บทที่ 287 เจตนาฆ่าตัวตาย2
ซินเหยาสั่งให้พวกเขาทั้งสี่คนรีบออกไปจากที่นี่…
ทั้งห้าเพิ่งจะไปจากยุ้งฉางร้างออกไปได้ไม่นาน ก็ออกมาจากป่าแล้ว แล้วมองไปทางเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไป ไม่นานทางด้านเหนือก็มีเปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ซินเหยาอุทานอย่างตกใจ “ไฟไหม้หนักมาก ไม่รู้ว่าไฟมาได้ยังไง?”
ฮัวโหล่หยูนมองดูอย่างละเอียด พูดขึ้นมาว่า “นั่นจวนเฉิงเสี้ยงนี่นา”
ซินเหยาจึงพูดขึ้นมาว่า “จวนเฉิงเสี้ยงงั้นหรือ? ทำไมจวนเฉิงเสี้ยงถึงไฟไหม้ได้ล่ะ?”
ฮัวโหล่หยูนส่ายศีรษะอย่างเศร้าใจ แล้วพูดว่า “เกรงว่าจะเป็นกรรมตามสนองถางเปิ่นขุย คืนนี้เขาส่งคนที่เก่งกาจและยอดฝีมือส่วนใหญ่ของจวนเฉิงเสี้ยงออกมาจัดการพวกเรา แต่คิดไม่ถึงว่าซ่องโจรของตัวเองจะรวมอยู่ในนั้นด้วย คราวนี้จวนเฉิงเสี้ยงได้พังพินาศไม่อาจพลิกฟื้นกลับมาได้แล้วจริงๆ”
เจี้ยนหารยีพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่จำเป็นต้องเป็นคนอื่นที่วางเพลิง ใต้หล้านี้มีไม่กี่คนที่กล้าเข้าไปกระตุกหนวดเสือ หรือบางทีอาจจะเป็นแค่ไฟไหม้เท่านั้น”
ในใจของซินเหยาก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะแอบไปสืบดูสักหน่อย พวกเจ้ากลับไปพักผ่อนและรักษาแผลที่สำนักชิงหลงก่อนเถอะ ผู้ช่วยของสำนักชิงหลงคือ…เพื่อนที่ดีสุดที่สุดของข้า พวกเจ้าแค่บอกว่าเป็นเพื่อนของหยาวซิน เขาย่อมต้องดูแลพวกเจ้าอย่างดี ชีวหยูนจะเป็นคนนำทางพวกเจ้าไปเอง นางรู้จักที่นั่น
ฮัวโหล่หยูนกล่าวว่า “แต่ว่า…นายท่าน พวกข้ายังมีคำพูดอีกมากมายที่อยากจะพูดกับท่าน”
ซินเหยาจึงพูดว่า “มีอะไรจะพูดก็พูดทีหลังไม่ได้งั้นหรือ? หรือว่าจำเป็นต้องพูดตอนนี้?”
ฮัวโหล่หยูนพูดอย่างจริงจังว่า “เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ปีนั้น ยอดฝีมือท่านนั้นที่เคยสั่งสอนวรยุทธ์ให้พวกเราเคยบอกกับพวกเราเอาไว้ว่า จะต้องตามหานายท่านให้เจอ จากนั้นก็ยังมีคำพูดฝากมาบอกกับนายท่าน ยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นบอกว่า คำพูดนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ยากลำบากและความสงสัยในใจทั้งหมดที่นายท่านต้องเผชิญหน้า”
ซินเหยาเองก็รู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว “มีปาฏิหาริย์อะไรงั้นหรือ? เป็นคำพูดอะไร? หากไม่ใช่ประโยคที่ยาวมากก็พูดย่อๆ มาให้ข้าฟัง แต่ถ้ายาวเกินไปก็รอพรุ่งนี้ค่อยพูดให้ข้าฟังจะดีกว่า”
“ไม่ยาวๆ มีแค่แปดตัวอักษรเท่านั้นขอรับ”
“งั้นก็พูดมาสิ”
“ดาวบังคับสละราชบัลลังก์สี่ดวง นกอินทรีโผบินกับสำนัก”
“มันหมายความว่าอะไร?”
“ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจ”
“เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ใช่บอกว่า ประโยคนี้จะแก้ไขความสงสัยที่มีอยู่ในใจของข้าทั้งหมดไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ขอรับ”
“แต่ว่าข้าฟังประโยคนี้กลับสงสัยขึ้นกว่าเดิมอีกนะ”
“คำพูดนี้เป็นยอดฝีมือผู้นั้นพูดเอาไว้ บางที ในประโยคนี้อาจจะมีความลี้ลับอะไรแฝงอยู่ก็ได้ จำเป็นต้องเข้าใจความลี้ลับนั่นอย่างทะลุปรุโปร่งถึงจะสามารถบรรลุความลับในนั้นก็เป็นได้นะขอรับ”
“พอแล้วๆ รีบกลับไปพักผ่อนอาบน้ำนอนเถอะ มีความลับอะไรก็ค่อยพูดทีหลังแล้วกัน ชีวหยูน เจ้าพาพวกเขากลับไปที่สำนักชิงหลง หากไม่มีเรื่องอะไรก็อย่าออกมา ให้คนของสำนักชิงหลงไปเชิญหมอสักสองสามคนมารักษาบาดแผลของพวกเขาด้วย”
พูดจบ ซินเหยาก็อุ้มเสี่ยวป๋านบินทยานเข้าไปในความมืด ตรงไปยังทางที่เปลวไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
“นายท่าน…ในที่สุดก็ตามหานายท่านเจอแล้ว อีกอย่างก็คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านจะเป็นยอดฝีมือด้านวรยุทธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ผู้หนึ่ง ข้ารู้สึกปลื้มอกปลื้มใจมากจริงๆ”
ฮัวโหล่หยูนมองเงาด้านหลังของซินเหยาที่ห่างออกไปไกล ก็พูดออกมาด้วยความทราบซึ้งใจ
เจี้ยนหารยีพูดอย่างเย็นชาว่า “ปลื้มอกปลื้มใจกับตูดเจ้าน่ะสิ วรยุทธ์ของนายท่านสูงขนาดนั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องให้พวกเราคอยปกป้องดูแลแล้ว นางปกป้องพวกเราก็ว่าไปอย่าง เมื่อกี้เจ้าไม่เห็นรึไง? นางรังเกียจที่วรยุทธ์ของพวกเราที่มันใช้ไม่ได้ ก็เลยไม่ต้องการพวกเราไงล่ะ”
หงจู๋พูดขึ้นมาว่า “แล้วมันไม่ใช่เช่นนั้นหรือ? ข้ากลับรู้สึกว่านายท่านเป็นกันเองไม่น้อย ภายนอกดูเยือกเย็นมีไหวพริบ แต่ภายในกลับใจดีมีน้ำใจ เมื่อครู่นี้นางก็ช่วยชีวิตพวกเราเกือบจะเอาชีวิตของตัวเองไม่รอด หากตัวนางเองอยากจะหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว ก็ย่อมไม่มีใครขัดขวางนางได้ แต่นางกลับไม่เคยคิดจะหนีไปแต่แรก กลับเข้ามาช่วยเหลือพวกเราอย่างไม่เสียดายชีวิตตัวเอง”
ชีวหยูนพูดขึ้นมาอย่างเศร้าใจว่า พวกเราไม่เคยเดาใจของนางออกเลย นางซ่อนความในใจของตัวเองเอาไว้ทั้งหมด ไม่ยอมให้ใครเห็น แม้นางจะไม่ถือว่าเจ้าเป็นพี่เป็นน้อง แต่เมื่อถึงตอนที่เจ้ามีอันตราย นางจะเป็นคนแรกที่เข้ามาช่วยเจ้า”
สายตาของฮัวโหล่หยูนกลับฉายแววเสียใจ แล้วพูดขึ้นมาว่า “เมื่อครู่นี้ที่พวกเราใช้การฆ่าตัวตายมาข่มขู่นาง มันเป็นการทำเกินไปหรือไม่? ถึงอย่างไรนางก็เป็นนายท่านของพวกเรา”
หงจู๋กล่าวว่า “ถ้าไม่ทำเช่นนี้ นางจะยอมรับพวกเราได้อย่างไร?”
ชีวหยูนพูดว่า “นางยังไม่ได้รับปากว่าจะยอมรับพวกเราอย่างเป็นทางการนี่นา”
ตอนที่ทั้งสามคนต่างกำลังกังวลว่าในอนาคตซินเหยาจะไล่พวกเขาออกไปหรือไม่ เจี้ยนหารยีที่ไม่สนใจอยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็พูดประโยคที่ไม่สุดท้ายออกมา
หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนได้ยินแล้ว
ก็นึกขึ้นมาได้ทันที ล้วนแต่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งเช่นเดียวกัน
ราวกับการได้รับความรู้ทางธรรมจนแตกฉานทางโลก
ความจริงได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
เจี้ยนหารยีพูดว่า “ถึงอย่างไรแม้ข้าใกล้จะตายข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ซินเหยาบินตามเปลวเพลิงที่พุ่งขึ้นสู้ท้องนภา เปลวเพลิงเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าจะดึงนางให้มาที่จวนเฉิงเสี้ยงได้จริงๆ
นางมาถึงด้านนอกของจวนเฉิงเสี้ยง เห็นแค่รอบๆ จวนเฉิงเสี้ยง มีชาวบ้านมามุงดูกันเป็นจำนวนมาก
ส่วนจวนเฉิงเสี้ยงที่อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง ในที่สุดก็ได้กลายเป็นขี้เถ้าอย่างสมบูรณ์….
คนชุดดำที่เป็นมือธนูต่างยืนเรียงรายกันเป็นแถว และเตรียมเล็งธนูไปที่จวนเฉิงเสี้ยงแล้ว
และคนด้านในที่หนีออกมาจากประตูใหญ่ ประตูด้านข้าง และรอบๆ รั้วกำแพง ก็ตายภายใต้ลูกศรที่พุ่งลงมาราวห่าฝนทันที…
มีเสียงร้องอันน่าเวทนาของชายหญิงและคนแก่กับเด็กดังออกมาจากข้างในจวนเฉิงเสี้ยงไม่หยุด…
เสียงทั้งแหลมและเศร้ารันทดราวกับอยู่ในนรกภูมิก็ไม่ปาน
ซินเหยามองหาหลังคาบ้านที่สูงที่สุด แล้วกระโดดลอยตัวไปด้านบน อยากจะสังเกตดูสถานการณ์ที่อยู่ด้านในจวนเฉิงเสี้ยงสักหน่อย แต่สุดท้ายกลับชนเข้ากับคนผู้หนึ่งอย่างจัง