ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 446 ดรุณีบนหีบ

ตอนที่ 446 ดรุณีบนหีบ

หญิงผู้นั้นสวมใส่เสื้อดำและกระโปรงดำ มีเครื่องประดับเงินตกแต่งศีรษะ และยังมีกำไลเงินประดับกระดิ่งนับสิบบนข้อมือของนาง รูปโฉมก็น่าประทับใจ ไม่ช้าก็มีคนเดินเข้ามาเพื่อรับเอาภาพวาดนั้นจากมือนางไปแปะไว้ที่กระดานประกาศข่าว

สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้มองพวกเขาจากที่ยืนอันสูงส่งและกล่าว “ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศผู้นี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และจะเข้ามาจากทางทะเลทรายเพลิงโหมภายในไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องตื่นตัวเอาไว้ หากว่าพวกเจ้าเห็นเขา ก็อย่ากระโตกกระตาก เพื่อไม่ให้เขาตื่นตกใจไป”

เสียงฉีเอ๋ออยากจะวิ่งเข้าไปดู แต่ฉินมู่คว้ามือเล็กๆ ของนางเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้นางพลัดหลง

ข้างหน้าป้ายประกาศข่าวมีผู้คนเนืองแน่น และมันก็แทบจะแทรกเบียดเข้าไปไม่ได้ แต่ทว่าเสียงฉีเอ๋อก็ยังมุดเข้าไปข้างหน้าได้พลางดึงมือฉินมู่ตามไปข้างหลัง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นตัวเขาเองในภาพวาด เหนือภาพนั้นเขียนเอาไว้ว่า ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ฉินมู่

เสียงฉีเอ๋อประหลาดใจและยินดี “มังกรอ้วน เจ้าก็อยู่ข้างๆ พี่ชาย! มีแต่ข้าที่ไม่อยู่ในภาพ”

รอบข้างนั้นแต่เดิมเต็มไปด้วยเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แต่มาบัดนี้ทุกคนกลับเงียบกริบ พวกเขามองไปยังฉินมู่

เขาดูเหมือนจะไม่สำเหนียกอะไรเมื่อเขามองไปยังป้ายประกาศด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นฝีมือของผานกงสั่ว เขาวาดมันด้วยมือตนเอง ซิงอ้านก็เคยมีรูปภาพของข้าที่เขาวาดไว้ให้ ดังนั้นข้าจึงจำรอยพู่กันของเขาได้”

พรึ่บ!

รอบข้างพลันโล่งว่างเมื่อกลุ่มคนกระจัดกระจายออกไป ออกห่างจากเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

ฉินมู่ไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นและยังคงแย้มยิ้มอยู่ “ผู้สูงศักดิ์นับว่าคบหาสหายอย่างกว้างขวาง และรู้จักผู้คนมากมาย น่าเสียดายที่เขาวิ่งหนีเร็วเกินไป และข้าสังหารเขาไม่สำเร็จ”

“ผู้หลบหนีแดนโบรารวินาศ ตายซะ!”

เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากข้างหลังเขา ตามมาด้วยเสียงหวีดหวือ เมื่อมนุษย์ต้นไม้เงื้อเท้ามหึมาของมันกระทืบลงมายังเขา มนุษย์ต้นไม้นี้หนักอึ้งอย่างยากจะเปรียบปาน และพละกำลังของมันก็สุดจะหยั่ง ในเมื่อมีต้นไม้อยู่มากมายและราคาของมันไม่ได้สูงมากนัก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกจึงมักจะเลือกใช้มันเป็นพาหนะหลักและอาวุธคู่กายในการต่อสู้

กระนั้น มนุษย์ต้นไม้ที่ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นี้เลือกสรรมาก็เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป กิ่งของมัน ลำต้น และใบ ล้วนแต่เป็นสีแดงฉานประดุจโลหิต เมื่อดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว มันน่าจะเคยผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน มีรัศมีอันเหี้ยมหาญในตัว

ฉินมู่ยื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และลูกกลมแสงสีเขียวก็ลอยออกมาจากร่างของมนุษย์ต้นไม้ อันแข็งค้างอยู่กับที่ เสียงซีอวี่ได้ถ่ายทอดวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติให้แก่เขา ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าบุรุษฝึกวิชานี้ได้ยากกว่าสตรี แต่เขาก็ได้ลงแรงฝึกปรือไปมิใช่น้อย

ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง และเครื่องประดับเงินบนศีรษะของนางก็พลันบินขึ้นไป แปลงกายเป็นหงส์เงินที่พุ่งเข้าใส่ฉินมู่ กำไลเงินที่แขนของนางก็พุ่งเข้าไปรัดศีรษะของเขา

เพลิงไฟพวยพุ่งรอบกายฉินมู่ และไม่ทันที่หงส์เงินกับกำไลเงินจะเข้าถึงตัว มันก็ละลายกลายเป็นโลหะหลอมเหลว

ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้เห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่ จึงรีบหันกายหนีไป เสื้อผ้าของนางปลิวสะบัดในสายลมและยกร่างนางเหินขึ้นไปบนอากาศ นางไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เหินหาวเลยด้วยซ้ำ

“วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาตินี่มหัศจรรย์จริงๆ แม้แต่เสื้อผ้าก็ทำให้ผู้คนเหินบินได้” ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง “ดูเหมือนว่าข้ายังดูเบาวิชานี้มากเกินไป”

หญิงนางนั้นครางเสียงหนักและร่วงลงมาจากท้องฟ้า

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ฝูงชนรอบๆ วิ่งหนีไปทั่วทิศทาง พลางร้องตะโกนบอกกัน “ผู้ชายต่ำชั้นกำลังจะฆ่านายท่านหญิง!”

ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าถนนกลายเป็นว่างเปล่า ประตูและหน้าต่างของบ้านเรือนทุกหลังปิดปังๆ และไม่มีเลยสักคนที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณโดยรอบ มีก็แต่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อที่ยังยืนข้างๆ เขา ส่วนศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยังคงคลานไต่อยู่กับพื้น การตกลงมาเมื่อครู่ยังทำให้นางงงไม่หาย

“เจ้ารู้ไหมว่าจะไปตำหนักสวรรค์แท้ไปอย่างไร” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร

ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นพลันพลิกตัวไปข้างหน้า และปิ่นปักผมบนศีรษะของนางก็ยิงตรงไปยังดวงตาของเขาราวกระบี่ นางรีบเคลื่อนไหวไปยังบ้านข้างถนนหลักหนึ่ง และเอื้อมมือขึ้นไปดึงเอาเทวรูปบนป้ายจารึกออก

ตูม!

บ้านหลังนั้นพลันยืนขึ้นมา และแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ห้องเล็กๆ สองห้องกลายเป็นหมัดซึ่งซัดต่อยลงมายังฉินมู่!

ปิ่นปักผมแข็งค้างอยู่กับที่เมื่อมันเข้ามาใกล้ดวงตาของฉินมู่ วงจรพยุหะในดวงตานั้นหมุนเป็นเกลียววน และปิ่นปักผมก็ละลายกลายเป็นหยดโลหะหลอมเหลว

ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไป และแสงดาวก็สาดประกายอยู่ในดวงตาของเขา กวาดไปยังยักษ์บ้านเรือน ผ่านเข้าไปทางหน้าต่าง เขามองเห็นครอบครัวหนึ่งกลัวตัวสั่นระริกไม่กล้าจะกระดุกกระดิก

“ข้าว่าแล้วว่าเทวรูปพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ลำแสงสองลำยิงออกจากดวงตาของเขา และกวาดผ่านศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ผู้ฝึกทักษะเทวะอย่างเจ้า กลับไม่ไยดีชีวิตของคนธรรมดาพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าดูแคลนเจ้านัก”

ลำแสงนั้นหดสั้นลงไปทุกที กลับคืนมายังดวงตาของเขา วงจรพยุหะที่หมุนเป็นเกลียววนอย่างบ้าคลั่งในนั้นก็หายวับ และดวงดาวก็ค่อยๆ หรี่ดับ

ยักษ์บ้านเรือนร่วงลงมาด้วยเสียงโครมคราม และแปรเปลี่ยนกลับเป็นบ้านวงกลมตามเดิม

ฉินมู่หันกายจากไป ขณะที่หญิงสาวบนหลังคานิ่งแข็ง นางไม่กล้าขยับเขยื้อน

เมื่อฉินมู่อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร เสียงของประตูเปิดแง้มก็ดังมาจากข้างล่าง ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้เผยสีหน้าหวาดผวาและร้องเสียงกระซิบ “อย่าเปิดประตู…”

แกร๊ก

ประตูค่อยๆ เปิดอ้ามากขึ้นอีกเล็กน้อย และหญิงผู้นั้นหวีดร้อง

“อย่าเปิดประ–”

ปราณชีวิตของนางมิอาจพยุงร่างกายนางได้อีกต่อไป และรอยเส้นของโลหิตก็ปรากฏที่คอและเอวของนาง ก้อนเนื้อสองก้อนร่วงลงจากเอวนางและกลิ้งหลุนๆ ไปบนถนน หลังจากนั้นขาของนางก็ร่วงลงมาจากหลังคา

“จ้าวลัทธิมีเมตตาจริงๆ” ข้างนอกเมืองเล็กแห่งนี้ กิเลนมังกรอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “หญิงผู้นั้นอำมหิตขนาดนี้ แต่จ้าวลัทธิก็ยัง–”

เขาพูดยังไม่ทันขาดตำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงนั้นจากข้างหลัง เขาจึงหันกลับไปดู และทันเห็นภาพของร่างท่อนล่างของนางร่วงลงมา อันทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่

ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้ามิได้มีเมตตา การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะลงมือกับคนธรรมดานั้นก็นับว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว พวกเราล้วนแต่เป็นมนุษย์ เช่นนั้นจะคร่าชีวิตของผู้อื่นตามอำเภอใจเพียงเพราะว่าพวกเราแข็งแรงกว่าได้อย่างไร เมื่อข้าอยู่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์และในแดนโบราณวินาศ การต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาเทวะน้อยครั้งนักที่จะพัวพันคนบริสุทธิ์ แม้ว่าเมื่อข้าต่อสู้กับผานกงสั่ว พวกเราก็ต่อสู้กันนอกเมือง เมื่อท่านยายซีต่อสู้กับเจ้าเมืองเขตมังกร นางก็ได้กระทำบนท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นแทนที่จะบุ่มบ่ามต่อยตีกันท่ามกลางผู้คนธรรมดาบนท้องถนน”

กิเลนมังกรหุบปาก และไม่กล้าต่อบทสนทนา

ตอนแรกเขากะจะเอ่ยชมฉินมู่ถึงความมีเมตตาที่ไม่คร่าชีวิตของศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าท้ายที่สุดนางก็จะถูกฉินมู่สังหารอยู่ดี ความมีเมตตาที่ฉินมู่เอ่ยถึงนั้น มุ่งเน้นเพียงแค่กับคนธรรมดาสามัญ

ตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนโดยผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชรา เรียนรู้ทั้งจากคำพูดและการกระทำของพวกเขา แม้ว่าเขาจะแบกยี่ห้อจ้าวลัทธิมารฟ้า แต่เขาก็ยังคงแยกแยะถูกผิดอย่างชัดเจน

จากประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็ได้เหนือล้ำกว่าผู้คนเที่ยงธรรมทั้งหลายในสำนักมีชื่อเสียงแล้ว

“ฉีเอ๋อน่าจะรู้ทิศทางไปตำหนักสวรรค์แท้ ใช่ไหม” ฉินมู่ถาม

เสียงฉีเอ๋อส่ายหัว “แม่ของข้าพาข้าออกมาเพื่อหลบหนีการไล่ล่า ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางผ่านที่รกร้างมากมาย และข้าก็จดจำเส้นทางกลับไปไม่ได้”

ฉินมู่พึมพำไม่ได้ศัพท์กับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าว “มังกรอ้วน พวกเราไปตามถนนหลวงเถอะ พวกเราสามารถถามทางได้เมื่อไปถึงเมืองใหญ่สักแห่ง ผู้คนที่นั่นน่าจะรู้เส้นทางไปตำหนักสวรรค์แท้”

กิเลนมังกรเดินทางไปตามทางหลวง และเดินไปได้สักหลายสิบลี้ ไม่นานนัก ก็ค่อยๆ มีผู้คนสัญจรบนพื้นดินมากขึ้นทุกที ถนนนั้นกว้างขวางและราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง ดีกว่าในสันตินิรันดร์มากนัก

แม่น้ำข้างๆ ถนนนั้นก็ใสกระจ่างขนาดที่ว่ามองไปเห็นถึงก้นบึ้ง มีทั้งปลา เต่า และงู พวกมันล้วนแต่ไม่ใช่เล็กๆ และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะและผู้ฝึกยุทธที่รีบเร่งเดินทางไปตามชลมารค ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสตรี แต่ก็มีบุรุษอยู่ด้วยไม่ใช่น้อย

วิชาที่พวกเขาส่วนใหญ่ฝึกปรือนั้นก็ดูเหมือนว่าจะดำเนินตามมรรคาเต๋าของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หญิงและชายบางพวกก็จะหยุดอยู่บนผิวแม่น้ำ และเพรียกขานมัน คลื่นก็จะพลันโถมขึ้นมาสูงลิ่ว แบกพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว

และยังมีคนผ่านทางบนถนน พวกเขาส่วนมากเร่งรีบเดินทางไปบนมนุษย์ต้นไม้ มนุษย์เถาวัลย์ก็มี แต่ความเร็วของพวกมันช้ากว่าหน่อย

ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่ขี่สัตว์เถื่อนบินได้ทุกชนิดบนอากาศ ปีกหลากสีของพวกมันสะท้อนแสงพร่าพราย ดูสะดุดตาอย่างเหลือแสน

“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าใกล้เมืองแล้ว” ฉินมู่ระบายลมหายใจออกมาหลังจากมองเห็นผู้คนผ่านไปมาที่เพิ่มมากขึ้น

ทันใดนั้น เสียงครืนครันก็ดังมา และฉินมู่พลันเห็นภาพประหลาด ดรุณีจำนวนมากพุ่งออกมาจากช่องเขาและพลิกภูเขาเล็กๆ มากมายด้วยความรีบร้อนมายังถนนหลัก

สิ่งที่แบกดรุณีเหล่านั้นมาคือหีบใบใหญ่อันกว้างกว่าสิบคืบ มันก้าวอาดๆ และวิ่งได้รวดเร็ว

มีเด็กสาวอีกจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ แต่ที่พวกนางขี่อยู่นั้นคือเรือไม้ มันก็มีขางอกออกมาและกำลังวิ่งอยู่บนพื้นดิน

ฉินมู่อึ้งกิมกี่ ราวกับว่าหีบและเรือได้สำเร็จเป็นปีศาจ สามารถวิ่งตะบึงได้เหมือนกิเลนมังกร นี่มันพิลึกเสียจริง

ในโลกไร้ขอบเขตใบนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่แปลกพิสดาร และเวทมนตร์กับทักษะเทวะของสถานที่อื่นก็สามารถนำไปให้สันตินิรันดร์ใช้สอยได้ หากว่าเวทมนตร์แบบนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ มันคงอัศจรรย์มิใช่หรือ

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และคิดในใจ แต่ทว่า มันคงจะสร้างความโกลาหลอยู่บ้าง ใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่า พวกที่มีพลังวัตรเข้มๆ ก็อาจจะขี่ภูเขาวิ่งไปมาเพื่อโอ้อวดก็เป็นได้

พวกสาวๆ สนอกสนใจกิเลนมังกรที่เขาขี่อยู่เป็นอย่างยิ่ง และหีบยักษ์อันมีขามากกว่าสิบสองก็วิ่งเข้ามาใกล้ มันใหญ่โตมากและกว้างยาวหลายวา ทั้งยังมีพรมผ้าไหมที่ปูลาดประดุจเมฆบนยอดหีบ เด็กสาวเจ็ดคนนั่งอยู่บนนั้นพลางเพ่งพิศมองดูกิเลนมังกรและฉินมู่

ดรุณีซึ่งนั่งข้างหน้าสุดน่าจะเป็นผู้นำของพวกนาง และก็เป็นนางที่ใช้พลังวัตรในการควบคุมหีบ ทำให้มันแบกพวกนางไปข้างหน้า

นางดูน่ารักเป็นอย่างยิ่งด้วยยิ้มละไมและดวงตากลมโตใต้พู่อันถักทอขึ้นมาด้วยจี้เงินรูปจันทร์ เสียงของนางมีสำเนียงพิเศษเฉพาะของแผ่นดินตะวันตก แต่ก่อนที่นางจะพูด นางก็หัวเราะคิกคักเสียก่อน “บับบาน้อย หมูของเจ้าวิ่งไวเหลือเกิน เจ้าไปได้มาจากที่ไหน”

ฉินมู่งงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักว่า บับบาน้อยนั่นน่าจะแปลว่าน้องชาย เขาแย้มยิ้มและกล่าว “นี่คือกิเลนมังกร เป็นลูกผสมระหว่างมังกรและกิเลน”

เสียงฉีเอ๋อโผล่ขึ้นจากขนของกิเลนมังกร และเผยใบหน้าเล็กจุ๋มจิ๋มของนางที่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ พวกสาวๆ ประหลาดใจและพบว่าเด็กหญิงผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าชังเหลือเกิน อยากจะเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงนาง ฉินมู่จนปัญญาและได้แต่ให้กิเลนมังกรขยับไปใกล้ๆ พวกเขา เขาพาเสียงฉีเอ๋อขึ้นไป และส่งนางไปข้างบนหีบ

เขาเริ่มสนทนากับเหล่าดรุณีและพบว่าสาเหตุที่พวกนางประหลาดใจนั่นก็เพราะเขาพาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย ธรรมเนียมสังคมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคยมา หลังจากที่หญิงและชายผ่านการวิวาห์เยือนแล้ว หากว่ามีเด็กเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นทารกชายก็จะถูกส่งไปบ้านผู้ชาย ส่วนทารกหญิงนั้นฝ่ายหญิงจะเป็นคนเก็บเอาไว้

ธรรมเนียมสังคมนี้ทำให้เกิดสถานการณ์ประหลาดในแผ่นดินตะวันตก ครอบครัวนั้นหากมิใช่หญิงล้วนก็จะเป็นชายล้วน และมีหมู่บ้านมากมายที่มีแต่ผู้ชาย ไม่ก็มีแต่ผู้หญิง

เมื่อพวกสาวๆ เห็นฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย พวกนางก็คิดว่านั่นคือบุตรีของเขา แต่ทว่าเมื่อมองดูฉินมู่ก็ไม่ได้อายุมากอะไร และดูเหมือนเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่สว่างสดใสราวดวงตะวัน พวกนางก็เปลี่ยนความคิด เขาดูเยาว์เกินกว่าที่จะมีลูก ดังนั้นพวกนางจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

“น้องสาวทั้งหลาย ข้าถามพวกเจ้าหน่อยได้ไหม” ฉินมู่งุนงงกับธรรมเนียมสังคมที่นี่และลองถามหยั่ง “ข้าได้พบกับเด็กสาวนางหนึ่ง และนางเชิญข้าให้ไปเยี่ยมเยือนบ้านของนาง แต่นางบอกข้าว่ามิให้เดินเข้าไปทางประตูใหญ่ แต่ให้ปีนเข้าไปทางหน้าต่างห้องนางแทน นี่มันเป็นมารยาทแบบไหนหรือ”

ดรุณีทั้งหมดหัวเราะคิกคัก และดวงตาของเด็กสาวที่เป็นหัวหน้าก็โค้งประจดุจพระจันทร์เสี้ยว “บางทีบับบาน้อยอาจจะไม่ได้ทึ่ม เมื่อเด็กสาวคนนั้นขอให้เจ้าปีนเข้าไปทางหน้าต่าง นี่หมายความนางอยากจะนัวเนียกับเจ้า เหมือนกับวิธีที่นกเป็ดน้ำเอาคอมาพันกัน ถูไถกันไปมา”

ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง “อะไรคือนกเป็ดน้ำพันกัน”

เด็กสาวที่เป็นหัวหน้ากระโดดมาบนหลังกิเลนมังกรและแย้มยิ้ม “อย่าขยับ” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก็อิงเข้าไปแนบอกของเขาและหยิบมือของเขาขึ้นมาทาบที่หน้าอกของนาง นางเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ และยื่นคอระหงของนางเข้าไปในอ้อมกอดของเขา นางถูไถใบหน้าของนางเข้ากับใบหน้าของเขา และใบหูนางก็แตะเข้ากับของเขา ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มและสัมผัสอันสนิทชิดเชื้อที่ยากจะบรรยาย ทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์

ฉินมู่หน้าแดงเถือกเมื่อเขาถูกทิ้งไว้ให้ยืนเซ่อ จมูกเขาได้แต่กลิ่นกรุ่นของเด็กสาว

นางหัวเราะและกลับไปที่หีบของนาง เด็กสาวคนอื่นๆ มองไปที่ท่าทีอันหลงงมงายของเขา และทุกคนก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังอย่างเบิกบาน

“พี่สาวใหญ่ หัวใจท่านหวั่นไหวหรือ ทำไมท่านไม่พาเขาไปวิวาห์เยือนเลยล่ะ” หนึ่งในพวกสาวๆ เย้าแหย่

นางเหลือบแลมองฉินมู่ และหัวใจนางก็หวั่นไหวบ้างเหมือนกัน นางกล่าวด้วยความลังเล “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีไหม…”

เด็กสาวคนอื่นๆ ผลักไสนางไปมา และนางก็นำถุงหอมออกมา โยนให้กับฉินมู่ด้วยเสียงหัวเราะระรื่น “บับบาน้อย เจ้าสามารถปีนข้ามหน้าต่างมาหาข้าได้ในคืนนี้ ข้าจะสอนเจ้าถึงวิธีที่นกเป็ดน้ำมันเล่นกัน”

สตรีในแผ่นดินตะวันตกใจกล้าและร้อนแรงยิ่งกว่าพวกสาวๆ ในเมืองหลวงสันตินิรันดร์ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถย่อยสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้าใจได้ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกเจ้ารู้วิธีเดินทางไปตำหนักสวรรค์แท้ไหม”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท