บทที่ 955 ลำดับขั้น
ฉีหลินมองดวงตาคู่สีเทา ยังไงก็คิดไม่ถึงยู่ชีงที่ตกกรรมลำบากในวันนั้นกลับเป็นกู้อ้าวเวยเอง
กู้อ้าวเวยลืมเรื่องที่ไม่สำคัญในวันนั้นไปแล้ว จึงปรึกษาสูตรของสำนักเยียนหยู่เก๋อกับฉีหลิน แล้วพูดว่า “คิดใหม่มาเพิ่มอีก ข้าเองยังคิดไม่ออกในตอนนี้ แต่ว่าปัจจุบันสำนักเยียนหยู่เก๋อขายเครื่องสำอาง หรือจะลองการค้าด้านอื่นๆ เครื่องสำอางพวกนี้ยังต้องทำดีๆ สักหน่อย”
“มีความคิดนี้เช่นกัน” ฉีหลินทานอาหารแล้วพยักหน้าพราง สองสามวันนี้นางเองก็ยุ่งเหลือเกิน จึงมองนางด้วยความหมดหนทาง “ดีนะที่เจ้ามาทำแผนพัง ณ ตอนนี้ประตูสำนักเยียนหยู่เก๋อของข้านั้นโดนเหยียบจนพังแล้ว มีคนไม่น้อยที่อยากรับข่าวสารจากซ่านเชียนหยวน”
คนในเมืองเทียนเหยียน กล้าเรียกชื่อขององค์ชายโดยตรงนั้น นอกจากนางคงไม่มีคนที่สองแล้วล่ะ
ฉีหลินคิดเช่นนี้อยู่ แต่สายตากลับหยุดอยู่ที่กระโปรงสีขาวของกู้อ้าวเวย ด้ายทองที่ผลุบผลุบโผล่โผล่นั้นซ่อนอยู่ในผ้าบางๆ มองลงไปเห็นลายนกสีเขียว ลายไม้ไผ่สีเขียว ตรงเอวมีหยกครึ่งชิ้น จากนั้นก็ดูที่เอวของซ่านจินจื๋อ มีหยกขาดหายไป
เหมือนสังเกตเห็นสายตาของนาง ซ่านจินจื๋อเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาตักเตือน
ฉีหลินจึงรีบพยักหน้า แต่ในใจกลับกำลังคิด ลายนกเขียวนี้ตำหนักอ๋องจิ้งใช้เป็นประจำ และฝีมือการทอผ้าสีขาวนั้น เกรงว่าแค่ส่วนหนึ่งในผ้านี้คงราคานับพันตำลึง กู้อ้าวเวยใส่ผ้าปิดหน้า เกรงว่าคนในเมืองเทียนเหยียนนี้เพียงแค่มีแวว ก็สามารถดูออกว่านางเป็นคนของใคร
“เจ้าอยากปล่อยเขาไว้ที่นี่หรือ?” เสียงของกู้อ้าวเวยเรียกสติของฉีหลินกลับมา
“แน่นอน ปกติคนเช่นนี้ถ้าปล่อยไปอยู่กับเจ้ามักจะกลับตัวกลับใจ อีกอย่างเขาเหมือนโดนยาพิษ ครั้งก่อนเห็นเขาไอเป็นเลือดแล้วไม่หยุด ข้าเองก็ไม่กล้าไปจ้างหมอมาดู เลยต้องมาพึ่งเจ้า” ฉีหรัวโบกมือไปมา สายตาหยุดอยู่ที่หนุ่มที่โดนกักขังอยู่ในมุมห้อง
ถึงหนุ่มผู้นี้จะบอกข่าวบ้าง แต่สำหรับเรื่องตนเองนั้นกลับมีถูกมีผิด ชื่อที่พวกเขาสองพี่น้องถามนั้นเป็นปลอมด้วยซ้ำ และตอนนี้กำลังดี จึงส่งตัวปัญหานี้ออกไปซะเลย
กู้อ้าวเวยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเทียบกับการที่โดนชอบนั้น นางโดนเกลียดซะมากกว่า
มองหน้าตาที่ดุดันของหนุ่มนั้น ก็ได้ยินฉีหลินพูดว่า “อย่างน้อยพวกข้าก็คุยกันมาตั้งหลายวัน เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อพวกข้าเล่า”
“พวกเจ้าเคยฆ่าคน” หนุ่มคนนั้นพูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยเสียงที่แหบ
กู้อ้าวเวยยักคิ้วเล็กน้อย “งั้นข้าจะหาคนที่ไม่เคยฆ่าคนให้เจ้าแล้วกัน หลี่ซิน”
“ขอรับ คุณหนูใหญ่มีการใดรับสั่งขอรับ?” หลี่ซินรีบเดินเข้ามาจากนอกประตูด้วยความเร็ว
“ส่งเขาไปที่ตำหนักของเด็กๆ ให้ตื่นเช้าและทำความสะอาดกับพวกเขาทุกวัน กลางวันเรียนหนังสือ กลางคืนเล่นตามใจอิสระ หากเขากล้าแตะต้องเด็กพวกนั้น มือข้างไหนไปแตะก็ฟันมือข้างนั้นทิ้งเสีย” กู้อ้าวเวยแอบหยิบขนมใส่ปาก แล้วได้ยินหนุ่มนั้นถอนหายใจเล็กน้อย “เจ้าอายุเพียงสิบกว่าขวบ จะรู้เรื่องอันใดหรือ ไปจวนตระกูลตงฟางก็แค่ไปเป็นหมากให้ผู้อื่น เกรงว่าข่าวที่ได้รับนั้นก็คงเป็นข่าวที่ผู้อื่นตั้งใจจะให้เจ้าได้ยิน เด็กที่ไม่ฉลาดอย่างเจ้า ก็สมควรที่จะโดนจับไปเกลาในหมู่เด็กเสียหน่อย”
“เจ้า!”
“เด็กก็ต้องมีบุคลิกของเด็กสิ ไม่งั้นตีก้นลายแน่” กู้อ้าวเวยตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น เดินไปข้างๆ เขายกมือขึ้นแสดงให้คนข้างๆ เขาทั้งสองคนออกไป แล้วตนจึงดึงข้อมือของเขา ก้มตัวลงมองเขา “ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย เหตุผลนี้ยังไม่เข้าใจเลย เจ้าไม่ใช่เด็กแล้วคืออะไร?”
หนุ่มน้อยทำท่าจะลงมือ แต่กู้อ้าวเวยกลับชี้ที่ตนเอง “ข้าเป็นหมอ คนที่ข้าช่วยเหลือนั้นไม่ต่ำกว่าร้อยคน หากเจ้ากล้าแตะต้องข้า ไม่กลัวหรือว่าบิดามารดาของเจ้าที่เสียไปแล้ว จะโดนรังแกอยู่ในนรก?”
“เจ้าเป็นหมอได้อย่างไร!” หนุ่มน้อยตะโกนไปเรื่อย แต่มือที่กำหมัดนั้นไม่ได้ตีลงไป
“ข้าจะไม่ใช่หมอได้อย่างไร ก่อนหน้านั้นเจ้าวางยาพิษที่จวนตระกูลตงฟาง ข้าเป็นคนรู้เอง” กู้อ้าวเวยเห็นหนุ่มน้อยตาแดง แต่กลับจับเบาๆ ที่ข้อมืออีกข้าง แล้วพูด “พวกเขาฆ่าบิดามารดาของเจ้า เจ้าจึงอยากฆ่าพวกเขา สิ่งไม่ได้ผิดอะไร”
“แล้วเจ้ายังขวางข้าทำไมหรือ!” หนุ่มน้อยยังคงดิ้นรนไม่เลิก
“แล้วทำไมเจ้าไปฆ่าลูกของพวกเขา เด็กที่อยู่ในงานนั้นน่าสงสารเหมือนเจ้านะ” กู้อ้าวเวยดึงเขาไปอยู่ใกล้หลี่ซิน แล้วผลักเข้าไปในอ้อมของหลี่ซิน เสยคางของเขาเล็กน้อย “อยู่ในตำหนักของข้า สิ่งที่เจ้าควรทำคือทำตัวให้เป็นเด็ก ถึงอยากจะทำงานหนักในตำหนัก ก็ต้องรอให้ถึงอายุสิบสี่ปีเสียก่อน”
หนุ่มน้อยนั้นเหมือนยังไม่เข้าใจในสิ่งที่กู้อ้าวเวยพูดก่อนหน้านี้ หลี่ซินปาดเหงื่อเบาๆ แล้วจับเด็กที่อยู่ในมือ “คุณหนูใหญ่ขอรับ เขาไม่ใช่เด็ก….”
“เขาเป็นเพียงเด็ก” กู้อ้าวเวยเดินเข้าไปหาเขาด้วยความโกรธ แล้วหยิบไม้แกะสลักของชิงจือออกมาจากอ้อม แล้วแสดงตรงหน้าของหนุ่มน้อย “นี่เป็นสิ่งที่ลูกชายของข้าแกะสลักให้ข้า ข้าพกไว้ทุกวัน”
ทุกคนต่างไม่เข้าใจ หนุ่มน้อยเองก็กัดฟันมองหน้านาง
“เจ้าแกะสลักให้ข้าอันใหม่สวยๆ ข้าก็จะแก้แค้นให้บิดามารดาของเจ้า”
“เจ้าพูดจริงหรือ?” หนุ่มน้อยแววตาเป็นประกาย
“แน่นอน แต่ต้องสวยกว่าของลูกชายข้า และเรื่องที่ข้าสั่งให้เจ้าทำทุกวันนั้นห้ามละเลย และห้ามลงมือกับเด็กคนอื่นๆ เจ้าสามารถใช้ชื่อปลอมและพูดโกหกได้ แต่ห้ามให้ผู้อื่นรู้ เพียงแค่เจ้าทำได้” กู้อ้าวเวยหัวเราะเสียงดัง แล้วยื่นไม้แกะสลักนั้นให้เขา จับที่ศีรษะของเขา แล้วพูดกับหลี่ซิน “ส่งเขาไปเถอะ”
หนุ่มน้อยที่วุ่นวายเมื่อครู่นั้น เงียบสงบลงทันที มองดูไม้แกะสลักที่ไม่สวยในมือ “นี่เป็นของลูกชายเจ้าไม่ใช่หรือ?”
“เขาสามารถทำให้ข้าเพิ่มอีก แต่ตอนนี้คนที่ต้องการสิ่งนี้ คือเจ้า” กู้อ้าวเวยจิ้มที่หน้าอกของเขา ดวงตาสีเทาจ้องเขา “เจ้ามีความกล้าหาญมากกว่าเด็กที่ข้าพบเห็นมามากมาย แต่เจ้าต้องสงบ แล้วคิดดูว่าสิ่งที่เจ้ารู้นั้นจริงและไม่จริงแค่ไหน หลังจากที่แยกแยะแล้วจึงค่อยๆ คิด หากเจ้าจะไปแก้แค้นเอง ต้องทำอย่างไร ต้องใช้อะไรเป็นเครื่องมือ….”
“สุดท้าย เจ้าต้องมานั่งคิดว่าหลังจากที่เจ้าแก้แค้นแล้ว เจ้าจะเก่งกว่าศัตรูของเจ้าหรือว่าจะอ่อนแอกว่า”
พูดจบ หลี่ซินก็ลากหนุ่มน้อยออกจากตำหนักรอง กู้อ้าวเวยจึงนั่งลง แล้วยื่นมือไปทางซ่านจินจื๋อ “เจ้าต้องไปขอจากชิงจือมาให้ข้าอีกอัน”
“ข้าจะเข้าวังแล้ว” ซ่านจินจื๋อถอนหายใจเบาๆ แล้วยื่นเสือตัวน้อยที่ชิงจือแกะสลักให้ตนเองให้นาง
กู้อ้าวเวยยิ้มแล้วพยักหน้า จึงพูดกับเขา “ถึงเด็กผู้นี้จะไม่รู้เรื่องใดๆ แต่สามารถให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าเด็กผู้นี้รู้อะไรบ้าง”
“อ้อมไกลขนาดนี้ เจ้าฉลาดที่สุด” ซ่านจินจื๋อแววตาเป็นประกาย แล้วยื่นขนมที่เหลือไปให้นาง “ชอบก็ทานเยอะหน่อย”
“ข้าทานขนม เจ้าไปทำธุระเถอะ” กู้อ้าวเวยอดไม่ได้ที่จะยิ้ม