ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 451 ท่วงท่าที่สิบแปด

ตอนที่ 451 ท่วงท่าที่สิบแปด

กิเลนมังกรหันกลับแล้ววิ่งหนีพลางตะโกนไปด้วยความคั่งแค้นใจ “พวกผู้ฝึกวิชาเทวะแดนตะวันตกมันบ้ากันไปหมดแล้ว! จ้าวลัทธิ พวกเขาต้องบ้ากันแน่ๆ! ใครมันจะปลุกทั้งเมืองขึ้นมาและใช้ต่างอาวุธ”

ข้างหลังพวกเขา ทุกหนทุกแห่งที่เมืองต้นไผ่วิ่งผ่านก็ราบเป็นหน้ากลอง

เมืองใหญ่นี้ราวกับสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อที่ก้าวอาดๆ ไล่กวดพวกเขา มันพลิกสันเขาให้กระเด็นไปด้วยความเร็วอันร้ายกาจ ทุกอย่างที่มันผ่านก็กลายเป็นแบนราบไปหมด

เมืองนี้ราวกับปากอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถกลืนกินและบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงเท่านั้น ยักษ์หลายพันตนในเมืองยังเหวี่ยงร่างของพวกมันราวกับค้อนใหญ่ และทุกอย่างที่ถูกเมืองกัดเคี้ยวเป็นชิ้นๆ เมื่อหลุดเข้าไปในเมืองก็ถูกยักษ์พวกนั้นฟาดทุบเป็นผุยผง

นั่นยังไม่พอ ข้างหลังเมืองนั้นคือคลื่นฝุ่นผงที่กลิ้งออกไปของทุกสิ่งที่พวกมันกัดทึ้งและทุบทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ฝุ่นผงแผ่ขยายออกไปในรัศมีร้อยลี้ ปิดบังทัศนวิสัยทั้งหมด

เมืองนี้เคี้ยวกัดไปข้างหน้าและพ่นทิ้งไปข้างหลัง ใครก็ตามคงนึกออกว่าตนเองจะเป็นอย่างไรหากว่าหลุดเข้าไปในปากของมัน

ฉินมู่รีบเร่งหนีไปอย่างไม่หยุดยั้ง และกิเลนมังกรก็รีดเร้นพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อวิ่งหนีตาย แม่น้ำใหญ่พลันสะบัดเหวี่ยงออกมาจากในเมืองไม้ไผ่ราวกับแส้ยาว

กิเลนมังกรกระโดดหลบทันที แต่แม่น้ำใหญ่นั้นคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง มันเคลื่อนที่ไปมาซ้ายขวา บีบให้กิเลนมังกรต้องหลบไปทั่วสารทิศ ความเร็วของเขาตกลง และเมืองต้นไผ่ก็ค่อยๆ ตามพวกเขามาทัน

“พี่ชาย…”

เสียงของเสียงฉีเอ๋อสั่นระริกเมื่อนางเหลียวหลังกลับไปมองด้วยความหวาดผวา พื้นดินสะท้านสะเทือนและก้อนหินอันใหญ่เท่าตัวมนุษย์ก็ถูกซัดขึ้นไปบนอากาศ เมืองต้นไผ่อ้าประตูของมันกว้างและเคี้ยวกัดเข้าไปด้วยเขี้ยวคมกริบที่รอท่าอยู่แล้ว

“ไม่ต้องห่วง น้องสาวฉีเอ๋อ ไม่ต้องกลัวไปนะ”

ฉินมู่หันกลับไป และไจกระบี่ของเขาก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ เคลื่อนไปบังเบื้องหน้ากายของเขา กิเลนมังกรถูกแม่น้ำมหึมาไล่ให้หลบซ้ายหลีกขวา และหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานพวกเขาก็จะถูกเมืองต้นไผ่กัดกิน

“ใครสกัดขัดขวางพวกเรา”

ฉินมู่มองไปยังสิ่งที่ไล่ตามมา ประตูเมืองและกำแพง อ้างับขึ้นๆ ลงๆ ทำให้หอกคมจำนวนมากดูเหมือนกับฟัน มันทำให้เด็กหนุ่มสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

จำเป็นต้องใช้ขบวนยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้เชียวหรือเพียงเพื่อจะไล่สังหารผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ? ผานกงสั่วกับเครือข่ายของเขาไม่น่าที่จะขับเคลื่อนสมบัติวิเศษชิ้นมหึมาอย่างเมืองต้นไผ่ได้ เช่นนั้นใครกันที่กำลังพยายามกำจัดข้า

เขาพลันนึกถึงคนคนหนึ่ง และแย้มยิ้มพลางพึมพำกับตนเอง “จะต้องเป็นหมอนั่น นายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เหยื่อของเขาถูกชิงไปใต้จมูกตอนที่ข้าช่วยเหลือเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เช่นนั้นเขาและข้าก็เรียกได้ว่าเป็นสหายเก่ากัน หรือว่าเขากะจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่อันน่าประหลาดใจแก่ข้ากันนะ”

ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็ร้องโหยหวน “จ้าวลัทธิ นี่ไม่ใช่ของขวัญเลยสักนิด! นี่มันเรื่องน่าสยอง! แย่แล้ว…”

แม่น้ำใหญ่อีกสายฟาดออกมาจากปากของเมืองต้นไผ่และกระหวัดพันรอบหางของกิเลนมังกรพลางลากเขาไปยังปากใหญ่นั้น กิเลนมังกรตะกุยตะกายอย่างไม่คิดชีวิตด้วยเท้าทั้งสี่ แต่เขาก็ยังมิอาจป้องกันตนเองให้โดนลากไปสู่ความหายนะได้

“มังกรอ้วน ตัดหางเจ้าทิ้งเหมือนนักรบใจเด็ดไปเลยสิ!” เสียงฉีเอ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเสียงอันสดใส

น้ำตาไหลพรากอาบแก้มกิเลนมังกร “น้องสาวฉีเอ๋อ ต่อให้ข้าตัดหางออกพวกเราก็หนีไม่รอด ปล่อยให้ข้าตายโดยมีซากร่างที่สมบูรณ์เถอะ…แม้ว่าข้าจะคิดว่านั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน…”

ประตูเมือนคล้ายปากใหญ่ อ้าขึ้นงับลงไปมา กัดทุกอย่างที่เข้าใกล้ดังกร้วมๆ อะไรที่รอดจากมันไปได้ ก็จะเข้าไปเจอกับยักษ์มากมายอันแปลงกายมาจากสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งทุบฟาดไปมารอบๆ ตามอำเภอใจ ดังนั้นจะตายแบบมีซากร่างครบสมบูรณ์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!

แสงเย็นเยียบส่องวูบวาบบนปลายหอกทุกเล่ม อันหนาเท่ากับปากขวด พวกมันเหมือนกับแท่งเหล็กที่อยู่เหนือกำแพงเมือง ปลายของมันคมราวกับกระบี่ ส่วนด้านแบนนั้นเต็มไปด้วยรอยประทับประหลาด เห็นได้ชัดว่าหอกแต่ละเล่มคืออาวุธวิญญาณ!

หากว่าใครหลุดเข้าใกล้ประตูเมือง ก็จะเท่ากับว่าถูกอาวุธวิญญาณสิบกว่าเล่มทิ่มแทงใส่กายเนื้อ สร้างรูโหว่เท่าชามข้าวอันนองเลือดไปทั่วร่ายกายพวกเขา

เมื่อผนวกกับพละกำลังอันรุนแรงในการกัดเคี้ยวของประตูเมืองและกำแพง พวกเขาก็จะต้องกลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลวในชั่วพริบตา

ฉินมู่กล่าวทั้งที่ยังเหม่อเล็กน้อย “สมแล้วที่เป็นนายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่ลำพังตัวเขาไม่น่าจะมีความสามารถที่จะปลุกเมืองต้นไผ่ให้เป็นพรายวิญญาณหรอก จริงไหม วรยุทธของเขาอาจจะสูงกว่าข้า แต่อย่างมากเขาก็อยู่ในขั้นเจ็ดดาว…”

“จ้าวลัทธิ!” กิเลนมังกรยังคงถูกลากเข้าไปยังปากของเมืองต้นไผ่

ฉินมู่สะบัดหน้าไล่ความประหลาดใจของตน ไจกระบี่ของเขาพลันพวยพุ่งออกไป และแสงกระบี่นับไม่ถ้วนก็ปะทุออก กระบี่แปดพันเล่มร่ายรำท่วงท่ากระบี่สะบัดในเวลาเดียวกัน มันเป็นภาพอันยิ่งใหญ่ตระการ

ด้วยกระบี่วิเศษที่เกลื่อนกล่นราวเมฆา สะบัดเหวี่ยงไปรอบๆ หอกคมกล้าของเมืองนี้ เขี้ยวมากมายของเมืองต้นไผ่ก็ถูกเฉือนตัดออกไปทันที

ประตูเมืองยังกัดกร้วมลงมาอย่างหนักหน่วง และเพียงแค่กำลังกัดอันน่าแตกตื่น ก็สามารถทำให้สิ่งใดก็ตามเละตุ้มเป๊ะได้

ฉินมู่ยื่นมือออกไปคว้าจับกระบี่ของเขา เขาอาจจะไม่สามารถปลดปล่อยเทวานุภาพของกระบี่ไร้กังวลออกมาได้ แต่เพียงความคมกล้าของมันก็สามารถทำให้เขาเฉือนตัดทุกอย่างที่ขวางทาง!

กระบี่ไร้กังเวลเปล่งแสงขึ้นมาในมือเขา หนึ่งจุดข้ามเวิ้งว้าง หยินหยางผันแปรสองรูปลักษณ์!

พลานุภาพจากกระบวนท่าแรกของกระบี่เต๋าระเบิดออกไป และแสงกระบี่ก็แยกออกเป็นหยินหยางสีขาวและดำที่พลุ่งพล่าน หมุนไปมารอบกันและกันเพื่อสร้างเป็นผังไท่จี่ แต่ทว่านี่เป็นเพียงภาพปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเพลงกระบี่เท่านั้น

เพลงกระบี่นี้จริงๆ แล้วกำลังขับเคลื่อนความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันเลิศล้ำ สิ่งที่ประกอบเป็นจุดและเส้นในผังไท่จี่นั้นได้ผ่านการคำนวณอย่างละเอียดยิบ และการเคลื่อนไหวของแสงกระบี่ทุกริ้วแสงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยการคำนวณพีชคณิตที่ซับซ้อนเกินจินตนาการ มันเป็นแง่อัศจรรย์ของสำนักเต๋าในการไขอธิบายจักรวาล

เมืองต้นไผ่กัดเข้าไปใส่มันด้วยกำลังเถื่อน และส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองก็หายไป แทนที่ไปด้วยแสงกระบี่อันมีสีขาวและสีดำผันแปรสลับไปมา

ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และเงื้อกระบี่ไร้กังวลขึ้นเหนือศีรษะ เขาใช้พลังวัตรของตนเพื่อรั้งกระบี่ให้กระบี่ทั้งแปดพันเล่มโบยบินกลับมา ซ้อนทับกับมัน ด้วยกระบี่ลูกที่หลอมรวมเข้ากับกระบี่แม่ กระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง และฉินมู่ก็พลันรู้สึกว่ากระบี่ในมือหนักอึ้งเกินบรรยาย

มันคือรูปลักษณ์ที่สองของไจกระบี่ของเขา

มันมีสองรูปลักษณ์ หนึ่งนั้นคือเม็ดกลมๆ และอีกหนึ่งนั้นคือการผสานเข้าไปในกระบี่แม่

น้ำหนักหลังจากการผสานเข้าไป ทำให้กระบี่ไร้กังวลหนักอึ้งขนาดที่ว่าเขามิอาจใช้พลังวัตรของตนเพื่อขับเคลื่อนพลานุภาพของเพลงกระบี่

ฉินมู่เงื้อกระบี่ขึ้นสูง และในตอนนั้นเขาสามารถทำได้เพียงท่วงท่าเดียว

ผ่า!

ผ่ามันลงไป!

ตรงหน้าของเขาและเป็นข้างหลังก้นกิเลนมังกร มันคือเมืองต้นไผ่ มันได้ลากพวกเขาผ่านปากของมัน จากนั้นก็ดึงกิเลนมังกรไปตามถนน

สองฟากถนนนั้น ยักษ์สิ่งก่อสร้างมากรายเรียงรายรอที่จะฟาดทุบเขาให้เป็นเนื้อบด

ที่ใจกลางเมืองต้นไผ่ แม้กระทั่งราชวังอันกุก่องตระการก็ลุกขึ้นยืน พวกมันมิได้สร้างขึ้นมาจากไม้หรือหิน แต่ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันจากทองคำทมิฬ เหล็กดำ และทองแดงทมิฬ

ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมิได้พยายามเสริมสร้างให้ตนเองแข็งแกร่งในตัว พวกเขาหยิบยืมพลังอำนาจจากฟ้าและดิน และเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ รวบบรวมทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬเพื่อหลอมสร้างอาวุธวิญญาณของพวกเขา ยิ่งอาวุธเหล่านั้นแข็งแกร่งมากเท่าไร เมื่อปลุกขึ้นมาเป็นพรายวิญญาณ พวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น

ราชวังในเมืองต้นไผ่นั้นเป็นอาวุธวิญญาณ หลอมสร้างขึ้นโดยผู้ฝึกวิชาเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นฤทธิ์เดชของมันจึงเป็นคนละระดับเลยเมื่อเทียบกับบ้านไม้และบ้านหิน

ยักษ์ราชวังลุกขึ้นยืนเพื่อขวางทางที่สุดสายปลายถนน และคละคลุ้งไปด้วยจิตสังหาร

ภาพนี้อย่าว่าแต่จะเคยได้เห็น แม้แต่ได้ยินก็ไม่เคย!

ฉินมู่ผ่าลงไปด้วยกระบี่ของเขา และแรงสั่นสะเทือนที่มาจากกระบี่ไร้กังวลอันหนักมหาศาลก็ได้ฉีกทำลายแม่น้ำใหญ่ที่กระหวัดพันรอบๆ หางกิเลนมังกรเอาไว้

มันเหมือนกับงูใหญ่ที่ถูกตัดหาง และมันบิดสะบัดไปมา ดิ้นพล่านไปรอบๆ เมือง

เมื่อปลายกระบี่ไร้กังวลแตะเข้ากับถนน พละกำลังอันไร้ต่อต้านของมันก็ระเบิดออกไป และแผ่นปูศิลาแลงบนพื้นถนนก็พลิกกระเด็นไปอย่างต่อเนื่อง ปลิวขึ้นไปบนอากาศ รอยแยกอันน่าแตกตื่นปรากฏบนถนน และมันระเบิดออกแผ่ขยายออกอย่างบ้าคลั่งไปข้างหน้า แผ่นหินศิลาแลงอีกมากมายก็ถูกพลิกขึ้นและระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ!

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

กระบี่บินมากมายพรั่งพรูออกไปจากปลายกระบี่ไร้กังวล และปราณชีวิตอันเถื่อนคลั่งของฉินมู่ก็ไหลบ่าเข้าไปในพวกมัน พวกมันหมุนเป็นเกลียววน และเฉือนตัดทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณถนน ด้วยกระบี่แปดพันเล่มที่เฉือนซัดตัดฟันทุกสิ่งที่ขวางทาง ไม่ว่าพวกมันจะผ่านไปที่ใด ยักษ์เหล่านั้นก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ

เมื่อกระบี่แปดพันเล่มรวมกันเป็นหนึ่ง ฉินมู่ไม่อาจจับเคลื่อนพลานุภาพในกระบี่แต่ละเล่มได้ แต่เมื่อพวกมันแยกจากกัน เขาก็ควบคุมบังคับได้ทันที

แสงกระบี่มากมายไร้ประมาณหมุนเป็นวงกลมราวกับการเคลื่อนที่ของกงล้อ พลางพุ่งทะยานไปยังสุดสายปลายถนนบุกผ่ากองไม้และเศษหิน ในพริบตานั้น พวกมันก็เฉือนตัดเข้าไปด้วยรอยลึกใส่ยักษ์ราชวัง และแทงเสียบมันเข้าไป

แขนของฉินมู่สั่นเทิ้ม เมื่อกระบี่แทบจะทำให้กล้ามเนื้อเขาฉีกขาดไปหมด กระดูกของเขาเกือบทุกชิ้นแทบจะแตกหัก และเส้นเอ็นทุกเส้นก็แทบจะขาดผึง พลังวัตรของเขาก็เหือดแห้งไปครึ่งหนึ่ง!

สาเหตุที่เขาใช้กระบวนท่าแรกของกระบี่เต๋า มิใช่กระบวนท่าแรกของภาพกระบี่ในตอนที่เมืองต้นไผ่กำลังจะกลืนกินพวกเขานั้น ก็เพราะว่าเพื่อออมพลังวัตรเอาไว้ ปริมาณพลังวัตรที่กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ต้องการนั้นสูงกว่ามาก

กระนั้นการฟันผ่าของเขาก็ได้เผาผลาญพลังวัตรของเขาไปครึ่งหนึ่งโดยฉับพลัน!

ถึงอย่างไร ผลลัพธ์ก็งดงาม เขากวาดล้างทั้งถนนให้พังราพณาสูรภายในการฟันฉัวะเดียว เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถครอบครองพลังทำลายล้างระดับนี้ได้

ฉินมู่ปล่อยกระบี่ไร้กังวลในมือ และใช้ปราณชีวิตที่เหลือของเขา กระบี่ไร้กังวลสั่นเทิ้ม และกระบี่บินเล่มอื่นๆ ก็โบยบินกลับมาจากสุดถนน

คราวนี้ ฉินมู่มิกล้าใช้รูปลักษณ์ที่สองของไจกระบี่ ในทางตรงกันข้าม เขาเก็บกระบี่ทั้งแปดพันเล่มกลับมาเป็นลูกกลมโลหะ

เขาเปิดถุงเต๋าตี้และเก็บไจกระบี่กลับไป จากนั้นเขาก็เหม่อคิดอีกครั้ง ข้าดูเหมือนจะค้นพบท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่วงท่ากระบี่นี้มิได้มีในท่วงท่ากระบี่สิบเจ็ดท่วงท่า…

ท่วงท่าที่เขาใช้ฟันฟาดลงไปข้างล่างเมื่อก่อนหน้านี้ ได้ทำให้กระบี่มากมายไร้ประมาณหมุนปั่นราวกงล้อ เมื่อพวกมันพุ่งวูบวาบออกไปจากกระบี่ไร้กังวล อันได้เผาผลาญพลังวัตรของเขาไปครึ่งหนึ่งในพริบตา ท่วงท่ากระบี่ประเภทนี้ที่หมุนปั่นราวกงล้อนั้นแตกต่างจากท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ดที่เคยมีมาก่อน ที่คล้ายคลึงที่สุดก็คงจะเป็นท่วงท่ากระบี่สะบัด แต่อันนั้นจะอาศัยข้อมือเพื่อวาดกระบี่เป็นวงกลมจากปลายกระบี่

ท่วงท่ากระบี่ที่ฉินมู่ใช้ออกไปโดยมิได้ตั้งใจนั้น กลับหมุนปั่นราวกงล้อที่มีพลานุภาพของกระบี่ผ่า เทคนิควิธีของกระบี่ป้อง และความว่องไวของกระบี่สะบัด

นี่คือท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่สิบแปด!

ข้างในเมืองต้นไผ่ ยักษ์ไม้ได้วิ่งตะลุยเข้ามา และที่สุดถนนนั้น ยักษ์ราชวังอันพังแหล่มิพังแหล่ก็ยกวังหนึ่งอันเป็นทรงโค้งกลมและมีสีเหลืองขึ้นต่าง ‘ค้อน’ เพื่อทุบลงไปยังผู้บุกรุก

แม่น้ำมหึมาในเมืองก็โถมซัดขึ้นมาและรวมตัวเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่มังกรวารีกระหวัดพันกาย มันเงื้อหมัดขึ้น และซัดต่อยลงมา

ฉินมู่ยังคงอยู่ในภวังค์คิด เพียงแต่ว่าท่วงท่ากระบี่นี้เผาผลาญพลังวัตรอย่างบ้าคลั่งมากเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น มันยังดูเหมือนจะต้องใช้เงินทองเป็นจำนวนมาก เพราะมีก็แต่คนร่ำรวยเท่านั้นที่จะหลอมสร้างกระบี่บินได้มากมายขนาดนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ กระบี่บินที่ใช้จะต้องมีปลายคมทั้งสองด้านเพื่อรีดเร้นพลานุภาพให้มากยิ่งไปกว่านี้

กิเลนมังกรคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและพ่นไฟพวยพุ่งออกจากปาก เสาเพลิงเผาท้องถนนของเมืองต้นไผ่ให้ลุกโหม และยักษ์ไม้ทั้งหลายก็เริ่มติดไฟ ยักษ์น้ำรีบรุดไปดับไฟทั่วทุกแห่ง และน้ำก็เดือดฉี่ๆ จากความร้อน นี่ทำให้ยักษ์น้ำทั้งหลายเริ่มมีขนาดที่เล็กลง

ฉินมู่ยังคงเหม่อลอย แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ข้าก็มีเงินทองอยู่มาก

กิเลนมังกรไร้ความปรานี เขาพ่นไฟออกไปทั่วทิศทาง และเผาทั้งเมืองให้ติดไฟไหม้พรึ่บ เขาถูกไล่ล่าจนหัวซุกหัวซุน และยังโดนลากเข้ามาในเมือง คราวนี้เขาเลยล้างแค้นด้วยความเดือดพล่านเป็นสองเท่า

ทันใดนั้น เมืองไม้ไผ่ก็สะท้านอย่างรุนแรง และกลายเป็นแน่นิ่ง ยักษ์บ้าน ยักษ์ตึก และยักษ์ราชวังต่างก็ชะงักหยุดการเคลื่อนไหวโดยพลัน กลับลงไปที่พื้นและกลายร่างกลับเป็นตึกรามและราชวัง ยักษ์น้ำก็ร่วงกลับลงไปในแม่น้ำ กลายเป็นน้ำไหล

เมืองไม้ไผ่เงียบลงไปทันใด ในถนนอันหักพังเละเทะ มีก็แต่ฉินมู่ เสียงฉีเอ๋อ และกิเลนมังกรที่ยังหลงเหลืออยู่

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน