อาจตอบโต้ใดๆ กลับไปได้ ไป๋เสว่เอ๋อร์มองดูใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่ตรงหน้าของเธอด้วยความประหลาดใจ หัวใจของเธอนั้นเต้นดัง “ตึกตัก” อย่างรัวเร็วจนไม่อาจที่จะควบคุมได้เลย
ในช่วงเวลานั้นเอง สมองของเธอนั้นก็ขาวโพลนโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เหลือแต่เพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอยู่ในสายตาเท่านั้น
ทันใดนั้น เผยลี่เชินก็โน้มศีรษะลง และอาศัยช่วงที่ไป๋เสว่เอ๋อร์ไม่ได้เตรียมตัวป้องกันเอาไว้ รีบจูบหญิงสาวที่ริมฝีปากอย่างรวดเร็ว จูบนั้นรวดเร็วราวกับแมลงปอที่มาเคล้าคลอล้อน้ำและรีบหนีจากไปอย่างรวดเร็ว
เผยลี่เชินกำชับเธออย่างเบาๆ ว่า “รีบกลับบ้านล่ะ ผมยังมีธุระต้องทำ ผมจะไม่ตามคุณไปแล้ว”
เมื่อเขาพูดจบ ทันใดนั้น เขาก็ปล่อยมือที่กอดรอบเอวของหญิงสาว จากนั้น เขาก็ยิ้มขึ้นที่มุมปาก และหันหลังเดินไปที่รถยนต์ที่จอดนิ่งสนิทอยู่ทันที
เมื่อชายหนุ่มเปิดประตูและขึ้นรถไปแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ถึงจะได้สติกลับคืนมาและค่อยๆ ตั้งตัวได้อย่างช้าๆ
เธอไม่ทันได้เตรียมพร้อมกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่นี้ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด มีเพียงแต่หัวใจตรงบริเวณหน้าอกที่ยังคงเต้นรัวเร็วมากยิ่งขึ้น
เมื่อเธอเปิดประตูรถและขึ้นรถไป ความไม่พอใจที่ติดอยู่ภายในใจเมื่อครู่นี้หายไปเกือบจะทั้งหมดแล้ว เธอปิดประตูรถ และเอ่ยปากบอกคนขับรถให้ออกรถ “กลับบ้านค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดจบนั้น เธอก็หันไปมองที่ด้านข้าง และเธอก็เห็นห้าวเจ๋อน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ เอามือป้องปากที่กำลังหัวเราะอย่างลับๆ
ขณะที่เธอยกมือขึ้นมาลูบศีรษะอันเล็กจิ๋วของเขา ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็กระซิบถามออกไปว่า “เป็นอะไรไปจ๊ะ”
ห้าวเจ๋อน้อยหัวเราะจนไหล่สั่นและดิ้นไปดิ้นมา “เมื่อกี้ผมเห็นหม่าม้าจูบกับคุณอาข้าวโอ๊ตด้วยล่ะฮะ……”
สีหน้าของไป๋เสว่เอ๋อร์เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้น จิตใต้สำนึกของเธอก็คิดที่จะใช้มือปิดที่ตาของห้าวเจ๋อน้อย แต่อีกไม่กี่วินาทีต่อมา จู่ๆ เธอก็คิดขึ้นมาได้ว่าถึงจะปิดตาของเขาไปตอนนี้ มันก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว
“ลูก…ลูกไม่เห็นอะไรสักหน่อย” ไป๋เสว่เอ๋อร์ตื่นตระหนกเล็กน้อย “ลูกมองผิดแล้วล่ะ พวกเราไม่ได้ทำอะไรกันเลยนะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ห้าวเจ๋อน้อยก็เอาศีรษะอันเล็กจิ๋วของเขาซุกเข้าไปในอ้อมกอดของไป๋เสว่เอ๋อร์ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างลับๆ ต่อไป
ไป๋เสว่เอ๋อร์ก้มศีรษะลงไป และมองดูห้าวเจ๋อน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอ พลางโกรธพลางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
ระหว่างทางกำลังกลับบ้าน ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็หวนย้อนนึกไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่สวนอีเดนเมื่อตอนเช้า และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา วันนี้นอกจากเจียงอวี่และแม่ของเขาทั้งสองคนจะไม่ยอมยกโทษให้คุณแม่ของเธอแล้ว เธอกลับไปทำให้เรื่องราวระหว่างพวกเขานั้นแย่ลงไปยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เกรงว่านับจากนี้ต่อไป การขอให้พวกเขาให้อภัยคงจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว
ไป๋เสว่เอ๋อร์คิดทบทวนกลับไปมา สุดท้ายแล้ว เธอก็ตัดสินใจกดโทรออกไปหาคุณแม่ไป๋
เสียงของคุณแม่ไป๋ที่อยู่ปลายสายดังขึ้นมา “ฮัลโหล เสว่เอ๋อร์ หนูจัดการเรื่องบ้านนั้นเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจลึกๆ และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้น เธอก็เล่าความจริงออกไปว่า “ยังค่ะ พวกเขากำลังเข้าใจพวกเราผิดอย่างมากเลยล่ะค่ะ”
หลังจากที่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ให้คุณแม่ไป๋ได้ฟังไปแล้ว 1 รอบ คุณแม่ไป๋ที่อยู่ปลายสายก็ตะโกนด้วยความโกรธจัดออกมาทันทีว่า “นี่มันอะไรกัน! ยังมีกล้ามาทำแบบนี้อีกเหรอ นี่ถ้าเกิดลูกเป็นอะไรไปนะ แม่จะไม่มีวันยอมให้อภัยพวกนั้นแน่!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับเอ่ยปากถามกลับไปว่า “แม่คะ ถึงตอนนี้แม่ก็ยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ ถ้าเกิดว่าตอนนั้นแม่ไม่ไปหาเรื่องพวกเขาก่อนแล้วล่ะก็ เรื่องราวมันก็คงจะไม่บานปลายไปกันใหญ่ขนาดนี้หรอกค่ะ”
เมื่อถูกไป๋เสว่เอ๋อร์พูดแบบนี้เข้า คุณแม่ไป๋ก็นิ่งและเงียบไปในทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา คุณแม่ก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเพราะแม่ไม่ได้คิดให้รอบคอบก่อน ต่อไป แม่จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรแบบนั้นอีกแล้วล่ะ อีกอย่างเฝิงเจิ้นปางก็ใกล้จะกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว ถ้าเกิดว่าเจียงอวี่กับแม่ของเขา……”
เมื่อได้รู้ถึงความกังวลของคุณแม่ของเธอแล้ว ไป๋เสว่เอ๋อร์ก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเอ่ยปากพูดออกไปว่า “แม่คะ แม่สัญญากับหนูได้ไหมว่าต่อไปแม่จะไม่ทำแบบนี้อีก”
คุณแม่ไป๋รีบเอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็วในทันทีว่า “แม่สัญญา! แต่ว่าเสว่เอ๋อร์ ตอนนี้ลูกต้องรีบคิดหาวิธีช่วยแม่นะ!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์ขบริมฝีปากของตัวเอง และเอ่ยปากออกไปอย่างแผ่วเบาว่า “แม่คะ วิธีเดียวที่จะจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้คือแม่จะต้องสารภาพกับเฝิงเจิ้นปางค่ะ ถ้าทำแบบนี้แล้ว เขาจะได้ไม่โกรธแม่มากขนาดนั้น แต่ถ้าเกิดเขาได้ฟังเรื่องนี้จากปากของเจียงอวี่และแม่ของเขาที่ใส่สีตีไข่เข้าไปเพิ่มเติมล่ะก็ เขาจะต้องยิ่งโกรธจัดมากกว่าเดิมแน่นอนค่ะ”
เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้แล้ว คุณแม่ไป๋ก็อดไม่ได้ที่จะรีบพยักหน้าเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว “ลูกพูดถูก!”
ไป๋เสว่เอ๋อร์กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้แน่น และกำชับคุณแม่ไป๋ด้วยน้ำเสียงเข้มว่า “แม่จำในสิ่งที่หนูพูดไว้ให้ดีนะคะ แม่จะต้องยอมรับในความผิดพลาดของแม่ก่อน บอกกับเขาว่าแม่บุ่มบ่ามรีบที่จะไปหาพวกเขา โดยคิดแค่ว่าจะขอให้พวกเขาไปจากไห่เฉิงแห่งนี้ เพื่อรักษาชื่อเสียงของครอบครัวเฝิงก็เท่านั้น เข้าใจไหมคะ แม่”