ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 444 ตัวปราบ

ตอนที่ 444 ตัวปราบ

เมื่อดวงตะวันตกลงไปทางทิศตะวันตก ทะเลทรายเพลิงโหมก็กลายเป็นสีแดงเพลิง ฉินมู่ขี่บนศีรษะของกิเลนมังกร กำลังแปรเปลี่ยนปราณชีวิตของเขาให้เป็นปราณชีวิตหงส์แดงเพื่อขัดเกลากระบี่บินแต่ละเล่มของเขา เขาย้ำรอยประทับอักษรรูนบนนั้นให้ลึกยิ่งขึ้น

เขาก้มหัวลงดูและพบว่าเสียงฉีเอ๋อได้ผล็อยหลับไปแล้วที่หูของกิเลนมังกร ที่นั่นไม่มีลมพัด และกิเลนมังกรก็ใช้หูของเขาเพื่อปกป้องเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความใส่ใจ

มังกรอ้วนก็ไม่เลวเลย ฉินมู่ชมเขาในใจ เจ้าอ้วนนี้ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วน รสชาติของยาวิญญาณเพลิงฉานและยาเทพชีวาธาตุไฟนั้นไม่ค่อยอร่อยจริงๆ นั่นแหละ ข้าควรจะพัฒนารสชาติให้เขาเมื่อเจอสถานที่ที่หยุดพักได้

“จ้าวลัทธิ มีโอเอซิสข้างหน้าแน่ะ!” กิเลนมังกรพลันกล่าวขึ้นมา

ฉินมู่มองไปเบื้องหน้าของพวกเขา และเขาก็มองเห็นโอเอซิสจริงๆ “ข้าสงสัยว่าจะมีแหล่งน้ำข้างหน้าหรือไม่ ข้าขาดน้ำได้อีกวันสองวัน แต่ข้ากังวลถึงเสียงฉีเอ๋อ”

ทะเลทรายเพลิงโหมนั้นร้อนระอุอย่างสุดๆ ในอากาศไม่มีไอน้ำ ฉินมู่ไม่อาจเรียกน้ำออกมาได้แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนไปใช้ปราณชีวิตเต่าดำ เขาไม่เคยต้องกังวลกับเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคมาก่อน แต่บัดนี้เมื่อมีเสียงฉีเอ๋ออยู่ด้วย เขาก็ไม่อาจเมินเฉยเรื่องพวกนี้ได้อีกต่อไป

สักพักหนึ่ง กิเลนมังกรก็มาถึงโอเอซิส และพวกเขาก็เห็นกระโจมหนังแพะสีขาวหิมะสามสี่หลังตั้งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบ ผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าของแผ่นดินตะวันตกกำลังจุดไฟเพื่อประกอบอาหาร กิเลนมังกรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังแล้วกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าผานกงสั่วจะหลบหนีมาถึงที่นี่หรือไม่ จ้าวลัทธิโปรดระวัง เขานั้นบาดเจ็บสาหัสและคงจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก”

ฉินมู่กระโดดลงมาและเปิดใบหูของกิเลนมังกรขึ้น เพื่ออุ้มเสียงฉีเอ๋อที่กำลังหลับใหลออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ต่อให้เขาอยู่ใกล้ๆ เขาก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาหรอก หากว่าเขาเสนอหน้าออกมา ก็จะง่ายดีที่ข้าจะได้กำจัดเขาเสีย”

ชาวเผ่าของแผ่นดินตะวันตกสวมใส่ผ้าคาดหัวปักลาย เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากส่งเสียง

ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าในค่ายแห่งนี้มีบุรุษมากกว่าสตรีหลายเท่า และจากการตรากตรำงานหนัก ใบหน้าของพวกเขาก็เป็นสีแดงจากแดด และยังมีเลียงผาเหลืองสองขาในโอเอซิสกับสินค้าจำนวนหนึ่ง คณะนี้น่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าจร

แม้ว่าความเร็วของเลียงผาสองขาจะรวดเร็วว่องไว และความสามารถในการแบกน้ำหนักของมันจะสูงเยี่ยม แต่การขี่มันนั้นจะกระโดกกระเดกยากต่อการนั่ง ดังนั้นมีแต่พ่อค้าเท่านั้นที่จะใช้สัตว์พิสดารชนิดนี้

แม้ว่าการขี่เลียงผาสองขาจะทำให้ผู้นั่งสะเทือนทรมาน แต่พวกมันสามารถขนส่งสินค้าได้มากกว่า

ฉินมู่เดินไปยังพ่อค้าสูงวัยผู้หนึ่งและกล่าว “ผู้เฒ่า น้องสาวของข้ากำลังหลับ ข้าขอยืมกระโจมได้หรือไม่”

พ่อค้าเฒ่าผงกหัวทันทีและกล่าว “ตามสบาย”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณและส่งเด็กหญิงเข้าไปในกระโจม ค่ำคืนในทะเลทรายหนาวยะเยือก และนี่ก็โชคดีมากที่พวกเขาได้กระโจมหนังแพะมาช่วยรักษาความอบอุ่นให้นาง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผ้าห่มขนแพะหนาอุ่นอยู่ในข้างใน ฉินมู่ยัดเสียงฉีเอ๋อผู้ซึ่งยังหลับใหลอยู่เข้าไปข้างใน มือเล็กๆ ของนางจับที่ผ่าห่ม และนางขยับปากสองสามที ดูท่าคงจะกำลังหิว แต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา

ฉินมู่เดินออกไปจากกระโจมและพบว่าดวงอาทิตย์ตกลงไปเรียบร้อยแล้ว

เสียงกองไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะใกล้ๆ เขาเอ่ยถาม “ผู้เฒ่า พวกท่านคือพ่อค้าจากแผ่นดินตะวันตกหรือ”

ทุกคนมองไปยังใบหน้าของฉินมู่และไม่กล้าพูดจา มีก็แต่พ่อค้าเฒ่าที่ดูแลขบวนกล้าที่จะเปิดปาก “พวกเรามาจากแผ่นดินตะวันตกและกำลังจะไปแดนโบราณวินาศเพื่อค้าขาย ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ท่านนี้มาจากแดนโบราณวินาศหรือ”

ฉินมู่อึ้งไปในทีแรก จากนั้นก็หัวเราะพรืดออกมา แม้ว่าเขาจะโตมาค่อนข้างสูง แต่ก็ยังไม่เฉียดใกล้กับการที่ผู้คนจะเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ความเกรงกลัวของพ่อค้าพวกนี้น่าจะมาจากรอยประทับเพลิงบนใบหน้าของเขา

จากรอยประทับ พวกเขาน่าจะอนุมานได้ว่าฉินมู่มาจากแดนโบราณวินาศ

“ข้ามาจากแดนโบราณวินาศจริงๆ นั่นแหละ และกะจะไปยังแผ่นดินตะวันตก” ฉินมู่นำเนื้อวัวสดและผลไม้ออกจากถุงเต๋าตี้ของเขา และมอบให้แก่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่า ขอบคุณท่านที่อนุญาตให้น้องสาวของข้ามีที่พักผ่อน หากผู้เฒ่าไม่รังเกียจ ก็เรียกข้าว่าเสี่ยวฉินเถอะ”

ผู้เฒ่าไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่รับคำ “ข้าไม่กล้ารับคำเรียกหาว่าผู้เฒ่า ศักดิ์ฐานะของพวกเราบุรุษในแผ่นดินตะวันตกนั้นค่อนข้างต่ำชั้นกว่า พี่ฉิน ท่านนั้นเป็นบุคคลจากแดนโบราณวินาศ ดังนั้นการไปแผ่นดินตะวันตกไม่ค่อยดีกับท่านนัก ทะเลทรายเพลิงโหมนี้ทอดยาวไปไกลหลายหมื่นลี้ และมีเพลิงไฟโหมไหม้ตลอดระยะทาง ยิ่งไปกว่านั้น ไฟพวกนี้ยังซุกซ่อนอันตรายมากมายต่อผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ ดังนั้นถ้าท่านกลับไปจะดีที่สุด”

ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าได้สัญญาไว้ว่าจะไปยังแผ่นดินตะวันตก แล้วข้าจะผิดสัญญาได้อย่างไร ผู้หญิงเป็นผู้ที่มีอำนาจในแผ่นดินตะวันตกหรือ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็มีแม่ทัพและขุนนางสตรี สมัยก่อนนั้น ราชครูได้ผลักดันความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายและหญิง เขาเจอการต่อต้านไม่ใช่น้อย ดังนั้นข้าจึงไม่คาดคิดเลยว่าพวกเจ้าจะยิ่งเปิดกว้างมากกว่าสันตินิรันดร์เสียอีก”

พ่อค้าเฒ่าสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขากล่าวทันที “ชู่วว! ท่านพูดเรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงไม่ได้นะ มิเช่นนั้นจะถูกประหาร! ชายกับหญิงจะเท่าเทียมกันได้อย่างไร ผู้หญิงสามารถให้กำเนิด ดังนั้นผู้ชายย่อมเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่า!”

ฉินมู่ตกตะลึง

พ่อค้าเฒ่าเหลือบมองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “เมื่อท่านไปถึงแผ่นดินตะวันตก อย่าพูดถึงคำพูดเหลวไหลแบบนี้ แน่ล่ะ แต่นั่นท่านจะต้องรอดพ้นจากการเดินทางไปได้เสียก่อน…”

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้

“เมื่อท่านไปถึงแผ่นดินตะวันตก อย่าพูดว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ” พ่อค้าเฒ่ากล่าวเสริมอย่างเคร่งขรึม “หากว่าท่านกล่าวว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ ไม่นานก็จะถูกกำจัด”

ฉินมู่ขมวดคิ้วและถาม “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”

พ่อค้าเฒ่าอิดออดที่จะลงลึกในรายละเอียด และฉินมู่ก็ไม่บีบบังคับเขา เขายังคงขับเคลื่อนปราณชีวิตเพื่อขัดเกลากระบี่บินของตนอย่างต่อเรื่อง เมื่อพลังวัตรของเขาเหือดหายไปครึ่หงนึ่ง เขาก็จะกลืนกินยาวิญญาณสองสามเม็ด กระบี่บินพวกนี้กลายเป็นเล็กลงและเล็กลงจากการขัดเกลาของเขา

“ข้ายังอ่อนหัดอยู่เมื่อเทียบกับท่านปู่ใบ้ เขาถึงกับขัดเกลากระบี่จนกลายเป็นน้ำไหลได้”

ฉินมู่คว้าจับกระบี่บินเล่มหนึ่งมา และถูกมันไปมาในมือ มันกลายเป็นไจกระบี่ลูกเล็กๆ แต่ก็ยังมีติ่งปูดอยู่บ้าง เขาขับเคลื่อนกระบี่ไร้กังวล และกระบี่ทั้งแปดพันเล่นก็เข้ามาชนปะทะกัน แปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่ลูกหนึ่ง แม้ว่ามันจะเล็กลงกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสองคืบ

ต่อเมื่อเขาขัดเกลาไจกระบี่จนเหลือขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้นแหละ จึงจะนับได้ว่าวิชาขัดเกลาของเขารุดหน้า ที่จุดนั้น เขาก็จะสามารถขัดเกลากระบี่ให้กลายเป็นน้ำไหลได้

ฉินมู่กระจายไจกระบี่ออก และคว้าจับกระบี่ไร้กังวล กระบี่เกือบแปดพันเล่มพุ่งหวือๆ เข้ามาตามๆ กัน ผสานเข้าไปในกระบี่แม่

กระบี่ไร้กังวลกลายเป็นหนักอึ้งมากขึ้นทุกทีๆ และเมื่อกระบี่เล่มสุดหลายผสานเข้าไปในนั้น แขนของฉินมู่ก็สั่นกึกๆ กระบี่เล่มนี้หนักอึ้งจนเกินไป แต่อย่างน้อยเขาก็ยกมันได้

เขาลองเหวี่ยงมันดูและแม้ว่ามันจะเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า แต่เสียงตูมๆ จากการระเบิดและคลื่นสั่นสะเทือนก็ดังมาจากฟากฟ้า มันเหมือนกับมีขุนเขาใหม่มหึมาร่วงลงยังพื้นพิภพ!

เสียงระเบิดพวกนั้นมาจากความหนักของกระบี่ก็ไปกดอัดห้วงมิติ!

ฉินมู่เหวี่ยงกระบี่ไร้กังวลสองที และแขนของเขาก็ปวดชาไปหมด เขารีบสลายกระบี่ลูก และไม่ทรมานตัวเองด้วยมันอีกต่อไป ภาษามังกรที่เขียนไว้บนห่วงหยกจักรพรรดิก็เป็นของดีจริงๆ วิชาเก้ามังกรราชันย์บนนั้นได้พัฒนาร่างเนื้อของข้าด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด! แต่ก่อนนั้นข้าคงไม่มีหวังที่จะยกกระบี่ขึ้นมาได้! น่าเสียดายที่ข้ายังแกะความหลายส่วนในภาษามังกรบนนั้นไม่ออก

ในสองสามวันล่าสุดนี้ เขาพยายามหลอมรวมวิชาเก่ามังกรราชันย์เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และกายเนื้อของเขาก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วราวเทพติดปีก ในอดีตนั้น เขาเพียงแค่ฝึกปรือวิชาบ่มเพาะร่างกายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่พลังดิบๆ ของร่างเนื้อเขาเพียงอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่าทักษะเทวะของผู้ฝึกทักษะเทวะหมู่มากแล้ว

หากว่าเขาขับเคลื่อนวิชาบู๊อย่างเช่นฟ้าคำรามแปดจู่โจมและมีดเชือดหมู พลานุภาพของมันก็จะทวีคูณไปหลายเท่า!

พละกำลังของกายเนื้อมีผลกระทบเป็นอย่างสูงต่อวิชาบู๊!

เหล่าพ่อค้าแห่งแผ่นดินตะวันตกเข้าไปในกระโจมของพวกตนเองเพื่อพักผ่อนนอนหลับ ส่วนฉินมู่นั้นนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ กิเลนมังกรได้หดย่อร่างกายตนและถามฉินมู่ขอคัมภีร์เลี้ยงมังกร เขานอนหมอบข้างๆ และใช้เปลวไฟของทะเลทรายเพื่ออ่านมัน

มังกรอ้วน เจ้านี่เริ่มขยันพากเพียรเหมือนหลิงเอ๋อ! ฉินมู่ปลื้มใจ

กิเลนมังกรเลียอุ้งเท้าของตน และเปิดพลิกคัมภีร์เลี้ยงมังกรเพื่ออ่านเนื้อหาข้างในอย่างใส่ใจ เขาคิดกับตนเอง เทพครองแดนเลี้ยงมังกรเขียนคัมภีร์เลี้ยงมังกรขึ้นมา เช่นนั้นข้าก็จะเขียนคัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้าบ้าง…

ไม่นานนัก ฉินมู่ก็เอนตัวบนหลังกิเลนมังกรและหลับปุ๋ยไป กิเลนมังกรเองก็ฟุบหัวลงงีบบ้าง แม้ว่าทะเลทรายจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิงยามค่ำคืน แต่อุณหภูมินั้นต่ำเป็นอย่างยิ่ง พื้นผิวทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ร่างกายของกิเลนมังกรนั้นอุ่นสุดๆ ที่รูจมูกของเขาจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ

ใกล้เที่ยงคืน ท่ามกลางเปลวเพลิงนอกโอเอซิส ผานกงสั่วมุดขึ้นมาจากใต้ดิน เขามองไปยังฉินมู่ที่กำลังหลับอยู่และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะลอบเข้าไปใกล้และสังหารเจ้าหมอนั่นเสียเลยตอนนี้ดีไหม

ฉินมู่หายใจอย่างสงบนิ่ง ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นรอบตัว

ผานกงสั่วลังเลอยู่เป็นหนสุดท้าย ก่อนที่จะตัดสินใจลงมือพิฆาต แต่ทันใดเขาก็เห็นปราณมังกรลอยล่องออกมาจากถุงเต๋าตี้เมื่อฉินมู่หายใจ มันเหมือนกับมังกรตัวเล็กละเอียดที่เลื้อยไปมารอบๆ เขา

ผานกงสั่วเห็นมือของฉินมู่อยู่ในถุงเต๋าตี้ และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน เขาเปลี่ยนใจทันทีและหันกายจมหายลงไปใต้ดิน

“เขารู้หรือ”

ฉินมู่ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง และมองไปรอบๆ ก่อนจะปิดตาลงตามเดิม เขานำมือข้างที่เขาใส่ลงไปในถุงเต๋าตี้ออกมา และเริ่มเหนี่ยวนำปราณมังกรในรังมังกรแท้ต่อพลางหายใจกรน คราวนี้เขาหลับผล็อยลงไปจริงๆ

ริ้วสายปราณมังกรถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเขา พัฒนาปราณชีวิตและเพิ่มพูนวรยุทธของเขา

ฉินมู่ได้อาศัยรังมังกรแท้และห่วงหยกจักรพรรดิเพื่อฝึกวรยุทธมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เพราะเช่นนี้แหละ พลังวัตรของเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นได้เร็วอย่างสุดกู่ แม้แต่ผานกงสั่วที่กลับชาติมาเกิดกว่าสิบครั้งก็ไม่สามารถก้าวล้ำหน้าเขาไปได้

แน่ล่ะว่าปัจจัยสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงอยู่บ่อยครั้ง มันได้ให้มรรคผลแก่เขาเป็นอย่างมาก และทำให้พลังวัตรของเขาไม่ด้อยไปกว่าผานกงสั่วผู้ซึ่งเข้าสู่ขั้นเจ็ดดาว

เมื่ออรุณมาถึง เสียงฉีเอ๋อตื่นขึ้นมา และร้องครวญว่านางหิวโหย ฉินมู่ใช้เนื้อสันในสับและผักเพื่อต้มโจ๊กให้นางกิน เขายังทำขนมอีกสองสามอย่าง ก่อนที่จะหลอมปรุงยาวิญญาณที่ปรับปรุงพัฒนาแล้วให้แก่กิเลนมังกร

คัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! กิเลนมังกรเต็มไปด้วยความมั่นใจ จ้าวลัทธิคิดว่าเขาสำเร็จการฝึกปรือคัมภีร์เลี้ยงมังกร แต่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาอยู่ในกำมือคัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้า!

เมื่อกองคาราวานพร้อมจะออกเดินทาง พ่อค้าเฒ่าก็มากล่าวลาฉินมู่ และบอกเตือนเขาอีกครั้ง “พี่ฉินจะต้องไม่บอกใครว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ มิเช่นนั้นท่านจะเจอปัญหาใหญ่!”

ฉินมู่ขอบคุณเขาอีกครั้งและขึ้นไปบนหน้าผากกิเลนมังกรเพื่อเร่งเดินทางไปยังทิศตะวันตก ข้างหลังเขาคือเสียงกระดิ่งที่แขวนห้อยบนคอเลียงผาเมื่อพวกมันแบกสินค้าตรงไปยังแดนโบราณวินาศในทิศตะวันออก

ความเร็วของกิเลนมังกรไม่ใช่น้อยๆ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถไปถึงแผ่นดินตะวันตก แม้ว่าจะวิ่งตะบึงไปตลอดทั้งวันจนถึงยามเย็น

เมื่อพวกเขาผ่านภูเขาใหญ่มหึมา ฉินมู่เหลียวมองดูมันหลายหน แต่กิเลนมังกรวิ่งผ่านมันไป ในวินาทีถัดมาฉินมู่กล่าว “มังกรอ้วน กลับไป!”

กิเลนมังกรงงงัน แต่ก็รีบทำตามที่เขาบอก

ฉินมู่เพ่งพิศดูภูเขานั้นและเห็นว่ามันยิ่งใหญ่อลังการอย่างเหลือแสน ไม่มีเปลวไฟอยู่บนนั้น ดังนั้นฉินมู่จึงรีบปีนไต่ไปบนยอดของมัน มันกว้างใหญ่ไพศาลและเกลื่อนไปด้วยรั้วหักกำแพงพัง ฉินมู่จิตนาการภาพอันโอฬารตระการตาที่นี่ได้เมื่อสมัยที่ทุกๆ อย่างยังคงตั้งตระหง่าน

มีศพแห้งจำนวนหนึ่งถูกกลบฝังในทราย และฉินมู่ก็เข้าไปสำรวจมัน ปรากฏว่าพวกมันเป็นยักษ์ที่มีร่างสูงใหญ่บึกบึน

เขามายังเสาและแตะมันดู ข้างๆ เสานั้นมีโซ่หนาเส้นใหญ่อยู่

“จ้าวลัทธิ ภูเขานี้มีอะไรหรือ” กิเลนมังกรเหาะขึ้นมาด้วยเมฆอัคคี

ฉินมู่ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปยังทะเลทรายอันห่างไกลออกไป “ดูตรงนั้น”

กิเลนมังกรมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ และเห็นลูกกลมสีดำสนิทอันปล่อยให้ลมและทรายซัดเสียดสี

“มันคือเรือตะวัน เรือตะวันที่หมดลมหายใจ” ฉินมู่ลงไปจากเรือ สีหน้าไร้อารมณ์ “ไปกันเถอะ”

กิเลนมังกรมองเห็นสีหน้าของเขาและไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ ในทางกลับกัน เขาแบกฉินมู่ต่อไปทางทิศตะวันตก ไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับเรือยักษ์ลำที่สอง มันคือเรือจันทราที่หักพัง

หลังจากนั้น พวกเขาได้พบกับเรือใหญ่ลำที่สามอันฝังในทะเลทราย เรือจันทราลำนั้นประสบความเสียหายในการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน และพังพินาศไปอย่างหนัก

ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาทันที “วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติคือตัวปราบเรือตะวันและเรือจันทรา!”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน