บทที่ 293 ยังสามารถย้อนกลับไปได้2
นามย่อมมีความสามารถพอที่จะเปิดมันได้
ถ้าหากกล่องกองฉุกเฉินพิเศษที่สองนี้ไม่ใช่ของนาง…เช่นนั้นมันพิสูจน์อะไรได้
บนโลกแห่งนี้ยังมีกองฉุกเฉินพิเศษอีกคนหนึ่งข้ามเวลามาด้วยเช่นกัน
อย่างน้อย กล่องกองฉุกเฉินพิเศษของเขาคนนั้นก็ข้ามเวลามาแล้ว
เจ้าหน้าที่คนนั้นเองก็ต้องข้ามเวลามาด้วยแน่ๆ
ว่ากันตามสถานการณ์ที่ซินเหยาประสบ เจ้าหน้าที่คนนั้นอาจจะข้ามเวลามาเมื่อนานมาแล้ว หรือไม่ก็ อาจจะผ่านไปอีกนานจึงจะย้อนเวลากลับมาก็เป็นได้
ไม่ว่าจะมีเจ้าหน้าที่กองฉุกเฉินพิเศษคนอื่นๆ หรือไม่
อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้แล้วหนึ่งเรื่อง
การที่ซินเหยามาเยือนยังห้วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องครั้งคราว และไม่ใช่ความบังเอิญที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกันเลย
ห้วงเวลานี้ จะต้องมีการเชื่อมต่ออันลึกลับกับโลกในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดอย่างแน่นอน…
ดังนั้น หลังจากมีการข้ามเวลามาครั้งแรก ถึงได้มีการข้ามเวลาครั้งที่สองอีก
หากเป็นกรณีนี้ขึ้นมาจริงๆ…
ถ้าหากมีการข้ามเวลาที่เหมือนกันถึงสองครั้ง ซินเหยาก็สามารถหาวิธีกลับไปยังโลกศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว
ตราบใดที่มีการเชื่อมต่อที่แน่นอนระหว่างเวลาและสถานที่กับโลกในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ก็มีวิธีที่จะย้อนกลับการเชื่อมต่อนี้แล้วเดินทางกลับไปยังโลก…
กลับไปสู่โลก?
กลับไปประเทศจีน
กลับไปศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด?
เหตุใดซินเหยาจึงไม่ได้ตื่นเต้นเลย?
นางไม่เคยคิดเลยว่าวันใดวันหนึ่งตนเองจะสามารถย้อนกลับไปได้!
ในฐานะเจ้าหน้าที่กองฉุกเฉินพิเศษคนหนึ่ง และยังเป็นเด็กกำพร้า นางไม่เคยอาศัยอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง ไม่ได้มีชีวิตที่มั่นคง และยิ่งไม่มีครอบครัวรวมถึงมิตรสหาย
ดังนั้นหลังจากที่นางย้อนเวลามา จึงไม่ได้มีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเคว้งคว้างเลยสักนิด
นอกจากจะสงสัยเพื่อนร่วมงานในกองฉุกเฉินพิเศษและชีวิตบนโลกเป็นครั้งคราวแล้ว เวลาส่วนใหญ่นางล้วนปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิตแบบนี้ได้แล้ว
ทว่า เมื่อนางรู้ว่าสามารถกลับไปศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดได้
อย่างน้อย เมื่อมีความเป็นไปได้ประเภทนี้อยู่
ท้ายที่สุดนางก็มีความรู้สึกของคนที่อยู่ต่างถิ่นอันแรงกล้าประเภทหนึ่ง
ความรู้สึกของการกลับบ้านนั้นมันช่างแกร่งกล้าเพียงนั้น…
ถึงแม้ว่านางเองก็ไม่รู้บ้านอยู่ที่ไหน ครอบครัวคืออะไร…
“ส้งชิงถือว่าทำเรื่องดีๆ โดยไม่ตั้งใจเข้าให้แล้ว”
“เขาบอกว่าเขาวางกล่องเหล็กไว้ในบ้านของข้าแล้ว”
“หรือนี่จะเป็นพรหมลิขิต?”
ซินเหยาแอบคิดอยู่ในใจ ฝีก้าวของนางไม่ได้ชักช้าเลยแม้แต่นิดเดียว รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ฟาดผ่านห้วงเวหา..
“นี่ก็คือสำนักชิงหลง?”
“ซินเหยาพักอยู่ที่นี่?”
“ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำท่านปู่ถึงได้ให้ข้ามาส่งจดหมาย”
โจว๋ปี้หลัวค่อนข้างหงุดหงิดจริงๆ
นายท่านโจว๋พักนี้ดูเหมือนจะพร่าเลือนมากแล้ว มักจะประเดี๋ยวยิ้มงี่เง่า ประเดี๋ยวฝึกวิชาอย่างโง่ๆ งมๆ ประเดี๋ยวก็ได้ยินเรื่องราวของกุหลาบทมิฬก็ระเบิดหัวเราะอย่างห้ามอารมณ์ไม่อยู่อีก…
ผู้คนในจวนอ๋องโจว๋แทบจะคิดว่านายท่านโจว๋ตกอยู่ในสภาวะหัวใจแรกแย้ม ตกหลุมรักกุหลาบทมิฬเข้าให้แล้ว
ถ้าหากสามารถพิสูจน์ได้ว่ากุหลาบทมิฬเป็นผู้หญิงได้แล้วละก็นะ
จวนอ๋องโจว๋ขึ้นๆ ลงๆ ต่างพากันซุบซิบนินทาต่อพฤติกรรมแปลกๆ ของนายท่านโจว๋
เพียงแต่ นายท่านโจว๋กลับมิได้แยแสเลยสักนิด
สภาพอารมณ์ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข
ละเว้นการด่า และไม่หน้าดำคร่ำเครียด…
เว้นเสียแต่ใครกามไม่ระวังปากเผลอให้ร้ายซินเหยาหรือไม่ก็กุหลาบทมิฬต่อหน้าเขา…
ครั้นเป็นเยี่ยงนี้ เขาก็จะเดือดดาลขึ้นมา
แต่ครั้งนี้นายท่านโจว๋เน้นย้ำเป็นอย่างมากที่มอบหมายโจว๋ปี้หลัวให้มาส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งให้แก่ซินเหยา
นายท่านโจว๋รู้ว่าโจว๋ปี้หลัวผู้มีจิตใจคับแคบมักจะชิงชังซินเหยาอยู่เสมอ จึงต้องการกำจัดความเกลียดชังและริษยาของนางที่มีต่อซินเหยาผ่านวิธีนี้
โจว๋ปี้หลัวกลับมิได้เห็นดีเห็นงาม ซ้ำยิ่งเพิ่มความเกลียดชังเข้าไปใหญ่
ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วยังให้สตรีผู้คนเดียวอย่างนางมาส่งจดหมาย
ซ้ำยังบอกว่ามันคือจดหมายลับด่วนสุดยอดอะไรอีก
ถ้าหากเป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ล่ะก็ ทำไมไม่ส่งคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งยอดฝีมือมาส่งจดหมายกันเล่า
โจว๋ปี้หลัวไม่พึงพอใจต่อแผนการของท่านปู่เป็นอย่างมาก
ตอนที่นางไปร้านพักป่ายเหอ ได้ยินเด็กรับใช้เสี่ยวเอ้อบอกว่าซินเหยาไม่อยู่
ต่อมานางก็ไปที่ร้านหนังสือซื่อเกอของโจว๋หยุนถิง…
ซินเหยาก็ไม่อยู่อีก
ผู้หญิงที่ชื่อส้งหมิ่นบอกให้นางไปเสี่ยงดวงดูที่สำนักหลักชิงหลง…
ดังนั้น นางจึงย้อนมาที่สำนักชิงหลง
นางกระโดดลงมาจากรถม้า ในมือกำจดหมายลับฉบับหนึ่ง ก้าวเข้าไปข้างหน้า ประตูบานใหญ่ถูกปิดอย่างแน่นหนา หน้าประตูมีชายฉกรรจ์ท่าทางดุดันยืนอยู่สองคน…
โจว๋ปี้หลัวลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ว่ายังคงไม่เดินเข้าไป เอ่ยวาจาอย่างแช่มช้า “ข้ามาหาคน”
“หาใคร”
“มาหาคนก็มาหาคนสิ ตัวข้ามาหาใครยังต้องบอกเจ้ารึ”
แต่ไรมานางเป็นคุณหนูผู้ทรงเกียรติที่ถูกอบรมมาอย่างสูงศักดิ์ จะเห็นคนชั้นต่ำอย่างคนเฝ้าประตูเหล่านี้ในสายตาเสียที่ไหนกัน
“หากไม่บอกว่ามาหาใคร พวกเราก็มิอาจช่วยท่านไปรายงานได้ และยิ่งไม่อาจปล่อยท่านเข้าไปได้” องครักษ์กล่าวอย่างมีความรับผิดชอบ
บรรยากาศครู่ต่อมาเยือกแข็งทันที
เดิมทีในใจโจว๋ปี้หลัวก็มีความโกรธอยู่แล้ว ซ้ำยังถูกคนชั้นต่ำที่เฝ้าประตูอยู่สองคนนี้สร้างความวุ่นวายให้อีก ในใจยิ่งร้อนรุ่ม กำลังจะลงมือตีคนเสียแล้ว
ทันใดนั้น มีชายหนุ่มกำยำอายุน้อยวรยุทธ์แกร่งกล้าคนหนึ่งเปิดประตูจากด้านในและเดินออกมาพอดี มองเห็นโจว๋ปี้หลัวที่ยืนอยู่หน้าประตู จึงเอ่ยถาม “แม่นาง นางมาสำนักชิงหลงมีธุระอันใด
โจว๋ปี้หลัวกล่าวอย่างอวดศักดาเล็กน้อย “เจ้าเป็นผู้ใดกัน”
องครักษ์เอ่ยกล่าว “เสียมารยาทมิได้ เขาคือใต้เท้าผู้ช่วยของพวกเรา”
ครั้นได้ยินว่าเป็นผู้ช่วย ในใจของโจว๋ปี้หลัวจึงอุ่นขึ้นมาหน่อย ก่อนเอื้อนวาจา “ข้ามาหาคนที่ชื่อโจว๋ซินเหยา ข้ามาส่งจดหมายให้”
ผู้ที่มานั้นก็คือส้งชิงที่กำลังจะไปเชิญท่านหมอมาให้นักบอดี้การ์ดทั้งสี่ เขาเห็นโจว๋ปี้หลัวแต่งกายสวยหรู ราศีสูงศักดิ์ จึงเอ่ยถาม “แม่นางเป็นผู้ใด”