บทที่ 355 แม่นางอ้านซิง2
ซินเหยามุ่นหัวคิ้ว ก่อนเอ่ยวาจา “ไอ้เตี้ยไม่เพราะเอาเสียเลย! และก็น่าอับอายมากด้วย! เจ้าไม่ต้องใช้ชื่อนี้อีกแล้ว!”
ขันทีค่อนข้างหวาดกลัว ก่อนกล่าว “ข้าน้อยรับฟังและให้พระนางเป็นนาย พระนางโปรดประทานชื่อให้แก่ไอ้เตี้ยด้วย”
ซินเหยาบอก “ข้าไม่ตั้งชื่อให้เจ้า ถ้าหากข้าเองก็เกี่ยงว่าชื่อของเจ้าไม่เพราะ และเปลี่ยนให้เจ้าอีกชื่อ แล้วมันจะต่างจากขันทีอาวุโสพวกนั้นตรงไหนกัน แต่เดิมเจ้าชื่อว่าอะไร ก็ใช้ชื่อเดิมของเจ้าเถิด!”
ขันทีค่อนข้างไม่ยากเชื่อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยวาจาอย่างยึกๆ ยักๆ “ข้าน้อย…ข้าน้อยเข้าวังตอนยังเด็กและไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร แต่ว่าสมัยเด็กข้าน้อยก็ชื่อว่าเสี่ยวสิจือมาโดยตลอด”
“เสี่ยวสิจือ?”
“ขอรับ”
“เจ้าชอบชื่อนี้หรือไม่”
“ข้าน้อยจะชอบหรือไม่ชอบไม่สำคัญ ขอเพียงพระนางชอบก็เพียงพอแล้ว”
“เช่นนั้นก็ใช้ชื่อนี้ก็แล้วกัน! จากนี้ไปเจ้าก็ใช้ชื่อนี้ ต่อไปถ้าหากมีใครให้เจ้าเปลี่ยนชื่อ เจ้าก็บอกไปว่าข้าพูดว่าไม่อนุญาตให้เปลี่ยนชื่ออีกแล้ว เข้าใจไหม”
ซินเหยารู้ว่าเขาเป็นข้าทาสจนชินแล้ว ในใจจะมีความถ่อมตนอยู่ จึงไม่ถามเขาและเป็นฝ่ายตัดสินใจแทนเขาไปเลย!
เดิมที ซินเหยามีความรู้สึกต่อต้านสายงานขันทีอาชีพนี้อยู่ไม่น้อยเลย
แต่ว่าเมื่อได้สัมผัสมากเข้า ก็ค้นพบว่าอันที่จริงแล้วขันทีจำนวนมากมีชะตาชีวิตขมขื่น
ในฐานะผู้ชาย ใครจะยินยอมเข้าวังเป็นขันทีบ้าง?
หลายคนมีชีวิตและประสบการณ์ที่น่าสังเวชและโศกเศร้า
ไม่แปลกใจที่เมื่อก่อนมักจะพบขันทีชั่วร้ายเหล่านั้นโลภเงินและบ้าอำนาจในละครโทรทัศน์อยู่บ่อยครั้ง!
อันที่จริงนั่นเป็นเพราะขันทีส่วนใหญ่ได้รับความขมขื่นมามากนั่นเอง
ชำระกายเป็นข้าทาสแล้ว ชีวิตมนุษย์ก็คงไม่มีความหวังและข้อเรียกร้องใดๆ อีกแล้ว
ก็คงทำได้เพียงเอาความฝันทั้งหมดวางไว้บนกองเงินทองเท่านั้น
เสี่ยวสิจือคนนี้อายุยังน้อยนัก ผิวผ่องผอมโซ แต่ก็มีความสะอาดสะอ้าน ทำงานด้วยหัวใจประณีต แม้
เดิมทีซินเหยาก็มีความโปรดปรานอยู่แล้ว
ครั้นได้ฟังเขาบอกว่าเมื่อก่อนมักจะถูกคนรังแก ดังนั้นจึงคิดอยากจะให้เขาอยู่คอยปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักชิงหย่าต่อ
“ต่อไปเจ้าก็ชื่อว่าเสี่ยวสิจือแล้ว เจ้ายินดีหรือไม่?”
“ข้าน้อยยินดี”
เสี่ยวสิจือมีท่าทีปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง รีบโขกศีรษะขอบพระคุณทันที
“เสี่ยวสิจือ ต่อไปเจ้าก็เป็นคนของตำหนักชิงหย่าแล้ว ตอนนี้เจ้ารีบไปหาลำไผ่เรียวยาวเล็กๆ มาหลายๆ อัน ข้าจะฉายภาพยนตร์ฉากใหญ่ในราชสำนักสักเรื่องแล้ว!”
ซินเหยาดำเนินการตามแผนของตนอย่างราบรื่น แต่กลับไม่รู้ว่าอันตรายกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามา…
PS:เกี่ยวกับแท็บเล็ต
ดูเหมือนจะมีผู้อ่านจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าซินเหยาไปเอาแท็บเล็ตมาจากที่ไหน
ซินเหยาดำเนินการตามแผนของตนอย่างราบรื่น แต่กลับไม่รู้ว่าอันตรายกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามา…
ตำหนักซูหนิง
พระพักตร์ไทเฮามีกลิ่นอายเข่นฆ่า
ใต้โถงมีหญิงสาวใบหน้าเย็นชาสวมชุดสีดำรัดรูปอยู่สองนาง
สองพี่น้องฮัวคู่นี้ ชื่อชุนฮัว ชุนอวู่ ป็นมือสังหารที่ไทเฮาชุบเลี้ยงอย่างลับๆ
“ชุนฮัว ชุนอวู่ ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าสองพี่น้องมาสิบห้าปีเต็ม ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องตอบแทนข้าบ้างแล้ว”
ไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อย ม่านตาผุดแววผูกพยาบาทขึ้นมา
ชุนฮัวเอ่ย “ขอเพียงไทเฮาบัญชา พวกเราสองพี่น้องสาบานว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้สำเร็จ!”
ไทเฮาตรัส “พวกเจ้าลอบเข้าตำหนักชิงหย่า รอจนโจว๋กุ้ยเฟยอยู่ลำพัง ให้ฆ่านางเสีย! วรยุทธ์ของโจว๋กุ้ยเฟยในตอนนี้หายไปหมดแล้ว เป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะรับมือกับนางได้!”
ชุนฮัวกล่าว “ไทเฮา…โจว๋กุ้ยเฟยไม่ใช่ว่ากำลังพัฒนาเคล็ดลับความงามให้แด่ไทเฮาอยู่หรอกหรือ”
ไทเฮาตรัสเย็นชา “ข้ายินยอมให้นางตาย! พอนางตาย สูตรลับก็ไม่ใช่ว่ายังตกอยู่ในมือของข้าหรือ? ไป! จะต้องฆ่านางให้ได้!”
“เจ้าค่ะ! ไทเฮา!”
สองพี่น้องฮัวเปรียบเสมือนภูตผีในความมืดมิด พวกนางซ่อนตัวกลืนไปกับความมืดอย่างรวดเร็ว
ตำหนักชิงหย่า
ตามคำเชิญของโจว๋ชิงหยี นางสนมและนางในจำนวนหนึ่งได้หลั่งไหลกันเข้ามาจนลานเล็กๆ แน่นขนัดจนน้ำซึมผ่านไม่ได้…
ทว่ายังไม่ทันได้เห็นงานเลี้ยงใหญ่ฉลองความงามที่ว่ามาเลย!
แขกเหรื่อรอจนค่อนข้างวิตกแล้ว
โดยเฉพาะคนที่อยู่ด้านนอกกำแพงเตี้ย อดกลั้นจนแทบจะเสื่อมสภาพในเร็วๆ นี้แล้ว
“โจว๋ซิ่วหนี่คนนี้จะเล่นพิเรนทร์อะไรกันแน่”
“เรียกพวกเรามากันหมด แต่กลับไม่เห็นเงาตัวเอง!”
“นางเป็นซิ่วหนี่หมดสภาพคนหนึ่งแล้ว อีกอย่างจวนอ๋องโจว๋ล้วนถูกไล่ต้อนลงคุกใต้ดินกันหมด”
“หากไม่ใช่เห็นแก่เมื่อก่อนนางเคยช่วยพวกเรา พวกเราคงไม่มากันหรอก!”
“นั่นสินั่นสิ! ไม่รู้ว่าจะทำแผลงๆ อะไรสิ!”
“ตั้งนานแล้วยังไม่เห็นตัวคน เรียกพวกเรามาดื่มลมตะวันตกเฉียงเหนือหรืออย่างไร”
ท่ามกลางฝูงชนเริ่มปั่นป่วนขึ้นมา…
หลังจากที่เสี่ยวสิจือผึ่งผ้าฝ้ายดีแล้ว ซินเหยาก็ยิ้มแป้นและเดินออกมาพร้อมคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตที่รับมาจากกล่องกองฉุกเฉินพิเศษ
“พี่น้องทุกท่าน สวัสดีตอนเย็น! วันนี้ ทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ได้มันก็เป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง! วันนี้ก็ให้พวกเราทุกคนเป็นพยานความมหัศจรรย์ไปด้วยกัน”
ซินเหยาแย้มรอยยิ้มบาง มองไปยังกลุ่มคนที่สีหน้าเปี่ยมความฉงน…
นางร้องสนั่นขึ้น “เสี่ยวสิจือ! ดับไฟ!”
“ฟู่!”
ทันใดนั้น คบเพลิงและเทียนทั้งหมดต่างดับลงพร้อมกัน
รอบบริเวณ แปรเป็นความมืดสนิท
บรรดานางสนมและนางในเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมา…
ท่ามกลางความมืดมิด มีเสียงเย็นเยียบลอยมา “ทุกท่านไม่ต้องตกใจ! มองมาทางนี้ก็พอ!”
เห็นเพียงแต่เบื้องหน้า จู่ๆ ก็มีลำแสงสว่างจ้าวูบวาบขึ้น…
ลำแสงส่องกระทบบนผิวผ้าฝ้ายสีขาวที่แขวนเอาไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้านี้…
จากนั้นก็ฉายภาพเคลื่อนไหวแจ่มชัดออกมา
ฉากแรกแย้มรัดรึงใจ…ฮ่องเต้อำมหิตและซินเหยาที่กำลังแช่น้ำอยู่ แสดงละครวังต้องห้ามที่ดูคลุมเครือเย้ายวน.